ฉบับวิชาการ - สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ฉบับวิชาการ - สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฉบับวิชาการ - สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
๔ - ๑๙ก.ข.ค.สนทะเล Casuarina equisetifolia J. R. & G. Forst. ก. ตน, ข. ดอกเพศเมียและผล, ค. ผลที่มา สวนพฤกษศาสตรภาคตะวันออก (เขาหินซอน) จังหวัดฉะเชิงเทรา
๔ - ๒๐๑๐. กระจูด (กก)ชื่อพฤกษศาสตร์ Lepironia articulata (Retz.) Dominชื่อวงศ์ CYPERACEAEชื่อพื้นเมือง กกกระจูด (ภาคกลาง) กก (ระยอง) จูด กระจูด(ภาคใต้)ชื่อสามัญ -นิเวศวิทยาและการกระจายพันธุ์ ขึ้นเป็นกลุ่มใหญ่ในแหล่งน้ําธรรมชาติ หรือในระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ําตามแนวชายฝั่ง และบึงน้ําในแผ่นดิน และป่าบึง ที่ความสูงจากระดับน้ําทะเลประมาณ ๐-๑๐๐เมตร ในประเทศไทยพบทางภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้กระจายพันธุ์ในแถบประเทศมาดากัสการ์ อินเดีย ศรีลังกา อินโดจีนตะวันออกเฉียงใต้ของจีน มาเลเซีย ไมโครนีเซีย ออสเตรเลียนิวแคลิโดเนีย และฟิจิลักษณะทั่วไปและลักษณะเด่น พืชล้มลุกมีอายุหลายปี เหง้ามีเกล็ดสีน้ําตาลอมเทาที่ด้านปลายเล็กน้อย ลําต้นแข็งเป็นกลุ่มแน่นตามแนวของเหง้า ขนาดกว้าง ๐.๒–๐.๗ เซนติเมตร ยาว ๑๐–๒๐เซนติเมตร คล้ายทรงกระบอกผิวเรียบใบ มีกาบใบแผ่ออก กาบบนสุดยาว ๑๒–๒๖ เซนติเมตร ปลายตัดเฉียง ใบประดับรูปลิ ่มแคบ คล้ายทรงกระบอกมีความยาว๒.๒–๖ เซนติเมตรดอก เป็นดอกช่อ ประกอบด้วยช่อเชิงลด จํานวน ๑ ช่อ รูปทรงรีหรือรูปขอบขนานคล้ายทรงกระบอก กว้าง ๓–๗ มิลลิเมตร ยาว๑๐–๓๕ มิลลิเมตร สีเขียวถึงสีน้ําตาลกาแฟหรือสีน้ําตาลม่วงกาบประดับรูปไข่หรือรูปทรงกลมแกมไข่ กว้าง ๓–๖.๒ มิลลิเมตรยาว ๓.๒–๖.๗ มิลลิเมตร ปลายมนและมักโค้งลงเล็กน้อยเมื่อแก่เต็มที่จะร่วงง่าย กลุ่มดอกย่อยจะพอ ๆ กับกาบประดับกลีบประดับมีได้ถึง ๑๕ กลีบ น้อยที่สุดมี ๒ กลีบ รูปหอกแกมแถบ มีความยาว ๔–๖ มิลลิเมตร สันของกลีบเป็นขนครุยผล เป็นรูปไข่หรือรูปไข่กลับถึงรูปไข่กลับทรงกว้าง ผลนูน ๒ ด้านกว้าง ๒–๒.๘ มิลลิเมตร ยาว ๓–๔ มิลลิเมตร (ไม่นับจะงอยที่ยาว๐.๕ มิลลิเมตร) ผลแข็งสีน้ําตาล ผิวเรียบถึงเป็นแนวเส้นตามยาวไม่ชัด มักมีหนามละเอียดที่ส่วนปลาย (วัชนะ บุญชัย, กิตติพงษ์เกิดสว่าง, ๒๕๔๘)ลักษณะเด่น พืชล้มลุกมีอายุหลายปี เหง้ามีเกล็ดสีน้ ําตาลอมเทาที่ด้านปลายเล็กน้อย ลําต้นแข็งเป็นกลุ่มแน่นตามแนวของเหง้าผลแข็งสีน้ําตาลผิวเรียบถึงเป็นแนวเส้นตามยาวไม่ชัด มักมีหนามละเอียดที ่ส่วนปลายความสําคัญของพันธุ์ไม้ -ช่วงการออกดอกและติดผล ออกดอกและติดผลตลอดปี(วัชนะ บุญชัย, กิตติพงษ์ เกิดสว่าง, ๒๕๔๘)การปลูกและการดูแล ขยายพันธุ์โดยการแยกกอหรือแยกหน่อและเพาะเมล็ด ชอบขึ้นในที่มีน้ําขังอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะบริเวณริมทะเลสาบที่เป็นดินโคลนหรือป่าพรุ การเพาะปลูกกระจูดต้องใช้ระยะเวลาประมาณ ๓ ปี ต้นจึงจะโตได้ขนาด สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้ คือ ลําต้นยาวไม่ต่ํากว่า ๑ เมตร เมื่อถอนต้นกระจูดแล้วหน่อก็จะแตกต้นใหม่ขึ้นมาแทนที่หมุนเวียนกันไป การขยายพันธุ์โดยการแยกกอ มีขั้นตอนและวิธีการ ดังนี้๑. นํากอกระจูดที่เป็นต้นพันธุ์ แช่ทิ้งไว้ในแหล่งน้ําให้น้ําท่วมรากพอประมาณ โดยแช่ทิ้งไว้ประมาณ ๑๐–๑๕ วัน จนมองเห็นรากใหม่แตกออกมา นํากอต้นพันธุ์มาแยกออกเป็นกอย่อยขนาดตามความเหมาะสม โดยจะต้องมีส่วนของหน่อและรากที ่งอกใหม่ปะปนอยู่ด้วยอย่างน้อยตั้งแต่ ๑ หน่อขึ้นไป๒. ตัดส่วนปลายลําต้นทิ้งทั้งหมด ให้เหลือเฉพาะลําต้นส่วนโคนยาวประมาณ ๔๐–๕๐ เซนติเมตร เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงาน๓. นําหน่อใหม่ที่แยกเป็นกอย่อยไว้มาไปใส่ในภาชนะปลูก อาจจะเป็นถุงพลาสติกหรือกระถางตามความเหมาะสม แล้วนําวัสดุปลูกที่จัดเตรียมไว้กรอกใส่ลงให้รอบในภาชนะปลูก แล้วนําไปจัดเรียงไว้ภายในโรงเรือนเพาะชํา รดน้ําให้ชุ่มตลอดเวลา หรืออาจให้น้ําท่วมขังส่วนของโคนต้นก็ได้๔. ประมาณหนึ่งเดือนจะสังเกตเห็นการเจริญเติบโตของหน่อกระจูดอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา๕. ในกรณีจําเป็นต้องการเพาะขยายพันธุ์โดยเร่งด่วน ก็สามารถนํากอแม่พันธุ์มาทําการแยกเป็นกอย่อย ตัดส่วนปลายใบทิ้งนํามาใส่ภาชนะและวัสดุปลูกที่จัดเตรียมไว้ได้เลย แต่การเจริญเติบโตจะไม่สม่ําเสมอ๖. วัสดุปลูกโดยทั่วไป ใช้ทรายหยาบผสมกับปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเพียงเล็กน้อย หรืออาจจะใช้เฉพาะทรายหยาบเพียงอย่างเดียวก็ได้ เมื่อต้นกล้าตั้งตัวได้จึงให้ปุ๋ยบํารุงตามความเหมาะสม (วัชนะบุญชัย, กิตติพงษ์ เกิดสว่าง, ๒๕๔๘)ประโยชน์ทั่วไป ลําต้นกระจูด ใช้ทอเสื่อหรือประดิษฐ์เป็นเครื่องจักสาน (สุชาดา ศรีเพ็ญ, ๒๕๔๒) ผลิตภัณฑ์จักสานกระจูดเช่น กระเป๋า ตะกร้า เสื่อ กระเช้า แจกัน กระบุง รองเท้า หมวก ฯลฯ(วัชนะ บุญชัย, กิตติพงษ์ เกิดสว่าง, ๒๕๔๘)ประโยชน์ด้านการลดมลพิษและข้อมูลอื ่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง-
- Page 35 and 36: ๒ - ๑๒ผลการจํ
- Page 37 and 38: ๒ - ๑๔๑๐) ยางแด
- Page 39 and 40: ๒ - ๑๖๑๑๒) เตยท
- Page 41 and 42: ๒ - ๑๘๓๑) มะค่า
- Page 43 and 44: ๒ - ๒๐๑๙) ทรงบา
- Page 45 and 46: ๒ - ๒๒๑.๔) ไมที
- Page 47 and 48: ๒ - ๒๔๒๒) ถั่วด
- Page 49 and 50: ๒ - ๒๖๔๐) มะเม่
- Page 51 and 52: ๒ - ๒๘๗) ยางกล่
- Page 53 and 54: ๒ - ๓๐๑๖) ยมหอม
- Page 55 and 56: ๒ - ๓๒๒.๓.๒ ไม้
- Page 57 and 58: ๒ - ๓๔พันธุ์ไ
- Page 59 and 60: ๓ - ๒พันธุไม ช
- Page 61 and 62: ๓ - ๔พันธุไม ช
- Page 63 and 64: ๓ - ๖พันธุไม ช
- Page 65 and 66: ๓ - ๘พันธุ์ไม
- Page 67 and 68: ๓ - ๑๐พันธุไม
- Page 69 and 70: ๔ - ๒๑. รางจืดช
- Page 71 and 72: ชื่อพฤกษศาส
- Page 73 and 74: ๔ - ๖๓. มะม่วงช
- Page 75 and 76: ๔ - ๘๔. การเวกช
- Page 77 and 78: ๔ - ๑๐๕. กระดัง
- Page 79 and 80: ๔ - ๑๒๖. อโศกอิ
- Page 81 and 82: ๔ - ๑๔๗. แคทะเล
- Page 83 and 84: ๔ - ๑๖๘. แคแสดช
- Page 85: ๔ - ๑๘๙. สนทะเล
- Page 89 and 90: ๔ - ๒๒๑๑. ยางนา
- Page 91 and 92: ๔ - ๒๔๑๒. เหียง
- Page 93 and 94: ๔ - ๒๖๑๓. ยางแด
- Page 95 and 96: ่๔ - ๒๘๑๔. ตะเค
- Page 97 and 98: ๔ - ๓๐๑๕. สบูดํ
- Page 99 and 100: ๔ - ๓๒๑๖. ขันทอ
- Page 101 and 102: ๔ - ๓๔๑๗. ก่อขี
- Page 103 and 104: ๔ - ๓๖๑๘. รักทะ
- Page 105 and 106: ๔ - ๓๘๑๙. ตังหน
- Page 107 and 108: ๔ - ๔๐๒๐. กระทิ
- Page 109 and 110: ๔ - ๔๒๒๑. ชะมวง
- Page 111 and 112: ์๔ - ๔๔๒๒. ซ้อช
- Page 113 and 114: ๔ - ๔๖๒๓. กระโด
- Page 115 and 116: ๔ - ๔๘๒๔. มะค่า
- Page 117 and 118: ๔ - ๕๐๒๕. ฝางชื
- Page 119 and 120: ๔ - ๕๒๒๖. ราชพฤ
- Page 121 and 122: ่้่๔ - ๕๔๒๗. หล
- Page 123 and 124: ๔ - ๕๖๒๘. นนทรี
- Page 125 and 126: ๔ - ๕๘๒๙. โสกน้
- Page 127 and 128: ๔ - ๖๐๓๐. พฤกษช
- Page 129 and 130: ๔ - ๖๒๓๑. จามจุ
- Page 131 and 132: ๔ - ๖๔๓๒. ประดู
- Page 133 and 134: ๔ - ๖๖๓๓. ตะแบก
- Page 135 and 136: ๔ - ๖๘๓๔. เสลาช
๔ - ๒๐๑๐. กระจูด (กก)ชื่อพฤกษศาสตร์ Lepironia articulata (Retz.) Dominชื่อวงศ์ CYPERACEAEชื่อพื้นเมือง กกกระจูด (ภาคกลาง) กก (ระยอง) จูด กระจูด(ภาคใต้)ชื่อสามัญ -นิเวศวิทยาและการกระจายพันธุ์ ขึ้นเป็นกลุ่มใหญ่ในแหล่งน้ําธรรมชาติ หรือในระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ําตามแนวชายฝั่ง และบึงน้ําในแผ่นดิน และป่าบึง ที่ความสูงจากระดับน้ําทะเลประมาณ ๐-๑๐๐เมตร ในประเทศไทยพบทางภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้กระจายพันธุ์ในแถบประเทศมาดากัสการ์ อินเดีย ศรีลังกา อินโดจีนตะวันออกเฉียงใต้ของจีน มาเลเซีย ไมโครนีเซีย ออสเตรเลียนิวแคลิโดเนีย และฟิจิลักษณะทั่วไปและลักษณะเด่น พืชล้มลุกมีอายุหลายปี เหง้ามีเกล็ดสีน้ําตาลอมเทาที่ด้านปลายเล็กน้อย ลําต้นแข็งเป็นกลุ่มแน่นตามแนวของเหง้า ขนาดกว้าง ๐.๒–๐.๗ เซนติเมตร ยาว ๑๐–๒๐เซนติเมตร คล้ายทรงกระบอกผิวเรียบใบ มีกาบใบแผ่ออก กาบบนสุดยาว ๑๒–๒๖ เซนติเมตร ปลายตัดเฉียง ใบประดับรูปลิ ่มแคบ คล้ายทรงกระบอกมีความยาว๒.๒–๖ เซนติเมตรดอก เป็นดอกช่อ ประกอบด้วยช่อเชิงลด จํานวน ๑ ช่อ รูปทรงรีหรือรูปขอบขนานคล้ายทรงกระบอก กว้าง ๓–๗ มิลลิเมตร ยาว๑๐–๓๕ มิลลิเมตร สีเขียวถึงสีน้ําตาลกาแฟหรือสีน้ําตาลม่วงกาบประดับรูปไข่หรือรูปทรงกลมแกมไข่ กว้าง ๓–๖.๒ มิลลิเมตรยาว ๓.๒–๖.๗ มิลลิเมตร ปลายมนและมักโค้งลงเล็กน้อยเมื่อแก่เต็มที่จะร่วงง่าย กลุ่มดอกย่อยจะพอ ๆ กับกาบประดับกลีบประดับมีได้ถึง ๑๕ กลีบ น้อยที่สุดมี ๒ กลีบ รูปหอกแกมแถบ มีความยาว ๔–๖ มิลลิเมตร สันของกลีบเป็นขนครุยผล เป็นรูปไข่หรือรูปไข่กลับถึงรูปไข่กลับทรงกว้าง ผลนูน ๒ ด้านกว้าง ๒–๒.๘ มิลลิเมตร ยาว ๓–๔ มิลลิเมตร (ไม่นับจะงอยที่ยาว๐.๕ มิลลิเมตร) ผลแข็งสีน้ําตาล ผิวเรียบถึงเป็นแนวเส้นตามยาวไม่ชัด มักมีหนามละเอียดที่ส่วนปลาย (วัชนะ บุญชัย, กิตติพงษ์เกิดสว่าง, ๒๕๔๘)ลักษณะเด่น พืชล้มลุกมีอายุหลายปี เหง้ามีเกล็ดสีน้ ําตาลอมเทาที่ด้านปลายเล็กน้อย ลําต้นแข็งเป็นกลุ่มแน่นตามแนวของเหง้าผลแข็งสีน้ําตาลผิวเรียบถึงเป็นแนวเส้นตามยาวไม่ชัด มักมีหนามละเอียดที ่ส่วนปลายความสําคัญของพันธุ์ไม้ -ช่วงการออกดอกและติดผล ออกดอกและติดผลตลอดปี(วัชนะ บุญชัย, กิตติพงษ์ เกิดสว่าง, ๒๕๔๘)การปลูกและการดูแล ขยายพันธุ์โดยการแยกกอหรือแยกหน่อและเพาะเมล็ด ชอบขึ้นในที่มีน้ําขังอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะบริเวณริมทะเลสาบที่เป็นดินโคลนหรือป่าพรุ การเพาะปลูกกระจูดต้องใช้ระยะเวลาประมาณ ๓ ปี ต้นจึงจะโตได้ขนาด สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้ คือ ลําต้นยาวไม่ต่ํากว่า ๑ เมตร เมื่อถอนต้นกระจูดแล้วหน่อก็จะแตกต้นใหม่ขึ้นมาแทนที่หมุนเวียนกันไป การขยายพันธุ์โดยการแยกกอ มีขั้นตอนและวิธีการ ดังนี้๑. นํากอกระจูดที่เป็นต้นพันธุ์ แช่ทิ้งไว้ในแหล่งน้ําให้น้ําท่วมรากพอประมาณ โดยแช่ทิ้งไว้ประมาณ ๑๐–๑๕ วัน จนมองเห็นรากใหม่แตกออกมา นํากอต้นพันธุ์มาแยกออกเป็นกอย่อยขนาดตามความเหมาะสม โดยจะต้องมีส่วนของหน่อและรากที ่งอกใหม่ปะปนอยู่ด้วยอย่างน้อยตั้งแต่ ๑ หน่อขึ้นไป๒. ตัดส่วนปลายลําต้นทิ้งทั้งหมด ให้เหลือเฉพาะลําต้นส่วนโคนยาวประมาณ ๔๐–๕๐ เซนติเมตร เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงาน๓. นําหน่อใหม่ที่แยกเป็นกอย่อยไว้มาไปใส่ในภาชนะปลูก อาจจะเป็นถุงพลาสติกหรือกระถางตามความเหมาะสม แล้วนําวัสดุปลูกที่จัดเตรียมไว้กรอกใส่ลงให้รอบในภาชนะปลูก แล้วนําไปจัดเรียงไว้ภายในโรงเรือนเพาะชํา รดน้ําให้ชุ่มตลอดเวลา หรืออาจให้น้ําท่วมขังส่วนของโคนต้นก็ได้๔. ประมาณหนึ่งเดือนจะสังเกตเห็นการเจริญเติบโตของหน่อกระจูดอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา๕. ในกรณีจําเป็นต้องการเพาะขยายพันธุ์โดยเร่งด่วน ก็สามารถนํากอแม่พันธุ์มาทําการแยกเป็นกอย่อย ตัดส่วนปลายใบทิ้งนํามาใส่ภาชนะและวัสดุปลูกที่จัดเตรียมไว้ได้เลย แต่การเจริญเติบโตจะไม่สม่ําเสมอ๖. วัสดุปลูกโดยทั่วไป ใช้ทรายหยาบผสมกับปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเพียงเล็กน้อย หรืออาจจะใช้เฉพาะทรายหยาบเพียงอย่างเดียวก็ได้ เมื่อต้นกล้าตั้งตัวได้จึงให้ปุ๋ยบํารุงตามความเหมาะสม (วัชนะบุญชัย, กิตติพงษ์ เกิดสว่าง, ๒๕๔๘)ประโยชน์ทั่วไป ลําต้นกระจูด ใช้ทอเสื่อหรือประดิษฐ์เป็นเครื่องจักสาน (สุชาดา ศรีเพ็ญ, ๒๕๔๒) ผลิตภัณฑ์จักสานกระจูดเช่น กระเป๋า ตะกร้า เสื่อ กระเช้า แจกัน กระบุง รองเท้า หมวก ฯลฯ(วัชนะ บุญชัย, กิตติพงษ์ เกิดสว่าง, ๒๕๔๘)ประโยชน์ด้านการลดมลพิษและข้อมูลอื ่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง-