26.08.2021 Views

สารบัญ และคำนำ ในหนังสือ ชาตินิยมในลาตินอเมริกา กระแสลมแห่งความซับซ้อน

สารบัญ คำนำ ในหนังสือ ชาตินิยมในลาตินอเมริกา กระแสลมแห่งความซับซ้อน

สารบัญ คำนำ ในหนังสือ ชาตินิยมในลาตินอเมริกา กระแสลมแห่งความซับซ้อน

SHOW MORE
SHOW LESS

You also want an ePaper? Increase the reach of your titles

YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.

DOMINICAN<br />

REPUBLIC<br />

BRAZIL<br />

MEXICO<br />

CUBA<br />

BELIZE<br />

JAMAICA<br />

HAITI<br />

GUATEMALA<br />

HONDURAS<br />

EL<br />

SALVADOR<br />

NICARAGUA<br />

PANAMA<br />

COSTA<br />

RICA<br />

VENEZUELA<br />

SURINAME<br />

COLUMBIA<br />

PERU<br />

BOLIVIA<br />

CHILE<br />

PARAGUAY<br />

ARGENTINA<br />

URUGUAY


Nationalism<br />

in<br />

Latin<br />

America<br />

ชาติินิิยมในิลาติินิอเมริิกา: กริะแสลมแห่่งความซัับซั้อนิ<br />

ติริีเทพ ศริีสง่า บริริณาธิิการิ<br />

Illuminations<br />

Editions


สารบััญ<br />

บทที่ 1 บัทนำา 9<br />

โดย ตรีเทพ ศรีสง่า<br />

บทที่ 2 <strong>ชาตินิยมในลาตินอเมริกา</strong> 33<br />

โดย ฟรานซิสโก โกลอม กอนซาเลซ<br />

แปลโดย รวิตะวัน โสภณพนิช<br />

บทที่ 3 ประวัติศาสตร์นิพนธ์อุดมการณ์ชาตินิยม<br />

และอัตลักษณ์ประจำาชาติในลาตินอเมริกา<br />

โดย นิโคลา มิลเลอร์<br />

แปลโดย ตรีเทพ ศรีสง่า<br />

บทที่ 4 กระแสลมแห่งความ “ซับซ้อน”<br />

ของ “ชาติ ” จากลาตินอเมริกา<br />

โดย ธเนศ วงศ์ยานนาวา<br />

บทที่ 5 ชาตินิยมและการสร้างชาติ<br />

ในประวัติศาสตร์ลาตินอเมริกา<br />

โดย เดวิด เอ. แบรดดิง<br />

แปลโดย ณรงเดช พันธะพุมมี<br />

65<br />

115<br />

153


ชาติินิิยมในิลาติินิอเมริิกา


บัทท่ 1 บัทนำา<br />

โดย ตรีเทพ ศรีสง่า 1<br />

เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน กับลาตินอเมริกาศึกษา<br />

หากจะให้หยิบยกหัวข้อการศึกษาทางด้านมนุษยศาสตร์-สังคมศาสตร์ที่<br />

เป็นที่ถกเถียงทั้งในวงวิชาการทั่วโลกอย่างไม่เคยหยุดหย่อนขึ้นมาสักข้อ<br />

หนึ่ง ก็คงหนีไม่พ้นการศึกษาเรื่อง “ชาติ” เป็นแน่ ไม่ว่าจะบนท้องถนน<br />

รัฐสภา โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งในโลกออนไลน์ “ชาติ” เป็นสิ่งที่ถูก<br />

หยิบยกขึ้นมากล่าวอ้างกันอยู่เสมอ “ชาติคืออะไร” “ชาติประกอบด้วย<br />

อะไร” และ “เมื่อไหร่จึงเป็นชาติ” เป็นคำาถามที่ถามกันมาหลายต่อหลาย<br />

ปีแล้ว นักวิชาการจำานวนไม่น้อยทั้งจากสายสังคมวิทยา ประวัติศาสตร์<br />

มานุษยวิทยา และรัฐศาสตร์ ต่างพากันพยายามเฟ้นหาคำาอธิบายให้กับ<br />

ชุดคำาถามเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเออร์เนสต์ เรอนอง (Ernest Renan) เออร์­<br />

เนสต์ เกลเนอร์ (Ernest Gellner) แอนโธนี สมิธ (Anthony Smith) เอริก<br />

ฮอบส์บอว์ม (Eric Hobsbawm) หรือคลิฟฟอร์ด เกียร์ซ (Clifford Geertz)<br />

แต่งานชิ้นสำาคัญที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการศึกษาอุดมการณ์ชาติ­<br />

นิยมย่อมหนีไม่พ้นงานเรื่อง ชุมชนจินตกรรม: บทสะท้อนว่าด้วยกำาเนิด<br />

1<br />

นักศึกษาปริญญาเอก สาขาการเมืองเปรียบเทียบ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย<br />

ฟลอริดา สหรัฐอเมริกา<br />

9


และการแพร่ขยายของชาตินิยม (Imagined Communities: Reflections on<br />

the Origin and Spread of Nationalism, 1983) ของเบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน<br />

(Benedict Anderson) นักประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย<br />

คอร์แนล สหรัฐอเมริกา ผู้เป็น “ครู” ของนักวิชาการไทยสายสังคมศาสตร์<br />

และมนุษยศาสตร์หลายต่อหลายคน<br />

งานการศึกษา “ชาตินิยม” หลายชิ ้นใช้ยุโรปและประเทศที ่ประกาศตัวเป็น<br />

เอกราชจากเจ้าอาณานิคมหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเฉพาะในเอเชีย<br />

และแอฟริกา เป็นพื้นที่หลักในการศึกษา ภูมิภาคอย่างลาตินอเมริกามัก<br />

เป็นแค่เพียง “ข้อยกเว้น” หรือไม่ก็ถูกลดความสำาคัญลงเป็นเชิงอรรถ<br />

ขนาดไม่กี่บรรทัดบริเวณท้ายสุดของหน้าแต่เพียงเท่านั้น แต่ในบทที่สี่ของ<br />

ชุมชนจินตกรรมที่ชื่อว่า “Creole Pioneers” แอนเดอร์สันได้หยิบยกลาติน­<br />

อเมริกากลับเข้ามาสู่วงการถกเถียงเรื่องชาตินิยมอีกครั้งอย่างน่าสนใจ<br />

และใช้กรณีนี้เป็นฐานสำาคัญในการสร้างทฤษฎีชุมชนจินตกรรมขึ้นมาเลย<br />

ทีเดียว<br />

ในบทดังกล่าว แอนเดอร์สันชี้ให้เห็นถึงความน่าฉงนของอุดมการณ์ชาติ­<br />

นิยมใน “โลกใหม่” อย่างลาตินอเมริกาอยู่สองประการซึ่งแตกต่างจาก<br />

ที่เกิดขึ้นใน “โลกเก่า” อย่างยุโรปและเอเชีย ประการแรกคือภาษา ตรง<br />

กันข้ามกับชาตินิยมในยุโรปซึ่งมีภาษาเป็นปัจจัยสำาคัญในการขีดเส้นแบ่ง<br />

ว่าอะไรคือชาติใด เหล่าอาณานิคมในทวีปอเมริกาต่างก็ใช้ภาษาเดียวกัน<br />

กับประเทศแม่ในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ สเปน โปรตุเกส หรือฝรั่งเศส<br />

ก็ตาม ดังนั้นในแง่นี้ แอนเดอร์สันจึงมองว่าภาษาอาจไม่ใช่องค์ประกอบ<br />

สำาคัญของชาตินิยมในทวีปอเมริกาเพราะภาษาที่ใช้ในอาณานิคมเป็นหลัก<br />

ก็ยังคงเป็นภาษาเดียวกันอยู่กับเจ้าอาณานิคมในยุโรป จึงไม่นับเป็นสิ่ง<br />

ที่ทำาให้เหล่าอาณานิคมรู้สึกแปลกแตกต่างออกไป ส่วนในแง่ที่สองคือ<br />

แอนเดอร์สันชี้ว่าชาตินิยมในทวีปอเมริกา โดยเฉพาะในลาตินอเมริกา<br />

ไม่ได้ถือเป็นสิ่งที่ริเริ่มโดยกลุ่มชนชั้นกลางหรือปัญญาชนดังเช่นในยุโรป<br />

10


เพราะในลาตินอเมริกาช่วงก่อนการประกาศเอกราช ราว ๆ คริสต์ศตวรรษ<br />

ที่ 18 จนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ประชากร ชนชั้นกลางหรืออิทธิพล<br />

ของแวดวงปัญญาชนต่อสังคมโดยรวมยังคงมีลักษณะจำากัดอยู่มาก 2<br />

ด้วยโจทย์อันน่าสนใจสองประการนี้เอง แอนเดอร์สันจึงตั้งข้อสังเกตเกี่ยว<br />

กับกระแส<strong>ชาตินิยมในลาตินอเมริกา</strong>ขึ้นมา โดยพุ่งเป้าไปที่พัฒนาการทาง<br />

สังคมและวัฒนธรรมของลาตินอเมริกาในห้วงปีก่อนการประกาศเอกราช<br />

แอนเดอร์สันเสนอว่า “สำานึกความเป็นชาติ” (national consciousness) ใน<br />

ลาตินอเมริกานั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ราว ๆ คริสต์ศตวรรษที่ 18 แล้ว สำานึกนี้<br />

พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนแข็งแกร่งพอสมควร และเมื่อเกิดปัญหาสงคราม<br />

นโปเลียนในยุโรป สำานึกนี้ก็นำามาซึ่งการประกาศตัวเป็นไทจากจักรวรรดิ<br />

สเปนช่วงทศวรรษ 1810 และเป็นแรงขับเคลื่อนสำาคัญที่ทำาให้เกิดการ<br />

ก่อร่างสร้างตัวจนกลายเป็นสาธารณรัฐใหม่แห่งต่าง ๆ ขึ้น แอนเดอร์สันชี้ว่า<br />

องค์ประกอบสำาคัญที่ก่อให้เกิดสำานึกความเป็นชาติในลาตินอเมริกาในช่วง<br />

ดังกล่าวมีอยู่สองประการด้วยกัน<br />

หนึ่งคือ การที่ข้าราชการซึ่งเป็นคนท้องถิ่น หรือ “ครีโอล 3 ” ถูกจำากัดให้<br />

ทำางานหรือรับตำาแหน่งภายในเขตการปกครองเขตใดเขตหนึ่งเท่านั้น<br />

(“pilgrimages of creole functionaries” หรือ “การจาริก”) ซึ่งโดยมากมัก<br />

เป็นเขตการปกครองที่เป็นบ้านเกิดของตน เช่น หากเป็นคนที่เกิดในแถบ<br />

นิวสเปน (เม็กซิโกปัจจุบัน) ครีโอลที่เป็นข้าราชการคนนั้นอาจจะได้รับ<br />

การตั้งให้ดำารงตำาแหน่งบางอย่าง ณ เมืองกวาดาลาฆารา (Guadalajara)<br />

เมืองตัมปิโก (Tampico) หรือเมืองเบรากรูซ (Veracruz) ก็ได้ แต่จะไม่มี<br />

2<br />

Benedict Anderson, Imagined Communities: Reflections on the Origin and<br />

Spread of Nationalism, Revised ed (London: Verso, 2016), 47–48.<br />

3<br />

ครีโอล (Creole) หมายถึง กลุ่มคนผิวขาว เชื้อสายยุโรป แต่เกิดในทวีปอเมริกา<br />

11


กรณีที่ถูกส่งให้ไปประจำาการยังเมืองในแถบชิลีหรือโคลอมเบีย เป็นต้น 4<br />

ในทางกลับกัน แอนเดอร์สันกล่าวว่าเหล่า “เปนินซูลาร์5 ” จะสามารถเดิน<br />

ทางไปประจำาการยังเขตใดในอาณานิคมก็ได้ ซำ้ายังมีอภิสิทธิ์เหนือกว่า<br />

ครีโอลหลายประการ เช่น ตำาแหน่งสูง ๆ ในระบบราชการอย่างองค์อุปราช<br />

(Viceroy) หรือผู้พิพากษา ต่างก็สงวนไว้ให้พวกเปนินซูลาร์เท่านั้น แอน­<br />

เดอร์สันชี้ว่าการถูกจำากัดให้เดินทาง ทำางาน และใช้ชีวิตอยู่เพียงแต่ใน<br />

กรอบเขตการปกครองที่สเปนขีดไว้เช่นนี้ส่งผลทำาให้ครีโอลได้พบเพื่อน<br />

ร่วมเดินทางที่เริ่มจะรู้สึกว่า มิตรภาพของพวกเขาตั้งอยู่บนพื้นฐานไม่<br />

เพียงบนการยึดโยงอย่างเป็นการเฉพาะของการจาริกเท่านั้น แต่ทว่าบน<br />

ชะตากรรมร่วมกันของการเกิดข้ามฟากฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก แม้น<br />

ว่าเขาจะเกิดภายในสัปดาห์แรกที่พ่อของเขาเดินทางข้ามเข้ามาอุบัติการณ์<br />

ของการเกิดในทวีปอเมริกา ก็ส่งเขาให้เข้าสู่ความเป็นคนชั้นรอง—แม้ว่า<br />

เงื่อนไขของภาษา ศาสนา บรรพบุรุษ หรือกิริยามารยาทต่าง ๆ ของเขา<br />

จะไม่ได้แตกต่างมากมายกับคนสเปนที่เกิดในสเปนเลย ไม่มีอะไรที่เขา<br />

สามารถทำาได้ เขาเป็น ‘ครีโอล’ คนหนึ่งที่อย่างไรเสียก็ ไม่สามารถ<br />

เยียวยารักษาได้ 6<br />

ปัจจัยประการที่สองที่ก่อให้เกิดสำานึกความเป็นชาติในลาตินอเมริกาคือ<br />

สื่อสิ่งพิมพ์ช่วงยุคอาณานิคม แอนเดอร์สันเสนอว่า ทุนนิยมการพิมพ์<br />

(print-capitalism) ที ่ปรากฏออกมาในรูปแบบหนังสือพิมพ์ภายในอาณานิคม<br />

4<br />

Anderson, 57; John Charles Chasteen, “Introduction: Beyond Imagined Communities,”<br />

in Beyond Imagined Communities: Reading and Writing the Nation<br />

in Nineteenth-Century Latin America, ed. Sara Castro-Klarén and John Charles<br />

Chasteen (Washington, D.C.: Woodrow Wilson Center Press, 2003), xix.<br />

5<br />

เปนินซูลาร์ (Peninsular) หมายถึง กลุ่มคนเชื ้อสายสเปนที่เกิดในสเปนและเดินทาง<br />

มายังทวีปอเมริกาเพื่อการทำางานหรืออยู่อาศัย<br />

6<br />

Anderson, Imagined Communities: Reflections on the Origin and Spread of<br />

Nationalism, 57–58.<br />

12


ส่งผลทำาให้ผู้อ่านในบริเวณเขตการปกครองนั้น ๆ เกิดจินตภาพว่าตนอยู่<br />

ภายในชุมชนเดียวกัน มีการรับรู้ข่าวสารและกระหายใคร่รู้เรื่องราวความ<br />

เป็นไปที่เกิดขึ้นในชุมชนนั้น ๆ เหมือน ๆ กัน เพราะ “หนังสือพิมพ์ยุคแรก ๆ<br />

บรรจุไว้ด้วยข่าวการค้า (เมื่อใดเรือจะเข้าเทียบท่า ออกจากท่าไป สินค้า<br />

ทางการเกษตรชนิดใด ราคาเท่าใด ณ ท่าเรืออะไร) และข่าวการแต่งตั้ง<br />

ทางการเมืองของอาณานิคม การแต่งงานของพวกคนรวย ฯลฯ” 7 แอน­<br />

เดอร์สันยกกรณี “หนังสือพิมพ์ในเมืองการากัส 8 ” ขึ้นมาเพื่อใช้เป็น<br />

ตัวอย่างให้เห็นว่าเป็นเครื่องมือที่ “สร้างชุมชนจินตกรรมขึ้นมาอย่างเป็น<br />

ธรรมชาติ […] ท่ามกลางความสัมพันธ์ของกลุ่มผู้อ่านโดยเฉพาะ คือ เรือ<br />

ของเรา เจ้าสาวของเรา บาทหลวงของเรา และราคาของเราเหล่านี้” 9<br />

ทว่านักวิชาการแทบทุกแขนงที่ศึกษาลาตินอเมริกากลับไม่เห็นด้วยกับ<br />

ข้อเสนอของแอนเดอร์สันที่ให้ไว้เกี่ยวกับที่มาที่ไปของชาตินิยมในลาติน­<br />

อเมริกาข้างต้น ถึงกับว่ามีการจัดประชุมวิชาการขึ้นในช่วงต้นปี ค.ศ. 2000<br />

เพื่อพูดคุยถกเถียงกันว่าที่มาและทฤษฎีของแอนเดอร์สันที ่ให้ไว้ในชุมชน<br />

จินตกรรมนั้นสอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ของลาตินอเมริกา<br />

มากน้อยหรือไม่อย่างไร ตัวอย่างเช่น แชสตีน (Chasteen 2003) และ<br />

เกร์รา (Guerra 2003) ต่างก็ชี้ให้เห็นถึงปัญหานานัปการของข้อเสนอมูล<br />

ฐานเรื่องครีโอลของแอนเดอร์สันและ<strong>ชาตินิยมในลาตินอเมริกา</strong><br />

ประการแรก แอนเดอร์สันสร้างคำาอธิบายเกี่ยวกับครีโอลและชาตินิยม<br />

ในลาตินอเมริกาผ่านการอ้างอิงงานด้านประวัติศาสตร์สงครามประกาศ<br />

เอกราชลาตินอเมริกาหลัก ๆ แค่สองชิ้นเท่านั้น นั ่นคือ The Spanish American<br />

Revolutions, 1808–1826 (New York: Norton, 1973) ของจอห์น<br />

7<br />

Anderson, 62.<br />

8<br />

การากัส (Caracus) ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงประเทศเวเนซุเอลา<br />

9<br />

Anderson, 62.<br />

13


ลินช์ (John Lynch) และ Simón Bolívar (Albuquerque: University of<br />

New Mexico Press, 1948) ของเจอร์ราด มาซูร์ (Gerhard Masur) ซึ่งเก่า<br />

มากพอสมควร 10 การขาดหลักฐานที่ชัดเจน กว้างขวาง และมีนำ้าหนักเช่น<br />

นี้เองที่ทำาให้ข้อเสนอเรื่อง<strong>ชาตินิยมในลาตินอเมริกา</strong>ของแอนเดอร์สันไม่<br />

เป็นที่ยอมรับในหมู่นักประวัติศาสตร์ลาตินอเมริกา<br />

ประการที่สอง ในเรื่องการจาริก การไม่สามารถดำารงตำาแหน่งในเขตการ<br />

ปกครองอื่น ๆ ได้ และการก่อตัวขึ้นของจิตสำานึกความเป็นชาติของเหล่า<br />

ครีโอลผ่านความผูกพันเชิงพื้นที่ มีงานหลายชิ้นที่ศึกษาและแย้งข้อสังเกต<br />

นี้ของแอนเดอร์สัน รวมทั้งชี้ให้เห็นว่า “การจาริก” ของครีโอลข้าราชการ<br />

ไม่ได้ถูกจำากัดอยู่เพียงแต่กับเขตการปกครองใดเขตการปกครองหนึ่งดัง<br />

เช่นที่แอนเดอร์สันอธิบายไว้เสมอไป 11<br />

และประการที่สาม “หนังสือพิมพ์ในเมืองการากัส” ที่แอนเดอร์สันใช้เป็น<br />

ตัวอย่างในการชี้ถึงสาเหตุของการก่อตัวของสำานึกความเป็นชาติ อันที่จริง<br />

แล้วแอนเดอร์สันมิได้ระบุลงไปอย่างชี้ชัดว่าหนังสือพิมพ์ฉบับใดกันแน่<br />

และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็ชี้ให้เห็นว่าหนังสือพิมพ์ลักษณะดังกล่าว<br />

มีอยู่น้อยมากในช่วงก่อนการประกาศเอกราช 12 แต่จะ “บูม” ขึ้นอย่างมี<br />

นัยยะสำาคัญหลังอาณานิคมได้รับเอกราชและเกิดเป็นประเทศใหม่แล้วเสีย<br />

ต่างหาก ดังนั้นการจะชี้ว่าหนังสือพิมพ์ในลาตินอเมริกาและ “การจาริก”<br />

10<br />

Chasteen, “Introduction: Beyond Imagined Communities,” xviii.<br />

11<br />

François-Xavier Guerra, “Forms of Communication, Political Spaces, and<br />

Cultural Identities in the Creation of Spanish American Nations,” in Beyond<br />

Imagined Communities: Reading and Writing the Nation in Nineteenth-Century<br />

Latin America, ed. Sara Castro-Klarén and John Charles Chasteen (Washington,<br />

D.C.: Woodrow Wilson Center Press, 2003), 5.<br />

12<br />

Chasteen, “Introduction: Beyond Imagined Communities,” xx.<br />

14


เป็นสาเหตุหลักที่นำามาซึ่งการก่อตัวขึ้นของสำานึกความเป็นชาติในคริสต์­<br />

ศตวรรษที่ 18 และนำาไปสู่การที่เหล่าครีโอลทำาสงครามประกาศเอกราช<br />

ต่อสเปนจนเกิดเป็นรัฐชาติใหม่ขึ้นมาได้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 จึงขัด<br />

กับความเป็นจริงและหลักฐานทางประวัติศาสตร์<br />

อย่างไรก็ดี แนวคิดสำาคัญของแอนเดอร์สันเรื่องการกระจายตัวของอุดม­<br />

การณ์ชาตินิยมผ่านทุนนิยมสิ่งพิมพ์นั้นยังมีประโยชน์อย่างยิ่งในการนำา<br />

มาใช้อธิบายการขยายตัวของ<strong>ชาตินิยมในลาตินอเมริกา</strong>ในช่วงครึ่งหลังของ<br />

คริสต์ศตวรรษที่ 19 จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 20 บทความแปลหลายบท<br />

<strong>ในหนังสือ</strong>เล่มนี้จะนำาพาผู้อ่านเข้าสู่ประเด็นดังกล่าว ย้อนพิจารณาข้อ<br />

เสนอของแอนเดอร์สัน และมีการวิเคราะห์กันว่าในลาตินอเมริกานั้น ชาติ<br />

(หรือสำานึกความเป็นชาติ) เกิดขึ้นมาก่อนแล้วจึงเกิดเป็นรัฐ หรือรัฐเกิด<br />

ขึ้นก่อน แล้วรัฐจึงใช้กลไกของตน ซึ่งรวมถึงสื่อสิ่งพิมพ์และทุนนิยมการ<br />

พิมพ์ เพื่อสร้าง (สำานึกความเป็น) ชาติ?<br />

แต่ก่อนที่จะก้าวต่อไปยังการถกเถียงประการนี้ในบทต่อ ๆ ไป ผู้เขียนเห็น<br />

ว่าจำาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้พื้นที่บทนำานี้ในการอธิบายให้ผู้อ่านชาวไทย<br />

เข้าใจเสียก่อนว่า “ลาตินอเมริกา” คืออะไรและเป็นมาอย่างไรคร่าว ๆ<br />

อาจจะเพราะด้วยความห่างไกลทางภาษา ภูมิศาสตร์ และวัฒนธรรม<br />

ทำาให้คนไทยจำานวนไม่น้อยยังมีความไม่เข้าใจมากนักว่าคำาดังกล่าวหมาย<br />

ถึงอะไร หรือลาตินอเมริกาเป็นมาอย่างไรบ้าง<br />

15


อะไรคือลาตินอเมริกา?<br />

“ลาตินอเมริกา” (Latin America) หมายถึงภูมิภาคภูมิภาคหนึ่งในทวีป<br />

อเมริกา เป็นกลุ่มประเทศที่พูดภาษาตระกูลที่พัฒนามาจากภาษาละติน<br />

นั่นก็คือ ภาษาสเปนและภาษาโปรตุเกส 13 เขตที่เรียกว่าลาตินอเมริกาจึง<br />

นับมาตั้งแต่บริเวณประเทศเม็กซิโก ใต้ประเทศสหรัฐอเมริกา ผ่าน<br />

บริเวณอเมริกากลางและทะเลแคริบเบียน ลงมาจนถึงสุดปลายทวีป<br />

อเมริกาใต้ที่บริเวณประเทศชิลีและอาร์เจนตินา ภายในลาตินอเมริกาก็<br />

สามารถแบ่งแยกออกไปได้อีกเป็น “ทวีปอเมริกาส่วนที่พูดภาษาสเปน”<br />

(Spanish America) และ “ทวีปอเมริกาส่วนที่พูดภาษาโปรตุเกส” (Portuguese<br />

America) โดยกลุ่มแรกคือเหล่าประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมสเปน<br />

มาก่อน ซึ่งถือเป็นส่วนมากในภูมิภาค และกลุ่มหลังคือประเทศที่เคยเป็น<br />

อาณานิคมโปรตุเกส ซึ่งได้แก่ประเทศบราซิล ด้วยเหตุนี้ ลาตินอเมริกา<br />

จึงไม่ได้หมายความถึง “อเมริกาใต้” แต่เพียงอย่างเดียวดังที ่คนไทยจำานวน<br />

มากเข้าใจ แต่หมายรวมถึงเหล่าประเทศในแถบทวีปอเมริกาทั้งหมดที่พูด<br />

ภาษาสเปนและโปรตุเกสทั้งหมดเสียต่างหาก 14<br />

13<br />

บางสำานักรวมภาษาฝรั่งเศสเอาไว้ด้วย เพราะฉะนั้นประเทศเอกราชที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส<br />

อย่างเฮติจึงนับว่าอยู่ในลาตินอเมริกาด้วยเช่นกัน<br />

14<br />

ในทางกลับกัน ประเทศในทวีปอเมริกาภาคพื้นทวีปและแถบทะเลแคริบเบียนที่<br />

ไม่ได้ใช้ภาษาสเปนหรือโปรตุเกส แต่ใช้ภาษาอังกฤษหรือดัตช์ เช่น เบลิซ จาไมกา<br />

บาฮามาส สุรินาเม ทั้งหมดนี้จะไม่นับว่าเป็นลาตินอเมริกา เกาะหรืออาณาบริเวณที่ยัง<br />

เป็นเมืองขึ้นของยุโรป เช่น กือราเซา (Curaçao) ที่เป็นเขตการปกครองของเนเธอร์­<br />

แลนด์ หรือเฟรนช์เกียนา (French Guiana) ก็ไม่นับเช่นกัน แต่เพื่อความสะดวกใน<br />

ทางการเมืองระหว่างประเทศ ก็มีการเรียกกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาและกลุ่มประเทศ<br />

ต่าง ๆ เหล่านี้ว่า “ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน” (Latin America and the Caribbean)<br />

ด้วย<br />

16


ดังที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า ก่อนที่ชาวยุโรปจะ “ค้นพบ” หรือเดินทาง<br />

เข้ามาถึง “โลกใหม่” บริเวณทวีปอเมริกาทั้งเหนือ กลาง ใต้ ต่างก็มี<br />

มนุษย์อาศัยอยู่แล้วโดยทั่ว แม้ว่าข้อถกเถียง ณ ปัจจุบันจะยังไม่เป็นที่สิ้น<br />

สุด แต่ทฤษฎีที่เชื่อกันว่าน่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุดคือ มนุษย์จาก<br />

เอเชียเมื่อราว ๆ 14,000–12,000 ปีก่อนคริสตกาล ได้พากันข้ามช่องแคบ<br />

แบริ่งจากทวีปเอเชียเข้ามาสู่ทวีปอเมริกาเหนือ จากนั้นจึงค่อย ๆ อพยพ<br />

และกระจายตัวลงทางทิศใต้ไปสู่อากาศที่อบอุ่นมากขึ้น มนุษย์กลุ่มแรก ๆ<br />

ทำาการเก็บของป่าล่าสัตว์ตามมีตามเกิด ต่อมามีหลาย ๆ กลุ่มที่พัฒนาตัว<br />

ขึ้นเป็นสังคมชุมชนและมีความซับซ้อนมากขึ้น เกิดเป็นเผ่าน้อยใหญ่ต่างๆ<br />

เผ่าบางเผ่าสามารถจัดตั้งอำานาจเหนือเผ่าอื่น ๆ ในอาณาบริเวณใกล้เคียง<br />

มีระบบการปกครอง พิธีกรรม ความเชื่อ และสามารถเลี้ยงปากท้อง<br />

สมาชิกในเผ่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนพัฒนาขึ้นเป็นดั่ง “อาณาจักร”<br />

หรือ “จักรวรรดิ” ในลักษณะที่คล้ายกับที่ปรากฏในอารยธรรม “โลกเก่า”<br />

ทั้งหลาย ตัวอย่างที่สำาคัญหนีไม่พ้นอารยธรรมมายา-กิเช่ (Maya-k’iche’)<br />

ซึ่งเคยปรากฏอยู ่แถบตอนใต้ของประเทศเม็กซิโกและแถบอเมริกากลาง<br />

ในปัจจุบัน, อารยธรรมแอซเท็ก (Aztec) ซึ่งเคยรุ่งเรืองอยู่บริเวณตอน<br />

กลางของประเทศเม็กซิโกในปัจจุบัน และอารยธรรมอินคา (Inca) ซึ่งแผ่<br />

อำานาจไปเกือบทั่วทวีปอเมริกาใต้และมีศูนย์กลางอำานาจอยู่บริเวณที่เป็น<br />

ประเทศเปรูในปัจจุบัน ส่วนบริเวณที่เป็นเขตอากาศร้อนและเต็มไปด้วย<br />

ป่าดงดิบแอมะซอนอย่างบริเวณตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ หรือบริเวณ<br />

เกาะต่าง ๆ ในทะเลแคริบเบียน ก็พบหลักฐานว่ามีการกระจายตัวของเผ่า<br />

ชนพื้นเมืองอยู่ทั่วเช่นกัน แต่ยังไม่มีความซับซ้อนหรือสามารถแผ่อำานาจ<br />

ได้มากเท่าอารยธรรมทั้งสามที่กล่าวไว้ข้างต้น<br />

ย้อนข้ามฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังทวีปยุโรปช่วงปลายคริสต์ศตวรรษ<br />

ที่ 15 เมื่อราชสำานักสเปนสำาเร็จการสงครามยึดพื้นที่คืนจากมุสลิมแล้ว<br />

ก็ได้ให้ทุนสนับสนุนคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) ใน<br />

การทดลองแล่นเรือไปยังเอเชียด้วยเส้นทางใหม่ กองเรือของโคลัมบัสแล่น<br />

17


เรือมาถึงเกาะในแถบทะเลแคริบเบียนเป็นการสำาเร็จเป็นครั้งแรกในปี<br />

ค.ศ. 1492 และด้วยว่าโคลัมบัสเข้าใจว่าตนเดินทางถึงชมพูทวีปอินเดียแล้ว<br />

คำาเรียกชนพื้นเมืองในภาษาสเปนจึงเป็นคำาว่า “อินดิโอ” (indio) ไปโดย<br />

ปริยาย<br />

หลังจากโคลัมบัสจัดตั้งอาณานิคมสเปนเป็นที่แรก ณ เกาะฮิสปานิโอลา<br />

(Hispaniola) หรือบริเวณที่ปัจจุบันนี้คือประเทศเฮติและสาธารณรัฐ<br />

โดมินิกัน กองเรือสเปนระลอกใหม่ๆ ก็พากันทยอยออกเดินทางมายังทวีป<br />

อเมริกากันอย่างไม่ขาดสายนับแต่นั้น นำามาซึ่งประชากรชาวยุโรปผิวขาว<br />

พืช สัตว์ ศาสนา ตลอดจนวิทยาการเทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างเช่น ปืน<br />

อาวุธที่เป็นโลหะอย่างดาบและหอก ด้วยความเหนือกว่าทางเทคโนโลยีนี้<br />

เองที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำาให้ “เหล่าผู้พิชิต” (Conquistador) อย่างเอร์นัน<br />

กอร์เตซ (Hernán Cortés) หรือฟรานซิสโก ปิซาร์โร (Francisco Pizarro)<br />

สามารถเอาชนะอาณาจักรใหญ่ๆ ที่มีจำานวนประชากรเป็นล้าน ๆ คนอย่าง<br />

อินคาและแอซเท็กได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ในห้วงเวลานี้เองที่เกิดการผสม<br />

ผสานข้ามชาติพันธุ์ (mestizaje) ขึ้นเป็นครั้งแรกระหว่างคนขาวเชื้อสาย<br />

ยุโรปกับชนพื้นเมือง เหล่าทหารสเปนระลอกแรกที่เดินทางไปยังทวีป<br />

อเมริกาแทบทั้งหมดเป็นชายฉกรรจ์ เมื่อเข้าตีชนเผ่าต่าง ๆ จึงจับสตรีชน<br />

พื้นเมืองมาข่มขืนระบายความกำาหนัดของตนเป็นจำานวนมาก หากสตรี<br />

เหล่านี้ไม่เสียชีวิตไปเสียก่อน ก็จะถือได้ว่าเป็นผู้ที่ได้ให้กำาเนิดประชากร<br />

กลุ่ม “ลูกผสม” หรือ “เมสติโซ” (mestizo) รุ่นแรกนั่นเอง<br />

เมื่อการบุกยึดพิชิตดินแดนโดยชาวสเปนและโปรตุเกสเริ่มเข้ารูปเข้ารอย<br />

มากขึ้น ก็เกิดการจัดตั้งระบอบการปกครองอาณานิคมที่เป็นหลักแหล่ง<br />

จนกระทั ่งท้ายที่สุดพัฒนาขึ ้นเป็น “เขตอุปราชปกครอง” (Viceroyalty)<br />

ต่าง ๆ ซึ่งมีระบบรัฐราชการที่ซับซ้อนและถูกกำาชับควบคุมจากสเปน<br />

โดยตรงและสัมพันธ์กับศาสนจักรคาทอลิกอย่างแนบแน่น ที่ดินที่เคยเป็น<br />

ที่อยู่ของชนพื้นเมืองหรือรกร้างว่างเปล่าถูกจัดแบ่งให้กับเหล่าผู้พิชิตทั้ง<br />

18


หลาย พร้อมกับมีการจัดสรรชนพื ้นเมืองให้ไปเป็นข้ารับใช้หรือแรงงานด้วย<br />

โดยเหล่าคนขาวที่เป็นเจ้าของที่ดินและมีชนพื้นเมืองอยู่ใต้การปกครอง<br />

ต้องให้การดูแลคนเหล่านี้ และต้องสั่งสอนคริสต์ศาสนาคาทอลิกและ<br />

ภาษาสเปนให้ด้วย<br />

แม้ว่าการทำาสงครามพิชิตยึดครองทวีปอเมริกาของกองทหารจากสเปน<br />

จะทำาให้ชนพื้นเมืองจำานวนไม่น้อยเสียชีวิตไป แต่สิ่งที่คร่าชีวิตชนพื้นเมือง<br />

ไปเป็นจำานวนมหาศาลจริง ๆ คือโรคภัยไข้เจ็บที่เข้ามาพร้อม ๆ กับชาวสเปน<br />

และปัญหาความอดอยาก เพราะชนพื้นเมืองไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคระบาด<br />

ใหม่ ๆ อย่างฝีดาษหรือหัด และการสงครามทำาลายที่ดินและพืชผลไปจน<br />

หมด ในการนี้เองที ่เริ่มมีการนำาเอาคนผิวดำาจากทวีปแอฟริกาเข้ามาเป็น<br />

แรงงานทาสทดแทนชนพื้นเมืองที่เสียชีวิตไปนับล้าน โดยเฉพาะบริเวณ<br />

ที่ทำาการทำาเหมืองแร่หรือปลูกพืชเศรษฐกิจจำาพวกอ้อยนำ้าตาล ฝ้าย ก่อ<br />

ให้เกิดการผสมผสานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์เพิ่มมากขึ้นไปอีก กลุ่มชาติพันธุ์<br />

ในลาตินอเมริกา ณ ขณะนี้จึงประกอบไปด้วยคนขาว เมสติโซ (ลูกผสม<br />

ระหว่างชาติพันธุ์ต่าง ๆ) ชนพื้นเมือง และทาสจากแอฟริกา<br />

เมื่อระบบอาณานิคมลงตัวมากขึ้น ก็มีการส่งข้าราชการจากสเปนมาดำารง<br />

ตำาแหน่งสูง ๆ ในหน่วยงานราชการ คนเหล่านี้ที่เกิดในสเปนแต่ถูกส่งมา<br />

ทำางานหรืออพยพมาอยู่ในอาณานิคมในทวีปอเมริกาถูกเรียกว่าพวก<br />

“เปนินซูลาร์” (peninsular) หรือ “เปนินซูลาเรส” มีอภิสิทธิ ์สูงที่สุดในสังคม<br />

อาณานิคม ส่วนกลุ่มคนขาวที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวสเปนหรือชาวยุโรปแต่<br />

เกิดในทวีปอเมริกา จะถูกเรียกว่าพวก “ครีโอล” (creole) มีสถานะทาง<br />

สังคมด้อยกว่าพวกเปนินซูลาร์เสียหน่อย แต่ก็ยังมีอภิสิทธิ์มากกว่าทาส<br />

ผิวดำา ชนพื้นเมืองหรือเมสติโซ โดยมากครีโอลประกอบอาชีพเป็นเจ้าของ<br />

ไร่ขนาดใหญ่ หรือไม่ก็เป็นเจ้าของเหมือง มีบ้างแต่ไม่มากที่ได้ขึ้นไปดำารง<br />

ตำาแหน่งสำาคัญ ๆ ในรัฐราชการของระบบอาณานิคม ดังนั้นจึงจะเห็นได้<br />

ว่าแม้จะเป็นคนผิวขาว แต่ในลาตินอเมริกาก็ยังมีการแบ่งแยกกันเอง<br />

19


ระหว่าง “ผิวขาวจากสเปน” กับ “ผิวขาวที่เกิดแต่ทวีปอเมริกา”<br />

การที่อาณานิคมของอังกฤษบริเวณทวีปอเมริกาเหนือพากันประกาศตน<br />

เป็นเอกราชในปี ค.ศ. 1776 และการปฏิวัติฝรั่งเศสปี ค.ศ. 1789 ทำาให้กลุ่ม<br />

ชนชั้นนำาในลาตินอเมริกา ซึ ่งก็คือเหล่าครีโอล เริ่มพากันถกเถียงว่า เมื่อ<br />

ใดเล่าที่ลาตินอเมริกาจะได้เดินตามรอยการปฏิวัติทั้งสองบ้าง ราชสำานัก<br />

สเปนพยายามเป็นอย่างยิ่งในการควบคุมไม่ให้คำาประกาศหรือหนังสือสาย<br />

เสรีนิยมทั้งหลายจากสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสหลุดรอดเข้ามาในเขต<br />

อาณานิคมของตนในทวีปอเมริกา แต่ก็ไม่เป็นการสำาเร็จอยู่ดี จนกระทั่ง<br />

ในท้ายที่สุด เหล่าครีโอลในอาณานิคมสเปนเมืองต่าง ๆ ก็ถือโอกาสเอา<br />

ห้วงเวลาที่ราชสำานักสเปนเพลี่ยงพลำ้าให้แก่กองทัพนโปเลียนเมื่อปี ค.ศ.<br />

1808 ประกาศเอกราชจากสเปนในที่สุด แต่ที่ประหลาดคือในช่วงแรกเป็น<br />

การประกาศเอกราชที่ชูว่าตนจะภักดีกับกษัตริย์สเปนที่แท้จริง คือพระเจ้า<br />

เฟอร์ดินานด์ที่ 7 (Ferdinand VII of Spain) ไม่ใช่กษัตริย์ฝรั่งเศสองค์ที่<br />

นโปเลียนตั้งขึ้นมาใหม่ อย่างไรก็ดี กว่าสงครามนโปเลียนจะสิ้นสุดลงและ<br />

กว่าพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 7 จะเสด็จกลับคืนสู่บัลลังก์ราชสำานักสเปน<br />

เหล่าอาณานิคมในทวีปอเมริกาก็ได้ลิ้มรสความเป็นเอกราชแบบ “กึ่ง<br />

สาธารณรัฐ” และติดใจเข้าเสียแล้ว ซำ้าแล้วพระองค์เองก็ปฏิเสธที่จะอยู่<br />

ภายใต้รัฐธรรมนูญและนำาเอาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชกลับมาใช้อีก<br />

ด้วย ดังนั้นเหล่าครีโอลจึงประกาศตนเป็นปฏิปักษ์ต่อราชสำานักสเปน<br />

และจะต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งการก่อตั้งสาธารณรัฐดังเช่นในสหรัฐอเมริกา<br />

เช่นเดียวกับในสหรัฐอเมริกา เหล่า “บิดาผู้ก่อตั้ง” (Founding Fathers)<br />

เชื้อสายครีโอลในลาตินอเมริกามิได้เป็นแต่เพียงผู้นำาการสู้รบเท่านั้น แต่<br />

ยังเป็นนักคิดนักเขียนผู้ปราดเปรื่องด้วย อาทิ โฆเซ่ เด ซาน มาร์ติน<br />

(José de San Martín) ผู้นำาการประกาศเอกราชในแถบอาร์เจนตินา และ<br />

ซิมอน โบลิวาร์ (Simón Bolívar) ครีโอลชาวเวเนซุเอลาซึ่งนำาพากองทัพ<br />

สาธารณรัฐนิยมเอาชนะสเปนในแถบเวเนซุเอลา โคลอมเบีย เอกวาดอร์<br />

เปรู และโบลิเวียเป็นการสำาเร็จ<br />

20


ราว ๆ ทศวรรษ 1820 เกือบทั่วทั้งลาตินอเมริกาก็เป็นอิสระจากชาติยุโรป<br />

เว้นเพียงแต่คิวบา เปอร์โตริโก ที่ยังเป็นอาณานิคมสเปน และบราซิล<br />

ที่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของโปรตุเกส การเลิกทาสก็ตามมาหลังจากการ<br />

ประกาศเอกราชด้วยไม่นานเช่นกัน ทว่าการมีเอกราชก็มิได้แปลว่าจะนำา<br />

มาซึ่งเสถียรภาพ ประชาธิปไตย หรือความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ<br />

เสมอไป ในทางกลับกันตลอดช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ลาตินอเมริกา<br />

แทบทั้งภูมิภาคประสบปัญหาสงครามกลางเมือง เหล่าครีโอลที่อาจจะเคย<br />

เห็นพ้องต้องกันในเรื่องการให้ได้มาซึ่งเอกราชจากสเปน เมื่อมาถึง ณ<br />

ขณะนี้ก็ได้แตกออกเป็นฝ่ายเสรีนิยมและฝ่ายอนุรักษ์นิยม ฝ่ายแรก<br />

ต้องการแยกอำานาจของศาสนจักรโรมันคาทอลิกออกจากโครงสร้างรัฐ<br />

เปิดเสรีทางการค้า ขยายสิทธิการมีส่วนร่วมทางการเมืองให้กับผู้คนทุก<br />

กลุ่ม และให้ความสำาคัญกับความเป็นปัจเจกชน ในขณะที่ฝ่ายอนุรักษ์­<br />

นิยมต้องการธำารงไว้ซึ่งโครงสร้างทางสังคมแบบสมัยอาณานิคม ต้องการ<br />

ให้ศาสนจักรมีบทบาทสำาคัญในกิจการต่าง ๆ ของรัฐอย่างเช่นการศึกษา<br />

และมองว่ารัฐต้องอุ้มชูปกป้องชนพื้นเมืองจากรุกคืบของระบบตลาดหรือ<br />

อุดมการณ์ปัจเจกนิยม ความแตกต่างทางความคิดนี้ทำาให้เกิดการรบรา<br />

ฆ่าฟันอยู่เสมอ ในบางประเทศอย่างโคลอมเบียแม้จะมีการเลือกตั้ง แต่<br />

ก็เต็มไปด้วยการโกงหรือการลอบฆ่าตัวเต็งทั้งหลายอยู่เป็นนิจ กลุ่มชนชั้น<br />

นำาที่กุมอำานาจการปกครองในห้วงยุคนี้จึงถูกขนานนามว่าเป็นเหล่า “คณา­<br />

ธิปไตย” (Oligarchy) ผู้นำาเป็นผู้ชายแทบทั้งหมด มีความเด็ดขาด เด็ด<br />

เดี่ยว เป็นเผด็จการที่มีอำานาจบารมีมาก สามารถสยบคนใด ๆ ที่จะเข้ามา<br />

ท้าทายให้อยู่ใต้อาณัติได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีการเรียกผู้นำาลักษณะนี้ว่าเป็น<br />

“เจ้าพ่อ” หรือ “เกาดิโย” (Caudillo) นั่นเอง<br />

เมื่อเข้าสู่ครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 สงครามกลางเมืองในหลาย ๆ<br />

ประเทศก็สงบลง ผู้ที่ชนะสถาปนาตัวเป็นเผด็จการปกครองในรูปแบบ<br />

“เจ้าพ่อ” ในห้วงเวลานี ้เองที ่เศรษฐกิจของลาตินอเมริกาเริ ่มกลับมากระเตื ้อง<br />

อีกครั้งในฐานะผู้ส่งออกวัตถุดิบขั้นต้นไปยังยุโรปและสหรัฐอเมริกา เช่น<br />

21


ใบยาสูบ ฝ้าย อ้อย ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ธุรกิจเหล่านี้น้อยมากที่จะเป็น<br />

ของเมสติโซ ชนพื้นเมือง หรือคนผิวดำา ส่วนมากยังเป็นของเหล่าครีโอล<br />

ผิวขาว ในทางกลับกัน รัฐบาลเผด็จการของเหล่า “เจ้าพ่อ” หลาย ๆ แห่ง<br />

ก็สานสัมพันธ์กับกลุ่มทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนหรือใช้ประโยชน์จาก<br />

ทรัพยากรภายในประเทศของตนเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการให้สัมปทานขุด<br />

เหมือง ทำาไร่ หรือในช่วงต่อมาก็เป็นการทำาทางรถไฟ เป็นต้น<br />

ลาตินอเมริกาก้าวเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 20 ในฐานะที่เป็นแหล่งป้อนวัตถุ­<br />

ดิบขั้นต้นให้กับ “โลกเก่า” ดังเช่นในสมัยศตวรรษก่อนหน้า แต่แล้วอำานาจ<br />

จากสหรัฐอเมริกาก็แผ่ขยายรุกคืบแซงหน้าชาติยุโรปอื่น ๆ อย่างไม่เห็นฝุ่น<br />

หลังสงครามสเปน-สหรัฐอเมริกาสิ้นสุดลงเมื่อปี ค.ศ. 1898 สัมปทานและ<br />

การรุกคืบจากกลุ่มทุนอเมริกันไหลหลากเข้ามาสู่ลาติน อเมริกาภายใต้<br />

รัฐบาลเผด็จการทั่วทั้งภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่เข้ามาทำาการปลูกกล้วย<br />

ในประเทศแถบอเมริกากลาง การที่สหรัฐอเมริกาได้คิวบาและเปอร์โตริโก<br />

เป็นรัฐใต้ปกครอง การขุดเจาะคลองปานามา เรื่อยมาจนถึงกรณีที่บริษัท<br />

สัญชาติอเมริกันได้รับสัมปทานจากรัฐบาลเผด็จการฆวน บิเซ็นเต โกเมซ<br />

(Juan Vicente Gómez) ของเวเนซุเอลาให้เป็นผู้ขุดเจาะนำ้ามันดิบ<br />

ในห้วงเวลานี้เองที่นักการเมืองและปัญญาชนหลายคนในลาตินอเมริกา<br />

ยึดเอายุโรปตะวันตกและสหรัฐอเมริกาเป็นตัวแบบ โดยพวกเขาเชื่อว่า<br />

การจะก้าวเข้าสู่ “ความเป็นสมัยใหม่” (modernization) ได้ ต้องมีการ<br />

พัฒนาอุตสาหกรรมเสียก่อนเป็นอย่างแรก และแน่นอนว่าต้องการแรงงาน<br />

เป็นสำาคัญ ดังนั้นจึงเกิดนโยบายสนับสนุนให้ชาวยุโรปอพยพเข้ามาอยู่ใน<br />

ประเทศ ซำ้ายังเกิดแนวคิดว่าหากประเทศยิ่งมีความ “ขาว” มากขึ้นเท่าใด<br />

ก็ยิ่งน่าจะเจริญได้ไวมากขึ้นเท่านั้นด้วย ดังนั้นเราจึงเห็นคลื่นการอพยพ<br />

ของชาวยุโรปใต้อย่างสเปนและอิตาลีเข้ามาอยู่ในประเทศอย่างอาร์เจนตินา<br />

หรือชิลีเป็นจำานวนมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงที่สเปนประสบปัญหา<br />

สงครามกลางเมือง และยุโรปโดยรวมประสบปัญหาสงครามโลกทั้งสองครั้ง<br />

22


การกระจุกตัวของทุนในเมืองใหญ่ การเพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรม และการ<br />

เพิ่มขึ้นของจำานวนประชากร ส่งผลให้การพัฒนาอุตสาหกรรมในหลาย ๆ<br />

ประเทศดำาเนินการไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในอาร์เจนตินา บราซิล<br />

เม็กซิโก เกิดการอพยพจากชนบทเข้ามาสู่เมืองมากขึ้นด้วย ด้วยเหตุนี้<br />

จึงเกิดสิ่งที่เรียกว่าเป็น “การเมืองมวลชน” ขึ ้นเป็นครั ้งแรกในลาตินอเมริกา<br />

เป็นผลมาจากการขยายสิทธิความเป็นพลเมืองและสิทธิการเลือกตั้งไป<br />

สู่ชนชั้นแรงงานกรรมาชีพ สตรี และลูกหลานผู้อพยพจากต่างชาติเป็น<br />

วงกว้าง ทั้งหมดนี้ยิ่งถูกตอกยำ้ามากขึ้นเมื่อเศรษฐกิจโลกถึงจุดชะงักงัน<br />

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในสหรัฐอเมริกาประสบวิกฤตในปี ค.ศ. 1929 เหล่า<br />

ประเทศพัฒนาแล้วที่เป็นปลายทางในการส่งออกสินค้าจากลาตินอเมริกา<br />

ไม่สามารถดำาเนินการค้าขายกับลาตินอเมริกาได้ในปริมาณมากเท่าเดิม<br />

ลาตินอเมริกาหลาย ๆ ประเทศจึงเปลี่ยนโมเดลเศรษฐกิจจากการผลิตเพื่อ<br />

ส่งออกไปเป็นการผลิตและพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อการบริโภคภายใน<br />

ประเทศแทน (import-substitution industrialization)<br />

แต่ผลของการพัฒนาอุตสาหกรรมในลาตินอเมริกาหลาย ๆ ประเทศกลับ<br />

ไม่เป็นไปตามที่เหล่าผู ้สมาทานแนวคิดความเป็นสมัยใหม่คาดหวังไว้<br />

สังคมและการเมืองของประเทศที่มีการพัฒนาทางอุตสาหกรรมกลับไม่<br />

พัฒนาตามไปด้วยดังที่เกิดขึ้นในอังกฤษหรือสหรัฐอเมริกา ไม่ได้เป็น<br />

ประชาธิปไตยมากขึ้น ซำ้ายังกลับมีความเป็นเผด็จการมากขึ้นด้วยซำ้า<br />

ปัญหาความเหลื่อมลำ้าทางเศรษฐกิจและความยากจนก็ยิ่งยำ่าแย่ลงไปอีก<br />

ด้วย ในช่วงนี้เองที่วาทกรรมแบบเอียงซ้ายซึ่งชี้ว่าบ่อเกิดของปัญหาเหล่า<br />

นี้อยู่ที่ลัทธิจักรวรรดินิยมอเมริกันได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ผู้นำา<br />

จากพรรคการเมืองที่มีนโยบายเน้นการกระจายที่ดิน ปฏิรูปการกระจาย<br />

รายได้จึงได้รับความนิยมและชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในบาง<br />

ประเทศ เช่นในโบลิเวียและกัวเตมาลาช่วงต้นทศวรรษ 1950 แต่แล้ว<br />

สหรัฐอเมริกาก็ใช้อำานาจทางการทหารของตนจัดการแทรกแซงรัฐบาลของ<br />

ประเทศเหล่านี้ที่ดำาเนินการปฏิรูปต่าง ๆ ซึ่งกระทบกับผลประโยชน์ของ<br />

23


ตน โดยรัฐบาลอเมริกันสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำาของตนว่า<br />

ทำาไปเพื่อป้องกันการรุกคืบของพวกคอมมิวนิสต์และเพื่อรักษาผลประโยชน์<br />

ของบริษัทสัญชาติอเมริกันในประเทศเหล่านี้<br />

ภายใต้สภาวะเช่นนี้เองที่การปฏิวัติคิวบาประสบความสำาเร็จไปในปี ค.ศ.<br />

1959 การเปลี่ยนแปลงที่คิวบาครั้งนี้ส่งผลสะเทือนไปทั่วทั้งทวีปอเมริกา<br />

หลายประเทศที่เคยประสบปัญหาการถูกกดขี่จากกลุ่มทุนข้ามชาติ ชนชั้น<br />

นำาที่ขายชาติ และรัฐบาลเผด็จการที่สหรัฐอเมริกาอุ้มชูไว้ ต่างก็เห็นแล้ว<br />

ว่าการลุกฮือหยิบจับอาวุธโค่นล้มระบอบเก่าเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง<br />

นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้และเป็นไปแล้ว “ขบวนการนักรบกองโจรฝ่ายซ้าย”<br />

ในลักษณะเดียวกันกับที่ฟิเดล กัสโตร (Fidel Castro) และเช เกบารา<br />

(Che Guevara) เคยริเริ ่มไว้และประสบความสำาเร็จ ผุดขึ้นทั่วลาตินอเมริกา<br />

เพื ่อต่อกรกับเหล่าชนชั้นนำาสามานย์ทั้งหลายที่กุมอำานาจรัฐไว้และรังแต่<br />

จะทำาให้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมลำ้ายำ่าแย่ลงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน<br />

ไม่ว่าจะในเวเนซุเอลา นิการากัว เอลซัลวาดอร์ อาร์เจนตินา เปรู อุรุกวัย<br />

หรือโคลอมเบีย เป็นต้น แต่แล้วหากไม่นับนิการากัว แทบไม่มีกรณีใดเลย<br />

ที่นักรบกองโจรฝ่ายซ้ายเหล่านี้ประสบความสำาเร็จ แทบทั้งหมดถูกกวาด­<br />

ล้างอย่างรุนแรงทั้งจากรัฐบาลเผด็จการทหารและรัฐบาลพลเรือนอย่าง<br />

เหี้ยนเตียน ในแถบอเมริกา กลาง สภาวะสงครามกลางเมืองเช่นนี้ส่งผล<br />

ทำาให้ประชาชนจำานวนนับล้านจำาต้องอพยพหนีความรุนแรงไปอยู่ในสหรัฐ­<br />

อเมริกา ส่วนในประเทศแถบอเมริกาใต้อย่างชิลี ถึงแม้ว่าผู้นำาฝ่ายซ้าย<br />

อย่างซัลวาดอร์ อะเยนเด (Salvador Allende) จะก้าวขึ้นสู่อำานาจด้วยการ<br />

ชนะการเลือกตั้งภายใต้ระบอบประชาธิปไตย แต่ผลจากการดำาเนิน<br />

นโยบายปฏิรูปที่เอียงซ้ายมากเกินไป ในสายตาของฝั่งอนุรักษ์นิยมก็ทำาให้<br />

เขาไม่เป็นที่ชื่นชอบของกองทัพ ชนชั้นนำา กลุ่มทุนข้ามชาติและสหรัฐ­<br />

อเมริกา จนเป็นเหตุให้เกิดการรัฐประหารในปี ค.ศ. 1973 ซึ่งตามมาด้วย<br />

การกวาดล้าง “อุ้มหาย” ประชาชนนับหมื่นราย<br />

24


เมื่อสงครามอุดมการณ์ซ้าย-ขวาดำาเนินมาถึงจุดจบช่วงปลายทศวรรษ 1980<br />

รัฐบาลเผด็จการทหารในลาตินอเมริกาที่ตบเท้ากันเข้ามายึดอำานาจกัน<br />

ตั้งแต่ราว ๆ ทศวรรษ 1960 ก็พากันลงจากอำานาจ ประชาธิปไตยในลาติน­<br />

อเมริกากลับมาสู่ประชาชนอีกครั้งพร้อม ๆ กับปัญหาหนี้ระหว่างประเทศ<br />

และเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นตั้งแต่ราว ๆ วิกฤตการณ์นำ้ามันโลกช่วงทศวรรษ 1970<br />

และพุ่งขึ้นจุดวิกฤตในช่วงทศวรรษ 1980 นโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม<br />

ใหม่ (neoliberalism) จึงถูกนำามาปรับใช้ภายใต้คำาสั่งขององค์กรการเงิน<br />

นานาชาติอย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary<br />

Fund—IMF) และธนาคารโลก (World Bank) ในฐานะที่เป็น “ยาขม”<br />

เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงและปรับโครงการทางการคลังให้เข้ารูปเข้า<br />

รอย นโยบายเช่นนี้ประกอบไปด้วยการลดภาระของรัฐลงผ่านการตัดลด<br />

และยกเลิกโครงการเพื่อสวัสดิการสังคมต่าง ๆ เรื่อยไปจนถึงการขายทอด<br />

กิจการรัฐวิสาหกิจอย่างการไฟฟ้าและประปาให้กับภาคเอกชน ด้วยเหตุนี้<br />

ตลอดทศวรรษ 1990 ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมลำ้าที่ยำ่าแย่อยู่<br />

แล้วจึงยิ่งตกตำ่าลงไปอีก เป็นผลทำาให้ในช่วงทศวรรษ 2000 ประชาชนใน<br />

ลาตินอเมริกาหลาย ๆ ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเวเนซุเอลา นิการากัว โบลิเวีย<br />

เอกวาดอร์ บราซิล ต่างพากันพร้อมใจเลือกผู้นำาเอียงซ้ายชาตินิยมที่<br />

ประกาศตัวว่าจะเข้ามาจัดการปัญหาความเหลื่อมลำ้าและความยากจนด้วย<br />

นโยบายประเภทเน้นการกระจายรายได้ สร้างสวัสดิการสังคม ต่อต้าน<br />

องค์กรการเงินข้ามชาติอย่าง IMF และ World Bank และนำาเอากิจการ<br />

ที่เคยต้องขายให้กับเอกชนกลับมาเป็นของรัฐ<br />

อย่างไรก็ดี ณ ปัจจุบันนี้ “คลื่นเอียงซ้าย” แห่งลาตินอเมริกาลูกนี้ได้ผ่าน<br />

พ้นไปแล้ว และก็แสดงให้เห็นว่าปัญหาที่ผู้นำากลุ่มดังกล่าวเสนอตัวว่าจะ<br />

เข้ามาแก้ ก็ยังไม่ถูกแก้อย่างยั่งยืน ซำ้าแล้วรัฐบาลเอียงซ้ายเหล่านี้ยัง<br />

ประสบปัญหาการทุจริตเป็นวงกว้างอีกด้วย บ้างก็ทำาให้ประเทศถอยหลัง<br />

ลงคลองกลายเป็นรัฐบาลเผด็จการอำานาจนิยม ดังที่เห็นในกรณีเวเนซุเอลา<br />

และโบลิเวีย<br />

25


รายละเอียดของแต่ละบท<br />

หนังสือเล่มนี้เป็นการรวมบทความแปลที่ศึกษาเรื่องชาติ รัฐชาติ และ<br />

<strong>ชาตินิยมในลาตินอเมริกา</strong> โดยมุ่งเน้นวิพากษ์ทฤษฎีของเบเนดิกต์ แอน­<br />

เดอร์สันใน ชุมชนจินตกรรม เป็นหลัก ดังที่กล่าวไว้ในช่วงแรกของบทนี้<br />

แล้วว่า แม้นักวิชาการที่ศึกษาลาตินอเมริกาจำานวนมากจะเห็นด้วยกับ<br />

แอนเดอร์สันในทฤษฎีของเขาในองค์รวมบ้างไม่มากก็น้อย แต่ในเชิงราย<br />

ละเอียดส่วนที่แอนเดอร์สันอ้างถึงครีโอลลาตินอเมริกาในฐานะที่เป็น “ผู้<br />

ริเริ่ม” อุดมการณ์ชาตินิยมนั้น ขัดต่อข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ของ<br />

ลาตินอเมริกาอยู่หลายจุดด้วยกัน บทความในบทต่อ ๆ ไปนั้นจึงจะชี้ให้เห็น<br />

ถึงจุดอ่อนของทฤษฎีชุมชนจินตกรรมในหลาย ๆ ประเด็นด้วยกัน โดย<br />

สามารถกล่าวโดยคร่าว ๆ เป็นสามประเด็น อันได้แก่ (1) บทบาทของสื่อ<br />

สิ่งพิมพ์ในลาตินอเมริกาช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 และต้นคริสต์­<br />

ศตวรรษที่ 19; (2) ความแตกต่างของจิตสำานึกความเป็นชาติในหมู่ครีโอล<br />

และในหมู่ประชากรกลุ่มอื่น ๆ; และ (3) บทบาทของศาสนาในการสร้าง<br />

ชาติ โดยเฉพาะในบทที่สอง ที่จะชี้ให้เห็นอิทธิพลของศาสนาโรมันคาทอลิก<br />

ซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนประกอบสำาคัญต่อการสร้างจิตสำานึกความเป็นชาติ<br />

ในประเทศอย่างเช่นเม็กซิโกและเปรู ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่นำามาสู่ข้อสรุป<br />

ที่ว่า<strong>ชาตินิยมในลาตินอเมริกา</strong>นั้นไม่ได้เกิดขึ้นหรือริเริ่มในช่วงคริสต์ศต­<br />

วรรษที่ 19 ตั้งแต่ก่อนการประกาศเอกราชดังที่แอนเดอร์สันชี้ไว้ หากแต่<br />

เป็นในศตวรรษต่อมาเสียต่างหาก ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐเริ่มมีความเป็นปึกแผ่น<br />

มากขึ้น และเริ่มมีการเผชิญ “ศัตรู” ทั้งจากภายนอกและภายใน<br />

บทที่สอง “<strong>ชาตินิยมในลาตินอเมริกา</strong>” เขียนโดยฟรานซิสโก โกลอม<br />

กอนซาเลซ (Francisco Colom González) ปัจจุบันดำารงตำาแหน่งศาสตรา­<br />

จารย์นักวิจัย (Professor of Research) ณ ศูนย์การศึกษาวิจัยด้านมนุษย­<br />

ศาสตร์และสังคมศาสตร์ (Centre for Humanities and Social Sciences)<br />

สำานักงานการวิจัยแห่งชาติ ประเทศสเปน (Spanish National Research<br />

26


Council) โดยโกลอม กอนซาเลซได้สำาเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก<br />

ด้านปรัชญาจากมหาวิทยาลัยกอมปลูเต็นเซแห่งกรุงมาดริด (Complutense<br />

University of Madrid) ประเทศสเปน ในบทความนี้โกลอม กอนซาเลซ<br />

จะนำาพาผู้อ่านไปสู่ที่มาและที่ไปของ<strong>ชาตินิยมในลาตินอเมริกา</strong>และวิพากษ์<br />

ทฤษฎีชุมชนจินตกรรมของแอนเดอร์สันอย่างตรงไปตรงมาพร้อมตัวอย่าง<br />

จากแต่ละกรณีศึกษา ทั ้งจากวงวรรณกรรม ศาสนา และการเมือง จุด<br />

เด่นสำาคัญของบทความนี้คือการชี้ให้เห็นถึงข้อจำากัดของข้อโต้แย้งของ<br />

แอนเดอร์สันที่ว่า <strong>ชาตินิยมในลาตินอเมริกา</strong>เกิดขึ้นและแพร่กระจายเป็น<br />

ครั้งแรกในช่วงก่อนการเกิดรัฐชาติช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยโกลอม<br />

กอนซาเลซอธิบายว่าอุดมการณ์ชาตินิยม “เป็นวิธีหนึ่งในการปรับเปลี่ยน<br />

ความสัมพันธ์ในชุมชนชุมชนหนึ่ง” ซึ่ง “จะสามารถกระตุ้นให้เกิดความ<br />

รู้สึกนึกคิดและแรงการกระทำาเชิงหมู่คณะ (collective agency) ได้ดีหรือไม่<br />

มากน้อยเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับ ‘การจัดระเบียบประมวลเรื่องเล่า’ (narrative<br />

codification) และการเรียบเรียงความสัมพันธ์ทางสังคมขึ้นมาใหม่”<br />

เป็นสำาคัญ ด้วยเหตุนี้ โกลอม กอนซาเลซจึงแย้งว่า ชาตินิยมในลาติน­<br />

อเมริกาจริง ๆ แล้วเกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 และเป็นผลมาจาก<br />

เงื่อนไขทางเศรษฐกิจและการเมืองที่เปลี่ยนไป สิ่งที่แอนเดอร์สันเชื่อว่า<br />

เป็นต้นตอของอุดมการณ์ชาตินิยมที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้านั้น เช่นใน<br />

ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 จึงเป็นเพียง<br />

แค่สิ่งที่กระจุกอยู่ในวงปัญญาชนวงเล็ก ๆ เท่านั้น<br />

บทที่สาม “ประวัติศาสตร์นิพนธ์อุดมการณ์ชาตินิยมและอัตลักษณ์<br />

ประจำาชาติในลาตินอเมริกา” เขียนโดยนิโคลา มิลเลอร์ (Nicola Miller)<br />

ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ลาตินอเมริกาแห่งมหาวิทยาลัยคอลเลจ<br />

ลอนดอน (University College London) มิลเลอร์สำาเร็จการศึกษาระดับ<br />

ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด (University of Oxford) สห­<br />

ราชอาณาจักร และเชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ลาตินอเมริกาช่วงคริสต์ศต­<br />

วรรษที่ 19 และ 20 โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องประวัติศาสตร์ทางความ<br />

27


คิดและประวัติศาสตร์อุดมการณ์ชาตินิยม โดยในบทนี้ มิลเลอร์ได้ทำาการ<br />

รวบรวมบทความหรืองานศึกษาเกี่ยวกับ<strong>ชาตินิยมในลาตินอเมริกา</strong>ชิ้น<br />

สำาคัญ ๆ ในด้านประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์และวัฒนธรรมศึกษาที่ผลิต<br />

ขึ้นตลอดช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20 มาไว้ด้วยกันและร้อยเรียงออก<br />

มาเป็นการสนทนา นอกจากนี้ยังมีการศึกษาอิทธิพลที่งานเขียนของแอน­<br />

เดอร์สันมีต่อแวดวงวิชาการลาตินอเมริกาศึกษา โดยพิเคราะห์แง่มุมที่ว่า<br />

นักวิชาการกลุ ่มดังกล่าวนำาเอาทฤษฎีของแอนเดอร์สันไปใช้กับงานของตน<br />

ในลักษณะใด มีข้อวิจารณ์ต่อการที่แอนเดอร์สันนำาทฤษฎีนี้มาปรับใช้กับ<br />

อุดมการณ์<strong>ชาตินิยมในลาตินอเมริกา</strong>ในทิศทางใดบ้าง<br />

บทที่สี่ “กระแสลมแห่งความ ‘ซับซ้อน’ ของ ‘ชาติ’ จากลาตินอเมริกา”<br />

เขียนโดยธเนศ วงศ์ยานนาวา ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย<br />

ธรรมศาสตร์ ธเนศสำาเร็จการศึกษาระดับปริญญาโททางด้านสังคมวิทยา<br />

จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน (University of Wisconsin, Madison)<br />

สหรัฐอเมริกา และทางด้านทฤษฎีสังคมและการเมืองจากมหาวิทยาลัย<br />

เคมบริดจ์ (University of Cambridge) สหราชอาณาจักร ในบทความนี้<br />

ธเนศได้ทำาการย้อนหาวงศาวิทยาของชาติและอุดมการณ์ชาตินิยมว่าเป็น<br />

มาเช่นไร และผู้ใดศึกษาเอาไว้ในลักษณะใดบ้าง จากนั้นธเนศได้วิพากษ์<br />

ทฤษฎีของแอนเดอร์สันโดยนำาเอาลาตินอเมริกาเข้ามาสู่วงถกเถียง ในกรณี<br />

นี้ธเนศโต้แย้ง ชุมชนจินตกรรม ในสองประเด็นใหญ่ คืออิทธิพลที่แท้จริง<br />

ของสื่อสิ่งพิมพ์และบทบาทของศาสนาในการสร้างชาติ ในจุดแรกธเนศ<br />

ได้ใช้กรณี “ทัศนาวัฒนธรรม” อย่างรูปเคารพ “พระแม่แห่งกวาดาลูเป”<br />

(Virgin of Guadalupe) และอิทธิพลของบุคคลทางศาสนาที่เป็นวีรบุรุษใน<br />

การทำาสงครามประกาศเอกราชจากสเปน เป็นตัวอย่างในการชี้ให้เห็นถึง<br />

ความสอดคล้องกันระหว่างศาสนา ความเชื่อ กับความเป็นชาติเม็กซิโก<br />

ส่วนจุดที่สอง ธเนศลงไปทำาการวิเคราะห์ถึงนิยายเล่มสำ าคัญ ๆ ที่แอนเดอร์สัน<br />

ใช้กล่าวถึงในงาน อย่าง El Periquillo Sarniento (The Mangy Parrot, 1816)<br />

ของ โฆเซ่ โฆอาคิน เฟร์นันเดซ เด ลิซาร์ดิ (José Joaquín Fernández de<br />

28


Lizardi) ว่ามีส่วนมากน้อยอย่างไรต่อการสร้างสำานึกความเป็นชาติเม็กซิโก<br />

และสำานึกแบบภราดรภาพ (fraternity)<br />

บทที่ห้า “ชาตินิยมและการสร้างชาติในประวัติศาสตร์ลาตินอเมริกา”<br />

เขียนโดยเดวิด เอ. แบรดดิง (David A. Brading) ศาสตราภิชานด้าน<br />

ประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ แบรดดิงไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญ<br />

ประวัติศาสตร์ลาตินอเมริกาเท่านั้น แต่ยังเป็นเอกในด้านประวัติศาสตร์<br />

เม็กซิโกเป็นพิเศษด้วย โดยในบทความนี้ แบรดดิงยืนยันข้อสรุปที่ผู้เขียน<br />

ได้อธิบายไว้ข้างต้นในลักษณะเดียวกันที่ว่า <strong>ชาตินิยมในลาตินอเมริกา</strong>เกิด<br />

ขึ้นทั่วภูมิภาคก็ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 มิใช่ยุคใด ๆ ก่อนหน้าดังที่<br />

แอนเดอร์สันอ้างไว้ โดยที่ผลจากการต่อสู้เพื่อเอกราชจากในช่วงคริสต์­<br />

ศตวรรษที่ 19 นั้น จริง ๆ แล้วก่อให้เกิด “รัฐ” และกลไกของรัฐในรูปแบบ<br />

ต่าง ๆ แต่ยังไม่เกิด “ชาติ” เสียต่างหาก หน้าที่ของรัฐในช่วงหลังการ<br />

ได้รับเอกราชมาแล้วตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 19 คือการพยายามจัดการ<br />

กับความไม่สงบภายในประเทศและการแผ่ขยายอำานาจรัฐไปให้ทั่วอาณา<br />

บริเวณเป็นสำาคัญ ด้วยเหตุนี้ เหล่า “เจ้าพ่อ” จึงหันกลับไปใช้ตำานาน<br />

วีรบุรุษ และประวัติศาสตร์ เป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมให้<br />

กับรัฐบาลของตน และเมื่อเข้าสู่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ความเป็นชาติ­<br />

นิยมในลาตินอเมริกาก็ก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดเพราะหลายประเทศต้องเผชิญ<br />

หน้ากับภัยคุกคามจากภายนอกในลักษณะลัทธิจักรวรรดินิยมจากสหรัฐ­<br />

อเมริกา บทความนี ้ของแบรดดิงน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นการ<br />

ท้าทายงานกลุ่มที ่ชี้ว่า “ชาติ” เกิดก่อน “รัฐ” ซึ่งโดยมากมักจะอิงกับ<br />

ประวัติศาสตร์กระแสหลักทางยุโรปเป็นหลัก ในบทความนี้แบรดดิงจึง<br />

อธิบายให้เห็นถึงพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของรัฐต่าง ๆ ในลาติน อเม­<br />

ริกาตั้งแต่ช่วงสงครามประกาศเอกราช จนกระทั่งถึงช่วงที ่ลาติน อเมริกา<br />

เผชิญกับปัญหาความระสำ่าระส่ายจากภายในและจากภายนอก ทำาให้มี<br />

การหวนกลับไปหา “อดีต” กันอย่างไม่หยุดหย่อน<br />

29


ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือรวมบทความแปลเล่มนี้ ไม่เพียงแต่จะ<br />

ทำาให้ทั้งผู้อ่านทั่วไปและนักวิชาการชาวไทยรู้จักลาตินอเมริกามากขึ้น แต่<br />

หวังเช่นกันว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้ได้เห็นข้อถกเถียงต่องานชิ้นเอกของ<br />

“ครูเบน” ที่เหล่านักวิชาการในอีกซีกโลกหนึ่งเคยพูดคุยกันเป็นวงกว้างว่า<br />

“ชาติ” และ “ชาตินิยม” แบบที ่แอนเดอร์สันเคยอธิบายไว้อาจจะไม่ถูกต้อง<br />

หรือสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของภูมิภาคหนึ่ง ๆ เสมอไป อย่างไร<br />

ก็ดี หนังสือรวมบทความแปลเล่มนี้มิได้ต้องการชี้ชวนให้ลบล้างทฤษฎีของ<br />

แอนเดอร์สันแต่อย่างใด เพราะบทความที่เลือกสรรมานี้โดยทั่วไปต่างก็<br />

เห็นด้วยกับแอนเดอร์สันในเรื่องบทบาทของสื่อสิ่งพิมพ์ต่อการสร้างจิต­<br />

สำานึกความเป็นชาติ ทว่าหนังสือเล่มนี้ต้องการสร้างการพูดคุย ถกเถียง<br />

และนำามาซึ่งมุมมองใหม่ๆ แก่วงวิชาการการศึกษาอุดมการณ์ชาตินิยมใน<br />

ไทยเป็นสำาคัญโดยนำาเอาลาตินอเมริกาเข้ามาสู่วงพูดคุยด้วย<br />

จนถึงที่สุดแล้วคุณค่าของ ชุมชนจินตกรรม ของแอนเดอร์สันนั ้นไม่ใช่แค่<br />

ว่าเป็นงาน “คลาสสิค” ที่มีคุณูปการต่อวงวิชาการนานาชาติเท่านั้น แต่<br />

คุณค่าและความสำาเร็จที่แท้จริงของงานวิชาการระดับนี้คือความสามารถ<br />

ในการ “จุดประกาย” ให้ผู้คนตั้งคำาถามและข้อเถียงกันเป็นวงกว้างเสีย<br />

ต่างหาก หากมองข้อสนทนาต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นตามมาหลังจากที่ ชุมชน<br />

จินตกรรม ได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะตลาดหลายสิบปีที่มาผ่านมานี้<br />

แล้ว ก็ย่อมกล่าวได้อยากเต็มปากว่า “ครูเบน” ประสบความสำาเร็จเป็น<br />

อย่างยิ่ง<br />

30


อ้างอิง<br />

Anderson, Benedict. Imagined Communities: Reflections on the Origin and Spread<br />

of Nationalism. Revised ed. London: Verso, 2016.<br />

Chasteen, John Charles. “Introduction: Beyond Imagined Communities.” In<br />

Beyond Imagined Communities: Reading and Writing the Nation in Nineteenth-Century<br />

Latin America, edited by Sara Castro-Klarén and John<br />

Charles Chasteen, ix–xxv. Washington, D.C.: Woodrow Wilson Center<br />

Press, 2003.<br />

Guerra, François-Xavier. “Forms of Communication, Political Spaces, and<br />

Cultural Identities in the Creation of Spanish American Nations.” In Beyond<br />

Imagined Communities: Reading and Writing the Nation in Nineteenth-Century<br />

Latin America, edited by Sara Castro-Klarén and John Charles Chasteen,<br />

3–32. Washington, D.C.: Woodrow Wilson Center Press, 2003.<br />

31

Hooray! Your file is uploaded and ready to be published.

Saved successfully!

Ooh no, something went wrong!