เล่มที่ 33 (2553) - นิสิต - มหาวิทยาลัยบูรพา

เล่มที่ 33 (2553) - นิสิต - มหาวิทยาลัยบูรพา เล่มที่ 33 (2553) - นิสิต - มหาวิทยาลัยบูรพา

sci.buu.ac.th
from sci.buu.ac.th More from this publisher
28.06.2014 Views

ในเลือดใหอยูในระดับปกติ เนื่องจากมีสวนทําใหอาหารคางอยูในกระเพาะอาหาร นานขึ้น ออกมาสูลําไสเล็กชาลง ชวยอธิบายไดวาทําไมการกินอบเชยจึงมีสวนชวย ลดระดับน้ําตาลในเลือดหลังอาหารใหต่ําลงได ซึ่งหากระดับน้ําตาลในเลือดเพิ่มขึ้น เร็วหลังอาหารมักจะตามมาดวยการหลั่งฮอรโมนอินซูลินขนาดสูง ทําใหระดับ น้ําตาลในเลือดต่ําลงในเวลาตอมา ทําใหหิวงาย ออนเพลียงาย อาจมีสวนทําใหกิน มื้อตอไปหนักขึ้น และตามมาดวยโรคอวน นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่พบวา อบเชย ชวยรักษาโรคความดันโลหิตสูงอีกดวย พริกเปนเครื่องเทศอีกชนิดหนึ่งที่คนไทยคุนเคยกันเปนอยางดี พริกมีสาร แคปไซซิน ซึ่งมีฤทธิ์ระคายเคืองตอสัตวเลี้ยงลูกดวยนม โดยทําใหประสาทรับ ความรูสึกไหมที่เนื้อเยื่อ กระตุนการผลิตเมือกออกมาปองกันการระคายเคืองและ กระตุนการหลั่งน้ํายอย โดยพริกจะผลิตสารนี้ออกมาเพื่อปองกันการถูกบริโภคโดย สัตวกินพืช ในเนื้อเยื่อของผลพริกมีแคปไซซินมากกวาในเมล็ด แตแคปไซซินก็มี ประโยชนตอรางกายเชนกัน หลายงานวิจัยพบวาสารตัวนี้ชวยบรรเทาอาการ เจ็บปวดของผูปวยโรคมะเร็ง และชวยรักษาน้ําหนักหลังจากการลดน้ําหนักใหคงที่ได นอกจากนี้การกินพริกจะชวยใหระบบยอยอาหารทํางานไดมากขึ้น และทําใหระบบ ไหลเวียนเลือดดีขึ้นดวย สารสําคัญอีกอยางที่มีอยูในพริกและมีประโยชนในดาน ตานมะเร็งคือ เบตา-แคโรทีนอยด ซึ่งเมื่อถูกยอยในลําไสเล็กแลว จะกลายเปน เรตินอล ซึ่งเปนรูปแบบหนึ่งของวิตามินเอ และจะถูกเก็บสะสมไวในตับเพื่อนําไปใชในคราว จําเปน เบตาแคโรทีนเปนสารตานอนุมูลอิสระ และยังชวยเสริมสรางภูมิคุมกัน รวมทั้งชวยใหระบบสืบพันธุทํางานไดดี สารสุดทายในพริกที่จะกลาวถึงคือกรด แอสคอรบิก ซึ่งเปนรูปแบบหนึ่งของวิตามินซี ชวยเสริมสรางระบบภูมิคุมกัน และ เกี่ยวของกับการสรางคอลลาเจนซึ่งเปนโครงสรางของผิวหนังและหลอดเลือด ทั้งยัง ชวยขนสงไขมันไปยังไมโทรคอนเดรียใหสันดาปอาหารไดเปนพลังงานกับรางกาย เลมที่ 33 41

ขมิ้นชัน ขิง และขา เปนที่รูกันวาเครื่องเทศทั้งสามชนิดนี้ มีสารเคอรคิวมิน ซึ่งมีสรรพคุณชวยลดโคเลสเตอรอลในกระแสเลือด ลดการอักเสบของกระเพาะ อาหาร และกระตุนการหลั่งสารมิวซินออกมาเคลือบกระเพาะ จึงบรรเทาอาการปวด ทองเนื่องจากแผลในกระเพาะได นอกจากนี้น้ํามันหอมระเหยในเหงาขมิ้นชันยังมี สารพาราโทริลคารบินอล ชวยเพิ่มน้ํายอยและขับน้ําดีออกมามากขึ้น ชวยยอย อาหาร ลดการ จุกเสียดโดยเฉพาะผูที่กินไขมันมากเกินไป ปองกันการเกิดการแพ ฮีสตามีน และโรคอัลไซเมอรไดอีกดวย หัวหอมเปนครื่องเทศคูครัวไทยอีกชนิดที่มีประโยชน เนื่องจากในหัวหอมมี กรดลิโนลีนิค ซึ่งเปนสารที่ชวยลดปริมาณไขมันในเลือด และยังชวยขยายเสนเลือด ใหกวางขึ้น เปนผลใหเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสวนตาง ๆ ของรางกายไดสะดวกยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังไดมีการนําหัวหอมมาชวยกันบูด เพราะในหัวหอมประกอบดวยสาร พวกซัลไฟดตาง ๆ หลายชนิด ซึ่งนอกจากจะทําใหเกิดกลิ่นที่เปนลักษณะเฉพาะของ หัวหอมแลวยังใหผลยับยั้งการเจริญของจุลินทรียตาง ๆ ไดดี เชน ในอาหารที่มีน้ํา สกัดของหัวหอมอยูดวยจะสามารถยับยั้งการเจริญของวิบริโอ พาราฮิโมไลติคัส (Vibrio parahaemolyticus) ซึ่งเปนแบคทีเรียที่เปนสาเหตุของโรคอหิวาตเทียม นอกจากนี้ ยังทําลายแบคทีเรียซึ่งเปนสาเหตุของโรคบิดและอาหารเปนพิษได นอกจากนี้ยัง พบวาในหัวหอมมีน้ํามันหอมระเหยอยูดวยเชนเดียวกับพืชที่เปนเครื่องเทศอื่นๆ นอกจากสมุนไพรทั้งสี่ชนิดที่กลาวมาแลว สมุนไพรอีกหลายอยางก็มี สรรพคุณในการรักษาโรคตาง ๆ ไดแก กระเทียมชวยลดคอเลสเตอรอลไดดีสําหรับ ผูปวยโรคหัวใจ สวนกะเพราชวยแกอาการทองอืดทองเฟอ ขับลม ขับเสมหะ และ เพิ่มน้ํานมในหญิงหลังคลอด กระชายชวยแกบิด ปวดทอง ทองอืด ทองรวง ไอ และ บํารุงหัวใจ สวนผักชีชวยขับลม แกไข แกไอ ในขณะที่ตะไครชวยขับปสสาวะ แกนิ่ว และลดความดันโลหิตสูง เครื่องเทศที่มีฤทธิ์เปนยาตามธรรมชาติเหลานี้อยูรอบ ๆ ตัวนะคะ อยาลืมเติมสักนิดในอาหารจานโปรดของคุณ 42 วิทยาศาสตรเพื่อประชาชน

ในเลือดใหอยูในระดับปกติ เนื่องจากมีสวนทําใหอาหารคางอยูในกระเพาะอาหาร<br />

นานขึ้น ออกมาสูลําไสเล็กชาลง ชวยอธิบายไดวาทําไมการกินอบเชยจึงมีสวนชวย<br />

ลดระดับน้ําตาลในเลือดหลังอาหารใหต่ําลงได ซึ่งหากระดับน้ําตาลในเลือดเพิ่มขึ้น<br />

เร็วหลังอาหารมักจะตามมาดวยการหลั่งฮอรโมนอินซูลินขนาดสูง ทําใหระดับ<br />

น้ําตาลในเลือดต่ําลงในเวลาตอมา ทําใหหิวงาย ออนเพลียงาย อาจมีสวนทําใหกิน<br />

มื้อตอไปหนักขึ้น และตามมาดวยโรคอวน นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่พบวา อบเชย<br />

ชวยรักษาโรคความดันโลหิตสูงอีกดวย<br />

พริกเปนเครื่องเทศอีกชนิดหนึ่งที่คนไทยคุนเคยกันเปนอยางดี พริกมีสาร<br />

แคปไซซิน ซึ่งมีฤทธิ์ระคายเคืองตอสัตวเลี้ยงลูกดวยนม โดยทําใหประสาทรับ<br />

ความรูสึกไหมที่เนื้อเยื่อ กระตุนการผลิตเมือกออกมาปองกันการระคายเคืองและ<br />

กระตุนการหลั่งน้ํายอย โดยพริกจะผลิตสารนี้ออกมาเพื่อปองกันการถูกบริโภคโดย<br />

สัตวกินพืช ในเนื้อเยื่อของผลพริกมีแคปไซซินมากกวาในเมล็ด แตแคปไซซินก็มี<br />

ประโยชนตอรางกายเชนกัน หลายงานวิจัยพบวาสารตัวนี้ชวยบรรเทาอาการ<br />

เจ็บปวดของผูปวยโรคมะเร็ง และชวยรักษาน้ําหนักหลังจากการลดน้ําหนักใหคงที่ได<br />

นอกจากนี้การกินพริกจะชวยใหระบบยอยอาหารทํางานไดมากขึ้น และทําใหระบบ<br />

ไหลเวียนเลือดดีขึ้นดวย สารสําคัญอีกอยางที่มีอยูในพริกและมีประโยชนในดาน<br />

ตานมะเร็งคือ เบตา-แคโรทีนอยด ซึ่งเมื่อถูกยอยในลําไสเล็กแลว จะกลายเปน เรตินอล<br />

ซึ่งเปนรูปแบบหนึ่งของวิตามินเอ และจะถูกเก็บสะสมไวในตับเพื่อนําไปใชในคราว<br />

จําเปน เบตาแคโรทีนเปนสารตานอนุมูลอิสระ และยังชวยเสริมสรางภูมิคุมกัน<br />

รวมทั้งชวยใหระบบสืบพันธุทํางานไดดี สารสุดทายในพริกที่จะกลาวถึงคือกรด<br />

แอสคอรบิก ซึ่งเปนรูปแบบหนึ่งของวิตามินซี ชวยเสริมสรางระบบภูมิคุมกัน และ<br />

เกี่ยวของกับการสรางคอลลาเจนซึ่งเปนโครงสรางของผิวหนังและหลอดเลือด ทั้งยัง<br />

ชวยขนสงไขมันไปยังไมโทรคอนเดรียใหสันดาปอาหารไดเปนพลังงานกับรางกาย<br />

เลมที่ <strong>33</strong> 41

Hooray! Your file is uploaded and ready to be published.

Saved successfully!

Ooh no, something went wrong!