08.01.2015 Views

บทที่ 3. Central Force Motion - ภาควิชาฟิสิกส์ - มหาวิทยาลัยขอนแก่น

บทที่ 3. Central Force Motion - ภาควิชาฟิสิกส์ - มหาวิทยาลัยขอนแก่น

บทที่ 3. Central Force Motion - ภาควิชาฟิสิกส์ - มหาวิทยาลัยขอนแก่น

SHOW MORE
SHOW LESS

You also want an ePaper? Increase the reach of your titles

YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.

Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-1<br />

θ<br />

เนือหา<br />

<strong>3.</strong>1 Center of Mass และ Reduced Mass<br />

<strong>3.</strong>2 สมการของ <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong><br />

<strong>3.</strong>3 Kepler's Problem<br />

<strong>3.</strong>4 Orbit Dynamics<br />

<strong>3.</strong>5 บทสรุป<br />

<strong>3.</strong>6 ปัญหาท้ายบท<br />

3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong><br />

ปรากฏการณ์การเคลืNอนทีNของดาวเคราะห์ นับเป็นความสําเร็จอย่างหนึ Nงของวิชากลศาสตร์ ทีN<br />

สามารถวิเคราะห์และทํานายการโคจรของดวงดาวได้อย่างแม่นยํา และเนื Wอหาในบทนี W เราจะได้ทํา<br />

ความรู้จักกับขั Wนตอนในการวิเคราะห์ระบบทางกลศาสตร์ ทีNเรียกว่า central force motion<br />

ระบบของดวงอาทิตย์ และ ดาวเคราะห์<br />

<strong>Central</strong> <strong>Force</strong> คือแรงทีอยู<br />

่ในแนวเส้นตรง ระหว่างมวลทั<br />

งสองเสมอ<br />

ภาพ (<strong>3.</strong>1) แสดงรูปแบบของแรงทีNเรียกว่า central force ซึ Nงก็คือแรงทีNมีลักษณะอยู ่ใน<br />

แนวเส้นตรง ระหว่างมวลทั Wงสองเสมอ อาทิเช่น แรงโน้มถ่วงระหว่างดวงอาทิตย์และดาว<br />

เคราะห์<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


W<br />

Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-2<br />

เมืNอพิจารณาระบบทีNประกอบด้วยมวล 2 อัน ยกตัวอย่างเช่น ดวงอาทิตย์และโลก จะพบว่าแรง<br />

โน้มถ่วงทีNมวลทั Wงสองกระทําต่อกันนั Wน มีทิศในแนวรัศมี หรืออีกนัยหนึ Nง ในแนวเส้นตรงทีNลาก<br />

ระหว่างมวลทั Wงสองเสมอ ดังแสดงในภาพ (<strong>3.</strong>1) เราเรียกแรงทีNมีลักษณะเช่นนี Wว่า central force<br />

หัวใจสําคัญของเนื Wอหาในบทนี W ก็เพืNอให้นักศึกษาสามารถใช้กลศาสตร์ ในการวิเคราะห์ระบบของ 2<br />

อนุภาค ทีNมีแรงกระทําต่อกันในลักษณะทีNเรียกว่า central force อาทิเช่น การเคลืNอนทีNของดาว<br />

เคราะห์รอบดวงอาทิตย์ หรือการโคจรของดาวเทียมรอบโลก โดยเราแบ่งเนื Wอหาออกเป็นหัวข้อ<br />

ย่อยดังต่อไปนี<br />

หัวข้อ <strong>3.</strong>1 Center of Mass และ Reduce Mass จะเป็นการปูพื WนฐานทีNสําคัญในการวิเคราะห์ระบบ นั Nน<br />

ก็คือการสร้างกรอบอ้างอิง หรือ frame of reference ทีNเหมาะสม ทั Wงนี Wการเลือกกรอบอ้างอิงทีN<br />

เหมาะสม จะเป็นการลดความซับซ้อนทางคณิตศาสตร์ เพืNอความสะดวกในการวิเคราะห์ในอนาคต<br />

หัวข้อ <strong>3.</strong>2 สมการของ <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> จะได้กล่าวถึงสมการหลักทีNจะเป็นตัวกําหนดพฤติกรรม<br />

การเคลืNอนทีNของมวลทั Wงสอง อันเนืNองมาจากอิทธิพลของ central force ทีNมวลทั Wงสองกระทําต่อกัน<br />

ตลอดจนบทพิสูจน์การได้มาซึ Nงสมการดังกล่าว ทีNเราจะใช้ Lagrange mechanics เป็นหลัก<br />

หัวข้อ <strong>3.</strong>3 Kepler's Problem เพืNอเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสมการของ central force<br />

motion เราจะได้นําสมการทีNควบคุมพฤติกรรมการเคลืNอนทีNดังกล่าว มาประยุกต์ในการศึกษากฎทั Wง<br />

3 ข้อของ Kepler ทีNว่าด้วยการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ นอกจากนี W ในการวิเคราะห์การ<br />

เคลืNอนทีNดังกล่าว เราจําเป็นต้องทบทวนทฤษฏีบททางคณิตศาสตร์ทีNเรียกว่า conic section อีกด้วย<br />

หัวข้อ <strong>3.</strong>4 Orbit Dynamics แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของการนําสมการของ central force<br />

motion มาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่างๆ อาทิเช่น การย้ายวงโคจรของดาวเทียม เงืNอนไขของ<br />

การทําให้กระสวยอวกาศ หลุดจากวงโคจรของโลก เพืNอเดินทางไปสํารวจดาวดวงอืNน หรือ<br />

แม้กระทั NงการเคลืNอนทีNรอบกันและกันของดาวแฝดทีNเรียกว่า binary stars เป็นต้น<br />

Section <strong>3.</strong>1 Center of Mass และ Reduced Mass<br />

เมืNอต้องการวิเคราะห์การเคลืNอนของระบบ สิ NงแรกทีNนักฟิสิกส์ต้องกําหนดขึ Wน ก็คือ กรอบอ้างอิง หรือ<br />

frame of reference ถึงแม้กรอบอ้างอิงดังกล่าว เป็นเพียงกลไกในการบ่งชี Wตําแหน่งของอนุภาคทั Wง<br />

สองในขณะทีNมันกําลังเคลืNอนทีN แต่การเลือกกรอบอ้างอิงทีNเหมาะสม จะทําให้กลไกการแก้สมการ<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-3<br />

ทางคณิตศาสตร์ ลดความซับซ้อนลงไปมากทีเดียว<br />

ในระบบทีNประกอบด้วยหลายอนุภาค อาทิเช่นขวดเบียร์ทีNประกอบด้วยอะตอมจํานวนมหาศาล หรือ<br />

แม้กระทั Nงระบบของ 2 อนุภาคซึ Nงประกอบด้วยดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ก็ตาม ทางเลือกหนึ Nงใน<br />

การกําหนด frame of reference ก็คือการกําหนดให้ "จุดศูนย์กลางมวล" ของระบบดังกล่าว เป็นจุด<br />

กําเนิด นั Nนเอง<br />

Center of Mass<br />

ในขั Wนต้นนี Wเราจะทบทวนทําความเข้าใจกับ center of mass หรือทีNเรียกว่า จุดศูนย์กลางมวล ของระบบ<br />

ตลอดจนศึกษาการนําเอากฎข้อสองของ Newton มาประยุกต์ใช้กับระบบทีNประกอบด้วยหลายอนุภาค<br />

Center of Mass ของวัตถุรูปทรงสมมาตร<br />

m 2<br />

Center of Mass ของระบบหลายอนุภาค<br />

m 1<br />

m 3<br />

r r cm<br />

2<br />

r<br />

<br />

<br />

<br />

m<br />

1<br />

1r1 + m2r2<br />

+ ⋯<br />

r<br />

cm<br />

=<br />

m<br />

+ m<br />

+<br />

⋯<br />

1 2<br />

ภาพ (<strong>3.</strong>2) แสดง center of mass หรือ จุดศูนย์กลางมวลของวัตถุรูปทรงสมมาตร และมี<br />

เนื Wอเดียวกัน ในกรณีดังกล่าว center of mass จะอยู ่ ณ จุดศูนย์กลางของวัตถุพอดี แต่ใน<br />

กรณีทีNวัตถุมีเนื Wอไม่สมํ Nาเสมอ หรือ ระบบประกอบด้วยหลายอนุภาค เราสามารถ<br />

คํานวณหา จุดศูนย์กลางมวลของระบบได้ดังสมการ<br />

ดังแสดงในภาพ (<strong>3.</strong>2) center of mass ของวัตถุทีNมีรูปทรงสมมาตร และมีเนื Wอเดียว จะตั Wงอยู่ ณ<br />

ตําแหน่งกึ Nงกลางของวัตถุพอดี นี Wเองจึงเป็นการเหมาะสมทีNเราเรียก ตําแหน่งดังกล่าวว่า "จุด<br />

ศูนย์กลางมวล" ในกรณีทีNวัตถุมีเนื Wอไม่สมํ Nาเสมอ หรือ ระบบประกอบด้วยหลายอนุภาค จุด<br />

ศูนย์กลางมวล สามารถคํานวณได้จาก<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


W<br />

Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-4<br />

<br />

Center of Mass<br />

1 1 2 2 3 3<br />

r =<br />

cm<br />

<br />

m r + m r + m r + ⋯<br />

M<br />

เมืNอ M = m1 + m2 + m3<br />

+⋯<br />

________________________ สมการ (<strong>3.</strong>1)<br />

ตําแหน่งของ center of mass ดังปรากฏในสมการข้างต้น นอกจากจะเป็นตําแหน่งซึ Nงเป็นเสมือน<br />

ตัวแทนของวัตถุทั Wงก้อน ยังมีความสําคัญเป็นอย่างยิ Nงในการวิเคราะห์การเคลืNอนทีNของวัตถุโดย<br />

อาศัยกลศาสตร์ของ Newton<br />

ทีNผ่านมา เราวิเคราะห์การเคลืNอนทีNของวัตถุโดยประมาณอย่างหยาบว่า วัตถุเป็นเสมือนจุดอนุภาค ทีN<br />

ไม่มีขนาดหรือรูปทรง ในกรณีเช่นนี W กฎข้อ 2 ของ Newton ทีNว่า<br />

2<br />

d<br />

= = F <br />

<br />

a r net<br />

2<br />

dt m<br />

ความเร่งของอนุภาคดังกล่าว แปรผันตามแรงลัพธ์ และ แปรผกผันกับมวลของมัน<br />

นัNนคือ<br />

แต่ในกรณีทีNวัตถุมีรูปทรง คําว่าตําแหน่งของวัตถุดูจะคลุมเครือ ไม่ชัดเจนเหมือน คําว่าตําแหน่ง<br />

ของอนุภาค คําว่าแรงทีNกระทํากับวัตถุก็ตีความได้ลําบาก เพราะวัตถุอาจมีส่วนประกอบหลายชิWน<br />

ซึ Nงแต่ละชิWนอาจจะมีแรงกระทํากับมัน ได้แตกต่างกัน<br />

เพืNอความชัดเจน เราจะเขียนกฎข้อ 2 ของ Newton ในกรณีของวัตถุทีNมีรูปทรง ดังต่อไปนี W<br />

<br />

a<br />

cm<br />

2<br />

d<br />

=<br />

2 cm = F<br />

<br />

<br />

r<br />

dt M<br />

(ext)<br />

net<br />

________________________ สมการ (<strong>3.</strong>2)<br />

กล่าวคือ ความเร่ง a cm ของวัตถุ ให้ถือเอา ความเร่งของตําแหน่งทีNเป็น center of mass ของวัตถุทั Wง<br />

(ext)<br />

ชิWนเป็นหลัก ในขณะทีNแรง F net มีความหมายถึงแรงภายนอก (external force) ทีNกระทํากับวัตถุ<br />

โดยมิได้นับรวมถึงแรงภายใน ทีNส่วนประกอบแต่ละชิWนของวัตถุทั Wงก้อน กระทําต่อกัน และสุดท้าย<br />

M คือ มวลทั Wงหมดของวัตถุนั Nนเอง<br />

เพืNอทีNจะเข้าใจนัยสําคัญของสมการ (<strong>3.</strong>2) ได้ดียิ Nงขึ Wน เราจะแสดงตัวอย่างโจทย์ของคนทีNเดินอยู ่บน<br />

เรือ ดังต่อไปนี<br />

ตัวอย่างโจทย์<br />

Jack มีมวล 45 kg ยืนนิNงอยู่บนเรือซึ Nงมีมวล 60 kg ถ้าเขาเดินมายังจุดสุดท้ายดังในภาพ เรือจะ<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-5<br />

เคลืNอนทีNอย่างไร และเป็นระยะทางเท่าใด<br />

เริมต้น สุดท้าย<br />

1m<br />

3m<br />

1m<br />

วิธีทํา ถ้าเรากําหนดให้ระบบทีNกําลังพิจารณา ประกอบด้วย Jack และ เรือ เข้าด้วยกัน โดยมีมวล m 1<br />

และ m 2 ตามลําดับ จะได้ว่า ในขณะเริ Nมต้น เนืNองจากส่วนประกอบทั Wงสองหยุดนิ Nง center of mass<br />

ของระบบ ก็หยุดนิ Nงด้วยเช่นกัน<br />

เมืNอ Jack เริ Nมเดิน จริงอยู ่ว่ามีแรงระหว่างเท้าของ Jack และ ตัวเรือ แต่จากคํานิยามของระบบ<br />

แรงเหล่านี Wถือเป็น แรงภายในทั WงสิWน เพราะฉะนั Wน แรงภายนอก หรือ external force ทีNกระทํากับ<br />

(ext)<br />

ระบบ ดังในสมการ (<strong>3.</strong>2) ถือว่าเป็นศูนย์ หรือ F net = 0 เมืNอเป็นดังนี W ความเร่งของจุด<br />

ศูนย์กลางมวลมีค่าเป็นศูนย์ด้วยเช่นกัน ดังนั Wนเรากล่าวได้ว่า<br />

center of mass r <br />

cm<br />

จุดสุดท้ายก็ตาม<br />

ของระบบ จะต้องหยุดนิ Nง อยู่ทีNเดิม ไม่ว่าก่อน หรือ ภายหลังทีN Jack เดินมายัง<br />

ตําแหน่ง center of mass<br />

a<br />

x = 0<br />

S = <br />

x = 0<br />

d<br />

a<br />

ก่อนเดิน<br />

หลังเดิน<br />

จากภาพสมมุติให้เรือมีความยาว d ดังนั Wนเราสามารถมองเรือทั Wงลําว่าเป็นจุดอนุภาค ซึ Nงมีมวล m 2<br />

(before)<br />

และตั Wงอยู่จุดศูนย์กลางมวลของเรือพอดี หรือ x = ในทํานองเดียวกัน เราแทน Jack<br />

ด้วยจุดอนุภาคซึ Nงมีมวล m 1 ซึ Nงจากโจทย์กําหนดให้ ตั<br />

2<br />

d<br />

2<br />

(before)<br />

Wงอยู่ ณ ตําแหน่ง x<br />

1<br />

= a<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-6<br />

ดังนั Wนจากสมการ (<strong>3.</strong>1) center of mass ของระบบก่อนเดิน มีค่าเท่ากับ<br />

x<br />

(before)<br />

cm<br />

m1a<br />

+ m2<br />

=<br />

m + m<br />

1 2<br />

d<br />

2<br />

เมืNอ Jack เดินมายังอีกฟากหนึ Nงของเรือ เพืNอรักษาให้ center of mass ของระบบอยู ่ ณ ตําแหน่งเดิม<br />

เรือทั Wงลําจะต้องถอยหลังมาเป็นระยะทาง S ซึ Nงเราจะทําการแก้หาผลเฉลย ในลําดับต่อไป<br />

จากการวิเคราะห์เชิง เรขาคณิต จะได้ว่าตําแหน่งของ m 2 ภายหลังจากการเดิน ก็คือ<br />

x<br />

(after)<br />

2<br />

d<br />

(after)<br />

= − S + ในขณะทีNตําแหน่งของ Jack ก็คือ x1<br />

S d a<br />

2<br />

สมการ (<strong>3.</strong>1) เราบอกได้ว่า จุดศูนย์กลางมวลของระบบก็คือ<br />

= − + − เพราะฉะนั Wน อาศัย<br />

x<br />

(after)<br />

cm<br />

⎛<br />

m1 ( − S + d − a)<br />

+ m2<br />

⎜ − S +<br />

=<br />

⎝<br />

m + m<br />

1 2<br />

จากทีNกล่าวไปแล้วว่า เนืNองจากแรง external force หรือ แรงลัพธ์จากภายนอกระบบเป็นศูนย์<br />

center of mass จะต้องหยุดนิ Nง ดังนั Wนเราสามารถสร้างสมการ<br />

d<br />

2<br />

⎞<br />

⎟<br />

⎠<br />

x<br />

(before)<br />

cm<br />

= x<br />

(after)<br />

cm<br />

d<br />

⎛ d ⎞<br />

m a m m ( − S + d − a)<br />

+ m − S +<br />

2<br />

2<br />

=<br />

⎝ ⎠<br />

m + m m + m<br />

1 + 2 1 2 ⎜ ⎟<br />

1 2 1 2<br />

และเมืNอทําการแก้สมการ เพืNอหาผลเฉลยของระยะ S จะได้ว่า<br />

m d a<br />

S =<br />

m + m<br />

1 ( − 2 )<br />

1 2<br />

ตอบ<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>1 ณ เวลาเริNมต้น กล่องมวล m 1 วางอยู ่บนฐานสามเหลีNยมมวล m 2 และสูง h ซึ Nงวาง<br />

อยู่บนพื WนทีNไม่มีแรงเสียดทาน อีกทอดหนึ Nง เมืNอปล่อยให้เคลืNอนทีNกล่องไถลโดยปราศจากแรงเสียด<br />

ทานมาทีNแนวระดับพื Wนดิน จงหาว่าฐานสามเหลีNยม จะเคลืNอนทีNอย่างไร และระยะทางเท่าใด<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-7<br />

θ<br />

h<br />

เฉลย เลืNอนมาทางขวา เป็นระยะทาง<br />

1<br />

m h<br />

m1 + m2 tan θ<br />

อย่างไรก็ดี กฎข้อ 2 ของ Newton ดังแสดงในสมการ (<strong>3.</strong>2) ก่อให้เกิดคําถามอีกหลายประเด็นทีNยัง<br />

ไม่ได้กล่าวถึง อาทิเช่น 1) เหตุใดจึงไม่จําเป็นต้องนําแรงทีNกระทําภายในระบบ มาร่วมในการ<br />

วิเคราะห์การเคลืNอนทีNของ center of mass ของวัตถุ 2) หรือแม้กระทั Nง ทีNมาของสมการ<br />

<br />

r<br />

cm<br />

<br />

m1r 1 + m2r2 + m3r3<br />

+ ⋯<br />

=<br />

M<br />

ทีNใช้ในการคํานวณ หาตําแหน่งของจุดศูนย์กลางมวล<br />

รายละเอียดของประเด็นต่างๆเหล่านี W จะได้กล่าวถึงในรายละเอียดใน Chapter 4. System of<br />

Particles<br />

ในขั Wนนี W เราจะเพียงใช้สมการ (<strong>3.</strong>1) และ สมการ (<strong>3.</strong>2) โดยไม่มีการพิสูจน์แต่อย่างใด<br />

Reduced Mass - มวลลดทอน<br />

เมืNอเข้าใจแล้วว่า ระบบทีNไม่มีแรงภายนอกเข้ามากระทํา ความเร่งของ center of mass ย่อมมีค่าเป็น<br />

ศูนย์ นั Nนหมายถึง ตําแหน่งจุดศูนย์กลางมวลของระบบจะหยุดนิ Nง (หรือ มีความเร็วคงทีN) และเรา<br />

จะใช้ข้อเท็จจริงประการนี W ในการวิเคราะห์ระบบทีNประกอบด้วย 2 อนุภาค<br />

ทฤษฏีทีNจะใช้เป็นเครืNองมือในการศึกษาครั Wงนี W ก็คือ Lagrange mechanics และก่อนทีNเราจะกล่าวถึง<br />

ระบบทีNประกอบด้วย 2 อนุภาค เป็นการดีทีNจะทบทวนกลไกของ Lagrange mechanics ของระบบ<br />

อย่างง่าย ทีNมีเพียง 1 อนุภาคเสียก่อน<br />

Lagrange Mechanics ของระบบ 1 อนุภาค ซึงมีมวล m<br />

( ɺ 2 ɺ 2 ɺ<br />

2<br />

)<br />

1<br />

L = m x + y + z −<br />

U ( x , y , z<br />

)<br />

2<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-8<br />

ภาพ (<strong>3.</strong>3) แสดง Lagrange function ของระบบ 1 อนุภาค ซึ Nงมีมวล m เมืNอ<br />

U ( x, y, z ) = คือ พลังงานศักย์ ณ ตําแหน่งทีNอนุภาคตั Wงอยู่<br />

เมืNอระบบประกอบด้วย 1 อนุภาค ซึ Nงมีมวล m เราสามารถกําหนดให้พิกัด ( x, y,<br />

z ) ทีNเป็นตําแหน่ง<br />

ของอนุภาคในพิกัด Cartesian เป็น generalized coordinate และสร้าง Lagrange function ได้ดังแสดง<br />

ในภาพ (<strong>3.</strong>3) และ Lagrange function ดังกล่าว จะเป็นจุดกําเนิดของ equation of motion ในลําดับ<br />

ต่อไป<br />

ในคราวนี W พิจารณาระบบทีNประกอบด้วยสองอนุภาค ซึ Nงมีมวล m 1 และ m 2 นอกจากนี W ยัง<br />

(ext)<br />

กําหนดให้เป็นระบบทีNปราศจากแรงภายนอกเข้ามากระทํา หรือ F net = 0 อันตรกริยาต่างๆทีN<br />

เกิดขึ Wน ตลอดจนแรงทีNกระทํากับมวลทั Wงสอง ล้วนเป็นแรงทีNเกิดขึ Wนภายในระบบทั WงสิWน และขึ Wนอยู่<br />

กับธรรมชาติของแรงดังกล่าว วัตถุทั Wงสองก็ต่างเคลืNอนทีN ดังแสดงในภาพ (<strong>3.</strong>4)a<br />

m 1<br />

m 1<br />

r ≡<br />

r −<br />

r<br />

<br />

1 2<br />

r 1<br />

r<br />

2<br />

m 2<br />

m 2<br />

O<br />

a) จุดกําเนิด ณ ตําแหน่งใดๆ<br />

b) เลือกจุดกําเนิด ณ Center of Mass ของระบบ<br />

ภาพ (<strong>3.</strong>4) a) แสดงการกําหนดจุดกําเนิด เพืNอใช้ในการอ้างอิงตําแหน่งของมวล m 1 และ m 2<br />

จะได้ว่า vector r ≡ r 1 − r<br />

อยู่ในแนวเส้นตรงระหว่างมวลทั<br />

2<br />

Wงสอง b) เลือกให้จุดกําเนิด ตั Wงอยู่ ณ<br />

จุดศูนย์กลางมวลของระบบ พอดี<br />

ในกรณีของภาพดังกล่าว ไม่จําเป็นว่ามวลทีNหนักกว่า (ดวงอาทิตย์) จะหยุดนิ Nงเสมอไป ขึ Wนอยู่กับ<br />

<br />

ปัจจัยอืNนๆทีNเกีNยวข้อง ทั Wง m 1 และ m 2 ต่างก็เคลืNอนทีN ซึ Nงมีตําแหน่ง r 1 = r 1 ( t)<br />

และ r <br />

2 = r <br />

2 ( t)<br />

ทีN<br />

ล้วนเปลีNยนแปลงกับเวลาทั Wงคู่<br />

พิจารณา vector ทีNลากจากมวล m 2 ไปยัง m 1<br />

<br />

define r ≡ r1 − r2<br />

________________________ สมการ (<strong>3.</strong>3)<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-9<br />

ในกรณีของ central force motion ทีNกําลังกล่าวถึงในบทนี W เนืNองจากอันตรกริยาระหว่างมวลทั Wงสอง<br />

<br />

ขึ Wนอยู่แต่เพียงระยะห่าง r = r = r1 − r2<br />

ดังนั Wนเรากล่าวได้ว่า พลังงานศักย์ของระบบดังกล่าว<br />

ย่อมเป็นฟังชันก์ของ r แต่เพียงเท่านั Wน หรืออีกนัยหนึ Nง<br />

<strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> U = U ( r)<br />

________________________ สมการ (<strong>3.</strong>4)<br />

เมืNอทราบถึงพลังงานศักย์ของระบบ ในลําดับต่อไปเราจะทําการวิเคราะห์การเคลืNอนทีN โดยอาศัย<br />

Lagrange mechanics เริNมด้วยการกําหนดให้พิกัด ( x1 , y1, z1, x2, y2,<br />

z 2 ) เป็น generalized<br />

coordinate ดังนั Wน Lagrange function อยู่ในรูปของ<br />

L( x , xɺ , y , yɺ , z , zɺ<br />

, x , xɺ , y , yɺ<br />

, z , zɺ<br />

)<br />

1 1 1 1 1 1 2 2 2 2 2 2<br />

2 2 2 2 2 2<br />

( ɺ ɺ ɺ ) ( ɺ ɺ ɺ )<br />

1 1<br />

= m1 x1 + y1 + z1 + m2 x2 + y2 + z2<br />

−U ( r)<br />

2 2<br />

_____________ สมการ (<strong>3.</strong>5)<br />

และจากการสังเกต Lagrange function ในข้างต้น นักศึกษาคงพอเห็นเค้าลางของความซับซ้อนทาง<br />

คณิตศาสตร์ทีNมหาศาล ซึ Nงกําลังจะตามมา เนืNองจากในการวิเคราะห์ระบบทีNประกอบด้วย 2 อนุภาค<br />

ใน 3 มิติ มีจํานวนตัวแปรของ generalized coordinate ถึง 6 ตัวด้วยกัน คือ ( x1 , y1, z1, x2, y2,<br />

z 2 )<br />

ทําให้ในการสร้าง Lagrange equation of motion ทําให้เกิดสมการอนุพันธ์ถึง 6 สมการด้วยกัน<br />

ภาระทางคณิตศาสตร์ทีNจะตามมา ดูเหมือนจะหนักยิ Nงนัก<br />

อย่างไรก็ตาม เราสามารถทีNจะลดความซับซ้อนของปัญหาลงได้ ถ้าใช้ center of mass ของระบบ<br />

เป็นจุดกําเนิดในการอ้างอิงตําแหน่ง ดังแสดงในภาพ (<strong>3.</strong>4)b<br />

ดังทีNได้กล่าวมาในสมการ (<strong>3.</strong>1) จุดศูนย์กลางมวลของระบบ 2 อนุภาคก็คือ<br />

<br />

r<br />

cm<br />

<br />

m r<br />

=<br />

m<br />

<br />

+ m r<br />

+ m<br />

1 1 2 2<br />

1 2<br />

ความหมายของจุดกําเนิด ก็คือ จุดทีNมีพิกัด ( 0,0,0 ) เพราะฉะนั WนการทีNเราบอกว่า กําหนดให้จุด<br />

center of mass เป็นจุดกําเนิด ย่อมหมายถึง r cm = 0 นัNนเอง หรืออีกนัยหนึ Nง<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-10<br />

<br />

r<br />

cm<br />

<br />

m r<br />

= 0 =<br />

m<br />

<br />

+ m r<br />

+ m<br />

1 1 2 2<br />

1 2<br />

สมการข้างต้น นําไปสู ่ความสําพันธ์ระหว่าง r 1 และ r 2 ทีNว่า<br />

<br />

r<br />

m<br />

<br />

1<br />

2 = − r1<br />

m2<br />

เมืNอ center of mass คือ จุดกําเนิด _____________ สมการ (<strong>3.</strong>6)<br />

ความสัมพันธ์ข้างต้น เขียนให้อยู ่ในรูปของ vector อย่างไรก็ตาม เราสามารถเขียนให้อยู ่ในรูปของ<br />

component ตามแนวแกน x, y, และ z ได้ว่า<br />

x<br />

m<br />

m<br />

= −<br />

1<br />

m<br />

y2 = − y<br />

1<br />

1 z z<br />

m<br />

m<br />

1<br />

2 x1<br />

m2<br />

2<br />

= − _____________ สมการ (<strong>3.</strong>7)<br />

2 1<br />

2<br />

สมการ (<strong>3.</strong>7) แสดงให้เห็นว่า เมืNอเรากําหนดให้จุดกําเนิด ตั Wงอยู่ ณ center of mass ของระบบพอดี<br />

ตําแหน่ง r 1 และ r 2 ของมวลทั Wงสอง มิได้เคลืNอนทีNอย่างเป็นอิสระต่อกัน หากแต่มีความสัมพันธ์<br />

กันอยู่ ดังในสมการ (<strong>3.</strong>6) ทั Wงนี WเมืNอรวมเอาความสัมพันธ์ในสมการ (<strong>3.</strong>6) และ คํานิยามของ r ใน<br />

สมการ (<strong>3.</strong>3) เข้าด้วยกัน จะพบว่า<br />

m<br />

m<br />

r<br />

2<br />

1 = r<br />

และ <br />

r2<br />

= −<br />

1<br />

m1 + m2<br />

m1 + m2<br />

<br />

r<br />

_____________ สมการ (<strong>3.</strong>8)<br />

ซึ NงเมืNอแทนสมการ (<strong>3.</strong>8) เข้าไปใน Lagrange function ในสมการ (<strong>3.</strong>5) จะทําให้<br />

1<br />

= −U ( r)<br />

2<br />

<br />

≡ x + y + z r ≡ r − r<br />

2<br />

System of Two Particles L µ r ɺ<br />

2 2 2 2<br />

เมืNอ r ɺ ɺ ɺ ɺ โดยทีN 1 2<br />

m m<br />

m + m<br />

และ µ ≡<br />

1 2<br />

1 2<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>2 จงพิสูจน์สมการ (<strong>3.</strong>8) สมการ (<strong>3.</strong>9)<br />

ซึ NงมีชืNอว่า Reduced Mass<br />

________________________ สมการ (<strong>3.</strong>9)<br />

Lagrange function ดังแสดงในสมการข้างต้น มีความสําคัญเป็นอย่างยิ Nงในการวิเคราะห์ ระบบทีN<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-11<br />

ประกอบด้วย 2 อนุภาค และมีข้อสังเกตใน 3 ประเด็นดังต่อไปนี W<br />

1) ถึงแม้จะเป็น Lagrange function ของระบบ 2 อนุภาค ในสมการ (<strong>3.</strong>9) แต่รูปแบบทางคณิตศาสตร์<br />

มีความคล้ายคลึงเป็นอย่างมากกับ Lagrange function ในภาพ (<strong>3.</strong>3) จะต่างกันก็แต่เพียง ใน ภาพ<br />

m m<br />

m + m<br />

(<strong>3.</strong>3) เป็นอนุภาคทีNมีมวล m ในขณะทีNในสมการ (<strong>3.</strong>9) ปรากฏตัวแปร µ =<br />

1 2<br />

1 2<br />

2) แม้จะคล้ายคลึงกันในทางคณิตศาสตร์ แต่ระบบทางฟิสิกส์แตกต่างกันอย่างสิWนเชิง กล่าวคือ ใน<br />

สมการ (<strong>3.</strong>9) นั Wน เป็นระบบของ 2 อนุภาค และตัวแปร ( x, y,<br />

z ) หมายถึงระยะห่างระหว่างอนุภาค<br />

ทั Wงสอง แต่ใน ภาพ (<strong>3.</strong>3) นั Wน เป็นระบบของ 1 อนุภาค และตัวแปร ( x, y,<br />

z ) หมายถึงตําแหน่ง<br />

ของอนุภาคดังกล่าว<br />

3) อย่างไรก็ดี Lagrange function ทีNเขียนขึ Wนโดยอาศัยตัวแปร ( x, y,<br />

z ) ดังในสมการ (<strong>3.</strong>9) นั Wน มี<br />

ความซับซ้อนน้อยกว่า ในกรณีของสมการ (<strong>3.</strong>5) ด้วยเหตุทีNเราใช้ center of mass ของระบบ เป็นจุด<br />

กําเนิดในการอ้างอิงตําแหน่งของมวลทั Wงสอง<br />

นั Nนหมายถึง ในการพิจารณาระบบทีNประกอบด้วย 2 อนุภาค จะมีความสะดวกถ้าเราใช้ระยะห่าง<br />

r ≡ r 1 − r<br />

ระหว่างอนุภาคทั<br />

2 Wงสอง ในการวิเคราะห์ระบบ มากกว่าทีNจะใช้ตําแหน่ง r 1 และ 2<br />

พร้อมๆกัน<br />

r ไป<br />

ด้วยข้อสังเกตทั Wง 3 ประการนี Wเอง เราสรุปเทคนิคในการวิเคราะห์ระบบของ 2 อนุภาค ซึ NงเคลืNอนทีN<br />

ภายใต้ central force ได้ว่า<br />

m m<br />

m + m<br />

System of Two Particles เสมือนเป็ น ระบบของ 1 อนุภาค ซึ Nงมีมวล µ =<br />

1 2<br />

1 2<br />

เมืNอ µ มีชืNอว่า "Reduced Mass" หรือ มวลลดทอน<br />

________________________ สมการ (<strong>3.</strong>10)<br />

เพืNอทีNจะให้นักศึกษาเข้าใจ เทคนิคในการใช้ reduced mass ในการช่วยลดความซับซ้อนของโจทย์<br />

ได้ดียิ Nงขึ Wน พิจารณาตัวอย่างโจทย์ของระบบทีNประกอบด้วย 2 อนุภาคซึ Nงผูกติดกันด้วยสปริง<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-12<br />

ตัวอย่างโจทย์<br />

มวล m 1 และ m 2 ผูกติดกันด้วยสปริง ซึ Nงมีค่า spring constant k ดังแสดงในภาพ จงคํานวณหา<br />

อัตราเร็วเชิงมุม ω ของการสั Nน<br />

m 1<br />

m<br />

2<br />

k<br />

วิธีทํา เพืNอเป็นการเปรียบเทียบ เราจะทําโจทย์ข้อนี Wใน 2 วิธีด้วยกันคือ 1) พิจารณาการเคลืNอนทีN<br />

อย่างตรงไปตรงมา โดยคิดว่าระบบประกอบด้วย 2 อนุภาค และ 2) ใช้เทคนิคของ reduced mass ดัง<br />

แสดงในสมการ (<strong>3.</strong>10)<br />

1) กําหนดให้ตําแหน่งของมวลทั Wงสองคือ x และ 1 x 2 อาศัยกลศาสตร์แบบ Lagrange เราสร้าง<br />

Lagrange function ได้ว่า<br />

m 1<br />

m<br />

2<br />

k<br />

x 1 ( t ) x<br />

2 ( t<br />

)<br />

x<br />

x t ( ) 2<br />

1 2 1 2 1<br />

L( x1, xɺ 1, x2, xɺ 2)<br />

= m1 xɺ 1 + m2 xɺ 2 − k x2 − x1<br />

− l<br />

2 2 2<br />

เมืNอ l คือความยาว ณ สภาวะสมดุลของสปริง จาก Lagrange function ดังกล่าว เราสร้าง equation<br />

of motion ได้ดังนี W<br />

k<br />

m<br />

2<br />

1<br />

( l)<br />

x − x − − ɺɺ x = 0<br />

2 1 1<br />

k<br />

− ( x2 − x1 − l)<br />

− ɺɺ x2<br />

= 0<br />

m<br />

ข้างต้นเป็นระบบสมการอนุพันธ์ 2 ตัวแปรทีNมีขั Wนตอนในการแก้หาผลเฉลยทีNซับซ้อนพอสมควร<br />

ในทางคณิตศาสตร์ สามารถใช้เทคนิคการเปลีNยนตัวแปร โดยนิยามให้<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-13<br />

u ≡ x2 − x1<br />

− l ( เพราะฉะนั<br />

Wน u = x2 − x1<br />

ɺɺ ɺɺ ɺɺ )<br />

จากคํานิยามข้างต้น เราจะเปลีNยนสมการอนุพันธ์ข้างต้น ซึ Nงเดิมเขียนในรูปของตัวแปร ( x1 , x 2 ) ให้<br />

อยู่ในรูปของตัวแปร u ได้ว่า<br />

⎛ k<br />

⎜<br />

⎝ m<br />

k ⎞<br />

+ ⎟u<br />

+ uɺɺ<br />

= 0<br />

m ⎠<br />

1 2<br />

สมการอนุพันธ์ในลักษณะดังกล่าวข้างต้นนั Wน อยู่ในรูปแบบของการสั Nนแบบ simple harmonic<br />

oscillation โดยมีรูปแบบของผลเฉลยคือ u( t) = Asin<br />

( ωt<br />

+ δ0<br />

) เมืNอ A,<br />

δ 0 คือค่าคงทีNซึ Nงขึ Wนอยู่<br />

กับเงืNอนไขเริ Nมต้นของการเคลืNอนทีN อาทิความเร็วต้น หรือ ตําแหน่งเริ Nมต้น ณ เวลา t=0 ส่วน ω คือ<br />

อัตราเร็วเชิงมุมของการสั Nน และมีค่าเท่ากับ<br />

k<br />

m<br />

k<br />

m<br />

ω = + ตอบ<br />

1 2<br />

2) โดยอาศัยเทคนิคของ reduced mass สังเกตว่าโจทย์ได้กล่าวถึงระบบของ 2 อนุภาค ซึ Nงไม่มีแรง<br />

ภายนอกเข้ามากระทํา อาศัยสมการ (<strong>3.</strong>10) เรามองว่าระบบเสมือนเป็น 1 อนุภาคซึ Nงมีมวล µ ผูก<br />

ติดอยู ่กับสปริง ดังแสดงในภาพ<br />

m 1<br />

m<br />

2<br />

k<br />

เสมือนเป็ น<br />

µ<br />

ω<br />

=<br />

k<br />

µ<br />

เมืNอลดรูปของปัญหาให้เสมือนว่ามีเพียง 1 อนุภาค เราทราบดีจากวิชา General Physics ว่า การสั Nน<br />

ของสปริงต้องมี<br />

ทําให้<br />

ω<br />

k<br />

µ<br />

m m<br />

m + m<br />

= เมืNอ µ คือมวลของอนุภาคดังกล่าว และเมืNอแทน µ =<br />

1 2<br />

1 2<br />

จะ<br />

ω<br />

m + m k k<br />

1 2<br />

= k = + ตอบ<br />

m 1 m 2 m 1 m 2<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


่<br />

Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-14<br />

จากตัวอย่างโจทย์ข้างต้น จะเห็นได้ชัดเจนว่า การลดรูปของปัญหาจากระบบของ 2 อนุภาค ซึ Nงมี<br />

m m<br />

m + m<br />

มวล m 1 และ m 2 ให้เสมือนเป็นระบบของ 1 อนุภาคซึ Nงมีมวล µ =<br />

1 2<br />

ขั Wนตอนการวิเคราะห์ในทางคณิตศาสตร์นั Wน ง่ายดายยิ Nงขึ Wน<br />

1 2<br />

นั Wน สามารถทําให้<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>3 จงแสดงให้เห็นว่า ในระบบสองอนุภาค ทีNกําหนดให้ center of mass เป็นจุด<br />

<br />

กําเนิดนั Wน total momentum p1 + p2 = 0 เสมอ<br />

Section <strong>3.</strong>2 สมการของ <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong><br />

เมืNอมีความเข้าใจถึงเทคนิควิธีในการสร้าง frame of reference ในการศึกษาระบบ 2 อนุภาคทีNอยู<br />

m m<br />

m + m<br />

ภายใต้อิทธิพลของ central force ตลอดจนกลไกการใช้ reduced mass µ =<br />

1 2<br />

1 2<br />

เพืNอทําให้<br />

เสมือนว่ามีเพียงอนุภาคเดียว ซึ NงเคลืNอนทีNภายใต้อิทธิพลของพลังงานศักย์ U ( r ) ดังปรากฏในสมการ<br />

(<strong>3.</strong>9) เช่นนี Wแล้ว เราก็มีความพร้อมทีNจะสร้างสมการการเคลืNอนทีNของมวลลดทอนดังกล่าว เพืNอ<br />

นําไปใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์ในลําดับต่อไป<br />

<br />

p<br />

r <br />

Angular Momentum<br />

L<br />

= r<br />

×<br />

p<br />

<br />

L <br />

ตั<br />

งฉากกับระนาบ<br />

ระนาบของการเคลือนที<br />

เมือ คงที หมายถึง ระนาบต้องไม่เปลียนแปลง<br />

L <br />

วัตถุภายใต้ <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> เคลือนทีในระนาบเดียวเสมอ<br />

ภาพ (<strong>3.</strong>5) แสดงทิศทางของ angular momentum L ทีNต้องตั WงฉากกับระนาบของการเคลืNอนทีN<br />

เสมอ ดังนั Wนถ้า angular momentum ดังกล่าวคงทีN ย่อมแสดงว่าระนาบของการเคลืNอนทีNในระบบ<br />

central force motion ย่อมต้องคงทีNด้วย<br />

ดังแสดงในภาพ (<strong>3.</strong>5) เมืNอมวลวัตถุมวล µ เคลืNอนทีNภายใต้อิทธิพลของ central force F <br />

net<br />

ทิศทางพุ่งเข้าสู ่จุดกําเนิดเสมอ หรืออีกนัยหนึ Nง<br />

ซึ Nงมี<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-15<br />

F <br />

net<br />

<br />

r<br />

ทั Wงนี WเมืNอเราวิเคราะห์สมบัติทีNเกีNยวข้องกับการหมุน ของมวล µ รอบจุดกําเนิด สิ NงทีNต้องพิจารณาก็<br />

<br />

คือ torque τnet<br />

= r × F <br />

net ซึ Nงเป็นต้นเหตุของแรงบิด และ angular momentum L ซึ Nงเป็นผลลัพธ์<br />

ของการหมุนทีNเกิดขึ Wน จากเนื Wอหาของ General Physics เบื Wองต้น ปริมาณทั Wงสองนี Wมีความสัมพันธ์<br />

ดังสมการ Newton (ทีNเกีNยวข้องกับการหมุน)<br />

<br />

τ<br />

net<br />

d<br />

=<br />

dt<br />

L <br />

กล่าวคือ torque τ net คือการบิดทีNทําให้ angular momentum L เปลีNยนแปลงไป อาทิเช่น เดิมเคย<br />

หมุนช้าๆ ทําให้หมุนเร็วยิ Nงขึ Wน<br />

แต่ในกรณีของ central force นั Wน มีทิศขนานไปกับ r ดังนั Wน cross product<br />

<br />

τnet = r × F <br />

net = 0 และในเมืNอ torque เป็นศูนย์ เงืNอนไขดังกล่าว มีผลให้ angular momentum<br />

L ของระบบมีค่าคงทีN ไม่เปลีNยนแปลงกับเวลา หรืออีกนัยหนึ Nง<br />

F <br />

net<br />

<strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong><br />

<br />

L = r × p =<br />

constant<br />

_________________ สมการ (<strong>3.</strong>11)<br />

<br />

และเนืNองจากกลไกทางคณิตศาสตร์ของ cross product ทีNว่า ถ้า C = A × B แล้ว vector C<br />

จะต้องตั Wงฉากกับทั Wง vector A และ B เสมอ เพราะฉะนั Wน สมการ (<strong>3.</strong>11) และ ภาพ (<strong>3.</strong>5) ทําให้<br />

เราสรุปได้ว่า vector r จะต้องอยู ่ในระนาบซึ Nงตั Wงฉากกับ L เสมอ หรืออีกนัยหนึ Nง<br />

ในระบบของ <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> วัตถุจะเคลืNอนทีN จํากัดอยู ่ภายใน<br />

ระนาบเดียวเท่านั Wน<br />

_________________ สมการ (<strong>3.</strong>12)<br />

เมืNอเป็นดังนี W เราสามารถทีNจะอธิบายการเคลืNอนทีNของ reduced mass µ ดังกล่าว ใน 2 มิติ โดยใน<br />

ทีNนี Wจะใช้พิกัด polar ( r,<br />

θ ) ดังแสดงในภาพ (<strong>3.</strong>5)<br />

โดยอาศัยกลไกของ Lagrange mechanics เราเริNมด้วยการเขียน Lagrange function ได้ว่า<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-16<br />

2 2<br />

(<br />

ɺ2<br />

)<br />

1<br />

L = µ r + r θ −U ( r)<br />

2<br />

ɺ _________________ สมการ (<strong>3.</strong>13)<br />

โดยทีNเทอมแรก แสดงถึงพลังงานจลน์ของอนุภาค และขั Wนตอนต่อไปคือการสร้าง Lagrange<br />

equation of motion ในกรณีของตัวแปร r และ ตัวแปร θ<br />

Angular Momentum และ พลังงานรวม<br />

จาก Lagrange function ในสมการ (<strong>3.</strong>13) จะได้ว่า equation of motion ในกรณีของตัวแปร θ อยู่ใน<br />

รูปของ<br />

∂L d ∂L<br />

− = 0<br />

∂θ<br />

dt ∂ ɺ θ<br />

∂ L =<br />

∂θ<br />

และเนืNองจาก 0<br />

∂ L =<br />

∂θ<br />

2<br />

และ µ r ɺ θ เพราะฉะนั<br />

ɺ<br />

Wน<br />

d<br />

dt<br />

2<br />

( r ɺ<br />

)<br />

µ θ = 0<br />

2<br />

เมืNออนุพันธ์เทียบกับเวลาของ µ r ɺ 2<br />

θ มีค่าเป็นศูนย์ ย่อมหมายถึงว่าเทอม µ r ɺ θ มีค่าคงทีN หรืออีก<br />

นัยหนึ Nง<br />

2<br />

ɺ l _________________ สมการ (<strong>3.</strong>14)<br />

µ r θ = constant =<br />

2<br />

สมการ (<strong>3.</strong>14) มีนัยสําคัญมากกว่าการทีNเราบอกว่า ปริมาณ µ r ɺ θ ซึ Nงแทนด้วยตัวแปร l มีค่าคงทีN<br />

2<br />

หากแต่ยังมีความหมายทางฟิสิกส์ทีNแฝงเร้นอยู ่ นัNนคือ ปริมาณ µ r ɺ θ คือขนาดของ angular<br />

momentum หรือ โมเมนตัมของการหมุนนัNนเอง เพราะฉะนั Wน เราสรุปได้ว่า<br />

2<br />

<strong>Central</strong> Fore <strong>Motion</strong> Angular Momentum l = µ r ɺ θ = ค่าคงทีNเสมอ<br />

_________________ สมการ (<strong>3.</strong>15)<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-17<br />

ตัวอย่างโจทย์<br />

<br />

จงแสดงให้เห็นว่า ถ้าวัตถุมวล m เคลืNอนทีNในระนาบ 2 มิติ แล้ว angular momentum L ≡ r × p<br />

2<br />

จะมีขนาดเท่ากับ mr ɺ θ<br />

วิธีทํา ถ้าจํากัดการเคลืNอนทีN เฉพาะในระนาบ xy เท่านั Wน เริNมด้วยการสร้าง vector แสดงตําแหน่ง<br />

r และ vector แสดง momentum p ให้อยู่ในรูปของพิกัด polar ( r, θ ) จากคํานิยามของ vector ทั Wง<br />

สองในพิกัด Cartesian<br />

ทั Wงนี W<br />

x = r cosθ<br />

และ y r sinθ<br />

⎛ x ⎞<br />

⎜ ⎟<br />

r = y<br />

⎜ 0 ⎟<br />

⎝ ⎠<br />

= ทําให้<br />

และ<br />

⎛ xɺ<br />

⎞<br />

⎜ ⎟<br />

p = mv<br />

= m yɺ<br />

⎜ 0 ⎟<br />

⎝ ⎠<br />

⎛ r cosθ<br />

⎞<br />

⎜ ⎟<br />

r = r sinθ<br />

⎜ 0 ⎟<br />

⎝ ⎠<br />

และ<br />

⎛ rɺ<br />

cosθ − r ɺ θ sinθ<br />

⎞<br />

⎜<br />

⎟<br />

p = m⎜<br />

rɺ<br />

sinθ + r ɺ θ cosθ<br />

⎟<br />

⎜ 0 ⎟<br />

⎝<br />

⎠<br />

และเมืNอนํา r และ p <br />

เข้ามาคํานวณ cross product ตามคํานิยามของ angular momentum L ≡ r × p<br />

จะได้ว่า<br />

⎛ r cosθ ⎞ ⎛ rɺ<br />

cosθ − r ɺ θ sinθ<br />

⎞ ⎛<br />

0<br />

⎞<br />

⎜ ⎟ ⎜<br />

⎟ ⎜<br />

⎟<br />

L = r sinθ × m⎜<br />

rɺ<br />

sinθ + r ɺ<br />

θ cosθ<br />

⎟ = m⎜ 0<br />

⎟<br />

⎜ 0 ⎟ ⎜ 0 ⎟ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎜ r cosθ ( rɺ<br />

sinθ + r ɺ θ cosθ ) − r sinθ ( rɺ<br />

cosθ − r ɺ θ sinθ<br />

) ⎟<br />

⎝ ⎠<br />

ให้สังเกตว่า angular momentum ดังกล่าวมีทิศชี Wในแนวแกน z ซึ Nงตั Wงฉากกับระนาบ xy ตรงกันกับ<br />

คําอธิบายในภาพ (<strong>3.</strong>5) นอกจากนี W เรายังสามารถลดรูปขนาดของ angular momentum ในสมการ<br />

ข้างต้นได้เป็น<br />

2 2 2 2 2<br />

( ɺ + ) − ( ɺ − ) = + =<br />

mr cosθ r sinθ r ɺ θ cosθ mr sinθ r cosθ r ɺ θ sinθ mr ɺ θ cos θ mr ɺ θ sin θ mr ɺ θ<br />

2<br />

เพราะฉะนั Wนแล้ว ขนาดของ angular momentum l = mr ɺ θ ตอบ<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-18<br />

<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>4 จงแสดงให้เห็นว่า L = r × p = r1 × p1 + r2 × p2 = L1 + L2<br />

กล่าวคือไม่ว่าเราจะ<br />

มองระบบเป็นเสมือน 1 อนุภาคซึ Nงมี reduced mass เท่ากับ µ หรือเป็นระบบ 2 อนุภาคทีNมีมวล m 1<br />

และ m 2 angular momentum ทีNคํานวณได้ มีค่าเท่ากัน<br />

ข้อเท็จจริงทีNว่า angular momentum l มีขนาดคงทีN จะมีส่วนช่วยให้เราเขียนสมการในการคํานวณ<br />

พลังงานรวม E ของระบบ ให้อยู ่ในรูปทีNง่ายขึ Wน<br />

พิจารณา total Energy ของระบบทีNมีมวลเท่ากับ µ ซึ NงเคลืNอนทีNในพิกัด polar ( r, θ )<br />

(<br />

ɺ<br />

)<br />

1 2 2 2 1 2 1 2 2<br />

E = K + U = µ rɺ + r θ + U ( r) = µ rɺ<br />

+ µ r ɺ θ + U ( r)<br />

2 2 2<br />

จะเห็นว่า เทอมของพลังงานจลน์ กระจายออกได้เป็น 2 ส่วน จากสมการ (<strong>3.</strong>15) จะได้ ɺ θ<br />

2<br />

1<br />

2 r<br />

2 2<br />

และเมืNอแทนเข้าไปในส่วน µ θɺ ของพลังงานรวมในข้างต้น ทําให้<br />

= l<br />

µ r<br />

2<br />

2 l<br />

ɺ ( ) _________________ สมการ (<strong>3.</strong>16)<br />

2<br />

1<br />

E = µ r + + U r<br />

2 2µ<br />

r<br />

สมการข้างต้นมีความสําคัญในการวิเคราะห์ หาพลังงานรวม หรือ total energy ของระบบ เนืNองด้วย<br />

ระบบของวงโคจรโดยทั Nวไปนั Wน มีการอนุรักษ์พลังงาน นั Nนคือ E จะต้องเป็นค่าคงทีNตลอด<br />

ระยะเวลาการเคลืNอนทีN ซึ Nงสามารถนํามาใช้เป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์การเคลืNอนทีNได้<br />

ระบบ 2 อนุภาคซึ Nงมี reduced mass เท่ากับ µ ซึ<br />

ตัวอย่างโจทย์<br />

2<br />

l 2<br />

NงกําลังเคลืNอนทีNภายใต้แรง F( r) = − ( α + 1)<br />

เมืNอ k และ α คือ constants จงคํานวณหา total energy ของระบบดังกล่าว<br />

2<br />

l 2<br />

วิธีทํา จากสมการ (<strong>3.</strong>16) เราทําการเปลีNยนข้อมูลของแรง F( r) = − ( α + 1)<br />

µ r<br />

d<br />

− U r = ทั<br />

dr<br />

ของพลังงานศักย์ U ( r ) โดยอาศัยสมการความสัมพันธ์ ( ) F ( r )<br />

3<br />

µ r<br />

3<br />

ให้เป็นข้อมูล<br />

Wงนี WเมืNอ integrate<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-19<br />

∫<br />

dU =<br />

∫<br />

F( r)<br />

dr<br />

( α + )<br />

2 2<br />

l 1 1<br />

U ( r)<br />

= − + C<br />

2µ<br />

2<br />

r<br />

ค่าคงทีN C ของการ integrate สามารถหาได้จากการกําหนดให้ พลังงานศักย์ ณ ตําแหน่ง r → ∞ มี<br />

ค่าเป็นศูนย์ หรือ U ( ∞ ) = 0 เพราะฉะนั Wน C = 0 ดังนั Wนเราจะได้ว่า ระบบมีพลังงานศักย์คือ<br />

U ( r)<br />

= − l<br />

จากนั Wนแทน U ( r ) ในสมการ (<strong>3.</strong>16) ทําให้<br />

( α + )<br />

2 2<br />

2µ<br />

1 1<br />

r<br />

2<br />

( α + 1)<br />

2<br />

2 2<br />

2<br />

2 l l<br />

2 l<br />

ɺ<br />

2 2 2<br />

E 1 1 1<br />

= µ<br />

2 r ɺ + − = µ<br />

2µ r 2µ<br />

r 2<br />

r +<br />

2µ<br />

r<br />

2 2 2<br />

l α l<br />

− −<br />

2µ r 2µ<br />

r<br />

2 2<br />

เพราะฉะนั Wนแล้ว<br />

พลังงาน<br />

E<br />

2 2<br />

1 2 α<br />

= µ r − l<br />

2<br />

ɺ ตอบ<br />

2 2µ<br />

r<br />

กล่าวโดยสรุป ในการเคลืNอนทีNแบบ central force นั Wน ระบบต้องมี angular momentum l และ<br />

พลังงาน E คงทีNตลอดระยะเวลาการเคลืNอนทีN โดยทีNความสัมพันธ์ของปริมาณทั Wงสอง กับตําแหน่ง<br />

ของอนุภาค ซึ Nงแทนด้วย ( r,<br />

θ ) มีปรากฏในสมการ (<strong>3.</strong>15) และ สมการ (<strong>3.</strong>16) ตามลําดับ<br />

Stability of Circular Orbit<br />

สมมุติว่าดาวเทียมมวล µ กําลังโคจรเป็นวงกลม (circular orbit) ด้วยรัศมี r = R ในขณะนั Wนโดน<br />

รบกวนเพียงเล็กน้อยด้วยปัจจัยภายนอก อาทิเช่นถูกกระแทกจากฝุ ่น หรือ อนุภาคขนาดเล็ก ถ้าวง<br />

โคจรของดาวเทียมดังกล่าวเป็น stable equilibrium ก็ย่อมสามารถวกกลับเข้ามาโคจรในเส้นทางเดิม<br />

ได้ เสมือนก้อนหินทีNวางนิ Nงอยู่ ณ ก้นถ้วย แม้เกิดแผ่นดินไหวให้สั NนกระเพืNอมชั Nวขณะ ก้อนหินยังคง<br />

กลับมาสงบนิ Nงอยู่ได้ในทีNสุด<br />

ถ้าวงโคจรของดาวเทียมเป็น unstable equilibrium ย่อมไม่อาจจะรักษาเส้นทางโคจรได้ ถ้าหากโดน<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-20<br />

รบกวน เสมือนก้อนนํ Wาแข็งทีNวางนิ Nงบนหลังเต่า ความสมดุลทีNไม่เสถียรเช่นนี W มิอาจจะเกิดขึ Wนได้<br />

นานนัก<br />

ปัจจัยทีNเป็นตัวตัดสินว่า circular orbital หรือ การโคจรเป็นวงกลมของวัตถุ จะมีความเสถียรหรือไม่<br />

นั Wน เกีNยวพันกับ potential energy U ( r ) ของระบบ<br />

พิจารณาสมการ (<strong>3.</strong>16) ทีNแสดงถึงพลังงานของระบบ<br />

1 2 l<br />

E = µ rɺ<br />

+ + U ( r)<br />

2<br />

2<br />

2µ<br />

r<br />

<br />

2<br />

function of r<br />

จะเห็นว่าพลังงาน E เป็นฟังชันก์ทีNขึ Wนอยู่กับ r เพียงอย่างเดียว และมิได้เกีNยวข้องกับ θ ถึงแม้จะ<br />

เป็นการเคลืNอนทีNใน 2 มิติก็ตาม เพราะฉะนั Wน ในการวิเคราะห์เกีNยวกับ stable orbit เราอาจจะมอง<br />

สมการข้างต้น เสมือนว่า เป็นการเคลืNอนทีNใน 1 มิติ ทีNใช้ตัวแปร r ในการบ่งบอกตําแหน่ง และ<br />

1<br />

2 r<br />

2<br />

เทอม µ ɺ ทําหน้าทีNเสมือนพลังงานจลน์<br />

เทอม<br />

l<br />

2<br />

2µr<br />

2<br />

+ U ( r)<br />

โดยเป็นทีNนิยมเรียกเทอมพลังงานศักย์เสมือนดังกล่าวว่า<br />

ทําหน้าทีNเสมือนพลังงานศักย์<br />

Effective Potential Energy<br />

l<br />

Ueff ( r) ≡ + U( r)<br />

2<br />

2µr<br />

2<br />

__________ สมการ (<strong>3.</strong>17)<br />

การใช้คําว่า effective นําหน้า ก็เพืNอยํ Wาเตือนให้ทราบว่า U eff ( r ) นั Wนแตกต่างจาก potential energy<br />

U ( r ) นอกจากนี W U eff ( r ) ยังมีประโยชน์ในการนํามาใช้งานในวงแคบ โดยเฉาะอย่างยิ Nง เกีNยวกับ<br />

เสถียรภาพการโคจรของวัตถุเท่านั Wน<br />

โดยอาศัยคํานิยามของ effective potential ดังกล่าว มาสามารถเขียนพลังงาน E เสียใหม่ได้ว่า<br />

1 2<br />

E = µ rɺ<br />

+ Ueff<br />

( r)<br />

2<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-21<br />

ซึ Nงเป็นสมการทีNแทบจะเรียกได้ว่า เหมือนกับการเคลืNอนทีNใน 1 มิติซึ Nงมีตัวแปร r เป็นตัวแปรบอก<br />

ตําแหน่งของวัตถุ เมืNอเป็นเช่นนี W เราสามารถสร้างเงืNอนของ stable หรือ unstable equilibrium<br />

เหมือนดังในกรณีของบททีN 1 เรืNอง Newton mechanics ได้ว่า<br />

d U<br />

dr =<br />

เงืNอนไข Equilibrium eff ( r ) = 0<br />

Stable Circular Orbit<br />

Unstable Circular Orbit<br />

2<br />

r R<br />

d<br />

2 U eff ( r ) > 0<br />

dr<br />

2<br />

r=<br />

R<br />

d<br />

2 U eff ( r ) < 0<br />

dr<br />

r=<br />

R<br />

________________ สมการ (<strong>3.</strong>18)<br />

1<br />

0.5<br />

eff ( )<br />

เปรียบเทียบ Effective Potential ใน ใน 2 กรณี<br />

Unstable Equilibrium<br />

2<br />

d eff<br />

( ) 0<br />

2 U r <<br />

dr<br />

(a)<br />

(b)<br />

U<br />

U<br />

2<br />

l<br />

k<br />

( r<br />

)<br />

= −<br />

2<br />

µr<br />

r<br />

2<br />

l<br />

k<br />

( r<br />

)<br />

= −<br />

2 µr 3<br />

r<br />

eff 2<br />

eff 2 3<br />

U r r<br />

0 2 4 6<br />

− 0.5<br />

−<br />

1<br />

2<br />

d eff<br />

( ) 0<br />

2 U r ><br />

dr<br />

Stable Equilibrium<br />

ภาพ (<strong>3.</strong>6) แสดงกราฟของ effective potential<br />

l<br />

= 1.5, µ<br />

= 1.0, k<br />

=<br />

2.0<br />

l<br />

Ueff ( r) ≡ + U ( r)<br />

2<br />

2µr<br />

2<br />

ใน 2 กรณี<br />

ตัวอย่างด้วยกัน กรณี (a) เกิดลักษณะของแอ่งกระทะ หรือ stable equilibrium ในขณะทีN<br />

กรณี (b) เป็น unstable equilibrium<br />

ยกตัวอย่างเช่นเมืNอเราเปรียบเทียบ ระบบ 2 อนุภาคซึ NงมีแรงทีNกระทําระหว่างกันใน 2 กรณีคือ a)<br />

F( r)<br />

k<br />

= − และ กรณี b) F( r)<br />

2<br />

4<br />

r<br />

r<br />

k<br />

= − นักศึกษาจะสังเกตว่า แรงในกรณี a) นั Wน มีตัวอย่างให้<br />

เห็นเป็นแรงโน้มถ่วง หรือ แรงระหว่างประจุไฟฟ้ า ทีNปรากฏอยู ่จริงในธรรมชาติ ในขณะทีNแรงใน<br />

กรณี b) นั Wนไม่มีให้พบเห็นบ่อยครั Wงนัก แต่ยกตัวอย่าง ณ ทีNนี WเพืNอประโยชน์ในการเปรียบเทียบเท่านั Wน<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-22<br />

ดังแสดงในภาพ (<strong>3.</strong>6) แรงในกรณีทั Wงสอง เมืNอ integrate ให้อยู่ในรูปพลังงานศักย์ จะได้ว่า<br />

a) U ( r)<br />

k<br />

r<br />

= − ดังนั Wน<br />

k<br />

b) U ( r)<br />

= − ดังนั Wน<br />

3<br />

3r<br />

U<br />

U<br />

2<br />

l k<br />

( r)<br />

= −<br />

2µr<br />

r<br />

eff 2<br />

eff 2 3<br />

2<br />

l k<br />

( r)<br />

= −<br />

2µr 3r<br />

จากกราฟจะพบว่า แรงในกรณี a) ทําให้เกิดบ่อของ effective potential energy ทีNมีลักษณะเป็นแอ่ง<br />

กระทะ<br />

ซึ Nงในทางคณิตศาสตร์แล้วหมายถึง<br />

2<br />

d<br />

2 U eff ( r ) 0<br />

dr<br />

> ณ จุด equilibrium<br />

ในทางตรงกันข้าม แรงในกรณี b) ทําให้ effective potential energy ทีNมีลักษณะเป็นโดมโค้งขึ Wน<br />

หรืออีกนัยหนึ Nง<br />

2<br />

d<br />

2 U eff ( r ) 0<br />

dr<br />

> ณ จุด equilibrium<br />

ดังนั Wนเราสรุปได้ว่า ระบบ central force motion ซึ Nงมีแรงในลักษณะ F( r)<br />

= − สามารถทําให้<br />

2<br />

เกิดวงโคจร วงกลมซึ Nงเสถียร แต่ในกรณีทีNแรงมีลักษณะ F( r)<br />

= − การโคจรแบบวงกลมทีN<br />

4<br />

เกิดขึ Wน จะไม่เสถียร เช่นนี Wเป็นต้น<br />

ตัวอย่างโจทย์<br />

k<br />

พิจารณา central force ทีNอยู ่ในรูป F( r)<br />

= − จงหาเงืNอนไขของ n ทีNทําให้เกิด stable circular<br />

orbit<br />

r<br />

n<br />

วิธีทํา ในขั Wนต้น เราทําการ integrate เพืNอคํานวณฟังชันก์ของพลังงานศักย์ U ( r ) โดยอาศัยคํา<br />

d<br />

นิยาม − U ( r ) = F ( r ) จะได้ว่า<br />

dr<br />

r<br />

k<br />

r<br />

k<br />

∫<br />

dU =<br />

∫<br />

F( r)<br />

dr<br />

k 1<br />

U ( r)<br />

= − + C<br />

n −<br />

1 n 1<br />

r −<br />

k<br />

= −<br />

n −<br />

ถ้ากําหนดให้ U ( ∞ ) = 0 แสดงว่า ค่าคงทีNของการ integrate C = 0 ดังนั Wน U ( r)<br />

1<br />

1<br />

1 r n−<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-23<br />

ส่งผลให้ effective potential อยู่ในรูปของ<br />

U<br />

2<br />

l k 1<br />

( r)<br />

= −<br />

2µr n − 1 r<br />

eff 2 n−1<br />

จากสมการ (<strong>3.</strong>18) เราเริ Nมด้วยการหาตําแหน่งของรัศมี R ทีNทําให้เกิดสภาวะ equilibrium<br />

กล่าวคือ<br />

2 2<br />

d ( ) 0 ⎛ l k ⎞ l k<br />

U r = = − + = − + =<br />

dr ⎜<br />

n<br />

r r ⎟ R R<br />

0<br />

เมืNอแก้สมการหาผลเฉลย R จะได้ว่า<br />

eff 3 n<br />

3<br />

r=<br />

R ⎝ µ ⎠ µ<br />

r=<br />

R<br />

R<br />

n − 3<br />

µ k<br />

=<br />

l<br />

2<br />

ในลําดับสุดท้ายคือการหาอนุพันธ์อันดับสองเทียบกับ r ณ ตําแหน่ง r<br />

= R ซึ Nงก็คือ<br />

2 2 2<br />

d ⎛ 3l<br />

nk ⎞ 3l<br />

nk<br />

U ( r)<br />

= − = − =<br />

dr ⎜<br />

r r ⎟ R R<br />

2 eff<br />

4 n+ 1 4 n+<br />

1<br />

µ µ<br />

r= R ⎝ ⎠ r=<br />

R<br />

จากสมการ (<strong>3.</strong>18) stable circular orbital จะเกิดได้ ก็ต่อเมืNอ<br />

2<br />

d<br />

2 U eff ( r ) 0<br />

dr<br />

r=<br />

R<br />

> หรือ<br />

2<br />

3l<br />

nk<br />

− > 0<br />

4 n+<br />

1<br />

µ R R<br />

2<br />

3l<br />

nk<br />

− > 0<br />

µ<br />

n−3<br />

R<br />

µ k<br />

n 3<br />

แทน R<br />

− = ลงในอสมการข้างต้น จะได้ว่า ( )<br />

l<br />

2<br />

2<br />

l<br />

3 − n > 0 µ<br />

เพราะฉะนั Wน<br />

stable circular orbit condition 3 n < ตอบ<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-24<br />

ตัวอย่างโจทย์ข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้โดยทั Nวไปนั Wน อันตกริยาระหว่างอนุภาคทั Wงสอง จะมี<br />

ขนาดของแรงดึงดูดน้อยลง เมืNอทั Wงคู่อยู่ห่างกันมากขึ Wน กล่าวคือ<br />

F( r)<br />

r<br />

1<br />

∼ แต่ถ้ามีการลดลง<br />

รวดเร็วเกินไป กล่าวคือในกรณี n ≥ 3 จะทําให้แรงดึงดูดมีไม่มากพอทีNจะเอื Wอให้เกิด stable<br />

circular orbit ได้<br />

Equations of Orbits<br />

เมืNอครั Wงเราได้ทําการสร้าง Lagrange function ในสมการ (<strong>3.</strong>13) เมืNอทําการสร้าง Lagrange equation<br />

of motion ในกรณีของตัวแปร r จะได้ว่า<br />

n<br />

∂L d ∂L<br />

− = 0<br />

∂r dt ∂ɺ r<br />

∂L<br />

∂U<br />

= ɺ − และ d ∂ L = µ ɺɺ r<br />

∂r<br />

∂r<br />

dt ∂rɺ<br />

2<br />

เนืNองจาก µ rθ<br />

ทําให้สมการของการเคลืNอนอยู ่ในรูปของ<br />

2 U<br />

µ r ɺ ∂<br />

θ − − µ ɺɺ r = 0<br />

∂r<br />

∂U<br />

− = µ<br />

∂r<br />

− θ<br />

2<br />

( ɺɺ r r ɺ<br />

)<br />

________________ สมการ (<strong>3.</strong>19)<br />

สังเกตว่าทางซ้ายมือของสมการ ก็คือแรง F( r)<br />

= − ทีNอนุภาคทั Wงสองกระทําระหว่างกันนั Nนเอง<br />

∂<br />

นอกจากนี W ทางขวามือของสมการ เราสามารถจัดรูปโดยใช้เทคนิคของการเปลีNยนตัวแปร<br />

∂U<br />

r<br />

กําหนดให้<br />

ดังนั Wน<br />

du<br />

dt<br />

1<br />

dr<br />

dt<br />

1<br />

u ≡<br />

r<br />

= − หรือ u = −<br />

2<br />

2<br />

r<br />

ɺ<br />

r<br />

1<br />

rɺ<br />

นอกจากนี W อาศัยกฎลูกโซ่ในเชิง calculus<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-25<br />

du du dθ<br />

dt dθ<br />

dt<br />

= หรือ<br />

du<br />

uɺ<br />

= ɺ<br />

dθ<br />

θ<br />

1<br />

แทน uɺ = − rɺ และ ɺ θ (จากการอนุรักษ์ angular momentum) ลงในสมการข้างต้น จะ<br />

2<br />

2<br />

ได้ว่า<br />

r<br />

= l<br />

µ r<br />

du<br />

rɺ<br />

= − l<br />

µ dθ<br />

เพืNอทีNจะหา rɺɺ ซึ Nงปรากฏในสมการ (<strong>3.</strong>19) เรา differentiate เทอมข้างต้นเทียบกับเวลาอีกครั Wง<br />

l d ⎛ du ⎞<br />

rɺɺ<br />

= − ⎜ ⎟<br />

µ dt ⎝ dθ<br />

⎠<br />

อาศัยกฎลูกโซ่อีกเช่นเคย ทีNว่า<br />

ผลลัพธ์ทีNได้ ในสมการของ rɺɺ ทําให้<br />

2 2<br />

d ⎛ du ⎞ d ⎛ du ⎞ dθ<br />

d u d u l<br />

⎜ ⎟ = ⎜ ⎟ = θ =<br />

dt ⎝ dθ ⎠ dθ ⎝ dθ ⎠ dt dθ dθ µ r<br />

ɺ จากนั Wนแทน<br />

2 2 2<br />

⎛ 2 2 2 2 2<br />

d u ⎞ d u d ⎛ 1 ⎞<br />

⎜<br />

2 2<br />

⎟<br />

2 2 2 2 2 2 ⎜ ⎟<br />

l l l l<br />

ɺɺ r = − = − = −<br />

µ ⎜ dθ µ r ⎟<br />

⎝ ⎠ µ r dθ µ r dθ<br />

⎝ r ⎠<br />

และในกรณีของเทอม<br />

2<br />

rθ ɺ ทีNปรากฏในสมการ (<strong>3.</strong>19) นั Wน เราเพียงให้ สมบัติเชิงการอนุรักษ์<br />

angular momentum ɺ θ เช่นเดิม จะได้ว่า<br />

2<br />

= l<br />

µ r<br />

2 2<br />

2<br />

r ɺ l l<br />

θ = =<br />

µ r µ r<br />

2 3 2 2<br />

1<br />

r<br />

2<br />

ทั Wงนี W เมืNอแทน rɺɺ และ rθ ɺ ทีNได้จัดเตรียมไว้ ในสมการ (<strong>3.</strong>19) ทําให้<br />

2 2 2 2 2<br />

l d ⎛ 1 ⎞ l 1 l ⎛ d ⎛ 1 ⎞ 1 ⎞<br />

F( r)<br />

= −<br />

2 2 ⎜ ⎟ − = −<br />

r<br />

2 2<br />

r<br />

2 2 2 ⎜ ⎟ +<br />

µ r dθ ⎝ ⎠ µ r µ r ⎜ dθ<br />

⎝ r ⎠ r ⎟<br />

⎝<br />

⎠<br />

และเมืNอจัดรูป ในท้ายทีNสุด จะได้ equation of motion ซึ Nงสามารถนํามาวิเคราะห์ความสัมพันธ์<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-26<br />

ระหว่างรูปร่างของวงโคจร r( θ ) และ แรง F( r ) ซึ Nงก็คือ<br />

2 2<br />

d ⎛ 1 ⎞ 1 µ r<br />

2 ⎜ ⎟ + = −<br />

r r<br />

2<br />

dθ<br />

⎝ ⎠ l<br />

F( r)<br />

________________ สมการ (<strong>3.</strong>20)<br />

ฟังชันก์<br />

r<br />

( θ<br />

)<br />

=<br />

k<br />

θ<br />

r<br />

=<br />

r ( θ<br />

)<br />

r<br />

θ<br />

ก้นหอย (Spiral)<br />

กําหนดรูปร่างของวงโคจร<br />

วงกลม<br />

r ( θ ) =<br />

Constant<br />

Parabola<br />

a<br />

r ( θ<br />

)<br />

= 1 +<br />

cos<br />

θ<br />

ภาพ (<strong>3.</strong>7) แสดงตัวอย่างของฟังชันก์ r = r( θ ) ในกรณีต่างๆกัน<br />

ดังแสดงตัวอย่างในภาพ (<strong>3.</strong>7) ฟังชันก์ r( θ ) เป็นตัวกําหนดรูปร่างของวงโคจร ซึ Nงจากสมการ<br />

(<strong>3.</strong>20) มีความสัมพันธ์โดยตรงกับธรรมชาติของแรง F( r ) ทีNอนุภาคทั Wงสองกระทําต่อกัน<br />

ตัวอย่างโจทย์<br />

พิจาณาวงโคจรในลักษณะก้นหอย ในทํานองเดียวกับภาพ (<strong>3.</strong>7) ทีNเรียกว่า logarithmic spiral orbit<br />

r = ke αθ เมืNอ k,<br />

α คือ constants จงหาแรง F( r ) ทีNสามารถทําให้เกิดวงโคจรดังกล่าว<br />

วิธีทํา โจทย์ข้อนี Wใช้ประโยชน์จากสมการ (<strong>3.</strong>20) เริ Nมด้วยการพิจารณาเทอมแรกของสมการ<br />

ดังกล่าว เนืNองจาก 1 = e ดังนั Wน<br />

อันดับสองอยู ่ในรูปของ<br />

r<br />

−αθ<br />

k<br />

−αθ<br />

d ⎛ 1 ⎞ d ⎛ e ⎞ α<br />

⎜ ⎟ = = − e<br />

dθ<br />

⎝ r ⎠ dθ<br />

⎜ k ⎟<br />

⎝ ⎠ k<br />

−αθ<br />

ทําให้ อนุพันธ์<br />

2 2 2<br />

⎛ 1 ⎞ d ⎛ α −αθ<br />

⎞ α −αθ<br />

α<br />

e e<br />

2 ⎜ ⎟ = ⎜ − ⎟ = =<br />

αθ<br />

d<br />

dθ<br />

⎝ r ⎠ dθ<br />

⎝ k ⎠ k<br />

ke<br />

แต่จากโจทย์ r<br />

= ke αθ เพราะฉะนั Wน<br />

2 2<br />

d ⎛ 1 ⎞ α<br />

2 ⎜ ⎟ =<br />

dθ<br />

⎝ r ⎠ r<br />

และเมืNอแทนในสมการ (<strong>3.</strong>20) จะได้ว่า<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-27<br />

2 2<br />

α 1 r<br />

r<br />

+ µ<br />

r<br />

= − l 2<br />

F( r)<br />

และเมืNอจัดรูปเสียใหม่ ทําให้เราทราบแรงทีNสามารถทําให้เกิด logarithmic spiral orbit<br />

2<br />

2<br />

( α )<br />

l<br />

F( r) = − + 1<br />

3<br />

µ r<br />

ตอบ<br />

อย่างไรก็ดี ฟังชันก์ของวงโคจร r( θ ) เป็นเพียงเส้นทางการเคลืNอนทีNของวัตถุ และมิได้มีข้อมูลทีN<br />

เกีNยวกับเวลา ทําให้เราไม่สามารถบอกได้ว่า วัตถุอยู ่ ณ ตําแหน่งไหน เมืNอเวลาเท่าใด<br />

ในกรณีทีNมีความจําเป็นต้องทราบฟังชันก์ของการเคลืNอนทีN อาทิเช่น r( t ) และ θ ( t)<br />

เราจะอาศัย<br />

2<br />

สมการของการอนุรักษ์ angular momentum l = µ r ɺ θ เป็นตัวช่วยในการแก้หาผลเฉลยของข้อมูล<br />

ดังกล่าว<br />

พิจารณา logarithmic spiral orbit r<br />

ตัวอย่างโจทย์<br />

= ke αθ จงหา ( )<br />

r t และ θ ( t)<br />

วิธีทํา สมบัติของการอนุรักษ์ angular momentum ในสมการ (<strong>3.</strong>14) เราบอกได้ว่า<br />

ɺ θ = l<br />

µ r<br />

2<br />

จากโจทย์ r<br />

= ke αθ ดังนั<br />

1 1<br />

r k e αθ<br />

Wน<br />

2 2<br />

= ซึ NงเมืNอแทนในสมการข้างต้น<br />

dθ<br />

l<br />

=<br />

dt<br />

2<br />

µ k e<br />

αθ<br />

αθ l<br />

e dθ<br />

= dt<br />

2<br />

µ k<br />

และจากการ integrate ทั Wงสองข้างของสมการ ทําให้<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-28<br />

2αθ<br />

e l<br />

= t + C′<br />

2α 2<br />

µ k<br />

2αθ<br />

2α<br />

l<br />

e = t + C ; C ≡ 2α<br />

C′<br />

2<br />

µ k<br />

เมืNอ C คือค่าคงทีNของการ integrate และเมืNอทําการ take natural logarithm ทั Wงสองข้างของสมการ<br />

จะได้คําตอบของ θ ( t)<br />

ก็คือ<br />

1 ⎛ 2α<br />

l ⎞<br />

θ ( t) = ln ⎜ t + C<br />

2α 2 ⎟<br />

⎝ µ k ⎠<br />

ตอบ<br />

ทั Wงนี WเมืNอทราบ θ ( t)<br />

สามารถแก้หา r( t ) ได้จากข้อมูลทีNโจทย์กําหนดให้ r = ke αθ<br />

เพราะฉะนั Wน<br />

หรือ<br />

⎡<br />

αθ ( t)<br />

⎛ 2α<br />

⎞<br />

r( t) ke k exp ⎢<br />

l<br />

= = ln ⎜ t + C<br />

2 ⎟<br />

⎢ ⎝ µ k<br />

⎣<br />

⎠<br />

2 2<br />

r( t)<br />

α l<br />

= t + k C<br />

µ<br />

เมืNอค่าคงทีN l ,C ทีNปรากฏในสมการของ r( t ) และ θ ( t)<br />

ขึ Wนอยู่กับเงืNอนไขเริ Nมต้นของการเคลืNอนทีN<br />

อาทิเช่น ตําแหน่งเริ Nมต้น หรือ อัตราเร็วเริ Nมต้น ของอนุภาค<br />

ตอบ<br />

1 2<br />

⎤<br />

⎥<br />

⎥<br />

⎦<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>5 ในการเคลืNอนทีNแบบ logarithmic spiral orbit r = ke αθ สมมุติให้ ณ เวลาเริ Nมต้น<br />

วัตถุอยู ่ ณ ตําแหน่ง r และกําลังโดนเหวีNยงออกไปด้วยอัตราเร็วเชิงมุม ɺ 0<br />

θ = ω จงหาว่า นาน<br />

0<br />

เท่าใด กว่าอนุภาคจะเคลืNอนทีNออกมาทีNรัศมี 3 เท่าของตําแหน่งเริ Nมต้น<br />

เฉลย<br />

4<br />

αω<br />

0<br />

, 0 αω0<br />

r( t) = r 2 t + 1<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>6 ในการเคลืNอนทีNแบบ logarithmic spiral orbit r = ke αθ จงหาพลังงาน E ของ<br />

ระบบ<br />

เฉลย E = 0<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-29<br />

θ<br />

dt dθ<br />

dt<br />

บอกใบ้ ใช้กฎลูกโซ่ dr = dr d หรือ<br />

2<br />

= r ɺ<br />

l µ θ เพืNอลดรูปให้ E = 0<br />

dr<br />

r = ɺ<br />

dθ<br />

θ<br />

ɺ ผนวกกับ กฎการอนุรักษ์ angular momentum<br />

จาก logarithmic spiral orbit r<br />

และ b) มวล 1,<br />

2<br />

และ m1 = 100m2<br />

ตัวอย่างโจทย์<br />

= ke αθ จงวาดกราฟแสดงเส้นทางการเคลืNอนทีNของ a) reduced mass<br />

m m โดยใช้ center of mass เป็นจุดกําเนิด เปรียบเทียบผลใน 2 กรณีคือ m1 = m2<br />

วิธีทํา สมมุติให้ r 0 = 2 เมตร −1<br />

α = 1rad และ k = 1 เมตร ข้อมูลเหล่านี Wทําให้เราทราบพิกัด<br />

( r,<br />

θ ) ของ reduced mass µ ณ เวลา t อย่างไรก็ตามระบบดังกล่าวเป็นสิ NงทีNเราจินตนาการขึ Wน<br />

ในทางคณิตศาสตร์เพืNอความสะดวก central force motion แท้จริงแล้วเป็นระบบของ 2 อนุภาค ซึ Nงมี<br />

ตําแหน่ง r 1 และ r 2 ซึ NงเราสามารถทีNจะใช้สมการ (<strong>3.</strong>8) ในการคํานวณ<br />

เมืNอวาดกราฟในโปรแกรม MathCAD จะได้ว่า<br />

m 1<br />

m 2<br />

m<br />

1<br />

=<br />

m<br />

2<br />

m 1<br />

m<br />

2<br />

m<br />

1 =<br />

100<br />

m<br />

2<br />

ให้สังเกตว่าในกรณีของ m1 = m2<br />

มวลทั Wงคู่โคจรรอบกันและกัน ในขณะทีNถ้า m 1 มีขนาดใหญ่<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-30<br />

เมืNอเทียบกับ m 2 จะดูเหมือนว่า m 1 เป็นใจกลางทีNหยุดนิ Nง และมี m 2 โคจรอยู่โดยรอบ ตอบ<br />

ในหัวข้อ <strong>3.</strong>2 เราได้ใช้ Lagrange mechanics เป็นพื Wนฐานในการสร้างเครืNองมือในการวิเคราะห์การ<br />

โคจรของดาว มีทฤษฏีบทและสมการจํานวนหนึ NงทีNได้กล่าวถึง อาทิ 1) การเคลืNอนทีNภายใต้<br />

central force motion จะต้องมี angular momentum และ พลังงาน คงทีN ดังแสดงในสมการ (<strong>3.</strong>15)<br />

และ สมการ (<strong>3.</strong>16) ตามลําดับ และ 2) รูปร่างของวงโคจร ซึ Nงแทนด้วยฟังชันก์ r = r( θ ) ในพิกัด<br />

polar นั Wน มีความสัมพันธ์โดยตรงกับลักษณะของแรง F( r ) ทีNอนุภาคทั Wงสองกําลังกระทําต่อกัน<br />

ดังแสดงในสมการ (<strong>3.</strong>20)<br />

และในลําดับต่อไป เราจะได้ศึกษาแรง F( r ) ทีNเป็นตัวควบคุมพฤติกรรมการเคลืNอนทีNของวัตถุใน<br />

อวกาศ นั Nนก็คือ แรงโน้มถ่วง หรือ Gravity ซึ Nงอยู่ในรูปของ F( r)<br />

= − เมืNอ k = Gm<br />

2<br />

1m2<br />

อีก<br />

ทั Wงจะได้เป็นการแสดงตัวอย่างของการนําสมการทีNได้กล่าวมาแล้วข้างต้น มาประยุกต์ใช้ในการ<br />

วิเคราะห์ กฎทีNว่าด้วยการเคลืNอนทีNของดาวเคราะห์ของ Kepler ใน Section <strong>3.</strong>3 และ Orbit Dynamics<br />

ใน Section <strong>3.</strong>4<br />

r<br />

k<br />

Section <strong>3.</strong>3 Kepler's Problem<br />

ดาราศาสตร์เป็นสิ NงทีNอยู ่ควบคู่กับมนุษย์ ตั Wงแต่ในยุคแรกทีNมีการเกิดขึ Wนของอารยะธรรม ชาวอียิปต์ทีN<br />

ต้องพึ Nงพาแม่นํ Wา Nile ในการเกษตรกรรม จําเป็นต้องทราบล่วงหน้าว่าเมืNอใดแม่นํ Wาจะท่วม เพืNอ<br />

เตรียมการป้ องกันความเสียหาย จากการสังเกตพบว่าการท่วมของแม่นํ Wาเกิดขึ Wนเป็นรอบ และในแต่<br />

ละรอบนั Wน อยู่ห่างกันประมาณ 365 ราตรี นี Wเองจึงเป็นทีNมาของการกําหนดว่า 1 ปี มี 365 วัน ซึ Nงเป็น<br />

ระบบทีNมีขึ Wน อย่างน้อย 3000 ปีก่อนคริสตกาล (Zewail, Nobel Lecture, 1999)<br />

จนกระทั Nงในยุคสมัยของราชวงศ์ทีN 1 ของอียิปต์ เมืNอประมาณ 3100 ปีก่อนคริสตกาล ปราชญ์ใน<br />

แผ่นดินได้สังเกตว่า ทุกครั WงทีNจะมีการท่วมของแม่นํ Wา Nile ดาวฤกษ์ ทีNมีชืNอว่า Sirius จะปรากฏเด่น<br />

บนท้องฟ้ าเมืNอยามรุ่งสางในทิศตะวันออก เพราะฉะนั Wน แทนทีNจะทํานายการมาเยือนของอุทกภัย<br />

โดยใช้ระบบของการนับราตรี ชาวอียิปต์หันมาสังเกตดาวบนท้องฟ้ า และการใช้ดาวบนท้องฟ้ าใน<br />

การกําหนดระบบของปฏิทิน หรือ astronomical calendar ได้ถือกําเนิดขึ Wน เส้นทางการเคลืNอนทีNของ<br />

ดวงดาว คาบทีNใช้ในการโคจรครบหนึ Nงรอบ ตลอดจนอัตราเร็วของการเคลืNอนทีN ล้วนเป็นสิ NงทีNนัก<br />

ดาราศาสตร์ได้ขบคิดศึกษามาหลายศตวรรษ<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-31<br />

จนกระทั Nงในตอนต้นของศตวรรษทีN 17 เกือบ 5,000 ปีภายหลังจากการกําเนิดของ astronomical<br />

calendar Johann Kepler นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้ทําการศึกษาข้อมูลทางดาราศาสตร์ ซึ Nงเกิด<br />

จากการสังเกตและบันทึกอย่างละเอียดโดย Tycho Brathe จากการศึกษาข้อมูลของการทดลอง<br />

ดังกล่าว Kepler ค้นพบกฎการเคลืNอนทีNของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ 3 ข้อด้วยกัน<br />

เกือบ 100 ปีต่อมา Newton บิดาแห่งวิชากลศาสตร์ และผู้คิดค้น calculus ได้พิสูจน์ให้เห็นในทาง<br />

ทฤษฏีถึงทีNมาของกฎทั Wง 3 ข้อทีN Kepler ค้นพบ นับเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทีNสอด<br />

ประสานอย่างงดงาม ระหว่างการสังเกตด้วยการทดลองของ Tycho Brathe การวิเคราะห์ผลการ<br />

ทดลองในเบื Wองต้นโดย Johann Kepler และการทําความเข้าใจในเชิงทฤษฏีของ Isacc Newton<br />

เนื Wอหาในหัวข้อ <strong>3.</strong>3 นี W เราจะได้ย้อนรอยอดีตของการศึกษาการโคจรของดาวเคราะห์ ตลอดจนกฎ<br />

ทั Wง 3 ข้อของ Kepler อย่างไรก็ดี เป็นทีNทราบโดยทั Nวไปว่า วงโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์<br />

นั Wน มีลักษณะเป็นวงรี หรือ บางครั Wงวงกลม เพืNอทีNจะวิเคราะห์การเคลืNอนทีNดังกล่าวโดยใช้<br />

คณิตศาสตร์ เราจะต้องทําการทบทวนทฤษฏีบททีNว่าด้วย conic section กันเสียก่อน<br />

Conic Section เกิดจากการทีระนาบตัดกับทรงกรวย<br />

Credit: Keith G. Calkins<br />

Parabola ระนาบมี Slope<br />

เท่ากับ Slope ของกรวย<br />

วงกลม วงรี ระนาบมี Slope<br />

น้อยกว่า Slope ของกรวย<br />

Hyperbola ระนาบมี Slope<br />

มากกว่า Slope ของกรวย<br />

ภาพ (<strong>3.</strong>8) แสดงพื WนทีNหน้าตัดรูปแบบต่างๆกัน ซึ NงเกิดจากการทีNระนาบ ตัดกับทรงกรวย<br />

Conic Section - ภาคตัดกรวย<br />

รูปร่างทางเรขาคณิต อาทิเช่น วงกลม วงรี parabola หรือ hyperbola จัดอยู่ในกลุ่มของรูปร่างทีNเรา<br />

เรียกว่า "conic section" หรือ "ภาคตัดกรวย" ซึ NงเกิดจากการทีNระนาบ ตัดกับรูปกรวย ดังแสดงใน<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


W<br />

Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-32<br />

ภาพ (<strong>3.</strong>8)<br />

เมืNอระนาบตัดกับทรงกรวยดังแสดงในภาพ ขึ Wนอยู่กับความชัน หรือ slope ของระนาบ<br />

พื WนทีNหน้าตัดทีNเกิดขึ Wนก็จะมีรูปร่างทางเรขาคณิตทีNแตกต่างกัน ซึ Nงสามารถจําแนกออกเป็นประเภท<br />

ได้ดังนี<br />

Parabola เป็นกรณีทีN slope ของระนาบ มีค่าเท่ากับ slope ของกรวยพอดี<br />

วงกลม และ วงรี<br />

เกิดขึ Wนถ้า slope ของระนาบ มีค่าน้อยกว่า ความชันของกรวย<br />

จากภาพจะพบว่า ถ้าระนาบมีความชันเป็นศูนย์ ก็จะเกิดวงกลม<br />

Hyperbola เมืNอระนาบมีความชันมากขึ Wน จนมากกว่า slope ของกรวย<br />

เมืNอต้องการศึกษาสมบัติของรูปร่างดังกล่าวโดยอาศัยกระบวนการทางคณิตศาสตร์ เราสามารถทํา<br />

ได้โดยอาศัยพิกัด Cartesian ซึ Nงมีสมการของแต่ละรูปร่างนั Wน แตกต่างกันออกไป ดังแสดงในภาพ<br />

(<strong>3.</strong>9)<br />

2<br />

x<br />

=<br />

4<br />

ay<br />

2<br />

2 2 2<br />

x + y =<br />

r<br />

2<br />

2 2<br />

x y<br />

+ =<br />

1<br />

2 2<br />

a b<br />

2<br />

2 2<br />

x y<br />

− =<br />

1<br />

2 2<br />

a b<br />

2<br />

1<br />

1<br />

1<br />

1<br />

− 2<br />

− 1<br />

0 1 2<br />

− 2<br />

− 1<br />

0 1 2<br />

− 2<br />

− 1<br />

0 1 2<br />

− 2<br />

− 1<br />

0 1 2<br />

−<br />

1<br />

−<br />

1<br />

−<br />

2<br />

−<br />

2<br />

−<br />

2<br />

−<br />

2<br />

parabola circle ellipse hyperbola<br />

ภาพ (<strong>3.</strong>9) แสดงสมการทางคณิตศาสตร์ของรูปร่างต่างๆ ซึ Nงเขียนขึ Wนโดยใช้พิกัด Cartesian<br />

−<br />

1<br />

−<br />

1<br />

ดังแสดงในภาพ รูปร่างทีNแตกต่างกัน เมืNอเขียนขึ Wนเป็นสมการในพิกัด Cartesian ก็จะมีรูปแบบ<br />

ของสมการแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม เมืNอนักศึกษาสังเกตการเกิดขึ Wนของรูปร่าง conic section<br />

ดังกล่าวนี W ปรากฏว่ามีกระบวนการทีNเหมือนกัน กล่าวคือ เกิดจากการตัดกันระหว่างระนาบและทรง<br />

กรวย เหมือนกัน จะต่างกันก็แต่เพียง slope ของระนาบเท่านั Wน ด้วยต้นตอของการเกิดรูปร่างทีN<br />

เหมือนกัน บอกใบ้ให้ทราบว่า มีวิธีทีNเราจะรวบเอารูปร่างทางเรขาคณิตเหล่านี W รวมเป็นหนึ Nงให้อยู ่ใน<br />

รูปแบบของสมการทางคณิตศาสตร์อันเดียวกัน<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-33<br />

ในระบบพิกัดแบบ polar ซึ Nงใช้ตัวแปร ( r,<br />

θ ) ในการกํากับตําแหน่งของวัตถุ รูปร่างของภาคตัด<br />

กรวยทั Wงหมด อยู ่ในรูปแบบของสมการ<br />

สมการของ Conic Section<br />

⎧ε<br />

= 0 circle<br />

α ⎪0 < ε < 1 ellipse<br />

r( θ ) = ⎨<br />

1 + ε cosθ<br />

⎪ε<br />

= 1 parabola<br />

⎪<br />

⎩1 < ε hyperbola<br />

____ สมการ (<strong>3.</strong>21)<br />

และเพืNอทีNให้นักศึกษาเข้าใจถึงความสําคัญของตัวแปร ε , α ตลอดจนเงืNอนไขดังสมการข้างต้น เรา<br />

จะวิเคราะห์การเกิดขึ Wนของ วงกลม วงรี parabola และ hyperbola ในรายละเอียด<br />

2<br />

1<br />

circle: ε =<br />

0<br />

ε = a) กรณีของ วงกลม เมืNอ ε = 0 จะทํา<br />

ให้รัศมี r( θ ) ลดรูปลงมาเหลือค่าคงทีN<br />

ซึ Nงก็คือ α<br />

α<br />

r( θ ) = =<br />

1 ε cos<br />

θ<br />

α<br />

+<br />

− 3<br />

− 2<br />

− 1<br />

0 1<br />

−<br />

1<br />

−<br />

2<br />

ดังนั Wน α ทําหน้าทีNเป็นรัศมีของวงกลม<br />

นั Nนเอง<br />

2<br />

1<br />

− 3<br />

− 2<br />

− 1<br />

0 1<br />

r<br />

max<br />

−<br />

1<br />

−<br />

2<br />

r<br />

min<br />

ellipse: 0 < ε<br />

<<br />

1<br />

@ θ =<br />

0<br />

α<br />

r<br />

( θ<br />

)<br />

= =<br />

r<br />

1<br />

+<br />

ε<br />

@ θ<br />

=<br />

π<br />

α<br />

r<br />

( θ<br />

)<br />

= =<br />

r<br />

1<br />

−<br />

ε<br />

min<br />

max<br />

b) ในกรณีของ วงรี เมืNอ 0 < ε < 1<br />

r( θ ) จะเปลีNยนแปลงตามมุม θ<br />

โดยเริ NมทีN r min ณ θ = 0 เพิNมขึ WนเรืNอยๆ<br />

ตามมุม θ ถึงจุดสูงสุดทีN r max ณ<br />

θ = π จากนั Wนวกกลับ ทําให้เกิดวงปิด<br />

2<br />

1<br />

− 3<br />

− 2<br />

− 1<br />

0 1<br />

−<br />

1<br />

−<br />

2<br />

r min<br />

parabola: ε =<br />

1<br />

@ θ =<br />

0<br />

α<br />

r<br />

( θ )<br />

= =<br />

r<br />

1 +<br />

1<br />

@ θ<br />

=<br />

π<br />

r<br />

( θ )<br />

= ∞ =<br />

r<br />

max<br />

(ไม่มีจุดวกกลับ)<br />

min<br />

c) ในกรณีของ parabola เมืNอ ε = 1<br />

r( θ ) ยังคงมีค่า rmin = α 2 ณ θ = 0<br />

แต่มีค่า rmax<br />

α<br />

= = ∞<br />

1−1<br />

หรือไม่มีจุด<br />

วกกลับ ทําให้ไม่เกิดวงปิด ซึ Nงเป็น<br />

ลักษณะของพาราโบล่า<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-34<br />

2<br />

1<br />

− 3<br />

− 2<br />

− 1<br />

0 1<br />

− 1<br />

− 2<br />

hyperbola: ε ><br />

1<br />

@ θ =<br />

0<br />

α<br />

r( θ ) = = r<br />

1+<br />

ε<br />

@ θ<br />

<<br />

π<br />

r<br />

( θ )<br />

= ∞ =<br />

r<br />

max<br />

(ไม่มีจุดวกกลับ)<br />

min<br />

d) ในกรณีของ hyperbola ถ้า ε > 1<br />

มุม θ ไม่จําเป็นต้องมีค่าเท่ากับ 180 องศา<br />

เพืNอจะทําให้เทอม 1− ε cosθ<br />

= 0<br />

ดังนั Wน r max = ∞ ณ θ < π ส่งผลให้<br />

ความโค้ง "เปิดอ้า" ออกมากกว่า parabola<br />

กล่าวโดยสรุป รูปเรขาคณิต วงกลม วงรี parabola และ hyperbola จัดอยู่ในประเภททีNเรียกว่า conic<br />

section ซึ NงเกิดจากการทีNระนาบดัดกับทรงกรวย ในพิกัด polar เราสามารถแทนสมการของรูปร่าง<br />

α<br />

1 ε cosθ<br />

ดังกล่าว รวมอยู ่ในสมการเดียวคือ r( θ ) = โดยทีNตัวแปร ε ซึ NงมีชืNอในทางคณิตศาสตร์<br />

+<br />

ว่า "eccentricity" เป็นตัวกําหนดชนิดของรูปร่างทีNเกิดขึ Wน ดังแสดงในภาพ (<strong>3.</strong>10)<br />

2<br />

1<br />

α<br />

r<br />

( θ<br />

)<br />

= 1 + ε cos θ<br />

ellipse<br />

circle<br />

− 3<br />

− 2<br />

− 1<br />

0 1<br />

− 1<br />

parabola<br />

hyperbola<br />

− 2<br />

ชนิดของ conic section<br />

ε<br />

= 0 circle<br />

0 < ε<br />

< 1 ellipse<br />

ε<br />

=<br />

1 parabola<br />

1 <<br />

ε<br />

hyperbola<br />

ภาพ (<strong>3.</strong>10) แสดงชนิดของ conic section โดยมีจุดกําเนิดเป็น จุดโฟกัส<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-35<br />

ตัวอย่างโจทย์<br />

r max<br />

r min<br />

จุดกําเนิด (Focus)<br />

b = semi-minor axis<br />

aε<br />

a = semi-major axis<br />

ภาพ (<strong>3.</strong>11) แสดงวงรี โดยมีจุดโฟกัสเป็นจุดกําเนิด<br />

วงรีประกอบด้วย 2 แกน คือ a) major axis หรือ แกนหลัก และ b) minor axis หรือ แกนรอง ใน<br />

การอธิบายถึงขนาดของมัน เรามักใช้ตัวแปร a และ b เรียกว่า semi-major axis และ semi-minor<br />

axis ซึ Nงหมายถึง ความยาวกึ Nงหนึ Nงของแกนหลัก และ กึ Nงหนึ Nงของแกนรอง ตามลําดับ ดังแสดงใน<br />

ภาพ จงพิสูจน์ว่า<br />

Ellipse semi-major axis a = ___________ สมการ (<strong>3.</strong>22)<br />

−<br />

2<br />

วิธีทํา จากสมการ (<strong>3.</strong>21) ในกรณีของวงรี 0 < ε < 1 นั Wน<br />

1<br />

α<br />

ε<br />

α<br />

r = rmin<br />

= ณ θ = 0<br />

1 + ε<br />

α<br />

r = rmax<br />

= ณ θ = π<br />

1 − ε<br />

และจากคํานิยามของ semi-major axis ในภาพข้างต้น ระยะ 2a = rmin + rmax<br />

ดังนั<br />

Wน<br />

หรือ<br />

α α ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 2 ⎞ 2<br />

2a = r min + r max = + = α ⎜ + ⎟ = α = α<br />

1+ ε 1− ε ⎝1+ ε 1− ε ⎠<br />

⎜ ( 1 ε )( 1 ε ) ⎟<br />

⎝ + − ⎠ 1−ε<br />

2<br />

a<br />

1<br />

α<br />

=<br />

−<br />

ตอบ<br />

ε<br />

2<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>7 ในกรณีของวงรี จะแสดงให้เห็นว่า<br />

Ellipse semi-minor axis b = αa<br />

___________ สมการ (<strong>3.</strong>23)<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-36<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>8 ในกรณีของวงรี จะแสดงให้เห็นว่า<br />

Ellipse Area A = π ab ___________ สมการ (<strong>3.</strong>24)<br />

บอกใบ้ ทําการ integrate ในพิกัด Cartesian ผนวกกับสูตร<br />

∫<br />

1 ⎛<br />

dx a − x = x a − x + a<br />

2 ⎜<br />

⎝<br />

2 2 2 2 2 −1<br />

sin<br />

x ⎞<br />

a ⎟<br />

⎠<br />

1st Law of Kepler<br />

Kepler ภายหลังจากการศึกษาข้อมูลการเคลืNอนทีNของดาว ซึ Nงรวบรวมไว้โดย Tycho Brahe ได้เสนอ<br />

กฎของการเคลืNอนทีNของดาวเคราะห์ไว้ทั Wงหมด 3 ข้อ โดย 2 ข้อแรกในปี ค.ศ. 1609 และ ข้อ<br />

สุดท้ายในปี ค.ศ. 1619 และมีใจความสําคัญก็คือ<br />

Kepler's Law<br />

I. Law of Orbits ดาวเคราะห์เคลืNอนทีNเป็นวงรี โดยมีดวงอาทิตย์เป็นจุดโฟกัส<br />

___________ สมการ (<strong>3.</strong>25)<br />

เพืNอแสดงให้เห็นว่า กฎข้อแรกของ Kepler นั Wน สอดคล้องกับสมการการเคลืNอนทีNของ central force<br />

motion ทีNผ่านมาใน Section <strong>3.</strong>2 เราพิจารณาสมการทีNแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง เส้นทางการ<br />

เคลืNอนทีN r( θ ) และแรง F( r ) ดังแสดงในสมการ (<strong>3.</strong>20)<br />

2<br />

d ⎛ 1 ⎞ 1 µ k<br />

2 ⎜ ⎟ + =<br />

r r<br />

2<br />

dθ<br />

⎝ ⎠ l<br />

___________________ สมการ (<strong>3.</strong>26)<br />

k<br />

= − ซึ<br />

r<br />

ทั Wงนี WเมืNอแทน F( r)<br />

2<br />

Nงเป็นลักษณะของแรงโน้มถ่วง ( k = Gm1m<br />

2) จะได้ทางขวามือของ<br />

สมการข้างต้น สมการ (<strong>3.</strong>26) เป็นตัวกําหนดพฤติกรรมการเคลืNอนทีNของระบบ ภายใต้แรงโน้มถ่วง<br />

ซึ Nงมีผลเฉลยของสมการคือฟังชันก์ r( θ )<br />

ในลําดับต่อไปเราต้องการทดสอบว่า ถ้า r( θ ) อยู่ในรูปของวงรีดังสมการ (<strong>3.</strong>21) แล้วจะสามารถ<br />

ทําให้สมการ (<strong>3.</strong>26) เป็นจริงได้หรือไม่<br />

α<br />

1 ε cosθ<br />

เริNมด้วยการแทน r( θ ) = ในทางซ้ายมือของสมการ (<strong>3.</strong>26)<br />

+<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-37<br />

Left Hand Side: L.H.S. =<br />

2 2<br />

d ⎛ 1 ⎞ 1 d ⎛1+ ε cosθ ⎞ 1+<br />

ε cosθ<br />

2 ⎜ ⎟ + =<br />

r r<br />

2 ⎜ ⎟ +<br />

dθ<br />

⎝ ⎠ dθ<br />

⎝ α ⎠ α<br />

0 − ε cosθ 1+<br />

ε cosθ<br />

= +<br />

α α<br />

2<br />

d ⎛ 1 ⎞ 1 1<br />

2 ⎜ ⎟ + =<br />

dθ<br />

⎝ r ⎠ r α<br />

ซึ Nงเป็นค่าคงทีN ในขณะทีNทางขวามือของสมการ (<strong>3.</strong>26) อยู ่ในรูปของ<br />

µk<br />

Right Hand Side: R.H.S. =<br />

2<br />

l<br />

และก็เป็นค่าคงทีNอีกเช่นกัน จะเห็นว่าสมการ (<strong>3.</strong>26) มีโอกาสเป็นจริงได้ ด้วยเงืNอนไข<br />

1 µ k<br />

α = 2<br />

l<br />

หรือ<br />

2<br />

α µk<br />

= l ___________________ สมการ (<strong>3.</strong>27)<br />

ในเมืNอฟังชันก์ r( θ )<br />

= α<br />

ซึ<br />

1 + ε cosθ<br />

Nงเป็นสมการการเคลืNอนทีNในลักษณะของ conic section ทําให้<br />

สมการ (<strong>3.</strong>26) เป็นจริงได้ ย่อมแสดงว่ามันเป็น ผลเฉลยของสมการ และบ่งบอกถึงเส้นทางการ<br />

เคลืNอนทีNในกรณีของแรงโน้มถ่วง<br />

จากบทพิสูจน์ข้างต้น เส้นทางการโคจรของดาวเคราะห์ หรือ วัตถุในท้องฟ้ า จริงอยู ่อาจจะอยู ่ใน<br />

รูปของวงรี ดังทีNกฎข้อ 1 ของ Kepler กล่าวไว้ อย่างไรก็ตาม รูปร่างของวงโคจรทีNสามารถอธิบายได้<br />

ด้วยสมการ r( θ )<br />

= α<br />

นั<br />

1 + ε cosθ<br />

ขึ Wนอยู่กับเงืNอนไขของตัวแปร α และทีNสําคัญ ε<br />

Wน ยังสามารถเป็น circle, parabola, หรือ hyperbola ได้อีกด้วย<br />

จากสมการ (<strong>3.</strong>27) เราได้ทราบความสัมพันธ์ระหว่าง α กับ angular momentum ของระบบ และเรา<br />

สามารถหาความสัมพันธ์ระหว่าง eccentricity ε กับพลังงานของระบบได้ดังนี W<br />

Eccentricity<br />

2El<br />

ε = 1+<br />

µ k<br />

2<br />

2<br />

___________________ สมการ (<strong>3.</strong>28)<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-38<br />

สมการข้างต้นมีความสําคัญอย่างยิ Nงในการวิเคราะห์หารูปร่างของวงโคจร ว่าเกีNยวพันกับ angular<br />

momentum l และ พลังงานของระบบ E เช่นใด<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>9 พิสูจน์สมการ (<strong>3.</strong>28)<br />

บอกใบ้ หา E ของระบบ ณ ตําแหน่ง<br />

ดังนั Wนเราสรุปได้ว่า<br />

r = r ซึ<br />

min<br />

Nงเป็นจุดวกกลับพอดี ดังนั Wน r ɺ = 0 ณ จุด θ = 0<br />

<strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> ภายใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วง F( r)<br />

= −<br />

2<br />

α<br />

1 ε cosθ<br />

มีเส้นทางของวงโคจร r( θ ) = โดยทีN<br />

+<br />

2<br />

α µk<br />

r<br />

k<br />

= l และ<br />

2El<br />

ε = 1+<br />

µ k<br />

___________________ สมการ (<strong>3.</strong>29)<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>10 คํานวณพลังงาน E ของระบบ ในกรณีของวงโคจรรูปวงกลม<br />

เฉลย<br />

µ k<br />

E = −<br />

2 l<br />

2<br />

2<br />

ขณะดาวเคราะห์เคลือนที ภายในหนึงหน่วยเวลา dt<br />

มันกวาดได้พืนที<br />

dA<br />

(a)<br />

2<br />

2<br />

dA<br />

dt<br />

dA<br />

2 nd Law of Kepler: มีค่าคงทีเสมอ<br />

(จุดโฟกัส)<br />

dA<br />

(b)<br />

ภาพ (<strong>3.</strong>12) แสดงลักษณะของพื WนทีN dA ทีNเกิดขึ Wน ในขณะดาวเคราะห์โคจร<br />

2nd Law of Kepler<br />

กฎข้อ 2 ของ Kepler เกีNยวข้องกับอัตราเร็วของการเคลืNอนทีN ในขณะทีNดาวเคราะห์อยู ่ในวงโคจรทีNมี<br />

ลักษณะเป็นวงรี ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีของโลกซึ Nงกําลังโคจรรอบดวงอาทิตย์ดังแสดงในภาพ (<strong>3.</strong>12)<br />

ในขณะทีNกําลังเคลืNอนทีNในระนาบ ณ ตําแหน่ง (a) วัตถุจะสามารถกวาดได้พื WนทีN dA จากการศึกษา<br />

Kepler พบว่า พื WนทีNซึ Nงดาวเคราะห์กวาดได้ ต่อหนึ Nงหน่วยเวลา มีค่าคงทีNเสมอ<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-39<br />

Kepler's Law<br />

II. Law of Areal Velocity<br />

พื WนทีN ซึ Nงดาวเคราะห์กวาดได้ ต่อหนึ Nงหน่วยเวลา มีค่าคงทีNเสมอ<br />

___________________ สมการ (<strong>3.</strong>30)<br />

กฎข้อ 2 ของ Kepler ทําให้เราสามารถอธิบายได้ว่า เพราะเหตุใดเวลาทีNดาวหางโคจรเข้ามาใกล้ดวง<br />

อาทิตย์ มันจะมีอัตราเร็วสูงกว่าในขณะทีNมันอยู ่ไกลจากดวงอาทิตย์<br />

ดังแสดงในภาพ (<strong>3.</strong>12) จุด (a) ในขณะทีNอยู ่ไกลจากดวงอาทิตย์ รัศมีของการโคจรมีค่ามาก และมี<br />

พื WนทีN ทีNกวาดได้เท่ากับ dA<br />

เมืNอดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ณ จุด (b) ดังแสดงในภาพ เนืNองจากรัศมีของการโคจรมีค่าน้อย<br />

พื WนทีN ทีNกวาดได้มีแนวโน้มจะน้อยลง เพืNอบังคับให้พื WนทีN dA มีค่าเท่าเดิม เป็นไปตามกฎข้อ 2 ของ<br />

Kepler ดาวหางจะต้องเคลืNอนทีNในแนวเส้นโค้ง ให้เป็นระยะทางไกลกว่าเดิม<br />

เมืNอดาวหาง ณ จุด (b) ต้องเดินทางเป็นระยะทางไกลกว่า เมืNอเปรียบเทียบกับจุด (a) ภายในระยะเวลา<br />

เท่าๆกัน เราบอกได้ว่า อัตราเร็วของดาวหางจะสูงขึ WนเมืNอเคลืNอนทีNเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์<br />

dθ<br />

r ( θ<br />

)<br />

rdθ<br />

โดยอาศัยกฎการอนุรักษ์ angular momentum เราสามารถพิสูจน์กฎข้อ 2 ของ Kepler ได้อย่างง่ายดาย<br />

พิจารณาการโคจรเป็นรูปวงรี ดังแสดงในภาพข้างต้น<br />

ภายในเวลา dt วัตถุเคลืNอนทีNเป็นระยะสั Wนๆ และมีมุมกวาด dθ ส่งผลให้เกิดเป็นพื WนทีNรูป<br />

สามเหลีNยม ซึ Nงมีขนาดเท่ากับ<br />

1<br />

2<br />

1<br />

2 r dθ<br />

2<br />

dA = x ฐาน x สูง =<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-40<br />

เมืNอนํา dt หารทั Wงสองข้างของสมการข้างต้น ทําให้<br />

dA<br />

dt<br />

1 dθ<br />

1<br />

2 dt 2<br />

2 2<br />

= r = r ɺ<br />

θ<br />

2<br />

นอกจากนี Wเราทราบว่า angular momentum = µ r ɺ 2<br />

l θ หรือ r ɺ θ เพราะฉะนั Wนแล้ว พื WนทีN<br />

ทีNกวาดได้ ต่อหนึ Nงหน่วยเวลา ก็คือ<br />

= l<br />

µ<br />

<strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong><br />

dA l<br />

= = constant<br />

dt 2µ<br />

___________________ สมการ (<strong>3.</strong>31)<br />

3rd Law of Kepler<br />

โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ใช้เวลา 1 ปี ระยะเวลาดังกล่าวนี Wเอง คือคาบของการเคลืNอนทีNของ<br />

วัตถุครบ 1 รอบ แทนด้วยสัญลักษณ์ τ นักศึกษาคงจะพอเดาได้ว่า คาบของการเคลืNอนทีNนั Wน ควร<br />

จะสัมพันธ์อยู ่กับรัศมีของการโคจร กล่าวคือ ดาวเคราะห์ทีNโคจรอยู ่ใกล้ดวงอาทิตย์ อาทิ ดาวพุธ<br />

ดาวศุกร์ หรือ แม้กระทั Nงโลก ควรจะมีคาบ τ น้อยกว่าดาวทีNอยู ่ห่างออกไป อาทิเช่น ดาวยูเรนัส<br />

โคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบใช้เวลาถึง 84.07 ปี<br />

Kepler เป็นคนแรกทีNสามารถอธิบายสมการทางคณิตศาสตร์ ทีNโยงความสัมพันธ์ ระหว่าง period ของ<br />

การเคลืNอนทีN τ และ semi-major axis ของการโคจร a ได้สําเร็จ และเสนอเป็นกฎข้อ 3 ของ<br />

Kepler ในปี ค.ศ. 1619 หรือ 10 ปีให้หลังนับจากทีNเขาเสนอกฎ 2 ข้อแรก<br />

Kepler's Law<br />

2 3<br />

III. Law of Period คาบยกกําลังสอง แปรผันตรงกับ semi-mjor axis กําลังสาม หรือ τ ∼ a<br />

___________________ สมการ (<strong>3.</strong>32)<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>11 ในการโคจรเป็นวงกลมเนืNองจากแรงโน้มถ่วงรอบจุดโฟกัส ถ้าอยู่ห่างจากจุด<br />

โฟกัสออกไป 9 เท่า จะใช้เวลาโคจรครบ 1 รอบนานขึ Wนเท่าใด<br />

เฉลย ใช้เวลานานขึ Wน 27 เท่า<br />

ด้วยข้อจํากัดทางทฤษฏีในยุคของ Kepler ซึ Nงเป็นเวลาเกือบ 100 ปี ก่อนทีNจะมีกลศาสตร์ Newton<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-41<br />

หรือ calculus เป็นเรืNองน่าทึ NงทีN Kepler สามารถวิเคราะห์ข้อมูล จนสามารถมองเห็นความสัมพันธ์<br />

ดังในสมการ (<strong>3.</strong>32)<br />

โดยอาศัยการศึกษาเรืNอง central force motion เราผู้ได้มีโอกาสศึกษาเกีNยวกับกลศาสตร์ ตลอดจน<br />

calculus มาพอสมควร ย่อมถือว่าได้เปรียบ Kepler เมืNอกว่า 400 ปีก่อน มากมายนัก<br />

จากสมการ (<strong>3.</strong>31) เราทราบว่าพื WนทีN dA ทีNวัตถุกวาดไปได้ภายในเวลาสั Wนๆ อยู่ในรูปของ<br />

dA = l dt<br />

2µ<br />

ทั Wงนี WเมืNอทําการ integrate ทั Wงสองข้างของสมการ<br />

dA = l l<br />

dt = dt<br />

2µ 2µ<br />

∫ ∫ ∫<br />

จะเห็นว่า ∫ dA ก็คือพื WนทีNทั Wงหมดของวงรี ซึ Nงจากสมการ (<strong>3.</strong>24) ในแบบฝึกหัด A = π ab<br />

ในขณะทีN ∫ dt ก็คือเวลาทั Wงหมดในการโคจร ซึ Nงก็คือ คาบ τ นัNนเอง เพราะฉะนั Wนแล้ว<br />

π ab<br />

= l τ<br />

2µ<br />

เมืNอแทน b = αa<br />

ดังปรากฏในสมการ (<strong>3.</strong>23) และ<br />

2<br />

α µk<br />

= l ดังปรากฏในสมการ (<strong>3.</strong>29) จะได้<br />

ว่า<br />

π a<br />

2<br />

l l<br />

a = τ<br />

µ k 2µ<br />

ทําการยกกําลังสองทั Wงสองข้าง และจัดรูป จะนําไปสู ่สมการทีNอธิบายกฎข้อ 3 ของ Kepler กล่าวคือ<br />

<strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong><br />

2<br />

2 4π µ 3<br />

τ = a ___________________ สมการ (<strong>3.</strong>33)<br />

k<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>12 ดาว 2 ดวงโคจรรอบกันและกันในลักษณะวงกลม โดยมีคาบเท่ากับ τ จงแสดง<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-42<br />

ให้เห็นว่า ระยะห่างระหว่างดาวทั Wงสองคือ<br />

m<br />

+ m<br />

3 2<br />

Binary Stars a = G<br />

1 2<br />

τ ___________________ สมการ (<strong>3.</strong>34)<br />

4π<br />

2<br />

ภาพ (<strong>3.</strong>13) แสดงข้อมูลของดาวเคราะห์ (คัดลอกมาจาก Marion และ Thornton, "Classical<br />

Dynamics of Particles and System")<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>13 จากข้อมูลทีNแสดงในภาพ (<strong>3.</strong>13) วาดกราฟแสดงความสัมพันธ์ ระหว่าง<br />

3<br />

a (ใน<br />

2<br />

แนวนอน) และ τ (ในแนวตั Wง) ซึ Nงจะได้กราฟเส้นตรง ทีNมีความชันโดยประมาณคือ<br />

2<br />

4π<br />

GM<br />

M ⊙ คือมวลของดวงอาทิตย์ อภิปรายว่าเหตุใด โดยประมาณแล้ว เราไม่จําเป็นต้องนํามวลของดาว<br />

เคราะห์มาวิเคราะห์ร่วมด้วย<br />

⊙<br />

เมืNอ<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-43<br />

การเดินทางของยานอวกาศ STARDUST ในการเก็บตัวอย่างจากดาวหาง<br />

Collect Sample<br />

STARDUST<br />

Reentry<br />

Wild 2<br />

Earth<br />

Research<br />

Jupiter<br />

Credit: Jet Propulsion Laboratory<br />

ภาพ (<strong>3.</strong>14) แสดงวงโคจรในช่วงแรกของยานอวกาศ STARDUST เปรียบเทียบกับของดาวหาง<br />

Wild 2 เพืNอจะเคลืNอนทีNเข้าสู่วงโคจรของ Wild 2 ตัวยานอวกาศต้องมีการจุดเชื Wอเพลิง เพืNอเพิNม<br />

พลังงานของมัน ทุกอย่างจะต้องคํานวณไว้ล่วงหน้าอย่างแม่นยํา ก่อนเหตุการณ์จริง<br />

Section <strong>3.</strong>4 Orbit Dynamics<br />

การ "ขับ" กระสวยอวกาศเพืNอเดินทางระหว่างดาวเคราะห์ หรือ การพุ่งเฉียดดาวหางเพืNอเก็บตัวอย่าง<br />

ของแก็ส นั Wนลําบากกว่ากับขับรถยนต์หลายเท่าตัว ประการแรกเชื WอเพลิงทีNบรรจุอยู่มีจํากัด<br />

เพราะฉะนั Wนการเลี Wยว หรือ การเปลีNยนเส้นทางโคจรแต่ละครั Wง จําเป็นต้องมีการคํานวณอย่างละเอียด<br />

เพืNอให้ถึงทีNหมายโดยใช้พลังงานน้อยทีNสุด ประการทีNสอง การเคลืNอนทีNใช้เวลานาน และใช้เวลา<br />

ส่วนใหญ่ปล่อยให้กระสวยอวกาศเคลืNอนทีNตามกฎทางฟิสิกส์ ในขณะทีNการขับรถ เราจําเป็นต้อง<br />

เลี Wยวซ้ายหรือแซงขวาอยู ่บ่อยครั Wง<br />

orbit dynamics เป็นหัวข้อทีNเกีNยวข้องกับการควบคุม หรือ เปลีNยนแปลงวงโคจรของวัตถุในอวกาศ<br />

และมีศักยภาพในการนําไปประยุกต์ใช้ประโยชน์อย่างมหาศาล ทั WงทีNเกีNยวกับดาวเทียม การสํารวจ<br />

อวกาศ และ การบิน ยกตัวอย่างเช่น "project stardust"<br />

NASA ซึ Nงเป็นองค์กรการสํารวจอวกาศของประเทศสหรัฐ ได้ลงทุนกว่า 150$ ล้านเหรียญ ใน<br />

โครงการทีNจะส่งกระสวยอวกาศออกไปเก็บตัวอย่างของแก็สและฝุ ่นละอองทีNอยู ่โดยรอบดาวหาง<br />

และนํากลับมาศึกษาบนผิวโลก โดยให้ชืNอโครงการนี Wว่า project stardust<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-44<br />

ดังแสดงในภาพ (<strong>3.</strong>14) เป็นแผนเส้นทางการโคจรทีNเริ Nมวางไว้ในปี ค.ศ. 1992 โดยทีNยานอวกาศ<br />

ทะยานออกจากโลกเมืNอวันทีN 7 กุมภาพันธ์ 1999 เพืNอเก็บตัวอย่างสารประเภทคาร์บอนของดาวหาง<br />

Comet Wild 2 จากนั Wนวนรอบดวงอาทิตย์ 3 รอบ และเดินทางกลับมายังผิวโลกเมืNอ เดือน<br />

มกราคม ค.ศ. 2004 นับรวมเป็นเวลากว่า 5 ปีของการเดินทาง<br />

และเนื Wอหาใน Section <strong>3.</strong>4 Orbit Dynamics เราจะได้มีโอกาสศึกษาเทคนิคอย่างง่ายของการควบคุม<br />

เส้นทางการบินในอวกาศ<br />

เราสามารถเปลีNยนวงโคจร โดยอาศัยแรงขับจากการจุดระเบิดไอพ่น ทําให้ความเร็วของดาวเทียม<br />

สูงขึ Wน หรือ ตํ Nาลง ขึ Wนอยู่กับทิศทางของแรงขับ เมืNอความเร็วเปลีNยนแปลง ส่งผลให้พลังงานของ<br />

มันมีค่าแตกต่างจากเดิมตามไปด้วย ดังนั Wน ในขั Wนต้นนี W เราจะเริ Nมศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง<br />

พลังงาน E ของการเคลืNอนทีN และ รูปร่างของวงโคจรทีNจะเกิดขึ Wน<br />

พลังงาน และ วงโคจร<br />

พิจารณาสมการของพลังงาน E ในระบบ central force motion<br />

2<br />

2 l<br />

ɺ ( ) ___________________ สมการ (<strong>3.</strong>35)<br />

2<br />

1<br />

E = µ r + + U r<br />

2 2µ<br />

r<br />

ในเมืNอ E มีค่าคงทีN ดังนั Wนถ้าเราสามารถคํานวณพลังงานดังกล่าว ณ จุดใดจุดหนึ Nงของวงโคจร มันก็<br />

ย่อมมีค่าเท่าเดิมในทุกๆตําแหน่งเช่นเดียวกัน ดังนั Wน พิจารณาในขณะทีNวัตถุเคลืNอนทีNเข้ามาใกล้จุด<br />

โฟกัสมากทีNสุด หรือ r = rmin<br />

ดังแสดงในภาพ (<strong>3.</strong>10) 1) สมมุติว่าวัตถุเริ NมเคลืNอนทีNเข้ามาใกล้ ในช่วงนี W รัศมี r จะมีค่าลดลง หรือ<br />

dr<br />

อีกนัยหนึ Nง 0<br />

dt < 2) เมืNอมาถึงยังตําแหน่ง r = rmin<br />

= วัตถุจะอยู ่ใกล้จุดโฟกัสทีNสุด 3)<br />

1 + ε<br />

dr<br />

จากนั Wนจะเริ NมเคลืNอนทีNออกห่าง ทําให้รัศมีเพิ Nมขึ WนเมืNอเวลาผ่านไป หรืออีกนัยหนึ Nง 0<br />

dt > โดยทีN<br />

ทั Wง 3 ขั Wนตอนสรุปโดยสังเขปได้ว่า<br />

α<br />

1) เคลืNอนเข้าใกล้<br />

dr<br />

0<br />

dt <<br />

2) ใกล้ทีNสุด ณ r<br />

α<br />

rmin<br />

= =<br />

1 + ε<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-45<br />

dr<br />

3) เริNมออกห่าง 0<br />

dt ><br />

จากกระบวนการข้างต้น จะพบว่า dr มีการเปลีNยนเครืNองหมาย จากน้อยกว่าศูนย์ มาเป็น มากกว่า<br />

dt<br />

dr<br />

ศูนย์ ดังนั Wน ณ ตําแหน่ง r = r จะได้ว่า อัตราเร็วในแนวรัศมี r ɺ 0<br />

min<br />

dt = =<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>14 จงพิสูจน์ว่า ณ ตําแหน่ง<br />

เท่านั Wน กล่าวคือ v = rθɺ<br />

r = r อัตราเร็วของวัตถุมีเฉพาะส่วนของการหมุน<br />

min<br />

ดังนั Wน เมืNอแทน r ɺ = 0 ณ ตําแหน่ง r rmin<br />

ถ่วง ในสมการ (<strong>3.</strong>35) จะทําให้<br />

α<br />

= = แทน U ( r)<br />

1 + ε<br />

k<br />

r<br />

= − ในกรณีของแรงโน้ม<br />

min<br />

l k<br />

E = 0 + −<br />

2 µr r<br />

2<br />

2<br />

min<br />

min<br />

2<br />

แต่จากสมการ (<strong>3.</strong>27) l = αµk ดังนั Wนพลังงาน E<br />

α<br />

1 ε<br />

จากนั Wนแทน rmin<br />

= จะได้ว่า +<br />

α µ k<br />

=<br />

2 r<br />

1+ ε ⎛1+<br />

ε ⎞ k<br />

E = k ⎜ − 1⎟<br />

= −<br />

α ⎝ 2 ⎠ 2<br />

k k ⎛ α ⎞<br />

− = ⎜ −1⎟<br />

r r 2r<br />

⎠<br />

µ min<br />

2 min min ⎝ min<br />

2<br />

( 1−<br />

ε )<br />

เนืNองจาก semi-major axis a สัมพันธ์อยู ่กับ eccentricity ε ดังในสมการ (<strong>3.</strong>22) เพราะฉะนั Wน<br />

พลังงาน E ลดรูปเหลือเพียง<br />

α<br />

E<br />

k<br />

2a<br />

= − ___________________ สมการ (<strong>3.</strong>36)<br />

ผลลัพธ์ข้างต้น มีความสําคัญอย่างยิ Nง ในการควบคุมกระสวยอวกาศ เพราะแสดงความสัมพันธ์<br />

ระหว่างพลังงานของมัน และ semi-major axis a ซึ NงเกีNยวข้องโดยตรงกันรูปร่างของวงโคจร ดังทีN<br />

ได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นว่า เราสามารถควบคุมพลังงานโดยการจุดระเบิดเครืNองยนต์จรวด และ<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-46<br />

อาศัยสมการ (<strong>3.</strong>36) เป็นการควบคุมเส้นทาง และ รูปร่างของการโคจรโดยปริยาย<br />

ตัวอย่างโจทย์<br />

บั Wงไฟมวล m อยู่ในวงโคจร ภายใต้สนามโน้มถ่วงทีNมีค่าคงทีN k โดยทีNวงโคจรเป็นวงกลมซึ Nงมีรัศมี<br />

r จากนั WนมีการจุดระเบิดเพืNอเร่งให้อัตราเร็วขึ Wนมากกว่าเดิม 2 เท่า จงหาลักษณะของวงโคจรใหม่<br />

1<br />

วิธีทํา จากโจทย์แสดงว่า พลังงานศักย์อยู ่ในรูปของ U ( r)<br />

= − และเมืNอวงโคจรเป็นวงกลม<br />

แสดงว่ารัศมี r มีค่าคงทีN หรือ rmin rmax r1<br />

k<br />

r<br />

= = ในการนําสมการ (<strong>3.</strong>36) มาใช้งาน เราต้องทราบ<br />

r + r 2r<br />

2 2<br />

min max<br />

semi-major axis a ของการเคลืNอนทีN และจากภาพ (<strong>3.</strong>11) a = =<br />

1<br />

ทําให้บั Wงไฟมี<br />

พลังงานก่อนการจุดระเบิดเท่ากับ<br />

E<br />

1<br />

= −<br />

k<br />

2r<br />

1<br />

และเราสามารถคํานวณหาอัตราเร็วในขณะนี Wได้ โดยพิจารณา E 1 ออกเป็นส่วนของพลังงานจลน์<br />

และพลังงานศักย์<br />

1 2 1 2 k<br />

E1 = mv 1 + U ( r) = mv1<br />

−<br />

2 2 r<br />

1<br />

กําหนดให้ E 1 ทั Wงสองสมการเท่ากัน และแก้หา v 1 จะได้ว่า<br />

k<br />

mr<br />

Circular Orbit v1<br />

= ________________ สมการ (<strong>3.</strong>37)<br />

จากนั Wนโจทย์กําหนดให้ มีการจุดระเบิด ทําให้อัตราเร็วเพิ Nมขึ Wนเป็น 2 เท่า เพราะฉะนั Wนแล้ว<br />

1<br />

v = 2v = 2<br />

2 1<br />

k<br />

mr<br />

1<br />

เมืNออัตราเร็วเปลีNยน พลังงานงานก็ย่อมเปลีNยนแปลง และจากสมการ (<strong>3.</strong>36) ทําให้ semi-major axis<br />

a ของวงโคจรแตกต่างออกไปจากเดิม พลังงานภายหลังการจุดระเบิดคือ<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-47<br />

1 2 1<br />

2 v k ⎛<br />

2 4<br />

k ⎞<br />

E = m − = m⎜<br />

⎟ − k =<br />

k<br />

2 r1 2 ⎝ mr1 ⎠ r1 r1<br />

อาศัยสมการ (<strong>3.</strong>36) เราคํานวณ semi-major axis a 2 ได้ว่า<br />

a<br />

2<br />

k r<br />

= − = −<br />

1<br />

2E<br />

2<br />

2<br />

เมืNอ a 2 ทีNคํานวณได้ มีค่าติดลบ เราสามารถวิเคราะห์ลักษณะของวงโคจรได้โดยพิจารณา<br />

ความสัมพันธ์ระหว่าง semi-major axis a และ eccentricity ε ดังสมการ (<strong>3.</strong>22)<br />

α<br />

a =<br />

2<br />

1 −ε<br />

2<br />

การทีN a จะติดลบได้ ก็ต่อเมืNอ ε > 1 หรือ อีกนัยหนึ Nง ε > 1 ซึ Nงจากสมการ (<strong>3.</strong>21)<br />

ε > 1 เป็นวงโคจรแบบ hyperbola ภายหลังการจุดระเบิด ตอบ<br />

(b) วงโคจร hyperbola<br />

(a) วงกลม<br />

r 1<br />

ซึ Nงเราสรุปเป็น 3 ขั Wนตอนดังแสดงในภาพ<br />

1) บั Wงไฟโคจร ภายในวงโคจร (a)<br />

2) มีการจุดระเบิด ทําให้ค่า eccentricity ε > 1 และเปลีNยนรูปร่างของวงโคจร เป็น hyperbola<br />

3) โคจรตามแนวเส้น วงโคจร (b)<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-48<br />

Hohman Transfer - การเปลียนวงโคจร<br />

เชื Wอเพลิงเป็นข้อจํากัดอย่างยิ Nงในการเดินทางระหว่างเคราะห์ เพราะฉะนั WนการจุดระเบิดเครืNองยนต์<br />

ไอพ่นในแต่ละครั WงเพืNอเร่งให้ยานอวกาศมีความเร็วในทิศทางและขนาดทีNต้องการ จึงต้องทําด้วย<br />

ความระมัดระวังและแม่นยําทีNสุด ในปี 1925 Walter Hohmann นักวิจัยในสาขาการเดินทางอวกาศ<br />

ได้คิดค้นวิธีการเดินทางระหว่างดาวเคราะห์ ทีNใช้พลังงานน้อยทีNสุด ด้วยการจุดระเบิดเพียง 2 ครั Wง<br />

ซึ Nงกระบวนการดังกล่าวเรียกโดยทั Nวไปว่า "Hohman Transfer" (Marion and Thornton, "Classical<br />

Dynamics of Particles and Systems")<br />

2<br />

กระบวนการ Hohman Transfer<br />

v 2<br />

r 1<br />

r 1<br />

2<br />

โลก<br />

r<br />

v 1<br />

ดาวอังคาร<br />

r<br />

v HT<br />

ภาพ (<strong>3.</strong>15) แสดงกระบวนการ 3 ขั Wนตอนของ Hohman Transfer<br />

พิจารณาดาวเคราะห์ 2 ดวงทีNโคจรเป็นวงกลม ในระนาบเดียวกัน อาทิเช่น โลกและดาวอังคาร ดัง<br />

แสดงในภาพ (<strong>3.</strong>15) โดยทีNโลกและดาวอังคารมีรัศมี r 1 และ r 2 ตามลําดับ<br />

ก่อนทีNจะวิเคราะห์กระบวนการเดินทางระหว่างโลกและดาวอังคาร เราพิจารณาสมบัติของแต่ละวง<br />

โคจรเสียก่อน<br />

เพืNอทีNจะอยู่ในวงโคจรของโลก เราสามารถคํานวณพลังงานของยานอวกาศจากสมการ (<strong>3.</strong>36)<br />

E<br />

1<br />

= −<br />

k<br />

2r<br />

1<br />

ในสมการข้างต้น เนืNองจากเป็นวงกลม semi-major axis a1 = r1<br />

นัNนเอง และในทํานองเดียวกัน<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-49<br />

กับบั Wงไฟในตัวอย่างโจทย์ทีNผ่านมา เราสามารถคํานวณอัตราเร็วของยานอวกาศ ทีNต้องการอยู่ในวง<br />

โคจรของโลกได้ว่า<br />

วงโคจรของโลก v1<br />

=<br />

k<br />

mr<br />

1<br />

เมืNอ m คือมวลของยานอวกาศ และ ในทํานองเดียวกัน<br />

วงโคจรของดาวอังคาร v2<br />

=<br />

k<br />

mr<br />

2<br />

เมืNอทราบอัตราเร็วทีNยานอวกาศจะต้องมี ในการเคลืNอนทีNอยู ่ในวงโคจรเดียวกันกับโลก และ กับดาว<br />

อังคารแล้ว ในคราวนี Wเราเริ Nมพิจารณากระบวนการ Hohmann transfer ซึ Nงประกอบด้วย 3 ข้อดัง<br />

แสดงในภาพ (<strong>3.</strong>15)<br />

1) ยิงยานอวกาศเข้าสู ่วงโคจรของโลก ดังแสดงเป็นเส้นโค้งสีเขียว ในขั Wนแรกนี W ยานอวกาศ<br />

จะต้องมีอัตราเร็วเท่ากับ v 1<br />

2) ปรับเข้าสู ่วงโคจรรูปวงรี ซึ Nงมีทิศทางของแกนหลัก (major axis) หันออกด้านนอก ทําให้<br />

สามารถเคลืNอนออกห่างจากดวงอาทิตย์ได้ เรียกวงโคจรในลักษณะวงรีนี Wว่า Hohmann transfer orbit<br />

ซึ NงในทีNนี Wจะแทนด้วย subscript HT เราสามารถคํานวณอัตราเร็ว v HT ทีNยานอวกาศจะต้องมี ในการ<br />

เคลืNอนทีNในวงรีดังกล่าว โดยอาศัยสมการ (<strong>3.</strong>36) อีกเช่นกัน<br />

E<br />

HT<br />

k<br />

= −<br />

2a<br />

HT<br />

จากการวิเคราะห์เชิงเรขาคณิตจะพบว่า semi-major axis ของ วงรีดังกล่าวมีค่าเท่ากับ a =<br />

1 2<br />

เพราะฉะนั Wน พลังงานคือ<br />

HT<br />

r + r<br />

2<br />

E<br />

HT<br />

= − k<br />

r + r<br />

1 2<br />

ซึ NงเมืNอกระจายพลังงานรวมดังกล่าว ออกเป็นส่วนของพลังงานศักย์ และ พลังงานศักย์ จะได้ว่า<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


W<br />

Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-50<br />

k 1 1<br />

E m U r m<br />

2 2<br />

HT = − = v HT + ( 1) = vHT<br />

−<br />

r1 + r2 2 2 r1<br />

k<br />

ในสมการข้างต้นจะเห็นว่า เป็นพลังงานศักย์ ณ รัศมี r 1 ก็เพราะในขณะทีNมีการจุดระเบิดเพืNอเปลีNยน<br />

เข้าสู ่วงรีนั Wน เรายังห่างจากดวงอาทิตย์เป็นระยะ r 1 อยู่นั Nนเอง<br />

ทั Wงนี W เมืNอแก้สมการหา v HT จะได้ว่า<br />

=<br />

k ⎛<br />

−<br />

⎝<br />

vHT<br />

2⎜1 mr1 1 + r2 r1<br />

1<br />

⎞<br />

⎟<br />

⎠<br />

________________ สมการ (<strong>3.</strong>38)<br />

สมการ (<strong>3.</strong>38) เป็นอัตราเร็วทีNยานอวกาศจะต้องมี เพืNอเข้าสู ่วงรี หรือ Hohman transfer orbit<br />

3) เมืNอเดินทางออกห่างจากดวงอาทิตย์ มาถึงระยะ r = r2<br />

ทําการยิงไอพ่นอีกครั Wงหนึ NงเพืNอปรับ<br />

อัตราเร็ว ให้มีขนาดเท่ากับ v 2 ก็จะเข้าสู ่วงโคจรของดาวอังคารดังต้องการ<br />

11<br />

ยกตัวอย่างเช่น เมืNอแทนรัศมี r 1 = 1.495× 10 เมตร และ r2 r 1 = 1.5237 จากข้อมูลทีNปรากฏ<br />

ในภาพ (<strong>3.</strong>13) นอกจากนี W<br />

k GmM ⊙<br />

= = GM<br />

m m<br />

อัตราเร็วในแต่ละขั Wนตอนของ Hohman transfer ดังต่อไปนี<br />

1) เข้าสู ่วงโคจรของโลก v1<br />

2) ขับเคลืNอนทีNเข้าสู ่วงรี<br />

3) ขับเคลืNอนเข้าสู ่วงโคจรดาวอังคาร v2<br />

⊙ เมืNอ M ⊙ คือมวลของดวงอาทิตย์ จะได้<br />

≅ 29.8km s<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012<br />

vHT<br />

≅ 32.7 km s<br />

≅ 24.1km s<br />

อย่างไรก็ตาม Hohman transfer ดังแสดงในภาพ (<strong>3.</strong>15) จะต้องมีการกําหนดช่วงเวลาทีNเหมาะสมใน<br />

การเข้าสู ่วงรี เพราะเมืNอยานอวกาศมาถึงยังวงโคจรของดาวอังคาร ยกตัวอย่างเช่นในขั WนตอนทีN 3<br />

ดาวอังคารจะต้องอยู ่ ณ ตําแหน่งดังกล่าวพอดี<br />

ตัวอย่างโจทย์<br />

จงคํานวณเวลาทีNยานอวกาศ เดินทางจากวงโคจรของโลก ไปยังดาวอังคาร โดยอาศัย Hohmann<br />

transfer orbit


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-51<br />

วิธีทํา จากฎข้อ 3 ของ Kepler เราสามารถคํานวณคาบทีNใช้ในการโคจรของวงรี ดังกล่าวได้ว่า<br />

2<br />

2 4π µ 3<br />

HT aHT<br />

τ =<br />

k<br />

ซึ Nงจากภาพ (<strong>3.</strong>15) a =<br />

1 2<br />

กําหนดให้ m คือมวลของยานอวกาศ และ M ⊙ คือมวลของ<br />

ดวงอาทิตย์ ดังนั Wน<br />

HT<br />

r + r<br />

2<br />

2 2<br />

4 4π<br />

mM⊙<br />

π µ =<br />

k<br />

( m + M⊙ ) G mM⊙ ( + ⊙ )<br />

มวลมากกว่ายานอวกาศ เราประมาณได้ว่า ( m + M ) ≅ M<br />

กฎข้อ 3 ของ Kepler ทีNว่า<br />

=<br />

⊙<br />

2<br />

4π<br />

m M G<br />

และเนืNองจาก ดวงอาทิตย์มี<br />

⊙ ทําให้ได้ความสัมพันธ์ในรูปของ<br />

τ<br />

2<br />

2 4π<br />

⎛ r1 + r2<br />

HT<br />

M⊙G<br />

⎝ 2<br />

⎞<br />

= ⎜ ⎟<br />

⎠<br />

3<br />

หรือ<br />

τ<br />

HT<br />

2π<br />

⎛ r1 + r2<br />

⎞<br />

= ⎜ ⎟<br />

M G ⎝ 2 ⎠<br />

⊙<br />

3 2<br />

เมืNอแทน<br />

G = 6.673×<br />

10<br />

−11<br />

m<br />

3<br />

kg ⋅s<br />

11<br />

( )<br />

r = × × จะได้ว่า<br />

2 1.5237 1.495 10 m<br />

2<br />

30<br />

11<br />

, M ⊙ = 1.989×<br />

10 kg ,<br />

r = × , แล<br />

1 1.495 10 m<br />

τ<br />

HT<br />

3 2<br />

2π<br />

⎛ r1 + r2<br />

⎞<br />

7<br />

= ⎜ ⎟ = 4.469×<br />

10 s<br />

M G ⎝ 2 ⎠<br />

⊙<br />

หรือ ประมาณ 517 วัน<br />

อย่างไรก็ตาม นี Wเป็นเวลาในการโคจรครบ 1 รอบ แต่ในกรณีของ Hohmann transfer orbit เรา<br />

เดินทางเฉพาะขาไป ดังนั Wน เวลาทีNใช้ในการเดินทางคือ ครึ Nงหนึ Nงของคาบพอดี เพราะฉะนั Wน<br />

เวลาทีNใช้เดินทาง เท่ากับ 259 วัน โดยประมาณ ตอบ<br />

Section <strong>3.</strong>5 บทสรุป<br />

ในการศึกษาการเคลืNอนทีNของระบบ 2 อนุภาค ซึ NงมีแรงทีNกระทําต่อกัน อยู่ในแนวเส้นตรงระหว่าง<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


W<br />

Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-52<br />

อนุภาคทั Wงสอง หรือทีNเรียกว่า central force motion เริNมด้วยการพิจารณา center of mass หรือ จุด<br />

ศูนย์กลางมวลของระบบ<br />

<br />

Center of Mass<br />

1 1 2 2 3 3<br />

r =<br />

cm<br />

<br />

m r + m r + m r + ⋯<br />

M<br />

เมืNอ M = m1 + m2 + m3<br />

+⋯<br />

ซึ Nงจุดศูนย์กลางมวลดังกล่าว มีประโยชน์อย่างยิ Nงในการวิเคราะห์ระบบของวัตถุทีNมีรูปทรง และจาก<br />

กฎข้อ 2 ของ Newton จุดศูนย์กลางมวลของวัตถุทั Wงก้อนจะมีความเร่งก็ต่อเมืNอ มีแรงภายนอก มา<br />

กระทําเท่านั Wน หรืออีกนัยหนึ Nง<br />

<br />

a<br />

cm<br />

2<br />

d<br />

=<br />

2 cm = F<br />

<br />

<br />

r<br />

dt M<br />

(ext)<br />

net<br />

และเราได้นําหลักการดังกล่าว มาเป็นเครืNองมือในการศึกษาตัวอย่างโจทย์ในหลายกรณี อาทิเช่น Jack<br />

เดินบนท้องเรือ หรือกล่องไถลบนฐานสามเหลีNยมเป็นต้น<br />

ในแง่ของ central force motion เราได้ใช้ประโยชน์จาก center of mass โดยการกําหนดให้จุด<br />

ดังกล่าวเป็นจุดกําเนิดในการวิเคราะห์ระบบ 2 อนุภาค ทําให้รูปแบบทางคณิตศาสตร์ ดูเสมือนว่า<br />

เป็นระบบ 1 อนุภาคซึ Nงมีมวล µ เรียกโดยทั Nวไปว่า reduced mass ซึ Nงอาจจะเขียนโดยใช้ภาษาของ<br />

Lagrange mechanics ได้ว่า<br />

1<br />

= −U ( r)<br />

2<br />

≡ x + y + z r ≡ r − r<br />

<br />

2<br />

System of Two Particles L µ r ɺ<br />

2 2 2 2<br />

เมืNอ r ɺ ɺ ɺ ɺ โดยทีN 1 2<br />

m m<br />

m + m<br />

และ µ ≡<br />

1 2<br />

1 2<br />

ซึ NงมีชืNอว่า Reduced Mass<br />

จะสังเกตเห็นว่า ตัวแปร r ทีNกําลังกล่าวถึงในระบบเสมือนทีNดูคล้ายจะประกอบด้วย 1 อนุภาคนี<br />

มีความหมายเป็นระยะห่างระหว่างอนุภาค m 1 และ m 2 นัNนเอง<br />

อาศัยกฎเกณฑ์ของ Lagrange mechanics เราสามารถสรุปว่า reduced mass µ ดังกล่าวเคลืNอนทีNแต่<br />

เฉพาะในระนาบเดียวเท่านั Wน จึงเหมาะสมทีNเราจะใช้เพียง 2 ตัวแปร ( r,<br />

θ ) ในพิกัด polar ในการ<br />

อธิบายตําแหน่งของมวลดังกล่าว ซึ NงเมืNอพยายามสร้าง Lagrange equation of motion ทําให้เราได้<br />

ข้อสรุปหลายอย่างเกีNยวกับ central force motion กล่าวคือ<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-53<br />

และ<br />

2<br />

Angular Momentum l = µ r ɺ θ = ค่าคงทีNเสมอ<br />

Total Energy<br />

1 2 l<br />

E = µ rɺ<br />

+ + U ( r)<br />

2<br />

2<br />

2µ<br />

r<br />

2<br />

ทั Wงนี W เราได้ยกตัวอย่างการนําสมการของพลังงาน E มาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์หาเงืNอนไขของ<br />

stable circular orbit โดยนิยามให้<br />

ภายใต้เงืNอนไข<br />

Effective Potential Energy<br />

l<br />

Ueff ( r) ≡ + U( r)<br />

2<br />

2µr<br />

2<br />

d U<br />

dr =<br />

เงืNอนไข Equilibrium eff ( r ) = 0<br />

Stable Circular Orbit<br />

Unstable Circular Orbit<br />

2<br />

r R<br />

d<br />

2 U eff ( r ) > 0<br />

dr<br />

2<br />

r=<br />

R<br />

d<br />

2 U eff ( r ) < 0<br />

dr<br />

นอกจาก angular momentum l และพลังงาน E แล้ว ในกระบวนการของการสร้าง Lagrange<br />

equation of motion เรายังค้นพบสมการทีNโยงความสัมพันธ์ระหว่างแรง F( r ) ทีNอนุภาคทั Wงสอง<br />

กระทําต่อกัน และลักษณะวงโคจร r( θ ) ทีNเกิดขึ Wน<br />

r=<br />

R<br />

2 2<br />

d ⎛ 1 ⎞ 1 µ r<br />

2 ⎜ ⎟ + = −<br />

r r<br />

2<br />

dθ<br />

⎝ ⎠ l<br />

F( r)<br />

และอาศัยเซตของสมการดังกล่าวมาข้างต้น ทําให้เราสามารถทํานายการเคลืNอนทีNของ reduced mass<br />

µ ว่ามีรัศมี r = r( t)<br />

และ มุม θ = θ ( t)<br />

เปลีNยนแปลงกับเวลาอย่างไรได้สําเร็จ แม้ว่าสมการ<br />

ข้างต้นจะประยุกต์ใช้ได้กับแรง F( r ) ได้หลากหลาย แต่เราได้ทําการตีกรอบการพิจารณาเฉพาะ<br />

k<br />

แรงโน้มถ่วง F( r)<br />

= − และหันมาศึกษาในเรืNองกฎของ Kepler ซึ NงเกีNยวข้องกับการเคลืNอนทีNของ<br />

2<br />

ดาวเคราะห์ทั Wง 3 ข้อ<br />

r<br />

และในขั Wนนี Wเอง ทีNเราได้ทบทวนคณิตศาสตร์ทีNเกีNยวข้องกับ conic section หรือ ภาคตัดกรวย ซึ Nงก็คือ<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-54<br />

เซตของรูปร่าง วงกลม วงรี parabola และ hyperbola ว่าสามารถเขียนเป็นสมการในพิกัด polar ได้ว่า<br />

สมการของ Conic Section<br />

⎧ε<br />

= 0 circle<br />

α ⎪0 < ε < 1 ellipse<br />

r( θ ) = ⎨<br />

1 + ε cosθ<br />

⎪ε<br />

= 1 parabola<br />

⎪<br />

⎩1 < ε hyperbola<br />

เมืNอ ε มีชืNอว่า eccentricity ทีNเป็นตัวกําหนดรูปร่างของ conic section และอาศัยสมการของการ<br />

เคลืNอนทีN ดังทีNกล่าวไว้ในตอนต้น เราได้ทําการวิเคราะห์ กฎข้อ 1 ของ Kepler ทีNมีใจความว่า<br />

Kepler's Law<br />

I. Law of Orbits ดาวเคราะห์เคลืNอนทีNเป็นวงรี โดยมีดวงอาทิตย์เป็นจุดโฟกัส<br />

ซึ NงเมืNอเราทําการพิสูจน์ โดยอาศัยกลไกของ Lagrange mechanics ทําให้ได้ข้อสรุปทีNคล้ายคลึง (แต่กิน<br />

ใจความกว้างขวางกว่า) กฎข้างต้น กล่าวคือ<br />

<strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> ภายใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วง F( r)<br />

= −<br />

2<br />

α<br />

1 ε cosθ<br />

มีเส้นทางของวงโคจร r( θ ) = โดยทีN<br />

+<br />

และเมืNอหันมาพิจารณา กฎข้อ 2 ของ Kepler ทีNว่า<br />

2<br />

α µk<br />

r<br />

k<br />

= l และ<br />

2El<br />

ε = 1+<br />

µ k<br />

Kepler's Law<br />

II. Law of Areal Velocity พื WนทีN ซึ Nงดาวเคราะห์กวาดได้ ต่อหนึ Nงหน่วยเวลา มีค่าคงทีNเสมอ<br />

ทําให้เราได้ข้อสรุป ในทํานองเดียวกัน<br />

2<br />

2<br />

<strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong><br />

dA l<br />

= = constant<br />

dt 2µ<br />

ในท้ายทีNสุด กฎข้อ 3 ของ Kepler ทีNโยงความสัมพันธ์ระหว่างคาบของการโคจร และ ขนาดของวง<br />

โคจร ซึ Nงมีใจความสําคัญคือ<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-55<br />

Kepler's Law<br />

III. Law of Period<br />

คาบยกกําลังสอง แปรผันตรงกับ semi-mjor axis กําลังสาม หรือ<br />

2 3<br />

τ ∼ a<br />

และอีกเช่นเคย อาศัยสมการของ central force motion เราได้บทสรุปทีNมีความสมบูรณ์ของสมการ<br />

มากกว่า กล่าวคือ<br />

<strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong><br />

2<br />

2 4π µ 3<br />

τ =<br />

k<br />

a<br />

อย่างไรก็ตาม การนําสมการของ central force motion มาประยุกต์ใช้ให้เห็นจริง มิได้จํากัดอยู ่แต่เพียง<br />

การพิสูจน์กฎทั Wง 3 ข้อของ Kepler ดังทีNผ่านมาเท่านั Wน เรายังได้นํามาประยุกต์ในการศึกษาเรืNอง orbit<br />

dynamics ซึ NงเกีNยวข้องกับการควบคุม หรือ เปลีNยนแปลงวงโคจรของยานอวกาศ<br />

ในการขับเคลืNอนยานอวกาศ ทําได้โดยการยิงไอพ่นเพืNอปรับอัตราเร็ว และทําให้พลังงานของมัน<br />

เปลีNยนแปลง ส่งผลให้รูปร่างของวงโคจรแตกต่างไปจากเดิม โดยทีNความสัมพันธ์ระหว่าง<br />

พลังงานและวงโคจรก็คือ<br />

E = −<br />

เมืNอ a คือ semi-major axis ของวงโคจร และสมการเดียวนี Wเอง เป็นเครืNองมือให้เราสามารถ<br />

วิเคราะห์วงโคจรของบั Wงไฟในตัวอย่างโจทย์ ตลอดจนศึกษาการส่งยานอวกาศระหว่างวงโคจรของ<br />

โลกและดาวอังคารโดยใช้พลังงานน้อยทีNสุด หรือทีNเรียกว่า Hohmann transfer นั Nนเอง<br />

k<br />

2a<br />

Section <strong>3.</strong>6 ปัญหาท้ายบท<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>15<br />

ในอวกาศสมมุติให้มีเพียงดาวเคราะห์ 2 ดวงมีมวลเป็น m 1 และ m 2 เริNมจากจุดหยุดนิ Nง เป็น<br />

ระยะห่าง r 0 ด้วยแรงโน้มถ่วง ทั Wงคู่ดึงดูดกันและชนกันในทีNสุด ตําแหน่งของการชน อยู ่ห่างจาก<br />

ดาวเคราะห์ m 1 เท่าใด<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-56<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>16 คนด้านซ้ายมวล m 1 และด้านขวามวล m 2 ยืนหยุดนิ Nงห่างกันเป็นระยะ d บน<br />

พื WนทีNปราศจากแรงเสียดทาน จากนั Wนทั Wงสองเริ Nมดึงเชือก จุดทีNเคลืNอนทีNเข้ามาพบกัน อยู่ห่างจากจุดทีN<br />

คนทางซ้ายยืนอยู ่เดิมเท่าใด<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>17 จงแสดงให้เห็นว่า ในกรณีของวงรี จุดโฟกัส จะอยู ่ห่างจากจุดศูนย์กลางของวงรี<br />

เป็นระยะทาง aε ดังแสดงในภาพ (<strong>3.</strong>11)<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>18 ดาวมวล m 1 และ m 2 เริNมจากจุดหยุดนิ NงทีNระยะ r 0 ด้วยแรงโน้มถ่วง จึงพุ่งเข้า<br />

มาหากัน ในขณะทีNอยู ่ห่างกันเป็นระยะ r < r0<br />

มวลทั Wงสองมีความเร็วเท่าใด<br />

เฉลย v1 2<br />

2G<br />

⎛ 1 1 ⎞<br />

= m ⎜ − ⎟ M ⎝ r r 0 ⎠<br />

และ v2 1<br />

2G<br />

⎛ 1 1 ⎞<br />

= m ⎜ − ⎟ M ⎝ r r 0 ⎠<br />

เมืNอ M = m1 + m2<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>19 จากการวิเคราะห์ระบบของดาว 2 ดวง เมืNอลดรูปเหลือมวลลดทอน (reduced mass)<br />

ก้อนเดียว จะได้ว่า เส้นทางโคจรเป็นแบบก้นหอย ดังสมการ r = kθ จงหาแรงทีNอนุภาคทั Wงสอง<br />

กระทําต่อกัน และ พลังงานของระบบ<br />

เฉลย<br />

2 2<br />

l ⎛ 2k<br />

1 ⎞<br />

F( r)<br />

= − +<br />

µ ⎜ 5 3<br />

r r ⎟<br />

⎝ ⎠<br />

E<br />

2 2<br />

1 2 k<br />

= µ rɺ<br />

− l<br />

4<br />

2 2µ<br />

r<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>20 จากข้อทีNผ่านมา สมมุติให้ ณ เวลา t = 0 reduced mass อยู่ ณ รัศมี<br />

r 0 มุม θ 0 และกําลังโดนเหวีNยงด้วยอัตราเร็วเชิงมุม ɺ θ ( t = 0) = ω a) จงแสดงว่า 0<br />

r และ θ<br />

เปลีNยนแปลงกับเวลาอย่างไร b) ต้องรออีกนานเท่าใด กว่ารัศมีจะออกมาอยู ่ ณ 4 เท่าของรัศมีเดิม<br />

เฉลย a)<br />

⎛ ω0<br />

⎞<br />

r( t) = r0<br />

⎜3 t + 1⎟<br />

⎝ θ0<br />

⎠<br />

1<br />

3<br />

และ<br />

⎛ ω0<br />

⎞<br />

θ ( t) = θ0<br />

⎜3 t + 1⎟<br />

⎝ θ0<br />

⎠<br />

1<br />

3<br />

θ0<br />

และ b) ( 4 3 − 1)<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>21 เมืNอวิเคราะห์ดาวเคราะห์ขนาดเล็กมากมวล m โคจรรอบดาวฤกษ์ขนาดใหญ่มวล<br />

M ตามหลักการ ต้องมองว่าเป็น reduced mass µ เคลืNอนทีNเป็นวง r = r( θ ) แต่บางครั Wงโดย<br />

อนุโลมเรามองว่าเป็นมวล m โคจรรอบดาวฤกษ์<br />

3ω<br />

0<br />

สมมุติว่าดาวฤกษ์มีมวลเป็น 100 เท่าของดาวเคราะห์ จงหาว่ามวล m และ reduced mass µ<br />

ต่างกันกีNเปอร์เซ็นต์<br />

เฉลย 1%<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-57<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>22 วัตถุมวล m อยู่ในวงโคจร ภายใต้สนามโน้มถ่วงทีNมีค่าคงทีN k โดยทีNวงโคจร<br />

เป็นวงกลมซึ Nงมีรัศมี r 1 จะต้องเร่งให้อัตราเร็วเพิ Nมขึ Wนกว่าเดิมกีNเท่า จึงจะโคจรเป็นรูป parabola<br />

เฉลย 2 เท่า<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>23 ดาวเคราะห์มวล m โคจรเป็นวงกลมด้วยรัศมี R รอบดวงอาทิตย์มวล M ⊙ ถ้า<br />

สมมุติให้ M⊙ ≫ m และเมืNอเวลา t = 0 มุม θ = 0 พอดี จงแสดงให้เห็นว่า<br />

2π<br />

GM⊙<br />

θ ( t)<br />

= t = t<br />

τ<br />

3 2<br />

R<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>24 ดาวเคราะห์มวล m 1 และ m 2 โคจรเป็นวงกลมด้วยรัศมี R 1 และ R 2 รอบดวง<br />

อาทิตย์มวล M⊙ ≫ m1 , m2<br />

จงวาดภาพเพืNอแสดงให้เห็นว่า ดวงอาทิตย์ และ ดาวเคราะห์ทั Wงสอง<br />

จะอยู ่ในแนวเส้นตรงเดียวกันเมืNอ<br />

Alignment θ1 − θ2 = nπ<br />

เมืNอ n เป็นจํานวนเต็มคู่ - ดาวเคราะห์ทั Wงสองจะอยู ่ใกล้กันทีNสุด<br />

n เป็นจํานวนเต็มคีN - ดาวเคราะห์ทั Wงสองจะอยู ่ไกลกันทีNสุด<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>25 กาลครั Wงหนึ Nงมีระบบสุริยะในกาแลกซีไกลโพ้น มนุษย์อาศัยอยู ่บนดาวเคราะห์<br />

Krypton ซึ Nงโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงกลมใช้เวลา 1 ปี ณ รัศมีไกลออกไป λ เท่า ดาวเคราะห์<br />

ชืNอ Xenon โคจรเป็นวงกลมเช่นเดียวกัน<br />

ดาวตั<br />

งแถว แนวเดียวกัน ประจันหน้า<br />

ต่างก็ท้า เข้าประชิด ผิดวิสัย<br />

ในครานี มิอาจป้ อง ผองภัย<br />

จึงเตือนไว้ อีก ____ ปี จะมีมา<br />

วันหนึ Nง เกิดดวงอาทิตย์ ดาว Krypton และ ดาว Xenon มาเรียงตัวกัน เกิดอาเพศสงครามไปทั Nว ว่า<br />

แล้วพระอาจารย์จึงจับดวงเมือง และบันทึกในหลักศิลาเพืNอเตือนภัยให้เตรียมการป้ องกันเหตุการณ์ทีN<br />

จะเกิดซํ Wารอยในอนาคต จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี WอีกกีNปี<br />

เฉลย<br />

n<br />

2<br />

2 −<br />

λ λ<br />

ปี n = 1<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012


Classical Mechanics ระดับอุดมศึกษา 3 <strong>Central</strong> <strong>Force</strong> <strong>Motion</strong> 3-58<br />

แบบฝึ กหัด <strong>3.</strong>26 โลกและดาวอังคาร จะโคจรเข้าใกล้กันมากทีNสุด ทุกๆ 780 วัน ซึ Nงเป็นคาบเวลาทีN<br />

เรียกโดยทั Nวไปว่า Earth-Mars Synodic Period จงใช้ข้อมูลในภาพ (<strong>3.</strong>13) เพืNอคํานวณระยะเวลา<br />

ดังกล่าว<br />

2<br />

× 365 ≅ 780<br />

2<br />

2 −<br />

1.5237 1.5237<br />

เฉลย ( )<br />

วัน<br />

Dr. Teepanis Chachiyo <strong>ภาควิชาฟิสิกส์</strong> <strong>มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> teepanis@kku.ac.th Draft May 2012

Hooray! Your file is uploaded and ready to be published.

Saved successfully!

Ooh no, something went wrong!