ฉบับวิชาการ - สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ฉบับวิชาการ - สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฉบับวิชาการ - สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
๔ - ๙ก.ข.ค.การเวก Artabotrys siamensis Miq. ก. ต้น, ข. ดอก, ค. ผลที่มา สวนพฤกษศาสตร์ภาคตะวันออก (เขาหินซ้อน) จังหวัดฉะเชิงเทรา
๔ - ๑๐๕. กระดังงาไทย (สะบันงาต้น)ชื่อพฤกษศาสตร์ Cananga odorata (Lam.) Hook. f. & Thomsonvar. odorataชื่อวงศ์ ANNONACEAEชื่อพื้นเมือง กระดังงา (ตรัง ยะลา) กระดังงาใบใหญ่ กระดังงาใหญ่(ภาคกลาง) สะบันงา สะบันงาต้น (ภาคเหนือ)ชื่อสามัญ -นิเวศวิทยาและการกระจายพันธุ์ ในป่าดิบทางภาคใต้ตอนล่างและมีปลูกทั่วไปในประเทศไทย มีเขตการกระจายพันธุ์ในเอเชียเขตร้อน ต่างประเทศพบที่แถบอินโดจีน มาเลเซีย และออสเตรเลียลักษณะทั่วไปและลักษณะเด่น ไม้ต้นขนาดกลาง สูง ๑๐-๒๐เมตร ผลัดใบ ทรงพุ่มกรวยแหลม เปลือกสีเทา มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว มีรอยแผลใบขนาดใหญ่กระจายอยู่ทั่วไป กิ่งตั้งฉากกับลําต้น ปลายย้อยลู่ลง กิ่งอ่อนมีขน กิ่งแก่ค่อนข้างเรียบใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปรีหรือรูปไข่ยาว กว้าง ๔-๗ เซนติเมตรยาว ๙-๒๐ เซนติเมตร ปลายแหลม โคนมนหรือเว้าและเบี้ยวเล็กน้อย ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่น ใบอ่อนมีขนทั้ง ๒ ด้าน ใบแก่มักมีขนตามเส้นแขนงใบและเส้นกลางใบ เส้นแขนงใบมี ๕-๙ คู่เป็นร่องส่วนบนของใบ ก้านใบยาว ๑-๑.๕ เซนติเมตรดอก ช่อดอกสั้น ออกห้อยรวมกันบนกิ่งเหนือรอยแผลใบ ช่อหนึ่งมี ๓-๖ ดอก ดอกอ่อนสีเขียว แก่สีเหลือง มีกลิ่นหอม ก้านดอกยาว ๒-๕ เซนติเมตร กลีบเลี้ยง ๓ กลีบ สีเขียว รูปสามเหลี่ยมขนาด ๕ มิลลิเมตร ปลายกลีบกระดกขึ้น กลีบดอกเรียงสลับกัน๒ ชั้น ๆ ละ ๓ กลีบ แต่ละกลีบรูปขอบขนานปลายแหลมขอบกลีบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย กลีบชั้นในแคบกว่าชั้นนอกโคนกลีบด้านในสีม่วงอมน้ ําตาล เส้นผ่านศูนย์กลางของดอก ๔-๖เซนติเมตร เกสรเพศผู้มีจํานวนมาก เกสรเพศเมียมีหลายอันผล ผลกลุ่ม ก้านช่อผลยาว ๒-๒.๕ เซนติเมตร มีผลย่อย ๕-๑๒ผล ก้านผลยาว ๑.๒-๑.๘ เซนติเมตร รูปกลมรี กว้าง ๑-๑.๕เซนติเมตร ยาว ๑.๕-๒.๕ เซนติเมตร ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกสีดําแต่ละผลมี ๒-๑๐ เมล็ดลักษณะเด่น เปลือกมีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว มีรอยแผลใบขนาดใหญ่กระจายอยู่ทั่วไป กิ่งตั้งฉากกับลําต้น ปลายย้อยลู่ลง กลีบดอกเรียงสลับกัน ๒ ชั้น ๆ ละ ๓ กลีบ ดอกมีกลิ่นความสําคัญของพันธุ์ไม้ -ช่วงการออกดอกและติดผล ออกดอกตลอดปี แต่มีดอกดกในช่วงฤดูแล้งจนถึงต้นฤดูฝน ดอกบาน ๒-๓ วันแล้วร่วง ส่งกลิ่นหอมตลอดช่วงกลางวันและหอมแรงขึ้นในช่วงใกล้พลบค่ํา (ปิยะเฉลิมกลิ่น, ๒๕๕๑) ส่วนมากจะมีผลแก่เดือนมิถุนายน (ปิยะเฉลิมกลิ่น, ๒๕๔๘)การปลูกและการดูแล ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ต้นที่มีความสูงประมาณ ๑ เมตร ควรปลูกลงแปลงกลางแจ้งเป็นต้นเดี ่ยวหรือปลูกเป็นแถวริมถนนให้ต้นห่างกัน ๕-๖ เมตร ปักหลักและผูกยึดป้องกันลมพัดโยก แต่ละต้นจะมีทรงพุ่มสวยงามและออกดอกดก คอยตัดแต่งกิ่งยอดที่มากเกินไป จะช่วยให้ทรงพุ่มโปร่งและกิ่งไม่ฉีกหัก การปลูกชิดกันเกินไปจะทําให้ต้นสูงชะลูดทรงพุ่มเบียดกัน และออกดอกได้น้อย ชอบแสงแดดตลอดวันขึ้นได้ดีในดินร่วน ต้องการน้ําปานกลาง (ปิยะ เฉลิมกลิ่น, ๒๕๕๑)ประโยชน์ทั่วไป ปลูกเป็นไม้ประดับและพืชสมุนไพร (ปิยะเฉลิมกลิ่น, ๒๕๔๘) สรรพคุณทางสมุนไพร ราก คุมกําเนิด เปลือกรักษามะเร็งเพลิง เนื้อไม้ รักษาโรคปัสสาวะพิการ ใบ รักษาโรคผิวหนัง แก้คัน ดอก แก้ลมวิงเวียน แก้ไข้ แก้อ่อนเพลีย บํารุงโลหิตบํารุงธาตุ บํารุงหัวใจ (พงษ์ศักดิ์ พลเสนา, ๒๕๕๐ ข)ประโยชน์ด้านการลดมลพิษและข้อมูลอื ่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง-
- Page 25 and 26: ๒ - ๒๕๒) ผักบุ
- Page 27 and 28: ๒ - ๔๒๒๙) ตะขบฝ
- Page 29 and 30: ๒ - ๖๒๕) แสมดํา
- Page 31 and 32: ๒ - ๘๒๕) ดองดึง
- Page 33 and 34: ๒ - ๑๐๒.๒.๒ พรร
- Page 35 and 36: ๒ - ๑๒ผลการจํ
- Page 37 and 38: ๒ - ๑๔๑๐) ยางแด
- Page 39 and 40: ๒ - ๑๖๑๑๒) เตยท
- Page 41 and 42: ๒ - ๑๘๓๑) มะค่า
- Page 43 and 44: ๒ - ๒๐๑๙) ทรงบา
- Page 45 and 46: ๒ - ๒๒๑.๔) ไมที
- Page 47 and 48: ๒ - ๒๔๒๒) ถั่วด
- Page 49 and 50: ๒ - ๒๖๔๐) มะเม่
- Page 51 and 52: ๒ - ๒๘๗) ยางกล่
- Page 53 and 54: ๒ - ๓๐๑๖) ยมหอม
- Page 55 and 56: ๒ - ๓๒๒.๓.๒ ไม้
- Page 57 and 58: ๒ - ๓๔พันธุ์ไ
- Page 59 and 60: ๓ - ๒พันธุไม ช
- Page 61 and 62: ๓ - ๔พันธุไม ช
- Page 63 and 64: ๓ - ๖พันธุไม ช
- Page 65 and 66: ๓ - ๘พันธุ์ไม
- Page 67 and 68: ๓ - ๑๐พันธุไม
- Page 69 and 70: ๔ - ๒๑. รางจืดช
- Page 71 and 72: ชื่อพฤกษศาส
- Page 73 and 74: ๔ - ๖๓. มะม่วงช
- Page 75: ๔ - ๘๔. การเวกช
- Page 79 and 80: ๔ - ๑๒๖. อโศกอิ
- Page 81 and 82: ๔ - ๑๔๗. แคทะเล
- Page 83 and 84: ๔ - ๑๖๘. แคแสดช
- Page 85 and 86: ๔ - ๑๘๙. สนทะเล
- Page 87 and 88: ๔ - ๒๐๑๐. กระจู
- Page 89 and 90: ๔ - ๒๒๑๑. ยางนา
- Page 91 and 92: ๔ - ๒๔๑๒. เหียง
- Page 93 and 94: ๔ - ๒๖๑๓. ยางแด
- Page 95 and 96: ่๔ - ๒๘๑๔. ตะเค
- Page 97 and 98: ๔ - ๓๐๑๕. สบูดํ
- Page 99 and 100: ๔ - ๓๒๑๖. ขันทอ
- Page 101 and 102: ๔ - ๓๔๑๗. ก่อขี
- Page 103 and 104: ๔ - ๓๖๑๘. รักทะ
- Page 105 and 106: ๔ - ๓๘๑๙. ตังหน
- Page 107 and 108: ๔ - ๔๐๒๐. กระทิ
- Page 109 and 110: ๔ - ๔๒๒๑. ชะมวง
- Page 111 and 112: ์๔ - ๔๔๒๒. ซ้อช
- Page 113 and 114: ๔ - ๔๖๒๓. กระโด
- Page 115 and 116: ๔ - ๔๘๒๔. มะค่า
- Page 117 and 118: ๔ - ๕๐๒๕. ฝางชื
- Page 119 and 120: ๔ - ๕๒๒๖. ราชพฤ
- Page 121 and 122: ่้่๔ - ๕๔๒๗. หล
- Page 123 and 124: ๔ - ๕๖๒๘. นนทรี
- Page 125 and 126: ๔ - ๕๘๒๙. โสกน้
๔ - ๑๐๕. กระดังงาไทย (สะบันงาต้น)ชื่อพฤกษศาสตร์ Cananga odorata (Lam.) Hook. f. & Thomsonvar. odorataชื่อวงศ์ ANNONACEAEชื่อพื้นเมือง กระดังงา (ตรัง ยะลา) กระดังงาใบใหญ่ กระดังงาใหญ่(ภาคกลาง) สะบันงา สะบันงาต้น (ภาคเหนือ)ชื่อสามัญ -นิเวศวิทยาและการกระจายพันธุ์ ในป่าดิบทางภาคใต้ตอนล่างและมีปลูกทั่วไปในประเทศไทย มีเขตการกระจายพันธุ์ในเอเชียเขตร้อน ต่างประเทศพบที่แถบอินโดจีน มาเลเซีย และออสเตรเลียลักษณะทั่วไปและลักษณะเด่น ไม้ต้นขนาดกลาง สูง ๑๐-๒๐เมตร ผลัดใบ ทรงพุ่มกรวยแหลม เปลือกสีเทา มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว มีรอยแผลใบขนาดใหญ่กระจายอยู่ทั่วไป กิ่งตั้งฉากกับลําต้น ปลายย้อยลู่ลง กิ่งอ่อนมีขน กิ่งแก่ค่อนข้างเรียบใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปรีหรือรูปไข่ยาว กว้าง ๔-๗ เซนติเมตรยาว ๙-๒๐ เซนติเมตร ปลายแหลม โคนมนหรือเว้าและเบี้ยวเล็กน้อย ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่น ใบอ่อนมีขนทั้ง ๒ ด้าน ใบแก่มักมีขนตามเส้นแขนงใบและเส้นกลางใบ เส้นแขนงใบมี ๕-๙ คู่เป็นร่องส่วนบนของใบ ก้านใบยาว ๑-๑.๕ เซนติเมตรดอก ช่อดอกสั้น ออกห้อยรวมกันบนกิ่งเหนือรอยแผลใบ ช่อหนึ่งมี ๓-๖ ดอก ดอกอ่อนสีเขียว แก่สีเหลือง มีกลิ่นหอม ก้านดอกยาว ๒-๕ เซนติเมตร กลีบเลี้ยง ๓ กลีบ สีเขียว รูปสามเหลี่ยมขนาด ๕ มิลลิเมตร ปลายกลีบกระดกขึ้น กลีบดอกเรียงสลับกัน๒ ชั้น ๆ ละ ๓ กลีบ แต่ละกลีบรูปขอบขนานปลายแหลมขอบกลีบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย กลีบชั้นในแคบกว่าชั้นนอกโคนกลีบด้านในสีม่วงอมน้ ําตาล เส้นผ่านศูนย์กลางของดอก ๔-๖เซนติเมตร เกสรเพศผู้มีจํานวนมาก เกสรเพศเมียมีหลายอันผล ผลกลุ่ม ก้านช่อผลยาว ๒-๒.๕ เซนติเมตร มีผลย่อย ๕-๑๒ผล ก้านผลยาว ๑.๒-๑.๘ เซนติเมตร รูปกลมรี กว้าง ๑-๑.๕เซนติเมตร ยาว ๑.๕-๒.๕ เซนติเมตร ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกสีดําแต่ละผลมี ๒-๑๐ เมล็ดลักษณะเด่น เปลือกมีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว มีรอยแผลใบขนาดใหญ่กระจายอยู่ทั่วไป กิ่งตั้งฉากกับลําต้น ปลายย้อยลู่ลง กลีบดอกเรียงสลับกัน ๒ ชั้น ๆ ละ ๓ กลีบ ดอกมีกลิ่นความสําคัญของพันธุ์ไม้ -ช่วงการออกดอกและติดผล ออกดอกตลอดปี แต่มีดอกดกในช่วงฤดูแล้งจนถึงต้นฤดูฝน ดอกบาน ๒-๓ วันแล้วร่วง ส่งกลิ่นหอมตลอดช่วงกลางวันและหอมแรงขึ้นในช่วงใกล้พลบค่ํา (ปิยะเฉลิมกลิ่น, ๒๕๕๑) ส่วนมากจะมีผลแก่เดือนมิถุนายน (ปิยะเฉลิมกลิ่น, ๒๕๔๘)การปลูกและการดูแล ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ต้นที่มีความสูงประมาณ ๑ เมตร ควรปลูกลงแปลงกลางแจ้งเป็นต้นเดี ่ยวหรือปลูกเป็นแถวริมถนนให้ต้นห่างกัน ๕-๖ เมตร ปักหลักและผูกยึดป้องกันลมพัดโยก แต่ละต้นจะมีทรงพุ่มสวยงามและออกดอกดก คอยตัดแต่งกิ่งยอดที่มากเกินไป จะช่วยให้ทรงพุ่มโปร่งและกิ่งไม่ฉีกหัก การปลูกชิดกันเกินไปจะทําให้ต้นสูงชะลูดทรงพุ่มเบียดกัน และออกดอกได้น้อย ชอบแสงแดดตลอดวันขึ้นได้ดีในดินร่วน ต้องการน้ําปานกลาง (ปิยะ เฉลิมกลิ่น, ๒๕๕๑)ประโยชน์ทั่วไป ปลูกเป็นไม้ประดับและพืชสมุนไพร (ปิยะเฉลิมกลิ่น, ๒๕๔๘) สรรพคุณทางสมุนไพร ราก คุมกําเนิด เปลือกรักษามะเร็งเพลิง เนื้อไม้ รักษาโรคปัสสาวะพิการ ใบ รักษาโรคผิวหนัง แก้คัน ดอก แก้ลมวิงเวียน แก้ไข้ แก้อ่อนเพลีย บํารุงโลหิตบํารุงธาตุ บํารุงหัวใจ (พงษ์ศักดิ์ พลเสนา, ๒๕๕๐ ข)ประโยชน์ด้านการลดมลพิษและข้อมูลอื ่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง-