ฉบับวิชาการ - สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ฉบับวิชาการ - สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฉบับวิชาการ - สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
๔ - ๑บทที่ ๔ ภาพตัวอยางพันธุไมและลักษณะของชนิดพันธุการจัดทําภาพถายตัวอยางพันธุไมและคําอธิบายลักษณะของชนิดพันธุ มีวัตถุประสงคหลักเพื่อเปนขอมูลเพิ่มเติม สําหรับประกอบการตัดสินใจคัดเลือกพันธุไมไปประยุกตใชประโยชนใหตรงตามเปาหมายที่ตองการ ในขั้นตอนนี้ ไดพิจารณาคัดเลือกพันธุไมจํานวน ๕๑ ชนิด จากทั้งหมด ๒๓๒ ชนิด โดยเลือกพันธุไมที ่ผูทรงคุณวุฒิและปราชญชาวบานมักกลาวเนนถึงคุณลักษณะ และบางสวนเปนพันธุไมที่สามารถพบเห็นกันโดยไมยากนัก ทั้งนี้ มิไดหมายความวาพันธุไมจํานวน ๕๑ ชนิด ดังกลาวนี้ มีศักยภาพดานการลดมลพิษดีกวาหรือมากกวาพันธุไมอื่นที่มิไดถูกคัดเลือกมาจัดทําภาพถายภาพถายตัวอยางพันธุไมดังกลาว ประกอบดวยภาพลักษณะทรงพุม * ลําตน ใบ ดอก และผล รวมทั้งสวนอื่นที่เปนเอกลักษณของพันธุไมนั้น ๆ พรอมนี้ ไดนําเสนอขอมูล ไดแก ชื ่อพฤกษศาสตรชื ่อพื ้นเมืองและชื ่อสามัญ นิเวศวิทยาและการกระจายพันธุ ** ลักษณะทั่วไปและลักษณะเดน ความสําคัญของพันธุไม ชวงเวลาของการออกดอกและติดผล การปลูกและการดูแล ประโยชนทั่วไป และประโยชนดานการลดมลพิษและขอมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวของ ภาพถายสวนใหญมาจากพื้นที่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา (โดยเฉพาะจากสวนพฤกษศาสตรภาคตะวันออก (เขาหินซอน)) บางสวนมาจากพื้นที่ในจังหวัดระยอง และจันทบุรีการถายภาพโดยสวนใหญอยูในชวงเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ในบางกรณีที่ไมสามารถถายภาพได เนื่องจากเปนชวงฤดูกาลที่พันธุไมนั้นไมออกดอกหรือผล ไดใชภาพถายจากแหลงอื่นทดแทน---------------------------------------* รายละเอียดลักษณะทรงพุมของพันธุไมและการนําไปใชงานในลักษณะตาง ๆ (landscape uses) สามารถคนควาเพิ่มเติมไดจาก เอื ้อมพร วีสมหมาย และคณะ, ๒๕๔๑ และ เอื้อมพร วีสมหมาย และคณะ, ๒๕๔X.)** “ภาคพื้นที่” ที่กลาวถึงในหัวขอนิเวศวิทยาและการกระจายพันธุ เปนภาคตามลักษณะทางพฤกษภูมิศาสตรซึ่งอางอิงในหนังสือ พรรณพฤกษชาติของประเทศไทย (Flora of Thailand) (สมราน สุดดี, ๒๕๕๕ ข)
๔ - ๒๑. รางจืดชื่อพฤกษศาสตร์ Thunbergia laurifolia Lindl.ชื่อวงศ์ ACANTHACEAEชื่อพื้นเมือง กําลังช้างเผือก ขอบชะนาง เครือเขาเขียว จางจืดยาเขียว (ภาคกลาง) คาย รางเย็น (ยะลา) ดุเหว่า (ปัตตานี) ทิดพุด(นครศรีธรรมราช) น้ํานอง (สระบุรี) ย่ําแย้ แอดแอ (เพชรบูรณ์)ชื่อสามัญ -นิเวศวิทยาและการกระจายพันธุ์ ขึ้นตามชายป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้ง จนถึงที่ความสูงจากระดับน้ําทะเล ๘๐๐ เมตรในประเทศไทยกระจายห่าง ๆ ทุกภูมิภาค พบมากทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ ต่างประเทศพบที ่พม่าและมาเลเซียลักษณะทั่วไปและลักษณะเด่น ไม้เถาเนื้อแข็งใบ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรี รูปไข่ รูปขอบขนาน หรือรูปใบหอกบางครั้งแผ่นใบช่วงล่างหยักเป็นพูตื้น ๆ ยาว ๔-๑๘ เซนติเมตรปลายแหลมหรือแหลมยาว โคนกลม ตัด รูปหัวใจ หรือคล้ายลูกศรขอบใบเรียบหรือจักซี่ฟันตื้นห่าง ๆ แผ่นใบเกลี้ยง เส้นโคนใบส่วนมากมี ๕ เส้น ก้านใบยาวได้ประมาณ ๖ เซนติเมตรดอก ช่อดอกแบบช่อกระจะ ออกที่ซอกใบหรือปลายกิ่ง ยาวได้ประมาณ ๓๐ เซนติเมตร แต่ละกระจุกมีประมาณ ๔ ดอกหรือมากกว่า ใบประดับย่อยหุ้มกลีบเลี้ยง รูปขอบขนาน ยาวได้ประมาณ ๓ เซนติเมตร กลีบเลี้ยงรูปถ้วยขนาดเล็ก ขอบเกือบเรียบ มีต่อมน้ําต้อยตามขอบ ดอกรูปแตรสีม่วงอมน้ําเงินหรือสีขาวภายในหลอดกลีบมีสีครีมหรือเหลือง หลอดกลีบดอกยาว ๓-๕เซนติเมตร บานออกช่วงปลาย กลีบดอก ๕ กลีบ กลีบกลมหรือรูปไข่กว้าง เกสรเพศผู้ ๔ อัน ติดที่โคนหลอดกลีบ แยกเป็น ๒ คู่สั้นสอง ยาวสอง ไม่ยื่นเลยปากหลอดกลีบดอก รังไข่รูปกรวยเกลี้ยง ก้านเกสรเพศเมียเรียวยาว ยาวกว่าเกสรเพศผู้ ยอดเกสรแผ่ออกคล้ายรูปแตรผล แบบแคปซูล กลม ๆ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑.๕ เซนติเมตรปลายมีจะงอย แตกอ้าออก เมล็ด ๒ เมล็ดในแต่ละซีกลักษณะเด่น ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม ดอกสมบูรณ์เพศ กลีบดอกโคนเชื่อมติดกัน ปลายมี ๕ กลีบ เกสรเพศผู้ ๔ อัน สั้นสองยาวสอง (ก่องกานดา ชยามฤต, ๒๕๔๘)ความสําคัญของพันธุ์ไม้ -ช่วงการออกดอกและติดผล ออกดอกเดือนพฤศจิกายนถึงมกราคมติดผลเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมการปลูกและการดูแล ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดและปักชํานิยมขยายพันธุ์โดยวิธีการปักชํา โดยจะตัดลําต้นที่มีตาติดอยู่ ๕-๖ตา ยาวประมาณ ๒๐-๓๐ เซนติเมตร มาปักชํา หรือใช้เมล็ดแก่คือประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม ให้เก็บเมล็ดรางจืดมาตั้งแต่ฝักยังไม่แตก แล้วนํามาใส่ในกระด้ง เพื่อป้องกันเมล็ดรางจืดแตกกระเด็นอัตราการใช้เมล็ดรางจืดต่อไร่ มีคําแนะนําให้ใช้อัตราต่อไร่ ประมาณ๓,๐๐๐-๕,๐๐๐ ตัน/ไร่ (สถาบันวิจัยสมุนไพร, ๒๕๕๓) การเตรียมดินปลูก ให้ขุดหลุมขนาด ๕๐x๕๐x๓๐ เซนติเมตร ระยะปลูก ๑x๑ เมตรตากดินไว้ประมาณ ๑ สัปดาห์ ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักรองก้นหลุมก่อนทําการปลูก ควรทําค้างปลูกอาจใช้ค้างปูนหรือค้างไม้ก็ได้ค้างรางจืดควรมีขนาดใหญ่ เนื่องจากรางจืดเป็นไม้เถาขนาดกลางและมีการเจริญเติบโตเร็ว การปลูกรางจืด จะปลูกในช่วงฤดูฝนประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม โดยปักชําในหลุมที ่เตรียมไว้หลุมละ๒-๓ ต้น กลบดินและกลบโคนให้แน่น และพรางแสงด้วยทางมะพร้าวหรือวัสดุอื่น เพื่อป้องกันการคายน้ําซึ่งอาจทําให้ต้นที่ปักชําตายได้ง่าย จากนั้นรดน้ําให้ชุ่มสม่ําเสมอจนกว่าจะแตกใบใหม่ ถ้ามีการเพาะชําใส่ถุงภายในโรงเรือนจะได้ต้นใหม่ที่มีความแข็งแรงและสะดวกในการปลูกลงแปลงปลูกมากกว่า แต่ไม่นิยมใช้วิธีนี้ เนื่องจากรางจืดเป็นพืชที ่ขยายพันธุ์ได้ง่ายและมีในธรรมชาติบริเวณนั้นจํานวนมากการดูแลรักษา รางจืดต้องการการดูแลรักษาและให้น้ําในช่วงเริ่มปลูกมากกว่าช่วงอื่น ๆ หลังจากนั้นมีการให้น้ําบ้างในช่วงฤดูแล้ง กําจัดวัชพืชบ้างเป็นครั้งคราว ให้ปุ๋ยอินทรีย์ (สถาบันวิจัยสมุนไพร, ๒๕๕๓)ประโยชน์ทั่วไป ปลูกเป็นไม้ประดับ สรรพคุณทางสมุนไพร ใช้ถอนพิษต่าง ๆ ในร่างกาย แก้ผื่นคันจากอาการแพ้ต่างๆ และถอนพิษจากการปวดแสบปวดร้อนจากแผลไฟไหม้น้ําร้อนลวก แต่ไม่เหมาะสําหรับผู้ที่มีโรคประจําตัวต้องกินยาเป็นประจํา เพราะจะทําให้ประสิทธิภาพของยาลดลง สรรพคุณทางสมุนไพร ราก แก้อักเสบ แก้ปวดบวมราก เถาและใบ ถอนพิษเบื่อเมา แก้เมาค้าง แก้ประจําเดือนไม่ปกติแก้ปวดหู แก้ปวดบวม แก้ไข้ ใบ ถอนพิษทั้งปวง (พงษ์ศักดิ์ พลเสนา,๒๕๕๐ ข)ประโยชน์ด้านการลดมลพิษและข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง-
- Page 18: ฏสารบัญตารา
- Page 21 and 22: ่๑ - ๒๑.๒.๒ ประ
- Page 23 and 24: ๑ - ๔๒) การปลูก
- Page 25 and 26: ๒ - ๒๕๒) ผักบุ
- Page 27 and 28: ๒ - ๔๒๒๙) ตะขบฝ
- Page 29 and 30: ๒ - ๖๒๕) แสมดํา
- Page 31 and 32: ๒ - ๘๒๕) ดองดึง
- Page 33 and 34: ๒ - ๑๐๒.๒.๒ พรร
- Page 35 and 36: ๒ - ๑๒ผลการจํ
- Page 37 and 38: ๒ - ๑๔๑๐) ยางแด
- Page 39 and 40: ๒ - ๑๖๑๑๒) เตยท
- Page 41 and 42: ๒ - ๑๘๓๑) มะค่า
- Page 43 and 44: ๒ - ๒๐๑๙) ทรงบา
- Page 45 and 46: ๒ - ๒๒๑.๔) ไมที
- Page 47 and 48: ๒ - ๒๔๒๒) ถั่วด
- Page 49 and 50: ๒ - ๒๖๔๐) มะเม่
- Page 51 and 52: ๒ - ๒๘๗) ยางกล่
- Page 53 and 54: ๒ - ๓๐๑๖) ยมหอม
- Page 55 and 56: ๒ - ๓๒๒.๓.๒ ไม้
- Page 57 and 58: ๒ - ๓๔พันธุ์ไ
- Page 59 and 60: ๓ - ๒พันธุไม ช
- Page 61 and 62: ๓ - ๔พันธุไม ช
- Page 63 and 64: ๓ - ๖พันธุไม ช
- Page 65 and 66: ๓ - ๘พันธุ์ไม
- Page 67: ๓ - ๑๐พันธุไม
- Page 71 and 72: ชื่อพฤกษศาส
- Page 73 and 74: ๔ - ๖๓. มะม่วงช
- Page 75 and 76: ๔ - ๘๔. การเวกช
- Page 77 and 78: ๔ - ๑๐๕. กระดัง
- Page 79 and 80: ๔ - ๑๒๖. อโศกอิ
- Page 81 and 82: ๔ - ๑๔๗. แคทะเล
- Page 83 and 84: ๔ - ๑๖๘. แคแสดช
- Page 85 and 86: ๔ - ๑๘๙. สนทะเล
- Page 87 and 88: ๔ - ๒๐๑๐. กระจู
- Page 89 and 90: ๔ - ๒๒๑๑. ยางนา
- Page 91 and 92: ๔ - ๒๔๑๒. เหียง
- Page 93 and 94: ๔ - ๒๖๑๓. ยางแด
- Page 95 and 96: ่๔ - ๒๘๑๔. ตะเค
- Page 97 and 98: ๔ - ๓๐๑๕. สบูดํ
- Page 99 and 100: ๔ - ๓๒๑๖. ขันทอ
- Page 101 and 102: ๔ - ๓๔๑๗. ก่อขี
- Page 103 and 104: ๔ - ๓๖๑๘. รักทะ
- Page 105 and 106: ๔ - ๓๘๑๙. ตังหน
- Page 107 and 108: ๔ - ๔๐๒๐. กระทิ
- Page 109 and 110: ๔ - ๔๒๒๑. ชะมวง
- Page 111 and 112: ์๔ - ๔๔๒๒. ซ้อช
- Page 113 and 114: ๔ - ๔๖๒๓. กระโด
- Page 115 and 116: ๔ - ๔๘๒๔. มะค่า
- Page 117 and 118: ๔ - ๕๐๒๕. ฝางชื
๔ - ๑บทที่ ๔ ภาพตัวอยางพันธุไมและลักษณะของชนิดพันธุการจัดทําภาพถายตัวอยางพันธุไมและคําอธิบายลักษณะของชนิดพันธุ มีวัตถุประสงคหลักเพื่อเปนขอมูลเพิ่มเติม สําหรับประกอบการตัดสินใจคัดเลือกพันธุไมไปประยุกตใชประโยชนใหตรงตามเปาหมายที่ตองการ ในขั้นตอนนี้ ไดพิจารณาคัดเลือกพันธุไมจํานวน ๕๑ ชนิด จากทั้งหมด ๒๓๒ ชนิด โดยเลือกพันธุไมที ่ผูทรงคุณวุฒิและปราชญชาวบานมักกลาวเนนถึงคุณลักษณะ และบางสวนเปนพันธุไมที่สามารถพบเห็นกันโดยไมยากนัก ทั้งนี้ มิไดหมายความวาพันธุไมจํานวน ๕๑ ชนิด ดังกลาวนี้ มีศักยภาพดานการลดมลพิษดีกวาหรือมากกวาพันธุไมอื่นที่มิไดถูกคัดเลือกมาจัดทําภาพถายภาพถายตัวอยางพันธุไมดังกลาว ประกอบดวยภาพลักษณะทรงพุม * ลําตน ใบ ดอก และผล รวมทั้งสวนอื่นที่เปนเอกลักษณของพันธุไมนั้น ๆ พรอมนี้ ไดนําเสนอขอมูล ไดแก ชื ่อพฤกษศาสตรชื ่อพื ้นเมืองและชื ่อสามัญ นิเวศวิทยาและการกระจายพันธุ ** ลักษณะทั่วไปและลักษณะเดน ความสําคัญของพันธุไม ชวงเวลาของการออกดอกและติดผล การปลูกและการดูแล ประโยชนทั่วไป และประโยชนดานการลดมลพิษและขอมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวของ ภาพถายสวนใหญมาจากพื้นที่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา (โดยเฉพาะจากสวนพฤกษศาสตรภาคตะวันออก (เขาหินซอน)) บางสวนมาจากพื้นที่ในจังหวัดระยอง และจันทบุรีการถายภาพโดยสวนใหญอยูในชวงเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ในบางกรณีที่ไมสามารถถายภาพได เนื่องจากเปนชวงฤดูกาลที่พันธุไมนั้นไมออกดอกหรือผล ไดใชภาพถายจากแหลงอื่นทดแทน---------------------------------------* รายละเอียดลักษณะทรงพุมของพันธุไมและการนําไปใชงานในลักษณะตาง ๆ (landscape uses) สามารถคนควาเพิ่มเติมไดจาก เอื ้อมพร วีสมหมาย และคณะ, ๒๕๔๑ และ เอื้อมพร วีสมหมาย และคณะ, ๒๕๔X.)** “ภาคพื้นที่” ที่กลาวถึงในหัวขอนิเวศวิทยาและการกระจายพันธุ เปนภาคตามลักษณะทางพฤกษภูมิศาสตรซึ่งอางอิงในหนังสือ พรรณพฤกษชาติของประเทศไทย (Flora of Thailand) (สมราน สุดดี, ๒๕๕๕ ข)