พยาธิวิทยาของเนืองอก (Neoplasia) - มหาวิทยาลัยนเรศวร
พยาธิวิทยาของเนืองอก (Neoplasia) - มหาวิทยาลัยนเรศวร
พยาธิวิทยาของเนืองอก (Neoplasia) - มหาวิทยาลัยนเรศวร
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
14/08/55<br />
<strong>พยาธิวิทยาของเนืองอก</strong><br />
(<strong>Neoplasia</strong>)<br />
ผศ.พญ. จุลินทร สําราญ, พ.บ., ว.ว. (พยาธิวิทยากายวิภาค)<br />
ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์<br />
<strong>มหาวิทยาลัยนเรศวร</strong><br />
เนือหา<br />
• ส่วนที 1 (Part I): Terminology<br />
• ส่วนที 2 (Part II): Neoplastic<br />
Classification and Nomenclature<br />
• ส่วนที 3 (Part III):<br />
Pathogenesis of <strong>Neoplasia</strong><br />
• ส่วนที 4 (Part IV): Clinical Features,<br />
Diagnosis of <strong>Neoplasia</strong>, and Treatment.<br />
Non-neoplastic proliferation<br />
Non-neoplastic Proliferation<br />
Versus<br />
Neoplastic Proliferation<br />
• การเพิมจํานวนของเซลล์และเนือเยือ อัน<br />
เนืองจาก<br />
1.การปร ับตัวของเซลล์ หรือทีเรียกว่า<br />
Cellular adaptation เนืองจากสิงกระตุ้น<br />
(Stimulus) และหมดสิงกระตุ้น จํานวน<br />
ของเซลล์ก็จะกล ับสู่สภาวะปกติ<br />
2.การเจริญเติบโตทีผิดปกติ<br />
(Developmental abnormality)<br />
1
14/08/55<br />
Pathological<br />
process<br />
สิงกระตุ้น<br />
(Stimulus)<br />
Physiological<br />
change<br />
Non-neoplastic proliferation<br />
• Hyperplasia<br />
• Hamartomas<br />
• Choristomas<br />
•Hormonal change<br />
•Exercise<br />
Hamartomas<br />
Chondroid hamartoma of Lung<br />
เป็นการเพิมจํานวนของเซลล์หรือเนือเยือ<br />
ซึงพบได้ปกติในอว ัยวะด ังกล่าว จนเกิด<br />
เป็นก้อนขึนมา ซึงความผิดปกติดังกล่าว<br />
จัดเป็นการเจริญเติบโตทีผิดปกติ<br />
(Developmental abnormality) และ ไม่<br />
จัดเป็นเนืองอก (<strong>Neoplasia</strong>)<br />
Picture นํามาจาก pathhsw5m54.ucsf.edu<br />
2
14/08/55<br />
Chondroid hamartoma of Lung<br />
Chondroid hamartoma of Lung<br />
Picture นํามาจาก pathhsw5m54.ucsf.edu<br />
Picture นํามาจาก pathhsw5m54.ucsf.edu<br />
Chondroid hamartoma of Lung<br />
Respiratory epithelium<br />
Choristomas<br />
เป็นการเพิมจํานวนของเซลล์หรือเนือเยือปกติ<br />
จนเกิดเป็นก้อน แต่ไม่จัดเป็นเนืองอก โดย<br />
เซลล์หรือเนือเยือทีเป็นส่วนประกอบของก้อน<br />
นันไม่ใช่เซลล์หรือเนือเยือทีพบปกติใน<br />
อว ัยวะด ังกล่าว ความผิดปกตินีจัดเป็นการ<br />
เจริญเติบโตทีผิดปกติ(Developmental<br />
abnormality) มากกว่าจะเป็นเนืองอก<br />
Cartilage<br />
Picture นํามาจาก http://www.path.utah.edu<br />
3
14/08/55<br />
Adaptation<br />
Preneoplastic<br />
process<br />
Dysplasia<br />
<strong>Neoplasia</strong><br />
Dysplasia<br />
การเจริญของเซลล์ทีผิดปกติ ทังลักษณะ<br />
ของเซลล์ (Cytological features) และ การ<br />
เรียงต ัวทีผิดจากปกติ คล้ายก ับเซลล์มะเร็ง แต่<br />
ยังไม่พบมีการแทรกของเซลล์ทีผิดปกตินันไป<br />
ยังเนือเยือข้างเคียงเหมือนก ับทีพบใน<br />
โรคมะเร็ง สามารถเปลียนกล ับสู่สภาพเดิมถ้า<br />
ขาดสิงกระตุ้น และถ้าผิดปกติรุนแรง อาจ<br />
เปลียนแปลงเป็นมะเร็งได้ หรือเรียกว่า<br />
Premalignancy<br />
Mild cervical<br />
dysplasia with<br />
HPV infection<br />
Severe cervical<br />
dysplasia with<br />
HPV infection<br />
การเรียงต ัวทีผิดปกติของ<br />
เซลล์พบเฉพาะด้านล่าง<br />
ประมาณ 1/3 ของความ<br />
หนาของ Squamous<br />
epithelium<br />
การเรียงต ัวทีผิดปกติ<br />
ของเซลล์พบเกือบ<br />
ตลอดความหนา<br />
(ประมาณ 2/3)ของ<br />
Squamous<br />
epithelium<br />
4
14/08/55<br />
Neoplastic proliferation<br />
• Tumor, Cancer and Neoplasm<br />
• Benign and Malignant<br />
neoplasm/tumor<br />
• Borderline neoplasm/tumor<br />
Neoplastic Proliferation<br />
เป็น การเพิมจํานวนและขนาดของ<br />
เซลล์และเนือเยือทีเกิดขึนตลอด แม้ว่าจะ<br />
ไม่มีสิงกระตุ้นนันแล้ว เนืองจากสิง<br />
กระตุ้นดังกล่าวนัน ทําให้เกิดการ<br />
เปลียนแปลงในระด ับสารพ ันธุกรรมที<br />
ควบคุมการเพิมจํานวนและขนาดของ<br />
เซลล์และเนือเยือ จึงเกิดเป็นการ<br />
เปลียนแปลงอย่างถาวร<br />
Tumor, Cancer and Neoplasm<br />
• Tumor – ภาษาลาติน “ก้อนเนือทีเกิดจากการ<br />
บวมของเนือเยือ (Tissue Swelling)” แต่<br />
โดยท ัวไปหมายถึง ก้อนเนืองอก<br />
• <strong>Neoplasia</strong> หมายถึง ก้อนเนืองอกทีเกิดจาก<br />
การเพิมจํานวนและขนาดของเซลล์และ<br />
เนือเยือตลอดเวลา แม้ว่าสิงกระตุ้นดังกล่าวนัน<br />
จะถูกกําจ ัดไปแล้ว อ ันเป็นผลจากการ<br />
เปลียนแปลงอย่างถาวรของสารพันธุกรรมที<br />
เกียวข้องก ับการควบคุมการเพิมจํานวนของ<br />
เซลล์<br />
• Cancer รากศ ัพท์เดิม “Crab หรือ ปู ”<br />
หมายความว่า ก้อนเนืองอกร้ายแรงหรือ<br />
มะเร็ง เกิดจากการเพิมจํานวนของเซลล์ทีมี<br />
รูปร่างลักษณะผิดปกติแบบไม่สามารถ<br />
ควบคุมได้ เซลล์มีการรุกรานเนือเยือ<br />
ข้างเคียงแบบขาปู และสามารถกระจายไป<br />
อว ัยวะอืนได้<br />
5
14/08/55<br />
Benign Neoplasm/Tumor:<br />
เนืองอกไม่ร้ายแรง ส่วนใหญ่จะมีลักษณะทีคล้ายคลึง<br />
กับเนือเยือปรกติทีเป็นต้นกําเนิด - Well<br />
differentiation ไม่มีการแทรกหรือรุกรานเนือเยือ<br />
ปกติข้างเคียงและเกิดขึนเฉพาะทีโดยไม่มีการ<br />
กระจายไปย ังเนือเยือหรืออว ัยวะอืนๆ<br />
Benign<br />
tumor<br />
Salivary gland<br />
เนืองอกสีขาวขนาด<br />
4x3 cm ขอบเขตแยก<br />
จากเนือเยือต่อมนํ าลาย<br />
ปกติข้างเคียงชัดเจน<br />
Malignant neoplasm/ tumor or Cancer:<br />
เนืองอกร้ายแรงหรือ<br />
มะเร็ง ทีมีการเพิมจํานวน<br />
ของเซลล์อย่างควบคุม<br />
ไม่ได้และพบมีการแทรก<br />
หรือรุกรานไปย ังเนือเยือ<br />
ปกติ (เรียกว่า Invasion)<br />
นอกจากน ันเนืองอก<br />
ร้ายแรงอาจจะ<br />
แพร่กระจายไปเติบโตใน<br />
เนือเยือหรืออว ัยวะอืน<br />
(เรียกว่า Metastasis)<br />
Lung cancer<br />
ความแตกต่างระหว่าง<br />
Benign กับ Malignant tumor<br />
Benign neoplasm<br />
VS<br />
Malignant neoplasm<br />
6
14/08/55<br />
ลักษณะและคุณสมบ ัติของเนืองอก<br />
Benign VS Malignant<br />
• Differentiation<br />
• Anaplasia<br />
• Rate of growth<br />
• Local invasion<br />
• Metastasis<br />
Differentiation<br />
Differentiation คือ ล ักษณะของเนืองอก เมือ<br />
เปรียบเทียบก ับเซลล์หรือเนือเยือปกติทีเป็นเซลล์หรือ<br />
เนือเยือต้นกําเนิดทังในด้าน ลักษณะรูปร่างและการ<br />
ทํางาน (Function)<br />
• Well differentiation - เนืองอกน ันมีลักษณะรูปร่าง<br />
และการทํางานใกล้เคียงก ับเซลล์หรือเนือเยือต้น<br />
กําเนิดมาก แสดงถึงว่า เนืองอกมีการเจริญทีดี<br />
• Poorly differentiation – เมือเนืองอกน ันมีลักษณะ<br />
แตกต่างจากเซลล์หรือเนือเยือปกติมากจนแทบจะ<br />
บอกเซลล์หรือเนือเยือต้นกําเนิดไม่ได้<br />
• Moderately differentiation - เมือเนืองอกน ันมี<br />
การเจริญทีกํากึงระหว่าง 2 ชนิดข้างต้น<br />
เนืองอกชนิดไม่ร้ายแรง<br />
(Benign neoplasm)<br />
เนืองอกชนิดนีมีลักษณะการเจริญทังรูปร่างและการ<br />
ทํางานของเซลล์หรือเนือเยือทีคล้ายก ับเซลล์หรือ<br />
เนือเยือปกติทีเป็นต้นกําเนิดมาก –<br />
“ Well differentiated neoplasm” เช่น<br />
• Leiomyoma ที มดลูก เป็นเนืองอกทีเจริญมาจาก<br />
กล้ามเนือเรียบของมดลูก และจะพบว่าเซลล์เนืองอก<br />
ชนิดนีมีลักษณะคล้ายก ับเซลล์กล้ามเนือเรียบมาก<br />
เพียงแต่ปริมาณเซลล์จะหนาแน่นกว่า<br />
• Adenoma ของ เต้านม เนืองอกประกอบด้วย ต่อม<br />
และท่อนํ านมขนาดเล็กจํานวนมาก โดยมีลักษณะ<br />
เหมือนต่อมและท่อนํ านมปกติ<br />
Leiomyomas<br />
ที มดลูก<br />
7
14/08/55<br />
เนืองอกชนิดร้ายแรง<br />
(Malignant neoplasm)<br />
เนืองอกชนิดร้ายแรง(มะเร็ง) เซลล์มะเร็งมี<br />
ลักษณะรูปร่างหลากหลาย เมือเทียบก ับ<br />
เซลล์หรือ เนือเยือทีเป็นต้นกําเนิด ถ้า<br />
ลักษณะใกล้เคียงก ับเซลล์ต้นกําเนิดมาก<br />
แสดงว่ามี Well differentiation และถ้า<br />
แตกต่างมาก - Poorly differentiation และ<br />
ถ้าไม่สามารถบอกเซลล์ต้นกําเนิดได้เลย จะ<br />
เรียกว่า Lack of differentiation, หรือ<br />
Anaplasia<br />
Mucosa ปกติ<br />
Moderately diff.<br />
Well diff.<br />
Poorly diff.<br />
Anaplasia<br />
Anaplasia หรือ Lack of differentiation:<br />
หมายถึง เนืองอกทีมีลักษณะรูปร่างและการทํางาน<br />
ของเซลล์หรือเนือเยือแตกต่างจากเซลล์ต้นกําเนิด<br />
และบางคร ังไม่สามารถบอกเซลล์ต้นกําเนิดได้เลย<br />
• ในเนืองอกก้อนเดียวก ัน เซลล์เนืองอกในแต่ละเซลล์<br />
มีความแตกต่างก ันทัง รูปร่าง ขนาดและนิวเคลียส<br />
เรียกว่ามี Pleomorphism<br />
• นิวเคลียสของเซลล์เนืองอกจะมีสีนําเงินเข้มขึน<br />
เนืองจากมีปริมาณของ DNA เพิมมากขึน เรียกว่า<br />
Nuclear hyperchromatism<br />
Malignant melanoma<br />
8
14/08/55<br />
• นิวเคลียสของเซลล์มะเร็งใหญ่ขึน ดังนันสัดส่วนของ<br />
นิวเคลียสต่อCytoplasmของเซลล์ (Nuclear-to-<br />
Cytoplasmic ratio) เกือบหรือเท่ากับ1:1<br />
(ค่าปกติเท่าก ับ1:4 หรือ 1:6) = High N/C ratio<br />
• พบการแบ่งตัวของเซลล์จํานวนมาก (Mitoses) -<br />
Higher proliferative activity และการพบ Atypical,<br />
bizarre mitotic figures ทีมีลักษณะประหลาดไม่<br />
เหมือนปกติ เช่น สามแฉก (tripolar), สีแฉก<br />
(quadripolar) จะเป็นตัวบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นมะเร็ง<br />
อัตราการเจริญเติบโต<br />
( Rate of Growth )<br />
• ส่วนใหญ่ของเนืองอกชนิดไม่ร้ายแรงจะโตช้ากว่า<br />
ในขณะทีเนืองอกชนิดร้ายแรงจะโตเร็ว และถ้าเนือ<br />
งอกชนิดร้ายแรงด ังกล่าวมี Poor differentiation ก็<br />
จะมีอัตราการโตทีเร็วมากยิงขึน<br />
• ปัจจ ัยทีมีผลต่ออัตราการเจริญเติบโตของเนืองอก<br />
ได้แก่ หลอดเลือดหรือเลือดทีมาเลียงเนืองอกน ัน หรือ<br />
ฮอร์โมนทีเกียวข้อง เป็นต้น<br />
• อัตราการเจริญเติบโตของเนืองอกก็ไม่จําเป็นที<br />
จะต้องคงทีตลอด ด ังนันอาจพบว่าเนืองอกชนิดไม่<br />
ร้ายแรง บางชนิดมีอัตราการเจริญเติบโตทีเร็วกว่า<br />
เช่น เนืองอกกล้ามเนือเรียบของมดลูก หรือ<br />
Leiomyoma ซึงจะมีขนาดโตขึนเร็วในช่วงต ังครรภ์<br />
และ ขนาดเล็กลงเมือถึงวัยหมดประจําเดือน<br />
เนืองจากอ ัตราการเจริญของเนืองอกด ังกล่าวสัมพันธ์<br />
กับปริมาณของฮอร์โมนเอสโตรเจนในกระแสเลือด<br />
• กรณีเนืองอกร้ายแรงบางชนิดมีขนาดทีเล็กลงเมือ<br />
เกิดการตายเนืองจากเลือดไปเลียงไม่พอ<br />
9
14/08/55<br />
การรุกรานเนือเยือปกติข้างเคียง<br />
( Local Invasion )<br />
โดยปกติแล้ว พฤติกรรมการรุกรานเนือเยือ<br />
ปกติข้างเคียง( Local Invasion ) จะพบแต่<br />
เฉพาะ เนืองอกชนิดร้ายแรง<br />
• Benign tumors ส่วนใหญ่โตช้าและไม่มีการรุกราน<br />
เนือเยือข้างเคียง ส่วนหนึงเป็นเพราะมี Fibrous<br />
capsules หรือ Connective tissue กันแยกออก<br />
จากเนือเยือปกติ ทําให้เนืองอกมีขอบเขตแยกจาก<br />
เนือเยือปกติชัดเจน ยกเว้นบางชนิดเช่น<br />
Hemangioma ซึงเป็นเนืองอกของหลอดเลือดชนิด<br />
ไม่ร้ายแรง เป็นต้น<br />
Leiomyomas<br />
Hemangioma<br />
เนืองอกไม่ร้ายแรงของหลอด<br />
เลือด มีขอบเขตทีไม่ชัดเจน โดย<br />
พบกลุ่มหลอดเลือดสีนําตาลเข้ม<br />
แทรกในเนือเยือไขม ันเป็นหย่อมๆ<br />
บอกขอบเขตได้ไม่ชัดเจน ต่าง<br />
จากก้อนเนืองอกไม่ร้ายแรง สี<br />
ขาวของมดลูก<br />
• Malignant tumor or Cancers มักจะพบมีการ<br />
รุกรานและทําลายเนือเยือข้างเคียง ดังน ันจึงมี<br />
ขอบเขตทีไม่ชัดเจน บางคร ังการรุกรานมีลักษณะไม่<br />
สมําเสมอยืนไปมาคล้ายก ับขาปู ทําให้บอกขอบเขต<br />
ของเนืองอกได้ยาก ดังน ันการผ่าต ัดรักษาให้<br />
หายขาดก็จะยากกว่ากรณีทีบอกขอบเขตของเนือ<br />
งอกได้ชัดเจน และนอกจากน ัน เนืองอกบางชนิด<br />
อาจจะพบมีการรุกรานเส้นเลือด ( Vascular<br />
invasion ) และเส้นประสาท( Neural invasion )<br />
ก่อนการแพร่กระจายด้วย ด ังนันลักษณะการรุกราน<br />
เนือเยือข้างเคียงจึงเป็นหล ักเกณฑ์ทีใช้บอกความ<br />
เป็นเนืองอกชนิดร้ายแรงทีสําค ัญ อย่างไรก็ตาม<br />
มะเร็งบางชนิดทีโตช้า อาจมีFibrous capsules ได้<br />
รุกรานผิวหนัง<br />
Breast carcinoma<br />
รุกรานเนือนมโดยรอบ ทีมี<br />
fat tissue เป็ นส่วนประกอบ<br />
ส่วนใหญ่ ล ักษณะคล้ายขาปู<br />
10
14/08/55<br />
การแพร่กระจายของเนืองอกไปเจริญเติบโต<br />
ในเนือเยือส่วนอืน - Metastasis<br />
• Metastasis หมายถึง การทีเนืองอก<br />
แพร่กระจายจากแหล่งกําเนิดไปเจริญในเนือเยือ<br />
ห่างไกลส่วนอืนๆ ซึงคุณสมบ ัติดังกล่าวจัดเป็น<br />
คุณสมบ ัติเฉพาะทีสําค ัญของเนืองอกชนิด<br />
ร้ายแรง หรือ มะเร็ง<br />
• มะเร็งสามารถแพร่กระจายได้ 3 ทาง (ขึนกับชนิด<br />
และตําแหน่งของมะเร็ง)<br />
1.Body cavities<br />
2.Lymphatic spread<br />
3.Vascular spread<br />
• การแพร่กระจายของมะเร็งร ังไข่ ( Ovary ) จะ<br />
กระจายไปที Peritoneal cavity ทําให้ภายในช่อง<br />
ท้องเต็มไปด้วยเซลล์มะเร็งและสารเมือกทีสร้างจาก<br />
เซลล์มะเร็งด ังกล่าว เรียกว่า Pseudomyxoma<br />
peritonei และ Carcinomatosis peritonei<br />
• การแพร่กระจายตามกระแสนํ าเหลือง ( Lymphatic<br />
Spread ) เป็นการแพร่กระจายของมะเร็งทีพบบ่อย<br />
ทีสุด และตําแหน่งของต่อมนํ าเหลืองทีจะถูก<br />
เซลล์มะเร็งแพร่ไปน ันขึนก ับทิศทางการไหลเวียน<br />
ของกระแสนํ าเหลือง และ Sentinel lymph node<br />
คือต่อมนํ าเหลืองอ ันแรกทีรับนํ าเหลืองจากบริเวณที<br />
เป็นมะเร็ง<br />
• กรณีมะเร็งเต้านมซ้ายที Upper Outer quadrant<br />
ต่อมนํ าเหลืองบริเวณร ักแร้ด้านซ้ายจะเป็นตําแหน่งที<br />
รับการแพร่กระจายตามระบบนํ าเหลืองของ<br />
เซลล์มะเร็งก่อน แต่ถ้ามะเร็งเกิดทีบริเวณ Inner<br />
quadrant ของเต้านมซ้ายก็จะพบการแพร่กระจาย<br />
ของมะเร็งไปย ังต่อมนํ าเหลืองทีอยู่ภายในทรวงอก<br />
รอบๆ Internal mammary arteries แทน<br />
มะเร็งทีลําไส้ใหญ่ ก้อนสีขาวเทาในกรอบสีส้ม ได้กระจาย<br />
ไปทีต่อมนํ าเหลือง 2 ต่อมใน mesentery ตามทีลูกศรชี<br />
11
14/08/55<br />
• การแพร่กระจายไปตามกระแสเลือด<br />
( Hematologic Spread )<br />
พบมากในมะเร็งของ Mesenchymal cells เช่น<br />
เนือเยือเกียวพ ัน และหลอดเลือด ทีเรียกว่า<br />
Sarcoma แต่ก็พบในกลุ่มมะเร็งของเยือบุ เช่น<br />
Glandular epithelium ทีเรียกว่า Carcinoma ได้<br />
เช่นก ันโดยมากแล้วเซลล์มะเร็งจะรุกรานเข้าสู่เส้น<br />
เลือดดํา เนืองจากมีผนังบางกว่าเส้นเลือดแดง และ<br />
จากน ันกลุ่มเซลล์มะเร็งด ังกล่าวสามารถล ัดสู่เส้น<br />
เลือดแดงผ่าน Pulmonary arteriovenous<br />
shunts ทีปอด ล ักษณะทีพบกลุ่มเซลล์มะเร็งลอย<br />
อยู่ในกระแสเลือดจะเรียกว่า Tumor emboli<br />
หล ังจากน ันกลุ่มเซลล์มะเร็งก็อาจจะไปเจริญเติบโต<br />
อยู่ตามอว ัยวะอืน ทีพบบ่อยๆ คือ ปอด ต ับ<br />
กระดูก และ สมอง<br />
การเรียกชือเนืองอก<br />
(Nomenclature of neoplasms)<br />
เนืองอกไม่ว่าจะเป็นชนิดไม่ร้ายแรงหรือชนิดร้ายแรง<br />
จะประกอบด้วยเซลล์หรือเนือเยือ 2 ชนิดหล ักๆ คือ<br />
1. เซลล์ทีเจริญเป็นเนืองอก - Parenchymal cells<br />
2. เนือเยือปกติทีเป็นส่วนประกอบในก้อนเนืองอกน ัน<br />
เช่น หลอดเลือด และ เนือเยือไฟบร ัส เรียกว่า<br />
Supportive stroma<br />
Parenchymal<br />
Stroma<br />
TUMOR = cells +<br />
• Parenchymal cells คือ เซลล์หรือเนือเยือทีมี<br />
การเจริญเติบโตเป็นเนืองอก ซึงอาจจะเป็น เซลล์<br />
เยือบุต่างๆ ( Epithelial cells ) หรือ พวก<br />
Mesenchymal cells เช่น เนือเยือไฟบร ัส<br />
(Fibrous tissue), กล้ามเนือ( muscle ), หลอด<br />
เลือดและหลอดนํ าเหลือง ( vessels) เป็นต้น<br />
• Supportive stroma คือ เป็นเนือเยือที<br />
ประกอบเป็นส่วนหนึงของเนืองอกน ันแต่ ไม่ได้<br />
เจริญเป็นเนืองอก โดยจะเป็นส่วนโครงร่างของ<br />
เนืองอก เช่น เนือเยือเกียวพ ัน และ หลอดเลือด<br />
Parenchymal<br />
cells<br />
Supportive<br />
stroma<br />
12
14/08/55<br />
หล ักการเรียกชือเนืองอก<br />
พิจารณาจาก<br />
• ชนิดของเนืองอก:<br />
Benign Tumors VS Malignant Tumors<br />
• ชนิดของเซลล์หรือเนือเยือทีเป็นต้นกําเนิด<br />
( Cell or Tissue of Origin)<br />
NOTE: เนืองอกบางชนิดทีเรียกชือไม่ตรงก ับ<br />
หล ักการท ัวไปทีได้กล่าวมาแล้ว ต้องจําเป็น<br />
กรณีพิเศษ<br />
เนืองอกชนิดไม่ร้ายแรง<br />
Benign Tumors<br />
• เติมคําว่า“– oma” หล ังต่อชือเซลล์หรือ<br />
เนือเยือทีเป็นต้นกําเนิดของเนืองอกน ัน<br />
• Benign tumor ทีเจริญมาจาก<br />
Mesenchymal cells และทีเจริญมาจาก<br />
Epithelial cells จะมีหลักการหรือวิธีการ<br />
เรียกทีแตกต่างก ัน<br />
เนืองอกชนิดทีไม่ร้ายแรง<br />
ทีเจริญมาจาก Mesenchyme<br />
จะเรียกชือตามหล ักการ คือ ใส่ “– oma” หล ังต่อชือ<br />
เซลล์หรือเนือเยือทีเป็นต้นกําเนิดของเนืองอกน ัน<br />
• Fibroma เมือเจริญมาจาก เซลล์หรือเนือเยือไฟบร ัส<br />
( Fibroblastic cells or tissue )<br />
• Lipoma เมือเจริญมาจาก เซลล์หรือเนือเยือไขม ัน<br />
( Fatty or Adipose cells or tissue)<br />
• Leiomyoma เมือเจริญมาจาก เซลล์หรือเนือเยือ<br />
กล้ามเนือเรียบ ( Smooth muscle )<br />
• Rhabdomyomaเมือเจริญมาจาก เซลล์หรือเนือเยือ<br />
กล้ามเนือลาย ( Striated muscle )<br />
• Chondroma เมือเจริญมาจาก เซลล์หรือเนือเยือ<br />
กระดูกอ่อน ( Chondroblasts or Cartilage )<br />
• Osteoma เมือเจริญมาจาก เซลล์หรือเนือเยือ<br />
กระดูก ( Osteoblasts or Bone )<br />
• Hemangioma or Angioma เมือเจริญมาจาก<br />
หลอดเลือด (Blood vessels)<br />
• Lymphangioma เมือเจริญมาจากหลอดนํ าเหลือง<br />
(Lymphatic vessels)<br />
13
14/08/55<br />
เนืองอกชนิดทีไม่ร้ายแรง<br />
ทีเจริญมาจาก Epithelium<br />
• นอกจากจะเรียกชือตามหล ักการด ังกล่าวแล้ว<br />
ยังพิจารณาจากล ักษณะหรือพยาธิสภาพที<br />
เห็นจากตาเปล่าและจากกล้องจุลทรรศน์ด้วย<br />
ดังเช่น<br />
– Adenoma เป็นเนืองอกทีเจริญมาจาก Epithelial<br />
cells ทีเรียงต ัวเป็น ต่อม หรือ ท่อ( Gland or<br />
Tubule ) ซึงเห็นได้จากกล้องจุลทรรศน์<br />
• Papilloma เป็นเนืองอกทีเจริญมาจาก เซลล์หรือ<br />
เนือเยือในกลุ่มเยือบุ ทีมีลักษณะยืนขึนมาจากพืนผิว<br />
คล้ายก ับนิวมือ (Finger-like or warty<br />
projections from epithelial surfaces) ซึงอาจ<br />
เห็นได้จากท ังตาเปล่าและจากกล้องจุลทรรศน์<br />
• Cystadenoma เป็นเนืองอกทีเจริญมาจากเซลล์หรือ<br />
เนือเยือในกลุ่มเยือบุ ทีมีลักษณะเป็นถุงนํ า (Cystic<br />
mass) ดังเช่น เนืองอกของร ังไข่ Mucinous<br />
cystadenoma หรือ Papillary cystadenoma ใน<br />
รังไข่ ซึงเป็นเนืองอกทีมีลักษณะเป็นถุงนํ าและมีส่วน<br />
ของเนืองอกทีมีลักษณะคล้ายก ับนิวมือยืนเข้ามา<br />
ภายในช่องว่างของถุงนํ า<br />
Mucinous cystadenoma of Ovary<br />
เนืองอกชนิดร้ายแรง<br />
Malignant Tumors or Cancer<br />
• เนืองอกชนิดร้ายแรงทีเจริญมาจากเนือเยือ<br />
Mesenchym จะเรียกชือตามหล ักการ คือ จะ<br />
เติมคําว่า“– sarcoma” หล ังต่อชือ เซลล์หรือ<br />
เนือเยือทีเป็นต้นกําเนิด<br />
• เนืองอกชนิดร้ายแรงทีเจริญมาจาก<br />
Epithelium จะเรียกชือตามหล ักการ คือ จะ<br />
เติมคําว่า“– carcinoma” หล ังต่อชือเซลล์<br />
หรือเนือเยือทีเป็นต้นกําเนิด<br />
14
14/08/55<br />
เนืองอกชนิดร้ายแรง<br />
ทีเจริญมาจาก เนือเยือ Mesenchym<br />
• Fibrosarcoma เมือเจริญมาจาก เซลล์หรือเนือเยือ<br />
ไฟบร ัส( Fibroblastic cells or tissue )<br />
• Liposarcoma เมือเจริญมาจาก เซลล์หรือเนือเยือ<br />
ไขม ัน( Fatty or Adipose cells or tissue)<br />
• Leiomyosarcoma เมือเจริญมาจาก เซลล์หรือ<br />
เนือเยือกล้ามเนือเรียบ ( Smooth muscle )<br />
• Rhabdomyosarcoma เมือเจริญมาจาก เซลล์<br />
หรือเนือเยือกล้ามเนือลาย ( Striated muscle )<br />
• Chondrosarcoma เมือเจริญมาจาก เซลล์หรือ<br />
เนือเยือกระดูกอ่อน ( Chondroblasts or<br />
Cartilage )<br />
• Osteosarcoma เมือเจริญมาจาก เซลล์หรือ<br />
เนือเยือกระดูก ( Osteoblasts or Bone )<br />
• Angiosarcoma เมือเจริญมาจากหลอดเลือด<br />
(Blood vessels)<br />
เนืองอกชนิดร้ายแรง<br />
ทีเจริญมาจาก Epithelium<br />
Chondrosarcoma<br />
เจริญมาจาก Chondroblasts or Cartilage<br />
• Squamous cell carcinoma เจริญมาจาก<br />
Squamous epithelium (Ectoderm) ของ ผิวหน ัง<br />
เยือบุในช่องปากและช่องคลอด จะมีลักษณะทาง<br />
กล้องจุลทรรศน์คล้ายก ับSquamous cell.<br />
• Adenocarcinoma เจริญมาจากเยือบุของทางเดิน<br />
หายใจและทางเดินอาหาร (Endoderm) จะมีลักษณะ<br />
ทางกล้องจุลทรรศน์ของเนืองอกเป็นต่อม หรือ ท่อ<br />
เหมือนก ับเนือเยือต้นกําเนิด<br />
• Renal cell carcinoma เจริญมาจาก Renal<br />
tubules ( Mesoderm)<br />
15
14/08/55<br />
มะเร็ง<br />
ปากมดลูก<br />
Squamous cell carcinoma เจริญมา<br />
จาก Squamous epithelium ที Cervix<br />
มะเร็งลําไส้ใหญ่<br />
Adenocarcinoma<br />
เจริญมาจากเยือบุของทางเดินอาหาร<br />
Keratin pearl<br />
เซลล์มะเร็งเรียงตัวเป็ นต่อม (Gland)<br />
Mixed tumor of Salivary gland<br />
(Pleomorphic adenoma)<br />
• เนืองอกชนิดไม่ร้ายแรงของต่อมนํ าลาย ส่วนของ<br />
Parenchyma ของเนืองอกประกอบด้วยเซลล์2 กลุ่ม<br />
ทีแตกต่างก ันคือ Epithelial sheets หรือ glands<br />
และส่วนทีเป็น Myxoid stroma ทังๆทีเนืองอกชนิดนี<br />
เจริญมาจาก เซลล์ทีเป็นต้นกําเนิดมีเพียงชนิดเดียว<br />
คือ Myoepithelial cells<br />
• เนืองจาก Myoepithelial cells สามารถเจริญเป็นได้<br />
ทังepithelial glands และ stromal cells<br />
Myxoid stroma<br />
Epithelial glands<br />
or sheets<br />
16
14/08/55<br />
Teratoma<br />
• เป็นเนืองอกทีเจริญมาจาก Totipotential cells or<br />
Germ cells ทีสามารถเจริญเป็นเนือเยือได้ทัง 3<br />
germ layers: Ectoderm, Mesoderm and<br />
Endoderm แบ่งเป็น 3 ชนิด<br />
1.Mature cystic teratoma เป็นเนืองอกชนิดไม่<br />
ร้ายแรงม ักเจริญเป็นถุงนํ า เรียกอีกชือเป็น Dermoid<br />
cyst ภายในเนืองอกจะประกอบด้วย เซลล์และ<br />
เนือเยือปกติหลากหลายชนิดทีเจริญมาจาก<br />
Ectoderm, Mesoderm and Endoderm เช่น<br />
ผิวหน ังพร้อมท ังขน และต่อมไขม ันทีผิวหน ังเนือเยือ<br />
ไขม ันเนือเยือสมอง และ เยือบุทางเดินหายใจและ<br />
ทางเดินอาหาร เป็นต้น<br />
Mature teratoma<br />
(Dermoid cyst)<br />
2. Immature teratoma เป็นเนืองอกชนิดร้ายแรง<br />
มักพบในเด็ก ภายในเนืองอกจะประกอบด้วย เซลล์<br />
และเนือเยือทียังเจริญไม่เต็มที (Immature) หลาย<br />
ชนิดทีเจริญมาจาก Ectoderm, Mesoderm and<br />
Endoderm โดยเฉพาะ Neuroectoderm – neural<br />
tube เป็นต้น<br />
3. Malignant teratoma เป็นเนืองอกชนิดร้ายแรง<br />
มักพบในผู้ใหญ่ ภายในเนืองอกจะประกอบด้วย<br />
เซลล์และเนือเยือหลายชนิดทีเจริญมาจาก<br />
Ectoderm, Mesoderm and Endoderm และพบ<br />
เนือเยือบางอย่างเปลียนแปลงเป็นมะเร็ง เช่นพบ<br />
ผิวหน ังกลายเป็น Squamous cell carcinoma เป็น<br />
ต้น<br />
เนืองอกบางชนิดการเรียกชือไม่<br />
เป็นไปตามหล ักการ<br />
ได้แก่<br />
• Melanoma ซึงเป็นเนืองอกชนิดร้ายแรงทีเจริญ<br />
มาจาก Melanocytes ทีผิวหน ังซึงชือของเนือง<br />
อกนี ทีน่าจะสือความหมายตามหล ักการคือ<br />
Carcinoma of melanocytes หรือ<br />
Melanocarcinoma แต่ไม่นิยมเรียก<br />
• Seminoma ซึงเป็นเนืองอกชนิดร้ายแรงทีเจริญ<br />
มาจาก Germ cell ของอ ัณฑะ<br />
• Lymphoma ซึงเป็นเนืองอกชนิดร้ายแรงทีเจริญ<br />
มาจาก Lymphocyte<br />
17
14/08/55<br />
Melanoma เป็นเนืองอกชนิด<br />
ร้ายแรง ทีเจริญมาจาก<br />
Melanocytes ทีผิวหนัง<br />
Seminoma of testis<br />
Lymphoma<br />
เนืองอกชนิดร้ายแรง ทีเจริญมาจาก Lymphocyte<br />
Pathogenesis of <strong>Neoplasia</strong><br />
• ระบาดวิทยาของโรคมะเร็ง<br />
• Molecular basis of cancer<br />
• กลไกและสาเหตุของการเกิดมะเร็ง<br />
18
14/08/55<br />
ระบาดวิทยาของโรคมะเร็ง<br />
• ระบาดวิทยาเป็นศาสตร์ทีศึกษาหรือกล่าวถึงการกระจายของ<br />
โรคในประชากร และปัจจัยทีมีอิทธิพลหรือเป็นสาเหตุทีทําให้<br />
เกิดการกระจายแบบนัน ระบาดวิทยามีรากฐานมาจากความ<br />
จริงทีว่า โรค หรือ การเจ็บป่วย ไม่ได้เกิดขึ นกับคนทุกๆคนด้วย<br />
โอกาสทีเท่าๆกัน และอาจจะมีสัมพันธ์กับลักษณะทาง<br />
พันธุกรรม และการสัมผัสกับปัจจัยบางอย่างในสิงแวดล้อม<br />
อุบ ัติการณ์ของมะเร็ง<br />
(Cancer incidence)<br />
• เพือให้เห็นขนาดของปัญหามะเร็งทีเกิดขึน<br />
ดังน ันอุบ ัติการณ์ของมะเร็งจะถูกรายงาน<br />
เป็น 2 ลักษณะ คือ<br />
1.อุบัติการณ์การเกิดมะเร็งของประชากรทีอาศ ัยอยู่<br />
ภายในประเทศ (National incidence)<br />
2.อัตราการเสียชีวิตอ ันเนืองจากมะเร็ง (Mortality<br />
rate)<br />
ในปี ค.ศ.1994 WHO รายงานว่า มะเร็งเป็น<br />
สาเหตุการตายประมาณ 13 % ของคนตาย<br />
ทังหมดซึงเป็นจํานวนมากกว่า 6 ล้านคน และ<br />
มีจํานวนผู้ป่วยมะเร็งมากกว่า 18 ล้านคน โดย<br />
จะมีผู้ป่วยใหม่ประมาณ 9 ล้านคนในทุกๆ ปี<br />
และ คาดการณ์ไว้ว่า ในปี 2020 จะมีคนตาย<br />
ด้วยมะเร็งมากกว่า 11 ล้านคน<br />
มะเร็งทีพบบ่อย 6 อันด ับแรกของโลก<br />
คือ มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร<br />
มะเร็งเต้านม มะเร็งลําไส้ใหญ่ มะเร็ง<br />
ตับ และ มะเร็งปากมดลูก ตามลําด ับ<br />
19
14/08/55<br />
Figure 7-23 Cancer incidence and mortality by site and sex. Excludes basal cell and squamous cell skin cancers and in situ carcinomas, except urinary bladder. (Adapted<br />
from Jemal A, et al: Cancer statistics, 2003. CA Cancer J Clin 53:5, 2003.)<br />
Downloaded from: Robbins & Cotran Pathologic Basis of Disease (on 26 September 2006 05:27 AM)<br />
© 2005 Elsevier<br />
Figure 7-23 Cancer incidence and mortality by site and sex. Excludes basal cell and squamous cell skin cancers and in situ carcinomas, except urinary bladder. (Adapted<br />
from Jemal A, et al: Cancer statistics, 2003. CA Cancer J Clin 53:5, 2003.)<br />
Downloaded from: Robbins & Cotran Pathologic Basis of Disease (on 26 September 2006 05:27 AM)<br />
© 2005 Elsevier<br />
อุบ ัติการณ์ของมะเร็ง<br />
สถาบ ันมะเร็งแห่งชาติ 2011<br />
ปัจจ ัยทีมีผลต่อ<br />
อุบ ัติการณ์และอ ัตราการเสียชีวิตจากมะเร็ง<br />
• ปัจจ ัยด้านภูมิศาสตร์และสิงแวดล้อม<br />
(Geographic and Environmental Factors)<br />
• ปัจจ ัยเกียวก ับอายุ (Age)<br />
• ปัจจ ัยด้านพ ันธุกรรม (Hereditary)<br />
• ปัจจ ัยทีเกียวก ับการเป็นโรคหรือมีความผิดปกติ<br />
บางอย่างทีเป็นต้นกําเนิดของเนืองอก<br />
(Preneoplastic lesions)<br />
20
14/08/55<br />
ปัจจ ัยด้านภูมิศาสตร์และสิงแวดล้อม<br />
(Geographic and Environmental Factors)<br />
• อุบัติการณ์และอ ัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งกระเพาะ<br />
อาหาร ในประเทศญีปุ ่นสูงกว่าในประเทศอเมริกา<br />
ประมาณ 6 ถึง 7 เท่า ในทางตรงก ันข้ามอุบ ัติการณ์<br />
และอ ัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปอดในประเทศ<br />
อเมริกาสูงกว่าในประเทศญีปุ ่นประมาณสองเท่า<br />
• อุบัติการณ์และอ ัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งผิวหน ัง<br />
ชนิด Melanoma ในประเทศนิวซีแลนด์จะสูงกว่า<br />
ประเทศไอซ์แลนด์ประมาณ 6 เท่า ซึงอาจเป็นเพราะ<br />
ผลจากแสงแดด<br />
• จากการเปรียบเทียบอ ัตราการเสียชีวิตจาก<br />
มะเร็งกระเพาะอาหารในชาวญีปุ ่นทีอพยพ<br />
ไปอเมริกาก ับชนชาติญีปุ ่นทีเกิดและอาศ ัย<br />
อยู่ในอเมริกา พบว่า ชาวญีปุ ่นทีอพยพไป<br />
อเมริกา มีอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็ง<br />
กระเพาะอาหาร กํ ากึงระหว่าง ชาวญีปุ ่นที<br />
อาศ ัยอยู่ในประเทศญีปุ ่น และชนชาติญีปุ ่น<br />
ทีเกิดและอาศ ัยอยู่ในอเมริกา ดังน ันอาจจะ<br />
สรุปได้ว่า ปัจจ ัยสิงแวดล้อมและว ัฒนธรรมมี<br />
ความสําค ัญมากกว่าปัจจ ัยทางพ ันธุกรรม<br />
ปัจจ ัยเกียวก ับอายุ (Age)<br />
• มะเร็งส่วนใหญ่มักเกิดในประชากรทีมีอายุตังแต่<br />
55 ปีขึนไป แต่อย่างไรก็ตามประชากรทีอายุน้อย<br />
ก็สามารถเกิดมะเร็งบางชนิดได้บ่อยกว่า เช่น<br />
มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) เป็นต้น<br />
• มะเร็งกระดูก ชนิด Osteosarcoma จะพบมี<br />
อุบัติการณ์สูงในช่วงอายุ 2 ช่วง คือ ช่วงอายุ 10-<br />
20 ปี และ มากกว่า 60 ปีขึนไป<br />
ปัจจ ัยด้านพ ันธุกรรม (Hereditary)<br />
• นอกจากปัจจัยทางสิงแวดล้อมแล้ว ปัจจัย<br />
ด้านพ ันธุกรรมเป็นปัจจ ัยอันหนึงทีมีอิทธิพล<br />
ต่อการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด และ<br />
สามารถแบ่งรูปแบบของการถ่ายทอดทาง<br />
พันธุกรรมของมะเร็งออกเป็น 3 แบบ คือ<br />
1. Inherited Cancer Syndromes<br />
2. Familial Cancers<br />
3. Autosomal Recessive Syndromes of<br />
Defective DNA Repair<br />
21
14/08/55<br />
Inherited Cancer Syndromes<br />
• ผลของความผิดปกติของยีนเดียวทําให้เพิมอ ัตรา<br />
เสียงต่อการเกิดมะเร็งและ โดยมากแล้วยีนเหล่านี<br />
จะถ่ายทอดทางพ ันธุกรรมแบบ Dominant<br />
pattern ได้แก่<br />
– 40% ของผู้ป่วยมะเร็งชนิด Retinoblastoma<br />
จะมีญาติพีน้องเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งนีและคน<br />
ทีมียีนทีผิดปกติมีความเสียงต่อการเกิดโรค<br />
มากกว่าคนปกติประมาณ 10,000 เท่า<br />
– Familial adenomatous polyposis (FAP)<br />
เกือบ 100% ของผู้ป่วยเป็นโรคนีจะเป็นมะเร็ง<br />
ลําไส้ใหญ่เมืออายุ 50 ปี<br />
Familial Cancers<br />
• มะเร็งทีจัดอยู่ในกลุ่มนี (มะเร็งลําไส้ใหญ่ มะเร็งเต้า<br />
นม มะเร็งร ังไข่ และมะเร็งสมอง)ไม่สามารถบอก<br />
รูปแบบการถ่ายทอดทางพ ันธุกรรมได้ชัดเจน<br />
เหมือนก ับกลุ่มแรก เพียงแต่พบว่า ในบางครอบคร ัว<br />
มีการเจ็บป่วยเนืองจาก มะเร็งบางชนิดได้บ่อย<br />
โดยเฉพาะ พีกับน้อง รุ่นพ่อหรือแม่กับรุ่นลูกเป็นต้น<br />
• โดยมากจะเกิดขึนตังแต่อายุน้อยๆ และ ม ักจะเป็นทัง<br />
สองข้าง การเกิดโรคม ักจะส ัมพันธ์กับหลายปัจจ ัย<br />
(Multifactors) และพบว่าสัมพ ันธ์กับความผิดปกติ<br />
ของยีนบางชนิดแต่ไม่ชัดเจน เช่น BRCA 1 และ<br />
BRCA 2 กับการเกิดมะเร็งเต้านม<br />
Autosomal Recessive Syndromes<br />
of Defective DNA Repair<br />
• โรคทีจัดอยู่ในกลุ่มนีมีน้อย การถ่ายทอดทาง<br />
พันธุกรรมจะเป็นแบบ Recessive pattern ยีนที<br />
ผิดปกตินันเกียวข้องก ับขบวนการซ่อมแซม DNA<br />
(DNA repair) เช่น Xeroderma<br />
pigmentosum<br />
ปัจจ ัยทีเกียวก ับการเป็นโรคหรือมีความผิดปกติ<br />
บางอย่างทีเป็นต้นกําเนิดของเนืองอก<br />
(Preneoplastic lesions)<br />
• การเป็นโรคหรือมีความผิดปกติบางอย่างทีเกียวข้อง<br />
กับ การเพิมจํานวนของเซลล์ ทังในกรณี ทีมีการ<br />
เปลียนแปลงของเซลล์จนกลายเป็นมะเร็ง<br />
(Cancerous transformation)<br />
– กรณีทีการเพิมจํานวนของเซลล์เพือการทดแทน<br />
ส่วนทีถูกทําลายไป (Regeneration)<br />
– การเพิมจํานวนของเซลล์เนืองจากสิงกระตุ้นเพือ<br />
การปร ับตัวของเซลล์ (Hyperplastic<br />
proliferation)<br />
– การเพิมจํานวนของเซลล์แบบทีผิดปกติ<br />
(Dysplastic proliferation)<br />
22
14/08/55<br />
Molecular basis of cancer<br />
• Endometrial hyperplasia สัมพ ันธ์กับ<br />
Endometrial carcinoma<br />
• Cervical dysplasia สัมพ ันธ์กับ Cervical<br />
carcinoma<br />
• Squamous metaplasia and dysplasia<br />
ใน หลอดลมซึงจะพบในคนสูบบุหรีนานๆ<br />
สัมพ ันธ์กับ Bronchogenic carcinoma<br />
• Nonlethal genetic damage<br />
• Clonal expansion of a single precursor<br />
cells ทีมี genetic damage<br />
• Four classes of normal regulatory genes<br />
• Multistep of carcinogenesis<br />
ปัจจ ัยทีจําเป็นสําหร ับ<br />
Malignant transformation<br />
• Self-sufficiency in growth signals<br />
(oncogenes)<br />
• Insensitivity to growth-inhibitory signals<br />
(tumor suppressor genes)<br />
• Evasion of apoptosis<br />
• Defects in DNA repair (mutator phenotype)<br />
• Limitless replicative potential<br />
• Sustained angiogenesis<br />
• Ability of invade and metastasis<br />
• Escape from immune attack<br />
Molecular basis of cancer<br />
• Oncogenes หมายถึง ยีนทีเป็นสาเหตุของมะเร็ง<br />
ซึงจะเปลียนแปลงมาจาก Protooncogenes ซึง<br />
เป็นยีนทีทําหน้าทีควบคุมการเจริญเติบโตของ<br />
เซลล์ปกติ<br />
สารเคมี<br />
Protooncogenes<br />
รังสี<br />
เชือโรค:เชือไวร ัส<br />
Oncogenes<br />
23
14/08/55<br />
กลไกหล ักทีทําให้เกิด<br />
การกระตุ้น Oncogenes<br />
(การเปลียนจาก Protooncogenes ไปเป็น Oncogenes)<br />
บทสรุปเกียวกับ Oncogenes<br />
• Activation by Mutation<br />
(การผ่าเหล่าของยีน)<br />
• Activation by Chromosomal<br />
Translocation<br />
• Activation by Gene Amplification<br />
Activation by Mutation<br />
(การผ่าเหล่าของยีน)<br />
• การผ่าเหล่าของยีนเพียงบางจุด หรือที<br />
เรียกว่า Point mutation ทําให้โปรตีนทีสร้าง<br />
จากยีนทีผ่าเหล่านันมีการทํางานผิดปกติและ<br />
เป็นสาเหตุของมะเร็ง เช่น<br />
– ras protooncogene ซึงจะพบความผิดปกติของ<br />
ยีนด ังกล่าวในมะเร็งลําไส้ใหญ่ หรือ มะเร็งปอด<br />
ชนิด Adenocarcinoma<br />
Activation by Chromosomal<br />
Translocation<br />
• การย้ายบางส่วนของโครโมโซม จากตําแหน่ง<br />
ปกติ ไปอีกตําแหน่งซึงอยู่บนโครโมโซมอืนๆ ทํา<br />
ให้มีการกระตุ้น Oncogenes ตามมา<br />
มะเร็งต่อมนํ าเหลืองชนิด<br />
Burkitt lymphoma<br />
• พบการย้ายตําแหน่งของยีน<br />
c-myc จากโครโมโซมที 8 มา<br />
อยู่บนโครโมโซมที 14 ซึงติดก ับ<br />
Immunoglobulin heavy<br />
chain (CH)<br />
•Fusion gene คือ c-myc/ CH<br />
ทําให้การเจริญทีผิดปกติของ<br />
เซลล์<br />
24
14/08/55<br />
Chronic myeloid leukemia<br />
• พบการย้ายตําแหน่งของยีน<br />
c-abl จากโครโมโซมที 9 มา<br />
อยู่บนโครโมโซมที 22 ซึงติด<br />
กับ bcr หรือ Breakpoint<br />
cluster region<br />
• bcr/abl fusion gene ทํา<br />
ให้สร้างโปรตีนทีผิดปกติไป<br />
กระตุ้นขบวนการเพิมจํานวน<br />
ของเซลล์ตามมา<br />
• ส่วนของโครโมโซมทีมี<br />
fusion gene อยู่ เรียก<br />
โครโมโซมด ังกล่าวว่า<br />
Philadephia chromosome<br />
Activation by<br />
Gene Amplification<br />
คือ การเพิมจํานวนของยีนเป็นเท่าตัว ทําให้<br />
มีการกระตุ้น Oncogenes ตามมา เช่น<br />
– การเพิมจํานวนของ N-myc protooncogenes<br />
ประมาณ 700 เท่า ในเนืองอกร้ายแรงชนิด<br />
Neuroblastoma และการพบความผิดปกติของยีน<br />
ดังกล่าวบ่งบอกถึงมีพยากรณ์โรคไม่ดี<br />
กลไกการทํางานของ Oncogenes<br />
กลไกการทํางานของ Oncogenes จะแบ่งตาม<br />
หน้าทีของยีนปกติทีเป็นต้นแบบ หรือ<br />
Protooncogenes ซึงควบคุมการเจริญเติบโตและ<br />
เพิมจํานวนของเซลล์ โดยการสร้างโปรตีนชนิดต่างๆ<br />
ออกเป็น 4 กลุ่ม คือ<br />
1. The growth-promoting protooncogenes<br />
2. The growth-inhibiting cancer-suppressor<br />
genes<br />
3. Genes that regulate programmed cell<br />
death, or apoptosis<br />
4. Genes that regulate repair of damaged DNA<br />
The growth-promoting<br />
protooncogenes<br />
เป็นยีนทีเกียวข้องก ับการเจริญและเพิม<br />
จํานวนของเซลล์ เมือมีความผิดปกติเกิด<br />
ขึนกับยีนดังกล่าว ส่งผลให้เกิดการเพิมจํานวน<br />
ของเซลล์จนกลายเป็นเนืองอกในทีสุด แม้ว่า<br />
ยังคงมี The growth-promoting<br />
protooncogenes ทีปกติอยู่ในอีกสายหนึง<br />
ของ DNA ก็ตาม ด ังนันยีนในกลุ่มนีจัดเป็น<br />
Dominant oncogenes<br />
25
14/08/55<br />
• c- sis เป็น Protooncogene ทีสร้าง Growth<br />
factors คือ Beta chain of platelet-derived<br />
growth factor (PDGF) เมือ Overexpression<br />
ของ c- sis ทําให้มีปริมาณ PDGFจับก ับPDGF<br />
receptor มาก เกิดเนืองอกของสมองชนิด<br />
Astrocytomas และ เนืองอกของกระดูก ชนิด<br />
Osteosarcomas<br />
• c- erb B2 เป็น protooncogene (also<br />
called c- neu) สร้าง Growth factor<br />
receptor คือ Epithelial growth factor<br />
receptor (EGF receptor) ชนิดหนึง และ<br />
Overexpression ของยีนนี พบในมะเร็งเต้านม<br />
มีผลต่อพยากรณ์โรคทีไม่ดี<br />
• ras protooncogene ซึงสร้าง ras protein เป็น<br />
ส่วนหนึงของ guanine triphosphate (GTP)-<br />
binding proteins นําส ัญญาณการกระตุ้นเพือ<br />
เพิมจํานวนของเซลล์ไปย ังนิวเคลียส และพบ<br />
mutation ของ ras gene ในเนืองอกหลายชนิด<br />
เช่น มะเร็งลําไส้ใหญ่ มะเร็งตับอ่อน และ มะเร็งของ<br />
ต่อมไทรอยด์ เป็นต้น<br />
• c- myc protooncogene เป็นโปรตีนทําหน้าที<br />
กระตุ้นให้เซลล์แบ่งต ัวเพิมจํานวนโดยกระตุ้น DNA<br />
transcription และ พบว่าถ้ามีความผิดปกติในการ<br />
ควบคุมc- myc สัมพ ันธ์ต่อการเกิด Burkitt<br />
lymphoma หรือ Amplification ของ c- myc<br />
gene จะส ัมพันธ์ต่อการเกิด มะเร็งเต้านม และ<br />
มะเร็งปอด<br />
The growth-inhibiting<br />
cancer-suppressor genes<br />
The growth-inhibiting cancer-suppressor<br />
genes หรือ Tumor – suppressor genes เป็นยีนที<br />
ทํางานตรงก ันข้ามก ับ The growth-promoting<br />
protooncogenes คือ เป็นยีนทีทําหน้าทียับยังการ<br />
เพิมจํานวนของเซลล์ หรือ ย ับยังการเกิดมะเร็ง ซึงต้อง<br />
มีความผิดปกติของยีน ดังกล่าวทัง 2 สาย DNA จึงจะ<br />
เกิดมะเร็ง ดังน ันจึงจัดยีนกลุ่มนีเป็น Recessive<br />
oncogenes<br />
26
14/08/55<br />
• Rb Gene สร้าง pRb ซึงเป็นโปรตีนชนิดหนึงทํา<br />
หน้าทียับยังขบวนการแบ่งตัวเพิมจํานวน<br />
– Rb ยับย ังไม่ให้เซลล์ผ่านจาก G1 phase ไปย ังS<br />
phase ของ cell cycle โดย การจ ับของ<br />
activate Rb กับ E2F ทําให้สร้าง Cyclin E ไม่ได้<br />
– Rb gene อยู่ที Chromosome 13q14 สัมพ ันธ์<br />
กับการเป็นมะเร็งชนิด Retinoblastoma ทีจอตา<br />
ทังแบบทีถ่ายทอดทางพ ันธุกรรม และเนืองอกที<br />
เกิดขึนเอง<br />
– มะเร็งเกือบทุกชนิดมีความผิดปกติของ G 1<br />
checkpoint เนืองจาก mutation ของ RB<br />
genes หรือยีนทีควบคุม RB function ได้แก่<br />
cyclin D, CDK4, and CDKIs.<br />
• Familial Retinoblastoma : ผู้ป่วยมีRb<br />
gene ทีผิดปกติบน Chromosome ข้างใดข้าง<br />
หนึงซึงมาจากบิดาหรือมารดาทีมียีนผิดปกติ<br />
ดังน ันเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของผู้ป่วยจะมียีน<br />
ทีผิดปกติอยู่แล้วแต่ยังไม่มีการเปลียนแปลง<br />
เนืองจาก Rb gene เป็น Recessive oncogenes<br />
ต่อมามีการผ่าเหล่าของ Rb gene บน<br />
Chromosome ข้างทีเหลือภายในเซลล์เยือบุจอ<br />
ตา จึงเกิดการเปลียนแปลงเป็นมะเร็งทีจอตา<br />
• Sporadic Retinoblastoma: การผ่าเหล่า<br />
ของ Rb gene บนChromosome ทัง2 ข้างจะ<br />
เกิดขึนกับเซลล์เยือบุจอตาเอง<br />
27
14/08/55<br />
• p53 gene มีหน้าทีเปรียบเหมือน หน้าด่าน<br />
ป้องก ันการเกิดมะเร็ง โดยจะคอยป้ องก ันไม่ให้มี<br />
การบาดเจ็บ(สารพ ันธุกรรม)ของเซลล์นันรุนแรง<br />
มากขึน โดย The p53 protein จะอยู่ใน<br />
นิวเคลียส จะทําหน้าทีคอยย ับยังความผิดปกติที<br />
เกิดขึน เช่น ดังน ันเมือมีความผิดปกติเกิดขึนที<br />
DNA ในเซลล์ เนืองด้วย สารร ังสี สารเคมี หรือ<br />
แสงอุลตราไวโอเลต จะมีผลเพิม ระด ับของ p53<br />
protein ซึงจะไปจ ับกับ DNA ทําให้หยุดวงจรการ<br />
แบ่งตัวเพิมจํานวนน ัน ดังน ันการผ่าเหล่าของ p53<br />
gene บน Chromosomeทัง2ข้างจะส ัมพันธ์กับ<br />
การเกิดเนืองอก และมีผลต่อการตอบสนองต่อ<br />
การร ักษาด้วย<br />
• BRCA-1 and BRCA-2 Genes เป็น tumorsuppressor<br />
genes ทีสัมพันธ์ต่อการเกิดมะเร็ง<br />
โดยเฉพาะ มะเร็งเต้านม นอกจากน ันย ังสัมพ ันธ์<br />
ต่อการเกิดมะเร็งอีกหลายชนิด เช่น มะเร็งร ังไข่<br />
มะเร็งต่อมลูกหมาก และ มะเร็งลําไส้ใหญ่ การ<br />
ผ่าเหล่าของ BRCA-1 and BRCA-2 จะพบเป็น<br />
ส่วนใหญ่ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ทีมีประว ัติสมาชิก<br />
ในครอบคร ัวเป็นมะเร็งเต้านมมาก่อน ซึงแสดงถึง<br />
ว่ามีการถ่ายทอดทางพ ันธุกรรมของยีนดังกล่าว<br />
อย่างไรก็ตามปัจจุบ ันยังไม่ทราบหน้าทีของยีนทัง<br />
สอง แต่มีสมมุติฐานว่าน่าจะมีหน้าทีเกียวก ับการ<br />
ซ่อมแซมของ DNA<br />
Genes that regulate<br />
programmed cell death<br />
• คือยีนทีเกียวข้องก ับการควบคุมการตายของ<br />
เซลล์ ดังเช่น Bcl-2 gene ซึงจะย ับยัง<br />
ขบวนการตายของเซลล์ทีเรียกว่า Apoptosis<br />
ทําให้เซลล์ไม่ตาย ด ังนันจึงพบยีนดังกล่าว<br />
ประมาณ 85% ของ มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด<br />
B cell หรือ B cell lymphoma, Follicular<br />
type<br />
28
14/08/55<br />
Genes that regulate repair of<br />
damaged DNA<br />
• การทําลาย DNA จาก สารร ังสี แสงแดด และ<br />
อาหาร เกิดได้ตลอดเวลา อันเป็นสาเหตุของมะเร็ง<br />
หลายชนิด อย่างไรก็ตามเซลล์ของร่างกายมี<br />
ความสามารถในการซ่อมแซมสารพ ันธุกรรมและ<br />
สามารถป้ องก ันการผ่าเหล่าได้<br />
• ความผิดปกติของยีนทีควบคุมขบวนการ<br />
ซ่อมแซม DNA ตังแต่ระยะแรกๆ ทําให้มี<br />
โอกาสเกิดมะเร็งมากขึน<br />
– Hereditary non polyposis colon cancer<br />
(HNPCC) or Lynch syndrome จะพบมะเร็งที<br />
ลําไส้ใหญ่ส่วนต้นๆ และสามารถถ่ายทอดทาง<br />
พันธุกรรมได้ โดย 30% ของผู้ป่วยจะพบมีการ<br />
ผ่าเหล่าที hMLH1 gene ซึงเป็นยีนทีเกียวข้อง<br />
กับการซ่อมแซมสารพ ันธุกรรม<br />
– Xeroderma pigmentosum ซึงเป็นโรคที<br />
ผิวหน ังสัมพ ันธ์กับการเกิดมะเร็งทีผิวหนัง<br />
เนืองจากมีการผ่าเหล่าของยีนทีควบคุม<br />
ขบวนการซ่อมแซมสารพ ันธุกรรม<br />
ปัจจ ัยทีจําเป็นสําหร ับ<br />
Malignant transformation<br />
• Self-sufficiency in growth signals<br />
(oncogenes)<br />
• Insensitivity to growth-inhibitory signals<br />
(tumor suppressor genes)<br />
• Evasion of apoptosis<br />
• Defects in DNA repair (mutator phenotype)<br />
• Limitless replicative potential<br />
• Sustained angiogenesis<br />
• Ability of invade and metastasis<br />
• Escape from immune attack<br />
29
14/08/55<br />
ความสามารถในการแบ่งตัวแบบไม่จํากัด<br />
Limitless Replicative Potential<br />
• เซลล์ปกติซึงไม่มี telomerase เมือมีการแบ่งตัว<br />
จะทําให้ส่วนของ telomere สันลงไปเรือยๆ จนไม่<br />
เหลือและจะกระตุ้น cell cycle checkpoints ทํา<br />
ให้เกิด senescence เซลล์จะหยุดแบ่งตัวอีก<br />
• ในเซลล์มะเร็งที disabled checkpoints,<br />
ขบวนการ DNA repair pathways ทีเกิดจากผล<br />
telomere ทีสันลง ทําให้เกิด chromosomal<br />
instability และ mitotic crisis.<br />
• แต่ถ้ามะเร็งมีการสร้าง telomerase จะไม่เกิด<br />
mitotic catastrophe และเซลล์สามารถแบ่งตัว<br />
ไปได้เรือยๆ<br />
Development of<br />
Sustained Angiogenesis<br />
• เซลล์มะเร็งหรือ stromal cells ในเนืองอก สามารถ<br />
ควบคุมการเจริญของเส้นเลือดได้โดยสร้าง<br />
angiogenic และ anti-angiogenic factors<br />
• Hypoxia สามารถกระตุ้น angiogenesis ผ่าน<br />
กลไกของ HIF1α<br />
• VHL สามารถย ับยังการทํางานของ HIF1α ได้ จึง<br />
จัดเป็น tumor suppressor gene.<br />
• p53 ทําให้มี angiogenesis ได้โดยย ับยัง<br />
thrombospondin-1.<br />
30
14/08/55<br />
Ability to<br />
Invade and Metastasize<br />
การลุกลามของเซลล์มะเร็ง (Invasion)<br />
มี 4 ขันตอน:<br />
1. Loosening of cell-cell contacts โดยลดการ<br />
สร้าง E-cadherin<br />
2. Degradation of ECM – Proteolytic enzymes<br />
จาก tumor cellsย่อย basment membrane<br />
and interstitial matrix เช่น MMPs และ<br />
cathepsins<br />
3. Attachment to novel ECM components<br />
4. Migration of tumor cells.<br />
• เซลล์มะเร็งทีหลุดไปในกระแสเลือดจะหยุดตรง<br />
บริเวณ capillary bed ในอว ัยวะแรกทีเลือดไหลมา -<br />
lung and liver เกิด metastasis บ่อยทีสุด<br />
• มะเร็งบางชนิดมีแนวโน้มทีจะแพร่กระจายไปอว ัยวะ<br />
ใดอว ัยวะหนึงได้มากกว่าปกติ เรียกว่า organ<br />
tropism เนืองจากบนผิวเซลล์มะเร็งมี chemokine<br />
receptors ซึงจะจ ับกับ ligands ทีมีปริมาณมากใน<br />
อว ัยวะน ัน<br />
31
14/08/55<br />
The Clonal Origin of Cancer<br />
มะเร็งส่วนมากจะมีต้นกําเนิดมาจากเซลล์ทีมีความ<br />
ผิดปกติเพียงเซลล์เดียว จากน ันก็มีการเพิมจํานวน<br />
เซลล์จนกลายเป็นก้อนมะเร็ง<br />
• มะเร็งเม็ดเลือด ชนิด Multiple myeloma เป็นมะเร็ง<br />
ของ Plasma cell ซึงมีหน้าทีในการสร้าง<br />
Immunoglobulin และ Immunoglobulin ทีสร้าง<br />
จาก Plasma cell แต่ละเซลล์จะมีความแตกต่างก ัน<br />
ผลการตรวจ Immunoglobulin ใน Serum ของ<br />
ผู้ป่วยโรค Multiple myeloma พบมีการเพิมปริมาณ<br />
ของ Immunoglobulin เพียงชนิดเดียว เห็นเป็น<br />
Monoclonal spike จากการทํา Serum<br />
electrophoresis แสดงถึง Monoclonal origin<br />
Molecular Basis of<br />
Multistep Carcinogenesis<br />
• การเกิดมะเร็งนันประกอบด้วยความผิดปกติ<br />
หลายข ันตอน เช่น การเกิดมะเร็งลําไส้ ซึง<br />
การเปลียนแปลงจะเริมต้นจากการทีมีการผ่า<br />
เหล่าของ APC gene ซึงเป็น Tumor<br />
suppressor gene และต่อมาก็มีการกระตุ้น<br />
ของ ras oncogene ตามมา ปัจจุบันยังไม่<br />
พบว่ามียีนใดยีนหนึงทีสามารถก่อมะเร็งได้ใน<br />
ขันตอนเดียว<br />
32
14/08/55<br />
สาเหตุของมะเร็ง<br />
• ปัจจ ัยทีสามารถทําให้เกิดการบาดเจ็บหรือทํา<br />
ให้เกิดการผ่าเหล่าของยีน จนเกิดเป็นมะเร็ง<br />
ได้ ซึงจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ<br />
1.กลุ่มสารเคมีก่อมะเร็ง - Chemical<br />
carcinogens<br />
2.กลุ่มร ังสีก่อมะเร็ง - Radiant energy<br />
3.กลุ่มเชือโรคทีสามารถก่อมะเร็ง - Oncogenic<br />
microbes ซึงส่วนใหญ่จะเป็นเชือไวร ัสก่อ<br />
มะเร็ง หรือ Viral carcinogenesis<br />
สารเคมีก่อมะเร็ง<br />
(Chemical Carcinogens)<br />
ขันตอนการเกิดมะเร็งเนืองจากสารเคมีก่อมะเร็ง มี<br />
หลายข ันตอน และสามารถแบ่งออกเป็นขันตอนหล ักๆ<br />
(The initiation-promotion sequence) คือ<br />
• ขันตอน Initiation: การส ัมผัสก ับสารเคมีก่อมะเร็ง<br />
ทําให้มีการทําลายสารพ ันธุกรรมอย่างถาวร<br />
• ขันตอน Promotion เป็นขันตอนทีจะกระตุ้นเซลล์ทีมี<br />
ความผิดปกติของสารพ ันธุกรรม ให้กลายเป็นมะเร็ง<br />
ดังน ันสิงทีเป็น Promoter นันจะไม่ใช่สารก่อมะเร็ง<br />
และไม่สามารถทําให้เซลล์ปกติกลายเป็นมะเร็งได้<br />
จากการทดลองพบว่า ถ้ามีแต่ Initiation โดย<br />
Promotion ตามมา ก็จะไม่เกิดมะเร็งในทีสุด<br />
สารเคมีก่อมะเร็งมีทังทีเป็น สารเคมีในธรรมชาติ<br />
และ สารเคมีทีสังเคราะห์ขึนมาเอง สามารถแบ่งตาม<br />
การออกฤทธิเป็น 2 กลุ่มคือ<br />
• สารเคมีทีสามารถออกฤทธิก่อมะเร็งได้เลย หรือ<br />
Direct-acting compound<br />
• สารเคมีทีผ่านขบวนการเมตาบอลิซึมก่อนจึงจะมี<br />
ฤทธิก่อมะเร็งได้ หรือ Indirect-acting<br />
compound (Procarcinogen) และ ส่วนใหญ่ของ<br />
สารเคมีก่อมะเร็งจะเป็นกลุ่มหล ัง คือ ต้องผ่าน<br />
ขบวนการเมตาบอลิซึมก่อนจึงจะมีฤทธิก่อมะเร็ง<br />
การก่อมะเร็งของสารเคมีนันย ังขึนกับ<br />
• ขบวนการทําลายพิษสารเคมี (Detoxification)<br />
และการข ับสารเคมีออกจากร่างกาย<br />
• เพศ ภาวะฮอร์โมน และ อาหาร<br />
33
14/08/55<br />
• Polycyclic aromatic hydrocarbons จากการสูบ<br />
บุหรี ส ัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปอดและกระเพาะ<br />
ปัสสาวะ นอกจากน ันการส ัมผัสก ับสารเคมีในกลุ่มนี<br />
benzopyrene หรือ 3-methylcholanthrene หรือ<br />
dibenzanthracene ทีอวัยวะใดก็สามารถก่อมะเร็ง<br />
ทีอวัยวะน ันได้<br />
• Aflatoxin โดยเฉพาะ Aflatoxin B1 จาก เชือรา<br />
Aspergillus flavus มักพบปนเปื อนอยู่กับอาหาร<br />
จําพวกถ ัว สัมพ ันธ์กับการเป็นมะเร็งตับ<br />
• Aromatic Amines และ Azo Dyes การส ัมผัสก ับ<br />
สารเคมีดังกล่าวในสถานทีทํางาน หรือ จากการ<br />
ทํางานส ัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งตับและกระเพาะ<br />
ปัสสาวะ<br />
• Nitrosamines เป็นสารก่อมะเร็งทีสําค ัญ ซึงจะ<br />
ปนเปื อนในอาหาร และเกียวข้องก ับการเกิดมะเร็ง<br />
ของอว ัยวะในทางเดินอาหาร อันได้แก่ มะเร็ง<br />
กระเพาะอาหาร และ มะเร็งหลอดอาหาร<br />
• สารโลหะชนิดต่างๆ เช่น นิกเกิล สารตะก ัว แคดเมียม<br />
โคลบอล สามารถทําลายสารพ ันธุกรรม ทําให้เกิด<br />
การผ่าเหล่าของยีน และเกิดเป็นมะเร็งได้<br />
• สารเคมีอืนๆ เช่น Asbestos จะส ัมพันธ์กับการเกิด<br />
มะเร็งปอด ชนิด Bronchogenic carcinoma,<br />
Mesothelioma และมะเร็งทีทางเดินอาหาร สาร<br />
Vinyl chloride ซึงเกียวข้องก ับการเกิดมะเร็งทีตับ<br />
ชนิด Angiosarcoma และ สาร Arsenic กับการเกิด<br />
มะเร็งทีผิวหน ัง<br />
รังสีก่อมะเร็ง ( Radiant energy)<br />
• รังสีอุลตราไวโอเลต (Ultraviolet Radiation)<br />
คือ สารร ังสีก่อมะเร็งทีสําค ัญในสิงแวดล้อม ซึง<br />
เกียวข้องก ับมะเร็งทีผิวหน ัง โดยเฉพาะ ส่วนที<br />
สัมผ ัสกับแสงแดด อ ันได้แก่ มะเร็งชนิด Basal<br />
cell carcinoma, Squamous cell carcinoma<br />
และ Melanoma และส ังเกตว่า อุบัติการณ์ของ<br />
มะเร็ง ชนิด Melanoma จะลดลงในประชากรผิว<br />
ดํา เนืองจากทีผิวหน ังมีเม็ดสีผิวมากทําให้สามารถ<br />
ดูดซึมรังสีอุลตราไวโอเลต ไม่ให้ไปทําลายเซลล์<br />
ผิวหน ังได้มาก<br />
รังสีก่อมะเร็ง ( Radiant energy)<br />
• สารก ัมมันตภาพร ังสี (Ionizing radiation)<br />
สามารถก่อมะเร็งได้ ดังเห็นได้จากภายหล ังการ<br />
ทิงระเบิดทีฮิโรชิมาและนางาซากิ ผู้ทีรอดชีวิต<br />
จากเหตุการณ์ด ังกล่าว มีอุบัติการณ์การเกิด<br />
มะเร็งเม็ดเลือด ชนิด Leukemia ทีสูงมาก และ<br />
แม้กระท ังร ังสีทีใช้รักษาโรคก็สามารถก่อมะเร็งได้<br />
เช่น พบอุบ ัติการณ์การเกิดมะเร็งต่อมไทรอยด์<br />
ชนิด Papillary carcinoma ทีสูงกว่าปกติ ใน<br />
ผู้ป่วยซึงเคยได้รับการร ักษาด้วยร ังสีในบริเวณ<br />
ศรีษะและลําคอมาก่อน<br />
34
14/08/55<br />
เชือโรคทีก่อมะเร็ง<br />
(Oncogenic microbes)<br />
• เชือโรคทีก่อมะเร็ง ซึงส่วนใหญ่จะเป็นเชือไวร ัสก่อ<br />
มะเร็ง หรือ Viral carcinogenesis เชือโรคส่วนน้อย<br />
ทีก่อมะเร็งและไม่ใช่ไวร ัส อันได้แก่ เชือแบคทีเรีย<br />
Helicobacter pylori ซึงก่อมะเร็งทีกระเพาะอาหาร<br />
ทังชนิด Lymphoma และ Carcinoma<br />
• เชือไวร ัสก่อมะเร็ง มีทังทีเป็น ไวร ัสทีมี DNA เป็นสาร<br />
พันธุกรรม เรียกว่า DNA virus และ ไวร ัสทีมี RNA<br />
เป็นสารพ ันธุกรรม เรียกว่า RNA virus<br />
DNA virus ทีก่อมะเร็ง<br />
Human papilloma virus (HPV)<br />
ทีค้นพบแล้วมีประมาณ มากกว่า 70 ชนิด<br />
• HPV type 1, 2, 4 และ 7 จะเป็นสาเหตุของเนือ<br />
งอกไม่ร้ายแรง ชนิด Squamous papilloma<br />
หรือ Wart<br />
• HPV type 16, 18, 31, 33, 35 และ 51 จะ<br />
เกียวข้องก ับมะเร็งชนิด Squamous cell<br />
carcinoma โดยเฉพาะทีปากมดลูก<br />
• HPV type 6 และ 11 จะเกียวข้องก ับSquamous<br />
dysplasia<br />
Epstein-Barr virus (EBV)<br />
ไวร ัสชนิดนีจะเกียวข้องก ับ การเกิดมะเร็งชนิด<br />
Burkitt lymphoma โดยเฉพาะชาวแอฟริกา ซึง<br />
เป็นมะเร็งของเซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟซัย ชนิด<br />
B (หรือมะเร็งต่อมนํ าเหลือง) นอกจากน ันจะพบ<br />
สัมพ ันธ์กับการเกิดมะเร็งที Nasopharynx ชนิด<br />
Squamous cell carcinoma โดยเฉพาะชาว<br />
แอฟริกา และ ชาวเอเชีย<br />
Hepatitis B virus (HBV)<br />
การติดเชือไวร ัสชนิดนีทีตับแบบเรือร ังจะ<br />
เกียวข้องก ับการเกิดมะเร็งต ับ ชนิด<br />
Hepatocellular carcinoma<br />
RNA virus ทีก่อมะเร็ง<br />
Human T-Cell Leukemia Viruses I (HTLV I)<br />
ซึงจะติดเชือทีเซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟซัย ชนิด T<br />
ทําให้มีการเพิมจํานวนของเซลล์ดังกล่าว ร่วมก ับการ<br />
ผ่าเหล่าของยีน จึงเกิดมะเร็งของ เม็ดเลือดขาวลิม<br />
โฟซัย ชนิด T ทังทีเป็นชนิด T cell leukemia และ<br />
lymphoma<br />
35
14/08/55<br />
Host defense against tumors<br />
• Tumor antigens<br />
– Tumor-specific antigens: พบใน tumor<br />
cells เท่านัน<br />
– Tumor-associated antigens: พบได้ทังใน<br />
tumor และ normal cells<br />
Host defense against tumors<br />
• Main classes of tumor antigens:<br />
1. Products ของ mutated oncogenes และ<br />
tumor suppressor genes<br />
2. Products ของ mutated genes อืนๆ<br />
3. Overexpressed หรือ aberrantly<br />
expressed cellular proteins<br />
4. Tumor antigens จาก oncogenic viruses<br />
5. Oncofetal antigens: CEA, alphafetoprotein<br />
6. Altered cell surface glycolipids และ<br />
glycoproteins: CA-125, CA19-9<br />
Immune surveillance<br />
• Tumor cells สามารถตรวจจ ับและร ับรู้ได้โดย<br />
immune system ว่าเป็นสิงแปลกปลอม (nonself)<br />
และถูกทําลาย<br />
• การทําลายเซลล์มะเร็งส่วนมากเป็น cellmediated<br />
mechanisms.<br />
• Tumor antigens ทีแสดงบนผิวเซลล์โดย MHC<br />
class I molecules สามารถถูกตรวจจ ับโดย<br />
CD8+ CTLs.<br />
36
14/08/55<br />
• Immunosuppressed patients มีโอกาส<br />
เป็นมะเร็งได้มากกว่าคนปกติ<br />
• มะเร็งทีเกิดในคนทีอิมมูนปกติ ซึงแสดงว่า<br />
เซลล์มะเร็งสามารถหล ักเลียงการถูกตรวจจ ับ<br />
โดย immune system<br />
– มีการค ัดเลือกเซลล์มะเร็งทีเป็น antigennegative<br />
variants<br />
– มีสูญเสียการแสดงของ histocompatibility<br />
antigens<br />
– มีการสร้าง immunosuppression factors<br />
(e.g., TGF-β) โดยเซลล์มะเร็ง<br />
Cell Type-Specific<br />
Differentiation antigens<br />
• มีความจําเพาะก ับlineages or differentiation<br />
ของเซลล์มะเร็งแต่ละชนิด<br />
• สามารถเอามาประยุกต์ใช้ในการร ักษามะเร็ง<br />
(immunotherapy) เช่น CD10 และ CD20 เป็น<br />
surface markers ของ B-cell-derived tumors,<br />
ดังน ัน antibodies ทีจับกับ CD20 สามารถนํามาใช้<br />
รักษา B-cell lymphoma ได้<br />
• การวินิจฉัยหาเซลล์ต้นกําเนิดของมะเร็ง<br />
(immunohistochemistry) เช่น CD3 (T-cell),<br />
CD20 (B-cell), cytokeratin (carcinoma), HMB-<br />
45 (melanoma), CD31 (endothelium) etc.<br />
ลักษณะทางคลินิกของเนืองอก<br />
CLINICAL FEATURES OF TUMORS<br />
เนืองอกบางชนิดอาจทําให้มีอาการเพียง<br />
เล็กน้อย หรือบางชนิดทําให้มีอาการรุนแรงจนเป็น<br />
สาเหตุให้เสียชีวิตได้เช่นก ัน เนืองอกทุกชนิดไม่<br />
ว่าจะเป็นชนิดร้ายแรง หรือไม่ร้ายแรงอาจทําให้<br />
เกิดการเจ็บป่วยหรือตายได้<br />
37
14/08/55<br />
ผลกระทบของผู้ป่วยอ ันเนืองจากเนืองอก<br />
Effects of Tumor on Host<br />
• ตําแหน่งของเนืองอก และผลกระทบต่อ<br />
เนือเยือ หรือ อว ัยวะข้างเคียง<br />
• การสร้างฮอร์โมนโดยเนืองอก<br />
• การติดเชือแทรกซ้อน หรือ ภาวะเลือดออก<br />
ซึงเป็นผลจากเนืองอก<br />
• ผลจากการทีมีเนือเยือตายเนืองจากการ<br />
ขาดเลือด และ การปริแยกของอว ัยวะ<br />
ตําแหน่งของเนืองอก และผลกระทบต่อ<br />
เนือเยือ หรือ อว ัยวะข้างเคียง<br />
Pituitary adenoma<br />
เป็นเนืองอกไม่ร้ายแรงทีต่อมใต้สมอง ซึงเนืองอก<br />
นีอาจจะมีการสร้างฮอร์โมน หรือไม่ก็ได้ แต่การ<br />
ขยายขนาดของก้อนเนืองอกจะทําให้มีการกด<br />
เบียดและทําลายต่อมใต้สมองส่วนอืน อันเป็นผล<br />
ทําให้เกิดความผิดปกติของการหล ังฮอร์โมน<br />
ตามมาได้ และ เช่นเดียวก ันถ้ามะเร็งจากทีอืน<br />
แพร่กระจายมาทีต่อมใต้สมองก็จะมีผลทําให้เกิด<br />
ความผิดปกติขอการหล ังฮอร์โมนตามมาได้<br />
เช่นก ัน<br />
ตําแหน่งของเนืองอก และผลกระทบต่อ<br />
เนือเยือ หรือ อว ัยวะข้างเคียง<br />
• Colonic tumor<br />
เนืองอกทีลําไส้ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเนืองอกไม่<br />
ร้ายแรง หรือ มะเร็ง ถ้ามีขนาดใหญ่ก็อาจจะทําให้<br />
เกิดการอุดต ันของลําไส้ตามมาได้ หรือ บางคร ัง<br />
การมีก้อนทีลําไส้มีผลทําให้การเคลือนต ัวของ<br />
ลําไส้ผิดปกติและเกิดลําไส้กลืนก ันหรือทีเรียกว่า<br />
Intussusception ได้<br />
มะเร็งลําไส้ใหญ่<br />
ขนาดใหญ่ทําให้เกิด<br />
การอุดต ันของลําไส้<br />
ตามมาได้<br />
38
14/08/55<br />
การสร้างฮอร์โมนโดยเนืองอก<br />
เนืองอกทีกําเนิดจากเซลล์ของต่อมไร้ท่ออาจจะ<br />
สร้างฮอร์โมนและทําให้เกิดอาการทางคลินิกต่างๆ<br />
Beta-cell adenoma<br />
เนืองอกไม่ร้ายแรงของต ับอ่อน และ กําเนิดมาจาก<br />
เซลล์ Beta (ทีมีหน้าทีสร้างฮอร์โมนอินซูลิน) แล้วมี<br />
การสร้างฮอร์โมนอินซูลิน เกิดภาวะฮอร์โมนอินซูลิน<br />
ในเลือดมากและทําให้มีการนํากลูโคสเข้าเซลล์<br />
จนกระท ังปริมาณกลูโคสในเลือดตํามากๆ เป็นผลให้<br />
เสียชีวิตได้<br />
การติดเชือแทรกซ้อน หรือ ภาวะเลือดออก<br />
ซึงเป็นผลจากเนืองอก<br />
การกดเบียดเนือเยือข้างเคียงของเนืองอกไม่ร้ายแรง<br />
หรือ การรุกรานเนือเยือข้างเคียงโดยเซลล์มะเร็งมีผล<br />
ทําให้เกิดแผลทีเยือบุหรือผิวหน ัง เลือดออก และ มี<br />
โอกาสติดเชือแทรกซ้อนตามมา<br />
Gastric mass<br />
ทําให้มีเลือดออกและมีอุจจาระสีดําเหมือนยางมะตอย<br />
เรียกว่า Melena แต่ถ้ามีเลือดออกจํานวนมากแล้วมี<br />
อาการอาเจียรออกมาเป็นเลือด เรียกว่า<br />
Hematemesis<br />
Mass at urinary tract<br />
• ทําให้มีบาดแผลและมีเลือดออก ก็จะพบมีเลือดปนมา<br />
กับนํ าปัสสาวะ (Hematuria)<br />
ผลจากการทีมีเนือเยือตาย<br />
จากการขาดเลือด และ การปริแยกของอว ัยวะ<br />
การเจริญเติบโตของมะเร็งทีรวดเร็วทําให้เลือด<br />
ไปเลียงไม่พอ อาจทําให้เนืองอกบางส่วนทีไกลจาก<br />
เส้นเลือดเกิดการขาดเลือดและตายได้ หรือ การปริ<br />
แยกของ Hepatic capsule เนืองจากการ<br />
เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของมะเร็งต ับ ทําให้มี<br />
เลือดออกในช่องท้อง<br />
สภาพร่างกายทีไม่แข็งแรงเนืองจากมะเร็ง<br />
CANCER CACHEXIA<br />
สภาพร่างกายทีไม่แข็งแรงเนืองจากมะเร็ง นันจะ<br />
มีลักษณะด ังนี คือ ร่างกายจะผ่ายผอมลง เนืองจาก มี<br />
การลดลงของปริมาณไขม ันและขนาดของกล้ามเนือ<br />
ในร่างกาย มีอาการอ่อนแรง เบืออาหาร และ มีภาวะ<br />
โลหิตจางร่วมด้วย จากหล ักฐานการแพทย์ปัจจุบัน<br />
คาดว่าอาการนีเป็นผลเนืองจากการหล ังสารจําพวก<br />
Cytokines ของเซลล์มะเร็ง หรือผลจากการ<br />
ตอบสนองของร่างกายต่อมะเร็ง<br />
39
14/08/55<br />
PARANEOPLASTIC SYNDROMES<br />
กลุ่มอาการอ ันเป็นผลกระทบจากปฏิกิริยาของ<br />
เนืองอกอาจจะเกิดเนืองจากการกระจายของเนืองอก<br />
ไปย ังเนือเยือข้างเคียง หรือ อว ัยวะทีห่างไกล หรือ<br />
เป็นผลจากการทีร่างกายตอบสนองต่อฮอร์โมนที<br />
สร้างโดยเนืองอก( โดยเซลล์ต้นกําเนิดของเนืองอก<br />
ดังกล่าวไม่ใช่เซลล์ทีมีหน้าทีสร้างฮอร์โมนมาก่อน)<br />
ซึงพบว่า เพียง 10% ของผู้ป่วยมะเร็งทีจะพบมี<br />
Paraneoplastic syndrome<br />
PARANEOPLASTIC SYNDROMES<br />
ความสําค ัญของกลุ่มอาการนี คือ<br />
1. กลุ่มอาการด ังกล่าว อาจจะเป็นอาการเริมต้นของ<br />
เนืองอกทีมีขนาดเล็ก ดังน ันจะทําให้สามารถตรวจ<br />
พบมะเร็งต ังแต่ระยะเริมต้น<br />
2. กลุ่มอาการด ังกล่าวอาจจะรุนแรงและเป็นเหตุให้<br />
ผู้ป่วยเสียชีวิตได้<br />
3. กลุ่มอาการด ังกล่าวมีลักษณะคล้ายคลึงกับอาการที<br />
มีการแพร่กระจายของมะเร็ง อาจจะทําให้สับสนใน<br />
การร ักษาได้<br />
Endocrinopathies<br />
อาการผิดปกติเนืองจากร่างกายตอบสนองต่อ<br />
ฮอร์โมนทีสร้างโดยเนืองอกจะเป็นกลุ่มอาการ<br />
อันเป็นผลกระทบจากปฏิกิริยาของเนืองอก หรือ<br />
Paraneoplastic syndromes ทีพบบ่อยทีสุด<br />
– เนืองจากเนืองอกทีสร้างฮอร์โมนนันมิใช่เนือ<br />
งอกทีกําเนิดมาจากเซลล์ของต่อมไร้ท่อซึงมี<br />
หน้าทีสร้างฮอร์โมน ดังน ันฮอร์โมนทีสร้าง<br />
โดย เนืองอก จัดเป็น การสร้างฮอร์โมนแบบ<br />
ผิดทีหรือผิดตําแหน่ง (Ectopic hormone<br />
production)<br />
Cushing syndrome<br />
เป็นความผิดปกติทีพบบ่อย เกิดจากการสร้าง<br />
Adrenocorticotropic hormone (ACTH) หรือ<br />
สารทีออกฤทธิคล้ายก ับACTHมากกว่าปกติ และ<br />
50% ของผู้ป่วยทีมีอาการ Cushing syndrome<br />
จะเป็นมะเร็งทีปอด โดยเฉพาะชนิด Small cell<br />
carcinoma<br />
40
14/08/55<br />
ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง (Hypercalcemia)<br />
อาจจะเป็นความผิดปกติทีพบบ่อยทีสุด จากการทีเนือ<br />
งอกทีอยู่นอกกระดูกมีการผลิต Calcium humeral<br />
substances - Parathyroid hormone-related<br />
protein มะเร็งทีสัมพ ันธ์ Paraneoplastic<br />
syndromes นี ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็ง<br />
ของไต และ มะเร็งร ังไข่ แต่ถ้าเป็นชนิดของมะเร็ง<br />
ปอดทีพบว่าสัมพ ันธ์กับภาวะด ังกล่าวมากทีสุด คือ<br />
Squamous cell carcinoma<br />
ถ้าภาวะแคลเซียมในเลือดสูงเกิดจากการสลายเนือ<br />
กระดูกของเนืองอกบางชนิดซึงเกิดทีกระดูกเช่น<br />
Multiple myeloma หรือ เกิดจากมะเร็ง<br />
แพร่กระจายมาทีกระดูกจะไม่จัดเป็น<br />
Paraneoplastic syndrome<br />
Neuromyopathic paraneoplastic<br />
syndromes<br />
เป็นอาการผิดปกติทีหลากหลายของระบบประสาท<br />
และกล้ามเนือ เช่น Myasthenic syndrome ทีคล้าย<br />
กับ Myasthenia gravis มักจะพบในผู้ป่วยมะเร็ง<br />
ปอด สาเหตุทีทําให้เกิดอาการด ังกล่าวย ังไม่เป็นทีแน่<br />
ชัด แต่คาดว่าจะเป็นผลเนืองจากระบบภูมิคุ้มก ันต่อ<br />
เนืองอก<br />
Dermatologic Disorder<br />
• Acanthosis nigricans คือ การหนาต ัวของ<br />
ผิวหน ังมีลักษณะเป็นหย่อมๆสีเทา-ดํา (Grayblack<br />
patches of verrucous hyperkeratosis)<br />
มักจะส ัมพันธ์กับมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็ง<br />
ปอด<br />
Osseous, Articular,<br />
and Soft Tissue Change<br />
• Hypertrophic osteoarthropathy<br />
เป็นเปลียนแปลงที Distal ends of long bones,<br />
Metatarsals, Metacarpals และ Proximal<br />
phalanges โดยจะพบมีการสร้างเนือกระดูกเพิมเติม<br />
แถว Periosteum มีการอ ักเสบของข้อต่อ และ มีการ<br />
โตขึนของปลายนิวทีเรียกว่า Clubbing of Fingers<br />
อาการด ังกล่าวมักจะพบในผู้ป่วยมะเร็งปอด<br />
41
14/08/55<br />
Vascular and Hematologic Changes<br />
• Migratory thrombophlebitis (Trousseau<br />
syndrome)<br />
มักจะพบในผู้ป่วยมะเร็งต ับอ่อน และมะเร็งปอด ทําให้<br />
มีการแข็งต ัวของเลือด กลายเป็น Thrombi อยู่ใน<br />
เส้นเลือดดํา<br />
• Disseminated intravascular coagulation<br />
มักจะพบในผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว ชนิด Acute<br />
promyelocytic leukemia และมะเร็งต่อมลูกหมาก<br />
Grading and Staging<br />
Grade และ Stage ของเนืองอกแสดงถึง<br />
พฤติกรรมของเนืองอกน ันๆ และบ่งบอกถึงพยากรณ์<br />
โรคและแนวทางการร ักษา<br />
Histologic Grading of tumor<br />
• อาศ ัยระด ับDifferentiation ของเนืองอก<br />
และ จํานวนของการแบ่งตัวหรือ Mitoses<br />
เพือบอกพฤติกรรมของเนืองอกน ันๆ<br />
โดยท ัวไปแบ่งออกเป็น 4 Grades หรือ 3<br />
Grades<br />
• ถ้าเนืองอกมีระด ับDifferentiation ทีใกล้เคียง<br />
กับ ในเซลล์หรือเนือเยือต้นกําเนิดทังในด้าน<br />
ลักษณะรูปร่างและการทํางาน (Function) แสดง<br />
ถึงว่า เนืองอกชนิดดังกล่าวมีการเจริญทีดี หรือที<br />
เรียกว่ามี Well differentiation ร่วมก ับมี<br />
Mitoses น้อย ก็จะจ ัดอยู่ใน Grade I<br />
• แต่ในทางตรงก ันข้ามล ักษณะการเจริญของเนือ<br />
งอกมีลักษณะแตกต่างจากเซลล์หรือเนือเยือปกติ<br />
ทีเป็นต้นกําเนิดมากจนแทบจะบอกเซลล์หรือ<br />
เนือเยือต้นกําเนิดไม่ได้ ร่วมก ับมี Mitoses มาก ก็<br />
อาจจะจ ัดอยู่ใน Grade IV ในทางคลินิกแล้ว การ<br />
Grading ของเนืองอก มีความสําค ัญน้อยกว่า การ<br />
Staging ของเนืองอก<br />
42
14/08/55<br />
การ Staging ของเนืองอก<br />
• อาศ ัยคุณล ักษณะของเนืองอก 3 ประการ คือ<br />
– ขนาดของเนืองอก (T)<br />
– การแพร่กระจายของเนืองอกไปตามต่อม<br />
นํ าเหลืองบริเวณเนืองอก (N)<br />
– การมีการแพร่กระจายของเนืองอกไปตาม<br />
กระแสเลือด (M)<br />
The Union International<br />
Centre Cancer (UICC)<br />
1. แบ่งขนาดของเนืองอก เป็น 4 หรือ 5 ระด ับ<br />
(T0-T3 or 4) โดย T0 คือ เนืองอกทียังไม่มี<br />
การรุกรานเนือเยือข้างเคียงมีขนาดเล็ก<br />
2. การแพร่กระจายของเนืองอกไปตามต่อม<br />
นํ าเหลือง แบ่งเป็น 3-4 ระด ับขึนกับตําแหน่งและ<br />
จํานวนของต่อมนํ าเหลืองทีมีการกระจายของเนือ<br />
งอก (N0-N2 or 3)โดย N0 คือไม่มีการกระจาย<br />
ของเนืองอกไปทีต่อมนํ าเหลือง<br />
3. การแพร่กระจายของเนืองอกไปตามกระแสเลือด<br />
แบ่งเป็น 3 ระด ับ(M0-M2) โดย M0 คือไม่มีการ<br />
กระจายของเนืองอกไปตามกระแสเลือด<br />
43
14/08/55<br />
Laboratory Diagnosis<br />
of Cancer<br />
การซักประว ัติและตรวจร่างกายก็เป็น<br />
วิธีการหนึงจะช่วยวินิจฉัยเนืองอก แต่ถ้าไม่<br />
แน่ใจว่า เป็น เนืองอกไม่ร้ายแรง หรือ มะเร็ง<br />
ก็ต้องทําการตรวจวินิจฉัยเพิมเติม<br />
• Histologic and Cytologic Methods คือ<br />
การตรวจระด ับเซลล์และเนือเยือเพือการ<br />
วินิจฉัยโรค<br />
• Molecular Diagnosis คือ การตรวจระด ับ<br />
โครโมโซม ยีน และโปรตีนเพือยืนยันความ<br />
ผิดปกติและช่วยวินิจฉัยโรค<br />
• Flow Cytometry คือ การตรวจหาปริมาณ<br />
ของ DNA จากแต่ละเซลล์ ช่วยบอก<br />
พยากรณ์โรคได้<br />
• Tumor Markers.คือ การตรวจหาโมเลกุล<br />
ทีปรากฏอยู่ในเนืองอกน ันๆ โดยการตรวจ<br />
ในเลือดและสารนํ าในช่องต่างๆของร่างกาย<br />
Tumor Markers.<br />
การตรวจหา Tumor markers มักจะไม่ใช่เพือการ<br />
วินิจฉัย แต่จะใช้ในการติดตามการร ักษา การบอก<br />
พยากรณ์โรค แบ่งออกเป็น กลุ่ม cell surface<br />
antigens กลุ่ม cytoplasmic proteins กลุ่ม<br />
enzymes กลุ่ม hormones.<br />
กลุ่ม hormones<br />
• Human chorionic gonadotropin พบใน<br />
Trophoblastic tumors และ nonseminomatous<br />
testicular tumors<br />
• Calcitonin พบใน Medullary carcinoma of<br />
thyroid<br />
• Catecholamine and metabolites พบใน<br />
Pheochromocytoma<br />
44
14/08/55<br />
กลุ่ม cell surface antigens<br />
• alpha-fetoprotein พบใน Liver cell cancer และ<br />
nonseminomatous germ cell tumors of testis<br />
• Carcinoembryonic antigen พบใน Carcinomas<br />
of the colon, pancreas, lung, stomach, and<br />
breast<br />
กลุ่ม cytoplasmic proteins<br />
• Immunoglobulins พบใน Multiple myeloma<br />
• Prostate-specific antigen พบใน Prostate<br />
cancer<br />
• CA-125 พบใน Ovarian cancer<br />
• CA-19-9 พบใน Colon cancer, pancreatic<br />
cancer<br />
• CA-15-3 พบใน Breast cancer<br />
กลุ่ม enzymes<br />
• Prostatic acid phosphatase พบใน Prostate<br />
cancer<br />
• Neuron-specific enolase พบใน Small cell<br />
cancer of lung และ Neuroblastoma<br />
Principles of cancer therapy<br />
• การผ่าตัด Surgery<br />
• การให้ยา Chemotherapy<br />
(cytotoxic drugs & small molecule)<br />
• การฉายแสง Radiotherapy<br />
• Supportive and palliative care<br />
จบการบรรยาย<br />
45