วารสาร inTECH Life à¹à¸¥à¹à¸¡ 3 - มหาวิà¸à¸¢à¸²à¸¥à¸±à¸¢à¸£à¸²à¸à¸ ัà¸à¸à¸£à¸°à¸à¸à¸£
วารสาร inTECH Life à¹à¸¥à¹à¸¡ 3 - มหาวิà¸à¸¢à¸²à¸¥à¸±à¸¢à¸£à¸²à¸à¸ ัà¸à¸à¸£à¸°à¸à¸à¸£
วารสาร inTECH Life à¹à¸¥à¹à¸¡ 3 - มหาวิà¸à¸¢à¸²à¸¥à¸±à¸¢à¸£à¸²à¸à¸ ัà¸à¸à¸£à¸°à¸à¸à¸£
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
วารสารคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร<br />
in-TECH<br />
อิน เทค ไลฟ์ • ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 • ประจำเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2554<br />
www.pnru.ac.th<br />
อิทธิพล<br />
Social Network<br />
ด้านมืดVS ด้านสว่าง<br />
ครบรอบ<br />
45ปี<br />
“เทคโนโลยีเพื่อปวงชน”<br />
P14<br />
GLOBAL<br />
WARMING<br />
ก็โลกมันร้อน<br />
P24<br />
“เดคูพาจ”<br />
ศิลปะสร้างเงิน<br />
เพิ่มคุณค่า<br />
P32<br />
เชิญร่วมประกวดผลงาน<br />
“เซรามิกส์”<br />
Thai Ceramic Awards 2011
สาส์นจากอธิการบดี<br />
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร<br />
<br />
<br />
ครูช่างของแผ่นดิน<br />
ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 84 พรรษา<br />
ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554 นี้ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง<br />
ต่อมหาวิทยาลัยราชภัฏ ที่ทรงเมตตาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานนาม และตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์<br />
ให้เป็นสัญลักษณ์ นับเป็นมหาสิริมงคลที่ชาวมหาวิทยาลัยราชภัฏทั้งหมดจะได้แสดงความจงรักภักดี และพร้อมปฏิบัติ<br />
หน้าที ่สนองพระมหากรุณาธิคุณอย่างสุดความสามารถ<br />
คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ในฐานะที่เป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกที่ผลิตครู<br />
ช่างอุตสาหกรรม ได้ตระหนักถึงพระปรีชาสามารถในด้านงานช่างซึ่งมีปรากฏมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทรงสนพระทัยการประดิษฐ์<br />
คิดค้นทางวิศวกรรม ด้วยการทดลองค้นคว้าวิจัยด้วยพระองค์เองจนเกิดพระราชดำริอันประเสริฐนำไปสู่การแก้ไข<br />
ปัญหาต่างๆ เพื่อปวงชน เช่น การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมการบำบัดน้ำเสีย การทำฝนเทียม รวมทั้งการเกิดโรงเรียนพระดาบส<br />
แสดงให้เห็นถึงความเป็นครูทางการช่างของพระองค์ ซึ่งทรงเป็นครูที่ทดลองค้นคว้าด้วยพระองค์เองก่อน แล้วจึงนำ<br />
ความรู้ที่ทรงค้นพบไปสอนประชาชน<br />
คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมซึ ่งเป็นคณะวิชาที ่ผลิตบัณฑิตสาขาวิชาด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 11 สาขา<br />
นับแต่เริ ่มก่อตั ้งตั ้งแต่ปี พ.ศ. 2509 ถึงปัจจุบัน นับอายุได้ 45 ปีแล้ว มีการพัฒนาเจริญก้าวหน้ามาโดยตลอด<br />
คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงได้จัดทำกิจกรรมต่างๆ<br />
ที่ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้น เช่น บรรพชาอุปสมบทหมู่ การไถ่ชีวิตโค-ก ระบือ เพื่อเทิดพระเกียรติ และถวายเป็นราชสักการะ<br />
เป็นกตัญญูกตเวทิตาธรรม ถวายความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะผู้ทรงเป็นสัญลักษณ์ และต้นแบบ<br />
ของครูช่าง พร้อมทั้งเผยแพร่พระเกียรติคุณความเป็นครูช่างของแผ่นด ินให้ประจักษ์แก่ประชาชนชาวไทย และชาวโลก<br />
ขอเฉลิมพระเกียรติ “พระมหากษัตราธิราชเจ้าผู ้ทรงเป็นครูช่างของแผ่นดิน”<br />
(รองศาสตราจารย์เปรื่อง กิจรัตน์ภร)<br />
อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
July-September 2011<br />
in-Tech Note<br />
06 กว่าจะเป็น “โซลาร์เซลล์”<br />
เพื่อชุมชนที่...อมก๋อย<br />
In -Talk<br />
08 สันติ วิลาสศักดานนท์<br />
วิพากษ์ค่าแรง 300 บาท<br />
Cover Story<br />
10 อิทธิพล Social Network<br />
ด้านมืด VS ด้านสว่าง<br />
In-Earth<br />
14 ก็โลกมันร้อน GLOBAL warming<br />
In-House<br />
16 อิทธิพลแห่งสี<br />
In-Design<br />
18 มุมมอง “ภูมิสถาปัตยกรรม”<br />
จาก สถาปนิก<br />
In- SCAPE<br />
22 นกแก้ว & กิ้งก่า<br />
เครื่องเล่นสนามสำหรับเด็ก By SCAPE<br />
In- SMEs<br />
24 เดคูพาจ (De’coupage)<br />
ศิลปะสร้างเงิน เพิ่มคุณค่า<br />
In- IT<br />
26 ข่าวรอบรั้ว IDT<br />
In- Society<br />
28 Blog-Based Class<br />
In- Service<br />
32 TCA 2011 งานประกวด<br />
ผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ แห่งปี<br />
34 7 ศูนย์เครือข่ายบริการ<br />
วิชาการสู่ชุมชน การเปลี่ยนแปลง<br />
ภายใต้แนวคิด“มหาวิทยาลัยเพื่อปวงชน”<br />
in-TECH<br />
45 ปี “การจัดการเทคโนโลยีเพื่อปวงชน”<br />
“เทคโนโลยี” ในมิติความหมายหลายท่านคงพอ<br />
จะนึกออก หรืออาจจะมีหลากหลายคำถามที่ยังสับสน<br />
เกินจะเข้าใจ<br />
อันที่จริงรอบๆ ตัวเรามีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง<br />
กับชีวิตมากมาย ตั ้งแต่ตื ่นนอนไปจนหลับใหล<br />
เรื ่อยไปจนตลอดชีวิต<br />
บางคนก็อยากปฏิเสธ และผลักไสมัน บางคน<br />
ก็ลุ ่มหลง และอยากแสวงหามัน<br />
หากแต่ความจริงก็คือ... เราต้องอยู่ร่วมกับมันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ ยง<br />
และต้องคอยวิ่งไล่ตามมันให้ทัน ต้องปรับตัวให้เข้ากับมันให้ได้ เพราะมันคือผู้นำพามา<br />
ซึ ่งความเปลี ่ยนแปลงในหลากหลายมิติ ทั ้งชีวิต เศรษฐกิจ และสังคม<br />
ประเด็นก็คือ...<br />
เราจะเป็นผู ้ใช้มัน หรือจะเป็นผู ้ถูกมันครอบงำ<br />
เราจะวิ่งตามมันให้ทันหรือหยุดนิ่ง และปล่อยให้มันวิ่งแซงเราไปพร้อมกันคนอื่นๆ<br />
แล้วทิ้งให้ตัวเองเป็นผู้ล้าหลัง เพราะทุกการเรียนรู้ และการตัดสินใจ มีความหมาย<br />
กับชีวิตหนึ ่งชีวิต ธุรกิจหนึ ่งธุรกิจ หรือแม้แต่ประเทศหนึ ่งประเทศ<br />
ตลอดระยะเวลา 45 ปี แห่งการเรียนรู ้ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม<br />
ได้ร่วมกับภาคนักศึกษา คณาจารย์ และประชาชน มุ่งตอบสนองความเปลี่ยนแปลง<br />
ทางเทคโนโลยีให้สอดรับกับความต้องการในภาคตลาดแรงงาน เพื่อสนับสนุนความมั่นคง<br />
ทางด้านแรงงาน ด้านการเมือง สังคม รวมทั ้งพลังงาน สิ ่งแวดล้อม<br />
สิ่งที่ต้องก้าวต่อไป คือ สร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการผ่านกลไกของระบบ<br />
มหาวิทยาลัย พร้อมกับการสร้างคนเพื ่อก้าวไปสู ่การเป็นกลไกที ่ดีของสังคม<br />
ตลอดเวลา 45 ปี เป็นเพียงบทบัญญัติแห่งการเริ ่มต้น และเปลี ่ยนแปลง<br />
ก้าวสำคัญต่อจากนี้ไป คือ การสร้างความมั่นคง และมั่งคั่ง เพื่อตอบสนองภารกิจ<br />
ที่ได้รับเป็นเป้าหมายต่อไป<br />
นั่นคือ...การจัดการเทคโนโลยีเพื่อปวงชน<br />
ศุภลักษณ์ ใจเรือง<br />
คณบดีคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม<br />
คณะผู้จัดทำ<br />
ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ รศ.ดร.เปรื่อง กิจรัตน์ภร อธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ที่ปรึกษา อาจารย์ปราโมทย์ เทพพัลลภ <br />
รองอธิการบดีฝ่ายศิลปวัฒนธรรมและกิจการนักศึกษา, อาจารย์จุไร วรศักดิ์โยธิน รองอธิการบดีฝ่ายสิทธิประโยชน์และการคลัง, <br />
ผศ.ศรีสมร วนกรกุล รองอธิการบดีฝ่ายบริหารจัดการ, ผศ.กัลยา แสงเรือง รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและบริการวิชาการ, ผศ.เกษม <br />
ช่วยพนัง รองอธิการบดีฝ่ายนโยบายแผนและวิจัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิคณะ รศ.สุภาวดี รัตนมาศ, ดร.สันติ วิลาสศักดานนท์, <br />
ดร.สุพงศ์ ชยุตสาหกิจ, นายสมศักดิ์ สุโมตยกุล คณะกรรมการบริหารคณะ / บรรณาธิการ อาจารย์ศุภลักษณ์ ใจเรือง คณบดี<br />
คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม, ดร.มณฑล จันทร์แจ่มใส รองคณบดีฝ่ายบริหารและแผนงาน, ดร.ศศิธร คนทน รองคณบดีฝ่ายวิชาการ, <br />
อาจารย์กิตติคุณ มั่งคั่ง รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและฝึกประสบการณ์วิชาชีพ ผู้เขียน รศ.ดร.วิชัย แหวนเพชร, อาจารย์อนันตกุล<br />
อินทรผดุง, อาจารย์ธงชัย ทองอยู่, อาจารย์ธเนศ ตั้งจิตเจริญเลิศ, อาจารย์ประกาศิต โสไกร, อาจารย์ศุภกิจ สดสี, อาจารย์อุไรวรรณ <br />
คำภูแสน, อาจารย์อภิสิทธิ อุปกิจ, อาจารย์ธนาวุฒิ ขุนทอง, อาจารย์รุจิราภา งามสระคู, คณาจารย์คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม
่<br />
่<br />
06-<br />
-Tech Note 07<br />
กว่าจะเป็น “โซลาร์เซลล์”<br />
เพื่อชุมชนที่…อมก๋อย<br />
STORY : อ.ชาญชัย วัลลิสุต<br />
ก่อนที ่ผู ้เขียนจะมาเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร<br />
คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ได้เคยทำงานในตำแหน่งหัวหน้าวิศวกรที่<br />
บริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับหม้อแปลงไฟฟ้า<br />
เป็นหลัก และต่อมาการดำเนินงานของบริษัทได้ขยายธุรกิจออกมาอีกด้านหนึ่ง<br />
คือ พลังงานเซลล์แสงอาทิตย์ หรือที่ชาวบ้านเรียกติดปากว่า “โซลาร์เซลล์”<br />
จึงเป็นเหตุให้ผู้เขียนมีโอกาสเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมการทำงานติดตั้ง<br />
เซลล์แสงอาทิตย์ ที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงปี พ.ศ. 2548<br />
ซึ่งในขณะนั้น ต้องทำการติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์เป็นจำนวนทั้งหมด2 หมู่บ้าน<br />
โดยใช้เวลาในการปฏิบัติงานภายในชุมชน เป็นระยะเวลามากกว่า 9 เดือน<br />
จากประสบการณ์ ความประทับใจ และมิตรภาพ ระหว่างทีมงานและ ชุมชน<br />
ในช่วงเวลาที่ได้ปฏิบัติงานเป็นสิ่งบันดาลใจให้เกิดบทความชิ้นนี้ขึ้น<br />
อ.อมก๋อย วิถีคนหลังเขา<br />
อมก๋อย เป็นอำเภอ หนึ่งใน 24 อำเภอที่อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่ประมาณ 2,093 ตารางกิโลเมตร<br />
มีประชากรประมาณ 60,515 คน (พ.ศ. 2551) ถ้าขับรถไปถึงอำเภอฮอด แล้วขับต่อไปประมาณ 84 กิโลเมตร<br />
ก็จะถึงตัวอำเภออมก๋อย ประชากรส่วนใหญ่เกือบร้อยละ 90 ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อำเภออมก๋อย<br />
เป็นชาวกะเหรี่ยง ส่วนที่เหลือประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นคนเมือง ที่มีที่พักอาศัยอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ<br />
ภายในอำเภอ อาชีพหลักของประชากร คือ เกษตรกรรม เช่น ปลูกข้าว มะเขือเทศ ฯลฯ ผู ้คนอัธยาศัยดี<br />
เป็นกันเอง และมีชีวิตที่เรียบง่าย จนผู้ที่เข้าไปท่องเที่ยว หรือแวะผ่านอดชื่นชม และเก็บความประทับใจ<br />
กลับมาด้วยทุกครั ้ง<br />
อากาศที่อมก๋อยค่อนข้างเย็นสบายเกือบตลอดทั้งปีดังนั้นที่พักส่วนใหญ่จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง<br />
ติดเครื่องปรับอากาศ แต่หันไปติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นแทน เพราะอากาศจะเริ่มเย็นประมาณเดือน<br />
สิงหาคมถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี โดยช่วงที่อากาศเย็นมากจะอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน<br />
ถึงเดือนมกราคม บางปีอาจจะมาเร็ว หรือช้ากว่าเล็กน้อย ซึ ่งเหมาะเป็นที ่พักผ่อนและท่องเที ่ยวเป็นอย่างมาก<br />
ในตัวอำเภออมก๋อย ยังแบ่งออกเป็นตำบลอีกหลายตำบลด้วยกัน อาทิ ตำบลอมก๋อย ตำบลนาเกียน<br />
ตำบลสบโขง ตำบลยางเปียง ตำบลแม่ตื่น เป็นต้น ซึ่งการขับรถเข้าไปในแต่ละตำบล ในเขตที่มี<br />
ถนนผ่านนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่เนื่องจากพื้นที่ที่เราจะต้องไปติดตั้งพลังงานเซลล์แสงอาทิตย์นั้นอยู่ลึก<br />
เข้าไปในพื้นที่ที่ทุรกันดาร ไม่มีถนนตัดผ่าน ไม่มีไฟฟ้า ซึ่งบางครั้งรถยนต์ไม่สามารถขับเข้าไปได้<br />
จะเป็นต้องเดินเท้า หรือนั่งเรือเข้าไปแทน เพื่อพบปะผู้คนในแต่ละหมู่บ้าน สอบถามถึงปัญหา<br />
และพยายามหาแนวทางการแก้ไข ก่อนที ่ทีมงานจะเข้าไปปฏิบัติงานจริง<br />
การเข้าไปประเมินสถานที่ติดตั้งจริงจะทำให้เราสามารถประเมินทั้งตำแหน่ง ระยะเวลา รวมถึง<br />
ค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถประเมินได้ถ้าไม่เข้ามาสัมผัสสถานที่จริง ซึ่งมีปัจจัยแวดล้อมที่อาจมากระทบ<br />
เช่น สภาพพื ้นที ่ สภาพความเป็นอยู ่ของคนในชุมชน และการมีส่วนร่วมของคน เป็นต้น<br />
ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ และไม่สามารถมองข้ามไปได้เลย<br />
ปัญหาหลักๆ ในการเข้าปฏิบัติงานในพื ้นที<br />
สำหรับการติดตั้งพลังงานเซลล์แสงอาทิตย์ ที่อมก๋อย ปัญหาที่พบหลักๆ ก็คือ<br />
การหาช่าง หรือผู ้รับเหมาที ่สามารถทำงานในพื ้นที ่ได้<br />
เพราะส่วนใหญ่ช่างที่มีวิถีชีวิต หรืออาศัยในเมืองมักไม่ต้องการเข้าไปทำงานในพื้นที่ เนื่องจาก<br />
ความยากลำบากในการทำงานโดยเฉพาะฤดูฝนของทุกปี ทำให้การหาช่างที่มีฝีมือ และสามารถทำงาน<br />
ในพื้นจริงได้นั้นแทบเป็นเรื่องที่ทำได้ยากอย่างยิ่ง ดังนั้นช่างส่วนมากจะเป็นช่างในพื้นที่ และยังไม่มีประสบการณ์<br />
ในการติดตั้งระบบพลังงานเซลล์แสงอาทิตย์ ทำให้ภาระงานส่วนใหญ่ถูกผลักให้กับผู้ควบคุมงานที่ต้อง<br />
มีประสบการณ์ในการทำงานในพื้นที่ทุรกันดาร เพราะจำเป็นต้องคอยกำกับ และควบคุมการทำงาน<br />
อย่างละเอียดทุกขั ้นตอนเพื ่อให้เป็นไปตามแบบที ่ได้กำหนด<br />
พื้นที่ที่ติดตั้งระบบพลังงานเซลล์แสงอาทิตย์<br />
แผนที่ อ.อมก๋อย<br />
สภาพพื้นที่หมู่บ้าน<br />
การขนส่งวัสดุก่อสร้างเข้าไปยังพื้นที่ติดตั้ง<br />
การขนส่งวัสดุก่อสร้างเข้าไปยังพื้นที่ติดตั้ง หรือที่คนทำงานเรียกว่า<br />
“ไซด์งาน” เพราะวัสดุก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็น ปูนซีเมนต์ หิน ทราย กระเบื้อง<br />
หลังคา อุปกรณ์ หรือเครื่องมือในการช่วยติดตั้ง มีจำนวนมาก และมี<br />
ความจำเป็นต้องใช้รถโฟร์วีล หรือไม่ก็ใช้แรงงานคนเดินข้ามภูเขา ลำธาร ป่า<br />
(บางครั้งอาจจะต้องเดินเท้าถึง7 ชั่วโมง) สำหรับพื้นที่ที่รถไม่สามารถเข้าไปได้ถึง<br />
อาจจะต้องใช้คนหลาย 10 คน หรือมากกว่านั้น โดยในแต่ละเที่ยวในการขนส่ง<br />
จำเป็นต้องขนส่งหลายเที่ยว เนื่องจากวัสดุ หรือของที่จะต้องใช้มาไม่พร้อมกัน<br />
และผู้ปฏิบัติงานไม่สามารถรอให้ของมาพร้อมกันได้เนื่องจากติดเงื่อนไขของ<br />
เวลาที ่ทำสัญญา โดยแต่ละเที ่ยวมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงมากในบางพื ้นที<br />
การติดต่อสื ่อสารเพื ่อหาแนวทางในการติดตามความคืบหน้าของงาน<br />
เพราะในพื้นที่จะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ แต่บางจุดอาจพบสัญญาณ<br />
โทรศัพท์สัก 1-2 ขีด ก็ถือว่าโชคดีมาก และจะต้องจดจำ ตำแหน่ง หรือจุด<br />
ของสัญญาณนั้นให้ได้ เพราะถ้าเกิดปัญหา หรืออุบัติเหตุจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง<br />
ที่สามารถช่วยตัดสินใจในการหาแนวทางการแก้ไขได้เป็นอย่างดี อุบัติเหตุ<br />
ส่วนใหญ่มักเกิดจากการเดินทางโดยรถยนต์ เพราะถนนเป็นดินเลน<br />
และลื ่นมาก จนบางครั ้งต้องขับรถที ่ความเร็ว 10 กิโลเมตรต่อชั ่วโมง<br />
(กรณีอันตรายมาก)<br />
การหาคนที่สามารถพูดได้ทั้งภาษาไทย และภาษากะเหรี่ยง<br />
เป็นเรื่องที่สำคัญอีกหนึ่งเรื่องเนื่องจากคนในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็น<br />
คนกะเหรี่ยง และไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ โดยหมู่บ้านส่วนใหญ่ที่เข้าไปติดตั้ง<br />
ระบบพลังงานเซลล์แสงอาทิตย์มักมีประชากรประมาณ 200-400 คน<br />
ต่อหมู่บ้าน จากประสบการณ์เวลาติดต่อจำเป็นต้องไปติดต่อหัวหน้าหมู่บ้าน<br />
(บางคนก็พูดภาษาไทยได้ แต่บางคนก็ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้เลย) เหตุผล<br />
ที่ต้องติดต่อหัวหน้าหมู่บ้านเพราะลูกบ้านจะเชื่อฟังหัวหน้าหมู่บ้ านเป็นอย่างมาก<br />
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการปฏิบัติงานในพื้นที่อีกปัจจัยหนึ่งที่ไม ่สามารถมองข้ามได้<br />
การหารถยนต์ โฟร์วีล ที่มีสภาพที่พร้อมจะสามารถปฏิบัติงานได้จริงในพื้นที่<br />
พื้นที่ของอำเภออมก๋อย จะเป็นพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลค่อนข้างมาก<br />
และมีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขา ทำให้การใช้รถยนต์ธรรมดาอาจจะ<br />
สภาพเส้นทางที่จำเป็นต้องใช้ในการเดินทางเข้าพื้นที่ปฏิบัติงาน<br />
ไม่สามารถเข้าไปได้ในทุกพื้นที่ที่ต้องการ ต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อ<br />
หรือไม่ก็ปิกอัพ (ขับเคลื่อน 2 ล้อ) จึงจะสะดวก ดังนั้นเนื่องจากการทำงาน<br />
ในการติดตั้งระบบพลังงานเซลล์แสงอาทิตย์ให้กับชุมชน ทีมงานจึงจำเป็นที่<br />
จะต้องละเอียดในการเลือกรถขับเคลื ่อน 4 ล้อ ที ่สามารถนำมาใช้งานได้จริง<br />
รวมทั ้งอุปกรณ์ที ่จำเป็นในการเดินทาง เช่น อะไหล่ ยางสำรอง เครื ่องมือ<br />
โซ่พันล้อรถ (เนื ่องจากบางพื ้นที ่ถนนมีสภาพเป็นดินโคลนค่อนข้างลื ่นมาก)<br />
เป็นต้น<br />
ก้าวข้ามปัญหาพัฒนาเป็นประสบการณ์<br />
จากปัญหาหลักๆ 5 ประการ ทำให้ผู้เขียนได้เรียนรู้ปัญหาและวัฒนธรรม<br />
ในชุมชน และเปลี่ยนมาเป็นประสบการณ์ต่างๆมากมาย เพื่อที่สามารถนำมาใช้<br />
กับการดำเนินชีวิตจริงๆ ได้ โดยในพื้นที่ชุมชนที่จะต้องไปติดตั้งระบบเซลล์<br />
แสงอาทิตย์ทีมงานจะต้องสามารถใช้ชีวิตกับปัญหาและอุปสรรคที่ผ่านเข้ามา<br />
จนเสมือนเป็นส่วนหนึ่งกับชุมชนและท้องถิ่นได้อย่างปกติพร้อมทั้งปรับตัวเข้ากับ<br />
สภาพอากาศ และธรรมชาติในแต่ละพื้นที่ ทำให้มีโอกาสเรียนรู้ และพัฒนา<br />
วิถีชีวิตเพื่อเอาชนะปัญหา และอุปสรรคที่พบจากการทำงานได้เป็นอย่างดี<br />
กว่าจะมาเป็นพลังงานเซลล์แสงอาทิตย์…ที่อมก๋อย และอีกหลายพื้นที่ใน<br />
ภาคส่วนของประเทศไทยที่ผู้เขียนได้ลงไปสัมผัสกับการอยู่ร่วมกับชุมชน<br />
ถือเป็นประสบการณ์ชั้นยอด ที่ช่วยเปิดทัศนคติ หรือมุมมองที่ดีต่อการเข้าไป<br />
ทำงานในชุมชน และท้องถิ่น<br />
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นบทเรียนของการดำเนินชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง<br />
ที่สามารถนำมาพัฒนาแนวคิดเพื่อใช้เป็นรูปแบบในการดำรงชีวิตของเราได้<br />
เพราะการเข้าไปทำงานกับชุมชนไม่ใช่เพียงแค่เข้าไปเรียนรู้ถึงปัญหาแต่เพียง<br />
อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นการเข้าไปศึกษาถึงขนบธรรมเนียมประเพณี<br />
วัฒนธรรม ภายในชุมชนอีกด้วย<br />
ประสบการณ์เช่นนี้ ไม่สามารถหาได้จากหนังสือ แต่ต้องเข้าไปสัมผัส<br />
ด้วยตนเอง ...ลองดูสิครับ แล้วคุณอาจค้นพบเหมือนผมว่า การศึกษาที่ยิ่งใหญ่<br />
มิได้มีแค่ในตำราเรียน
08- -TALK 09<br />
สันติ วิลาสศักดานนท์<br />
ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร สอท.<br />
วิพากษ์ค่าแรง 300 บาท<br />
คอลัมน์ In-Tech Talk ฉบับนี้ ได้รับเกียรติจาก คุณสันติ วิลาสศักดานนท์<br />
ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย<br />
(สอท.), กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด<br />
(มหาชน) บริษัทที่ดูแลการลงทุน “เครือสหพัฒน์” ยักษ์ใหญ่วงการสินค้า<br />
อุปโภคบริโภคเมืองไทย และที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม<br />
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร มาร่วมเปิดมุมมองที่แตกต่าง<br />
ต่อการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท<br />
อาจบางที หลังจากอ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้จบ เรื่องขึ้นค่าแรง<br />
ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้นะ คุณปู !?<br />
Q<br />
A<br />
ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อ และค่าครองชีพที่ถีบตัวสูงขึ้น หลายคนอาจรู้ สึกว่าการ<br />
ประกาศนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ด้วยการขึ้นค่าแรง<br />
ขั้นต่ำเป็น 300 บาท และ 15,000 บาท สำหรับปริญญาตรี คือความหวัง<br />
...หวังที่จะหลุดพ้นจากความยากจน ได้ลืมตาอ้าปากไม่ถูกบีบรัดด้วย<br />
ปัญหาเศรษฐกิจ<br />
หากแต่ในความหวัง กลับมีอีกหนึ่งทัศนะ ซึ่งอาจกระตุกให้เราได้คิด<br />
และหันมามองในมิติที่ลึกขึ้น<br />
มองอย่างไรกับนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เป็น 300 บาท?<br />
อันที่จริงเรื่องการขึ้นค่าแรงโดยส่วนตัว และเครือสหพัฒน์ฯ เราเห็นด้วย<br />
แต่ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป<br />
ปกติเรื่องการขึ้นค่าแรง ประเทศไทยเราจะมี คณะกรรมการไตรภาคี<br />
เป็นผู้พิจารณา ซึ่งประกอบด้วยบุคคลจาก 3 ฝ่ายได้แก่ ฝ่ายรัฐบาล<br />
ฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้าง เป็นคณะกรรมการที่มีหน้าที่บริหารจัดการด้าน<br />
การแรงงานในประเทศไทย เพื่อให้เป็นตามหลักขององค์การแรงงานระหว่าง<br />
ประเทศ International Labour Organization (ILO)<br />
คณะกรรมการไตรภาคี ก็จะมีคณะกรรมการไตรภาคีกลาง กับคณะ<br />
กรรมการไตรภาคีของแต่ละจังหวัด เวลาจะขึ้นค่าแรง ก็จะมาคุยกันว่า<br />
จังหวัดเขาเงินเฟ้อแค่นี้ ค่าครองชีพแบบนี้ เขาจะขึ้นเท่านี้ พอได้ข้อมูล<br />
มาเสร็จ เขาก็จะส่งมาที่ไตรภาคีกลาง ไตรภาคีกลางก็จะพิจารณา<br />
อีกทีว่าจังหวัดนี้ควรจะขึ้นกี่บาทๆ อันนี้เป็นหลักที่ปฏิบัติกันมานานแล้ว<br />
แต่เนื่องจากเวลานี้นักการเมือง เอาประเด็นนี้มาหาเสียง มาแข่งขันกัน ตอน<br />
ประชาธิปัตย์ก็บอกจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 250 บาท ภายใน 2 ปี เพื่อไทยบอก<br />
300 บาทเลย แต่ไม่บอกว่าเมื่อไหร่ อย่างไร ภาคแรงงานทั่วประเทศก็เลยคิดว่า<br />
300 บาท ต้องจ่ายทันที ซึ่งถ้าทำอย่างนั้นจริง ผลเสียจะตามมาอีกมาก<br />
ผมว่าตอนนี้พรรคเพื่อไทย รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ก็คงกำลังปวดหัวอยู่<br />
จะจัดการอย่างไร<br />
Q<br />
A<br />
ถ้าคิดสั้นๆ ง่ายๆ ก็ใช่ แต่จริงๆ เรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ มันกระทบ<br />
เป็นลูกโซ่<br />
มองในมุมผู้ประกอบการก่อนนะ เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ300 บาท และเงินเดือน<br />
เริ่มต้นปริญญาตรี 15,000 บาท ถ้าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่เขาไม่กระทบหรอก<br />
เขาจ่ายเกินอยู่แล้ว เพราะเขาต้องการแรงงานฝีมือที่เก่ง มีความชำนาญ<br />
เขาพร้อมจ่ายอยู่แล้ว และเขาก็จ่ายแบบนี้มานานแล้ว แต่ไม่กระทบไม่ว่า<br />
เขายังได้ประโยชน์จากการช่วยเหลือจากภาครัฐที่กลัวว่าเมื่อขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ<br />
จะกระทบเอกชน ก็เลยลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้อีก 7% กลายเป็นว่าอยู ่ดีๆ<br />
ได้กำไรเพิ่มอีก 7% บริษัทขนาดใหญ่เหล่านี้ยิ้มเลย<br />
บริษัทที่กระทบคือบริษัทเล็กๆที่ใช้แรงงานแบบเข้มข้นเช่นพวกอุตสาหกรรม<br />
เสื ้อผ้า รองเท้า อาหาร ฯลฯ พวกนี ้ต้นทุนเขาคือค่าแรงงาน ยกตัวอย่างเสื ้อผ้า<br />
ค่าแรงงานเขาอยู่ที่ 10 เปอร์เซ็นต์ของต้นทุนทั้งหมด อย่างต่างจังหวัด ค่าแรง<br />
ส่วนใหญ่อยู่ที่ 170 บาท ถ้าขึ้น 300 บาท นั่นหมายถึงต้นทุนเขาเพิ่มขึ้นอีก<br />
10 เปอร์เซ็นต์ทันที สินค้าที่ผลิตได้ก็ต้องขายแพงขึ้นถามว่า ถ้าแพง แล้วจะมี<br />
คนซื้อหรือเปล่า แล้วยิ่งถ้าเป็นโรงงานในต่างจังหวัดเขาต้องบวกต้นทุนค่าขนส่ง<br />
เข้ากรุงเทพฯ เพิ ่มไปอีก พอค่าแรงเท่ากรุงเทพฯ เขาก็สู ้บริษัทในกรุงเทพฯ ไม่ได้<br />
บริษัทเหล่านี้ถ้าสายป่านไม่ยาวเจ๊งแน่ พอเจ๊งก็เกิดผลกระทบ NPL หรือหนี้ไม่ก่อ<br />
ให้เกิดรายได้กับแบงก์ แบงก์ก็เลิกปล่อยกู ้ พอเลิกปล่อยกู ้ก็ยิ ่งเจ๊งเข้าไปอีก<br />
นี่มองแค่มิติเดียวนะ แต่คิดดูว่า ต้นทุนสินค้ามาจากอะไรบ้าง<br />
วัตถุดิบล่ะ ถ้าบริษัทที่ผลิตวัตถุดิบ เขาบอกเขาก็ต้องขึ้นราคาด้วยเพราะ<br />
ค่าแรงงานเพิ่ม มันก็กลายเป็นว่า สินค้าทุกชนิดต้องขึ้นราคากันหมด<br />
ถ้าเป็นส่งออก เราจะส่งออกสู้ประเทศที่ค่าแรงถูกกว่า ต้นทุนถูกกว่าได้อย่างไร<br />
แล้วถ้าบริษัทเหล่านี้เจ๊งหมด แรงงานบ้านเราก็ต้องตกงานอีกเท่าไหร่<br />
ปัญหาที่จะจะตามมา คือบริษัทเล็กๆ เหล่านี้จะเลี่ยงกฎหมายหันไปเอาแรงงาน<br />
ต่างด้าวเถื่อนเข้ามาเพิ่มมากขึ้นหรือต่อไปก็ไม่จ้างแรงงานเป็นพนักงานประจำ<br />
แล้ว แต่เหมาแรงงานมาดีกว่า ที่เรียกว่าแรงงานจ้างเหมา ไม่ต้องไปรับผิดชอบ<br />
เรื่องแรงงานขั้นต่ำ เพราะถ้าเขาไม่เลี่ยงเขาอาจต้องปิดกิจการก็ได้เวลามอง<br />
เราต้องมองให้ครบวงจร พวกสายป่านสั้นจะมีปัญหา<br />
Q<br />
A<br />
เกิดผลเสียหายอย่างไร ถ้ามองในมุม<br />
ภาคแรงงาน เขาน่าจะรู้สึกว่าได้ประโยชน์?<br />
แล้วภาคแรงงานล่ะ?<br />
เอาหล่ะ มามองภาคแรงงงานบ้าง ไม่นับว่าบริษัทขนาดกลาง เริ่มเจ๊ง<br />
หรือหันไปหาวิธีจ้างแรงงานน้อยลง เอาเทคโนโยลีมาใช้มากขึ้น จนคนตกงาน<br />
เป็นจำนวนมากแล้ว<br />
สมมุติถ้ารายได้ขั้นต่ำเราได้300 บาทต่อวัน ปริญญาตรีได้ 15,000 บาท<br />
ต่อเดือน แต่สินค้าในชีวิตประจำวันทุกอย่างปรับขึ้นตามไปหมด ต้องลอง<br />
ไปคำนวณว่า มันคุ้มกันหรือเปล่า โดยส่วนตัวผมว่าไม่คุ้มหรอก ปัญหาเงินเฟ้อ<br />
จะตามมาอีกมาก<br />
อย่างพวกก่อสร้าง ที่ไม่ต้องใช้แรงงานฝีมืออะไรก็เริ่มออกมาบ่นว่าไม่ไหว<br />
ต้องขอขึ้นค่าสร้างบ้านอีก10% ซึ่งเยอะนะ เพราะเขารู้ว่าถ้าค่าแรงขึ้นวัสดุก่อสร้าง<br />
ทุกอย่างก็ต้องขึ้น ต้นทุนขึ้นหมด<br />
ทีนี้เรื่องความรู้สึก แรงงานใหม่อาจรู้สึกว่าได้ แต่คนที่ทำงานมาแล้ว<br />
3 ปี 5 ปี จนวันนี้เขาก็ยังได้ไม่ถึง15,000 บาท ได้ไม่ถึง 300 บาทต่อวัน พอมี<br />
คนใหม่เข้ามาได้มากกว่าเขา หรือเท่าเขา จะรู้สึกอย่างไร รัฐบาลอาจบอกว่า<br />
เลี่ยงด้วยการให้เป็นเงินค่าครองชีพ ไม่ใช่เงินเดือน แต่ความรู้สึกก็เหมือนกัน<br />
ตรงนี้จะแก้ยังไง<br />
เรื่องนี้มันทำแบบพรวดพราดไม่ได้ต้องค่อยเป็นค่อยไป นโยบายพวกนี้<br />
รัฐบาลต้องไปคิดว่า ทำอย่างไรถึงจะสมดุล<br />
Q<br />
A<br />
หนึ่ง - ถ้าเป็นบริษัทขนาดกลาง ขนาดใหญ่ ก็ต้องค่อยๆ ขยายการผลิต<br />
ออกไปนอกประเทศ ไปลงทุนในแถบประเทศอาเซียน เพราะประชาคม<br />
เศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC จะสมบูรณ์ในปี2558 อีก 3-4 ปีข้างหน้า ทุกอย่าง<br />
จะเสรีทั้งการค้า แรงงาน การลงทุน และการเคลื่อนย้ายเงินทุน ที่นั่นค่าแรง<br />
ถูกกว่าบ้านเรา อาจผลิตที่นั่นแล้วส่งมาขายบ้านเราเพราะภาษีเป็น 0 แล้ว<br />
สอง - บริษัทขนาดกลาง ถ้าไม่มีกำลังพอที่จะขยายไปต่างประเทศ<br />
ก็ต้องปรับขบวนการผลิต ลดต้นทุน ลดแรงงาน ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งถ้า<br />
ใช้วิธีนี้กันหมด ต่อๆ ไป คนก็ตกงานกันเพิ่มขึ้นอีก แต่มันก็เป็นวิธีอยู่รอด<br />
ของผู้ประกอบการ<br />
สาม - เพิ่มมูลค่าสินค้า ด้วยการสร้างแบรนด์ ไปแข่งในตลาดคุณภาพที่<br />
ไม่ต้องมาแข่งเรื่องราคา เรื่องนี้พูดง่ายแต่ทำยากนะ ธุรกิจเล็กๆ คิดค้าขาย<br />
อย่างเดียว ก็จะตายอยู่แล้ว จะให้ไปคิดเรื่องนวัตกรรม มันไม่ได้ พวกนี้ต้องเป็น<br />
หน้าที่ของรัฐ หรือหน่วยงานสถาบันต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัย ไปช่วยคิด<br />
แล้วมาส่งเสริมพวก SME ได้ใช้ฟรีๆ หน่วยงานสถาบันพวกนี้ต้องคิดเชิงรุก<br />
เดินออกไปบอก SME เลย ทำแบบนี้ถึงจะได้วัตถุดิบที่ดีขึ้นสินค้ามีคุณภาพ<br />
มากขึ้น และต้นทุนจะลดต่ำลง ซึ่งจริงๆ บ้านเราก็มีงานวิจัยออกมามากมาย<br />
แต่ส่วนใหญ่เอาไว้บนหิ้ง ไม่ได้เอามาใช้ สำคัญสุดรัฐต้องสนับสนุน เช่นเงินทุน<br />
เทคโนโลยี สาธารณูปโภค นี่คือการปรับตัวใหญ่ๆ ที่รัฐต้องเข้าไปดูแล<br />
Q<br />
A<br />
ผู้ประกอบการ ต้องปรับตัวอย่างไร?<br />
ภาคแรงงาน ต้องปรับตัวอย่างไร?<br />
แรงงาน รัฐบาล และบริษัท ต้องเข้ามาช่วยกันทั้ง 3 ฝ่าย<br />
ตัวแรงงานเอง ต้องปรับตัวเอง ต้องฝึกอบรม ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม<br />
เพื่อยกระดับความสามารถของตัวเองขึ้นมา<br />
บริษัท หรือโรงงาน ต้องจัดฝึกอบรมพนักงาน เพราะมันช่วยเรื่อง<br />
Productivity แม้ว่าจะเป็นการลงทุน แต่มันจะช่วยให้ผลิตสินค้าได้ดีขึ้น<br />
ขายได้มากขึ้น<br />
ภาครัฐ สถาบัน และมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็ต้องเข้ามาช่วย ประเทศไทย<br />
ต่อไปจะวางยุทธศาสตร์อย่างไร แรงงานที่จบมาต้องมีตัววัด ไม่ใช่ไปเรียน<br />
อะไรมาก็ได้ ได้ปริญญาตรีแล้วจะเอาค่าแรงสูงๆ มันไม่ใช่ มันต้องมีมาตรฐาน<br />
ที่ดี ต้องคุมคุณภาพ พอแรงงานออกมามีฝีมือทำงานได้จริง คนก็ยอมรับ ต้อง<br />
อย่าลืมว่าอีกไม่กี่ปีอาเซียนมันมาแล้ว ต่อไปแรงงานมันอาจเคลื่อนย้ายได้<br />
แรงงานฝีมือนี่เคลื่อนย้ายได้แล้วนะถ้าเรายกระดับตรงนี้ได้เราอาจเอ็กซ์พอร์ต<br />
แรงงานฝีมือเหล่านี้ของเราไปก็ได้ ไม่ใช่ส่งไปแต่แรงงานก่อสร้าง<br />
ลองเอาไปคิดเล่นๆ เป็นการบ้านนะ เมืองไทยจำเป็นต้องมีแรงงานขั้นต่ำ<br />
อีกหรือเปล่า วันนี้ทุกคนบอกแรงงานขาดแคลน ต้องเอาแรงงานต่างด้าวเข้ามา<br />
แล้วค่าแรงงานขั้นต่ำควรมีหรือเปล่า ถ้าการศึกษาบ้านเราได้มาตรฐาน<br />
คนที่จบออกมามีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับ ค่าแรงก็ต้องสูงอยู่แล้ว<br />
ผมว่านโยบายนี้ คนที่ได้ประโยชน์คือแรงงานต่างด้าว ไม่ใช่คนไทยนะ
10- -COVER STORY 11<br />
Social Network คืออะไร?<br />
Wikipedia (2009) ได้ให้ความหมาย (Social Network) ว่าเป็นโครงสร้าง<br />
สังคมที่ประกอบด้วยโหนด (Node) ต่างๆ เชื่อมต่อกัน ซึ่งแต่ละโหนด<br />
ที่เชื่อมโยงกันก็อาจมีความสัมพันธ์กับโหนดอื่นๆด้วย โดยอาจมีระดับของ<br />
ความสัมพันธ์กัน มีความซับซ้อน มีเป้าหมาย เครือข่ายสังคมออนไลน์<br />
(Social Network) จึงหมายถึงการที่มนุษย์สามารถเชื่อมโยงถึงกันทำความ<br />
รู้จักกัน สื่อสารถึงกันได้ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต ในรูปแบบการให้บริการ<br />
ผ่านเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงระหว่างบุคคลต่อบุคคลไปจนถึงบุคคลกับกลุ่มบุคคล<br />
โดยเว็บไซต์เหล่านี้จะมีพื้นที่ให้ผู้คนเข้ามาทำความรู้จักกันมีการให้พื้นที่<br />
บริการเครื่องมือต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการสร้างเครือข่าย<br />
สร้างเนื้อหาตามความสนใจของผู้ใช้ รวมทั้งการเชื่อมโยงบริการทาง<br />
อินเทอร์เน็ตที่ผู้ใช้คุ้นเคย เช่น e-mail, messenger, weblog หรือ<br />
web board blog เข้าไว้ด้วยกัน จนกลายเป็นชุมชนที่ทำให้ผู้ใช้<br />
สามารถแชร์ข้อมูล ตัวตน และทุกๆ สิ่งที่สนใจ เชื่อมโยงเข้ากับ<br />
คนในเน็ตเวิร์คด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งเมื่อเกิดความสนใจก็ทำการ<br />
เชื่อมต่อกลับ ซึ่งนอกจากติดต่อกับเพื่อนโดยตรงแล้วยังสามารถ<br />
ทำการติดต่อกับเพื่อนของเพื่อนได้อีก<br />
กล่าวได้ว่าปัจจุบันนี ้ในโลกอินเทอร์เน็ตรูปแบบของเว็บไซต์ที ่เป็น<br />
Social Network ได้มีเพิ่มมากขึ้นอย่างมากมายซึ่งคนส่วนใหญ่จะเรียก<br />
เว็บไซต์เหล่านี้ว่า “Social Media” หรือเว็บไซต์ที่สามารถ “สร้าง”<br />
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเพื่อนได้ผ่านเว็บไซต์ในรูปแบบเชื่อมโยง<br />
เป็นโครงข่ายจาก “เพื่อนสู่เพื่อน”ตัวอย่างเว็บไซต์เช่น www.hi5.com,<br />
www.facebook.com, www.twitter.com เป็นต้น<br />
อิทธิพล<br />
Social Network<br />
ด้านมืดVS ด้านสว่าง<br />
กระแสเครือข่ายสังคมออนไลน์บนโลกอินเทอร์เน็ต<br />
หรือ Social Network กำลังเฟื่องฟูอย่างมากในประเทศไทย<br />
การทำ Planking หรือท่าแกล้งตาย ด้วยการนอนคว่ำหน้าลงกับพื้น<br />
โดยมีแขนทั้งสองข้างแนบข้างลำตัว ในที่สาธารณะ พร้อมทั้งมีการถ่ายภาพ<br />
และนำไปแชร์ในสังคมออนไลน์ เริ่มต้นที่รัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย<br />
ในปี 2009 แต่มาฮิตระเบิด และระบาดไปทั่วโลก รวมทั้งเมืองไทย<br />
ราวต้นปีนี้นี่เอง<br />
เดือนพฤษภาคม 2554 เด็กหนุ่มอายุ 20 ปี จากเมืองบริสเบน<br />
ประเทศออสเตรเลีย ต้องตกลงมาตาย เพราะทำท่า planking บนระเบียงชั้น 7<br />
หรือแม้แต่สามเณรไทยที่กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่ง หลัง Planking<br />
ด้วยชุดสงฆ์จนชาวพุทธรับไม่ได้<br />
ขณะที่อีกมุมหนึ่งของโลก สองสาวชาวไต้หวัน คาร์เรน และจินหยู<br />
กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ดวงใหม่ หลังโพสท่า planking เพื่อช่วยเหลือสังคม<br />
รณรงค์ให้คนมาสนใจชะตากรรมของสุนัขเร่ร่อน และโปรโมทสถานที่<br />
ท่องเที่ยวของไต้หวัน<br />
ทั้งสองเหตุการณ์สะท้อนอิทธิพล Social Network ที่มีทั้ง ด้านมืด<br />
และด้านสว่าง ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้<br />
อิทธิพลแห่งโลกเทคโนโลยีที่กำลังคืบคลานเข้าสู่ชีวิตของคุณ กำลัง<br />
เคาะประตูบ้านเรียกคุณ โดยไม่มีทางที ่คุณจะหนีมันพ้น นอกจากเปิดประตู<br />
รับมันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และต้องมองให้เห็นด้านมืดที่ซ่อนเร้น<br />
อยู่หลังแสงสว่างให้พบ ก่อนตกเป็นเหยื่อ<br />
พร้อมๆ กับการลดราคาลงของบรรดาฮาร์ดแวร์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์<br />
สำคัญที่ทำให้การเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์ทำได้ง่ายดายขึ้น<br />
โดยเฉพาะเทรนด์สมาร์ทโฟนที่ผู้ผลิตยังคงแข่งขันกันลดราคา<br />
ไม่หยุด<br />
ปัจจุบันมีคนไทยใช้งาน Facebook และ Twitter ทะลุ<br />
7 ล้านรายไปแล้ว และแนวโน้มยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง<br />
ทั้งกลุ่มนักเรียนนักศึกษา และคนทำงาน เห็นได้จากพฤติกรรม<br />
ผู้บริโภคที่มีการปรับการใช้ชีวิตประจำวัน โดยให้ Social<br />
Network เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการติดต่อสื่อสารและรับข้อมูล<br />
ต่างๆ เพิ่มขึ้น ประกอบกับการพัฒนาเทคโนโลยีที่สนับสนุน<br />
ให้การใช้งานระบบ Social Network ให้มีความสะดวก<br />
และรวดเร็วขึ้นนั่นเอง<br />
แน่นอนว่าการเติบโตที่รวดเร็วนี้ ก็เนื่องเพราะประโยชน์<br />
ของ Social Networking นั้นอเนกอนันต์นานัปการ<br />
ทำให้กระแสความแรงของ Social Media อย่าง Facebook,<br />
Twitter, YouTube, Hi5 และอีกหลายร้อยพันเว็บไซต์ยังคงพุ่ง<br />
ทะยานแบบฉุดไม่อยู่ กลายเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลทั้งต่อการใช้ชีวิต<br />
ประจำวันของผู้คน สังคม และกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของ<br />
นักการตลาดยุคใหม่ ที่ใช้มันเพื่อประโยชน์ทางการค้า<br />
...หรือแม้กระทั่งนักการเมือง ที่ใช้มันเพื่อหาเสียง<br />
ทั้งนี้มีผู้พยายามแบ่งประเภท หรือหมวดหมู่การให้บริการเว็บไซต์ Social Media ออกเป็นกลุ่มๆ<br />
ตามคุณลักษณะ และคุณสมบัติการใช้งาน ได้แก่<br />
1. ประเภทเผยแพร่ตัวตน (Identity Network)<br />
เว็บไซต์เหล่านี้ใช้สำหรับนำเสนอตัวตนและเผยแพร่เรื่องราวของตนเองทาง<br />
อินเทอร์เน็ต สามารถเขียน blog สร้างอัลบั้มรูปของตัวเอง สร้างกลุ่มเพื่อน<br />
และสร้างเครือข่ายขึ้นมาได้ ตัวอย่างเช่น facebook , hi5, My Space<br />
เป็นต้น<br />
2. ประเภทเผยแพร่ผลงาน (Creative Network)<br />
เราสามารถใช้เว็บไซต์เหล่านี้ในการนำเสนอผลงานของตัวเองได้อย่าง<br />
ง่ายดายไม่ว่าจะเป็นวีดีโอรูปภาพ หรือเสียงเพลง อย่างเช่นคลิปวิดีโอ Canon<br />
Rock ของเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่เอากีต้าร์มาโซโล่เพลงคลาสสิคให้เป็นเพลงร ็อค<br />
โดยถ่ายทำในห้องนอนของตัวเองอย่างง่ายๆ และได้นำไปเผยแพร่ผ่านทาง<br />
YouTube จนโด่งดังไปทั่วโลก เป็นตัวอย่างที่<br />
เห็นชัดเจนว่าเว็บไซต์ประเภท VDO Sharing นี้<br />
สามารถเผยแพร่ผลงานได้ดี สำหรับช่างภาพ<br />
คนไทยหลายคนก็มักจะนิยมใช้ Multiply ใน<br />
การนำเสนอผลงานภาพถ่ายของตัวเอง มีการ<br />
แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ติชมรูปภาพ และยัง<br />
ใช้เป็นอัลบั้มภาพออนไลน์เพื่อให้คนที่กำลังหา<br />
ช่างภาพอยู่สามารถเข้ามาดูผลงาน และติดต่อ<br />
จ้างช่างภาพนั้นๆ ได้โดยตรง ซึ่งเริ่มกลายเป็นรูปแบบของธุรกิจบ้างแล้ว<br />
ตัวอย่างเช่น YouTube, Yahoo VDO, Google VDO, Flickr, Multiply<br />
3. ประเภทความสนใจตรงกัน (Interested Network)<br />
มีลักษณะของเว็บไซต์ที่มีการรวมกันของสมาชิกซึ่งมีความสนใจที่ตรงกัน<br />
หรือสนใจในเรื่องเดียวกัน ตัวอย่างเช่น del.icio.us ซึ่งเป็น Online<br />
Bookmarking หรือ Social Bookmarking โดยมีแนวคิดที่ว่า แทนที่เราจะ<br />
Bookmark เว็บที่เราชอบเก็บไว้ในเครื่องของเราคนเดียว ก็เปลี่ยนรูปแบบ<br />
ให้สามารถแบ่งให้ผู้อื่นดูได้ด้วย และสามารถรู้ได้ด้วยว่าเว็บไซต์ใด<br />
ที่ได้รับความนิยมมาก เป็นที่น่าสนใจ โดยดูได้จากจำนวนตัวเลขที่เว็บไซต์นั้น<br />
ถูก Bookmark เอาไว้จากสมาชิกคนอื่นๆ นั่นเอง, duocore.tv เว็บที่สมาชิก<br />
สามารถให้คะแนนเรื่องเกี่ยวกับไอทีที่ชื่นชอบได้ มีจุดเด่นคือการนำเสนอ<br />
รายการ Online TV โดยสองพิธีกรอารมณ์ดีที่จัดรายการกันแบบHome VDO
12- -COVER STORY 13<br />
ชีวิต So Net<br />
4. ประเภทร่วมกันทำงาน (Collaboration Network)<br />
มีลักษณะของเว็บไซต์ที่มีการทำงานร่วมกันหรือมีการใช้ข้อมูล<br />
ร่วมกันในเรื่องเดียวกัน ตัวอย่างเช่น WikiPedia สารานุกรมที่<br />
อนุญาตให้ใครก็ได้เข้ามาช่วยกันเขียน,Google Maps สร้างแผนที่<br />
ของตัวเอง หรือแชร์แผนที่ให้คนอื่นได้เห็น ด้วยการปักหมุด<br />
เอาไว้พร้อมกับข้อมูล<br />
5. ประเภท Peer to Peer (P2P) P2P<br />
เป็นการเชื่อมต่อกันระหว่างClient (เครื่องผู้ใช้,เครื่องลูกข่าย)<br />
กับ Client โดยตรง โปรแกรม Skype จึงได้นำหลักการนี้มาใช้<br />
เป็นโปรแกรมสนทนาผ่านอินเทอร์เน็ต และก็มี BitTorrent เกิดขึ้น<br />
มาเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดการแบ่งปันไฟล์ต่างๆ ได้อย่าง<br />
กว้างขวาง และรวดเร็ว<br />
6. ประเภทโลกเสมือน (Gaming / Virtual<br />
โลกเสมือนในที่นี้คือเกมส์ออนไลน์ตัวอย่างเช่น Second<strong>Life</strong><br />
เป็นโลกเสมือนจริง สามารถสร้างตัวละครโดยสมมุติให้เป็นตัว<br />
เราเองขึ้นมาได้ มีการใช้ชีวิตอยู่ในเกมส์ อยู่ในชุมชนเสมือน<br />
(Virtual Community) สามารถซื้อขายที่ดิน และหารายได้จาก<br />
การทำกิจกรรมต่างๆ ได้<br />
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากจำนวนนับร้อยนับพันเว็บ Social<br />
Network ที่ต่างพยายามคิดรูปแบบสื่อสังคมออนไลน์ที่แตกต่าง<br />
ออกมาแข่งขันกัน ด้วยการสร้างกลุ่มสังคมที่คิด และชอบอะไร<br />
ในทิศทางเดียวกัน<br />
จากการสำหรับพฤติกรรมผู้บริโภคคนไทยพบว่า พฤติกรรมของ<br />
ผู้บริโภคจะใช้เวลาบนโลกอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น และเลือกที่จะ<br />
เสพสื่อออนไลน์แทนสื่อดั้งเดิม ทำให้บทบาทของ Social Media<br />
ในช่วงนี้มาแรง และกลายเป็นกระแสหลักของการตลาดออนไลน์ใน<br />
ปัจจุบัน<br />
...แล้วคนไทยเข้าไปทำอะไรในสื่อสังคมออนไลน์!?<br />
กลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 27.49 บอกว่าเปิดใช้งาน Social<br />
Network วันละหลายครั้งรวมแล้วต่อวันไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมง<br />
ขณะที่ร้อยละ 18.71 ใช้งาน Social Network วันละ 1-2 ชั่วโมง และมี<br />
กลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามถึงร้อยละ16.96 ที่เปิดใช้งานSocial Network ทั้งวัน ในจำนวนนี้ ร้อยละ 11.7 ระบุว่า ไม่เคยใช้บริการเลย<br />
สำหรับพฤติกรรมที่พบบ่อยที่สุดใน Social Network นั้น กลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 33.53 ระบุว่า<br />
ใช้ในการพูดคุยกับเพื่อน และคนรู้จักบ่อยที่สุด นอกจากนี้ ร้อยละ 32.34 ใช้เพื่ออัพเดตข้อมูลข่าวสารในกลุ่มเพื่อนๆ ร้อยละ<br />
11.98 ใช้เพื่อตอบความคิดเห็นของกลุ่มเพื่อนๆ และมีกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 11.38 ที่ใช้ Social Network เพื่อเล่นเกมส์<br />
และกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 4.19 ใช้เพื่ออัพโหลดรูปสวยๆ ให้เพื่อนๆ ได้ดูนั่นเอง<br />
เมื่อสังคมขยายขนาดใหญ่ขึ้นในโลกไซเบอร์ Social Network จึงกลายเป็น Mass Media<br />
ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย สุดแต่จินตนาการจะพาไป<br />
•Social Commerce<br />
เมื่อมีคนอยู่รวมกันมากๆก็ค้าขายเสียเลย แค่ใช้ Social network site<br />
ต่างๆ ที่ใช้อยู่ไม่ว่าจะ Facebook หรือ twitter เราก็สามารถประกาศขายของ<br />
ได้แล้ว นอกจากนั้นไม่พอยังมีเพื่อนๆ ที่เห็นแล้วช่วยกันบอกต่อให้อีกด้วย<br />
ไม่มีต้นทุนหน้าร้าน งานนี้มีแต่รวย หรือจะไปใช้บริการ Groupon.com<br />
การเสนอขายอะไรสักอย่างแบบดีลกลุ่ม กล่าวคือถ้ามีคนจำนวนหนึ่งมาลงชื่อ<br />
ซื้อครบจำนวนที่ต้องการก็จะเกิดการซื้อขายขึ้นแต่ในทางตรงกันข้ามถ้าจำนวน<br />
ไม่ถึง ก็จะไม่มีใครสักคนได้ดีลนั้นไป สำหรับเมืองไทยที่มีบริการคล้ายๆ<br />
กันให้เห็นอย่าง Sanook Coupon และ Ensogo ที่ให้บริการขายคูปอง<br />
สำหรับห้องพักโรงแรม ร้านอาหาร และบริการต่างๆ<br />
•Wisdom of Cloud<br />
ถ้าการพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์คือการเพิ่มพูนความรู้ถ้าอย่างนั้น<br />
Social Network ก็คือห้องความรู้ขนาดใหญ่ดีๆ นี่เอง ที่ผ่านๆ มา<br />
นักคอมพิวเตอร์จะให้ความสนใจกันมากกับคำว่า Cloud Computing หรือ<br />
การประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่อง แต่เทรนด์ในปี 2011 นี้<br />
คือการถาม และตอบ โดยคนหลายๆ คน ที่สำคัญเรากำลังพูดถึงคน<br />
จำนวนมากนับร้อยล้านคนทั่วโลกที่กำลังถาม และตอบคำถามเพื่อน<br />
ในสิ่งที่สังคมกำลังสนใจ สิ่งที่ใครๆ ก็อยากรู้ ...โอ้....มายก็อด!?<br />
•Branded Content<br />
ด้านสว่าง<br />
สินค้า และบริการหลายตัวเริ่มใช้<br />
Social Media มาแอบโฆษณา<br />
แบบเนียนๆ หรือโฆษณาแฝง ที่แรง<br />
และต้นทุนต่ำ ว่ากันว่าหากคิดได้<br />
เนียนจริง แจ๋วจริง อิทธิพลมันอาจ<br />
ทำให้เกิดกระแสความรู้สึกผูกผัน หรือเกลียดชัง brand ใด brand หนึ่ง<br />
เลยทีเดียว น่ากลัวชะมัด แต่นักการตลาดก็ไม่พลาดที่จะใช้มันเป็นเครื่องมือ<br />
•Social Relationship Management (SRM)<br />
องค์กรธุรกิจที ่เคยบอกว่า CRM คือหัวใจ วันนี ้บัญญัติศัพท์ใหม่ SRM หรือ<br />
Social Relationship Management ขึ้นมา เพื่อบริหารจัดการความสัมพันธ์<br />
ลูกค้าผ่าน Social Network ซึ่งมีกระบวนการติดตามข้อมูลเชิงปริมาณ<br />
อารมณ์ และเทรนด์ต่างๆ ที่ผู้บริโภคกำลังสนใจเพื่อช่วยองค์กรธุรกิจในการ<br />
สร้างแบรนด์ เพิ่มยอดขาย ปรับปรุงการให้บริการ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า<br />
หรือบริการ รวมทั้งสร้างความแตกต่างด้านกลยุทธ์ธุรกิจ<br />
จะว่าไปนักการเมืองไทยก็เริ่มหันมาใช้ Social Network เพื่อโฆษณา<br />
นโยบายพรรค และฟังเสียงตอบรับประชาชน เพื่อเรียกคะแนนนิยมกันเพิ่ม<br />
มากขึ้น นับเป็น SRM อย่างหนึ่งก็ไม่ผิดนัก เพราะวันนี้ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็ต้อง<br />
ใช้การตลาดนำถึงจะประสบความสำเร็จ แม้แต่การเมืองก็ตาม<br />
นี่เป็นเพียงไม่กี่ตัวอย่างของข้อดี Social Network ถ้ารู้จักนำไปใช้<br />
อย่างสร้างสรรค์ และเป็นประโยชน์<br />
VS<br />
ด้านมืด<br />
อันโตนิโอ กรัมชี(Antonio Gramsci) มาร์กซิสต์ชาวอิตาเลี่ยนกล่าวเอาไว้ว่า<br />
“การทำสงครามยึดพื้นที่ทางความคิดของคน ถ้าสามารถเอาชนะสงครามนี้<br />
เหนือพื้นที่ประชาสังคมได้สำเร็จการครองอำนาจนำก็จะสำเร็จได้อย่างสมบูรณ์<br />
และยั่งยืน “กลไกการครองอำนาจนำ” นั้น เปรียบได้กับการทำหน้าที่เป็น<br />
สื่อกลางเพื่อถ่ายทอดอุดมการณ์ หรือระบบความคิด ความรู้ ความเชื่อ<br />
ค่านิยม ชุดหนึ่งๆ ตามที่กลุ่มผู้ดำเนินการสร้างการครองอำนาจนำต้องการ<br />
เพื่อสื่อไปถึงประชาชนในชนชั้นต่างๆเหนือ “พื้นที่ประชาสังคม” เพื่อให้เกิด<br />
ความรู้สึกร่วมในการเห็นพ้องและยินยอมที่จะปฏิบัติตาม(Consent) ความ<br />
ต้องการของชนชั้นผู้ถ่ายทอดอุดมการณ์<br />
...ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างมากหากผู้ที่<br />
ครอบครองอำนาจนำ นำพาประชาชน<br />
ในสังคมไปสู่ด้านมืด อันโตนิโอ กรัมชี<br />
นั้นใช้ชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1891-1937<br />
ซึ่งยังไม่มีเทคโนโลยีเช่น ปี 2011 ที่ Social<br />
Network กำลังครองโลก<br />
เด็กแว้นเมืองอุดร ที่เป็นข่าวหน้าหนึ่ง ด้วยการรวมกลุ่มไล่ทำร้ายผู้คน<br />
โดยไม่กลัวความผิดก็ติดต่อสื่อสารผ่านFacebookไปจนถึงเหตุจลาจลที่อังกฤษ<br />
ซึ่งนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน นักการเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สื่อมวลชน<br />
นักวิเคราะห์ ต่างกล่าวยอมรับว่าต้นเหตุที่สำคัญมาจาก Social Media<br />
ที่เป็นตัวการสำคัญทำให้เกิดการปลุกระดม โน้มน้าวความคิด กระทั่งเกิด<br />
เป็นความปั่นป่วนจนทำให้เกิดการก่อความรุนแรงขึ้น<br />
นี่คือด้านมืดที่น่ากลัวยิ่ง ของ Social Network เพราะเมื่อสังคม<br />
เกิดขึ้นก็ย่อมต้องมีชนชั้นผู้นำ และผู้ตามเกิดขึ้น<br />
ด้านความปลอดภัยของข้อมูล ก็เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังอย่างมาก<br />
เนื่องจากช่องทางการสื่อสารประเภทนี้มีความอ่อนไหวสูง และเมื่อปรากฏ<br />
ข้อความ ภาพ เสียง หรืออะไรก็แล้วแต่เข้าไปในโลกออนไลน์แล้ว<br />
เราไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ ข้อความที่ถูกโพสต์ลงไปจะสามารถ<br />
กระจายไปทั่วโลกภายในระยะเวลาเพียง 6 วัน ถ้าเป็นเรื่องที่ดีกับแบรนด์<br />
หรือองค์กรย่อมเป็นเรื่องที่ดี แต่หากเป็นประเด็นที่เป็นลบ ผลที่ตามมา<br />
จะกลับกัน และจะนำมาซึ่งความเสียหายมหาศาล ฉะนั้นในการคัดเลือก<br />
ประเด็นที่สื่อสารจึงต้องระมัดระวังอย่างมาก<br />
รวมทั ้งบุคคลธรรมดาอย่างเราๆ การโพสต์ภาพต่างๆ โดยไม่ระมัดระวัง<br />
อาจทำให้อาชญากรไซเบอร์สามารถต่อจิ๊กซอว์ และสืบหาข้อมูล<br />
นำไปสู่การติดตามตัวคนหนึ่งคนใดจากโลกไซเบอร์ไปสู่การติดตาม<br />
และทำร้ายในโลกจริงก็เป็นไปได้ ยิ่งทุกวันนี้อาชญากรในโลกไซเบอร์มีความ<br />
เก่งมากขึ้น การที่จะเข้าไปล้วงข้อมูลส่วนตัวต่างๆของเป้าหมายในเครือข่าย<br />
สังคมทำได้ง่ายมาก เนื่องจากผู้ใช้ Social Network ไม่ระวังตนเอง และ<br />
ไม่ป้องกันการเข้าถึงข้อมูลอย่างดีพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของ<br />
รหัสส่วนตัวที่กลายเป็นเรื่องง่ายที่ผู้ไม่หวังดีสามารถสืบเสาะได้ง่าย<br />
อย่าปล่อยให้ Social Network<br />
ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเอง<br />
ทำร้ายสังคมบนโลกจริง<br />
และทำร้ายประเทศชาติที่เรารัก
14- -EARTH 15<br />
STORY “: ดร.จุฬาลักษณ์ ชาญกูล<br />
ก่อนหน้านี้สักสิบปี หากพูดถึงคำว่า ภาวะโลกร้อน<br />
(Global Warming) ความกระตือรือร้น หรือความใส่ใจของ<br />
คนทั่วไปเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน คงยังไม่เป็นกระแสที่ชัดเจนนัก<br />
แต่ปัจจุบันปัญหาวิกฤติ และความแปรปรวนของธรรมชาติ กลายเป็น<br />
ปัญหาใหญ่ที่ทำให้คนเริ่มหันกลับมาตระหนักถึงความเป็นไป<br />
ของโลกใบนี้กันมากขึ้น<br />
“<br />
ก็โลกมันร้อน<br />
GLOBAL<br />
WARMING<br />
“ภาวะโลกร้อน” หรือ global warming เป็นสภาวะที ่อุณหภูมิโดยเฉลี ่ย การย่อยสลายของซากฟอสซิลในการผลิตน้ำมัน และถ่านหิน การปล่อย CFC<br />
ของโลกเพิ่มสูงขึ้นอันเนื่องมาจากปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นอย่าง จากผลิตภัณฑ์ทำความเย็น และอุตสาหกรรมการผลิตสี หรือแม้กระทั่ง<br />
รวดเร็ว ส่งผลให้ความร้อนที่ได้รับจากดวงอาทิตย์ที่เข้ามายังโลก ไม่สามารถ บางสิ่งอย่างที่เราคาดไม่ถึงว่าจะเป็นสาเหตุของก๊าซเรือนกระจก แต่กลับ<br />
สะท้อนกลับออกไปได้<br />
เป็นสาเหตุหลักๆ ในการปล่อยก๊าซมีเทนออกสู่ชั้นบรรยากาศอีกเช่นกัน<br />
แท้ที่จริงแล้ว “ก๊าซเรือนกระจก” เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตบนโลก เช่น การหมักต่างๆ, การทับถมของแหล่งขยะ, นาข้าวที่มีน้ำท่วมขัง,<br />
เนื่องเพราะก๊าซเรือนกระจกเป็นก๊าซที่มีคุณสมบัติในการดูดซับคลื่น รังสีความร้อน การย่อยสลายตัวของมูลวัว ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ก่อให้เกิดการหายใจแบบไม่ใช้<br />
หรือรังสีอินฟราเรด เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ก๊าซมีเทน (CH4) ออกซิเจนของแบคทีเรีย และปล่อยก๊าซมีเทนออกมาในปริมาณมหาศาล<br />
ก๊าซคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFC; มนุษย์สังเคราะห์ขึ้น ไม่มีตามธรรมชาติ) ขณะนี้ทั่วโลกกำลังตื่นตัวในการพยายามที่จะลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก<br />
และก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O)<br />
ที่ปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศ โดยการทำพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol)<br />
ก๊าซเหล่านี้จะกระทำตัวเสมือนเป็นกระจกที่ยอมให้รังสีคลื่นสั้นส่องผ่าน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 6 ชนิด ได้แก่<br />
มายังพื้นผิวโลก และดูดซับเอารังสีคลื่นยาวช่วงอินฟราเรดที่แผ่ออกจากผิวโลก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ก๊าชมีเทน (CH4) ก๊าชไนตรัสออกไซด์<br />
และคายพลังงานความร้อนให้กระจายอยู่ภายในชั้นบรรยากาศของโลก ก๊าซ (N2O) ก๊าชไฮโดรฟูโอคาร์บอน (HFCs) ก๊าชเปอร์ฟลูโรคาร์บอน (CFCs)<br />
เหล่านี้จึงมีความสำคัญอย่างมากต่อการรักษาระดับอุณหภูมิของโลก หาก และก๊าชซัลเฟอร์เฮกซ่าฟลูโอโรด์ (SF6) ของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว<br />
ปราศจากก๊าซเรือนกระจกโลกจะหนาวเย็นจนสิ่งมีชีวิตอยู่อาศัยไม่ได้ แต่ใน ในระดับประชาชน คนทั่วไป เราเองก็สามารถช่วยกันลดภาวะโลกร้อน<br />
ปัจจุบันเมื่อแวดวงอุตสาหกรรมเจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ปริมาณก๊าซ เรือนกระจก ได้หลายวิธี วิธีโดยอ้อม เช่น การปลูกต้นไม้ เพื่อช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์<br />
เพิ่มมากขึ้นทำให้ความร้อนที่ถูกเก็บกักไว้ มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสาเหตุทั้งหลายแต่มันจะง่ายกว่าถ้าหากเราช่วยกันลดโลกร้อน ด้วยวิธีโดยตรง เช่น<br />
ล้วนมาจากการประกอบกิจกรรมของมนุษย์ทั้งสิ้น เช่น การปล่อย CO2 มาจาก<br />
• ลดการใช้พลาสติก ลองดูข้อมูลที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิต และผลกระทบ<br />
ต่อสิ่งแวดล้อมในตาราง*<br />
ถุงพลาสติก<br />
ถุงกระดาษ<br />
ถุง 1 ตัน = น้ำมันดิบ 11 บาร์เรล<br />
การนำกลับมารีไซเคิล 1%<br />
1 ถุง = มลพิษทางอากาศ 500 กรัม<br />
(น้อยกว่าถุงกระดาษ 80% )<br />
3% ลอยอยู่ในแหล่งน้ำและทะเล<br />
สัตว์กินเข้าไปแล้วก็จะตาย<br />
ถุง 1 ตัน = ต้นไม้ 17 ต้น<br />
การนำกลับมารีไซเคิล 20%<br />
1 ถุง = มลพิษทางอากาศ 2.6 กิโลกรัม<br />
*ข้อมูลจากหนังสือ The Green Guide เพราะว่าโลกร้อนมันจี๊ด!<br />
• ใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทแก้ว แก้วเป็นวัสดุประเภทเดียวที่คุณสมบัติ<br />
หลังผ่านการรีไซเคิลไม่เปลี่ยนแปลง และสามารถรีไซเคิลได้เกือบ 100เปอร์เซ็นต์<br />
• กินแต่พอดี ซื้อแต่พอเพียง จะเห็นว่าในขั้นตอนการผลิตข้าว และการ<br />
เลี้ยงสัตว์ มีส่วนทำให้เกิดก๊าซมีเทนด้วย และเมื่ออาหารเหลือทิ้งและเกิดการ<br />
หมักหมม ก็ยังเป็นอีกส่วนหนึ่งในการทำให้เกิดก๊าซมีเทนด้วยเช่นกัน การบริโภค<br />
แต่พอดี ทำให้ผู้ผลิตลดการผลิตให้พอดีกับจำนวนผู้ซื้อ เมื่ออัตราการผลิตลดลง<br />
การปล่อยของเสียสู่สิ่งแวดล้อมก็จะลดลงด้วย จำเอาไว้เลยว่า “ตักอาหาร<br />
ทานให้หมด”<br />
• ส่งเสริม/สนับสนุนการบริโภคพืชพื้นถิ่น อาหารพื้นถิ่น<br />
การใช้ผลิตภัณฑ์พื้นถิ่น จะช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์<br />
แหล่งที่มา : http://live-the-solution.com/mindmaps/<br />
เนื่องจากการย่อยสลายเชื้อเพลิงในการขนส่ง<br />
และยังมีอีกมากมายหลายวิธี ที่เป็นสิ่งเล็กน้อยที่เรามักมองข้าม แต่ถ้าเรา<br />
ทำมันจะสามารถช่วยลดปัญหาได้ และเป็นวินัยอันดีที ่จะติดตัวเราไป เช่น<br />
ใช้ยางลบให้หมดก้อน ใช้ดินสอให้หมดแท่ง ใช้ผลิตภัณฑ์รีฟิลบ้าง ิดหน้าต่าง เป<br />
ปิดแอร์ในวันที่ไม่ร้อน เลิกติด Facebook ปิดคอมพิวเตอร์ ไปออกกำล ังกายบ้าง<br />
และอีกมากมายที่มันไม่ได้หนักหนาสาหัส หรือว่าต้องฝืนใจทำเท่าไรนัก<br />
เพียงแค่อาจจะต้องตั้งสติก่อนบริโภคบ้างเท่านั้นเอง<br />
ปิดท้ายแนวทางการทำดีเพื่อโลกสวยใบนี้ด้วย mind map ที่จะช่วยบอก<br />
108 วิธี ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ของเราเพื่อช่วยประหยัดพลังงาน<br />
และสามารถทำได้ในมหาวิทยาลัยของเรา<br />
ขอชี้ชวนทิ้งท้ายไว้อีกนิด ถ้าใครเคยได้ดูหนังหรือได้อ่านหนังสือ เรื่อง<br />
An Inconvenience Truth แต่งโดย อัล กอร์ ซึ่งเป็นเรื่องราวเหตุการณ์จริง<br />
เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของโลกที่กำลังเผชิญอยู่ ว่าด้วยเปลี่ยนแปลงของสภาพ<br />
อากาศโลก ผลงานของเขาได้ชี้บอกข้อมูลที่ว่าในเวลานี้ มนุษยชาติต้อ งเผชิญหน้า<br />
กับอุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้น หรืออาจต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่จะติดตามมา<br />
เชื่อแน่ว่าคนที่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้คงได้ฉุกคิดขึ้นมาบ้าง ถึงภัยพิบัติ<br />
และหายนะที่กำลังจะตามมาในไม่ช้า และเริ่มแล้วที่จะหยุดก่อไฟให้โลกร้อนขึ้น<br />
เพราะฉะนั้นแนะนำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือ อ่านเถอะค่ะ<br />
รับรองว่า ขนแขน stand up ขนหัวลุกยิ่งกว่าหนังสยองขวัญซะอีก ถ้าคุณ<br />
ได้เห็นอนาคตของโลกในอีกไม่ช้านี้
16- -House 17<br />
STORY : ดรรชนี ต.ตระกูล<br />
อิทธิพลแห่งสี<br />
เทคโนโลยีสีปลอดมลพิษ<br />
ก่อนหน้านี้ คุณผู้อ่านบางท่านอาจได้ยินข่าวนักเรียนในโรงเรียน<br />
แห่งหนึ่งในต่างประเทศ ต้องเข้าโรงพยาบาลกันโกลาหล ผลสืบเนื่องมาจาก<br />
สีทาผนังของโรงเรียนมีส่วนผสมของสารตะกั่วในปริมาณที่สูงเด็กนักเรียน<br />
ได้สัมผัส สารตะกั่วติดมือ จนกระทั่งเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ<br />
ซึ่งสาเหตุทั้งหมดนี้เกิดจากสารพิษที่ผสมอยู่ในเนื้อสีที่นำมาใช้ทาผนัง<br />
อาคาร อันเกิดมาจากความไม่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม<br />
เพราะในปัจจุบันบริษัทผลิตสีทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ต่างพัฒนา<br />
นวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม<br />
และการประหยัดพลังงาน เพื่อสร้างสมดุลให้กับโลกที่เราอาศัยอยู่<br />
ในวันที่ทรัพยากรธรรมชาติ เริ่มน้อยลงทุกวัน กับภาวะโลกร้อนที่เพิ ่มขึ้น<br />
เรื่อยๆ ทุกปี<br />
เรื่องของสีที่หลากสีสัน ยังคงซ่อนเรื่องราวที่หลากหลายให้คิดได้ไม่รู้จบ<br />
สีมีอิทธิพลกับมนุษย์เราและมีผลต่อการพัฒนาการด้านความคิดสร้างสรรค์กระบวนการเรียนรู้<br />
ตั ้งแต่เริ ่มเกิดจนถึงวัยชรา<br />
สีอยู่กับชีวิตประจำวันของเราตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นสีสันเสื้อผ้ารถยนต์<br />
เครื่องใช้ ของตกแต่ง และอื่นๆ อีกมากมาย รวมไปถึงสีทาบ้านที่คุณพักอาศัยหลับนอน<br />
ในยามที่ร่างกายต้องการพักผ่อน และต้องการใช้ชีวิตแบบส่วนตัว<br />
เลือกใช้สีอย่างไรให้เหมาะสม<br />
สีที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปนั้น มีหลากลายประเภทให้เลือกอย่างเหมาะสมกับ<br />
อาคารบ้านพักอาศัย โดยแยกประเภทใหญ่ๆ 2 ส่วน คือ สีทาภายนอกอาคาร<br />
และสีทาภายในอาคาร และในแต่ละประเภทก็จะมีแบ่งไปอีก คือ สีสำหรับ<br />
ทาอาคารใหม่ และสีสำหรับทาอาคารเก่า ซึ่งในอดีตจะต้องล้างสีเก่า<br />
ด้วยน้ำยา และทาสีรองพื้นปูนเก่าสำหรับอาคารเก่า แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีสี<br />
ได้พัฒนาให้สามารถทาทับสีเก่าได้เลยก็มีให้เลือกใช้เช่นกัน แต่ขอแนะนำว่า<br />
น่าจะเหมาะกับสีทาผนังเดิมที่ยังคงสภาพดีไม่ร่อน หรือพื้นผิวสีกะเทาะขรุขระ<br />
มากเกินไป เพราะสีที่สามารถทาทับสีเก่าได้เลย เหมาะสำหรับเจ้าของบ้าน<br />
ที่เบื่อสีเดิมๆ อยากเปลี่ยนสีผนังใหม่มากกว่าการซ่อมแซมสีเดิมให้สวยงาม<br />
เนื่องจากปัจจุบันเรากล้าเลือกใช้สีที่มีสีสันมากขึ้น จากเดิมที่ทาผนังอาคาร<br />
บ้านเรือนก็ไม่พ้นสีขาว สีครีม ในสไตล์สีพื้นๆ เรียบๆ และเทคโนโลยี<br />
การผสมสีในปัจจุบันก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่คุณไปที่ศูนย์ผสมสีตามร้านวัสดุ<br />
ก่อสร้าง-ร้านขายสี เลือกเฉดสีที่ต้องการตามตัวอย่างสีที่มีให้ ทางศูนย์ฯ<br />
ก็จะทำการผสมสีด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ไม่กี่นาทีคุณก็จะได้สีสวยถูกใจ<br />
ไปให้ช่างสีทาบ้านคุณได้ทันที<br />
นอกจากประเภทของสีหลักๆ ที่กล่าวไปแล้ว ทางเลือกของการใช้สีสำหรับ<br />
คุณที่ต้องการประหยัดพลังงาน ปัจจุบันบริษัทผลิตสีได้คิดค้นนวัตกรมของสี<br />
ที่มีส่วนในการประหยัดพลังงาน สะท้อนความร้อนไม่ให้เข้ามาภายในบ้าน<br />
หรือกรองความร้อน ลดอุณหภูมิที่แสนร้อนแรงจากภายนอกไม่ให้เข้าสู่<br />
ภายในอาคาร ลดการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศไม่ต้อง<br />
ทำงานหนักเป็นการประหยัดเงินในกระเป๋าคุณได้อีกทาง<br />
อีกเหตุผลในการเลือกใช้สีที่ไม่ควรมองข้าม คือสีที่มีคุณสมบัติ<br />
เหมาะกับพฤติกรรมการใช้งานภายในบ้าน เพื่อให้อาคารบ้านพักอาศัย<br />
และห้องแต่ละห้องสวยงามข้ามกาลเวลาไปอีกหลายปี<br />
<br />
ปัจจัยหลักในการเลือกสี<br />
การดูแลทำความสะอาดไม่เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค<br />
พื ้นที ่ใช้สอยแต่ละห้อง ควรดูแลรักษาความสะอาด เช่น ห้องครัว<br />
ที่อาจจะมีคราบน้ำมัน ความชื้นจากน้ำ หรือพื้นที่แห้งในห้องน้ำ สีที่เลือกใช้<br />
ต้องมีคุณสมบัติที่ไม่ยึดเกาะฝุ่น คราบเขม่า คราบมัน ที่เกิดจากการทำอาหาร<br />
ที่ลอยในอากาศ ทำความสะอาดง่าย ไม่เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคในอนาคต<br />
ความปลอดภัยไร้มลพิษไม่ปิดกั้นจินตนาการ<br />
สมาชิกภายในบ้าน ประกอบด้วย เด็กเล็ก เด็กโต วัยเตาะแตะ วัยซุกซน หรือวัยแสบซ่า<br />
ชอบขีดเขียนผนัง วาดภาพจิตรกรรมอย่างสนุกสนาน สีที่ใช้ต้องตอบโจทย์จินตนาการ<br />
ของเด็กน้อย และพร้อมจะเปิดพื้นที่กว้างให้เด็กๆ ต่อยอดพัฒนาการที่ดี และคุณพ่อ<br />
คุณแม่ก็ไม่เหนื่อยกับการทำความสะอาด และคุณลูกก็ปลอดภัยจากสารพิษ<br />
เนื้อแท้ของผนังกับความงามที่คงทนถาวรของสี<br />
อาคารบ้านพักอาศัยสร้างใหม่หรือเป็นอาคารเก่า สภาพสีเดิม และพื้นผิวอาคาร<br />
เพื่อความสวยงามคงทนถาวร ควรเลือกใช้ให้เหมาะสม โดยเฉพาะภายนอกควรเลือก<br />
สีที่ไม่ทิ้งคราบสกปรกจากน้ำฝนที่คลุกเคล้ามากับฝุ่น และสิ่งสกปรกทำให้เกิด<br />
คราบดำสกปรก มาบดบังความสวยงามของบ้านคุณได้<br />
เฉดสีกับจิตสัมผัส<br />
เฉดสีทุกสีมีผลทางจิตวิทยา เพราะส่งผลถึงอารมณ์ของเรา และสีมีส่วนในการ<br />
รักษาสมดุลในร่างกายคนเราได้อย่างอัศจรรย์เลือกเฉดสีให้เหมาะกับห้องแต่ละห้อง<br />
จะพักผ่อน จะสังสรรค์ หรือสร้างสรรค์คิดงานให้บรรเจิดสีช่วยได้ถ้าเลือกใช้ให้ถูกจริต<br />
จิต กาย เป็นสุข<br />
สีนั้นมีอิทธิพลก็จริงอยู่ แต่ถ้าคุณเลือกใช้อย่างรอบรู้ อิทธิพลของสีก็จะ<br />
อยู่ในมือของคุณที่กำหนด.....เองได้
18-in-Design 19<br />
STORY : อ. ธนาวุฒิ ขุนทอง<br />
มุมมอง<br />
“ภูมิสถาปัตยกรรม”<br />
จาก สถาปนิก<br />
งานภูมิสถาปัตยกรรมในปัจจุบันมีรูปแบบและขอบเขตรายละเอียดของงาน<br />
ที่แตกต่างกัน ตั้งแต่งานขนาดเล็กซึ่งมีพื้นที่เพียงเล็กน้อยไม่กี่ตารางวาไปจนถึ ง<br />
พื้นที่ขนาดใหญ่ระดับเป็นร้อยไร่พันไร่ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่โครงการ<br />
ความต้องการเป้าหมาย และวัตถุประสงค์การใช้งานของเจ้าของโครงการ<br />
โดยสถาปนิกจำเป็นจะต้องทำการออกแบบผังภูมิสถาปัตยกรรมดังกล่าว<br />
เพื่อนำเสนอรายละเอียด และถ่ายทอดรูปแบบ (Presentation) ของผลงาน<br />
ภูมิทัศน์ออกมาให้กับเจ้าของโครงการ จนเป็นที่พอใจตรงกับความต้องการ<br />
ประโยชน์ใช้สอย และงบประมาณค่าใช้จ่าย จากนั้นจึงค่อยสรุปรายละเอียด<br />
แบบที่ครบถ้วนสมบูรณ์เพื่อนำไปดำเนินงานก่อสร้าง<br />
ในกรณีที่งานภูมิทัศน์มีขนาดพื้นที่ไม่มากนักและมีขอบเขตงาน<br />
ที่ไม่ซับซ้อน การจัดทำรายละเอียดรูปแบบของสถาปนิกเพื่อนำไปให้<br />
ผู้รับเหมาใช้ดำเนินการก่อสร้างก็จะไม่ยุ่งยากมากนักโดยเฉพาะหาก<br />
ผู้รับเหมามีประสบการณ์ในการทำงานสูง ผู้ออกแบบอาจใช้วิธีเขียน<br />
แบบภาพร่าง และอธิบายด้วยวาจา ก็สามารถที่จะดำเนินการก่อสร้าง<br />
งานภูมิทัศน์ที ่ดีขึ ้นมาได้<br />
แต่ในกรณีที่งานภูมิทัศน์มีขอบเขตและพื้นที่ขนาดใหญ่มีความ<br />
ซับซ้อนด้านงานโครงสร้าง หรืองานระบบแล้ว สถาปนิกผู้ออกแบบ<br />
จะต้องทำการเขียนแบบก่อสร้างเพื่อแสดงรายละเอียดของงานภูมิทัศน์<br />
ที่ถูกต้องสมบูรณ์ครบถ้วนให้กับทางผู้รับเหมา เพื่อนำใช้ดำเนินการ<br />
ก่อสร้างได้อย่างถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์ของงานออกแบบ<br />
ตัวอย่างการก่อสร้างในงานภูมิสถาปัตยกรรมบ้านพักอาศัย<br />
: โครงการบ้านลาดพร้าว<br />
ทั้งนี้ ในด้านการดำเนินงานสามารถแบ่งขอบเขตของงานก่อสร้างภูมิสถาปัตยกรรม ออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้<br />
งานปรับดิน ขุดดิน ขุดสระ ปรับแต่งเนินดิน<br />
บ้านพักอาศัย : โครงการบ้านนวธานี<br />
งานปลูกต้นไม้ ไม้พุ ่ม ไม้คลุมดินบ้านพักอาศัย<br />
: โครงการบ้านลาดพร้าว<br />
งานโครงสร้างพื้นที่ทาง คสล. พร้อมตกแต่ง<br />
พื้นผิวทางเดิน : โครงการบ้านลาดพร้าว<br />
1<br />
2<br />
3<br />
งาน SOFTSCAPE มีขอบเขตงาน ดังต่อไปนี้<br />
• งานดิน ขุดดิน ถมดิน ปรับแต่งเนินดิน<br />
ความลาดเอียง เนินสนามหญ้า<br />
• งานเตรียมหลุมปลูกต้นไม้ เตรียมแปลงปลูกต้นไม้<br />
• งานเตรียมดินผสมปลูก และปุ๋ย<br />
• งานปลูกต้นไม้ใหญ่ ไม้ยืนต้น<br />
• งานปลูกไม้พุ่ม ไม้คลุมดิน<br />
• งานปูหญ้าสนาม<br />
• งานค้ำยันต้นไม้<br />
• งานตัดแต่งทรงพุ่มต้นไม้<br />
เป็นต้น<br />
<br />
งาน HARDSCAPE มีขอบเขตงานในส่วนของงาน<br />
ก่อสร้างการรับน้ำหนักของโครงสร้างทางด้าน<br />
งานวิศวกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องกับงานภูมิทัศน์ เช่น<br />
• งานโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กพื้นทางเดิน<br />
ตกแต่งพื้นผิวทางเดิน<br />
• งานศาลาพักผ่อนภายในสวน<br />
• งานก่อสร้างกระบะปลูกต้นไม้<br />
• งานก่อสร้างป้ายชื่อ หรือป้ายบอกแบบถาวร<br />
• งานก่อสร้าง LANDMARK ศาลพระภูมิกลางแจ้ง<br />
• งานก่อสร้างบ่อน้ำพุประดับ หรือบ่อปลาสวยงาม<br />
• งานน้ำตกธรรมชาติ หรือลำรางคอนกรีตเสริมเหล็ก<br />
• งานโครงสร้างชานไม้พักผ่อน<br />
เป็นต้น<br />
งาน LANDSCAPE UTILITY PLAN มีขอบเขตงาน<br />
ในส่วนของงานระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะด้านเทคนิค<br />
ที่จะช่วยให้การใช้ประโยชน์ของงานภูมิสถาปัตยกรรมเป็นไป<br />
อย่างสมบูรณ์ และช่วยลดปัญหาการใช้พื้นที่งานภูมิทัศน์ เช่น<br />
• งานวางระบบระบายน้ำของโครงการ<br />
• งานจ่ายระบบกระแสไฟฟ้าให้กับงานระบบภายในโครงการ<br />
• งานระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ติดตั้งดวงโคม<br />
กำหนดประเภทหลอดที่ใช้<br />
• งานระบบรดน้ำต้นไม้ภายในโครงการ<br />
เป็นต้น
20-in-Design 21<br />
ดังนั้นการดำเนินงานก่อสร้างทางภูมิสถาปัตยกรรมที่มีขอบเขตและรายละเอียด<br />
โครงการขนาดใหญ่ หรือมีรายละเอียดงานที่ค่อนข้างซับซ้อน จึงจำเป็นจะต้อง<br />
มีการจัดทำรายละเอียดแบบก่อสร้างงานภูมิทัศน์เพื่อประสิทธิภาพของผลงานที่ดี<br />
ตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้<br />
<br />
1<br />
2<br />
ผลงานออกแบบเกิดจากแนวความคิดทางการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรม<br />
ที่ดี ต้องสอดคล้องกับความต้องการเจ้าของโครงการ และประโยชน์ใช้สอย<br />
การจัดทำรายละเอียดแบบก่อสร้างจะต้องมีความถูกต้อง ละเอียด ชัดเจน<br />
และสอดคล้องกับการออกแบบของสถาปนิกผู้ออกแบบงานภูมิสถาปัตยกรรม<br />
โดยงานเขียนแบบก่อสร้างดังกล่าวอาจจะมีจำนวนแบบมาก หรือน้อย<br />
ขึ้นอยู่กับรายละเอียดของงานออกแบบของสถาปนิก ซึ่งส่วนใหญ่สามารถ<br />
แยกรายละเอียดงานเขียนแบบก่อสร้างภูมิสถาปัตยกรรม ออกเป็นหมวดงาน<br />
หลักๆ ดังนี้<br />
2.1 แบบงาน SOFTSCAPE ประกอบด้วย<br />
• แบบผังบริเวณโครงการ<br />
• แบบแปลนระดับขุดดิน • ถมดิน<br />
• แบบแปลนต้นไม้ใหญ่ • ต้นไม้พุ่ม<br />
• แบบแปลนต้นไม้คลุมดิน • บริเวณปลูกหญ้า<br />
2.2 แบบงาน HARDSCAPE ประกอบด้วย<br />
• แบบแสดงงานก่อสร้างต่างๆ ดังนี้<br />
• แปลน • รูปด้าน<br />
• รูปตัด • DETAILS<br />
• แบบแสดงโครงสร้าง • แบบแสดงผิวพื้น<br />
เป็นต้น<br />
2.3 แบบงาน LANDSCAPE UTILITY PLAN HARDSCAPE ประกอบด้วย<br />
• แบบก่อสร้างงานระบบของงานก่อสร้างภูมิทัศน์ต่างๆ ดังนี้<br />
ก. แบบก่อสร้างงานระบบระบายน้ำของโครงการ<br />
ข. แบบก่อสร้างงานระบบไฟฟ้าของโครงการ<br />
ค. แบบก่อสร้างงานระบบไฟฟ้าแสงสว่างของโครงการ<br />
ง. แบบก่อสร้างงานระบบรดน้ำต้นไม้<br />
เป็นต้น<br />
2.4 แบบแสดงรายละเอียดงาน SPECIFICATION ประกอบแบบก่อสร้าง<br />
• แบบแสดงรายละเอียดมาตรฐานการปลูกไม้ยืนต้น<br />
• แบบแสดงรายละเอียดมาตรฐานการปลูกไม้คลุมดิน<br />
• แบบแสดงมาตรฐานการค้ำยันต้นไม้<br />
เป็นต้น<br />
3<br />
4<br />
5<br />
มีการจัดทำรายการประกอบแบบ หรือรายละเอียดข้อกำหนดการดำเนินงานการทำงานการกำหนดรายละเอียด<br />
อุปกรณ์ และวัสดุที่ใช้ทำงานก่อสร้างที่เรียกว่า (Specification) เพื่อใช้ประกอบแบบก่อสร้างที่สมบูรณ์<br />
ชัดเจน และเข้าใจง่าย<br />
การจัดทำรายละเอียดเพื่อกำหนดราคากลางงานก่อสร้างภูมิทัศน์ โดยแยกรายละเอียดของค่าใช้จ่าย<br />
ที่ใช้ในโครงการเพื่อแสดงต่อเจ้าของโครงการในการจัดสรรงบประมาณเพื ่อรองรับการจัดจ้างทำงานต่อไป<br />
นอกจากนี้ยังสามารถใช้ราคากลางเป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้รับเหมาเพื่อเข้ามาดำเนินงานก่อสร้างด้วย<br />
การจัดทำรายละเอียดเพื่อกำหนดงวดงาน และงวดเงินที่ทางเจ้าของโครงการจะต้องจ่ายให้กับทาง<br />
ผู้รับเหมา โดยกำหนดให้สอดคล้องเหมาะสมกันระหว่างงวดงาน หรือผลงานที่ทางผู้รับเหมาได้ดำเนินการ<br />
ก่อสร้างกับงวดเงิน หรือค่างานที่ทางเจ้าของโครงการจะต้องจ่ายให้กับทางผู้รับเหมาก่อสร้าง<br />
การก่อสร้างงานภูมิสถาปัตยกรรม จึงถือเป็นการก่อสร้างรูปแบบหนึ่งซึ่งไม่มีความแตกต่าง<br />
จากงานก่อสร้างทั่วไป ที่หากจะทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ และมีผลงานที่ดีแล้วจำเป็น<br />
จะต้องมีปัจจัยประกอบที่สำคัญ คือ มีการออกแบบที่ดี มีการเขียนแบบที่ดี มีผู้รับเหมาที่ดีทำงาน<br />
มีการใช้วัสดุที่มีคุณภาพ มีงบประมาณเพียงพอ มีระยะเวลาการทำงานที่เหมาะสม และเมื่อการก่อสร้าง<br />
งานภูมิสถาปัตยกรรมเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วจะต้องมีการดูแลบำรุงรักษาที่ดีด้วย
22- -SCAPE 23<br />
STORY : ดร.มณฑล จันทร์แจ่มใส<br />
นกแก้ว & กิ้งก่า<br />
เครื่องเล่นสนามสำหรับเด็ก<br />
By SCAPE<br />
ฉบับนี้ Column In-SCAPE มีงานออกแบบเก๋ๆ ที่คณะอาจารย์<br />
ร่วมกับนักศึกษาสถาปัตย์ฯ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย<br />
ราชภัฏพระนคร ช่วยกันออกแบบ แม้เป็นเรื่องเล็กๆ แต่ผลลัพธ์กลับ<br />
ยิ่งใหญ่เหลือคณานัป ถ้ารู้จักนำไปใช้<br />
...เนื่องเพราะเด็กไทย หากได้มีการพัฒนาทักษะด้านต่างๆ<br />
ทั้งทางร่างกาย และสติปัญญาอย่างถูกต้องตั้งแต่ยังเล็กๆ เมื่อโตขึ้น<br />
ก็ย่อมเป็นอนาคตเป็นความหวังของชาติ<br />
“เครื่องเล่นสนาม” จึงเป็นสิ่งจำเป็น เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยสร้าง<br />
อนาคตชาติทีเดียว<br />
หากแต่ทุกวันนี้ เครื่องเล่นสนามมีราคาสูงมาก บางโรงเรียน<br />
บางชุมชน จึงขาดโอกาสที่จะพัฒนาเด็กเล็กด้วยเครื่องเล่นที่ดีๆ<br />
... นกแก้ว และกิ้งก่า เป็น 2 เครื่องเล่นสนาม ที่ศูนย์<br />
SCAPE ได้ออกแบบขึ้น ภายใต้หลักคิด ปลอดภัย ประหยัดงบ<br />
และประเทืองปัญญาเด็ก<br />
สำหรับผู้สนใจแบบก่อสร้างเครื่องเล่นสนาม สำหรับเด็ก<br />
สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ SCAPE โทร. 02-522-6637 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ<br />
ทั้งสิ้น เนื่องจากเป็นนโยบายของศูนย์ฯ ที่มุ่งบริการวิชาการสู่ชุมชน<br />
ในเรื่องการออกแบบก่อสร้างอาคารบ้านเรือน ตกแต่ง และภูมิทัศน์<br />
ตลอดจนการวางผัง โดยยินดีให้บริการด้านคำปรึกษา ชี้แนะ และจัดทำ<br />
แบบก่อสร้างอาคารสำเร็จรูปเพื่อช่วยเหลือประชาชน ชุมชน หรือองค์กร<br />
ทางสังคมที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน<br />
นกแก้ว<br />
วิธีเล่น<br />
ให้เด็กใช้กรวยกระบอกเป็นวิทยุสื่อสารคุยกับเด็กอีกคน ซึ่งอยู่<br />
คนละฟาก โดยการที ่จะได้ยินเสียง ต้องพูดผ่านกระบอกที ่ถูกหลักของการ<br />
ผสมสีเท่านั ้น เช่นหากเด็กคนแรกพูดในกระบอกสีส้ม อีกฝั ่งหนึ ่งต้องเป็น<br />
สีเหลือง หรือสีแดง (เหลือง+แดง = ส้ม) จึงจะได้ยิน หลักการได้ยินของ<br />
กระบอกสื ่อสารก็มาจากวิทยุกระป๋องซึ ่งเป็นของเล่นที ่ใช้หลักวิทยาศาสตร์<br />
โดยการใช้เส้นเชือกเป็นตัวสั่นสะเทือนส่งผ่านเสียงจากกระบอกฝั่งหนึ่ง<br />
ไปอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเด็กทุกคนเคยชิน และเคยเห็นอยู่แล้ว<br />
สีที่ใช้จะมีอยู่ 3 กลุ่มซึ่งเกิดจากการผสมกันของแม่สีทั้ง 3 สี<br />
คือ<br />
• สีส้ม เกิดจาก สีเหลือง + สีแดง<br />
• สีม่วง เกิดจาก สีแดง + สีน้ำเงิน<br />
• สีเขียว เกิดจาก สีน้ำเงิน + สีเหลือง<br />
สารประโยชน์<br />
• ช่วยฝึกทักษะทางการพูด และการได้ยิน<br />
• ฝึกการเล่นเป็นกลุ่ม การควบคุมอารมณ์ ระเบียบวินัย สังคม<br />
และสติปัญญา<br />
• ส่งเสริมความรู้ และทักษะทางวิทยาศาสตร์<br />
• ส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีการผสมสีของแม่สี<br />
เหมาะสำหรับ<br />
• เด็กอายุ 2-3 ปี ขึ้นไป<br />
วัสดุหลัก<br />
• ไม้เนื้อแข็ง ใช้ทำโครงสร้างหลัก<br />
• แท่งกระบอกสำหรับพูด, ฟัง<br />
• เชือก<br />
กิ้งก่า<br />
วิธีเล่น<br />
ใช้มือหมุนให้กระบอกเปลี่ยนสี โดยที่ตัวกระบอกจะมีสีทาเอาไว้<br />
ทั้ง 2 ด้าน ซึ่งจะเป็นสีคู่ตรงข้ามกันตามทฤษฎีสี ดังนี้<br />
สีแดง ตรงข้ามกับ สีเขียว<br />
สีน้ำเงิน ตรงข้ามกับ สีส้ม<br />
สีเหลือง ตรงข้ามกับ สีม่วง<br />
สามารถเล่นเป็นเกมแปรอักษร หรือสลับสี ให้เกิดเป็นรูปภาพต่างๆ<br />
ตามแต่จินตนาการของเด็ก<br />
ทั้งนี้อาจให้เด็กได้ลองแข่งขันกัน โดยให้เด็กอยู่คนละด้านแข่งกัน<br />
เปลี่ยนสีภายในเวลาที่กำหนด ใครได้มากที่สุดเป็นผู้ชนะ (ควรสอนให้ เด็ก<br />
เรียนรู้ถึงการ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย มีน้ำใจนักกีฬาไปในตัวควบคู่กันไปด้วย)<br />
สารประโยชน์<br />
• ฝึกการสัมผัส ลูบคลำ และฝึกกล้ามเนื ้อมือ นิ ้วมือ แขน<br />
ให้แข็งแรง<br />
• ฝึกการใช้ตา และมือให้ทำงานประสานกัน<br />
• ฝึกการสังเกตความแตกต่างของสี ฝึกความมีไหวพริบ<br />
และเสริมสร้างจินตนาการ<br />
• ฝึกการเล่นเป็นกลุ ่ม การควบคุมอารมณ์ ระเบียบวินัย สังคม<br />
และสติปัญญา<br />
• ส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีสีคู่ตรงข้าม<br />
เหมาะสำหรับ<br />
• เด็กอายุ 1 ปี ขึ้นไป<br />
วัสดุหลัก<br />
• ไม้เนื้อแข็ง ใช้ทำโครงสร้างหลัก<br />
• แกนเหล็กกลม<br />
• ท่อ PVC
24- -SMEs 25<br />
STORY : อ.อุไรวรรณ คำภูแสน<br />
เดคูพาจ(De’coupage)<br />
ศิลปะสร้างเงิน เพิ่มคุณค่า<br />
องค์ประกอบของเดคูพาจ<br />
• ชิ้นงาน - เป็นวัสดุประเภทใดก็ได้ที่มีพื้นผิวแข็ง เช่น ไม้ แก้ว<br />
พลาสติก โลหะ นิยมนำมาตกแต่ง พื้นผิวชิ้นงามด้วยการทาสี<br />
• รูปภาพ - อาจเป็นรูปจากหนังสือ กระดาษห่อของขวัญ<br />
หรือวัสดุที่มีเนื้อบาง นำมาทากาว แล้วติดบนพื้นผิว<br />
• ชั้นผิวเคลือบ - เป็นการเคลือบผิวด้วยน้ำยา เคลือบเพื่อป้องกันฝุ่น<br />
รอยเปื้อน และช่วยให้สีของภาพคงทน<br />
อุปกรณ์งานเดคูพาจ<br />
• ชิ้นงาน เป็นเครื่องใช้ที่มีผิวเรียบ และแข็งแทบทุกชนิดที่ทำจาก ไม้<br />
โลหะ กระเบื้องดินเผา<br />
• กระดาษทราย ใช้ขัดพื้นผิวของชิ้นงาน ให้เรียบ และสะอาด<br />
• กระดาษ เป็นกระดาษเนื้อบางที่มีรูปภาพ ลวดลาย ที่สวยงาม เช่น<br />
กระดาษเช็ดปาก หรือกระดาษสา<br />
• น้ำยารองพื้น ใช้เพื่อเตรียมชิ้นงาน ก่อนการลงสี<br />
• สี ก่อนผนึกกระดาษลงบนวัสดุ อาจทาสีเพื่อเป็นพื้นหลัง<br />
ให้เข้ากับรูปภาพที่ได้เตรียมไว้ สีที่ใช้ควรเป็นสีอะคริลิก<br />
• พู่กัน และแปรง ใช้สำหรับการทาสี ทากาว หรือวาดต่อเติมภาพ<br />
• กาว เป็นกาวเดคูพาจ การสำหรับการติดภาพ ทั้งนี้อาจทาทับสี<br />
ที่ทาแล้วก็ได้<br />
• วานิช เป็นน้ำยาที่มีคุณสมบัติกันน้ำ และความชื้นได้ดี ซึ่งใช้<br />
เคลือบชิ้นงาน หลังจากการผนึกกระดาษแล้ว<br />
เดคูพาจ (De’coupage) คือ สารผนึกกระดาษ<br />
หรือวัสดุอื่นลงบนพื้นผิวแข็ง เช่น ไม้ กระดาษแข็ง โลหะ<br />
แล้วเคลือบผิวที่ตกแต่งแล้วด้วยน้ำยาเคลือบ ทำให้วัสดุ<br />
หรือเครื่องใช้นั้นมีความคงทน สวยงาม และน่าใช้มากกว่าเดิม<br />
อีกหนึ ่งงาน Handmade ที ่สามารถเนรมิตธุรกิจสร้างเงิน<br />
ด้วยการเพิ่มคุณค่าชิ้นงาน และการทำสิ่งจำเจให้มีเสน่ห์<br />
อย่างบรรเจิด ...อยู ่ที ่ว่าใครจะมีไอเดียที ่แตกต่าง<br />
จนลูกค้าร้องคำว่า “อู้ฮู้” มากกว่ากัน<br />
ประวัติความเป็นมา<br />
งานเดคูพาจ เป็นงานศิลปะที่มีประวัติมายาวนานนับร้อยปี<br />
ปรากฏครั้งแรกที่นครเวนิส ประเทศอิตาลี เป็นงานที่ใช้วิธีพิมพ์ภาพ<br />
บนกระดาษเป็นจำนวนมาก เพื่อผนึกบนชิ้นงานที่ทำสีพื้นเตรียมไว้<br />
แล้วเคลือบจนขึ้นเงา<br />
ต่อมาได้เผยแพร่มายังราชสำนักฝรั่งเศส กลายเป็นงานอดิเรกของ<br />
สตรีในแวดวงสตรีชั้นสูง และแพร่หลายไปสู่ประเทศต่างๆ มาเฟื่องฟู<br />
มากที่สุดในสมัยพระนางเจ้าวิกตอเรียของอังกฤษ แต่ความนิยมต้อง<br />
หยุดชะงักในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 20<br />
จึงได้มีการรื้อฟื้นงานเดคูพาจขึ้นมาอีกครั้ง<br />
ส่วนคำว่า “De’coupage” ในภาษาฝรั่งเศส แปลว่า ตัด<br />
อันเป็นจุดเริ่มต้นที่แพร่หลาย<br />
ปัจจุบัน เดคูพาจ เป็นงานอดิเรกที่ครองใจคนทุกเพศทุกวัย<br />
ทั่วโลก รูปแบบของงานพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปทั้งรูปร่าง สีสัน ของวัสด ุ<br />
และรูปภาพ อีกทั้งวิธีการ และขั้นตอนจึงได้รับการพัฒนาให้เหมาะสม<br />
กับรูปแบบการใช้ชีวิตในปัจจุบันมากขึ้น<br />
ขั้นตอนการทำเดคูพาจ<br />
ขั้นตอนที่ 1 เตรียมชิ้นงานและกระดาษ<br />
เช็ด และขัดชิ้นงานให้สะอาด ทาน้ำยารองพื้น ทาสีชิ้นงาน 2-3 ครั้ง<br />
แล้วจึงทากาวเดคูพาจ ที่ชิ้นงาน ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง<br />
ขั้นตอนที่ 2 ตัดกระดาษ<br />
ใช้กรรไกรตัดกระดาษที่จะทำการผนึกลงบนชิ้นงาน<br />
ขั้นตอนที่ 3 จัดองค์ประกอบ<br />
จัดวางรูปลงบนชิ้นงาน เมื่อได้ตำแหน่งแล้วใช้เทปกระดาษ กาว<br />
หรือกาวดินน้ำมันยึดรูปไว้<br />
ขั้นตอนที่ 4 ผนึกภาพ<br />
ใช้ฟองน้ำชุปน้ำกดตามรูปภาพที่จัดวางไว้แล้ว หรือทิ้งไว้จนแห้ง<br />
ขั้นตอนที่ 5 เคลือบชิ้นงาน<br />
ใช้แปรงทาน้ำยาเคลือบวานิช ทาลงบนชิ้นงานที่ติดรูปภาพไว้แล้ว<br />
ทาครั้งแรกปล่อยไว้ให้แห้ง แล้วทาซ้ำอีก 2-3 ครั้ง ซึ่งจะได้ชิ้นงานที่สวยงาม<br />
และมีคุณค่ามากกว่าเดิม<br />
งานศิลปะประดิษฐ์ เดคูพาจ นับเป็นงานที่เพิ่มคุณค่าให้กับ<br />
เครื่องใช้ภายในบ้าน เช่น กระเป๋า ตะกร้า ถาดใส่ของ กล่องใส่กระดาษ<br />
เป็นต้น ให้มีความสวยงาม และคงทน และให้ความสุขทางใจแก่ผู้ปฏิบัติ<br />
และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์<br />
ที่สำคัญมันสามารถต่อยอดไปสู่การทำเป็นธุรกิจ ที่จะช่วยเพิ่มเงิน<br />
เสริมรายได้ในกระเป๋าเราด้วย<br />
ลองเปลี่ยนเวลาว่างจากการนั่งแชต มาเป็นการทำเดคูพาจ<br />
แล้วขายผ่าน Facebook ส่งสินค้าทางไปรษณีย์ดูสิ ไม่แน่เงินก้อนโต<br />
กำลังรอให้เราไปนั่งนับอยู่<br />
...ใช้ชีวิตแบบนี ้เขาถึงจะเรียกว่า<br />
“คนรุ่นใหม่รู้จักใช้เทคโนโลยี<br />
ให้เป็นประโยชน์” นะจ๊ะ<br />
สำหรับผู้ที่สนใจ งานประดิษฐ์<br />
เดคูพาจ สามรถสอบถามข้อมูล<br />
เพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-522-6637<br />
อ้างอิงจากหนังสือ De’coupage +More; กิติยา เสริมศักดิ์สกุล 2554
้<br />
26- -IT 27<br />
STORY : ผศ.ดร.ประณต บุญไชยอภิสิทธิ์<br />
Blog-Based Class<br />
ปัจจุบัน Blog กลายเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลอย่างมากต่อวัยรุ่น คนหนุ่มสาว<br />
ปัจจุบันเป็นช่องทางการแสดงออกในสิ่งที่ตนรัก และสนใจ ขณะเดียวกัน<br />
ยังเป็นช่องทางการมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มคนที่ชื่นชอบ และหลงใหล<br />
ในสิ ่งเดียวกัน เกิดเป็นสังคมในโลกออนไลน์เฉพาะกลุ ่มขึ ้นมากมาย<br />
สำหรับในโลกการศึกษา วันนี้ Blog กลายเป็นเครื่องมือหนึ่ง<br />
ที่จะช่วยเปิดโลกทัศน์แห่งการแลกเปลี่ยนความรู้ ได้อย่างวิเศษ<br />
... ถ้า Blogger รู้จักใช้ Blogging ให้เป็นประโยชน์<br />
Blogging & Blogger<br />
Blog เป็นคำผสมระหว่างคำว่า Web กับ Log<br />
มีคำนิยามที ่หลากหลายสำหรับ Blog เช่น<br />
…Blog คือ วารสารบนเว็บที ่มีเนื ้อหาเฉพาะทาง<br />
...Blog คือ เว็บไซต์ที ่มีเนื ้อหาที ่ยังคงอยู ่ในความสนใจร่วมกัน<br />
เนื้อหาที่เขียนขึ้นจะเรียงลำดับตามเวลาที่เขียน โดยเนื้อหาที่เขี ยน<br />
ล่าสุดจะอยู ่ลำดับแรกสุด<br />
ดังนั้น Blog มีความแตกต่างที่โดดเด่นจากเว็บไซต์ประเภท<br />
อื่นๆ คือ Blog เปิดโอกาสให้ผู้ที่เข้ามาอ่านเนื้อหาสามารถเขียน<br />
แสดงความคิดเห็นต่อท้ายข้อความที ่เจ้าของ Blog เป็นผู ้เขียน<br />
ซึ ่งทำให้ผู ้เขียนสามารถตอบกลับได้โดยทันที กล่าวได้ว่า<br />
Blog เป็นเครือข่ายสังคม (social network) รูปแบบหนึ ่ง<br />
สำหรับกิจกรรมหลักของ Blog คือ การทำให้ข้อมูลใน Blog<br />
เป็นปัจจุบันที ่เรียกว่า Blogging และเรียกผู ้ที ่ดูแล/เป็นเจ้าของ<br />
Blog ว่า Blogger<br />
เนื้อหาของ Blog<br />
เนื้อหาของ Blog มีความหลากหลายขึ้นอยู่กับความสนใจของ Blogger<br />
เช่น ความสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศาสนา การเมือง การแลกเปลี่ยน<br />
ข้อมูลเกี่ยวกับอาหาร หรือผลิตภัณฑ์ เนื้อหาของ Blog อยู่ในรูปแบบสื่อต่างๆ<br />
เช่น ข้อความ ภาพนิ่ง เสียง และภาพยนตร์ ซึ่งซอฟต์แวร์ Blog จะอำนวยความสะดวก<br />
ในการสร้างหน้าเว็บ โดยที่ผู้เขียนไม่จำเป็นต้องรู้ HTML หรือพื้นฐานความรู้ที่เกี่ยวกับ<br />
เทคโนโลยีเว็บ และไม่จำเป็นต้องมีซอฟต์แวร์เฉพาะ จากความง่ายในการใช้งาน<br />
สนับสนุนการมีปฏิสัมพันธ์อย่างฉับพลัน และการเปิดโอกาสให้ผู้อ่านแสดง<br />
ความคิดเห็นได้อย่างเป็นอิสระ สามารถแลกเปลี ่ยนข้อมูล ความรู ้ ทำให้หลายๆ<br />
Blog ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก<br />
อาจกล่าวได้ว่า Blog ที่มีการบริหาร<br />
จัดการที่ดี เป็นรูปแบบการจัดการความรู้<br />
รูปแบบหนึ่งเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม<br />
มีหลายประเด็นที่ต้องคำนึงถึงเกี่ยวกับ<br />
เนื้อหาของ Blog ได้แก่ ความน่าเชื่อถือ<br />
ของข้อมูล และการละเมิดสิทธิของผู้อื่น<br />
<br />
การใช้ Blog สำหรับงาน<br />
ด้านการศึกษา<br />
การใช้ Blog สำหรับงานด้านการศึกษาเป็นรูปแบบ<br />
หนึ่งของการใช้ประโยชน์จาก Blog โดยอาจแบ่งออก<br />
เป็นการใช้ Blog ในส่วนของผู้สอน และการใช้ Blog<br />
ในส่วนของผู้เรียน ในส่วนของผู้สอนสามารถใช้ Blog<br />
เป็นแหล่งข้อมูลการปฏิบัติทางวิชาชีพ (professional<br />
practices) การสร้างเครือข่าย และการใช้ความรู้<br />
ร่วมกันระหว่างบุคลากร ข้อแนะนำสำหรับผู ้เรียน<br />
การให้ข้อมูลรายวิชา การเชื่อมโยงไปยังเนื้อหาเพิ่มเติม<br />
(annotated links) และการจัดการความรู้ ในส่วนของ<br />
ผู้เรียนสามารถใช้ Blog สำหรับการแสดงความคิดเห็น<br />
การตอบคำถาม การเขียนบทความ การจัดการความรู้<br />
การส่งงานที่ได้รับมอบหมาย การสนทนาสำหรับการ<br />
ทำงานกลุ่ม การสร้าง E-portfolio และ การใช้ทรัพยากร<br />
ที ่เกี ่ยวข้องกับรายวิชาร่วมกัน<br />
คุณลักษณะหลัก (main features) ของชั้นเรียน<br />
ที ่มีการใช้บริการ Blog (blog-based class)<br />
อาจสรุปได้ดังต่อไปนี<br />
• ผู ้สอนสามารถสร้าง Blog ชั ้นเรียน (class<br />
blogs) ได้มากเท่าที่เห็นว่าจำเป็นสำหรับการจัดเตรียม<br />
ข้อมูลชั ้นเรียน เช่น Blog สำหรับ class note และ<br />
Blog สำหรับการส่งงานของแต่ละกลุ ่ม<br />
• ผู้เรียนต้องสามารถอ่าน class blogs ในขณะที่<br />
ผู้สอนเท่านั้นที่มีสิทธิ์แก้ไข class blogs เหล่านั้น<br />
• ผู้เรียนแต่ละคนจะต้องมี Blog เป็นของตนเอง<br />
เพื่อใช้ส่งงานที่ได้รับมอบหมาย โดยมีเพียงผู้เรียนที่เป็น<br />
เจ้าของ Blog และผู้สอนเท่านั้นที่สามารถอ่านเนื้อหา<br />
ใน Blog นั้นได้ ผู้เรียนที่เป็นเจ้าของ Blog สามารถ<br />
แก้ไขสิ่งที่ผู้เรียนเขียน ผู้สอนสามารถเขียนข้อคิดเห็นเพิ่ม<br />
สำหรับงานที ่ส่ง แต่ผู ้เรียนไม่สามารถแก้ไขข้อคิดเห็น<br />
ที ่ผู ้สอนเขียน<br />
• การย้ายไปยัง Blog ของผู้เรียนแต่ละคนของ<br />
ผู้สอนจะต้องง่าย<br />
<br />
ขั ้นตอนการสร้าง Blog<br />
ภาพต่อไปนี้แสดงตัวอย่างการสร้างชั้นเรียนที่มีการใช้บริการ Blog ในส่วนของการสร้าง Blog<br />
ของผู้เรียน โดย www.blogger.com ของค่าย Google ซึ่งมีขั้นตอนดังต่อไปนี้<br />
• เข้าสู่เว็บไซต์ www.blogger.com<br />
<br />
• ผู้สอน login และกดปุ่มเพื่อสร้าง<br />
Blog สำหรับผู้เรียน<br />
1<br />
3<br />
5<br />
• ผู้สอนให้ผู้เรียนเลือก template สำหรับ<br />
การจัดวาง Blog ของผู้เรียน (blog layout)<br />
7<br />
2<br />
• สร้าง account ให้กับผู้ใช้ Blog แต่ละคน โดย<br />
ผู ้ใช้ Blog จะได้รับ username และ password<br />
4<br />
• ผู้สอนใส่ชื่อผู้เรียนในช่อง blog title และ<br />
ให้ผู้เรียนใส่ชื่อ blog address (URL) ซึ่งผู้เรียน<br />
จะต้องเก็บ URL address นี้ ไว้เป็นส่วนตัว<br />
6<br />
• ผู ้สอนเพิ ่มผู ้เรียนให้เป็นสมาชิกของ<br />
Blog ที ่เพิ ่งสร้างขึ ้นโดยเลือกเมนู Setting<br />
และเลือกเมนู Member กดปุ ่ม add team<br />
member ให้ผู ้เรียนใส่ email address<br />
แล้วกดปุ ่ม save settings<br />
โลกของเทคโนโลยีที่ยังคงก้าวหน้าไม่หยุดนิ่ง<br />
กำลังทำให้ Blog-Based Class เป็นเทรนด์การเรียน<br />
การสอนของเด็กยุคใหม่ ที่อาจารย์ต้องเร่งก้าวตาม<br />
ให้ทันนักเรียน<br />
... เพราะโลกวันนี้กำลังเปลี่ยนไป<br />
• ผู้เรียนจะได้รับอีเมล์เชิญชวนจาก Blogger • ผู้เรียน login เพื่อเริ่มใช้งาน Blog ของตนเอง<br />
(ผู ้สอน) พร้อมกับ link สำหรับการเข้าร่วม<br />
Blog ของผู้เรียนที่ถูกสร้างในขั้นตอนข้างต้น<br />
แปล และเรียบเรียงจาก<br />
• http://oit.montclair.edu/documentationpdf/what_is_blog.pdf, 1 มีนาคม 2554.• http://www.blogger.com/tour_pst.g, 1 มีนาคม 2554.<br />
<br />
8
28- -SOCIETY<br />
ไหว้ครู<br />
องค์กรการนักศึกษาภาคปกติ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร<br />
จัดพิธีไหว้ครูสำหรับนักศึกษาภาคปกติ โดยมีวัตถุประสงค์<br />
ให้นักศึกษามีความกตัญญูรู้คุณ ครู-อาจารย์ และเป็นสิริมงคล<br />
แก่นักศึกษาใหม่ อีกทั้งยังเป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย<br />
อันดีงาม ณ หอประชุมพิฆเนศวร<br />
สัมมนาหลักสูตร “พัฒนาชุมชนแออัด”<br />
คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร จัดการสัมมนา<br />
วางแผน และกำหนดทิศทางการสนับสนุนการทำงานร่วมกันระหว่างสถาบัน<br />
การศึกษาเครือข่ายชุมชน และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน )<br />
ครั้งที่ 2 ในประเด็น “การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน กับการพัฒนา<br />
ชุมชนแออัด” อันเป็นการกระตุ้น ผู้นำทางความคิด ผู้สนับสนุนความรู ้วิชาการ<br />
องค์ความรู้ใหม่ๆ ในการสนับสนุนพัฒนาความเข้มแข็งให้กับองค์กรชุมชน<br />
เพื ่อการแก้ไขปัญหาด้วยตนเองต่างมุ่งมั่นที่จะผลิตนักศึกษาให้มีคุณภาพ<br />
สามารถออกไปทำงานได้จริง<br />
ร่วมปลูกจิตอาสา<br />
พร้อมใจปลูกป่าชายเลน<br />
หลักสูตรสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร<br />
จัดโครงการ “ชุมนุมปลูกจิตอาสาพัฒนาสังคม” โดยให้<br />
นักศึกษาร่วมกันปลูกป่าชายเลน ณ บ้านรางโคกขาม<br />
ตำบลพันท้ายนรสิงห์ ซึ่งเป็นชุมชนชาวประมงชายฝั่ง<br />
ที่มีการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าชายเลนตามแนวชายฝั่ง<br />
ณ จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อเร็วๆ นี้
30- -SOCIETY<br />
พัฒนาผลงานทางวิชาการ<br />
คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร<br />
จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การพัฒนาผลงานทางวิชาการ<br />
ผศ./รศ.” โดยมี การบรรยาย เรื่อง “ความเข้าใจ ปัญหาที่พบ<br />
ในการจัดทำผลงานทางวิชาการ” และแนวทางการพัฒนาผลงาน /<br />
เอกสารประกอบการสอน / หนังสือ หรือตำรา / งานวิจัย<br />
รวมถึง เรื่อง “การพัฒนาผลงานทางวิชาการ: ปัญหา<br />
และแนวทางการแก้ไข” โดยมี รศ.ดร.วิชัย แหวนเพชร,<br />
รศ.บุญเกียรติ ไทรชมภู และรศ.ดร.สมพร ไชยะ ร่วมบรรยาย<br />
ณ ห้องประชุมคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ชั้น 2<br />
อบรมคอมพิวเตอร์เพื่องานอุตสาหกรรม<br />
ศูนย์คอมพิวเตอร์เพื่องานอุตสาหกรรม คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม<br />
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร จัดโครงการฝึกอบรม “โปรแกรมคอมพิวเตอร์<br />
เพื่อการออกแบบ Blender” ให้แก่นักศึกษา รวมถึงบุคลากรมหาวิทยาลัย<br />
และผู้สนใจทั่วไป เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้โปรแกรมสำเร็จรูปได้ ละสามารถ แ<br />
ประยุกต์ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป Blender ในการสร้างสรรค์ผลงาน โดยมี<br />
อาจารย์พรชัย เสนารักษ์ และอาจารย์สุรชัย หัวไผ่ เป็นวิทยากร<br />
ณ ศูนย์คอมพิวเตอร์เพื ่องานอุตสาหกรรม คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม<br />
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร<br />
ลงนามความร่วมมือ “บูรณาการสู่ชุมชน”<br />
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ได้มีพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่าง<br />
สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กับมหาวิทยาลัยราชภัฏ<br />
พระนคร โดยคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม และสหพันธ์องค์กรชุมชน<br />
คนจนเมืองแห่งชาติ เพื่อประสานความร่วมมือทางวิชาการ และการปฏิบั ติ<br />
การด้านการวางแผนการพัฒนาชุมชน การพัฒนาที่อยู่อาศัย ตลอดจน<br />
สนับสนุนกิจกรรมที่จะส่งผลต่อการพัฒนาสังคมโดยรวม พร้อมนำเสนอ<br />
ผลงานของนักศึกษาจากกระบวนการจัดการเรียนการสอนเชิงบูรณาการ<br />
สู่ชุมชน ในการออกแบบ และวางผังบ้านมั่นคง 3 ชุมชนในเขตจตุจักร<br />
โดยมี รศ.ดร.เปรื่อง กิจรัตน์ภร อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร<br />
เป็นประธาน เปิดงาน และให้เกียรติบรรยาย เรื่อง “ปรัชญาการศึกษา<br />
เพื ่อบูรณาการสู ่ชุมชน” ณ ห้องประชุม 1 อาคารฝึกประสบการณ์วิชาชีพ<br />
และบูรณาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
32- -SERVICE<br />
TCA 2011<br />
งานประกวดผลิตภัณฑ์เซรามิกส์แห่งปี<br />
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนา<br />
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสมาคมเซรามิกส์ไทย ขอเรียนเชิญนักศึกษา<br />
และประชาชนทั่วไป ร่วมส่งผลงานเซรามิกส์เข้าประกวดชิงถ้วย และเงินรางวัลในงาน<br />
Thai Ceramic Awards 2011 (TCA 2011) สุดยอดงานประกวดเซรามิกส์แห่งปี<br />
ประเภทของผลงาน และเงินรางวัล<br />
เครื่องปั้นดินเผาประเภทผลิตภัณฑ์ “เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร”<br />
รางวัลที่ 1 ได้รับโล่ และเงินรางวัล 40,000 บาท<br />
รางวัลที่ 2 ได้รับโล่ และเงินรางวัล 20,000 บาท<br />
รางวัลที่ 3 ได้รับโล่ และเงินรางวัล 10,000 บาท<br />
เครื่องปั้นดินเผาประเภทผลิตภัณฑ์ “ตกแต่งภายในอาคาร”<br />
รางวัลที่ 1 ได้รับโล่ และเงินรางวัล 40,000 บาท<br />
รางวัลที่ 2 ได้รับโล่ และเงินรางวัล 20,000 บาท<br />
รางวัลที่ 3 ได้รับโล่ และเงินรางวัล 10,000 บาท<br />
เครื่องปั้นดินเผาประเภทผลิตภัณฑ์ “ตกแต่งสวนและภายนอกอาคาร”<br />
รางวัลที่ 1 ได้รับโล่ และเงินรางวัล 40,000 บาท<br />
รางวัลที่ 2 ได้รับโล่ และเงินรางวัล 20,000 บาท<br />
รางวัลที่ 3 ได้รับโล่ และเงินรางวัล 10,000 บาท<br />
ทั้งนี้ผลงานทั้ง 3 ประเภท จะต้องเป็นผลงานของศิลปิน หรือนักออกแบบผู้ส่งเข้าประกวด โดยไม่ลอกเลียนผลงานของผู้อื่น<br />
แบ่งผลงานออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่<br />
กลุ่มที่ 1 นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป กลุ่มที่ 2 บริษัท หรือโรงงานอุตสาหกรรม<br />
โดยในกลุ ่มที ่ 1 นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั ่วไป จะมีรางวัลชมเชย หรือรางวัลดาวรุ ่ง (Rookie of the Year)<br />
และในกลุ ่มบริษัท หรือโรงงาน จะมีรางวัลชมเชย (Special Judge’s Award) รางวัลชมเชยทั ้งสองกลุ ่มจะได้รับประกาศนียบัตร<br />
และเงินรางวัล 5,000 บาท<br />
กำหนดเวลา<br />
เริ่มรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1-14 กันยายน 2554 โดยสามารถกรอกแบบฟอร์มใบสมัคร<br />
และส่งผลงานได้ที่จุดรับผลงาน ณ อาคารฝึกประสบการณ์วิชาชีพ มหาวิทยาลัย<br />
ราชภัฏพระนคร บางเขน กรุงเทพฯ ในวัน และเวลาราชการ<br />
ประกาศผลการตัดสิน<br />
วันที่ 20 กันยายน 2554 ติดตามข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ www.pnru.ac.th<br />
www.mtec.or.th, และ www.thaiceramicsociety.or.th<br />
มอบรางวัล<br />
โดยมีพิธีมอบรางวัล และเปิดการแสดงนิทรรศการ วันที ่ 1 พฤศจิกายน 2554<br />
ณ อาคารฝึกประสบการณ์วิชาชีพ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร บางเขน กรุงเทพฯ<br />
เงื่อนไขการประกวด<br />
- เจ้าของผลงานสามารถส่งผลงานได้ทั้ง 3 ประเภท<br />
ประเภทละไม่เกิน 2 ชุด<br />
- ผลงานส่งเข้าประกวดที่ได้รับรางวัล ถือเป็นกรรมสิทธิ์<br />
ของ 3 หน่วยงาน ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร<br />
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สำนักงาน<br />
พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)<br />
และสมาคมเซรามิกส์ไทย รวมทั้งสิทธิ์ในการเผยแพร่ต่อไป<br />
แต่ลิขสิทธิ์ในตัวผลงานยังเป็นของเจ้าของผลงาน<br />
สามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มใบสมัคร ได้ที่ www.mtec.or.th/TCA2011 หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่<br />
- คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร โทรศัพท์ 0 2521 0105 ต่อ 1311,<br />
- ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 4324<br />
- สมาคมเซรามิกส์ไทย โทรศัพท์ 0 2218 5562
7 ศูนย์เครือข่าย<br />
บริการวิชาการสู่ชุมชน การเปลี่ยนแปลง<br />
ภายใต้แนวคิด “มหาวิทยาลัยเพื่อปวงชน”<br />
34- -SERVICE<br />
คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร ภายใต้การบริหารงาน<br />
ของคณบดีหนุ่มไฟแรง อาจารย์ศุภลักษณ์ ใจเรือง ประกาศเดินหน้าสร้าง<br />
7 ศูนย์บริการวิชาการสู่ชุมชน ผลักดันสู่การเป็นจุดถ่ายทอดแลกเปลี่ยน<br />
ความรู้ในสาขาที่มหาวิทยาลัยมีศักยภาพ เพื่อให้คนไทย อุตสาหกรรมไทย<br />
ได้เข้ามาใช้ประโยชน์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ภายใต้แนวคิดใหม่สู่การเป็น<br />
“มหาวิทยาลัยเพื่อปวงชน”<br />
อาจารย์ศุภลักษณ์ ใจเรือง คณบดีคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม<br />
มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร เปิดเผยว่า ในด้านองค์ความรู้ทางเทคโนโลยี<br />
อุตสาหกรรม และการบริหารจัดการ ทางคณะฯ นับว่ามีศักยภาพ<br />
และความพร้อมในทุกด้าน โดยปัจจุบันคณะฯ สามารถผลิตบัณฑิตทั้งระดับ<br />
ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก โดยมีจำนวนสาขาวิชาที่เปิดสอน<br />
ในระดับปริญญาตรี ถึง 11 สาขาวิชา ปริญญาโท และปริญญาเอกอย่างละ<br />
1 สาขาวิชา อาทิเช่น สถาปัตยกรรม, ออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม,<br />
เทคโนโลยีเซรามิกส์, เทคโนโลยีไฟฟ้า, เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ และ ในอนาคต<br />
จะเปิดสอนในระดับปริญญาตรีอีก 4 สาขาวิชา และระดับปริญญาโท 1 สาขา<br />
วิชาได้แก่วิศวกรรมสารสนเทศและการสื่อสาร, วิศวกรรมการจัดการ,<br />
วิศวกรรมอุตสาหกรรมการผลิต, วิศวกรรมโยธา และการงานอาชีพ<br />
และเทคโนโลยี<br />
นอกจากนี้ เนื่องจากมหาวิทยาลัยฯ มุ่งหวังให้นักศึกษาที่จบออกไปแล ้ว<br />
สามารถเข้าสู ่ภาคแรงงานได้จริง จึงมีการจัดซื ้อ และนำอุปกรณ์ เครื ่องจักรทันสมัย<br />
ที่ภาคอุตสาหกรรมในปัจจุบันใช้อยู่จริง มาเป็นเครื่องไม้เครื่องมื อในการเรียน<br />
การสอน ทำให้มหาวิทยาลัยฯ มีศักยภาพที่จะช่วยสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม<br />
SME ของประเทศที่ยังขาดเทคโนโลยีเหล่านี้ สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ได้<br />
อันเป็นที่มาสู่แนวคิด การเป็น “มหาวิทยาลัยเพื่อปวงชน” และการผลักดัน<br />
7 ศูนย์บริการวิชาชีพสู่ชุมชนตามมา<br />
“เรามีองค์ความรู ้ในด้านการบริหารจัดการแทบทุกด้าน ทั ้งภูมิปัญญาดั ้งเดิม<br />
และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพียบพร้อมไปด้วยบุคลากร และเครื ่องมือราคาแพง<br />
เราพร้อมที่จะเป็นเวทีสำหรับสังคม และธุรกิจที่ยังขาดเทคโนโลยีหรื อการจัดการ<br />
ให้เข้ามาใช้ประโยชน์ได้อย่างไม่จำกัด ผมจึงเปิดศูนย์บริการวิชาการสู่ชุมชน<br />
ทั้ง 7 ศูนย์ขึ้น เพื่อให้ทุกคน ทุกธุรกิจ ได้เข้ามาใช้ประโยชน์ และเข้ามา<br />
แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ร่วมด้วยช่วยกันพัฒนาไปสู่ความเป็นเลิศ<br />
ด้านการบริหารจัดการ อันจะนำไปสู่ความเข้มแข็งในระบบเศรษฐกิจของชาติ<br />
ต่อไปในอนาคต” อาจารย์ศุภลักษณ์ กล่าวถึงที่มาแนวคิด<br />
7 ศูนย์บริการวิชาชีพสู่ชุมชน ประกอบด้วย<br />
• ศูนย์การเรียนรู ้เทคโนโลยีพอเพียง<br />
ถ่ายทอดองค์ความรู้ทางเทคโนโลยี กับความรู้ด้านเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนว<br />
ทางพระราชดำริ<br />
• ศูนย์นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์<br />
ถ่ายทอดองค์ความรู ้ทางด้านนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และการออกแบบ<br />
• ศูนย์สถาปัตยกรรมเพื ่อประชาชนและสภาพแวดล้อม (SCAPE)<br />
ให้บริการการออกแบบก่อสร้างอาคารบ้านเรือน ตกแต่ง และภูมิทัศน์<br />
รวมทั้งจัดทำแบบก่อสร้างอาคารสำเร็จรูปเพื่อช่วยเหลือประชาชน<br />
ชุมชน หรือองค์กรทางสังคม<br />
• ศูนย์บ่มเพาะวิชาชีพเทคโนโลยี<br />
การฝึกประสบการณ์ของนักศึกษาทางด้านวิชาชีพเทคโนโลยี<br />
ที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับวิถีชีวิตของผู้คน และสร้างประโยชน์<br />
และความสัมพันธ์ที่ดีให้กับชุมชน<br />
• ศูนย์วัสดุศาสตร์<br />
ตอบสนองความต้องการขององค์กรธุรกิจขนาดเล็กที่ขาดแคลนเครื่องไม้<br />
เครื่องมือ สามารถเข้ามาใช้ทรัพยากรจากมหาวิทยาลัยได้<br />
• ศูนย์คอมพิวเตอร์และถ่ายทอดเทคโนโลยี<br />
จัดคอร์สฝึกอบรม และบริการความรู้ทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์<br />
และสารสนเทศ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการประกอบวิชาชีพของประชาชน<br />
• ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรเทคโนโลยีอุตสาหกรรม<br />
จัดหลักสูตรอบรมเพื่อยกระดับคุณภาพบุคลากรในองค์กร ด้วยการเพิ่มพูน<br />
ศักยภาพ และประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน<br />
ทั ้งนี ้ ทั ้ง 7 ศูนย์ จะเปิดโอกาสให้ประชาชน หน่วยงานภาครัฐ องค์กรธุรกิจ<br />
องค์กรอิสระ และประชาชนทั่วไป สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ได้<br />
โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือคิดค่าใช้จ่ายเพียงค่าวัสดุสิ้นเปลืองเท่า นั้น โดยสามารถ<br />
ติดตามรายละเอียดโครงการดีๆ จาก 7 ศูนย์ฯ ได้ที่ http://servnet.pnru.<br />
ac.th/fac/techno/newweb/