ฉบับวิชาการ - สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ฉบับวิชาการ - สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฉบับวิชาการ - สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
๔ - ๑๓ก. ข.ค.อโศกอินเดีย (อโศกเซนคาเบรียล) Polyalthia longifolia (Sonn.) Thwaites ก. ต้น, ข. ดอก, ค. ผลที่มา จังหวัดฉะเชิงเทรา
๔ - ๑๔๗. แคทะเลชื่อพฤกษศาสตร์ Dolichandrone spathacea (L. f.) K.Schum.ชื่อวงศ์ BIGNONIACEAEชื่อพื้นเมือง แคน้ํา (ภาคกลาง)ชื่อสามัญ -นิเวศวิทยาและการกระจายพันธุ์ ขึ้นตามชายป่าโกงกางด้านในหรือริมแม่น้ําที่น้ําทะเลท่วมถึง ในประเทศไทยพบเฉพาะทางภาคกลางและภาคใต้แถบจังหวัดทางชายฝั่งทะเล มีเขตการกระจายพันธุ์กว้าง พบตั้งแต่อินเดีย ศรีลังกา พม่า เวียดนาม ภูมิภาคมาเลเซียและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก (สํานักงานหอพรรณไม้, ๒๕๕๓ ค)ลักษณะทั่วไปและลักษณะเด่น ไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางสูง ๔-๒๐ เมตร ไม่ผลัดใบ แตกกิ่งต่ํา กิ่งอ่อนมักมีเมือกเหนียวเนื้อไม้อ่อน สีขาวใบ ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงตรงข้าม ยาว ๘-๓๕เซนติเมตร ใบย่อยมี ๒-๔ คู่ รูปไข่ถึงแกมรูปใบหอก ยาว ๗-๑๖เซนติเมตร ปลายแหลมยาว โคนแหลมหรือมน เบี้ยว แผ่นใบเกลี้ยง มีต่อมประปรายบนเส้นกลางใบด้านล่าง ก้านใบย่อยยาว๐.๔-๑ เซนติเมตรดอก ช่อดอกแบบช่อกระจะสั้น ๆ ออกที่ปลายกิ่ง ยาว ๒-๔เซนติเมตร มี ๒-๘ ดอก ในแต่ละช่อ ก้านดอกย่อยยาว ๑.๕-๓.๕เซนติเมตร กลีบเลี้ยงคล้ายกาบ รูปขอบขนาน ยาว ๓-๙เซนติเมตร กลีบดอกรูปแตร สีขาว หลอดกลีบส่วนโคนเรียวแคบยาว ๘-๑๓ เซนติเมตร หลอดกลีบส่วนปลายบานออกรูประฆังยาว ๓-๕ เซนติเมตร ปลายแยกเป็น ๕ กลีบตื้น ๆ กลีบย่น เกสรเพศผู้ ๔ อัน สองคู่ยาวไม่เท่ากัน เกลี้ยง ติดภายในหลอดกลีบดอกไม่ยื่นพ้นปากหลอดกลีบดอก เกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน ๑ อัน ลดรูปมีขนาดเล็ก จานฐานดอกรูปเบาะ รังไข่ทรงกระบอกแคบสั้น ๆมี ๒ ช่อง ก้านเกสรเพศเมียรูปเส้นด้าย เรียวยาว ยื่นเลยพ้นปากหลอดกลีบเล็กน้อยผล เป็นฝัก ช่อละ ๓-๔ ฝัก รูปแถบ โค้งเล็กน้อย ยาว ๓๐-๖๐เซนติเมตร เมล็ดหนา เป็นคอร์ก ยาว ๑.๓-๑.๘ เซนติเมตรลักษณะเด่น โคนใบเบี้ยว กลีบเลี้ยงคล้ายกาบ รูปขอบขนานกลีบดอกรูปแตร สีขาว หลอดกลีบส่วนโคนเรียวแคบ หลอดกลีบส่วนปลายบานออกรูประฆัง ปลายแยกเป็น ๕ กลีบ ตื้น ๆ กลีบย่นเกสรเพศผู้ ๔ อัน สองคู่ยาวไม่เท่ากัน ก้านเกสรเพศเมียรูปเส้นด้ายเรียวยาว ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น ๒ แฉก ผลเป็นฝัก เมล็ดหนาเป็นคอร์ก มีปีกความสําคัญของพันธุ์ไม้ -ช่วงการออกดอกและติดผล ออกดอกเดือนมีนาคมถึงเมษายนติดผลเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน (ธงชัย เปาอินทร์, นิวัตรเปาอินทร์, ๒๕๔๔)การปลูกและการดูแล ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด (ธงชัยเปาอินทร์, นิวัตร เปาอินทร์, ๒๕๔๔)ประโยชน์ทั่วไป ดอกและยอดอ่อน รับประทานได้ ด้านสมุนไพรราก รสหวานเย็น แก้ไข้ แก้เสมหะ โลหิต และลม เปลือกรสหวานเย็น แก้ท้องอืดเฟ้อ ใบ รสเย็น รักษาแผล เป็นยาบ้วนปากแก้ไข้ แก้คัน ดอก รสหวานเย็น แก้ไข้ เมล็ด รสหวานเย็น แก้ปวดประสาท (ธงชัย เปาอินทร์, นิวัตร เปาอินทร์, ๒๕๔๔) สรรพคุณทางสมุนไพร ราก ขับเสมหะ บํารุงโลหิต เปลือก แก้ท้องอืดเฟ้อใช้กับสตรีหลังคลอดบุตร ใบ ทํายาพอกแผล ยาบ้วนปาก เมล็ดแก้ปวดประสาท แก้โรคชัก (พงษ์ศักดิ์ พลเสนา, ๒๕๕๐ ข) เนื้อไม้ใช้ทําเครื่องเรือนและหีบใส่ของ (วรรณี ทัฬหกิจ, ๒๕๕๓)ประโยชน์ด้านการลดมลพิษและข้อมูลอื ่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง-
- Page 29 and 30: ๒ - ๖๒๕) แสมดํา
- Page 31 and 32: ๒ - ๘๒๕) ดองดึง
- Page 33 and 34: ๒ - ๑๐๒.๒.๒ พรร
- Page 35 and 36: ๒ - ๑๒ผลการจํ
- Page 37 and 38: ๒ - ๑๔๑๐) ยางแด
- Page 39 and 40: ๒ - ๑๖๑๑๒) เตยท
- Page 41 and 42: ๒ - ๑๘๓๑) มะค่า
- Page 43 and 44: ๒ - ๒๐๑๙) ทรงบา
- Page 45 and 46: ๒ - ๒๒๑.๔) ไมที
- Page 47 and 48: ๒ - ๒๔๒๒) ถั่วด
- Page 49 and 50: ๒ - ๒๖๔๐) มะเม่
- Page 51 and 52: ๒ - ๒๘๗) ยางกล่
- Page 53 and 54: ๒ - ๓๐๑๖) ยมหอม
- Page 55 and 56: ๒ - ๓๒๒.๓.๒ ไม้
- Page 57 and 58: ๒ - ๓๔พันธุ์ไ
- Page 59 and 60: ๓ - ๒พันธุไม ช
- Page 61 and 62: ๓ - ๔พันธุไม ช
- Page 63 and 64: ๓ - ๖พันธุไม ช
- Page 65 and 66: ๓ - ๘พันธุ์ไม
- Page 67 and 68: ๓ - ๑๐พันธุไม
- Page 69 and 70: ๔ - ๒๑. รางจืดช
- Page 71 and 72: ชื่อพฤกษศาส
- Page 73 and 74: ๔ - ๖๓. มะม่วงช
- Page 75 and 76: ๔ - ๘๔. การเวกช
- Page 77 and 78: ๔ - ๑๐๕. กระดัง
- Page 79: ๔ - ๑๒๖. อโศกอิ
- Page 83 and 84: ๔ - ๑๖๘. แคแสดช
- Page 85 and 86: ๔ - ๑๘๙. สนทะเล
- Page 87 and 88: ๔ - ๒๐๑๐. กระจู
- Page 89 and 90: ๔ - ๒๒๑๑. ยางนา
- Page 91 and 92: ๔ - ๒๔๑๒. เหียง
- Page 93 and 94: ๔ - ๒๖๑๓. ยางแด
- Page 95 and 96: ่๔ - ๒๘๑๔. ตะเค
- Page 97 and 98: ๔ - ๓๐๑๕. สบูดํ
- Page 99 and 100: ๔ - ๓๒๑๖. ขันทอ
- Page 101 and 102: ๔ - ๓๔๑๗. ก่อขี
- Page 103 and 104: ๔ - ๓๖๑๘. รักทะ
- Page 105 and 106: ๔ - ๓๘๑๙. ตังหน
- Page 107 and 108: ๔ - ๔๐๒๐. กระทิ
- Page 109 and 110: ๔ - ๔๒๒๑. ชะมวง
- Page 111 and 112: ์๔ - ๔๔๒๒. ซ้อช
- Page 113 and 114: ๔ - ๔๖๒๓. กระโด
- Page 115 and 116: ๔ - ๔๘๒๔. มะค่า
- Page 117 and 118: ๔ - ๕๐๒๕. ฝางชื
- Page 119 and 120: ๔ - ๕๒๒๖. ราชพฤ
- Page 121 and 122: ่้่๔ - ๕๔๒๗. หล
- Page 123 and 124: ๔ - ๕๖๒๘. นนทรี
- Page 125 and 126: ๔ - ๕๘๒๙. โสกน้
- Page 127 and 128: ๔ - ๖๐๓๐. พฤกษช
- Page 129 and 130: ๔ - ๖๒๓๑. จามจุ
๔ - ๑๔๗. แคทะเลชื่อพฤกษศาสตร์ Dolichandrone spathacea (L. f.) K.Schum.ชื่อวงศ์ BIGNONIACEAEชื่อพื้นเมือง แคน้ํา (ภาคกลาง)ชื่อสามัญ -นิเวศวิทยาและการกระจายพันธุ์ ขึ้นตามชายป่าโกงกางด้านในหรือริมแม่น้ําที่น้ําทะเลท่วมถึง ในประเทศไทยพบเฉพาะทางภาคกลางและภาคใต้แถบจังหวัดทางชายฝั่งทะเล มีเขตการกระจายพันธุ์กว้าง พบตั้งแต่อินเดีย ศรีลังกา พม่า เวียดนาม ภูมิภาคมาเลเซียและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก (สํานักงานหอพรรณไม้, ๒๕๕๓ ค)ลักษณะทั่วไปและลักษณะเด่น ไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางสูง ๔-๒๐ เมตร ไม่ผลัดใบ แตกกิ่งต่ํา กิ่งอ่อนมักมีเมือกเหนียวเนื้อไม้อ่อน สีขาวใบ ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงตรงข้าม ยาว ๘-๓๕เซนติเมตร ใบย่อยมี ๒-๔ คู่ รูปไข่ถึงแกมรูปใบหอก ยาว ๗-๑๖เซนติเมตร ปลายแหลมยาว โคนแหลมหรือมน เบี้ยว แผ่นใบเกลี้ยง มีต่อมประปรายบนเส้นกลางใบด้านล่าง ก้านใบย่อยยาว๐.๔-๑ เซนติเมตรดอก ช่อดอกแบบช่อกระจะสั้น ๆ ออกที่ปลายกิ่ง ยาว ๒-๔เซนติเมตร มี ๒-๘ ดอก ในแต่ละช่อ ก้านดอกย่อยยาว ๑.๕-๓.๕เซนติเมตร กลีบเลี้ยงคล้ายกาบ รูปขอบขนาน ยาว ๓-๙เซนติเมตร กลีบดอกรูปแตร สีขาว หลอดกลีบส่วนโคนเรียวแคบยาว ๘-๑๓ เซนติเมตร หลอดกลีบส่วนปลายบานออกรูประฆังยาว ๓-๕ เซนติเมตร ปลายแยกเป็น ๕ กลีบตื้น ๆ กลีบย่น เกสรเพศผู้ ๔ อัน สองคู่ยาวไม่เท่ากัน เกลี้ยง ติดภายในหลอดกลีบดอกไม่ยื่นพ้นปากหลอดกลีบดอก เกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน ๑ อัน ลดรูปมีขนาดเล็ก จานฐานดอกรูปเบาะ รังไข่ทรงกระบอกแคบสั้น ๆมี ๒ ช่อง ก้านเกสรเพศเมียรูปเส้นด้าย เรียวยาว ยื่นเลยพ้นปากหลอดกลีบเล็กน้อยผล เป็นฝัก ช่อละ ๓-๔ ฝัก รูปแถบ โค้งเล็กน้อย ยาว ๓๐-๖๐เซนติเมตร เมล็ดหนา เป็นคอร์ก ยาว ๑.๓-๑.๘ เซนติเมตรลักษณะเด่น โคนใบเบี้ยว กลีบเลี้ยงคล้ายกาบ รูปขอบขนานกลีบดอกรูปแตร สีขาว หลอดกลีบส่วนโคนเรียวแคบ หลอดกลีบส่วนปลายบานออกรูประฆัง ปลายแยกเป็น ๕ กลีบ ตื้น ๆ กลีบย่นเกสรเพศผู้ ๔ อัน สองคู่ยาวไม่เท่ากัน ก้านเกสรเพศเมียรูปเส้นด้ายเรียวยาว ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น ๒ แฉก ผลเป็นฝัก เมล็ดหนาเป็นคอร์ก มีปีกความสําคัญของพันธุ์ไม้ -ช่วงการออกดอกและติดผล ออกดอกเดือนมีนาคมถึงเมษายนติดผลเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน (ธงชัย เปาอินทร์, นิวัตรเปาอินทร์, ๒๕๔๔)การปลูกและการดูแล ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด (ธงชัยเปาอินทร์, นิวัตร เปาอินทร์, ๒๕๔๔)ประโยชน์ทั่วไป ดอกและยอดอ่อน รับประทานได้ ด้านสมุนไพรราก รสหวานเย็น แก้ไข้ แก้เสมหะ โลหิต และลม เปลือกรสหวานเย็น แก้ท้องอืดเฟ้อ ใบ รสเย็น รักษาแผล เป็นยาบ้วนปากแก้ไข้ แก้คัน ดอก รสหวานเย็น แก้ไข้ เมล็ด รสหวานเย็น แก้ปวดประสาท (ธงชัย เปาอินทร์, นิวัตร เปาอินทร์, ๒๕๔๔) สรรพคุณทางสมุนไพร ราก ขับเสมหะ บํารุงโลหิต เปลือก แก้ท้องอืดเฟ้อใช้กับสตรีหลังคลอดบุตร ใบ ทํายาพอกแผล ยาบ้วนปาก เมล็ดแก้ปวดประสาท แก้โรคชัก (พงษ์ศักดิ์ พลเสนา, ๒๕๕๐ ข) เนื้อไม้ใช้ทําเครื่องเรือนและหีบใส่ของ (วรรณี ทัฬหกิจ, ๒๕๕๓)ประโยชน์ด้านการลดมลพิษและข้อมูลอื ่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง-