AG-Bio Vol 002.indd - ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร - มหาวิทยาลัย ...
AG-Bio Vol 002.indd - ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร - มหาวิทยาลัย ...
AG-Bio Vol 002.indd - ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร - มหาวิทยาลัย ...
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
ปที่ 2 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน พ.ศ. 2553<br />
<strong>Vol</strong>. 2 No. 2 April - June 2010<br />
สัมภาษณ์พิเศษ<br />
การอารักขาพืชระหว่างประเทศ<br />
ตามมาตรการสุขอนามัยพืช<br />
ผลงานเด่น<br />
พืชปลอดโรค<br />
และอาหารปลอดภัย<br />
คุยกับ ผอ.<br />
ศัตรูพืช และความมั่นคงด้านอาหาร<br />
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร<br />
สำนักพัฒนาบัณฑิตศึกษาและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี<br />
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา<br />
เรื่องน่ารู้ Ag<strong>Bio</strong>tech<br />
เทคนิคอณูชีววิทยากับมาตรฐาน<br />
มาตรการสุขอนามัยพืชระหว่างประเทศ<br />
<strong>AG</strong>-<strong>Bio</strong> <strong>Vol</strong> <strong>002.indd</strong> 1<br />
7/20/10 11:31:14 PM
สารบัญ<br />
04 10<br />
04 คุยกับ ผอ. :<br />
ศัตรูพืช<br />
และความมั่นคงด้านอาหาร<br />
06 ผลงานเด่น :<br />
พืชปลอดโรคและอาหารปลอดภัย<br />
08<br />
08 แนะนำสถาบัน :<br />
สถาบันภาคีของศูนย์ความเป็นเลิศ<br />
เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร<br />
<strong>มหาวิทยาลัย</strong>สงขลานครินทร์<br />
10 สัมภาษณ์พิเศษ :<br />
“การอารักขาพืชระหว่างประเทศ<br />
ตามมาตรการสุขอนามัยพืช”<br />
13 PERDO TODAY :<br />
ความเป็นเอตทัคคะทางวิชาการ<br />
ของศูนย์ความเป็นเลิศ<br />
14 เรื่องน่ารู้ Ag<strong>Bio</strong>tech :<br />
เทคนิคอณูชีววิทยากับมาตรฐาน<br />
มาตรการสุขอนามัยพืชระหว่าง<br />
ประเทศ<br />
14<br />
19<br />
18 Ag<strong>Bio</strong>tech Hot News :<br />
ชีวิต (ใกล้จะ) สังเคราะห์ได้?<br />
20 ข่าวกิจกรรม<br />
ติดต่อขอรับข่าวสารฯ ได้ที่<br />
หน่วยประสานงาน : <strong>ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร</strong><br />
ตู้ ปณฝ. 1028 <strong>มหาวิทยาลัย</strong>เกษตรศาสตร์ บางเขน จตุจักร กรุงเทพฯ 10903<br />
สำนักงาน : บางเขน<br />
อาคารพิพิธภัณฑ์แมลง 60 ปี <strong>มหาวิทยาลัย</strong>เกษตรศาสตร์ บางเขน จตุจักร กรุงเทพฯ 10900<br />
โทรศัพท์ 0 2942 8361, 0 2942 7133 โทรสาร 0 2942 8258<br />
สำนักงาน : กำแพงแสน<br />
ชั้น 1 อาคารปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร <strong>มหาวิทยาลัย</strong>เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน<br />
จ.นครปฐม 73140 โทรศัพท์ 0 3428 2494 ถึง 7 โทรสาร 0 3428 2498<br />
www.cab.kps.ku.ac.th<br />
0<br />
บทความและข้อความที่ตีพิมพ์ในข่าวสารเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร เป็นความคิดเห็นส่วนตัวและลิขสิทธิ์ของผู้เขียน<br />
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร ไม่มีส่วนรับผิดชอบหรือผูกพันอย่างใด ข้อมูลบางส่วนอาจตีพิมพ์<br />
ผิดพลาด ศูนย์ฯ ยินดีแก้ไขให้ในฉบับต่อไป<br />
<strong>AG</strong>-<strong>Bio</strong> <strong>Vol</strong> <strong>002.indd</strong> 2<br />
7/20/10 11:31:31 PM
คุยกับบรรณาธิการ<br />
คณะที่ปรึกษา<br />
พงศ์เทพ อัครธนกุล<br />
วิชัย โฆสิตรัตน<br />
จุลภาค คุ้นวงศ์<br />
พิศาล ศิริธร<br />
พิทยา สรวมศิริ<br />
วัฒนาลัย ปานบ้านเกร็ด<br />
สุมิตรา ภู่วโรดม<br />
เสริมศิริ จันทร์เปรม<br />
พีระศักดิ์ ศรีนิเวศน์<br />
สุนทรี ยิ่งชัชวาลย์<br />
จรัสศรี นวลศรี<br />
ประวิตร พุทธานนท์<br />
ปิยะดา ตันตสวัสดิ์<br />
พจมาลย์ สุรนิลพงศ์<br />
ดุจฤดี ปานพรหมมินทร์<br />
บรรณาธิการ<br />
สุจินต์ ภัทรภูวดล<br />
ผู้ช่วยบรรณาธิการ<br />
จุฑาเทพ วัชระไชยคุปต์<br />
อรอุบล ชมเดช<br />
กองบรรณาธิการ<br />
จริยา หมื่นแก้ว<br />
ชิตพันธุ์ คติวัฒน์<br />
นุช ศตคุณ<br />
เนตรนภา ปัญญามูล<br />
พรทิพย์ ทองคำ<br />
พรรณทิพย์ กาญจนอุดมการ<br />
พัชรินทร์ จูมี<br />
ศรัณย์พร ทิวจิรกุล<br />
ศรุชา เสนกันหา<br />
สุคณา ศรีทับ<br />
อมรรัตน์ จันทนาอรพินท์<br />
อรอุษา ลาวินิจ<br />
อัญชนา อินทรกำแหง<br />
อัญชลี วงษา<br />
นย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร ได้จัดทำข่าวสาร<br />
เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร เป็นฉบับที่ 6 แล้ว ขอขอบคุณท่านผู้อ่านที่ติดตาม<br />
ข่าวสารของเรามาโดยตลอด และต้องขออภัยท่านผู้อ่านที่เราไม่ได้จัดส่งข่าวสาร<br />
ไปให้ เนื่องจากเราจัดพิมพ์ไว้จำนวนจำกัด อย่างไรก็ตาม ศูนย์ฯ ได้รวบรวม<br />
ข่าวสารทุกฉบับให้ท่านอ่านย้อนหลังได้ที่เว็บไซต์ http://www.cab.kps.ku.ac.th<br />
ข่าวสารฉบับนี้พาท่านส่องกล้องลงไปตามหาเชื้อโรคร้ายที่แย่งกินแย่งใช้<br />
ผลผลิตทางการเกษตรกับมนุษย์ เมื่อเราก้าวสู่กระแสโลกาภิวัตน์และการค้า<br />
เสรีทำให้โลกไม่มีพรมแดน ทั้งมนุษย์และเชื้อโรคต่างย้ายถิ่นฐานกันชั่วข้ามคืน<br />
กลายเป็น Global Citizen ทั้งคนทั้งเชื้อโรค ทำให้การระบาดของโรคพืชใน<br />
ประเทศใดประเทศหนึ่งกลับกลายเป็นปัญหาของคนทั้งโลกไปเสียแล้ว<br />
ประเทศไทยมีความพร้อมแค่ไหนในการรับมือกับผู้อพยพที่ไม่ได้รับเชิญเหล่านี้<br />
เราจะได้ติดตามกันในส่วนของคอลัมน์สัมภาษณ์พิเศษจากผู้รับผิดชอบโดยตรง<br />
ของกรมวิชาการเกษตร<br />
ผลงานเด่นฉบับนี้นำเสนองานผลวิจัยของ ผศ.ดร.รัชนี ฮงประยูร และ<br />
นิสิตของศูนย์ฯ ที่ได้ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานบริการวิชาการให้กับสังคม<br />
เกษตรโดยที่มุ่งมั่นในการตรวจสอบพืชปลอดโรคและอาหารปลอดภัย<br />
คอลัมน์ผู้อำนวยการศูนย์ฯ ได้เล่าถึงโครงการวิจัยเชื้อโรคราสนิมข้าวสาลี<br />
ระดับนานาชาติ ซึ่งจะช่วยป้องกันให้ไม่เกิดกลียุคไปทั่วโลก นอกจากนี้ยังมี<br />
บทความที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคด้านอณูชีววิทยากับมาตรฐานมาตรการ<br />
สุขอนามัยพืชระหว่างประเทศ โดย ผศ.ดร.พิสสวรรณ เจียมสมบัติ และ<br />
รศ.ดร.วิชัย โฆสิตรัตน นำเสนอข่าว Ag<strong>Bio</strong>tech-Hot News งานทดลองที่<br />
อาจนำไปสู่ปรากฏการณ์พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินเรื่อง ชีวิต(ใกล้จะ)สังเคราะห์ได้?<br />
หากท่านผู้อ่านมีความประสงค์จะให้เรานำเสนอข่าวสารฯ ในหัวข้อใด<br />
ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อวงการเกษตรของไทย ขอเรียนเชิญส่ง E-mail<br />
ติดต่อมาได้เลยค่ะ เรารอรับคำแนะนำด้วยความยินดียิ่ง พบกันใหม่ฉบับหน้า<br />
สวัสดีค่ะ<br />
สุจินต์ ภัทรภูวดล<br />
agrsujp@ku.ac.th<br />
ออกแบบและจัดทำโดย<br />
บริษัท โกลด์ ฟกเกอร์ จำกัด<br />
โทรศัพท์ 0 2883 5163-4<br />
โทรสาร 0 2883 0419<br />
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร<br />
สำนักพัฒนาบัณฑิตศึกษาและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี<br />
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา<br />
03<br />
<strong>AG</strong>-<strong>Bio</strong> <strong>Vol</strong> <strong>002.indd</strong> 3<br />
7/20/10 11:31:32 PM
คุยกับ ผอ.<br />
Èัµรپת<br />
และความมั่นคงด้านอาหาร<br />
04<br />
วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งเกิดขึ้น ที่รู้สึกว่าจะรอดหูรอดตา<br />
แวดวงเกษตรของเรา ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะระยะหลังๆ เราตกข่าว ตกขบวน<br />
รถกันบ่อยๆ เรื่องที่เกิดขึ้นที่ว่า คือ การระบาดของโรค ราสนิมสายพันธุ์ใหม่<br />
ในข้าวสาลี ราสนิมสายพันธุ์ Ug99 พบระบาดออกจากประเทศอูกานดา<br />
ทวีปแอฟริกา ผ่านอียิปต์ เข้าสู่ตะวันออกกลาง กำลังกลัวกันอยู่ว่าจะเลี้ยวขึ้น<br />
ยุโรป และอาจเลี้ยวไปจีน และอินเดีย เพราะกระแสลมเป็นตัวช่วยพัดพาเชื้อนี้<br />
ให้ระบาดได้อย่างเร็วและคลุมพื้นที่กว้างขวาง ความรุนแรงของโรคนี้เขย่า<br />
สภาวะความมั่นคงทางอาหารของหลายประเทศ และอาจถึงระดับโลก<br />
ศาสตราจารย์รอนนี่ คอฟแมน นักวิชาการเกษตรอาวุโส แห่ง<strong>มหาวิทยาลัย</strong><br />
คอร์เนลล์ ผู้เคยได้รางวัล World Food Prize ท่านเป็นที่ปรึกษาของศูนย์<br />
เทคโนโลยีชีวภาพเกษตรของเรา เล่าให้ผมฟัง ความว่า ดร.นอร์แมน โบล็อก<br />
นักเกษตรรางวัลโนเบล ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตได้แสดงความเป็นห่วง และ<br />
ฝากฝังเรื่องนี้ให้ประชาคมนักวิชาการเกษตรของโลกตระหนัก สุดท้าย<br />
ดร.โบล็อก กับ ดร.คอฟแมน เสนอโครงการวิจัยแก้ปัญหาโรคราสนิมข้าว<br />
สาลีให้ มูลนิธิบิล-เมลินดา เกทส์ สนับสนุน เพื่อเอาชนะโรคสายพันธุ์<br />
มหากาฬนี้ ผมได้ข่าวมาว่ามูลนิธิฯ อนุมัติเงินวิจัยเฉพาะกิจในโครงการนี้<br />
ร่วมร้อยล้านเหรียญสหรัฐ เป็นโครงการวิจัยเกษตรขนาดยักษ์ ครอบคลุม<br />
พื้นที่หลายทวีป มี ดร.คอฟแมน เป็นหัวหน้าโครงการ ประสานงานวิจัย<br />
เดินสายทั่วโลก โดยมีศูนย์วิจัยข้าวโพดข้าวสาลีนานาชาติ (CYMMIT) และ<br />
สถาบันวิจัยเกษตรแห่งชาติ จากประเทศต่างๆ จากทุกทวีป ร่วมทีมในการวิจัย<br />
<strong>AG</strong>-<strong>Bio</strong> <strong>Vol</strong> <strong>002.indd</strong> 4<br />
7/20/10 11:32:03 PM
เรื่องนี้กำลังเกิดขึ้นไกลบ้าน แต่ผมเลือกที่จะหยิบยกมา<br />
เล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นอุทาหรณ์ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ ไม่<br />
ให้นักวิชาการเกษตรไทยตกอยู่ในความประมาท เพราะ<br />
เรื่องการระบาดของโรคพืช โรคสัตว์ แมลงศัตรูพืช และ<br />
แมลงพาหะโรค เป็นเรื่องที่ไม่เล็ก ต้องติดตามให้ดี อยู่ๆ<br />
นอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น ให้โรคระบาดมาถึงโดยไม่<br />
เตรียมตัวรับ เกิดหายนะทางเศรษฐกิจ ไร่เฉา<br />
นาล่ม สวนร้าง ฟาร์มเจง ประชากรในประเทศขาดแคลน<br />
อาหาร เกษตรกรถูกผลักจนตกขอบของความยากไร้<br />
ขึ้นมา ก็ต้องถือว่าเป็นความไม่รับผิดชอบของประชาคม<br />
วิชาการเกษตร กรณีโรค-แมลงระบาด เคยเขย่าความอยู่<br />
รอดของหมู่มวลมนุษย์มาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่อาณาจักร<br />
อียิปต์โบราณจวบจนปัจจุบัน แม้แต่ในคัมภีร์ไบเบิ้ลก็ยัง<br />
บันทึกไว้<br />
พวกที่อยู่ในวงการเกษตรรู้ดีว่าสายพันธุ์ของโรค-<br />
แมลงศัตรูพืช ศัตรูสัตว์ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่เคย<br />
คงที่อยู่นิ่ง เฉกเช่นพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลบนโลก<br />
ใบนี้ ซึ่งอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อม และระบบเกษตรที่<br />
ไม่เคยคงที่ ทุกครั้งที่ระบบเกษตรเปลี่ยนพันธุ์พืช พันธุ์<br />
สัตว์ เปลี่ยนวิธีปฏิบัติดูแล หรือเขตกรรมกันที ก็เท่ากับ<br />
สร้างเงื่อนไขตัวเร่งไปเปลี่ยนประชากรโรค-แมลงกันที<br />
อีกทั้งน้ำท่วม ฝนแล้ง อากาศชื้น ร้อน เย็น หนาว<br />
กระทบระบบโครงสร้างพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตกันไปหมด<br />
ที่เราเคยจัดการได้ในวันนี้ อาจจะเป็นเรื่องที่ยาก ที่จะ<br />
จัดการให้อยู่หมัดในวันข้างหน้า คำถามที่ผมมักถาม<br />
พรรคพวกในแวดวงนี้อยู่เนืองๆ ว่า “เรามีความพร้อม<br />
แค่ไหน?” เราติดตามตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงทาง<br />
พันธุศาสตร์ประชากร และการระบาดอย่างใกล้ชิดหรือ<br />
เปล่า? เราเคยเตรียมความพร้อมด้วยการซักซ้อมรับ<br />
สถานการณ์ และทบทวนภาวะแห่งการเตรียมรับ<br />
เหตุการณ์อย่างไร? เรามีข้อมูลไหมว่าเชื้ออะไร สายพันธุ์<br />
อะไรที่เรามี ที่ควรระมัดระวัง จากภายใน? ภายนอก?<br />
เรามีเชื้อพันธุกรรมพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ที่ต้านทานโรคเก็บ<br />
อยู่ในลิ้นชัก ในคลังธนาคารพันธุกรรมคอยให้งัดออกใช้<br />
หรือเปล่า?<br />
ปัจจุบันเครื่องมือและเทคโนโลยีที่จะติดตาม จำแนก<br />
ตรวจสอบ พยากรณ์ มีมากกว่าเมื่อก่อนเยอะ สมัยก่อน<br />
กว่าจะรู้สายพันธุ์ของโรค รู้จักไบโอไทปของแมลง ใช้<br />
เวลานาน แต่เดี๋ยวนี้เครื่องมือทางเทคโนโลยีชีวภาพ<br />
หรือ วิทยาการนวชีวศาสตร์ (New Life Science<br />
Technology) มีให้เราเลือกซื้อมาเปิดกล่อง เปิดกระป๋องใช้<br />
เทคโนโลยีใหม่ๆ ช่วยให้เรารู้ลึกถึงการเรียงตัวของ<br />
โครงสร้างดีเอ็นเอของเชื้อโรคแต่ละสายพันธุ์ เรียกว่า<br />
แม่นยำกว่าเก่าอย่างเทียบไม่ได้ คำถามสุดท้ายที่ผมมี คือ<br />
เรามีคนที่มีทักษะที่จะใช้วิทยาการใหม่ๆ ที่แม่นยำกันหรือ<br />
เปล่า? หน่วยงานที่รับผิดชอบมีที่ไหนบ้าง? มีระดับความ<br />
พร้อมจริงๆ แค่ไหน? ผมขอวานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง<br />
ช่วยสำรวจ ประเมิน ตรอง กันดูหน่อย อย่าปล่อยเลย<br />
ตามเลย ต้องช่วยกันแก้ไขป้องกัน ศูนย์ความเป็นเลิศ<br />
ด้านเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร และ สมาชิกสถาบันเครือ<br />
ข่ายทั้งหลายขอขันอาสาที่จะร่วมมือด้านนี้<br />
พงศ์เทพ อัครธนกุล<br />
05<br />
<strong>AG</strong>-<strong>Bio</strong> <strong>Vol</strong> <strong>002.indd</strong> 5<br />
7/20/10 11:32:29 PM
ผลงานเด่น<br />
พืชปลอดโรค<br />
และอาหารปลอดภัย<br />
0<br />
ารที่ประเทศไทยเปิดประตูการค้าเสรีกับหลาย<br />
ประเทศในโลก ส่งผลให้เกิดการติดต่อค้าขายผลผลิต<br />
เกษตรเป็นจำนวนมากซึ่งมีมูลค่ามหาศาล อย่างไรก็ตาม<br />
การนำเข้า หรือส่งสินค้าออกไปขายยังต่างประเทศ<br />
มีข้อควรระวังเกี่ยวกับการปนเปื้อนของเชื้อโรคพืช สารพิษ<br />
จากเชื้อรา หรือสารตกค้างต่างๆ ด้วยเหตุนี้จึงมีความ<br />
จำเป็นที่สินค้าที่เป็นผลผลิตทางการเกษตรจะต้องได้รับ<br />
การตรวจสอบ เพื่อรับรองว่าปลอดเชื้อหรือไม่มีการปนเปื้อน<br />
ของสารพิษหรือสารตกค้าง หรือถ้ามีการปนเปื้อนก็ไม่เกิน<br />
เกณฑ์มาตรฐานที่ประเทศคู่ค้ากำหนด การตรวจสอบที่มี<br />
มาตรฐานมีส่วนช่วยอย่างมากในการลดโอกาส<br />
ของการปนเปื้อนดังกล่าว เช่น การนำเข้าเมล็ดพันธุ์หรือ<br />
ส่วนขยายพันธุ์ของพืชผัก และไม้ดอกชนิดต่างๆ จาก<br />
ต่างประเทศ หากมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคพืชติดมา <br />
ก็จะเป็นแหล่งของเชื้อโรคที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาด<br />
ในแปลงปลูกต่อมาได้ หรืออาจเป็นการนำสาเหตุโรค<br />
ชนิดใหม่ซึ่งยังไม่เคยมีรกรากในประเทศไทยเข้ามา<br />
ก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจ ซึ่งผลที่ตามมาคือความ<br />
จำเป็นที่ต้องหาวิธีในการควบคุมโรค ส่งผลให้มีต้นทุน<br />
การผลิตที่สูงขึ้น และเมื่อเกิดโรคแล้วมักทำให้ผลผลิตมี<br />
ปริมาณและคุณภาพต่ำลง ไม่เป็นที่ต้องการของตลาด<br />
รวมทั้งอาจลดความน่าเชื่อถือของผู้ผลิตลงได้ ส่วน<br />
ผลกระทบที่สามารถเห็นได้จากการส่งออก คือ ถ้าพบว่า<br />
มีการปนเปื้อนเชื้อโรคในรายการที่มีข้อห้าม รวมทั้งการ<br />
ปนเปื้อนของสารพิษจากเชื้อราที่เป็นอันตราย เช่น <br />
อะฟลาทอกซิน โอคราทอกซิน ฟูโมนิซิน ซีราลีโนน<br />
เป็นต้น สินค้าเหล่านี้จะไม่เป็นที่ต้องการของตลาด ทำให้<br />
ขาดความน่าเชื่อถือ และสินค้าเหล่านั้นอาจถูกปฏิเสธจาก<br />
ประเทศปลายทาง ทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ<br />
ได้อย่างคาดไม่ถึง <br />
ด้วยเหตุนี้การเตรียมความพร้อมของประเทศไทยใน<br />
การตรวจสอบผลผลิตเกษตรให้มีมาตรฐาน จึงมีความ<br />
จำเป็นเร่งด่วน ทั้งนี้เพราะการแข่งขันในเวทีการค้าโลก<br />
มีสูงมาก ทุกประเทศที่ไม่มีความพร้อมในการตรวจสอบ<br />
จะมีโอกาสเสียเปรียบ และเสียโอกาสได้ตลอดเวลา<br />
การนำเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการ<br />
พัฒนาวิธีการตรวจสอบ นับเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความ<br />
ก้าวหน้าในการพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในปัจจุบันมี<br />
การนำไปใช้งานอย่างกว้างขวาง สำหรับการตรวจสอบ<br />
เชื้อสาเหตุโรคพืช เทคนิคที่นิยมใช้กันมาก ได้แก่ เทคนิค<br />
ทางซีรัมวิทยา โดยการนำแอนติบอดีที่มีความจำเพาะต่อ<br />
เชื้อโรคพืชนั้นๆ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย หรือสารพิษต่างๆ<br />
มาพัฒนาวิธีการตรวจสอบ รูปแบบที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน<br />
ได้แก่ Enzyme-linked Immunosorbent Assay<br />
(ELISA) และ Immunochromatographic Strip (ICS)<br />
เป็นต้น <br />
<br />
<strong>AG</strong>-<strong>Bio</strong> <strong>Vol</strong> <strong>002.indd</strong> 6<br />
7/20/10 11:32:30 PM
ห้องปฏิบัติการซีรัมวิทยาและตรวจวินิจฉัย<br />
<strong>ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร</strong> อาคารปฏิบัติการวิจัย<br />
เทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร <strong>มหาวิทยาลัย</strong><br />
เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน โดยบุคลากรจาก<br />
ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กำแพงแสน และนิสิตระดับ<br />
บัณฑิตศึกษาในหลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร ภายใต้<br />
การนำของ ผศ.ดร. รัชนี ฮงประยูร ได้ศึกษาและ<br />
พัฒนาวิธีการตรวจสอบเชื้อสาเหตุโรคพืช และสารพิษ<br />
จากเชื้อรามาอย่างต่อเนื่อง โดยมีผลงานการผลิต<br />
แอนติบอดีหลายรูปแบบ ได้แก่ โพลีโคลนอลแอนติบอดี<br />
โมโนโคลนอลแอนติบอดี เช่น แอนติบอดีที่จำเพาะต่อ<br />
เชื้อไวรัสสาเหตุโรคพืช ได้แก่ Tobacco mosaic virus<br />
(TMV), Cucumber mosaic virus (CMV), Potato<br />
virus Y (PVY), Cymbidium mosaic virus (CymMV),<br />
Odontoglossum ringspot virus (ORSV), Cucumber<br />
green mottle mosaic virus (CGMMV), Sugarcane<br />
mosaic virus (SCMV), Maize chlorotic mottle virus<br />
(MCMV), Papaya ringspot virus (PRSV) และ<br />
Tospoviruses หลายชนิด แอนติบอดีที่จำเพาะต่อเชื้อ<br />
แบคทีเรีย เช่น Erwinia spp., Xanthomonas spp.,<br />
Ralstonia solanacearum, Acidovorax avenae และ<br />
แอนติบอดีที่จำเพาะต่อสารพิษจากเชื้อรา ได้แก่<br />
Aflatoxin, Zearalenone และ Ochratoxin A รวมทั้ง<br />
การสร้างห้องสมุดรีคอมบิแนนท์แอนติบอดีโดยการ<br />
แสดงออกของยีนแอนติบอดีบนอนุภาคของฝาจ (phage<br />
display) เพื่อเป็นแหล่งของยีนแอนติบอดีสำหรับการใช้<br />
งานต่อไป <br />
<br />
นอกจากนี้ยังได้พัฒนาวิธีการตรวจสอบเชื้อสาเหตุโรค<br />
ชนิดต่างๆ จากแอนติบอดีที่มีคุณภาพเหล่านี้ รวมทั้งการ<br />
พัฒนาชุดตรวจสอบแบบรวดเร็วอีกหลายชนิด เช่น KU-<br />
ZEA-1 ซึ่งเป็นชุดตรวจสอบสารพิษซีราลีโนน โดยใช้<br />
หลักการของปฏิกิริยา ELISA การพัฒนาชุดตรวจสอบ<br />
ICS ที่จำเพาะต่อเชื้อ CMV, CGMMV, TMV และ<br />
CymMV เป็นต้น ก้าวต่อไปของห้องปฏิบัติการ คือการ<br />
ทดสอบชุดตรวจสอบที่ผลิตขึ้นเพื่อให้มีมาตรฐาน<br />
และเป็นที่ยอมรับ ซึ่งจะนำไปสู่การใช้งานภายในประเทศ<br />
เป็นการลดการนำเข้าชุดตรวจสอบที่มีราคาแพงจาก<br />
ต่างประเทศ ช่วยลดต้นทุนของการตรวจสอบและต้นทุน<br />
การผลิต นอกจากนั้นการผลิตชุดตรวจสอบสารพิษจาก<br />
เชื้อราเพื่อใช้เองภายในประเทศ ยังสนับสนุนการเฝ้าระวัง<br />
การปนเปื้อนของสารพิษในอาหาร ซึ่งส่งผลดีในภาพรวม<br />
ทั้งด้านเศรษฐกิจและสุขภาพของผู้บริโภคอีกด้วย <br />
0<br />
<strong>AG</strong>-<strong>Bio</strong> <strong>Vol</strong> <strong>002.indd</strong> 7<br />
7/20/10 11:32:34 PM
แนะนำสถาบัน<br />
สถาบันภาคีของ<br />
ศูนย์ความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร <br />
<strong>มหาวิทยาลัย</strong>สงขลานครินทร์<br />
หาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เข้าร่วมเป็นสถาบันภาคีของศูนย์ความเป็นเลิศด้าน<br />
เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร สำนักพัฒนาบัณฑิตศึกษาและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และ<br />
เทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) กระทรวงศึกษาธิการ<br />
เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2550 ดำเนินการโดยคณะทรัพยากรธรรมชาติ และได้<br />
ขยายความร่วมมือไปยังคณะอุตสาหกรรมเกษตร ใน พ.ศ. 2552 โดยได้รับการ<br />
สนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ตลอดจน<br />
ครุภัณฑ์บางส่วน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับงานวิจัยในโครงการที่มีอยู่<br />
รวมทั้งเป็นการพัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีชีวภาพสำหรับประยุกต์ใช้ในงาน<br />
วิจัยทางด้านการเกษตร และการสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ๆ <br />
0<br />
สำหรับกลุ่มงานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนมีดังต่อไปนี้<br />
1. งานวิจัยด้านพืช<br />
การใช้เทคโนโลยีชีวภาพสำหรับการปรับปรุงพันธุ์ และขยายพันธุ์พืช เช่นการขยาย<br />
พันธ์ุปาล์มน้ำมันพันธุ์ดี และยางพาราพันธุ์ที่เหมาะสมในการใช้เป็นต้นตอโดยวิธีการเพาะ<br />
เลี้ยงเนื้อเยื่อ ศึกษาเทคนิคพันธุวิศวกรรมเพื่อปรับปรุงพันธุ์ปาล์มน้ำมัน การใช้<br />
เครื่องหมายโมเลกุลในด้านต่างๆ เช่นศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมของไม้ผล<br />
พื้นเมืองในภาคใต้ ใช้ในการคัดเลือกยางพาราพันธุ์ต้นตอที่ทนทานโรคราก ศึกษาการ<br />
แสดงออกของยีนและโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างน้ำยางเพื่อใช้ในการคัดเลือกพันธุ์<br />
ยางพารา เป็นต้น<br />
<br />
<strong>AG</strong>-<strong>Bio</strong> <strong>Vol</strong> <strong>002.indd</strong> 8<br />
7/20/10 11:32:43 PM
2. งานวิจัยด้านจุลินทรีย์<br />
การคัดเลือกและการพัฒนาจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ<br />
เพื่อปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดิน และส่งเสริมการ<br />
เจริญเติบโตของพืช เช่น จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟต<br />
จุลินทรีย์ย่อยสลายเซลลูโลส จุลินทรีย์ผลิตอินโดลอะซิติก<br />
แอซิด (IAA) เป็นต้น การศึกษาและคัดเลือกจุลินทรีย์เพื่อ<br />
ควบคุมโรคพืชโดยชีววิธี เช่น การใช้ Bacillus megaterium<br />
ควบคุมโรคกาบใบแห้งของข้าว การใช้แบคทีเรียปฏิปักษ์<br />
ควบคุมโรครากเน่าใบจุดของผักสลัด ตลอดจนการพัฒนา<br />
สูตรสำเร็จของจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ สะดวกและ<br />
ปลอดภัยเพื่อใช้ในการค้า<br />
<br />
3. งานวิจัยด้านสัตว์บก<br />
การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์จากผลพลอยได้<br />
ทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในภาคใต้ที่มี<br />
ศักยภาพเป็นอาหารสัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่น การใช้เยื่อใน<br />
ลำต้นสาคูเป็นแหล่งพลังงานในอาหารโคและแพะ การใช้<br />
กากเนื้อในเมล็ดปาล์มน้ำมันทดแทนข้าวโพดบดในอาหาร<br />
โคและแพะ การใช้ทางใบปาล์มน้ำมันหมักเป็นอาหารโค<br />
และแพะ การใช้เอ็นไซม์ในอาหารผสมสำเร็จที่ใช้ทางใบ<br />
ปาล์มน้ำมันหมักเป็นแหล่งอาหารหยาบ โดยเน้นผลที่มี<br />
ต่อการใช้ประโยชน์ได้ของโภชนะของสัตว์ รูปแบบของ<br />
ขบวนการหมักในกระเพาะรูเมน ชนิดและจำนวน<br />
ประชากรจุลินทรีย์ในกระเพาะรูเมน การสังเคราะห์<br />
โปรตีนของจุลินทรีย์ ตลอดจนสมรรถภาพการผลิต<br />
ของสัตว์<br />
<br />
4. งานวิจัยด้านสัตว์น้ำ<br />
การวิจัยด้านสัตว์น้ำมีหัวข้อหลักที่ศึกษา 2 หัวข้อคือ<br />
1) การวิจัยโรคสัตว์น้ำ โดยจะเน้นปรสิตที่ก่อให้เกิดโรค<br />
ระบาดที่รุนแรงเช่น การศึกษาสายวิวัฒนาการและการ<br />
จัดจำแนกปรสิตกลุ่ม Myxosporidia ในปลาทะเล และ<br />
กลุ่ม Actinosporea ในปลาเศรษฐกิจของไทย และโรค<br />
สไปโรนิวคลีโอซีสที่สร้างความเสียหายให้กับธุรกิจปลา<br />
สวยงาม 2) การวิจัยด้านอาหารสัตว์น้ำ ดำเนินการวิจัย<br />
ในหลายด้านเพื่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่เช่น การศึกษา<br />
แหล่งโปรตีนทดแทนจากสาหร่ายทะเลได้แก่ สาหร่าย<br />
ผมนางและสาหร่ายไส้ไก่เพื่อลดปริมาณการใช้ปลาป่นใน<br />
อาหารปลานิลแดงแปลงเพศ การศึกษาประสิทธิภาพการ<br />
ย่อยโปรตีนในกุ้งขาววานาไมที่มีผลจากคุณภาพโปรตีน<br />
และไขมัน ผลของชนิดและระดับของคาร์โบไฮเดรตต่อ<br />
การใช้ประโยชน์และการแสดงออกของยีนในปลากะพงขาว<br />
การศึกษาผลของสารพิษที่มีการปลอมปนในอาหาร<br />
สัตว์น้ำ เช่น เมลามีนและสารพิษเทโทรโดทอกซินใน<br />
ปลาปักเป้าที่ใช้ทำปลาป่น การศึกษาผลของชนิดและระดับ<br />
ของคาร์โบไฮเดรตต่อการใช้ประโยชน์และการทำงานของ<br />
เอนไซม์ในระบบทางเดินอาหารในปลากะพงขาว รวมไป<br />
ถึงการพัฒนาอาหารสำหรับใช้อนุบาลปลากะพงขาว<br />
วัยอ่อน<br />
<br />
งานบริการวิชาการ<br />
จากงานวิจัยสู่บริการวิชาการมีหลายรูปแบบ เช่น<br />
การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชใน<br />
งานวันเกษตรภาคใต้เป็นประจำเกือบทุกปี การจัดฝึก<br />
อบรมเบื้องต้นการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชและการสกัด<br />
ดีเอ็นเอจากใบพืช สำหรับนักเรียนระดับมัธยมต้นและ<br />
ปลายจากโรงเรียนในพื้นที่ การฝึกอบรมหลักสูตรภูมิคุ้มกัน<br />
วิทยากับการวิจัยด้านอาหารสัตว์น้ำ ให้แก่นักวิชาการและ<br />
ผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทเอกชน อบรมความรู้ในการ<br />
ผลิตอาหารปลาให้แก่เกษตรกรกลุ่มผู้เลี้ยงปลาในจังหวัด<br />
สงขลาและจังหวัดใกล้เคียง เป็นต้น<br />
<br />
<strong>AG</strong>-<strong>Bio</strong> <strong>Vol</strong> <strong>002.indd</strong> 9<br />
7/20/10 11:32:55 PM
10<br />
สัมภาษณ์พิเศษ<br />
“การอารักขาพืชระหว่างประเทศ<br />
ตามมาตรการสุขอนามัยพืช”<br />
คุณ อุดร อุณหวุฒิ<br />
ผู้เชี่ยวชาญด้านกักกันพืช กรมวิชาการเกษตร <br />
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์<br />
<br />
คำถาม : อนุสัญญาว่าด้วยการอารักขาพืชระหว่าง<br />
ประเทศ (International Plant Protection<br />
Convention, IPPC) มีความสำคัญอย่างไรกับการค้า<br />
ผลิตผลเกษตรในตลาดโลก<br />
<br />
อนุสัญญาว่าด้วยการอารักขาพืชระหว่างประเทศ<br />
เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านอารักขาพืชซึ่งมีข้อ<br />
ผูกพันทางกฎหมาย บริหารจัดการโดย “องค์การอาหาร<br />
และเกษตรแห่งสหประชาชาติ” แต่ดำเนินการโดยอาศัย<br />
ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลของประเทศสมาชิกและ<br />
องค์การอารักขาพืชส่วนภูมิภาค เป้าหมายของอนุสัญญา<br />
ว่าด้วยการอารักขาพืชระหว่างประเทศ คือ การร่วมมือ<br />
กันดำเนินงานเพื่อป้องกันการแพร่กระจายและการเข้ามา<br />
ของศัตรูของพืชและผลิตผลพืช และส่งเสริมให้มีการใช้<br />
มาตรการต่างๆ ที่เหมาะสมในการควบคุมศัตรูเหล่านั้น<br />
โดยขัดขวางต่อการค้าให้น้อยที่สุด อนุสัญญาว่าด้วยการ<br />
อารักขาพืชเป็นหนึ่งในสามองค์การที่ได้รับการยอมรับ<br />
ภายใต้ความตกลงขององค์การการค้าโลก คือ “ความ<br />
ตกลงว่าด้วยการบังคับใช้มาตรการสุขอนามัยและ<br />
สุขอนามัยพืช” (Agreement for the Application on<br />
Sanitary and Phytosanitary Measures, SPS<br />
Agreement) ซึ่งความตกลงดังกล่าวกำหนดให้สมาชิก<br />
องค์การการค้าโลกมีสิทธิที่จะใช้มาตรการสุขอนามัยและ<br />
สุขอนามัยพืชเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อคุ้มครองชีวิต หรือ<br />
สุขภาพ ของมนุษย์ สัตว์ หรือพืช บนพื้นฐานของหลัก<br />
การวิทยาศาสตร์ และการทำให้มาตรการสุขอนามัยและ<br />
สุขอนามัยพืชอยู่บนพื้นฐานที่กลมกลืนกันอย่างมากที่สุด<br />
เท่าที่จะทำได้นั้น สมาชิกจะกำหนดมาตรการสุขอนามัย<br />
หรือสุขอนามัยพืชตามมาตรฐานระหว่างประเทศ <br />
อนุสัญญาว่าด้วยการอารักขาพืชระหว่างประเทศได้<br />
พัฒนา “มาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรการสุข<br />
อนามัยพืช” (International Standard for<br />
Phytosanitary Measures, ISPMs) จนถึงปัจจุบันได้<br />
ตีพิมพ์ มาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรการสุข<br />
อนามัยพืชแล้ว 32 มาตรฐาน เพื่อสนับสนุนการค้า<br />
ระหว่างประเทศ เพื่อให้ประเทศสมาชิกได้ใช้เป็นแนว<br />
ปฏิบัติในการกำหนดมาตรการสุขอนามัยพืชที่ไม่เข้มงวด<br />
เกินความจำเป็นจนกลายเป็นการกีดกันทางการค้า<br />
ตัวอย่างของมาตรฐานที่มีความสำคัญต่อการค้า<br />
ระหว่างประเทศ เช่น มาตรฐานฉบับที่ 1 เรื่อง <br />
หลักการสุขอนามัยพืชเพื่อปกป้องพืชและการบังคับใช้<br />
มาตรการสุขอนามัยพืชในทางการค้าระหว่างประเทศ<br />
(Phytosanitary principles for the protection of<br />
plants and the application of phytosanitary<br />
measures in international trade) ได้กำหนดหลักการ<br />
ที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องพืชซึ่งรวมถึงพืชปลูก พืชป่า<br />
และพืชน้ำ โดยการใช้มาตรการสุขอนามัยพืชเกี่ยวเนื่อง<br />
กับการเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศของคน สินค้า และ<br />
ยานพาหนะ จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น อนุสัญญาว่าด้วย<br />
การอารักขาพืชระหว่างประเทศจึงมีบทบาทสำคัญ<br />
อย่างยิ่งต่อการช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการค้าสินค้า<br />
เกษตรระหว่างประเทศ ในขณะที่ยังคงสามารถปกป้อง<br />
พืชจากการทำลายของศัตรูพืชร้ายแรงชนิดใหม่ซึ่งเกิดขึ้น<br />
จากการค้าระหว่างประเทศ<br />
<br />
คำถาม: มาตรการสุขอนามัยพืชของประเทศไทยมีผล<br />
อย่างไรกับการเปิดเขตการค้าเสรี<br />
<br />
ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการทำความตกลง<br />
เขตการค้าเสรีกับหลายประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น<br />
ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ รวมถึงประเทศสมาชิกใน<br />
กลุ่มอาเซียน นอกจากนี้ยังมีอีกหลายประเทศที่กำลังอยู่<br />
ในขั้นตอนของการเจรจา ในส่วนของการดำเนินการด้าน<br />
<strong>AG</strong>-<strong>Bio</strong> <strong>Vol</strong> <strong>002.indd</strong> 10<br />
7/20/10 11:33:04 PM
สุขอนามัยพืชได้มีการจัดตั้งคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญ (Expert working group)<br />
ด้านสุขอนามัยพืช เพื่อเป็นเวทีสำหรับการเจรจาสำหรับการเปิดตลาดสินค้าเกษตร<br />
และการแก้ไขปัญหาด้านสุขอนามัยพืช สำหรับในกลุ่มประเทศอาเซียนได้มีการตั้ง<br />
คณะทำงาน ASEAN Expert Working Group on Harmonization of<br />
Phytosanitary Measures (ASEAN EWG-PS) เพื่อวางมาตรการและกฎระเบียบ<br />
ด้านสุขอนามัยพืชในการนำเข้าและส่งออกสินค้าพืชให้เป็นแนวทางเดียวกันใน<br />
ภูมิภาคอาเซียน โดยได้ดำเนินการกับพืชหลายชนิดที่มีปริมาณการค้าเป็นจำนวน<br />
มากในระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น ข้าว มะม่วง มันฝรั่งสำหรับการบริโภค<br />
ดอกกล้วยไม้เดนโดรเบียม ส้ม ทุเรียน กล้วย เมล็ดปาล์มน้ำมัน ข้าวโพด และ<br />
ข้าวเปลือก เป็นต้น หลังจากการวิเคราะห์ความเสี่ยงศัตรูพืชของสินค้าเหล่านี้แล้ว<br />
จะมีการจัดทำคำแนะนำสำหรับการนำเข้าเพื่อให้ประเทศสมาชิกพิจารณานำไปใช้<br />
สำหรับการกำหนดมาตรการสุขอนามัยพืชของแต่ละประเทศต่อไป ประเทศไทยยัง<br />
มีความร่วมมือกับกลุ่มประเทศอาเซียนในความพยายามจัดตั้ง ASEAN Regional<br />
Diagnostic Networking (ARDN) เพื่อเป็นเครือข่ายสำหรับให้ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละ<br />
ด้านของประเทศสมาชิกให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกในการตรวจจำแนกศัตรู<br />
พืช จัดทำฐานข้อมูลศัตรูพืชซึ่งจะนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปในการขอเปิดตลาดหรือ<br />
การวิเคราะห์ความเสี่ยงศัตรูพืชเพื่อกำหนดมาตรการสุขอนามัยพืชต่อไป นอกจาก<br />
นี้กรมวิชาการเกษตรยังได้ดำเนินการเพื่อทำความตกลงความร่วมมือทางด้านวิชาการ<br />
ด้านอารักขาพืชและกักกันพืชกับหน่วยงาน Animal and<br />
Plant Health Inspection Service (APHIS) <br />
กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกาเพื่อเป็นเวทีสำหรับการ<br />
เจรจาประเด็นปัญหาด้านสุขอนามัยพืช ซึ่งจะทำให้การ<br />
แก้ไขปัญหาการค้าที่เกี่ยวกับสุขอนามัยพืชระหว่างสอง<br />
ประเทศเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว<br />
<br />
คำถาม : นโยบายหรือทิศทางเพื่อเตรียมความพร้อม<br />
ด้านมาตรการสุขอนามัยพืชของไทยเป็นอย่างไร <br />
<br />
กรมวิชาการเกษตรในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบ<br />
งานอารักขาพืชของประเทศไทย และทำหน้าที่เป็น<br />
NPPO (National Plant Protection Organization)<br />
ได้เตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความ<br />
เข้มแข็งในการดำเนินการด้านสุขอนามัยพืชของไทย ดังนี้<br />
////////////////<br />
11<br />
<strong>AG</strong>-<strong>Bio</strong> <strong>Vol</strong> <strong>002.indd</strong> 11<br />
7/20/10 11:33:25 PM
สัมภาษณ์พิเศษ<br />
////////////////<br />
12<br />
สินค้านำเข้าโดยอาศัยผลจากการวิเคราะห์ความเสี่ยง<br />
ศัตรูพืช ปัจจุบันมีพืชเป็นจำนวนมากที่อยู่ภายใต้การควบคุม<br />
เป็นสิ่งต้องห้าม ประกอบด้วย ส่วนผลของพืช 27 ชนิด<br />
25 สกุล และ 2 วงศ์ ส่วนหนึ่งส่วนใดของพืช 8 ชนิด<br />
11 สกุล 1 วงศ์ ดิน ปุ๋ยอินทรีย์ จุลินทรีย์ทางการ<br />
เกษตร สัตว์ศัตรูพืช ไส้เดือน แมลง ไร ไส้เดือนฝอย<br />
หอย หอยทาก วัชพืช ตัวห้ำ และตัวเบียน ตัวไหม รังไหม<br />
ไข่ไหม ศัตรูพืชกักกันจำนวน 472 ชนิด และพืชที่ได้รับ<br />
การตัดต่อพันธุกรรม 33 ชนิด 51 สกุล และ 1 วงศ์ <br />
<br />
การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและ<br />
ห้องปฏิบัติการ : กรมวิชาการเกษตรได้เตรียมความพร้อม<br />
ด้านบุคลากรเพื่อเพิ่มพูนศักยภาพการปฏิบัติงานด้าน<br />
ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้านสุขอนามัยพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่ง<br />
การเตรียมความพร้อมด้านกฎหมาย : ประเทศไทย การเพิ่มศักยภาพด้านการตรวจวินิจฉัยศัตรูพืช โดย<br />
ได้ประกาศบังคับใช้กฎหมายฉบับแรกเพื่อควบคุมการ ประสานงานจัดทำโครงการความร่วมมือทางวิชาการ<br />
เคลื่อนย้ายพืชเข้ามาในราชอาณาจักร ป้องกันมิให้ศัตรูพืช ด้านอารักขาพืชและกักกันพืชกับหน่วยงานวิจัยของ<br />
ร้ายแรงจากต่างประเทศเข้ามาแพร่ระบาดภายในประเทศ ต่างประเทศ เช่น หน่วยงานของกระทรวงเกษตร<br />
คือ “พระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507” หลังจากนั้นได้ สหรัฐอเมริกา ได้แก่ หน่วยงาน Agricultural Research<br />
มีการแก้ไขบทบัญญัติ ในบางมาตรา เพื่อให้สามารถ Service (ARS) และ หน่วยงาน Animal and Plant<br />
ปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์สมดังเจตนารมณ์ของการ Health Inspection Service (APHIS) ทั้งนี้เพื่อสร้างเสริม<br />
ออกกฎหมาย โดยในปี พ.ศ. 2542 และ 2551 ได้ออก ความสามารถของนักวิชาการของกรมวิชาการเกษตร<br />
“พระราชบัญญัติกักพืช (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2542” และ โดยส่งไปฝึกอบรมหรือทำงานวิจัยในสาขาต่างๆ ที่<br />
“พระราชบัญญัติกักพืช (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2551” ตาม หน่วยงานของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้<br />
ลำดับ นอกจากจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติใน กรมวิชาการเกษตรยังร่วมกับหน่วยงานของออสเตรเลีย<br />
กฎหมายกักพืชแล้ว ยังมีการปรับเปลี่ยนแนวทางในการ ได้แก่ Australian Center for International<br />
ออกประกาศกระทรวงเพื่อควบคุมการนำเข้าพืชให้ Agricultural Research (ACIAR) เพื่อเสริมสร้างความรู้<br />
สอดคล้องกับอนุสัญญาและความตกลงระหว่างประเทศ ความสามารถของนักวิชาการในส่วนที่เกี่ยวข้อง<br />
ได้แก่ อนุสัญญาว่าด้วยการอารักขาพืชระหว่างประเทศ กับการตรวจวินิจฉัยศัตรูพืชโดยใช้เทคนิคอณูชีววิทยา<br />
(International Plant Protection Convention, IPPC) ที่ทันสมัยให้ได้ผลอย่างรวดเร็วและถูกต้อง โดยส่ง<br />
และ ความตกลงว่าด้วยการบังคับใช้มาตรการสุขอนามัย นักวิชาการไปฝึกอบรมการตรวจวินิจฉัยศัตรูพืชที่<br />
และสุขอนามัยพืช (Agreement on the Application ประเทศออสเตรเลีย และการจัดการฝึกอบรมการตรวจ<br />
on Sanitary and Phytosanitary Measures, SPS วินิจฉัยศัตรูพืชในประเทศไทย โดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน<br />
Agreement) การแก้ไขปรับปรุงทั้งในส่วนของประกาศ จากออสเตรเลียมาเป็นวิทยากร นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง<br />
กระทรวงและพระราชบัญญัติ เพื่อให้สามารถควบคุมการ ห้องปฏิบัติการตรวจวินิจฉัยศัตรูพืชให้ได้มาตรฐานเพื่อ<br />
เข้ามาของศัตรูพืชร้ายแรงจากต่างประเทศเป็นไปอย่างมี วินิจฉัยศัตรูพืชที่ติดมากับสินค้านำเข้าและส่งออกให้ได้ผล<br />
ประสิทธิภาพ สามารถบังคับใช้มาตรการสุขอนามัยพืชกับ ที่ถูกต้องและรวดเร็ว รวมทั้งการทดลองวางระบบการ<br />
สินค้านำเข้าได้อย่างเท่าเทียมกับประเทศคู่ค้า ตรวจวินิจฉัยศัตรูพืชระยะไกลผ่านระบบอินเตอร์เนท <br />
ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมาประเทศไทยได้มีการออก (Remote microscope diagnosis) เพื่อใช้ประโยชน์<br />
ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หลายฉบับเพื่อ สูงสุดจากผู้เชี่ยวชาญด้านอนุกรมวิธานที่มีจำนวนค่อนข้าง<br />
ปรับปรุงแก้ไขบัญชีรายชื่อพืชและศัตรูพืชที่เป็น จำกัด ให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานที่ห่างไกล<br />
สิ่งต้องห้ามรวมถึงแก้ไขบัญชีรายชื่อพืชที่เป็นสิ่งกำกัด ในการตรวจวินิจฉัยศัตรูพืช ซึ่งจะทำให้การปฏิบัติงาน<br />
เพื่อป้องกันศัตรูพืชร้ายแรงที่อาจจะติดมากับพืชที่เป็น ด้านสุขอนามัยพืชมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น<br />
<strong>AG</strong>-<strong>Bio</strong> <strong>Vol</strong> <strong>002.indd</strong> 12<br />
7/20/10 11:33:30 PM
PERDO TODAY/<br />
ความเป็น เอตทัคคะทางวิชาการ ของศูนย์ความเป็นเลิศ<br />
“... อันความรู้รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล...”<br />
สำนวนที่คุ้นหูคนไทยเป็นอย่างดีจากวรรณกรรมเรื่องพระอภัยมณี ของปราชญ์สุนทรภู่ คือหลักคิดพื้นฐานของ<br />
การสร้างศูนย์ความเป็นเลิศ หรือในภาษาตะวันตกเรียกว่า “Centre of Excellence” หรือที่มีความหมายเดียวกับ<br />
ภาษาทางพระว่า “เอตทัคคะ” ศูนย์ความเป็นเลิศในอุดมคติ คือศูนย์ที่สามารถคิดค้นและสร้างสรรค์สิ่งที่มีคุณค่า<br />
และสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างสูงสุด<br />
<br />
ระหว่างวันที่ 10-11 มิถุนายน 2553 คณะผู้บริหารของสำนักพัฒนาบัณฑิตศึกษาและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์<br />
และเทคโนโลยี (สบว) และศูนย์ความเป็นเลิศทั้ง 9 ศูนย์ ได้ร่วมกันปรึกษาหารือในการประชุม PERDO Executive<br />
Retreat ณ The Rose Garden Riverside สวนสามพราน จังหวัดนครปฐม การประชุมในครั้งนี้ ได้รับความ<br />
ร่วมมือจากผู้บริหารระดับสูงของศูนย์ความเป็นเลิศ เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง โดยมีเจตนารมณ์หลักในการ<br />
ปรับเปลี่ยนรูปแบบและกลยุทธ์ในการดำเนินงานด้านวิชาการของศูนย์ฯ รวมทั้งรูปแบบและกลยุทธ์การดำเนินงานเชิง<br />
นโยบายของ สบว. ให้เหมาะสม สามารถบรรลุภารกิจตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดในอันที่จะสร้างศูนย์ความเป็นเลิศ<br />
ทางวิชาการให้เป็นหน่วยอ้างอิง และที่พึ่งพิงทางวิชาการให้กับสังคม<br />
<br />
จากแนวคิดพื้นฐานของศูนย์ความเป็นเลิศข้างต้น คณะผู้บริหาร<br />
ทั้งหมด จึงได้มีความคิดเห็นร่วมกันว่าให้ทุกศูนย์ฯ กระชับพันธกิจ<br />
วิชาการให้แคบลง โดยการกำหนดทิศทางการวิจัย (Research<br />
Direction) และกลุ่มการวิจัย (Research Focus) ให้มีความกระชับ<br />
ไม่เกินศูนย์ฯ ละ 3 ทิศทาง และ 7 กลุ่มการวิจัย ขณะเดียวกันให้<br />
แสวงหามาตรการเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของงานให้เป็นที่<br />
ยอมรับทั้งภายในและต่างประเทศ ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินงานของ<br />
ศูนย์ฯ มุ่งสู่ความเป็นเอตทัคคะทางวิชาการอย่างแท้จริง<br />
13<br />
<strong>AG</strong>-<strong>Bio</strong> <strong>Vol</strong> <strong>002.indd</strong> 13<br />
7/20/10 11:33:52 PM
เรื่องน่ารู้ Ag<strong>Bio</strong>tech<br />
เทคนิคอณูชีววิทยา<br />
กับมาตรฐานมาตรการสุขอนามัยพืชระหว่างประเทศ<br />
ผศ.ดร พิสสวรรณ เจียมสมบัติ<br />
ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กำแพงแสน <strong>มหาวิทยาลัย</strong>เกษตรศาสตร์ <br />
14<br />
ระเทศไทยเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก (World<br />
Trade Organization หรือ WTO) ดังนั้นการดำเนินการ<br />
ค้าขายระหว่างประเทศจึงต้องปฏิบัติตามพันธกรณีและ<br />
ข้อตกลงที่กำหนดโดย WTO ในปี พ.ศ. 2538 มีการเจรจา<br />
การค้าหลายฝ่ายรอบอุรุกวัย ทำให้เกิดความตกลงทั่วไป<br />
ว่าด้วยภาษีศุลกากรและสินค้า (General Agreement on<br />
Tariffs and trade : GATT) ภายใต้ความตกลงนี้มีความ<br />
ตกลงที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรที่กำหนดให้ประเทศสมาชิก<br />
สามารถดำเนินการในเรื่องการบังคับใช้มาตรการสุขอนามัย<br />
และสุขอนามัยพืช (Sanitary and Phytosanitary Measures<br />
หรือ SPS) แทนการสร้างมาตรการด้านภาษี ความตกลง<br />
SPS ดังกล่าวให้การยอมรับอนุสัญญาว่าด้วยอารักขาพืช<br />
ระหว่างประเทศ หรือ International Plant Protection<br />
Convention ชื่อย่อ IPPC ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่ประเทศภาคี<br />
ลงนามให้สัตยาบันร่วมกันโดยอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของ<br />
องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)<br />
อนุสัญญา IPPC มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อหามาตรการที่<br />
เหมาะสม กำหนดให้ประเทศสมาชิกนำไปปฏิบัติเพื่อป้องกัน<br />
การแพร่ระบาดของศัตรูพืชจากประเทศหนึ่งไปสู่ประเทศหนึ่ง<br />
อันเป็นสาเหตุให้เกิดความสูญเสียอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศ<br />
และเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้น และกำหนดมาตรฐาน<br />
มาตรการสุขอนามัยพืชระหว่างประเทศ (International<br />
Standards for Phytosanitary Measures หรือ ISPM)<br />
เพื่อให้ความมั่นใจแก่ประเทศภาคีสมาชิกว่า มาตรการที่ใช้<br />
ปกป้องคุ้มครองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary measures)<br />
จากศัตรูพืชร้ายแรงจะมีความกลมกลืน และไม่นำไปใช้โดย<br />
ปราศจากเหตุผลทางวิทยาศาสตร์จนเป็นอุปสรรคทางการค้า<br />
ปัจจุบัน ISPMs ที่ประกาศให้ประเทศสมาชิกนำไปใช้มี 32<br />
เรื่อง แต่ละเรื่องเป็นหลักการหรือแนวทางสำหรับประเทศ<br />
ต่างๆ ในการสร้างมาตรการให้สอดคล้องกัน เป็นการ<br />
อำนวยความสะดวกด้านการค้าระหว่างประเทศเพื่อปกป้อง<br />
มิให้ศัตรูพืชที่อาจติดไปกับสินค้าพืชและผลิตภัณฑ์จาก<br />
ประเทศหนึ่งไปสู่อีกประเทศหนึ่ง ประเทศที่เป็นภาคีอนุสัญญา<br />
IPPC สามารถใช้สิทธิแสดงความเห็นต่อ ISPM แต่ละเรื่องที่<br />
ที่ประชุมใหญ่เสนอได้ และเสนอขอปรับปรุงแก้ไขได้หากมี<br />
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนโดยความเห็นชอบจาก<br />
ที่ประชุมใหญ่<br />
หน่วยงานที่รับผิดชอบงานอารักขาพืชของประเทศไทย<br />
คือกรมวิชาการเกษตร ทำหน้าที่เป็น NPPO (National<br />
Plant Protection Organization) ซึ่งมีกฏหมายที่ใช้เป็นหลัก<br />
ปฏิบัติและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการออกใบรับรอง<br />
ปลอดศัตรูพืชให้กับสินค้าพืชและผลผลิตจากพืชที่ส่งออกและ<br />
นำเข้า อีกหน่วยงานหนึ่งคือสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตร<br />
และอาหารแห่งชาติ หรือ มกอช. ทำหน้าที่เป็น contact<br />
point สื่อสารกับประเทศสมาชิก WTO ในด้านมาตรฐาน<br />
สุขอนามัยพืชภายใต้ข้อตกลง SPS และอนุสัญญา IPPC <br />
<br />
การรับมาตรฐาน ISPMs มาใช้ตรวจวินิจฉัยศัตรูพืช<br />
ประเทศไทยรับเอามาตรฐานของระเบียบวิธีการตรวจ<br />
วินิจฉัยศัตรูพืชกักกัน ซึ่งตรงกับ ISPM No.27 Diagnostic<br />
protocols for regulated pests มาใช้เป็นแนวทางในการ<br />
ปฏิบัติงานตรวจหาศัตรูพืชกักกัน ณ ด่านตรวจพืช เพื่อให้<br />
สอดคล้องกับหลักปฏิบัติที่ใช้กันในระหว่างกลุ่มประเทศภาคี<br />
สมาชิก ในมาตรฐานนี้มีเนื้อหาระบุขอบข่ายและขั้นตอนของ<br />
<strong>AG</strong>-<strong>Bio</strong> <strong>Vol</strong> <strong>002.indd</strong> 14<br />
7/20/10 11:34:04 PM
แนวปฏิบัติ ซึ่งประเทศภาคีสมาชิกจะใช้เป็นต้นแบบ เพื่อ<br />
พัฒนาระเบียบวิธีการที่จำเพาะกับศัตรูพืชแต่ละชนิดให้<br />
เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง และในกรณีที่ต้องส่งตรวจ<br />
ที่ห้องปฏิบัติการ จะต้องตรวจตาม protocol ที่ระบุไว้ใน<br />
ส่วนของ annex ของมาตรฐานเบอร์ 27 นี้ <br />
ระเบียบวิธีการวินิจฉัยศัตรูพืชโดยทั่วไปเริ่มจากการตรวจ<br />
ดูร่องรอยศัตรูพืชและ/หรืออาการที่เกี่ยวข้อง ชึ่งเกิดจาก<br />
ศัตรูพืช ระยะต่างๆ ของศัตรูพืช และวิธีการตรวจหาศัตรูพืช<br />
ในสินค้า เช่นวิธีการแยก-การสกัด วิธีกลับคืนสภาพ และวิธี<br />
การรวบรวมศัตรูพืชจากพืช ต้องมีข้อมูลและคำแนะนำสำหรับ<br />
การจำแนกศัตรูพืช ประกอบด้วยข้อมูลรายละเอียดของวิธีการ<br />
ด้านสัณฐานวิทยา วิธีการวัดทางสัณฐานวิทยา วิธีการบน<br />
พื้นฐานของคุณสมบัติทางชีววิทยา ชีวเคมีและโมเลกุลของ<br />
ศัตรูพืช เป็นต้น<br />
ปัจจุบันสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร<br />
แห่งชาติ หรือ มกอช. ร่วมกับกรมวิชาการเกษตรและสถาบัน<br />
อุดมศึกษาที่เกี่ยวข้องได้แปลมาตรฐาน ISPM No.27 เป็น<br />
ภาษาไทย ชื่อ มาตรการสุขอนามัยพืช : ระเบียบวิธีการ<br />
วินิจฉัยศัตรูพืชควบคุม ซึ่งอธิบายถึงขั้นตอนและวิธีการ<br />
สำหรับตรวจหาและจำแนกชนิดศัตรูพืชควบคุมที่เกี่ยวข้องกับ<br />
การค้าระหว่างประเทศ ระเบียบวิธีการวินิจฉัยศัตรูพืชนี้ <br />
จะนำไปใช้ในสภาวการณ์ที่แตกต่างกันซึ่งอาจต้องการวิธีการที่<br />
แตกต่างกันไป มีการจัดกลุ่มของสภาวการณ์ตามระดับความ<br />
ต้องการที่เพิ่มขึ้นในเรื่องความไวในการตรวจ ความจำเพาะ<br />
และความน่าเชื่อถือของวิธีการที่สูงขึ้น ศัตรูพืชที่เคลื่อนที่ช้าจะ<br />
ใช้วิธีการวินิจฉัยที่ต่างจากเชื้อโรคพืชที่เจริญและเคลื่อนที่ได้<br />
รวดเร็ว หรือศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงต่อพืชและระบบนิเวศของ<br />
ท้องถิ่นในระดับสูงก็จะต้องใช้วิธี<br />
การที่มีความไวและความแม่นยำสูง<br />
สิ่งที่ควรคำนึงถึงในทุกกรณีคือ<br />
ความจำเป็นที่จะต้องตรวจวินิจฉัย<br />
อย่างถูกต้องแม่นยำและทันเวลา<br />
เพื่อให้สามารถแยกแยะศัตรูพืช<br />
ต่างถิ่นได้ ดังนั้นประเทศไทยก็จะ<br />
ต้องพัฒนาระเบียบวิธีการวินิจฉัย<br />
เชื้อโรคพืชขึ้นให้เหมาะสม ให้มี<br />
ความไว ความจำเพาะและความ<br />
น่าเชื่อถือสำหรับรองรับมาตรการ<br />
ตรวจกักกันและเฝ้าระวังศัตรูพืชที่มาพร้อมกับสินค้าระหว่าง<br />
ประเทศก่อนจะหลุดรอดเข้ามาแพร่ระบาดทำความเสียหายแก่<br />
ประเทศไทย <br />
<br />
วิธีตรวจวินิจฉัยและระบุชนิดเชื้อสาเหตุโรคพืช<br />
การตรวจวินิจฉัยชนิดศัตรูพืชโดยเฉพาะที่เป็นเชื้อ<br />
จุลินทรีย์สาเหตุโรคพืชอาจใช้หลายวิธีร่วมกันในกรณีที่วิธีการ<br />
อันน่าเชื่อถือได้มีมากกว่า 1 วิธี และเป็นที่ยอมรับ วิธีการ<br />
อื่นๆ ที่มีความเหมาะสมก็อาจนำมาให้ใช้เป็นทางเลือกหรือ<br />
เป็นวิธีการเสริม เช่น ขณะที่มีการใช้วิธีทางสัณฐานวิทยา<br />
(Morphological characterization) ซึ่งมีความน่าเชื่อถือก็ยัง<br />
มีวิธีการทางชีวเคมีหรือทางโมเลกุลหรืออณูวิทยาที่เหมาะ<br />
สำหรับนำมาใช้ด้วยเช่นกัน เช่นในกรณีที่ต้องการแยกศัตรูพืช<br />
จากพืชที่ไม่แสดงอาการหรือผลิตภัณฑ์ของพืช (กรณีการเข้า<br />
ทำลายแบบแฝงตัวโดยพืชยังไม่แสดงอาการ, latent<br />
infection) อาจจะใช้วิธีการที่จำแนกศัตรูพืชบนตัวอย่างที่<br />
ไม่แสดงอาการได้โดยตรงหรือใช้วิธีการทางชีวเคมีหรือทาง<br />
โมเลกุล ซึ่งได้แก่ วิธีการทางซีรัมวิทยา (Serological<br />
techniques) อิเล็กโตรฟอเรซิส (Electrophoresis) ปฏิกิริยา<br />
ห่วงโซ่พอลิเมอเรส (Polymerase Chain Reaction, PCR)<br />
ตัวตรวจดีเอ็นเอที่ติดฉลาก (Labeled DNA Probe) <br />
รหัสแท่งของดีเอ็นเอ (DNA Barcoding) ลายพิมพ์ดีเอ็นเอ<br />
และรูปแบบดีเอ็นเอหลังจากถูกย่อยด้วยเอนไซม์ (DNA<br />
Fingerprinting & RFLPs) การหาลำดับเบสบนดีเอ็นเอ<br />
(DNA sequencing) เป็นต้น<br />
<br />
เทคนิคทางอณูชีววิทยาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมาตรฐาน <br />
ISPM <br />
เทคนิคทางอณูชีววิทยาทั้งแบบที่ใช้ดีเอ็นเอและโปรตีน<br />
(แอนติบอดี) ตอบสนองความต้องการตรวจวินิจฉัยศัตรูพืชที่<br />
รวดเร็วและแม่นยำ และสอดคล้องกับแนวโน้มของมาตรฐาน<br />
ระหว่างประเทศที่ต้องการความจำเพาะแม่นยำ ในการระบุ<br />
ชนิดศัตรูพืช เป็นวิธีการที่สามารถนำมาใช้ตรวจวินิจฉัย<br />
ศัตรูพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อโรคพืช และได้ถึงขั้นที่ทราบ<br />
ชนิดของสารพันธุกรรมและรหัส<br />
พันธุกรรมตลอดจนแสดงถึง<br />
ความสัมพันธ์ของเชื้อดังกล่าว<br />
กับเชื้ออื่นได้ในคราวเดียวกัน<br />
เทคนิคด้านดีเอ็นเอส่วนใหญ่<br />
มีความไวสูงกว่าวิธีการอื่นและ<br />
ช่วยให้แยกแยะพาหะนำโรคได้<br />
ชัดเจนยิ่งขึ้น มีประโยชน์<br />
หลากหลายทั้งการนำไปใช้<br />
เพื่อตรวจเฝ้าระวัง พยากรณ์<br />
โรคระบาดและควบคุมศัตรูพืช<br />
นิยมนำไปใช้เพื่อตรวจสอบเชื้อโรคพืชในเมล็ดพันธุ์ ท่อนพันธุ์<br />
เนื้อเยื่อพืชจากการเพาะเลี้ยง และในพันธุกรรมพืช ตรวจหา<br />
เชื้อโรคพืชที่ติดไปกับอาหารจากพืช ในสินค้าพืชที่ผ่าน<br />
กระบวนการหลังการเก็บเกี่ยว รวมไปถึงการตรวจหาเชื้อ<br />
โรคพืชที่แฝงตัวในพืช และไม่แสดงอาการให้เห็นในขณะที่มี<br />
การส่งออกหรือนำเข้า<br />
<br />
15<br />
<strong>AG</strong>-<strong>Bio</strong> <strong>Vol</strong> <strong>002.indd</strong> 15<br />
7/20/10 11:34:06 PM
เรื่องน่ารู้ Ag<strong>Bio</strong>tech<br />
เทคนิคการตรวจวินิจฉัยทางอณูชีววิทยาที่เป็นที่ยอมรับ<br />
ได้แก่ ELISA, DNA & RNA Probes, <strong>Bio</strong>-PCR, RT-PCR,<br />
Realtime PCR เทคนิคเหล่านี้มีประสิทธิภาพสูง สามารถนำ<br />
ไปใช้ได้กว้างขวางสำหรับตรวจหาเชื้อสาเหตุโรคพืชหลาย<br />
ประเภท เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ไส้เดือนฝอย ไวรัส <br />
ไวรอยด์ เทคนิค Multiplex PCR สามารถตรวจหาเชื้อ<br />
โรคพืชได้หลายชนิดในปฏิกิริยาเดียวกัน ในขณะที่เทคนิค<br />
realtime PCR อาจใช้หาปริมาณเชื้อสาเหตุโรคพืชที่ติดมา<br />
กับเมล็ดได้ (quantitative PCR) ประเทศสหรัฐอเมริกา <br />
และประเทศในแถบทวีปยุโรปและเมดิเตอร์เรเนียน ประเทศ<br />
ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ได้พัฒนาระเบียบวิธีวินิจฉัย<br />
เชื้อโรคพืช และศัตรูพืชชนิดต่างๆ ที่ใช้เทคนิคด้านดีเอ็นเอ<br />
ขึ้นมาใช้อย่างแพร่หลาย ส่วนประเทศในแถบทวีปเอเซียยังมี<br />
ระเบียบวิธีไม่มากนักแม้จะเป็นผู้ส่งออกและนำเข้ารายใหญ่<br />
ของโลก ในที่นี้จะยกตัวอย่างเทคนิคที่นิยมใช้ตรวจวินิจฉัยเชื้อ<br />
โรคพืชบางชนิดมาให้ทราบในเบื้องต้นดังต่อไปนี้<br />
<br />
เทคนิคทางเซรุ่มวิทยา<br />
วิธี ELISA ที่ใช้ตรวจวินิจฉัยเชื้อสาเหตุโรคพืช มีความ<br />
ไวของวิธีการแตกต่างกันตามชนิดของเชื้อ มีการผลิตชุดตรวจ<br />
ELISA เป็นการค้าเพื่อใช้ตรวจเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และรา<br />
ได้แก่ชุดตรวจสำเร็จรูปที่ผลิตโดยบริษัท Agdia Co.Ltd.<br />
ประเทศสหรัฐอเมริกา บริษัท Adgen ประเทศสหราช<br />
อาณาจักร และบริษัท DSMZ ประเทศเยอรมนี โดยทั่วไป<br />
จะมีมาตรฐานความไวในการตรวจเชื้อแบคทีเรียอยู่ที่ระดับ<br />
10 5 CFU/ml ซึ่งพบได้ในตัวอย่างพืชสดที่มีอาการแผลจุด<br />
ชัดเจนและมีเชื้อในปริมาณมาก ส่วนชุดตรวจสอบเชื้อไวรัสมี<br />
ความไวอยู่ที่ระดับนาโนกรัม (ng) <br />
<br />
เทคนิค PCR และ RT-PCR <br />
การตรวจสอบไวรัสสาเหตุโรคพืชเน้นที่ความแม่นยำและ<br />
รวดเร็ว ไวรัสพืชส่วนใหญ่มีสารพันธุกรรมเป็นอาร์เอ็นเอจึงใช้<br />
วิธีการตรวจสอบจากปฏิกิริยาที่เรียกว่า Reverse<br />
Transcription PCR (RT-PCR) ซึ่งปัจจุบันได้รับการพัฒนา<br />
ให้ทำปฏิกิริยาได้ในหลอดเดียวตลอดกระบวนการ ที่เรียกว่า<br />
one step RT-PCR และ one step realtime PCR มี<br />
ความไวในระดับที่ทำให้สามารถตรวจสอบไวรัสในแมลงพาหะ<br />
เพียง 1 ตัวได้ ตัวอย่างเช่น การตรวจเชื้อทอสโพไวรัสในตัว<br />
เพลี้ยไฟ กรณี Tomato spotted wilt tospovirus และ<br />
Capsicum chlorosis tospovirus เป็นต้น เมื่อต้องการ<br />
ตรวจวินิจฉัยเชื้อไวรัสหลายชนิดในคราวเดียวก็สามารถ<br />
ประยุกต์ใช้วิธีการเหล่านี้ในรูปแบบไมโครอะเรย์ วิธีการ <br />
RT-PCR ที่ใช้ตรวจสอบไวรัสใช้ได้ผลดีเช่นกันเมื่อตรวจสอบ<br />
เชื้อไวรอยด์ แต่นิยมหาลำดับเบสบนสายดีเอ็นเอผลผลิตที่ได้<br />
เพื่อยืนยันผล เทคนิคที่เป็นทางเลือกอื่นในการตรวจวินิจฉัย<br />
เชื้อไวรอยด์ ได้แก่การใช้ดีเอ็นเอตัวตรวจ ซึ่งพบว่าได้ผลดีใน<br />
การตรวจ Potato spindle tuber viroid ในหัวพันธุ์มันฝรั่ง<br />
ไวรัสที่มีสารพันธุกรรมเป็นดีเอ็นเอใช้เทคนิค PCR ได้ผลดี<br />
เนื่องจากขั้นตอนการเตรียมดีเอ็นเอต้นแบบของตัวอย่างพืช<br />
ที่นำไปใช้ในปฏิกิริยา PCR ไม่ยุ่งยากเมื่อเทียบกับการสกัด<br />
อาร์เอ็นเอจากตัวอย่างพืช <br />
วิธีการที่เรียกว่า <strong>Bio</strong>-PCR เป็นการประยุกต์วิธีการ<br />
เลี้ยงเชื้อแบคทีเรียเพื่อเพิ่มปริมาณเชื้อต้นแบบให้มีมากพอที่จะ<br />
เริ่มต้นการทำปฏิกิริยา PCR มีการพัฒนาระเบียบวิธีการ<br />
(protocol) ที่เหมาะสมสำหรับใช้ตรวจสอบเชื้อแบคทีเรีย<br />
หลายชนิด เช่น เชื้อ Ralstonia solanacearum สาเหตุโรค<br />
เหี่ยวของพืชตระกูลขิง และตระกูลพริก-มะเขือ เชื้อ Acidovorax<br />
avenae subsp. citrulii สาเหตุโรค fruit blotch ของแตงโม<br />
ซึ่งเพิ่มความไวของวิธีการให้เหนือกว่าวิธีการอื่นมาอยู่ที่ระดับ<br />
10 2 CFU/ml และวิธี realtime PCR มีความไวสูงที่สุดใน<br />
ขณะนี้อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 10 2 CFU/ml<br />
การตรวจวินิจฉัยเชื้อราสาเหตุโรคพืช ทำให้จำแนกเชื้อรา<br />
ในระดับสปีชีส์ได้ถูกต้องกว่าการใช้ลักษณะสัณฐานของเชื้อซึ่ง<br />
อาจมีความผันแปรของลักษณะดังกล่าวจากสภาวะของการ<br />
เลี้ยงเชื้อในอาหารสังเคราะห์ มีการพัฒนาวิธีการที่ใช้สาร<br />
เรืองแสงติดฉลากตัวตรวจดีเอ็นเอที่นำมาทำปฏิกิริยา<br />
16<br />
<strong>AG</strong>-<strong>Bio</strong> <strong>Vol</strong> <strong>002.indd</strong> 16<br />
7/20/10 11:34:23 PM
ealtime PCR ซึ่งบริษัทผู้ผลิตชุดตรวจเรียกเทคนิคนี้ว่า<br />
TaqMan TM probes ประเทศต่างๆ ในแถบทวีปยุโรปซึ่ง<br />
สร้างมาตรฐานระเบียบวิธีการวินิจฉัยเป็นรายเชื้อ ได้มีการ<br />
พัฒนาดีเอ็นเอที่เป็นไพรเมอร์จำเพาะ (specific primer<br />
pairs) กับเชื้อราชนิดต่างๆ ในหลาย genus เช่น<br />
Phytophthora, Colletotrichum, Helminthosporium,<br />
Rhizoctonia ทั้งที่พบบนใบพืช (foliage phytopathogen)<br />
และในดิน (soil borne phytopathogen) <br />
การวินิจฉัยและจำแนกชนิดไส้เดือนฝอยสาเหตุโรคพืช<br />
ด้วยเทคนิคด้านดีเอ็นเอ นิยมใช้วิธี PCR แต่ข้อมูลรหัส<br />
พันธุกรรมของสาเหตุโรคพืชชนิดนี้ยังมีไม่มากนัก ปัจจุบันมี<br />
ข้อมูลของ Meloidogyne arenaria, M. incognita, <br />
M. javanica, และ M. hispanica ซึ่งทำให้สามารถตรวจ<br />
จำแนกไส้เดือนฝอยแต่ละสปีชีส์เหล่านี้ได้ในคราวเดียว<br />
พร้อมกันด้วยวิธี multiplex PCR และ PCR-RFLP แต่<br />
เนื่องจากการระบาดของไส้เดือนฝอยมักเกิดขึ้นอย่างช้าๆ <br />
ขึ้นกับสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ที่ไส้เดือนฝอยอาศัยอยู่ <br />
การเกิดโรคระบาดจากไส้เดือนฝอยต่างถิ่นแบบฉับพลันจึง<br />
ไม่เกิดขึ้นเช่นที่พบกับสาเหตุโรคพืชประเภทอื่น<br />
<br />
ดีเอ็นเอบาร์โค้ด (DNA Barcode) <br />
เป็นสายดีเอ็นเอสายสั้นๆ ประมาณ 650 คู่เบส ที่ใช้<br />
เป็นเครื่องหมายแทนรหัสพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตแต่ละสปีชีส์<br />
ใช้ได้กับทุกระยะของสิ่งมีชีวิต มีความถูกต้องแม่นยำสูง ทำ<br />
ซ้ำได้เหมือนเดิมทุกครั้ง รวดเร็ว ค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก อาจ<br />
ปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพคล้าย DNA chip ที่ใช้ตรวจ<br />
ตัวอย่างได้คราวละหลายๆ ตัวอย่างหรือจำแนกได้แม้มี<br />
หลายๆ ชนิดปะปนกันอยู่ แต่ละท้องถิ่นและแต่ละประเทศควร<br />
มีการจัดทำฐานข้อมูลของดีเอ็นเอบาร์โค้ดไว้ใช้ หรือมีเครือข่าย<br />
ของข้อมูลในกลุ่มภูมิภาค เพื่อประโยชน์ในการจำแนกชนิด<br />
ศัตรูพืชที่มาจากภายนอกได้อย่างรวดเร็ว บาร์โค้ดดังกล่าว<br />
ประกอบด้วยลำดับเบสบนสายดีเอ็นเอของศัตรูพืชควบคุมที่มี<br />
การจัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อดึงข้อมูลออกมาเปรียบเทียบ<br />
กับบาร์โค้ดของสิ่งมีชีวิตที่ต้องการตรวจสอบ ตัวอย่างที่เกิด<br />
ขึ้นในประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้แก่ฐานข้อมูลของเชื้อราสาเหตุ<br />
โรครากเน่าโคนเน่าของไม้ยืนต้นที่เกิดจากเชื้อ Phytophthora<br />
ramorum โรคแคงเกอร์ของพืชตระกูลส้ม-มะนาวที่เกิดจาก<br />
เชื้อแบคทีเรีย Xanthomonas citri subsp. citri โรครากปม<br />
ของต้นสนที่เกิดจากไส้เดือนฝอยรากปม โรคไวรัสของ<br />
อัลสโตรมีเรีย (Alstroemeria) และโรคของไม้ประดับที่เกิด<br />
จากเชื้อไฟโตพลาสมา<br />
<br />
เทคนิคอื่นๆ สำหรับอนาคตอันใกล้<br />
นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วเทคนิคที่ได้รับความสนใจ<br />
อย่างมากในวงการวินิจฉัยเชื้อโรคพืชและจีโนมต่างๆ ได้แก่<br />
ไมโครอะเรย์ (Microarray) ซึ่งใช้หลักการเกาะยึดอย่าง<br />
จำเพาะของสายดีเอ็นเอคู่สมสายสั้นๆ ของเชื้อโรคพืชกับ<br />
ดีเอ็นเอตัวตรวจที่ตรงกัน อ่านผลในคราวเดียวได้หลาย<br />
ตัวอย่าง หลายชนิดและแปลผลด้วยโปรแกรมประมวลผล<br />
ของคอมพิวเตอร์ จุดเด่นคือการตรวจตัวอย่างและระบุชนิด<br />
เชื้อในคราวเดียวกันได้เป็นจำนวนมาก มีความแม่นยำ ทำซ้ำ<br />
ได้ผลเช่นเดิมทุกครั้งและสามารถประยุกต์เข้ากับความ<br />
ต้องการตรวจสอบที่หลากหลายทั้งการตรวจสอบผลผลิตพืช<br />
อาหารจากพืช เมล็ดพันธุ์ ที่มีปริมาณการตรวจสอบมากใน<br />
แต่ละวัน ปัจจุบันมีการพัฒนาอุปกรณ์ที่ทันสมัยเพื่อให้<br />
สามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ได้ง่ายขึ้น เทคนิควิธีการอื่นที่<br />
ตอบสนองความต้องการแบบเดียวกันนี้ได้ เช่น ไบโอเซนเซอร์<br />
(<strong>Bio</strong>sensor) ที่ใช้ตัวตรวจในรูปของดีเอ็นเอ หรือโปรตีน<br />
รวมทั้งแอนติบอดีจับสารประกอบจำเพาะของเชื้อโรคพืชที่<br />
ตรงกันและรายงานผลในรูปของภาพ แสง สี หรือตัวเลขที่<br />
คำนวณเปรียบเทียบกับมาตรฐาน เทคนิคการใช้จมูก<br />
อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic noses) อาศัยการวิเคราะห์<br />
สารประกอบประเภทโวลาไทล์ (volatile substances) <br />
หลายชนิดที่ระเหยจากเชื้อหรือสารประกอบจำเพาะอันเนื่อง<br />
มาจากเชื้อ พร้อมๆ กันหลายสาร แล้วประมวลผลเปรียบเทียบ<br />
กับข้อมูลมาตรฐานเพื่อระบุชนิดของเชื้อโรคได้<br />
<br />
<br />
ความต้องการการพัฒนาด้านระเบียบวิธีการตรวจ <br />
วินิจฉัยศัตรูพืชสำหรับประเทศไทย<br />
สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ<br />
หรือ มกอช. ได้ริเริ่มจัดทำระเบียบวิธีการวินิจฉัยที่ใช้สำหรับ<br />
ตรวจเชื้อแบคทีเรีย Pantoea stewartii subsp. stewartii<br />
สาเหตุโรคเหี่ยวของข้าวโพด จากเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด ขึ้นใช้<br />
เป็นมาตรฐานด้านสุขอนามัยพืชแห่งชาติ ซึ่งได้ประกาศใน<br />
ราชกิจจานุเบกษาเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 ที่เป็นส่วน<br />
annex ของมาตรฐานระหว่างประเทศ ISPM No.27 วิธี<br />
การที่นำมาใช้ในการระบุชนิดของเชื้อนี้มีตั้งแต่วิธีการแบบ<br />
ดั้งเดิมที่ใช้การแยกเชื้อมาเลี้ยงบนอาหารเลี้ยงเชื้อกึ่งคัดเลือก<br />
การใช้แอนติบอดีตรวจสอบเชื้อด้วยเทคนิคทางเซรุ่มวิทยา<br />
เช่น ELISA การตรวจคุณสมบัติเฉพาะของเชื้อ เช่น รูปร่าง<br />
ลักษณะ การติดสี แกรม การเคลื่อนที่ การทดสอบทาง<br />
ชีวเคมี การใช้เทคนิค <strong>Bio</strong>log ไปจนถึงการตรวจด้วยเทคนิค<br />
ด้านดีเอ็นเอ เช่น PCR ครอบคลุมถึงการวิเคราะห์ลายพิมพ์<br />
ดีเอ็นเอและลำดับเบสบนดีเอ็นเอ อุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์<br />
เป็นตลาดการค้าสำคัญที่ต้องพึ่งพาเทคนิคด้านอณูชีววิทยา<br />
ในการตรวจวินิจฉัยศัตรูพืช จากตัวอย่างความเสียหายอันเกิด<br />
จากโรคผลเน่าของแตงโม (Watermelon fruit blotch<br />
disease) ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Acidovorax avenae<br />
subsp. citrulii ที่เชื้อติดมากับเมล็ดพันธุ์ (seed borne) 17<br />
<strong>AG</strong>-<strong>Bio</strong> <strong>Vol</strong> <strong>002.indd</strong> 17<br />
7/20/10 11:34:24 PM
เรื่องน่ารู้ Ag<strong>Bio</strong>tech<br />
ส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่เมล็ดพันธุ์มูลค่ากว่า 75 ล้าน<br />
เหรียญสหรัฐฯ ในพื้นที่ปลูกแตงโมในประเทศสหรัฐอเมริกากว่า<br />
250,000 เอเคอร์ คิดเป็นมูลค่าผลผลิตแตงโมถึง 450<br />
ล้านเหรียญสหรัฐฯ ระดับความเสี่ยงของศัตรูพืชชนิดดังกล่าว<br />
จัดเป็นระดับสูงสุดที่ไม่ต้องการให้มีการปนเปื้อนของเชื้ออย่าง<br />
สิ้นเชิง (Zero-tolerance level) ในประเทศไทยพบโรคนี้<br />
ระบาดแพร่หลายในพื้นที่ปลูกแตงโมทั่วทุกภูมิภาคซึ่งจะต้องมี<br />
การควบคุมไม่ให้แพร่ระบาดมากไปกว่านี้ ประเทศที่เป็นคู่ค้า<br />
ต้องการให้ตรวจรับรองเมล็ดพันธุ์ให้ปลอดเชื้อดังกล่าวก่อน<br />
ส่งออก เช่นเดียวกับกรณีโรคเหี่ยวของข้าวโพดที่เกิดจากเชื้อ<br />
แบคทีเรีย Pantoea stewartii subsp.<br />
stewartii และเชื้อติดไปกับเมล็ดพันธุ์นั้น<br />
แม้จะยังไม่มีรายงานอย่างเป็นทางการ<br />
ว่าพบโรคนี้ในประเทศไทย แต่ไทยต้อง<br />
ตรวจสอบรับรองเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด<br />
ส่งออกว่าปลอดเชื้อ เชื้อแบคทีเรียที่<br />
ติดมากับเมล็ดพืชอาจมีอยู่มีในปริมาณ<br />
น้อย และอาจไม่สามารถเจริญจนเข้า<br />
ทำลายต้นกล้าที่งอกจากเมล็ดเหล่านั้นได้<br />
แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าที่ระดับใดจะปลอดจากการ<br />
เป็นโรค ดังนั้นการตรวจสอบเชื้อดังกล่าว จึงจำเป็นต้อง<br />
ตรวจให้พบไม่ว่าจะมีปริมาณน้อยเพียงใด ซึ่งเทคนิคด้าน<br />
ดีเอ็นเอเป็นทางเลือกที่เหมาะสม<br />
แม้ว่าการใช้เทคนิควิธีการวินิจฉัยแบบดั้งเดิมทั่วไป เช่น<br />
การแยกเชื้อบนอาหารเลี้ยงเชื้อ การปลูกเชื้อบนพืชอาศัย<br />
การทดสอบการก่อโรคของเชื้อจะเป็นวิธีการที่ได้รับการ<br />
ยอมรับมานานว่ามีความถูกต้อง แม่นยำ และไม่จำกัดระยะ<br />
เวลาของการตรวจ แต่เทคนิคทางอณูชีววิทยามีความสำคัญ<br />
ต่อการตรวจสอบเชื้อโรคพืชที่ไม่สามารถใช้สายตาและอุปกรณ์<br />
อย่างง่ายๆ หรือมีระยะเวลาจำกัด แต่จำเป็นต้องส่งตัวอย่าง<br />
ไปยังห้องปฏิบัติการเฉพาะทางเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละเชื้อ<br />
ตรวจพิเคราะห์และระบุชนิดตลอดจนสายพันธุ์โดยละเอียด<br />
เช่นกรณีของอาหารจากพืช เมล็ดพันธุ์ ท่อนพันธุ์ ซึ่งวิธีการ<br />
ตรวจเฉพาะทางที่มีความแม่นยำสูงเหล่านี้ควรได้รับการ<br />
พัฒนาให้สามารถดำเนินการได้ ณ ด่านตรวจพืช และ<br />
สอดคล้องกับสภาวการณ์ของประเทศ<br />
ไทยเพื่อสนับสนุน ส่งเสริมการค้า<br />
สินค้าพืชไปยังต่างประเทศที่เป็นแบบ<br />
ไร้พรมแดนและไม่มีมาตรการด้านภาษี<br />
แต่ในขณะเดียวกันสามารถระงับยับยั้ง<br />
การแพร่เข้ามาของศัตรูพืชต่างถิ่นได้<br />
ทันท่วงที เพื่อลดความเสี่ยงและความ<br />
เสียหายต่อผลผลิตพืชภายในประเทศ<br />
นอกจากนี้การเพิ่มศักยภาพของ<br />
ห้องปฏิบัติการและบุคลากรผู้ปฏิบัติงานให้ทันสมัย มี<br />
ประสิทธิภาพสูงทัดเทียมกับประเทศคู่ค้า การให้ความรู้<br />
และสร้างความเข้าใจเรื่อง SPS ให้แก่เกษตรกรและ<br />
ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้การใช้มาตรการด้าน<br />
สุขอนามัยพืชเกิดเป็นผลดีต่อระบบการผลิตและการค้าของ<br />
ประเทศไทยโดยรวม<br />
18<br />
บรรณานุกรม<br />
• สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ. 2551. มาตรการสุขอนามัยพืช : ระเบียบวิธีการวินิจฉัยศัตรูพืชควบคุม. <br />
• สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ. 2551. มาตรการสุขอนามัยพืช : ระเบียบวิธีการวินิจฉัยเชื้อ Pantoea <br />
stewartii subsp. stewartii สาเหตุโรคเหี่ยวของข้าวโพด.<br />
• อรพันธ์ ภาสวรกุล. (ไม่ทราบปีที่พิมพ์เผยแพร่). บัญญัติ 10 ประการภายใต้ข้อตกลงทางสุขอนามัยพืชและสัตว์ขององค์กร<br />
การค้าโลก. กลุ่มระบาดวิทยาทางสัตวแพทย์ สำนักควบคุมป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์ (แปลและเรียบเรียงจาก <br />
Campos H. The Ten Commandments of the Sanitary and Phytosanitary Agreement of the World Trade<br />
Organization (http://fao.org/ag/aga/agah/vets-1-2/7eng.htm)<br />
• Ball SL, Amstrong KF. 2005. DNA Barcoding: a standardized global tool for the identification of invasive alien<br />
species. Aquatic Nuisance Species Task. Force. Asia–Pacific Economic Forum, Beijing China.<br />
• Davies H. (ed). 2010. <strong>Bio</strong>security, National Center for <strong>Bio</strong>security and Infectious Disease 105 years of science<br />
history. MAF <strong>Bio</strong>security Newzealand. 36pp.<br />
• Diagnostic protocols for regulated pests. 2006. ISPM No.27. FAO Rome.<br />
• Schaad NW, Frederick RD, Shaw J, Schneider WL, Hickson R, Petrillo MD, and Luster DG. 2003. Advances in <br />
molecular-based diagnostics in meeting crop biosecurity and phytosanitary issue. Annu. Rev. Phytopathol. 41:<br />
305-24.<br />
<strong>AG</strong>-<strong>Bio</strong> <strong>Vol</strong> <strong>002.indd</strong> 18<br />
7/20/10 11:34:25 PM
Ag<strong>Bio</strong>tech Hot News /<br />
ชีวิต (ใกล้จะ) สังเคราะห์ได้?<br />
รศ.ดร.วิชัย โฆสิตรัตน<br />
<strong>ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร</strong> <br />
ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กำแพงแสน <strong>มหาวิทยาลัย</strong>เกษตรศาสตร์ <br />
20 พฤษภาคม 2553 มีการเสนอข่าวใหญ่ของโลก<br />
เกี่ยวกับชีวิต (life) อยู่ 2 เรื่อง เรื่องที่หนึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัว<br />
คือมีการสูญเสียชีวิต (loss of life) ของคนไทยกว่า 80<br />
ชีวิต ในการเกิดเหตุการณ์ไม่สงบในการขอพื้นที่คืน จากการ<br />
ชุมนุมของคนเสื้อแดง ย่านราชประสงค์ กรุงเทพฯ ซึ่งมาเป็น<br />
ข่าวบดบังข่าวใหญ่ของโลก คือ นักวิทยาศาสตร์ของสถาบัน<br />
เจ เคร็ค เวนเตอร์ (The J. Craig Venter Institue, USA)<br />
ซึ่งนำโดย ดร. เคร็ค เวนเตอร์ ได้ตีพิมพ์รายงานในวารสาร<br />
Science ถึง การสังเคราะห์จีโนม (สารพันธุกรรมทั้งหมด)<br />
ของเชื้อมายโคพลาสมา มายคอยดิส (Mycoplasma<br />
mycoides) ซึ่งมีขนาดยาว 1.08 ล้านคู่เบส และนำไปถ่าย<br />
ฝากเข้าสู่เชื้อมายโคพลาสมา อีกชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า <br />
มายโคพลาสมา คาปริโคลัม (M. capricolum) และสามารถ<br />
เลี้ยงพัฒนาเจริญเติบโตกลายเป็นเชื้อ มายโคพลาสมา <br />
มายคอยดิส ตามจีโนมสังเคราะห์ที่ได้ถ่ายฝาก หรือนัยหนึ่ง<br />
เป็นการสร้าง เซลล์สังเคราะห์ (synthetic cell) ซึ่งเป็นก้าว<br />
เบื้องต้นที่จะนำไปสู่ชีวิตที่สังเคราะห์ได้ และถ้าพัฒนาให้วิธีการ<br />
เหล่านี้มีประสิทธิภาพ กระทำได้โดยง่าย นักวิทยาศาสตร์ก็<br />
สามารถที่จะออกแบบสังเคราะห์ยีน นำยีนมาประกอบและ<br />
ถ่ายฝาก เพื่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตใหม่ที่เป็นประโยชน์ได้ เช่นการ<br />
สร้างสาหร่ายเซลล์เดียว เพื่อผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ<br />
แม้ว่าจะมีผู้ออกมาวิจารณ์งานของ ดร.เคร็ค เวนเตอร์<br />
โดยทันควันว่า เป็นเพียงแต่การนำข้อมูลลำดับดีเอ็นเอที่ทราบ<br />
แล้วของเชื้อมาสังเคราะห์ชิ้นดีเอ็นเอขนาดสั้นๆ ราว 1,000<br />
คู่เบสหลายร้อยชิ้น แยกเป็นส่วนๆ และมีการทับซ้อนกัน<br />
ประมาณ 80 คู่เบส จากนั้นนำมาเชื่อมต่อกันให้เหมือนเดิม<br />
โดยใช้ระบบในเชื้อยีสต์ และดัดแปลงเพียงบางส่วนของจีโนม<br />
สังเคราะห์ โดยใส่ดีเอ็นเอที่เป็นเครื่องหมายลายน้ำ<br />
<br />
Craig Venter (ยืน) กับนักวิจัยรางวัลโนเบล Hamiton Smith (นั่ง)<br />
ผู้เป็นกำลังสำคัญในการสร้างชีวิตสังเคราะห์<br />
(watermarks) เพื่อบ่งบอกว่าเป็นเชื้อนี้ภายหลังมีการ<br />
แสดงออกของจีโนมสังเคราะห์แล้ว ท้ายสุดเมื่อนำจีโนม<br />
สังเคราะห์นี้ใส่กลับเข้าไปในเชื้ออีกตัวหนึ่งที่ใช้เป็นเซลล์ผู้รับ<br />
ทำให้จีโนมเดิมของเซลล์ผู้รับโดนทำลายไป และจีโนม<br />
สังเคราะห์ช่วยให้เซลล์ผู้รับมีชีวิตและแสดงลักษณะใหม่ตามคำ<br />
สั่งของจีโนมสังเคราะห์ ขั้นตอนดังที่กล่าวมาแล้วยังถือว่า<br />
ไม่ใช่การสร้างชีวิตสังเคราะห์ หรือเซลล์สังเคราะห์โดยแท้จริง<br />
แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะเห็นถึงประโยชน์ของชีวิตสังเคราะห์<br />
ที่จะนำมาใช้ประโยชน์ในอนาคตอย่างมหาศาลก็ตาม แต่มี<br />
การถกเถียง และวิตกกังวลในเรื่องที่อาจจะเกิดผลกระทบ<br />
อย่างไม่คาดคิด และยังไม่มีการเตรียมการในกฎระเบียบของ<br />
การควบคุมงานวิจัยลักษณะเช่นนี้ ซึ่งผู้วิจัยให้ความเห็น<br />
ว่าการสังเคราะห์จีโนมนั้นยังไม่ง่ายดายเหมือนที่คนทั่วไป<br />
คิดนัก ไม่ควรตื่นตระหนก<br />
อย่างไรก็ตาม วันนี้ชีวิตที่ (ใกล้จะ) สังเคราะห์ได้ <br />
เริ่มอุบัติขึ้นแล้วบนโลกนี้<br />
<br />
<br />
เอกสารอ้างอิง<br />
Gibson, et al. 2010. Creation of a bacterial cell<br />
controlled by a chemical synthesized genome. <br />
SciencExpress. www.sciencexpress.org 20 May 2010<br />
โคโลนีของเชื้อมายโคพลาสมา มายคอยดิส ที่สังเคราะห์ขึ้น<br />
เมื่อเลี้ยงบนอาหารเพาะเลี้ยงเป็นเวลา 3 วัน เนื่องจากยีน lac Z<br />
(beta-galactosidase) ที่ถ่ายเข้าไป ทำให้โคโลนีมีสีน้ำเงิน เมื่อเติม<br />
สับสเตรท X-gal ลงในอาหาร<br />
<br />
เชื้อมายโคพลาสมา มายคอยดิส <br />
ที่สังเคราะห์ขึ้น ย้อมด้วยแอมโมเนียม โมลิบเดส <br />
ดูภายใต้กล้องจุลทรรศน์อิเล็คตรอน<br />
19<br />
<strong>AG</strong>-<strong>Bio</strong> <strong>Vol</strong> <strong>002.indd</strong> 19<br />
7/20/10 11:34:28 PM
ข่าวกิจกรรม<br />
29 - 30 เมษายน 2553 <br />
<strong>ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร</strong><br />
<strong>มหาวิทยาลัย</strong>เกษตรศาสตร์<br />
<strong>ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร</strong> ร่วมกับ<br />
กลุ่มวิจัยด้านพืช ศูนย์พันธุวิศวกรรม<br />
และเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ จัดการ<br />
ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การ<br />
เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อไม้สัก” และ “การ<br />
ประยุกต์ใช้ชุดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์”<br />
พร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วย web 2.0<br />
โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งสองวัน<br />
จำนวน 60 คน <br />
<br />
4-6 พฤษภาคม 2553 <br />
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยี<br />
ชีวภาพเกษตร <br />
ผู้อำนวยการ และ รองผู้อำนวยการ<br />
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีชีวภาพ<br />
เกษตร เข้าร่วมประชุมงาน <strong>Bio</strong><br />
International Convention ร่วมเปิดซุ้ม<br />
แสดงนิทรรศการของประเทศไทย และ<br />
เปิดตัวหนังสือ Transformational<br />
Science: Life Sciences in Thailand<br />
ณ เมืองชิคาโก มลรัฐอิลินอยส์<br />
ประเทศสหรัฐอเมริกา<br />
<br />
14 พฤษภาคม 2553 <br />
<strong>ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร</strong><br />
<strong>มหาวิทยาลัย</strong>เกษตรศาสตร์<br />
ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพ<br />
เกษตร และคณาจารย์ให้การต้อนรับ<br />
คณะผู้บริหารบริษัทกรุงเทพอุตสาหกรรม<br />
เมล็ดพันธุ์จำกัด หน่วยงานวิจัย และ<br />
พัฒนาพันธุ์ข้าวโพด จำนวน 3 ท่าน<br />
ที่เข้าเยี่ยมชมดูงาน และปรึกษาเรื่อง <br />
การจัดตั้งห้องปฏิบัติการเทคโนโลยี<br />
ชีวภาพของบริษัท<br />
<br />
<br />
20<br />
25 พฤษภาคม - 8 กรกฎาคม 2553 <br />
<strong>ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร</strong><br />
<strong>มหาวิทยาลัย</strong>เกษตรศาสตร์<br />
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยี<br />
ชีวภาพเกษตร ร่วมกับ คณะเกษตร<br />
กำแพงแสน ภายใต้การสนับสนุนทาง<br />
วิชาการ จากรัฐบาลประเทศบังคลาเทศ<br />
ได้จัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มพูน<br />
ความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยีชีวภาพ<br />
เกษตรขั้นสูง ให้แก่นักวิชาการเกษตร<br />
จากประเทศบังคลาเทศ จำนวน 12 คน<br />
ในเรื่อง เทคนิคโมเลกุลเครื่องหมายเพื่อ<br />
การปรับปรุงพันธุ์พืช (Marker-assisted<br />
selection for plant breeding) ณ ศูนย์<br />
เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร <strong>มหาวิทยาลัย</strong><br />
เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน<br />
โดยการฝึกอบรม ประกอบด้วยการ<br />
ฝึกอบรมพื้นฐานด้านชีวโมเลกุล และการ<br />
ประยุกต์ใช้ประโยชน์ในทางการเกษตร<br />
4 มิถุนายน 2553 <br />
<strong>ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร</strong><br />
<strong>มหาวิทยาลัย</strong>เกษตรศาสตร์<br />
<strong>ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร</strong><br />
<strong>มหาวิทยาลัย</strong>เกษตรศาสตร์ วิทยาเขต<br />
กำแพงแสน จัดงานปฐมนิเทศนิสิต<br />
บัณฑิตในหลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพ<br />
เกษตรของศูนย์ฯ ที่เข้าศึกษาในภาคต้น<br />
ปีการศึกษา 2553 โดยมีนิสิตใหม่<br />
ระดับปริญญาเอก จำนวน 14 คน<br />
และระดับปริญญาโท 4 คน<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
10-12 มิถุนายน 2553 <br />
<strong>ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร</strong><br />
<strong>มหาวิทยาลัย</strong>เกษตรศาสตร์<br />
<strong>ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร</strong> ร่วม<br />
กับหน่วยงานต่างๆ ใน<strong>มหาวิทยาลัย</strong><br />
เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน<br />
ร่วมจัดกิจกรรมโครงการค่ายวิทยาศาสตร์<br />
นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้าน<br />
วิทยาศาสตร์ ให้กับคณะนักเรียนและครู<br />
จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โดยมี<br />
นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 44<br />
คน และครู 4 คน โดยได้เข้าร่วม<br />
กิจกรรมในเรื่องต่างๆ เช่น การควบคุม<br />
ศัตรูพืชโดยชีววิธี การวิจัยพืชผัก<br />
พื้นบ้าน การอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า<br />
เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร ตลอดจนไป<br />
เยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง<br />
กับปราชญ์ชาวบ้าน ชุมชนวัดปลัก<br />
ไม้ลาย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม<br />
<strong>AG</strong>-<strong>Bio</strong> <strong>Vol</strong> <strong>002.indd</strong> 20<br />
7/20/10 11:34:46 PM