ASA CREW VOL.16
ASA Crew VOL. 16 - Animal
ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ของการออกแบบสถาปัตยกรรมและ 'สัตว์' ทั้งในความหมายของการออกแบบเพื่อการใช้สอย และการออกแบบเชิงสัญลักษณ์ที่ใกล้ตัวคุณกว่าที่เคยคิด
ASA Crew VOL. 16 - Animal
ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ของการออกแบบสถาปัตยกรรมและ 'สัตว์' ทั้งในความหมายของการออกแบบเพื่อการใช้สอย และการออกแบบเชิงสัญลักษณ์ที่ใกล้ตัวคุณกว่าที่เคยคิด
ANIMAL
- Page 2: CONTENTS ASA MEDIA DIRECTOR’S WOR
- Page 6: UPDATE โครงการออ
- Page 10: แนวคิดหลักใ
- Page 14: The design of the architecture and
- Page 18: ซ้าย: อาจารย์
- Page 22: INTERVIEW Boonserm Premthada: Bangk
- Page 26: _ตัวตนของอาจ
- Page 30: สถาปัตยกรรม
- Page 34: สภาพแวดล้อม
- Page 38: โครงสร้างขอ
- Page 42: REVIEW Baan Cats 2018 หลาก
- Page 46: “แมวเป็นสัต
- Page 50: REVIEW Cat Cafe Home รีฟอ
ANIMAL
CONTENTS<br />
<strong>ASA</strong> MEDIA DIRECTOR’S WORDS<br />
UPDATES<br />
4 Elephant Social Interaction Ground Pawarit Kongthong<br />
10 The National Zoo Pawarit Kongthong<br />
14 <strong>ASA</strong> CAN Talk at Architect’19 Nuttawadee Suttanan<br />
INTERVIEW<br />
20 Boonserm Premthada: Bangkok Project Studio Wasawat Rujirapoom<br />
REVIEW<br />
30 Living Between Scales: Surin Elephant World Winyu Ardrugsa, Ph.D.<br />
40 Baan Cats 2018 Siriporn Dansakun<br />
48 Cat Cafe Home Siriporn Dansakun<br />
ROUNDTABLE TALK<br />
58 Animals and Me <strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> Team<br />
FEATURE<br />
64 Animals in Traditional Architecture Assoc. Prof. Chatri Prakitnonthakan, Ph.D<br />
ILLUSTRATION<br />
74 Animals & Architecture Shayangkoon Ketpayak<br />
<strong>ASA</strong> REGIONAL<br />
80 Taksin: Tri-shawa Resort: A Pet-Friendly Hotel Kitti Chaowana<br />
88 Lanna: Cafe + architecture = “Cafitecture” Asst. Prof. Rattapong Angkasith, Arch.D.<br />
94 Esan: Back Home Pongpon Yuttharat<br />
STUDIO VISIT<br />
100 Tidtang Studio Wasawat Rujirapoom<br />
INTERNATIONAL ARCHITECT<br />
110 “Small Steps Forward”, said Arrhov Frick Nawanwaj Yudhanahas<br />
WHAT ARCHITEC THINK<br />
116 Elephant Tower Revisit Kisnaphol Wattanawanyo<br />
USERS’ OPINION<br />
122 Elephant Tower Pawarit Kongthong<br />
ONE DAY WITH AN ARCHITECT<br />
124 Extraordinary Everyday Pawarit Kongthong<br />
BOOK<br />
130 Engeki Quest: No Name Cats in Thonburi Wichit Horyingsawad<br />
VISUAL ESSAY<br />
132 Dusit Zoo Glass House Pawarit Kongthong<br />
แรงบันดาลใจของสถาปนิกศิลปินและนักออกแบบ<br />
บ่อยครั้งที่ได้มาจากสิ่งรอบๆตัววารสารอาษาครูเล่มนี้ได้<br />
นําพาท่านผู้อ่านเข้าไปเรียนรู้วิธีคิดและแรงบันดาลใจ<br />
การค้นหารูปแบบสถาปัตยกรรมและศิลปะในอีกแง่มุม<br />
หนึ่งถือเป็นการรวมรวมจัดกลุ่มเนื้อหาของวารสาร<br />
อาษาครูที่สะท้อนแนวคิดการออกแบบที่มีความชัดเจน<br />
น่าสนใจและมีค่ากับการรวมรวบมากทีเดียวครับ<br />
ผศ.ดร. กมล จิราพงษ์<br />
บรรณาธิการบริหาร<br />
Architects, artists and designers often draw<br />
inspiration from things around them. Bringing<br />
together a number of distinctive and interesting<br />
design concepts, this issue of <strong>ASA</strong> Crew explores<br />
the thought processes and inspiration that have<br />
given rise to many brilliant artistic and architectural<br />
creations.<br />
Asst. Prof. Kamon Jirapong Ph.D.<br />
Managing Editor<br />
Cover Photo: Bangkok Project Studio<br />
1<br />
Animal
EDITOR’S WORDS<br />
วารสารอาษาครู (<strong>ASA</strong> Crew) ฉบับนี้ว่าด้วยเรื่องความ<br />
สัมพันธ์ของการออกแบบสถาปัตยกรรมและ “สัตว์” ทั้ง<br />
ในความหมายของการออกแบบเพื่อการใช้สอยและการ<br />
ออกแบบเชิงสัญลักษณ์ ภายในเล่มมีการเล่าถึงการ<br />
ออกแบบบ้านพักอาศัยที่เจ้าของใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับแมว<br />
อย่างใกล้ชิด การวิเคราะห์พฤติกรรม “ผู้ใช้สอย” จึง<br />
หมายความรวมถึงทั้งคนและสัตว์ รวมถึงโครงการเพื่อการ<br />
เรียนรู้ช้างที่จังหวัดสุรินทร์ สําหรับคอลัมน์ Round Table<br />
เราได้นั่งจับเข่าพูดคุยกับสัตวแพทย์และสถาปนิก ในหัวข้อ<br />
การออกแบบเพื่อการเรียนรู้สัตว์ ส่วนคอลัมน์ Feature<br />
พูดถึงความหมายเชิงสัญลักษณ์ของสัตว์ต่างๆ ที่แทรกตัว<br />
อยู่ในองค์ประกอบของสถาปัตยกรรมไทยส่วนต่างๆ<br />
ผศ.ดร.สุพิชชา โตวิวิชญ์<br />
บรรณาธิการ<br />
This issue explores the relationship between<br />
architectural design and “animals”. Different<br />
projects are reviewed in terms of functional and<br />
symbolic design, including a residential space<br />
where humans and their cats live together, and an<br />
elephant learning center in Surin province.<br />
For the Round Table column, we sat down with<br />
a veterinarian and an architect to talk about what<br />
architectural design can teach us about animals.<br />
Finally, the Feature column focuses on the<br />
meaning and symbolism of animals in Thai<br />
architecture.<br />
Asst. Prof. Supitcha Tovivich Ph.D.<br />
Editor-in-Chief<br />
Photo: Bangkok Project Studio<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 2 3 Animal
UPDATE<br />
โครงการออกแบบ<br />
พื ้นที่เลี้ยงช้างแบบเปิด<br />
Elephant Social<br />
Interaction Ground<br />
Text: ปวริศ คงทอง / Pawarit Kongthong<br />
Translation: ธนว์กัญญา แจ้งใจธรรม / Tanakanya Changchaitum<br />
Photo: Creative Crews<br />
ผู้ออกแบบ: Creative Crews<br />
เจ้าของโครงการ: ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย<br />
ในพระอุปถัมภ์ฯ<br />
ระยะเวลา: 2017-2021<br />
ที่ตั้ง: ลำปาง<br />
สถานะ: อยู่ระหว่างพัฒนาแบบ<br />
พื้นที่โครงการ: 24,000 ตร.ม.<br />
Collaborators: Wor Consultant<br />
Co.,Ltd./ EXM Consultant Co., Ltd.<br />
Architect: Creative Crews<br />
Owner: National Elephant Institute<br />
Construction Period: 2017-2021<br />
Location : Lampang<br />
Status: Design development<br />
Area: 24,000 square meters<br />
Collaborators : Wor Consultant<br />
Co.,Ltd. / EXM Consultant Co., Ltd.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 4 5<br />
Animal
ซ้าย 1:การกั้นส่วนเลี้ยงช้าง<br />
ด้วยรูปร่างธรรมชาติร่วมกับ<br />
การจัดแลนด์สเคปช่วยในการ<br />
สร้างสภาวะที่คล้ายกับที่อยู่<br />
ตามป่าของช้าง<br />
The partitioning of the<br />
elephant ground using<br />
natural forms and<br />
landscaping is an attempt<br />
to recreate the animals’<br />
natural habitat.<br />
ซ้าย 2: การจัดกลุ่มของช้าง<br />
และควาญเพื่อลดปัญหาที่เกิด<br />
จากการเกษียณตัวของควาญช้าง<br />
The grouping together of<br />
elephants and mahouts<br />
aims to minimize the<br />
animals’ stress in the<br />
event that a mahout<br />
retires from the job.<br />
ซ้าย 3: การใช้ระดับของพื้น<br />
ดินแทนรั้วกั้นช่วยสร้างสภาวะ<br />
ที่เป็นธรรมชาติ กั้นส่วนของ<br />
ช้างแต่ละกลุ่มและพื้นที่ส่วน<br />
สังเกตการณ์ของควาญ<br />
The use of different<br />
ground levels instead of<br />
fencing creates a more<br />
natural terrain, enabling<br />
each group of elephants<br />
to be separate while<br />
providing observation<br />
spaces for the mahouts.<br />
บริษัท Creative Crews ร่วมกับศูนย์อนุรักษ์<br />
ช้างไทย ในพระอุปถัมภ์ฯ ได้เสนอแนวคิด<br />
การแก้ปัญหาด้วยปฏิสัมพันธ์ทางสังคม โดย<br />
เปลี่ยนจากระบบความสัมพันธ์เชิงเดี่ยวที่ใช้<br />
อยู่แต่เดิมเป็นระบบควาญช้าง 3 คนต่อช้าง<br />
5 เชือกแทน ระบบนี้จะช่วยลดความเครียดที่<br />
เกิดกับช้างจากการเปลี่ยนควาญ เนื่องจาก<br />
เมื่อมีควาญคนหนึ่งในกลุ่มออกจากงานก็จะ<br />
ยังมีควาญที่เหลือในกลุ่มคอยช่วยเหลือและ<br />
สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างช้างกับควาญใหม่<br />
อย่างไรก็ดีความสัมพันธ์ระหว่างช้างกับช้างก็<br />
ยังเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากช้างอาจ<br />
ทําร้ายกันเองจนถึงแก่ชีวิตได้ และในส่วนนี้<br />
เองที่การออกแบบสามารถเข้ามาแก้ปัญหา<br />
และพัฒนาคุณภาพชีวิตของช้างในศูนย์<br />
อนุรักษ์ได้ โดยผังของโครงการนี้จะแบ่งพื้นที่<br />
ปฏิสัมพันธ์ของช้างออกเป็น 4 ส่วนเพื่อช่วย<br />
ในการจัดกลุ่มของช้าง มีพื้นที่ส่วนสังเกตการณ์<br />
ที่ออกแบบมาให้ควาญช้างสามารถสอดส่อง<br />
พฤติกรรมของช้างแต่ละกลุ่มได้ โดยที่ไม่<br />
รบกวนการเข้าสังคมของช้าง นอกจากนี้ยังมี<br />
พื้นที่ส่วนสังเกตการณ์สําหรับบุคคลภายนอก<br />
ที่แยกออกมาอีกระดับหนึ่งด้วย<br />
In collaboration with the National<br />
Elephant Institute, Creative Crews has<br />
proposed a solution that offers a new<br />
type of social interaction. At its core is<br />
the idea that the one mahout, one<br />
elephant relationship be changed to a<br />
new ratio of three mahouts per five<br />
elephants. This new system would help<br />
relieve the elephant’s stress if one of<br />
the carers leaves while the remaining<br />
two carers will be able to facilitate a<br />
relationship between the animals and<br />
the new replacement mahout. Nevertheless,<br />
there is still a major issue<br />
concerning the relationships among the<br />
elephants themselves and the possibility<br />
that the animals can end up hurting<br />
or killing each other when they are kept<br />
in the same confined area. This is<br />
where design is brought in to provide<br />
solutions that help solve these issues<br />
and develop a better quality of life for<br />
the elephants kept in the institution.<br />
The project’s spatial program divides<br />
โครงการพื้นที่เลี้ยงช้างแบบเปิดนี้ เป็นผลงานออกแบบ<br />
จากบริษัท Creative Crews ที่พยายามหาทางจัดการกับ<br />
ระบบของพื้นที่เลี้ยงช้างในปัจจุบัน ซึ่งอาจจะไม่ตอบโจทย์<br />
ด้านความเป็นอยู่ของช้างและควาญช้างที่เปลี่ยนแปลงไป<br />
จากในอดีต ด้วยบริบทปัจจุบันที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่าง<br />
มากเกี่ยวกับช้างและการเลี้ยงช้าง อย่างเช่นการออก<br />
กฎหมายควบคุมการตัดไม้และความก้าวหน้าของ<br />
นวัตกรรมต่างๆ ได้ทําให้บทบาทด้านการใช้แรงงานของ<br />
ช้างลดความสําคัญลง และทําให้รายได้ของควาญช้างลด<br />
ลงตามไปด้วย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วช้างและควาญช้างนั้นมี<br />
ความสัมพันธ์กันแบบช้างหนึ่งเชือกต่อควาญช้างหนึ่งคน<br />
ตลอดชีวิต ซึ่งความสัมพันธ์เชิงเดี่ยวนี้เองที่เพิ่ม<br />
ความเครียดและความเสี่ยงต่อชีวิตของช้างทุกครั้งที่มีการ<br />
เปลี่ยนควาญอันเนื่องมาจากสภาพของบริบทที่<br />
เปลี่ยนแปลงตามที่กล่าวไว้เบื้องต้น<br />
For this elephant project, architecture firm Creative<br />
Crews attempts to figure out the most efficient way<br />
to manage a space where these majestic animals<br />
can live under the best possible care. Thailand has<br />
seen promising improvements in the well-being and<br />
quality of life of elephants, both as a result of laws<br />
that strictly regulate deforestation and the advent<br />
of modern technology that has reduced the need<br />
for them to perform manual labor.<br />
Normally, an elephant is cared by one mahout<br />
for life. If there’s a change of its keeper such a<br />
relationship can end up having a negative effect<br />
on the animal’s mental state. However, due to the<br />
aforementioned situation, which has had a big<br />
impact on the mahouts’ way of life and income,<br />
such a scenario is becoming harder to avoid.<br />
พื้นที่ส่วนปฏิสัมพันธ์ของช้างแบ่งออกเป็น 4 ส่วนเพื่อจัดกลุ่มช้าง<br />
Divided into four sections, the space where the elephants<br />
interact automatically separates them into different<br />
groups.<br />
the space where elephants are able to<br />
interact into four different zones, which<br />
are used to categorize the elephant<br />
population. An observation area is<br />
designed for the elephant keepers to<br />
observe the behavior of the animals<br />
under their care without disturbing<br />
their socializing activities. The design<br />
also includes an observation area for<br />
visitors.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 6<br />
7 Animal
แนวคิดหลักในการออกแบบศูนย์เลี้ยงช้างแบบเปิดนี้คือการพัฒนาพื้นที่อยู่อาศัยของช้างให้มี<br />
ความเป็นธรรมชาติเพิ่มขึ้น โดยจําลองรูปแบบโครงข่ายต้นไม้ที่เกิดจากการสานตัวกันของกิ่ง<br />
ก้านและรากของต้นไม้ในเขตป่าทึบ ในส่วนนี้การใช้เสาโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กที่มีกระบะ<br />
ต้นไม้อยู่ข้างบนจะถูกนํามาใช้แทนการสร้างโรงช้างหรือศาลาให้ร่มเงาในอดีต โดยมีส่วนที่เป็น<br />
ชายคาโครงเหล็กกล่องต่อเนื่องจากกระบะต้นไม้คอนกรีตเพื่อให้ต้นไม้สามารถเติบโตไปตาม<br />
แกนเหล็กได้ และสานตัวกับต้นไม้จากเสาข้างเคียงจนเป็นเหมือนกับร่มเงาไม้ในป่าธรรมชาติ<br />
ซึ่งร่มเงานี้มีความจําเป็นกับช้างเนื่องจากช้างไม่สามารถทนกับแดดร้อนตลอดทั้งวันได้<br />
พื้นที่เลี้ยงช้างถูกออกแบบให้<br />
ใกล้เคียงที่อยู่ตามธรรมชาติ<br />
มากที่สุดเท่าที่จะทําได้<br />
The elephant ground is<br />
designed to simulate the<br />
animals’ natural habitat as<br />
much as possible.<br />
ต้นไม้เทียมที่ประกอบด้วยเสา<br />
คอนกรีตเสริมเหล็ก เหล็ก<br />
กล่อง และไม้เลื้อย ถูกนํามา<br />
ใช้แทนศาลากันแดดหรือโรง<br />
ช้างแบบเดิม<br />
Instead of an ordinary<br />
shed, a canopy of artificial<br />
trees reinforced by<br />
concrete columns, steel<br />
tubes and climbing plants<br />
allows the animals to rest<br />
and shelter from the sun.<br />
The concept of this elephant sanctuary grew out of an intention to create a more<br />
natural living space for the animals. The design simulates a network of trees and<br />
interwoven stems and roots commonly found in the deep rainforest. The reinforced<br />
concrete columns with tree pots at the top create shaded areas where the elephants<br />
can sleep and rest. The eaves are connected to the concrete tree pots, allowing<br />
the trees to grow along the axes of the steel structure, entangle themselves with<br />
the adjacent trees, and create natural masses of interconnected foliage that<br />
provide shade and shelter similar to that found in natural forests. This shade will<br />
be crucial to the elephants’ well-being since they are not able to tolerate heat<br />
from the sun throughout the day.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 8<br />
9 Animal
UPDATE<br />
สวนสัตว์แห่งชาติ<br />
The National Zoo<br />
Text: ปวริศ คงทอง / Pawarit Kongthong<br />
Translation: ธนว์กัญญา แจ้งใจธรรม / Tanakanya Changchaitum<br />
เจ้าของโครงการ: องค์การสวนสัตว์ในพระ<br />
บรมราชูปถัมภ์<br />
ที่ตั้ง: คลอง 6 ธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี<br />
สถานะ: อยู่ระหว่างการออกแบบโปรแกรม<br />
พื้นที่โครงการ: 300 ไร่<br />
Owner: The Zoological Park Organization<br />
Under The Royal Patronage of H.M. The King<br />
Location: Klong Hok, Thanyaburi,<br />
Pathum Thani Province<br />
Status: Program development<br />
Area: 118.6 acres<br />
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 พลเอก<br />
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้นํา<br />
คณะเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ์ บดินทรเทพย-<br />
วรางกูร เพื่อรับพระราชทานโฉนดที่ดินใน<br />
พระปรมาภิไธย เพื่อใช้ในกิจการของราชการ<br />
รวมถึงโฉนดที่ดินบริเวณ คลอง 6 ธัญบุรี<br />
จํานวน 300 ไร่ เพื่อที่จะใช้สนองแผนการ<br />
ย้ายสวนสัตว์ดุสิต ด้วยเหตุที่สวนสัตว์ดุสิตมี<br />
พื้นที่คับแคบ ไม่สอดคล้องกับจํานวนสัตว์จัด<br />
แสดง และแออัดจากผู้เข้าชมจํานวนมาก<br />
โดยแนวความคิดของการอออกแบบสวนสัตว์<br />
ในปัจจุบันได้เปลี่ยนจากสถานที่เพื่อการพัก<br />
ผ่อน และเพื่อความสนุกสนาน มาเป็นแหล่ง<br />
ที่ส่งเสริมการศึกษาเรียนรู้ งานวิจัย และงาน<br />
ด้านอนุรักษ์ ทั้งยังมีการนําเสนอแนวคิดเรื่อง<br />
“ความหลากหลายทางชีวภาพ” ในระบบนิเวศ<br />
ต่าง ๆ นอกจากนี้สวนสัตว์ยังได้เปลี่ยนสภาพ<br />
จาก โรงเก็บสัตว์แปลกๆ ในกรง มาเป็นพื้นที่<br />
เลี้ยงสัตว์ที่มีการจําลองสภาพแวดล้อมที่เหมาะ<br />
สมกับสัตว์แต่ละชนิด โดยให้ความสําคัญกับ<br />
สวัสดิภาพของสัตว์ มีพันธกิจในการเป็นแหล่ง<br />
อนุรักษ์และเป็นสถานที่ศึกษาวิจัยสัตว์<br />
On 30th November 2017, Thailand’s<br />
Prime Minister, General Prayuth<br />
Chan-ocha, led a team of staff to meet<br />
with His Majesty King Maha Vajiralongkorn<br />
Bodindradebayavarangkun to<br />
ceremoniously receive the allotted<br />
118.6 acres of land in Klong Hok of<br />
Pathum Thani’s Thanyaburi district that<br />
has been designated as the site of the<br />
relocated Dusit Zoo. With the comparatively<br />
small old site no longer able to accommodate<br />
the large animal population and<br />
visitors, plans to relocate the zoo were<br />
set in action.<br />
Plans have been developed for the new<br />
zoo to offer recreational and educational<br />
experiences while also promoting<br />
wild-animal related studies, research<br />
and conservation initiatives. The new zoo<br />
also proposes a concept of biodiversity<br />
that encourages different types of<br />
ecosystems. Instead of the old zoo’s<br />
caged spaces the plan is to create a<br />
sanctuary like environment that better<br />
simulates each animal’s natural habitat.<br />
With one of the new zoo’s missions<br />
being to serve as an animal conservation<br />
and research center, emphasis is<br />
also being put on the improvement of<br />
the animals’ well-being.<br />
บน: ส่วนหนึ่งของขั้นตอนการ<br />
คิดโปรแกรมการออกแบบ<br />
Top: The development<br />
process for the new zoo’s<br />
design.<br />
ล่าง: ที่ตั้งของสวนสัตว์แห่งใหม่<br />
Bottom: The location of<br />
the new zoo.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 10<br />
11 Animal
The design of the architecture and<br />
landscape architecture centers upon<br />
the creation of a mixed species<br />
environment that is less controlling and<br />
confining for the animals. The activity<br />
based design will create an ecosystem<br />
of flooded grassland and biological<br />
diversity. Animals will be categorized<br />
according to their natural habitats,<br />
resulting in the division of the master<br />
plan into 11 different zones: Asian<br />
Flooded Grassland, Asian Mixed<br />
Forest-Grassland, Asian Moist Evergreen<br />
Forest and Dry Evergreen Forest,<br />
Asian Mountainous Region, African Rain<br />
Forest, African Flooded Grassland,<br />
African Grassland, Australian Tropical<br />
Forest, South American Rain Forest,<br />
South American Forest-Grassland and<br />
South American Grassland- Hillside.<br />
environmental conservation. The<br />
project is currently in the research and<br />
development stage during which all of<br />
the possibilities will be explored before<br />
the next stage of the design process is<br />
carried out. Ideas for the zoning and<br />
management of the collections of<br />
animals are also being developed.<br />
These will then be used in the design<br />
development process and help influence<br />
the decision about which consultants<br />
and collaborators are the most suitable<br />
for the project.<br />
The project is geared towards five<br />
objectives. The first one is to design<br />
ในการออกแบบอาคารและภูมิทัศน์โดยรอบ<br />
เน้นการออกแบบเพื่อให้สัตว์อยู่ร่วมกัน<br />
(Mixed-species) และการไม่บงการสัตว์ จึง<br />
จะมีการคํานึงถึงกิจกรรมส่งเสริมพฤติกรรม<br />
สัตว์ตามธรรมชาติ (Activity-based design)<br />
แนวคิดหลักคือการนําเสนอภาพจําของระบบ<br />
นิเวศทุ่งน้ําและความหลากหลายทางชีวภาพ<br />
มีการจําแนกชนิดของสัตว์จัดแสดงตามถิ่นที่<br />
อยู่ต่างๆ ออกเป็นจํานวน 11 ส่วนจัดแสดง<br />
ได้แก่ ทุ่งน้ําในเอเชีย ป่าเบญจพรรณต่อทุ่ง<br />
หญ้าในเอเชีย ป่าดิบแล้ง-ป่าดิบชื้นในเอเชีย<br />
โขดหินในเอเชีย ป่าดิบในแอฟริกา ทุ่งน้ําใน<br />
แอฟริกา ทุ่งหญ้าในแอฟริกา ป่าเขตร้อนใน<br />
ออสเตรเลีย ป่าดิบในอเมริกาใต้ ป่าต่อทุ่งใน<br />
อเมริกาใต้ และทุ่ง-เนินเขาในอเมริกาใต้<br />
โครงการนี้มีเป้าหมายหลัก 5 ข้อ อันดับแรก<br />
คือ เป็นการสร้างสวนสัตว์เฉลิมพระเกียรติ<br />
เป็นแหล่งเรียนรู้ศาสตร์พระราชา (เนื่องจาก<br />
ที่ดินที่จะเป็นที่ตั้งโครงการนี้เป็นที่ดิน<br />
พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)<br />
สองเรื่องของความทันสมัยและแทนความ<br />
เป็นไทยเข้าไปในงานออกแบบสวนสัตว์<br />
สามต้องบรรลุพันธกิจขององค์การสวนสัตว์<br />
และเป็นไปตามมาตรฐานสากล สี่วางผัง<br />
ออกแบบเพื่อผู้ใช้ทุกกลุ่ม โดยมี 3 ผู้ใช้งาน<br />
หลัก เจ้าหน้าที่ สัตว์ และผู้เยี่ยมชม<br />
อย่างสุดท้ายคือ เป็นโครงการต้นแบบของ<br />
การอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม<br />
ปัจจุบันโครงการสวนสัตว์ใหม่ยังอยู่ในขั้น<br />
ตอนของการศึกษาโปรแกรมเพื่อการออกแบบ<br />
และความเป็นไปได้อยู่ ซึ่งในตอนนี้ได้มี<br />
การกําหนดแนวทางของการจัดโซนและ<br />
คอลเลคชันสัตว์ว่าต้องการให้ส่วนไหนสัตว์<br />
ตัวใดเป็นตัวเด่น ตอนนี้ทางคณะศึกษากําลัง<br />
อยู่ในช่วงของการนําไปสู่การสรุปขั้นแรกเพื่อ<br />
การออกแบบ เพื่อที่จะนําไปจัดหาที่ปรึกษา<br />
และผู้ออกแบบสวนสัตว์ในขั้นตอนต่อไป<br />
ภาพจําลองทัศนียภาพระบบ<br />
นิเวศแบบทุ่งน้ําเพื่อประกอบ<br />
การสร้างโปรแกรมการ<br />
ออกแบบ<br />
A perspective image<br />
simulating the landscape<br />
and ecosystem of flooded<br />
grassland that has been<br />
created as part of the new<br />
zoo’s design development.<br />
and construct a zoo that serves as a<br />
learning center about His Majesty the<br />
King’s philosophy and honors his<br />
contribution (the land where the new<br />
zoo is located was donated by His<br />
Majesty). The second objective involves<br />
the incorporation of modern technology<br />
and integration of Thai identity as a<br />
part of the design of the zoo. The third<br />
objective revolves around the zoo’s<br />
operation, which aims to achieve the<br />
missions set out by the Zoological Park<br />
Organization as well as to meet global<br />
standards. The fourth objective entails<br />
the design of a spatial program that<br />
accommodates three main groups of<br />
users: the staffs, animals and visitors.<br />
Lastly, the new zoo is expected to serve<br />
as a model for natural resource and<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 12<br />
13 Animal
UPDATE<br />
<strong>ASA</strong> CAN Talk at Architect’19:<br />
เมื ่อน้ำาและเมืองคือเรื ่องของเราทุกคน<br />
Water and City: Everybody’s Matter<br />
Text: ณัฐวดี สัตนันท์ / Nuttawadee. Suttanan<br />
Translation: ธนว์กัญญา แจ้งใจธรรม / Tanakanya Changchaitum<br />
“กรุงเทพฯ + บ้าน + เมือง + น้ํา(Bangkok<br />
City + Water)” คือหัวข้อการเสวนาในงาน<br />
สถาปนิก’62 ที่ <strong>ASA</strong> CAN หรือกรรมาธิการ<br />
สถาปนิกเพื่อสังคมและเมือง (<strong>ASA</strong> Community<br />
Act Network) เป็นผู้จัดขึ้น ด้วยจุดมุ่ง<br />
หมายในการเชิญชวนทุกคนมาร่วมแลก<br />
เปลี่ยน ร่วมผลักดัน ร่วมหาทางร่วมมืออย่าง<br />
เป็นกันเอง ในสถานการณ์เรื่อง “น้ํา” ของ<br />
กรุงเทพมหานครในปัจจุบัน เมืองที่เคยได้ชื่อ<br />
ว่าเป็น “เวนิสตะวันออก” ที่ทุกวันนี้ถูกแทนที่<br />
ด้วยถนนไปทั่วทุกพื้นที่ ร่วมกับวิทยากรหลาก<br />
หลายแขนง ประกอบด้วย 1) ดร.รอยล จิตรดอน<br />
กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ใน<br />
พระบรมราชูปถัมภ์ 2) อาจารย์สุรจิต ชิรเวทย์<br />
ประชาคมคนรักแม่กลอง กลุ่มประชาคมที่<br />
ดูแลเรื่องการรักษาและการอยู่กับน้ําอดีต<br />
สมาชิกวุฒิสภาและอดีตประธานหอการค้า<br />
สมุทรสงคราม 3) คุณลุงชวน ชูจันทร์<br />
ประธานวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตร<br />
ตลาดน้ําคลองลัดมะยม 4) คุณยศพล<br />
บุญสม ภูมิสถาปนิกจากบริษัท SHMA และ<br />
กลุ่มเพื่อนแม่น้ํา5) คุณอาสา ทองมนูชาติ<br />
ตัวแทนจากสํานักการวางผังและพัฒนาเมือง<br />
กรุงเทพมหานคร<br />
บทสนทนาในวงเสวนาเริ่มต้นจากคุณลุงชวน<br />
ชูจันทร์ ตัวแทนจากภาคประชาชนจากฝั่ง<br />
ธนบุรี เล่าเรื่องความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน<br />
ฐานะคนที่อยู่กับน้ํามาตั้งแต่เกิด จากเดิมที่<br />
คนกรุงเทพเคยอยู่กับน้ําสายน้ําเป็นเหมือน<br />
ส่วนหนึ่งของชีวิต ปัจจุบันเมื่อเมืองขยายตัว<br />
ไปเรื่อยๆ ชุมชนที่อยู่กับน้ําก็เกิดความ<br />
เปลี่ยนแปลง คนไม่ได้มีการใส่ใจและเข้าใจ<br />
เรื่อง “น้ํา” อย่างแท้จริงและทําให้การใช้ชีวิต<br />
For Architect Expo ’19, <strong>ASA</strong> CAN (<strong>ASA</strong><br />
Community Act Network) held a discussion<br />
titled ‘Bangkok City + Water’ at this year’s<br />
<strong>ASA</strong> CAN Talk platform. Academics were<br />
invited to share their views, address<br />
issues and find mutual solutions to<br />
Bangkok’s current water situation. Once<br />
known as the ‘Venice of the East’, the city<br />
faces a situation whereby its waterways<br />
have been replaced by roads as a result<br />
of poorly planned urban development.<br />
<strong>ASA</strong> CAN Talk welcomed academics from<br />
different fields of study, including Dr.<br />
Royol Jitdon, Committee member and<br />
Secretary of The Water Foundation of<br />
Thailand Under Royal Patronage of H.M.<br />
the King; Surajit Chirawate, a former<br />
member of the senate, former President<br />
of Samutsongkram Chamber of Commerce,<br />
and President of Prachakom<br />
Konlux Maeklong Club, the civil society<br />
group whose operations revolves around<br />
water conservation and promotion of<br />
sustainable coexistence between<br />
humans and water; Chuan Choojan,<br />
President of Agricultural Tourism<br />
Community Enterprise of Klong Lad<br />
Mayom Floating Market; Yossaphol<br />
Boonsom, landscape architect of SHMA<br />
and a representative from Friends of the<br />
River; and <strong>ASA</strong> Thongmanuchart, a<br />
representative from the Department of<br />
City Planning and Urban Development,<br />
Bangkok Metropolitan Administration.<br />
ขวา: อาจารย์สุรจิต ชิรเวทย์<br />
ประชาคมคนรักแม่กลอง เล่า<br />
เรื่องการตั้งถิ่นฐานของ<br />
กรุงเทพเปรียบเทียบกับการ<br />
ตั้งถิ่นของแม่กลอง<br />
Right: Surajit Chirawate,<br />
President of the<br />
Prachakom Konlux<br />
Maeklong Club, discusses<br />
a comparative settlement<br />
pattern between the<br />
people of Bangkok and<br />
Mae Klong.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 14<br />
15 Animal
ซ้าย: อาจารย์สุรจิต ชิรเวทย์<br />
ประชาคมคนรักแม่กลอง<br />
Left: Surajit Chirawate,<br />
President of the<br />
Prachakom Konlux<br />
Maeklong Club.<br />
ขวา: ดร.รอยล จิตรดอนน<br />
กรรมการและเลขาธิการ<br />
มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรม<br />
ราชูปถัมภ์<br />
Right: Dr. Royol Jitdon,<br />
Committee member and<br />
Secretary of The Water<br />
Foundation of Thailand<br />
Under Royal Patronage of<br />
H.M. the King.<br />
“กรุงเทพฯ + บ้าน + เมือง +<br />
น้ํา” การเสวนาในงาน<br />
สถาปนิก’62 โดยกรรมธิการ<br />
สถาปนิกเพื่อสังคมและเมือง<br />
(<strong>ASA</strong> Community Act<br />
Network)<br />
“Bangkok City+Water”, one<br />
of the talks held as a part<br />
of Architect’19 by <strong>ASA</strong> CAN<br />
(<strong>ASA</strong> Community Act<br />
Network).<br />
The conversation began with Chuan Choojan, who spoke as a representative of<br />
Thonburi. He shared the changes he has witnessed first-hand as a resident of a<br />
waterfront community and expressed his view that water used to be an integral of<br />
the people of Bangkok’s way of life before urbanization brought drastic changes to<br />
local waterside communities. As they adapt to the new urban fabric and life, people<br />
no longer have knowledge about or awareness of the importance of water. Bangkok’s<br />
waterways have become heavily polluted and its inhabitants afraid of water. For<br />
Choojan, agricultural tourism is a way of promoting his belief in the importance of<br />
water as an integral part of the city and people’s way of life. In his view the country is<br />
reaching a turning point and as long as we put our minds to it, everyone can be a part<br />
of the change. “There are still many good things left to salvage and we can make the<br />
change happen,” he said.<br />
กับน้ําเปลี่ยนแปลงไป กรุงเทพฯกลายเป็น<br />
เมืองที่คนกลัวน้ําน้ําที่เคยใสสะอาดก็เต็มไป<br />
ด้วยขยะสารพิษ ในส่วนของคุณลุง คุณลุง<br />
เลือกที่จะทําการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพื่อหวัง<br />
ว่าสักวันน้ําจะกลับมาดี เหมือนในวันเก่า<br />
เพราะ “เราเคยอยู่ร่วมกับน้ําได้เป็นอย่างดี”<br />
ลุงชวนมองว่าในวันนี้ ประเทศเรามาถึงจุด<br />
เปลี่ยนและเราทุกคนมีส่วนที่จะสร้างการ<br />
เปลี่ยนแปลงทั้งนั้น เพียงแค่เราทุกคนช่วยกัน<br />
จริง ๆ “ยังมีอะไรที่ดีอยู่ ที่ยังพอขับเคลื่อนได้”<br />
อาจารย์สุรจิต ชิรเวทย์ เล่าต่อจากลุงชวนใน<br />
เรื่องการตั้งถิ่นฐานของกรุงเทพฯ เปรียบเทียบ<br />
กับการตั้งถิ่นฐานของแม่กลอง ในฐานะคนแม่<br />
กลอง รวมถึงเรื่องการบริหารจัดการน้ําทั้งเรื่อง<br />
การสร้างเขื่อนระบบปิดล้อมคลองในกรุงเทพฯ<br />
การปักเขตลําประโดง และประตูน้ําที่สะท้อน<br />
ภาพการจัดการน้ําในปัจจุบันที่เต็มไปด้วย<br />
ความไม่เข้าใจถึงธรรมชาติของน้ําได้เห็นภาพที่<br />
ชัดเจนขึ้น ดังนั้นสิ่งสําคัญคือเราต้องรู้วิธีการ<br />
จัดการน้ําที่ดี และผังเมืองต้องคํานึงถึงผังน้ํา<br />
เพราะแท้ที่จริงแล้ว เราเป็นชาวน้ําเมื่อถึงหน้า<br />
น้ําหลากก็ต้องพร้อมจะให้น้ําผ่านได้ อย่าไป<br />
กั้นสู้น้ําเพราะการอยู่ร่วมกับน้ํานั้นเป็นทาง<br />
เลือกที่ดีกว่า<br />
หลังจากนั้น ดร.รอยล จิตรดอน จากมูลนิธิ<br />
อุทกพัฒน์ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวเสริม<br />
ว่าทุกอย่างเป็นผลมาจากการจัดการผังเมือง<br />
เพราะในอดีตนั้นผังเมืองสุโขทัย และผังเมือง<br />
อยุธยา เป็นผังเมืองแบบตารางสี่เหลี่ยมที่มี<br />
การเชื่อมกับน้ํามีคลองระบายน้ําและการขุด<br />
คลอง นั่นคือคนในอดีตมีวิถีชีวิตแบบ “อยู่กับ<br />
น้ํา” ดังเช่นที่ลุงชวนเคยเล่าไปในตอนต้น<br />
การตั้งถิ่นฐานของเราจึงถูกกระจายไปตาม<br />
คลองต่างๆ มีการเชื่อมคลองจากที่ต่างๆ และ<br />
แม้จะมีการตัดถนนเพิ่มมาในสมัยรัชกาลที่ 5<br />
แต่เราก็ยังมีคลองเชื่อมอยู่ ถึงวันนี้เราล้มเหลว<br />
ทั้งถนนทั้งน้ําเราเดินทางวันละ 40 กิโล<br />
หมู่บ้านจํานวน 700 หมู่บ้านตั้งอยู่ที่นนทบุรี<br />
แต่ต้องขับรถไปทํางานย่านสีลม เพราะเราล้ม<br />
เหลวเรื่องผังเมือง และเราไม่ได้โตหรือเรียนรู้<br />
จากประวัติศาสตร์ เราไม่ได้โตจากจุดแข็งของ<br />
เราเลย<br />
ยศพล บุญสม ในฐานะตัวแทนคนที่โตมากับ<br />
เมือง เล่าว่าเหตุการณ์หนึ่งที่ทําให้เขารู้สึกว่า<br />
ความสัมพันธ์เรื่องน้ํากับคนเมืองขาดสะบั้น<br />
คือเมื่อมีโอกาสได้ไปลงพื้นที่ช่วยน้ําท่วมที่<br />
อยุธยา เมื่อตอนน้ําท่วมใหญ่ปี 2554 วิธีคิด<br />
ของคนเมืองคือน้ําท่วมในครั้งนี้คืออุทกภัย<br />
และเราจะไปช่วยเขา แต่เมื่อไปถึงอยุธยา<br />
เขาพบคุณลุงพายเรือแจว ที่ไม่ได้เดือดร้อน<br />
อะไรกับการที่ถนนใช้การไม่ได้ เพราะสําหรับ<br />
เขา น้ําท่วมไม่ใช่ภัยพิบัติ น้ําท่วมก็คือน้ําท่วม<br />
จากเหตุการณ์นั้นทําให้ยศพลได้เรียนรู้ว่า<br />
ทัศนคติเรื่องน้ําของคนเมืองไม่ได้เพียงเปลี่ยน<br />
จากอดีต แต่เป็นการพลิกจากหน้ามือไปหลังมือ<br />
ในปัจจุบัน เราไม่ได้มองว่าน้ําเป็นมิตร แต่<br />
Surajit Chirawate took the stage to talk about settlement patterns in Bangkok<br />
compared to those of Mae Klong. A Mae Klong resident, he explained that the<br />
construction of water barrier systems and water gates, which interrupt the flow of<br />
waterways in Bangkok, including the demarcation of smaller waterways, are<br />
indicative of the current approach to water management and show no true<br />
understanding of the nature of water. What the city needs is a suitable water<br />
management plan while urban planning schemes need to factor in waterways. He<br />
pointed out that Bangkok will always be a city of water and argued that when the<br />
rainy season comes we should let the water pass through instead of blocking it and<br />
trying to fight off its arrival. “Finding a way to coexist is the best alternative,” he said.<br />
Dr. Royol Jitdon from The Water Foundation of Thailand added that everything<br />
has resulted from the city’s problematic urban planning. The Kingdom’s previous<br />
capitals, such as Sukhothai and Ayutthaya ,were built in a gridiron plan with a<br />
network of connected waterways including water distribution canals. People in<br />
the past lived ‘with’ water, with settlements coexisting alongside canal routes<br />
that were all linked together. Even when urban development during the reign of<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 16<br />
17 Animal
วิทยากรหลากหลายแขนงที่มา<br />
ร่วมคุยและแลกเปลี่ยนความรู้<br />
ในสถานการณ์เรื่อง “น้ํา”<br />
ของกรุงเทพมหานครใน<br />
ปัจจุบัน<br />
Speakers from different<br />
professions and<br />
disciplines join the discussion<br />
and exchange their<br />
views and knowledge on<br />
Bangkok’s water<br />
management.<br />
King Rama V began to include road construction,<br />
the city was still largely connected by canals.<br />
However, the city of Bangkok has subsequently<br />
suffered due to its poorly planned and developed<br />
waterway and roadway system. A majority of<br />
people have to commute 40 kilometers a day,<br />
some from their homes in housing estates located<br />
in Nonthaburi or suburbs on the outskirts of<br />
<strong>ASA</strong> Thongmanuchart, a representative from the<br />
Department of City Planning and Urban Development,<br />
Bangkok Metropolitan Administration,<br />
joined the conversation with an interesting<br />
update on how the city’s urban development plan<br />
is now putting more emphasis on the environment,<br />
including the conservation of disaster prevention<br />
areas, water drainage system management, and<br />
Bangkok, to their offices in CBDs such as Silom,<br />
proper maintenance of canals and waterways.<br />
all because urban planning is a complete failure.<br />
“Urban planning is a matter of public interest, and<br />
We did not grow or learn from our history or our<br />
everyone should be involved in the development<br />
strong points.<br />
of the city planning simply because the city<br />
belongs to all of us.”<br />
Bangkok native Yossaphol Boonsom recalled an<br />
incident that made him realize that the relationship<br />
The lesson learnt from this discussion was that<br />
between the city’s inhabitants and water has<br />
human attitudes towards nature affect our way of<br />
become completely disconnected. During the<br />
life and the physicality of the city. One thing we all<br />
floods of 2014 he was volunteering in Ayutthaya.<br />
have to accept is that few people nowadays have a<br />
มองว่าน้ําเป็นภัย เลยต้องป้องกัน ดังนั้นเรา<br />
ไม่ได้เปลี่ยนแค่กายภาพ แต่เราเปลี่ยนวิธีคิด<br />
ต่อน้ํา“คนเมืองมองน้ําเป็นกายภาพ ไม่ได้<br />
มองเป็นจิตวิญญาณ ที่จะต้องเข้าใจน้ําสิ่งนี้<br />
กําลังเป็นภัยคุกคมของเมือง ซึ่งเกิดจากคน<br />
เมืองที่มองการพัฒนาแม่น้ําอย่างไม่เข้าใจราก”<br />
อาสา ทองมนูชาติ ตัวแทนจากสํานักการวาง<br />
ผังและพัฒนาเมือง กรุงเทพมหานคร กล่าว<br />
เสริมจากวิทยากรท่านอื่นๆ ในเรื่องของการ<br />
ปรับปรุงผังเมืองรวมฉบับที่ห้า ที่พยายามให้<br />
ความสําคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทั้งการ<br />
รักษาพื้นที่ป้องกันภัยพิบัติ รวมทั้งการระบาย<br />
น้ําการดูแลรักษาคูคลอง อาสาอธิบายเพิ่มว่า<br />
ผังเมืองเป็นเรื่องของประโยชน์สาธารณะและ<br />
ชวนทุกคนมาร่วมกันให้ความเห็นเรื่องการ<br />
พัฒนาผังเมืองรวม เพราะ “ผังเมืองไม่ใช่ของ<br />
ใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของพวกเราทุกคน”<br />
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากวงเสวนาวันนี้ อาจจะกล่าว<br />
ได้ว่าทัศนคติต่อธรรมชาติ ส่งผลต่อวิถีชีวิตที่<br />
เราอยู่ และกายภาพของเมือง สิ่งหนึ่งที่ต้อง<br />
ยอมรับคือเมื่อเทียบกับอดีตความเข้าใจเรื่อง<br />
น้ําของคนส่วนมากนั้น น้อยจนแทบจะเลือน<br />
หายไป และ “น้ํา” ไม่ได้ถูกมองเป็นส่วนหนึ่ง<br />
ของวิถีชีวิตของเราอีกต่อไป ดังนั้นแม้ในวันนี้<br />
เราจะย้อนอดีตไปไม่ได้ แต่ว่าเราทุกคน<br />
สามารถทําวันข้างหน้าไม่ให้เสียหายไปกว่านี้<br />
ได้ ด้วยการช่วยกันหาวิธีประยุกต์วิธีแนวคิด<br />
สมัยใหม่ผสานกับภูมิปัญญาดั้งเดิม โดยเรียน<br />
รู้บทเรียนจากอดีต และสิ่งสําคัญคือเราต้องรู้<br />
วิธีการอยู่ร่วมกับน้ําอย่างหลากหลายมิติ ท้าย<br />
ที่สุดคําพูดปิดท้ายของยศพลอาจจะแทนใจ<br />
หลายๆคน ได้เป็นอย่างดี “เราได้เรียนรู้ว่าคน<br />
ที่รู้ดีที่สุดไม่ใช่นักออกแบบ คนที่รู้จริงที่สุด<br />
ไม่ใช่สถาปนิก คนที่อยู่ในชุมชน ในพื้นที่<br />
ปราชญ์ชาวบ้าน คือคนที่รู้จริงว่าวิถีแต่ละท้อง<br />
ถิ่นคืออะไร และแม้ว่าวันนี้เราจะมีภาระอัน<br />
หนักอึ้ง แต่ถ้าเรามีความหวัง มันก็จะค่อย<br />
เปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กละน้อย”<br />
Someone who’s lived in the city all his life, he<br />
considered the floods a natural disaster and<br />
promptly volunteered in the affected areas. But<br />
once he reached Ayutthaya, he came across an<br />
uncle paddling his boat, unperturbed by the fact<br />
the roads were all flooded. “For him, flood wasn’t a<br />
disaster. It was just a flood.” From this encounter<br />
he learnt that the attitude of people towards<br />
water has shifted entirely. Water is seen not as a<br />
friend but a threat, which explains attempts to<br />
protect the city from its so-called invasion. It isn’t<br />
just about how we see water physically, it’s also<br />
the way we think about it. “City people see only<br />
the physicality of it not the spiritual aspect that<br />
needs to be understood at a deeper level. Water is<br />
a threat because city people look at the development<br />
of waterways without any true understanding<br />
of their roots.”<br />
true understanding of the nature of water and its<br />
relationship with the city, and that this is because<br />
water has been excluded from most people’s way<br />
of life. And while we can’t bring back the past,<br />
what we can do is find ways to prevent the<br />
present and the future from being damaged even<br />
further. One of the ways we can do this is by<br />
integrating new approaches and modern<br />
technologies with local wisdom. It’s important<br />
that we learn from past lessons, that we remain<br />
aware and properly educated about the many<br />
ways in which humans can live with water.<br />
Yossaphol’s closing comment resonated with<br />
what many people now feel: “We have come to<br />
learn that the people who know best are neither<br />
designers nor architects but the those who really<br />
live in the communities, the local scholars who<br />
have a deep and comprehensive knowledge and<br />
understanding of the local way of life. We face a<br />
heavy burden and challenging obstacles, but as<br />
long as we keep our hope up the change will<br />
eventually happen.”<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 18<br />
19 Animal
INTERVIEW<br />
Boonserm Premthada:<br />
Bangkok Project Studio<br />
กล่าวได้ว่า ณ เวลานี้ คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ<br />
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ บุญเสริม เปรมธาดา<br />
และ Bangkok Project Studio ซึ่งไม่ได้เพียง<br />
เป็นที่รู้จักในวงการสถาปัตยกรรมไทยเท่านั้น<br />
หากแต่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก รางวัล Royal<br />
Academy Dorfman Award และรางวัล<br />
ศิลปาธร สาขาสถาปัตยกรรม พ.ศ. 2562<br />
เป็นรางวัลระดับสากลและระดับประเทศ ที่<br />
อาจารย์เพิ่งได้รับทั้ง 2 รางวัลภายในเดือน<br />
เดียวกันนั้น น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้เป็น<br />
อย่างดี<br />
At this moment in time, Boonserm<br />
Premthada of Bangkok Project Studio<br />
is widely recognized not just within<br />
Thailand’s architecture scene but the<br />
international arena. That he received<br />
both the globally renowned Royal<br />
Academy Doftman Award and Thailand’s<br />
prestigious Silpathorn Award (in the<br />
Architecture category) in the same<br />
month in 2019 is evidence of this.<br />
_จุดเริ่มต้นของความคิดในแบบของอาจารย์<br />
บุญเสริม<br />
ผลงานของอาจารย์บุญเสริมล้วนเริ่ม<br />
จาก ‘จิตวิญญาณในงานสถาปัตยกรรม’<br />
(Spirituality of Architecture) ซึ่งความ<br />
เข้าใจด้าน Spirituality ในโลกนี้มีหลายอย่าง<br />
แต่ในแบบของอาจารย์บุญเสริมจะเป็นเรื่อง<br />
ของ ‘ผัสสะ’ (Sense) ทั้ง 6 ได้แก่ รูป รส<br />
กลิ่น เสียง กาย และจิต ซึ่งเป็นพื้นฐานของ<br />
มนุษย์ที่จะรับรู้สิ่งต่างๆ นํามาใช้เป็นพื้นฐาน<br />
ในการออกแบบ ทําให้นามธรรมเป็นรูปธรรม<br />
หากจะจํากัดความให้แคบลง เนื่องจาก<br />
อาจารย์มีพื้นฐานและความถนัดทางด้านการ<br />
ก่อสร้างมาก่อน จึงเน้นลึกลงไปในเรื่องของ<br />
วัสดุและโครงสร้างที่มีความเป็นเนื้อแท้ ดิบ<br />
หยาบ ไม่สมบูรณ์แบบ ทั้งจากธรรมชาติและ<br />
ที่ถูกทําโดยมือมนุษย์ ทําให้เกิดเป็นสิ่งที่ไม่<br />
คาดคิด สร้างความประหลาดใจแก่ผู้คนได้<br />
เสมอๆ “ผมมักจะเลือกใช้วัสดุท้องถิ่น เช่น<br />
อิฐและไม้ ผสมผสานกับวัสดุทางอุตสาหกรรม<br />
เช่น เหล็ก ที่มีขนาดมาตรฐานตายตัว มี<br />
ความยืดหยุ่นน้อย เมื่อนํามาประกอบกับวัสดุ<br />
ท้องถิ่น ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า ก็จะเกิด<br />
ความสมดุล”<br />
What he refers to as the ‘spirituality<br />
of architecture’ is at the genesis of<br />
Premthada’s ideas. His spiritual<br />
understanding of the world encompasses<br />
the six senses (vision, hearing,<br />
taste, smell, touch and spirit), the<br />
fundamental sensory receptors that<br />
enable human to experience. These<br />
senses have been utilized in the design<br />
of his architecture, which materializes<br />
the abstract into the tangible.<br />
To be more specific about this definition,<br />
Premthada’s background knowledge<br />
and expertise in construction mean<br />
that his designs explore the true<br />
essences of materials and structures;<br />
in his work the raw aesthetics of nature<br />
and handmade creations lead to<br />
unexpected and surprising results. “I’ve<br />
always been drawn to local materials,<br />
such as red bricks and wood, and other<br />
simple construction materials, such as<br />
steel, whose definite standardized<br />
sizes, when combined with the flexibility<br />
Text: วสวัตติ์ รุจิระภูมิ / Wasawat Rujirapoom<br />
Translation: ธนว์กัญญา แจ้งใจธรรม / Tanakanya Changchaitum<br />
Photo: Bangkok Project Studio<br />
Photo Portrait: Feaw Vintage<br />
of natural materials, create a wellbalanced<br />
outcome,” he explains.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 20<br />
21 Animal
_กระบวนการทางานของความคิด<br />
“ปกติการทํางานที่ดีต้องเริ่มจากโปรแกรมที่ชัดเจนก่อน<br />
ซึ่งความชัดเจนนั้นจะเกิดขึ้นจากการค้นคว้าวิจัย เมื่อ<br />
เข้าใจเป็นอย่างดีแล้ว จึงเข้าสู่การกําหนดโปรแกรมการใช้<br />
งาน ซึ่งไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นอาคารประเภทไหน หากแต่<br />
เป็นการสร้างทางออกให้มีการใช้งานให้มีความหลากหลาย<br />
มากขึ้น” อาจารย์บุญเสริมเล่าถึงกระบวนการทํางานของ<br />
ตนเองอย่างสังเขป และเนื่องจากอาจารย์มีพื้นฐานจาก<br />
การเรียนเรื่อง renovation อาคารมาก่อน โดยส่วนใหญ่<br />
อาคารในอดีตมีการใช้งานที่ชัดเจนและตายตัว เมื่อถึงเวลา<br />
ปัจจุบันที่อยากให้อาคารนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ จึงถูกปรับ<br />
เปลี่ยนการใช้งาน และมักจะถูกรื้อย้ายพื้นที่ภายในออกไป<br />
ทั้งหมด แล้วค่อยสร้างขึ้นมาใหม่ เหมือนเป็นการสร้าง<br />
สถาปัตยกรรมซ้อนสถาปัตยกรรม ซึ่งกลายเป็นข้อจํากัด<br />
หนึ่ง จึงเกิดการตั้งคําถามถึงสถาปัตยกรรมกับการใช้งาน<br />
เมื่อมีโอกาสจึงสนใจทดลองสร้างอาคารที่สามารถมีการใช้<br />
งานได้หลายๆแบบ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของคนที่จะเข้ามา<br />
ใช้งาน หลายคนอาจมองว่าผลงานของอาจารย์ คิดได้<br />
อย่างอิสระ แต่จริงๆแล้ว ทุกงานล้วนมีข้อจํากัดจากทาง<br />
ด้านกฎหมาย งบประมาณ แรงงาน และความสามารถ<br />
ของช่างก่อสร้าง รวมถึงเวลาด้วย แต่ข้อจํากัดเหล่านี้ล้วน<br />
แล้วแต่เป็นโอกาสที่จะพัฒนางานให้ก้าวหน้าขึ้น<br />
“วิธีคิดของผมไม่ได้คิดเป็นเส้นตรงอย่างที่หลายคนมัก<br />
เข้าใจ หากแต่เป็นวิธีคิดแบบเกลียว ที่หมุนวนแล้วค่อยๆ<br />
ดิ่งลึกลงไป เป็นการคิดทบทวนตัวเองเสมอ เวลากลับมาดู<br />
ผลงานที่ผ่านมา งานส่วนไหนที่ยังไม่ลึกพอ ก็จะย้อนกลับ<br />
มาทบทวนอย่างเชื่อมโยงกัน ระหว่างวัสดุ โครงสร้าง<br />
บรรยากาศ และความรู้สึก”<br />
บน: The Wine Ayutthaya<br />
หนึ่งในผลงานที่มีชื่อเสียงของ<br />
อ.บุญเสริม<br />
The Wine Ayutthaya, one<br />
of Professor Premthada’s<br />
most renowned works.<br />
ล่าง: โครงการโลกของช้าง<br />
จ.สุรินทร์ ที่ อ.บุญเสริมนํา<br />
เสนอผ่านความสัมพันธ์<br />
ระหว่าง คน ช้างและ<br />
สถาปัตยกรรม<br />
Elephant World, the<br />
project that Professor<br />
Premthada materializes<br />
from the relationship<br />
between humans,<br />
elephants and<br />
architecture.<br />
_The Thought Process<br />
Premthada explains of his process: “Normally,<br />
a good work process begins with a good program.<br />
To have great understanding and clarity in a<br />
program requires a great deal of research and<br />
study. Once everything is understood, then it’s a<br />
matter of developing and determining the functional<br />
program. There isn’t a specific process for a<br />
particular type of building, but it’s more about<br />
creating a solution that offers more diverse<br />
functionalities.”<br />
With a background in building renovation, he is<br />
aware that most buildings in the past were<br />
constructed with definitive functionalities. For<br />
these buildings to continue to exist, these<br />
functionalities have to be adapted and the interior<br />
space stripped down and rebuilt. It’s pretty much<br />
like building a new architectural creation on top of<br />
the existing one, which eventually becomes a form<br />
of limitation.<br />
This situation has led to him raising questions<br />
about architecture and its function. When he is<br />
given the chance, he experiments by designing<br />
buildings whose different functionalities are<br />
varied and determined by the behaviors of users.<br />
While his works are celebrated for their experimental<br />
qualities and creative freedom, they all<br />
come with numerous limitations – be it legal<br />
restrictions, budget, labor, the skills of the<br />
builders, as well as time. However, Premthada<br />
believes these limitations are in fact opportunities.<br />
“My thought process isn’t as linear as many<br />
understand, but more of a spiral. It goes around<br />
and dives down, is constantly revised and recontemplated.<br />
When I look back at the works I<br />
have done, I often think about revisiting the parts<br />
that I think could be deeper, and about contemplating<br />
different connections between materials,<br />
structures, ambience and feelings all over again.”<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 22<br />
23 Animal
_ตัวตนของอาจารย์บุญเสริม<br />
ครูคนแรกของอาจารย์บุญเสริมคือคุณพ่อซึ่ง<br />
เป็นช่างไม้ จึงถูกสอนให้อยู่กับสัดส่วนจริง<br />
1:1 มาตั้งแต่เด็ก ทําให้เปิดความเข้าใจในมิติ<br />
และจินตนาการของสัดส่วนซึ่งมีความแตก<br />
ต่างกัน จากนั้นเข้าสู่กระบวนการเรียนหลัก<br />
การของช่าง ทําความเข้าใจช่างที่จะทํางาน<br />
ด้วย เครื่องมือ รวมถึงวิธีการก่อสร้าง จาก<br />
วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา วิทยาเขต<br />
อุเทนถวาย ส่วนการศึกษาระดับปริญญาตรีที่<br />
คณะมัณฑนศิลป์ สาขาวิชาการออกแบบ<br />
ภายใน มหาวิทยาลัยศิลปากร นั้นสอนให้มี<br />
ความละเอียดอ่อน สุนทรียภาพ และเข้าใจ<br />
ความเป็นมนุษย์ ส่วนการศึกษาต่อที่<br />
หลักสูตรสถาปัตยกรรมศาสตรมหาบัณฑิต<br />
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์<br />
มหาวิทยาลัย สอนให้รู้จักหลักการ ทฤษฎีใน<br />
ระดับสากล สอนวิธีคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์<br />
ความเป็นเหตุเป็นผล หลังจากได้เรียนรู้ทุก<br />
อย่างหมดแล้ว เมื่อเข้าสู่การทํางานก็เกิดข้อ<br />
สงสัยขึ้นกับตัวเองว่า การสร้าง<br />
สถาปัตยกรรมน่าจะมีทางอื่น นอกจากหลัก<br />
การและทฤษฎีที่เรียนมา จึงเริ่มหันมาสนใจ<br />
สถาปัตยกรรมที่ถูกสร้างขึ้นจากคนที่ไม่ใช่<br />
สถาปนิก อีกจุดเปลี่ยนสําคัญของชีวิตที่สุด<br />
ของอาจารย์บุญเสริมคือ ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ<br />
ต้มยํากุ้งในปี 2540 ซึ่งก่อนหน้านั้นอาจารย์<br />
บุญเสริมเป็นพนักงานบริษัท ที่เน้นการ<br />
ออกแบบให้สวย ถูกใจคนอื่นเป็นจุดสําคัญ<br />
เมื่อเกิดวิกฤตที่ทําให้ประเทศย่ําแย่มาก ทําให้<br />
เปลี่ยนมุมมอง ย้อนกลับมาดูสิ่งรอบตัวที่มี ที่<br />
สามารถทําเองได้ ด้วยแรงงานและคนของเรา<br />
แต่ยังคงประสานเอาเทคโนโลยีมาช่วยให้<br />
ทํางานได้ง่ายขึ้น ประหยัด และสมดุลกับ<br />
แรงงาน<br />
ซ้าย/ขวาบน: สถาบันกันตนา<br />
หนึ่งในโครงการที่ อ.บุญเสริม<br />
ส่งเข้าประกวด Royal<br />
Academy.<br />
Kantana Institute, one of<br />
the projects Professor<br />
Premthada included as a<br />
part of his presentation to<br />
Royal Academy’s<br />
international jury.<br />
ซ้ายล่าง: The Chapel พาวิล<br />
เลียน ที่เกิดจากการประสาน<br />
กันของ “บล็อกแก้ว” และ<br />
“ไม้ยางนา”<br />
The Chapel, a pavilion<br />
resulting from the<br />
beautifully intertwined<br />
materiality of glass blocks<br />
and yang na wood.<br />
_Who is Boonserm Premthada?<br />
Premthada’s first teacher was his father,<br />
a professional carpenter who taught<br />
him all about scale and proportion. It<br />
was a childhood upbringing that opened<br />
and broadened his understanding of<br />
the many dimensions that go into<br />
building things.<br />
At Rajamangala University of Technology<br />
Tawan-ok (Uthenthawai), he learned<br />
the theoretical aspects of it all, about<br />
how to work with skilled builders, the<br />
tools, the construction methods, etc.<br />
Being a student at the Interior Design<br />
Department of the Faculty of Decorative<br />
Art, Silpakorn University taught him<br />
about the aesthetics and delicateness<br />
of design while also giving him an<br />
understanding of human nature. Later,<br />
the Master of Architecture program at<br />
the Faculty of Architecture, Chulalongkorn<br />
University, offered him a deeper<br />
understanding of theories and principles<br />
at a more universal level. He also<br />
learned to think differently, to analyze,<br />
synthesize and rationalize.<br />
Having learned these important<br />
theoretical lessons, Premthada began<br />
his professional practice and soon<br />
started to question the methods of<br />
architecture. He began looking beyond<br />
what he had learnt at schools and<br />
universities, and his interest gravitated<br />
towards works of architecture created<br />
by people who are not architects. The<br />
1997 Tom Yum Goong economic crisis<br />
that hit Thailand and the construction<br />
industry to the core was a turning point<br />
in his life. Working as an employee in a<br />
private company, the designs he was<br />
producing aimed to create visual<br />
impact to please potential clients. The<br />
financial crisis, however, changed his<br />
perspective. It made him look back to<br />
the things that can be found and made<br />
locally using the skills, resources and<br />
labor of local people. However, he still<br />
believed that technology should be<br />
used to allow work processes to be<br />
carried out more efficiently with<br />
greater cost effectiveness and labor<br />
productivity.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 24<br />
25 Animal
ภาพบรรยากาศการรับรางวัล<br />
Royal Academy Dorfman<br />
Awards ร่วมกับคณะ<br />
กรรมการและผู้เข้าร่วม<br />
ประกวด<br />
Professor Premthada at<br />
the Royal Academy<br />
Dorfman Award with the<br />
jury and other finalists.<br />
บรรยากาศการนําเสนอผลงานรอบสุดท้าย<br />
ค่อนข้างเคร่งเครียด ผู้เข้ารอบสุดท้ายคนอื่นๆ<br />
ได้แก่ Fernanda Canales สถาปนิกชาว<br />
เม็กซิโก Alice Casey และ Cian Deegan<br />
แห่ง TAKA Architects ประเทศไอร์แลนด์<br />
และ Mariam Kamara จาก Atelier Masomi<br />
ประเทศไนเจอร์ ทุกคนล้วนเตรียมตัวกันมา<br />
อย่างดี ผมเองได้เห็นมุมมอง ทัศนคติ และ<br />
เรียนรู้จากคนอื่นๆ ทั้งผู้เข้าแข่งขัน รวมถึง<br />
คนใน Royal Academy of Arts (RA) ด้วย<br />
Premthada recalls the atmosphere at<br />
the final presentation being quite<br />
tense. “Other finalists, from Mexican<br />
architect Fernanda Canales, Alice<br />
Casey and Cian Deegan of Ireland’s<br />
TAKA Architects to Mariam Kamara of<br />
Atelier Masomi from Niger, were very<br />
well prepared. I learned a lot about their<br />
visions and attitudes, and not just of<br />
the contestants but the people at the<br />
_เล่าถึงรางวัลที่เคยได้รับและประสบการณ์ของการ<br />
ประกวด Royal Academy<br />
ปัจจุบันอาจารย์บุญเสริมได้รับรางวัลแล้วกว่า 14 รายการ<br />
ทั้งในประเภทผลงาน และประเภทบุคคล อย่างเช่น<br />
รางวัล Global Award for Sustainable Architecture<br />
2018, Royal Academy Dorfman Award และรางวัล<br />
ศิลปาธร สาขาสถาปัตยกรรม ประจําพ.ศ.2562 โดย<br />
รางวัลศิลปาธร ถือเป็นรางวัลที่ได้รับในประเทศไทยรางวัล<br />
แรก “เป็นรางวัลที่ดีใจมาก”หลายๆ รางวัลที่ได้รับ<br />
เป็นการถูกเสนอชื่อโดยคนอื่น ทราบอีกทีก็เมื่อเข้ารอบ<br />
หรือได้รางวัลแล้ว ยกตัวอย่างเช่นรางวัล Global Award<br />
for Sustainable Architecture 2018 รวมถึงรางวัลศิลปาธร<br />
และ Royal Academy Dorfman Award ก็เช่นกัน ซึ่ง<br />
ถือว่าเป็นเกียรติต่อตัวเอง ต่อวงการสถาปัตยกรรมใน<br />
ประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งRoyal Academy<br />
Dorfman Award เป็นรางวัลของThe Royal Academy<br />
of Arts ถือเป็นสถาบันสูงสุดทางด้านศิลปะแห่งประเทศ<br />
อังกฤษที่ก่อตั้งมากว่า 250ปี เป็นรางวัลที่สําคัญรางวัล<br />
หนึ่งในชีวิต<br />
_Awards and credentials<br />
When it comes to awards and credentials,<br />
Premthada has won over 14 awards so far, both for<br />
his projects and as an individual practitioner, from<br />
the Global Award for Sustainable Architecture 2018<br />
to The Royal Academy Doftman Award and Silpathorn<br />
Award in the Architecture category (his<br />
first award from a Thai institute). “I’m very happy<br />
with all the awards I’ve been given,” he says. “Many<br />
of them were nominated by other people and I<br />
didn’t have a clue about it until I was informed that I<br />
had been selected as the finalists or that I had<br />
actually won. It’s the same with the Silpathorn<br />
Award and The Royal Academy Doftman Award.<br />
They are such tremendous honors, both for<br />
Thailand’s architecture community and myself.<br />
They’re some of my greatest achievements.”<br />
ผลงานที่อาจารย์บุญเสริมส่งไปนําเสนอ มี 2<br />
โครงการ คือ สถาบันกันตนา และโครงการ<br />
โลกของช้าง จ.สุรินทร์ และอีกหนึ่งการศึกษา<br />
วิจัย เกี่ยวกับเสียงในสถาปัตยกรรมที่ทําด้วย<br />
อิฐ ซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวอาจารย์เองด้วย การนํา<br />
เสนอผลงานเป็นไปตามลําดับชีวิตและผลงาน<br />
ของอาจารย์ เสมือนการก้าวกระโดดที่ต้องย่อ<br />
ตัวก่อนที่จะกระโดด เพื่อให้ไปได้ไกลขึ้น โดย<br />
นําเสนอผลงานชิ้นแรกที่เป็นจุดเริ่มต้น ข้าม<br />
ไปสู่ผลงานล่าสุดที่ทําอยู่ปัจจุบัน และการ<br />
ค้นคว้าวิจัยเพื่อช่วยทบทวน ค้นหาคําตอบ<br />
เพื่อให้เข้าใจในตนเองมากขึ้น นอกจากนี้<br />
เนื่องจากอาจารย์มีปัญหาทางการได้ยิน หูข้าง<br />
ขวาไม่ได้ยินเสียงเลยและข้างซ้ายสามารถ<br />
ได้ยินเพียง 30% เฉพาะเสียงโทนต่ําเท่านั้น<br />
ซึ่งสิ่งที่ดูเหมือนข้อจํากัดนี้กลับกลายไปเป็น<br />
ส่วนหนึ่งในการที่อาจารย์บุญเสริมได้สร้าง<br />
เสียงในงานสถาปัตยกรรม โดยที่ตัวเองก็ไม่<br />
เคยทราบมาก่อน การค้นพบเกิดจากหลังจาก<br />
ที่ Solano Benitez สถาปนิกชาวปารากวัย<br />
เข้ามาเยี่ยมชมสถาบันกันตนา แล้วได้ยิน<br />
เสียงในงานสถาปัตยกรรม ประกอบกับคํา<br />
แนะนําของคุณอั๋น ฉัตรพงษ์ ชื่นฤดีมล แห่ง<br />
CHAT Architects อาจารย์บุญเสริมจึงเริ่ม<br />
ต้นศึกษาวิจัยเรื่องนี้ ในการนําเสนองาน<br />
อาจารย์บุญเสริมได้เริ่มต้นด้วยประโยคเปิด<br />
ขึ้นว่า “This is my story telling what I do<br />
for my beloved country.” โดยไม่ได้นํา<br />
เสนอผลงานสถาปัตยกรรมโดยตรง แต่<br />
เป็นการเล่าถึงการเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ผ่าน<br />
สถาบันกันตนา วิถีชีวิตที่เกิดขึ้นในงาน<br />
Royal Academy of Arts as well.”<br />
The two projects Premthada included<br />
in the presentation were Kantana<br />
Institute, Elephant World in Thailand’s<br />
Surin province, and a research project on<br />
noise in architecture. The presentation<br />
was closely tied to Premthada himself<br />
as an architect while the works were<br />
presented in chronological order,<br />
corresponding with his life and<br />
evolving body of work. It showed how<br />
one has to bend the knee in order to<br />
leap higher. The first work he presented<br />
marks the beginning of his ensuing<br />
architectural creations and research,<br />
which are all a part of his attempt<br />
to find answers that allow him to<br />
understand himself more. Premthada<br />
lives with a hearing impairment (he is<br />
completely deaf in his right ear while<br />
his hearing in his left ear is limited to<br />
only 30%, with only tones in a lower<br />
register audible), and this physical<br />
limitation has become a part of his<br />
intuitive attempt to unknowingly create<br />
voices in his architecture. This discovery<br />
took place after Solano Benitez, a<br />
Paraguayan architect who travelled to<br />
Thailand to visit Kantana Institute,<br />
made an observation about the voices<br />
he heard from his architecture.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 26<br />
27 Animal
สถาปัตยกรรม ปรากฎการณ์ ปฏิสัมพันธ์<br />
ของสถาปัตยกรรมใน Scale ของช้างและคน<br />
ก่อนที่จะจบด้วยหน้าสุดท้ายที่ขึ้นประโยคไว้<br />
ว่า “Now,I did my love of Architecture<br />
for my beloved country” เป็นการจบ<br />
การนําเสนอผ่านประโยคที่แสดงความรักที่มี<br />
ต่อสถาปัตยกรรม อาจารย์บุญเสริมกล่าวว่า<br />
“Royal Academy of Arts (RA) ไม่ได้หา<br />
สถาปนิกที่เก่งหรือดีที่สุด หากแต่มองหา<br />
สถาปนิกที่มีตัวตนเป็นแบบอย่าง สามารถส่ง<br />
ผ่านความรู้ได้ และเป็นแรงบันดาลให้แก่<br />
สถาปนิกรุ่นใหม่ในอนาคต ซึ่งการส่งผ่าน<br />
ความรู้ที่ดีที่สุดในแบบของผมคือการสร้าง<br />
สถาปัตยกรรมจริงให้ผู้คนได้เข้ามาใช้และ<br />
เรียนรู้ผ่านตัวสถาปัตยกรรมเอง”<br />
ผศ.บุญเสริม เปรมธาดา ก่อตั้งบริษัท<br />
Bangkok Project Studio ด้วยความมุ่งมั่น<br />
และความเชื่อที่ว่า ยังมีการทํางาน<br />
สถาปัตยกรรมในแบบอื่นๆอีก และรางวัลที่<br />
อาจารย์ได้รับในระดับสากล สามารถรับรอง<br />
ได้เป็นอย่างดีว่า ผลงานของอาจารย์บุญเสริม<br />
เป็นงานที่แปลกใหม่ ไม่ใช่เพียงในประเทศ<br />
ไทยไม่เคยมี หากแต่ทั่วโลกก็ไม่เคยเห็นมา<br />
ก่อนเช่นกัน<br />
Following the suggestion of Chatphong<br />
Chuenruedeemon of CHAT Architects,<br />
Premthada began researching this<br />
matter.<br />
In his presentation, he started off with<br />
a statement: “This is my story telling<br />
what I do for my lovely country.” Instead<br />
of delivering the presentation of his<br />
works, the Thai architect talked about<br />
the lives conceived as a part of his<br />
architecture, and the interactions<br />
between spaces and users (human and<br />
elephants). He ended the presentation<br />
with a text slide: “Now, I did my love of<br />
Architecture for my beloved country”.<br />
Premthada believes that the Royal<br />
Academy of Arts wasn’t looking for the<br />
most talented architect but “someone<br />
with a substantial character who can be<br />
a role model and relays knowledge and<br />
experience as well as inspires future<br />
generations of architects.” He adds:<br />
“The best possible thing I can do to pass<br />
on my knowledge is to create architecture<br />
that people can use and learn from.”<br />
ภาพบรรยากาศการนําเสนอ<br />
ผลงานของ อ.บุญเสริมในการ<br />
ประกวด Royal Academy<br />
Dorfman Awards<br />
Professor Premthada<br />
gives his presentation for<br />
the Royal Academy<br />
Dorfman Award.<br />
Assistant Professor Boonserm<br />
Premthada founded Bangkok Project<br />
Studio out of determination and a belief<br />
that there are other possibilities for<br />
how architecture can be created. The<br />
international awards he has received<br />
have proven his status as a pioneer.<br />
What he is doing and creating is<br />
unprecedented – something that<br />
neither Thailand nor the world has<br />
ever witnessed.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 28<br />
29 Animal
REVIEW<br />
ในความสัมพันธ์ระหว่างขนาด: โลกของช้าง จ.สุรินทร์<br />
Living Between Scales: Surin Elephant World<br />
Text: อ.ดร. วิญญู อาจรักษา / Winyu Ardrugsa, Ph.D.<br />
Translation: ธนว์กัญญา แจ้งใจธรรม / Tanakanya Changchaitum<br />
Photo: Bangkok Project Studio<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 30<br />
31 Animal
สภาพแวดล้อมและองค์ประกอบต่างๆ ในเมืองมักถูก<br />
กําหนดให้มีขนาดที่สอดคล้องไปกับร่างกายมนุษย์และ<br />
กิจกรรมที่เราคุ้นเคย แต่ในบริบทซึ่งเราดํารงชีวิตอยู่ร่วม<br />
กับสัตว์ การสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมต้องคํานึงถึงสิ่ง<br />
มีชีวิตต่างขนาดกัน ความท้าทายในการออกแบบความ<br />
เชื่อมโยงนี้อาจก่อให้เกิดรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและ<br />
ประสบการณ์ที่ช่วยให้เราตระหนักถึงความสัมพันธ์<br />
ระหว่าง คน สัตว์ และสภาพแวดล้อมที่ต่างออกไป ใน<br />
กรณีของช้างซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ที่มีความผูกพันกับสังคมไทย<br />
มาอย่างยาวนาน การพัฒนาปรับปรุงศูนย์คชศึกษา หรือ<br />
Elephant Study Center ที่ จ.สุรินทร์ โดยสํานักงาน<br />
Bangkok Project Studio ของ ผศ.บุญเสริม เปรมธาดา<br />
ได้ก่อให้เกิดงานสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงปรากฏการณ์<br />
ดังกล่าว<br />
ปัจจุบันศูนย์คชศึกษาได้รับการประชาสัมพันธ์ภายใต้ชื่อ<br />
ใหม่ว่า “โลกของช้าง จ.สุรินทร์” หรือ “Surin Elephant<br />
World” ตามแนวคิดขององค์การบริหารส่วนจังหวัด<br />
สุรินทร์ โดยสอดคล้องกับโครงการนําช้างคืนถิ่นของ<br />
รัฐบาลและการพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อชุมชนหมู่บ้านช้าง<br />
บ้านตากลางของชาวกูย ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ตั้งถิ่นฐาน<br />
ในบริเวณนี้มานานหลายร้อยปี ชาวกูยมีความเชี่ยวชาญ<br />
ด้านการคล้อง เลี้ยง และฝึกสอนช้าง รวมถึงมีวิถีชีวิตและ<br />
ประเพณีที่ผูกพันกับช้างตั้งแต่เกิดจนตาย ปัจจุบันมีช้าง<br />
ในชุมชนมากกว่า 200 เชือก โดยในหมู่บ้านยังมีวัด<br />
สุสาน ศาลา และป่าของช้างโดยเฉพาะ ในส่วนของบ้าน<br />
พักอาศัย พื้นที่สําหรับช้างซึ่งอยู่ภายใต้ชายคาสูงโปร่งที่ยื่น<br />
จากตัวเรือนสะท้อนถึงความผูกพันกับช้างดั่งสมาชิกใน<br />
ครอบครัว<br />
การพัฒนาโครงการโลกของช้างเริ่มต้นในพ.ศ. 2558 บน<br />
เนื้อที่ราว 300 ไร่จากพื้นที่กว่า 3,500 ไร่ของหมู่บ้านช้าง<br />
บ้านตากลาง ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสําคัญของ<br />
จ.สุรินทร์ อยู่แล้ว โดยประกอบด้วยอาคารพิพิธภัณฑ์หลัก<br />
พิพิธภัณฑ์โรงช้างสําคัญ พิพิธภัณฑ์วิถีชีวิตชาวกูย ลาน<br />
การแสดง พื้นที่เลี้ยงช้าง และร้านค้า ในส่วนของสิ่ง<br />
ก่อสร้างใหม่ซึ่งออกแบบโดย Bangkok Project Studio<br />
นั้นประกอบด้วย อาคารลานแสดงช้าง หอชมทิวทัศน์<br />
พิพิธภัณฑ์ และซุ้มกําแพงทางเข้าโครงการ ปัจจุบัน<br />
อาคารทั้งหมดยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีเพียงอาคาร<br />
สองหลังแรกเท่านั้นที่ก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ โดยสถาปนิก<br />
อธิบายถึงแนวคิดหลักในการออกแบบงานสถาปัตยกรรม<br />
Urban environments are typically created so that<br />
they correspond physically with the scale of<br />
human bodies and the activities they engage in.<br />
However, in contexts where human beings and<br />
animals cohabit, architecture must consider their<br />
significantly different physical features. One of the<br />
challenges of designing such an architectural<br />
typology and experience is doing so originally, in a<br />
manner that helps us consider the relationship<br />
between human beings, animals and the environment<br />
from an entirely different aspect. The design of<br />
the Elephant Study Center in Surin province –<br />
a project focused on this majestic animal with a<br />
long and revered role in Thai history, and conceived<br />
by Assistant Professor Boonserm Premthada of<br />
Bangkok Project Studio – is one such attempt.<br />
Titled Surin Elephant World, the project follows<br />
the Surin Provincial Administrative Organization<br />
and government’s bring home the elephant policy,<br />
and also the tourism development scheme for<br />
Baan Ta Klang, an elephant village inhabited by the<br />
Kuy people, an ethnic group that settled in this<br />
region centuries ago. The Kuy possess generations<br />
of wisdom when it comes to capturing, raising and<br />
training elephants, as their entire way of life and<br />
traditions revolve around the wild creatures. With<br />
an elephant population of over 200, their village<br />
houses an elephant temple, an elephant cemetery,<br />
corrals and open woodland. It is common for the<br />
home of a Kuy family to have a high-roofed annex<br />
which serves as a living space for the elephants<br />
and reflects the family-like connection between<br />
them and the animal.<br />
The development of Surin Elephant World project<br />
began in 2015 on 118 acres of land within the vast<br />
1,384 acres of Baan Ta Klang elephant village, one<br />
of the most notable tourist attractions in Surin<br />
province. The center comprises a main museum<br />
building, the Museum of Royal Elephants, Museum<br />
of Kuy Tribe, the Elephant Stadium, a showground<br />
แหล่งการเรียนรู้วิถีชีวิตของ<br />
ชาวกูยและช้าง จ.สุรินทร์ ได้<br />
รับการปรับปรุงใหม่ผ่านงาน<br />
สถาปัตยกรรมหลายชิ้นโดย<br />
Bangkok Project Studio<br />
After the major<br />
refurbishment and<br />
addition of new structures<br />
designed by Bangkok<br />
Project Studio, the<br />
curated content at the<br />
learning centre now<br />
provides visitors with<br />
knowledge and<br />
understanding of the Kuy<br />
people, elephants and<br />
their way of life.<br />
หอชมทิวทัศน์อิฐเป็นภูมิ<br />
สัญลักษณ์ใหม่ของทั้ง<br />
โครงการและชุมชน<br />
The brick Observation<br />
Tower stands tall as the<br />
new landmark of the<br />
project and the local<br />
community.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 32<br />
33 Animal
อาคารลานแสดงช้างซึ่งมีผืน<br />
หลังคาและเนินดินที่นั่งเป็น<br />
องค์ประกอบหลักในการ<br />
กําหนดที่ว่าง<br />
The elephant activity<br />
ground’s key spatial<br />
elements are an expansive<br />
roof structure and sloped<br />
seating program.<br />
Here the configuration of the panels<br />
leaves a series of cavities, making the<br />
roof airy and well ventilated. Additionally,<br />
the architect has added a number of<br />
openings to the roof to allow Yang Na<br />
trees to grow through them and provide<br />
ในโครงการนี้ว่าเป็นเรื่องของ “ขนาด” ซึ่งได้คํานึงถึง<br />
ความสัมพันธ์และความแตกต่างระหว่างคนและช้าง โดย<br />
บางส่วนเป็นการใช้พื้นที่แยกกันและบางส่วนก็รวมกัน<br />
ในส่วนของการออกแบบอาคารลานแสดงช้าง หรือ<br />
Elephant Stadium สถาปนิกเปรียบว่าเป็นการสร้าง<br />
สนามเด็กเล่นให้กับช้าง โดยปรับใช้รูปทรงหลังคาจั่วจาก<br />
บ้านของชาวกูยให้ขยายครอบคลุมพื้นที่ขนาด 70x100 ม.<br />
เอาไว้ จากนั้นจึงคว้านหลังคาส่วนที่อยู่เหนือลานการ<br />
แสดงออก และเหลือไว้เฉพาะส่วนหลังคาโดยรอบที่ลอย<br />
อยู่เหนือพื้นที่ของผู้ชมราว 7 ม. ด้วยเป็นฉากหลังให้กับ<br />
การปรากฏตัวของช้างและเป็นองค์ประกอบหลักในการ<br />
กําหนดที่ว่าง สถาปนิกจึงออกแบบให้ผืนหลังคามีมวล<br />
และดูหนัก โดยปูกระเบื้องดินเผาขนาด 16x27 ซม.ด้าน<br />
บนและใช้ไม้เนื้อแข็งกว้าง 4 นิ้ว ตีปิดโครงสร้างหลังคาที่<br />
มีความหนาประมาณ 1.5 ม. เอาไว้ อย่างไรก็ตาม การ<br />
ตีไม้แบบเว้นร่องช่วยให้ผืนหลังคามีความโปร่งพอที่ลมจะ<br />
พัดผ่านเพื่อช่วยในการระบายความร้อนได้ นอกจากนี้<br />
สถาปนิกยังเจาะช่องบนผืนหลังคาตามจุดต่างๆ โดยรอบ<br />
เพื่อให้ต้นยางนาสามารถทะลุช่องเหล่านั้นขึ้นไปให้ร่มเงา<br />
กับอาคารได้ ในด้านโครงสร้าง หลังคาผืนใหญ่นี้มีเสา<br />
หน้าตัดขนาด 30x50 ซม. เรียงอยู่แนวรอบนอกเพียง 2<br />
แนว โดยช่วยรองรับหลังคาซึ่งมีระยะยื่นออกสู่ลานแสดง<br />
ราว 10 ม. สิ่งที่น่าแปลกใจเมื่อแรกเห็นอาคารลานแสดง<br />
ช้างนี้คือลักษณะที่กลมกลืนไปกับอาคารโดยรอบ แต่เมื่อ<br />
เราเข้าสู่ภายในจะพบการแปลงหลังคาจั่วธรรมดาให้เป็น<br />
องค์ประกอบที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง<br />
and shop. Bangkok Project Studio was assigned<br />
to oversee the design of the stadium, observation<br />
tower, museum, shop, box office and main<br />
entrance. All the buildings are currently under<br />
construction with only the first two structures<br />
nearing completion. The architect explains that<br />
scale has been adopted as the core concept of<br />
the architectural design, and that it put great<br />
emphasis on the relationship between human<br />
beings and elephants as well as their different<br />
physical features. Some of the functional<br />
spaces are intended to be shared by the two<br />
species while others are not.<br />
The elephant stadium is referred to as the<br />
elephant playground. Stretching across the 70x100<br />
meter space, this structure takes inspiration from<br />
the gabled roofs of the Kuy’s homes. The roof<br />
structure extends over the outdoor ground, leaving<br />
only the circumference protruding seven meters<br />
above where audiences will sit. So that the roof<br />
serves as a setting for the elephants and the main<br />
feature of the entire space, the architect designed<br />
the structure to appear as a solid heavy mass.<br />
The top of the structure is cladded with 16x27 cm<br />
centimeter ceramic tiles with four-inch wide<br />
timber panels covering the 1.5-meter-thick roof.<br />
shade. Structurally, this massive roof is<br />
supported only by two rows of columns<br />
with each column designed to have<br />
30x50cm section. These columns are<br />
designed to support the weight of the<br />
cantilevered part extending 10 meters<br />
from the roof structure above the<br />
stadium ground.<br />
The first surprise the stadium design<br />
offers is how well it blends physically<br />
with the surroundings. Then, once you<br />
step inside, the transformation from a<br />
normal gable roof to an entirely<br />
different composition becomes very<br />
discernable.<br />
The space for visitors is realized into a<br />
spatial program that integrates the<br />
physical elements of freeform slopes.<br />
One side of this inclined landscape is<br />
open for elephants to enter and exit.<br />
The slopes run up and down in physical<br />
coherence with the circumference of<br />
the roof, defining the perimeter of the<br />
showground. The slopes at the outer<br />
row of columns are designed to posses<br />
a well-calculated steepness, functioning<br />
ขวาบน: โครงสร้างหลังคาถูก<br />
ห่อหุ้มด้วยแผ่นไม้ตีเว้นร่อง<br />
เพื่อสร้างผืนหลังคาที่ดูมีมวล<br />
และน้ําหนัก<br />
Right-Top: Featuring wood<br />
panel cladding and<br />
intentional spaces<br />
between each piece, the<br />
mass and volume of the<br />
roof structures are<br />
created naturally.<br />
ขวาล่าง: ผืนหลังคายื่นและ<br />
เนินดินรูปทรงอิสระปะทะกัน<br />
ในจุดต่างๆ สร้างมุมมองที่<br />
หลากหลาย<br />
Right-Bottom: The<br />
cantilevered roof and<br />
visually clashing slopes<br />
lend diverse and<br />
interesting perspectives<br />
to the space.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 34<br />
35 Animal
โครงสร้างของหอชมทิวทัศน์<br />
อิฐเป็นตัวกําหนดการปิดล้อม<br />
และความโปร่งในระดับต่างๆ<br />
The brick Observation<br />
Tower offers various levels<br />
of enclosure and<br />
openness.<br />
สําหรับพื้นที่ของผู้เข้าชม สถาปนิกออกแบบ<br />
เป็นเนินซึ่งมีรูปทรงอิสระ โดยวางอยู่บนผังที่<br />
เปิดด้านหนึ่งสําหรับการเข้าออกของช้าง<br />
เนินดินนี้วิ่งขึ้นลงล้อไปกับแนวหลังคาและช่วย<br />
โอบล้อมลานการแสดงเอาไว้ โดยในฝั่งซึ่งอยู่<br />
ระหว่างช่วงเสาริมนอก ความสูงชันของตัว<br />
เนินสร้างการเปลี่ยนผ่านจากด้านนอกสู่ด้าน<br />
ใน สําหรับฝั่งซึ่งหันสู่ลานตรงกลางนั้น<br />
สถาปนิกกําหนดความลาดชันไว้ที่ประมาณ<br />
1:2 โดยม้านั่งคอนกรีตถูกวางเรียงต่อกันไป<br />
ฝั่งละ 3 ถึง 6 แถว และมีทางลาดหรือบันได<br />
ต่อกันเป็นทอดๆ นอกจากนี้ยังมีกระถาง<br />
ต้นไม้คอนกรีตแทรกตามจุดต่างๆ ราว 50<br />
กระถางซึ่งช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับตัว<br />
เนิน ในขณะที่หินบะซอลต์สีเทาดําทั้งเล็กและ<br />
ใหญ่ช่วยยึดหน้าดินเอาไว้ อาคารหลังนี้มี<br />
ความน่าสนใจในเชิงสุนทรียภาพที่ต่างออกไป<br />
จากทั้งลานแสดงช้างและอาคารสนามกีฬา<br />
ทั่วไป ปริมาตรของที่ว่างโล่งซึ่งเกิดการปะทะ<br />
กันระหว่างผืนหลังคาและตัวเนิน ระหว่าง<br />
กลุ่มต้นไม้และแนวเสา ดูจะทําให้ผู้เข้าชมรับ<br />
รู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ของช้าง สถาปัตยกรรม<br />
และธรรมชาติ<br />
จากอาคารลานแสดงช้าง เราสามารถมองเห็น<br />
หอชมทิวทัศน์อิฐ หรือ Brick Observation<br />
Tower ได้ผ่านช่องโล่งของผืนหลังคา โดย<br />
เป็นสิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นที่สุดในโครงการด้วย<br />
ความสูงเกือบ 23 ม. ตัวหอคอยนี้มีผังคล้าย<br />
กับหยดน้ําโดยสถาปนิกวางให้ด้านยาวเอียง<br />
รับมุมมองจากทางเข้าหลักของโครงการ ผนัง<br />
ด้านนอกของอาคารมีลักษณะเป็นโครงสร้าง<br />
เสาและคานโปร่ง ซึ่งผิวของโครง สร้างนี้ถูก<br />
หุ้มด้วยอิฐดินเผาขนาด 15x30x5 ซม. โดย<br />
ตามแบบนั้นสถาปนิกกําหนดให้การก่ออิฐทํา<br />
หน้าที่เป็นทั้งแม่แบบและส่วนประสานเข้ากับ<br />
เนื้อคอนกรีต โครงสร้างเสาและคานนี้สานต่อ<br />
กันเป็นลวดลายห่อหุ้มที่ว่างด้านในที่แตกต่าง<br />
กัน 2 รูปแบบ ซึ่งต่อสลับกันเป็นจังหวะขึ้นไป<br />
และค่อยๆ ยื่นหายไปสู่ท้องฟ้าในชั้นบนสุด<br />
ทั้งนี้ แม้ว่าจุดประสงค์เดิมของโครงการจะ<br />
ต้องการเพียงเพื่อสร้างจุดหมายตา แต่<br />
as a transition space between the<br />
inside and outside of the stadium.<br />
The side of the inclined landscape<br />
facing the center of the showground is<br />
designed to have a 1:2 slope gradient<br />
with 3-6 rows of concrete benches<br />
situated on each side. An inclined<br />
walkway and series of steps are<br />
provided to grant access into the<br />
stadium. Scattered sporadically are<br />
over 50 concrete containers, which<br />
help keep the slopes grounded and<br />
solid. Dark gray basalt gravel covers the<br />
surface of the soil to keep the ground<br />
intact and clean. The building is<br />
interesting as it exudes a different type<br />
of aesthetics to an ordinary elephant<br />
showground. This is owing to the sheer<br />
volume of void created by the way the<br />
masses of the roof and slopes come<br />
together, how the trees and columns<br />
align, and how it manages to accentuate<br />
the majestic presence of these great<br />
animals, the architecture and nature<br />
all at once.<br />
From the elephant stadium, one can see<br />
the brick observation tower through the<br />
openings on the roof. With a height of<br />
almost 23 meters, this building is the<br />
project’s most visually distinctive<br />
structure. Designed to have a dropletshaped<br />
floor plan, the tower is<br />
positioned with the longer side angled<br />
to meet visitors entering from the main<br />
entrance. The exterior wall reveals airy<br />
and ventilated structural details such as<br />
interwoven columns and beams cladded<br />
with 15x30x5 cm red bricks, which serve<br />
as both the molding and bonding agent<br />
of the concrete.<br />
The columns and beams are inter-<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 36<br />
37 Animal
laced and created into two different patterns,<br />
The entrance and museum are also parts of the<br />
connected in an interval sequence that gradually<br />
program where the relationship between human<br />
encloses the hollow space inside the tower before<br />
and elephants is reconfigured. The brick walls<br />
they pierce upward as if the top part was disap-<br />
resemble a terraced pyramid with two of the<br />
pearing into the sky. Even though the original<br />
walls serving as the gate – a transition space<br />
objective was for the building to serve as the<br />
from the human scale to elephant scale.<br />
project’s landmark, the architect has added the<br />
Meanwhile, various corners of the museum<br />
functionality of an observation tower. With<br />
building, which is spread across 3.5-acres of<br />
visitors granted access<br />
land, are left open so that elephants can enter<br />
to the upper levels (the tower is intended to be a<br />
and be a part of the exhibition’s program.<br />
shelter in case of emergencies), it will offer not<br />
just a comprehensive view but also a better<br />
With Surin Elephant World, Bangkok Project<br />
understanding of the project and its surrounding<br />
Studio are delivering an exemplary work of<br />
community and context.<br />
architecture that will serve users from very two<br />
different species, each with their own distinct<br />
With this concept, the architect is attempting<br />
body proportions and behaviors. Such a concept<br />
to slow down the visitors’ pace when inside the<br />
has dictated the openness and enclosure of<br />
building. The spatial layout isn’t designed for<br />
space, the expansion and reduction of compositions,<br />
visitors to reach the top within the shortest<br />
the use of industrial and local materials, the<br />
amount of time, but rather to take their time<br />
construction details that are both delicately<br />
สถาปนิกได้เพิ่มการใช้สอยเป็นสถานที่ชมทิวทัศน์ที่เรา<br />
สามารถเดินขึ้นไปด้านบนได้ (รวมถึงเป็นพื้นที่หลบภัยใน<br />
กรณีฉุกเฉิน) ซึ่งจะช่วยให้ผู้เยี่ยมชมมีความเข้าใจใน<br />
โครงการ ชุมชน และบริบทโดยรอบมากขึ้น<br />
ด้วยแนวคิดนี้สถาปนิกจึงพยายามชะลอการเคลื่อนที่ในตัว<br />
อาคาร โดยไม่ได้ออกแบบนําผู้เยี่ยมชมไปยังด้านบนให้เร็ว<br />
ที่สุด แต่สามารถใช้เวลาในการเดินและชมทิวทัศน์ ซึ่งองค์<br />
ประกอบที่ช่วยสร้างประสบการณ์นี้ คือช่องโล่งจํานวนมาก<br />
ในโครงสร้างผนังที่เราเลือกมองออกมายังพื้นที่ด้านนอกได้<br />
นอกจากนี้ความแตกต่างของโครงขนาด 30x50 ซม. และ<br />
50x50 ซม. ก็สร้างบรรยากาศที่แตกต่างกันไปในแต่ละชั้น<br />
โดยเมื่อเดินไปตามแนวผนัง บางชั้นจะมีความโปร่งที่เห็น<br />
ทิวทัศน์ภายนอกได้ ในขณะที่บางชั้นจะมีเพียงแสงที่ลอด<br />
ผ่านเข้ามา องค์ประกอบอีกชิ้นที่มีส่วนสําคัญต่อการรับรู้<br />
คือบันได ซึ่งแต่ละชุดนั้นถูกวางพาดสลับทิศกันไปมาทําให้<br />
การเดินมีมุมมองที่หลากหลายและมีระยะเวลาที่ทอดนาน<br />
ออกไป โดยปกติแล้วอาคารหอสังเกตการณ์มักจะเป็นสิ่ง<br />
ก่อสร้างที่ตั้งอยู่อย่างเป็นอิสระ แต่หอชมทิวทัศน์อิฐนี้กลับ<br />
สร้างการปิดล้อมโดยคํานึงถึงการรับรู้ของคนที่อยู่ภายในที่<br />
อ้างอิงไปยังกลุ่มช้างที่อยู่ภายนอกได้อย่างลึกซึ้ง<br />
นอกจากอาคารลานแสดงช้างและหอชมทิวทัศน์แล้ว ทาง<br />
เข้าโครงการและพิพิธภัณฑ์ก็เป็นอีกส่วนที่ความสัมพันธ์<br />
ระหว่างคนกับช้างถูกจัดวางใหม่ โดยกําแพงอิฐซึ่งมีรูปทรง<br />
สอบขึ้นคล้ายพีระมิดขั้นบันได 2 กําแพงทําหน้าที่เป็นประตู<br />
และจุดเปลี่ยนเชิงขนาดจากคนสู่ช้าง ในขณะที่ตัวพิพิธภัณฑ์<br />
ซึ่งแผ่ออกบนที่ดินกว่า 9 ไร่ได้เปิดแนวกําแพงอิฐตามมุม<br />
ต่างๆ เพื่อให้ช้างเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการจัดแสดง กล่าว<br />
ได้ว่าผลงานทั้งหมดของ Bangkok Project Studio ใน<br />
โครงการโลกของช้าง จ.สุรินทร์ นี้เป็นตัวอย่างของการสร้าง<br />
สถาปัตยกรรมเพื่อรองรับผู้ใช้งานที่มีสายพันธุ์ต่างกันซึ่ง<br />
เกี่ยวข้องทั้งกับการกําหนดที่ว่างแบบโปร่งหรือปิดล้อม การ<br />
ขยายหรือย่อสัดส่วนองค์ประกอบต่างๆ การเลือกใช้วัสดุ<br />
อุตสาหกรรมและท้องถิ่น และการก่อสร้างที่มีทั้งความ<br />
ละเอียดและหยาบ รวมถึงการปล่อยให้ธรรมชาติเข้ามามี<br />
บทบาทในตัวสถาปัตยกรรม ซึ่งสถาปนิกสามารถประมวล<br />
เอาประเด็นเหล่านี้มาสร้างสถานการณ์ที่วางเราไว้ในความ<br />
สัมพันธ์ระหว่างคน สัตว์ และสภาพแวดล้อม ที่ทั้งคุ้นเคย<br />
และก็แปลกแยกไปพร้อมๆกัน<br />
walking up and appreciating the view. The copious<br />
cavities on the brick wall will help create such an<br />
experience as they allow visitors to see outside<br />
from various points of the tower. The difference of<br />
size between the structural components (30x50cm<br />
and 50x50cm) creates a different atmosphere on<br />
each of the floors. Walking along the wall of the<br />
ascending tower, one experiences plenty of access<br />
to views outside on some floors while on others<br />
only a limited amount of natural light finds its way<br />
in through the cavities. The stairways play a<br />
significant part in creating the overall experience.<br />
Each stairway is connected to another in a series<br />
of unpredictable directions and configurations,<br />
causing the walk to be extended while granting<br />
diverse perspectives of the space and the view.<br />
While most observation towers tend to be situated<br />
independently, the brick observation tower here<br />
offers a sense of enclosure, and so connects our<br />
human perceptions and experiences of being<br />
inside to that of the elephants, which are now<br />
living in the more open space outside.<br />
executed and idiosyncratically raw, and the<br />
manner in which the work embraces nature as<br />
an integral part of its existence. The architects<br />
appear to have masterfully processed all of these<br />
issues and elements. On completion Surin<br />
Elephant World will offer an experience that<br />
explores the relationship between humans,<br />
animals and the environment, and feels familiar<br />
and disorientating all at the same time.<br />
Project Name: Surin Elephant World<br />
Owner: Surin Provincial Administrative<br />
Organization<br />
Location: Ta Klang Elephant Village, Krapho,<br />
Tha Tum District, Surin<br />
Area: Elephant Stadium 7,000 Square Meters<br />
Brick Observation Tower 350 Square Meters<br />
Year of completion: Under construction<br />
2015 – Present<br />
Architect: Bangkok Project Studio<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 38<br />
39 Animal
REVIEW<br />
Baan Cats 2018<br />
หลากหลายมุมเหม่อกลางอากาศกับ<br />
การกลับมารักกันใหม่ของหมู่แมว<br />
Baan Cats 2018 คือส่วนต่อ<br />
เติมหน้าบ้านเพื่อแก้ปัญหา<br />
การใช้งานให้เจ้าของบ้าน และ<br />
แก้ปัญหาความแออัดของ<br />
ประชากรแมว<br />
Baan Cats 2018 was added<br />
to a private residence to<br />
help resolve the issue of<br />
overpopulation by the<br />
house owners’ pet cats.<br />
Text: สิริพร ด่านสกุล / Siriporn Dansakun<br />
Translation: ธนว์กัญญา แจ้งใจธรรม / Tanakanya Changchaitum<br />
Photo: ปวริสร์ เสถียรสถิตกุล / Pawarit Sathiansathidkul<br />
การเลี้ยงแมวในบ้านกําลังเป็นที่นิยม เพราะไม่รบกวน<br />
เพื่อนบ้าน ลดการเกิดอุบัติเหตุ และป้องกันการติดโรค<br />
แต่บางครั้งก็ทําให้แมวเครียด วิธีจัดการไม่ให้แมวมีปัญหา<br />
ดังกล่าว แบบที่คุณณัฐวุฒิ มัชฌิมา จาก Mutchima<br />
Studio สร้างสรรค์เพื่อแก้ปัญหาคือการสร้างสเปซที่แมว<br />
จะไม่เบื่อนั่นเอง<br />
Baan Cats 2018 คือส่วนต่อเติมหน้าบ้านของครอบครัว<br />
ที่มีพ่อแม่สูงวัยกับลูกสาววัยรุ่น เป็นพื้นที่ 2 ชั้นที่เชื่อมต่อ<br />
ห้องนั่งเล่นที่ชั้น 1 และห้องนอนในชั้น 2 มีการแก้ปัญหา<br />
การใช้งานของเจ้าของบ้านให้สะดวกขึ้น โดยหมาจะใช้<br />
พื้นที่ซ้อนทับกับคนในชั้นหนึ่ง ส่วนแมวจะอยู่ทั้ง 2 ชั้น<br />
สถาปนิกมีความตั้งใจจะออกแบบพื้นที่เรียบง่ายเหมือนอยู่<br />
บ้านต่างจังหวัดอย่างไทยๆ บ้านที่วัยรุ่นก็อยู่สบาย และ<br />
แก้ปัญหาให้กับหมู่แมวที่เริ่มมีประชากรแออัดได้รู้สึก<br />
ปลอดโปร่งขึ้น<br />
เนื่องจากแมวก็เหมือนคน ที่มีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน<br />
ไป สถาปนิกจึงเริ่มต้นจากการทําความรู้จักประชากรแมว<br />
ในบ้าน โดยการเข้าไปสังเกต และตั้งกล้องวิดิโอไว้<br />
ประมาณ 5 วัน แล้วให้เจ้าของบ้านส่งวิดิโอกลับมา เพื่อ<br />
ศึกษาพฤติกรรมของแมวและลักษณะนิสัยของแมวแต่ละ<br />
ตัว ที่บ้างก็ชอบนอน ชอบคน มีโลกส่วนตัวสูง และบ้างก็<br />
ชอบแกล้งผู้อื่น จนเป็นสีสันของบ้าน ก่อนนําข้อมูลมา<br />
ออกแบบพื้นที่ที่ตอบรับพฤติกรรมเดิมๆ แต่ให้ความรู้สึก<br />
For many cat owners, raising cats indoors is a<br />
growing trend. Nevertheless, while this approach<br />
reduces the risk of their pet disturbing or upsetting<br />
the neighbors, as well as being exposed to<br />
accidents and disease, it can potentially be<br />
stressful. Nuttawoot Mutchima of Mutchima<br />
Studio has come up with a solution to this problem<br />
with Baan Cats 2018 – a space specifically created<br />
so that domesticated felines can stay physically<br />
and mentally healthy.<br />
Baan Cats 2018 is essentially an annex of a home<br />
for a family of four, comprised of a middle-aged<br />
couple and their two teenage daughters. The<br />
two-story structure connects to the living area on<br />
the first floor and the sleeping quarters on the<br />
second floor. The space is designed to provide a<br />
solution and greater convenience for the owners<br />
and their pets. With the dogs sharing the ground<br />
floor space with other members of the family, the<br />
cats’ living area is situated on the second floor of<br />
the new annex. The architect intended to design a<br />
simple living space with a vibe similar to that found<br />
in a rural home, all while still catering to the<br />
preferences and lifestyles of young members of<br />
the family and serving as a space where the<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 40<br />
41 Animal
floor. The architect determined the<br />
coordinates that correspond with the<br />
cats’ routines before designing a series<br />
of elevated walkways for them. Based<br />
on the theory that the further people<br />
have to walk the more stressed they<br />
become, whereas cats relieve stress by<br />
moving around more, the architect<br />
designed a living space that shortens<br />
walking distances for the human<br />
members of the family while extending<br />
them for the felines.<br />
ใหม่แก่แมว<br />
ขั้นตอนการออกแบบเริ่มจากแก้ไขกิจกรรมของคนในส่วน<br />
ซักล้าง ตากผ้า และจอดรถในชั้น 1 ให้ใช้งานง่ายขึ้น และ<br />
สร้างพื้นที่อิสระในชั้น 2 ต่อมาจึงกําหนดพิกัดพฤติกรรม<br />
เดิมของแมว ยกให้สูงขึ้นเป็นทางเดินเหนือศีรษะเพื่อแยก<br />
ทางสัญจรแมวออกจากคน เน้นการลดระยะการเดินของ<br />
คน แต่เพิ่มระยะการเดินของแมว เพราะคนจะเครียดเมื่อ<br />
เดินมากแต่แมวจะเครียดเมื่อเดินน้อย<br />
“เรารักษาพิกัดเดิมที่แมวชอบแล้วยกระดับเป็นทางเดิน<br />
ลอยฟ้าเลียบผนังโปร่งของเหล็กฉีก กําหนดพิกัดความสูง<br />
ให้เห็นวิวให้มากขึ้น แล้วปรับแบบตามข้อจํากัดทาง<br />
โครงสร้าง กฎหมายและสิ่งแวดล้อม” สถาปนิกอธิบาย<br />
การกําหนดความสูงและสัดส่วน “ความห่างของชั้นคือ<br />
ระยะกระโดดและความยาวของชั้นคือระยะทางเดิน ซึ่งมา<br />
จากการสังเกตพฤติกรรม ความกว้างของทางเดินมาจาก<br />
แมวตัวใหญ่ที่สุด เพื่อให้ได้ชั้นที่แคบที่สุดเท่าที่แมวจะยัง<br />
อยู่สบายแต่ไม่ทําให้คนอึดอัด ส่วนเชื่อมชั้นเล่นระดับเพื่อ<br />
ให้รู้สึกเหมือนขึ้นเนิน ส่วนที่แยกจากกันเพื่อให้เขาได้ย่อ<br />
และกระโดดตามนิสัยของเขา”<br />
growing number of cats under their care can live<br />
in a more comfortable, open space.<br />
Cats are like humans in that each of them has<br />
their own characters. Wanting to know more<br />
about them, the architect had a video camera<br />
installed to observe their behaviors over five days.<br />
After receiving the video file, the architect began<br />
studying the characteristics of each cat. He found<br />
that while some cats like to lie around and are<br />
very private, others are very active and playful.<br />
Using this information he designed a living space<br />
which aims to accommodate these behaviors and<br />
routines while offering a sense of discovery for<br />
the cats. The design process began with the<br />
improvement of the service areas (laundry and<br />
parking space on the first floor), by making them<br />
more convenient for the family to use. The open<br />
and more flexible space is located on the second<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 42<br />
การออกแบบเน้นให้คนเดิน<br />
ระยะสั้นลง แต่ให้แมวเดินได้<br />
ระยะมากขึ้น<br />
The design shortens the<br />
human inhabitants’<br />
walkways while extending<br />
the cats’ routes.<br />
“We elevated the area where the cats<br />
like to hang out to create an elevated<br />
walkway that runs along the airy<br />
expanded metal wall whose height has<br />
been raised to offer a better view,”<br />
explains the architect. “A few other<br />
adjustments were also made to comply<br />
with structural limitations, building<br />
laws and the house’s surrounding<br />
environment.” The space between<br />
shelves is within cat jumping range<br />
whereas the length is the cats’ walking<br />
distance. The width of the walkway was<br />
calculated based on the size of the<br />
family’s largest cat so that it is physically<br />
comfortable for all of them. “The<br />
varying levels of the shelves are<br />
designed to create a slope-like route<br />
while the unconnected walkway is<br />
designed to encourage the cats to<br />
jump, bend their legs and lower their<br />
bodies, which are their instinctive<br />
natural movements.”<br />
สถาปนิกแกะรอยพิกัดเดิมที่<br />
แมวชอบทํามายกระดับขึ้น<br />
เป็นทางเดินลอยฟ้าเลียบผนัง<br />
สูงหกเมตร<br />
The architect retraced the<br />
cats’ routes and favorite<br />
corners when designing<br />
the walkway, which is<br />
elevated six meters above<br />
ground and flows along the<br />
house’s walls.<br />
43 Animal
“แมวเป็นสัตว์แนวดิ่ง”สถาปนิกพูดถึงเหล่า<br />
แมวในบ้าน “เแมวแต่ละตัวชอบความสูงต่าง<br />
กัน ทั้งเพื่ออยู่ นอน และพิกัดเหม่อมอง”<br />
โลกสามมิติที่ลอยกลางอากาศนี้ซ้อนทับอยู่ใน<br />
มวลอากาศของคน เป็นโลกที่แมวจะปฎิสัมพันธ์<br />
กันเอง นั่งเคียงกัน เดินไปเรื่อยๆ เล่นด้วยกัน<br />
เหม่อมอง และนอนอืด ทางเดินล้อมรอบบ้าน<br />
ทําให้แมวสามารถย้ายทิศที่อยู่ได้อิสระ เลือก<br />
เหม่อในพิกัดไหนก็ได้ การไม่เชื่อมต่อของทาง<br />
เดินทําให้เลือกทางขึ้นตรงไหนก็ได้ เปลี่ยน<br />
เส้นทางเดินได้ทุกวัน และผนังที่ล้อมไปด้วย<br />
เหล็กฉีกก็สร้างตําแหน่งชมวิวอิสระให้เลือกวิว<br />
เปลี่ยนวิวได้เรื่อยๆ สถาปนิกจงใจสร้างพื้นที่<br />
เรียบง่ายที่สุดที่สร้างพิกัดหลากหลายให้แมว<br />
ได้เลือกตลอดเวลาเพราะเป็นบ้านที่หมู่แมว<br />
อาศัยอยู่ทุกวัน<br />
ทางเดินลอยฟ้ารูปตัวยูเปิด<br />
โอกาสให้แมวทํากิจกรรมร่วม<br />
กัน เมื่ออยากส่วนตัวก็แยกไป<br />
เลือกมุมเหม่อและนอนอืดได้<br />
หลายพิกัด<br />
The U-shaped elevated<br />
walkway enables the cats<br />
to interact while<br />
connecting to more<br />
secluded corners where<br />
they can relax and lounge<br />
around.<br />
“นิสัยเบื้องต้นที่แมวมีคือ การยืนเฉยๆ แล้ว<br />
มองวิวภายนอก ชอบความเป็นส่วนตัว ชอบ<br />
นอนเล่นในที่ต่างๆ การซุกคือการเล่น แต่การ<br />
นอนคือสิ่งที่แมวชอบทํา” สถาปนิกสรุปผล<br />
การทดลองของเขา การเหม่อมองวิวเป็น<br />
กุญแจสําคัญที่สถาปนิกค้นพบ และดูเหมือน<br />
หลักการนี้จะตรงกับหลักจิตวิทยาแมวบ้านทั่ว<br />
โลก แมวบ้านที่ไม่ได้ออกนอกบ้านจะชอบ<br />
มองวิว เขาอยากมีมุมส่วนตัวที่สามารถหยุด<br />
พักและเหม่อมองนานเท่าไหร่ก็ได้ ตะแกรง<br />
เหล็กในบ้านหลังนี้เปิดมุมมอง กรองแดด<br />
และลมอ่อนๆให้เข้ามาสัมผัสแมว เกิดเป็น<br />
พื้นที่ชมวิวในอุดมคติ สําหรับแมว สัตว์ที่ชอบ<br />
กลิ่นของลมในแต่ละวัน<br />
Cats are vertical creatures believes the<br />
architect. “Each cat has its own<br />
preferred height when it comes to<br />
The walkway around the house allows<br />
the cats to roam freely. They can sit<br />
absent-mindedly wherever they wish.<br />
ตะแกรงเหล็กเปิดมุมมองที่<br />
กว้าง กรองแดด และลม<br />
อ่อนๆให้เข้ามาสัมผัสแมว<br />
เกิดเป็นพื้นที่ชมวิวในอุดมคติ<br />
The steel mesh sheets<br />
creates an ideal<br />
observation space for the<br />
cats by opening the space<br />
up to give a wider<br />
perspective, filtering<br />
sunlight and allowing cool<br />
breezes to flow through.<br />
where they like to chill, sleep and look<br />
The disconnected points in the walkway<br />
at the view.” This three-dimensional<br />
allows the animals to hop on and hop<br />
elevated world coexists alongside the<br />
off it whenever they want, offering<br />
humans’ own living space. It’s a world<br />
greater variations to their daily walking<br />
where cats can interact, sit together,<br />
routes. The expanded steel wall gives<br />
walk side-by-side, look or lie around.<br />
them different vantage points to enjoy<br />
views of the outside. It was the architect’s<br />
intention to create the simplest<br />
space whilst maximizing flexibility for<br />
the animals when it comes to their daily<br />
living space.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 44<br />
45 Animal
“เมื่อต่อเติมเสร็จ พื้นที่ของแมวเพิ่มขึ้น แมวก็<br />
จะก้าวร้าวน้อยลง ไม่แสดงอาการเจ้าถิ่นใส่<br />
กัน แล้วก็พากันออกมานอน และเจ้าของบ้าน<br />
ก็เริ่มเก็บแมวมาเลี้ยงเพิ่มขึ้น (ยิ้ม)”<br />
สถาปนิกกล่าวถึงผลการออกแบบของเขา<br />
แมวมีกฎของเขาเอง การอยู่ร่วมกันของแมว<br />
จะมีการกําหนดพฤติกรรม และสถานที่ ตาม<br />
ช่วงจังหวะเวลาของวัน หากประชากรหนา<br />
แน่น เขาจะข่วนพื้นที่เพื่อเป็นสัญญะสร้าง<br />
อํานาจ Baan Cats 2018 จึงเป็นเหมือน<br />
การเพิ่มพื้นผิวทางการใช้งานเพื่อลดความ<br />
หนาแน่นประชากรแมว ใช้มุมมองและพื้นที่<br />
เหม่อลอยในการกํากับพิกัด เพิ่มตัวเลือกใน<br />
การใช้พื้นที่อย่างอิสระ สร้างสีสันให้กับทุกวัน<br />
เพื่อลดความเครียดและสร้างความสุขให้<br />
ประชากรแมว และทุกชีวิตที่อยู่ร่วมกัน<br />
his design. “They’ve become less<br />
possessive of their territory. They all<br />
spend time lying around next to each<br />
other and the owners have adopted<br />
more cats as a result.”<br />
Cats have their own rules. There are<br />
patterns of behaviors that dictate how<br />
they live together and the spaces they<br />
use at different times of day. If the<br />
population in a certain area gets too<br />
crowded, cats tend to scratch the<br />
surface of the space they live in to<br />
assert their power. By increasing<br />
functional surfaces and distributing the<br />
cat population by providing greater<br />
access to the outside environment,<br />
Baan Cats 2018 has solved this problem<br />
and allowed for a more flexible and<br />
dynamic use of the living space.<br />
Ultimately, it has helped relieve stress<br />
for every family member, humans and<br />
felines alike.<br />
อ้างอิง: “แนวคิดบ้านสัดว์เลี้ยง” www.nakaura-kenchiku.jp<br />
จากพื้นที่เดิมบนพื้นระนาบ สู่<br />
พื้นที่ทางเดินลอยฟ้าและมุม<br />
เหม่อกลางอากาศที่หลาก<br />
หลาย ทําให้หมู่แมวผ่อนคลาย<br />
และกลับมารักกันมากขึ้น<br />
From the horizontal plane<br />
of the floor to the elevated<br />
walkway with various<br />
spaces and corners<br />
designed to accommodate<br />
their daily routines and<br />
behaviors, the new<br />
addition makes the cats<br />
feel more at ease among<br />
each other.<br />
ขั้นที่ไม่ต่อเนื่องกันทําให้แมว<br />
แต่ละตัวเลือกทางขึ้นลงเองได้<br />
อิสระ และมีพฤติกรรมที่ไม่ซ้ํา<br />
กันในแต่ละวัน<br />
The disconnected shelves<br />
diversifies the spatial<br />
program and interactions,<br />
and permits the cats to<br />
choose their own routes.<br />
“One of the fundamental characteristics<br />
of cats is to stand still and just sort of<br />
stare out at the view. They love to lie<br />
around at their favorite spots. Hiding is<br />
like playing to them, but sleeping is what<br />
they love to do most.” The key finding<br />
from the architect’s behavioral research<br />
was that cats like to observe. Domestic<br />
cats all around the world, especially<br />
those raised indoors, love to have their<br />
own private spot where they can spend<br />
as much time as they want staring<br />
outside. The expanded steel wall in this<br />
project does not only offer better<br />
access to the view but also filters the<br />
sunlight and allows soft breezes to flow<br />
through, creating an ideal observation<br />
point for those cats that enjoy the feel<br />
of the air wafting around them.<br />
“Once the addition was done there was a<br />
bigger space for the cats and they<br />
naturally became less aggressive,” said<br />
the smiling architect of the outcome of<br />
Project Name: Baan cats 2018<br />
Owner: Khun Ple<br />
Location: Bangkok Thailand<br />
Area: 95 sq.m<br />
Year of completion: 2018<br />
Architect: mutchimastudio<br />
Interior: mutchimastudio<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 46<br />
47 Animal
REVIEW<br />
Cat Cafe Home<br />
รีฟอร์มวิถีชีวิตด้วยสัดส่วนของเพื ่อน<br />
ร่วมชีวิตและจังหวะในการเข้าหากัน<br />
“ในโลกปั จจุบันสัตว์เลี้ยงอยู่ในที่ร่มมากขึ ้น มีการ<br />
แบ่งปั นพื ้นที่กับผู้เลี้ยง มีวิถีชีวิตสอดคล้องกับ<br />
มนุษย์ในชายคาเดียวกัน แต่สัตว์เลี้ยงหลายตัวต้อง<br />
อยู่ในสถาปั ตยกรรมที่มนุษย์เลือกเพื ่อมนุษย์ “<br />
Text: สิริพร ด่านสกุล / Siriporn Dansakun<br />
Translation: ธนว์กัญญา แจ้งใจธรรม / Tanakanya Changchaitum<br />
Photo: พร เลาหสุขเกษม / Ponn Laohasukkasem (Ponna Studio)<br />
MVRDV เคยกล่าวว่า “ในโลกปัจจุบันสัตว์<br />
เลี้ยงอยู่ในที่ร่มมากขึ้น มีการแบ่งปันพื้นที่กับ<br />
ผู้เลี้ยง มีวิถีชีวิตสอดคล้องกับมนุษย์ในชายคา<br />
เดียวกัน แต่สัตว์เลี้ยงหลายตัวต้องอยู่ใน<br />
สถาปัตยกรรมที่มนุษย์เลือกเพื่อมนุษย์” หาก<br />
การรีฟอร์มบ้านคือการรีฟอร์มวิถีชีวิต บ้าน<br />
Cat Cafe Home โดยคุณพร เลาหสุขเกษม<br />
ก็เป็นการรีฟอร์มที่เปลี่ยนวิถีชีวิตที่เคยปรับ<br />
ตามสถาปัตยกรรม...สู่วิถีชีวิตที่ปรับตาม<br />
แนวคิดของการอยู่ร่วมกันของคนและแมว<br />
Cat Cafe Home เป็นบ้านของคุณหมอสามี<br />
ภรรยาและแมว 3 ตัว เจ้าของบ้านได้ไป<br />
สัมผัสคาเฟ่แมวแล้วใฝ่ฝันอยากได้บ้านแบบ<br />
นั้น การรีฟอร์มจึงเกิดขึ้นในส่วนห้องทาน<br />
อาหาร ห้องนั่งเล่น และพื้นที่หลังบ้าน โดยมี<br />
พื้นที่ของคนและแมวสอดคล้องกันไปแบบมี<br />
สัดส่วนเฉพาะแบบ<br />
Architecture and design firm MVRDV<br />
once said: “A large proportion of dogs<br />
live indoors, their lives interwoven with<br />
their family’s lifestyles. We humans live<br />
harmoniously together with our dogs<br />
under one roof. There is no such a thing<br />
as architecture for dogs; dogs live in<br />
people’s architecture, and according to<br />
the owners’ choices.” If restructuring a<br />
house is the same as restructuring a<br />
life, Cat Café Home, a project by Ponn<br />
Laohasukkasem, reflects the transformation<br />
of architecture so it corresponds<br />
better with two lives: humans and their<br />
cats.<br />
หมู่แมวกับพื้นที่ในบ้าน ที่มี<br />
สัดส่วนเหมาะสมกับพวกเขา<br />
โดยเฉพาะ<br />
The cats at home in a<br />
living space specifically<br />
designed for their physical<br />
proportions and behaviors.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 48<br />
49 Animal
“วิธีคิดเริ่มจาก พฤติกรรมของคนและแมวที่<br />
ซ้อนทับกันเป็นสองเลเยอร์” สถาปนิกกล่าว<br />
เนื่องจากแมวเองก็มีงานประจําวันของเขา<br />
หนึ่งในนั้นคือการเดินสํารวจอาณาบริเวณ<br />
(territory) หากอาณาจักรของเขามีสิ่ง<br />
กีดขวาง แมวจะเกิดความเครียด การ<br />
ออกแบบทางเดินเป็นอาณาจักรแมวที่<br />
เคลื่อนไหวได้สามมิติ ในพิกัดและวัสดุที่ลด<br />
อุบัติเหตุ จึงเป็นการบรรเทาความเครียดให้<br />
แมวไปโดยปริยาย<br />
Cat Café Home is a residence owned by a<br />
doctor couple and their three cats. The<br />
owners always dreamed of having a<br />
house with a space and ambience<br />
similar to that found in the cat cafés they<br />
visited. With this desire driving the brief,<br />
the architect came up with a design that<br />
transforms the dining room, living room<br />
and area at the back of the house into<br />
spaces where specific scales and ratios<br />
are used to determine how humans and<br />
cats interact.<br />
ซ้าย: สเปซตามสัดส่วนของ<br />
แมวที่แทรกซึมในสเปซที่อยู่<br />
อาศัยของคน<br />
Left: The space was<br />
designed so that the cats’<br />
scale is an integrated part<br />
of the humans’ living area.<br />
ขวา: วงจรทางเดินของแมวที่<br />
กําหนดความสูงและพิกัดตาม<br />
จังหวะการเข้าหาคนที่เหมาะสม<br />
Right: The height and<br />
dimensions of the cat’s<br />
main walking route is<br />
designed to enable<br />
physical contact and<br />
interaction with their<br />
human owners.<br />
“It starts with the idea of two superimposed<br />
layers of behavior, one belonging<br />
to the humans and the other to the cats,”<br />
said the architect. With the cats having<br />
their own routine, and one in particular<br />
being quite territorial if something or<br />
someone gets in the way on inside their<br />
space, they are prone to stress. Designing<br />
a walkway that serves as a three-dimensional<br />
sanctuary that the cats can move around<br />
freely in, but within designated coordinates<br />
and on materials that are less likely to<br />
cause accidents, would help a great deal<br />
in relieving that stress.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 50<br />
51 Animal
“It starts with the living room. I divided<br />
the spaces into those that are shared<br />
and those that are used separately by<br />
determining the coordinates and<br />
developing a layout that accommodates<br />
the activities of both the humans and<br />
the cats. The cats’ route is then created<br />
in a cycle. But with the kitchen area<br />
being restricted, that cycle isn’t always<br />
completed.” From the dining space of<br />
the owners and the cats to the walkways,<br />
each space has been designed so<br />
that the activities of the humans and<br />
the felines can take place alongside<br />
each other. This approach to the spatial<br />
design resulted in a series of functional<br />
spaces. While certain areas are<br />
separated, there are also common<br />
areas where activities take place more<br />
freely.<br />
”เราเริ่มจากห้องนั่งเล่น แบ่งพื้นที่ส่วนที่ใช้<br />
ร่วมกันกับส่วนที่แยกกันใช้ วางพิกัดกิจกรรม<br />
ของคนและแมว แล้วสร้างเส้นทางของแมว<br />
เป็นวงจร แต่วงจรในครัวควรถูกกํากับ วงจร<br />
ของแมวจึงไม่สมบูรณ์ตลอดเวลา” สถาปนิก<br />
กําหนดกิจกรรมคนและแมวให้สอดคล้องกัน<br />
ไป ที่ทานอาหารของคนก็จะมีที่ทานอาหาร<br />
ของแมว ทางเดินของคนวางคู่ทางเดินของ<br />
แมว กิจกรรมจะอยู่คู่กันไปในโซนเดียวกัน มี<br />
การแยกพื้นที่ตามสัดส่วน และส่วนที่ไม่แยก<br />
แม้ไม่ทํากิจกรรมพร้อมกัน แต่ความหมาย<br />
ของพื้นที่สําหรับทุกฝ่ายจะเป็นไปในแนวทาง<br />
เดียวกัน<br />
ซ้าย: สถาปนิกกําหนดพิกัด<br />
กิจกรรมของคนและแมวให้<br />
สอดคล้องกัน ทําให้ความ<br />
หมายของพื้นที่ต่อคนและแมว<br />
เป็นเรื่องราวเดียวกัน<br />
Left: The architect<br />
ensured that the cats’ and<br />
owners’ activities can<br />
coincide, facilitated the<br />
coexistence of two types<br />
of living spaces.<br />
ขวา: มีการแยกเป็นพื้นที่ใช้<br />
งานที่ซ้อนทับกัน และพื้นที่ใช้<br />
งานที่แยกสัดส่วนเฉพาะ เพื่อ<br />
คนและเพื่อแมว<br />
Right: The spatial program<br />
is divided betwen spaces<br />
where cats’ and humans’<br />
living activities overlap<br />
and more private corners<br />
for both the animal and<br />
human dwellers.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 52<br />
53 Animal
The height of the cats’ walkway was<br />
determined by studying the way cats<br />
tend to approach humans. “This space<br />
is about cohabitation. Everyone should<br />
feel relaxed. Being unknowingly<br />
approached or jumped at from behind<br />
or from the above, even by their own<br />
cats, can make the owners feel quite<br />
startled and feel a bit too cautious and<br />
stressful. So how both the humans and<br />
the animals approach each other is<br />
site, the cats were allowed to walk<br />
around and interact with the space and<br />
the designed scales. We observed to<br />
see whether they were satisfied with<br />
the plan. If there were certain tunnels<br />
they wouldn’t want to walk through, the<br />
design team would adjust the scale to<br />
best accommodate their preferences<br />
and behaviors.”<br />
The cat walks and cat steps create a<br />
ซ้าย 1: พิกัดของแมวคํานึงถึง<br />
จังหวะการเข้าหาคนเป็นหลัก<br />
สถาปนิกกําหนดเส้นทางแมว<br />
ให้ต่ํากว่าศีรษะคนในทุก<br />
ท่วงท่าในจุดพักผ่อน และยก<br />
ทางเดินแมวให้สูงในบริเวณ<br />
ทางสัญจรของคน<br />
Left 1: Much thought was<br />
given to the way cats<br />
approach their owners. In<br />
the living area the height<br />
of the cats’ walkway is<br />
designed to be lower than<br />
the human inhabitants’<br />
head level. When the<br />
walkway passes beyond<br />
where humans are it is<br />
elevated higher.<br />
something I put a lot of thought into.”<br />
The architect designed the cats’ route<br />
to be lower than the owners’ head level.<br />
Be the owners are sitting in the dining<br />
area, relaxing in the living area or<br />
walking up and down the stairs, the<br />
cats’ walkways are elevated to be<br />
series of walkways with different<br />
variations. Their scale was calculated<br />
based on the cats’ body size, allowing<br />
them to stand and stretch vertically and<br />
horizontally from their heads to the tip<br />
of their tails. The controlled height<br />
naturally allows for visual interactions,<br />
and with the cats and humans able to<br />
ซ้าย 2: บ้านหลังนี้ คํานวน<br />
แคทวอล์ค แคททรู และ<br />
แคทสเต็ป จากสัดส่วนของ<br />
แมว ทําให้แมวยืนแล้วยืดหาง<br />
จนสุดได้<br />
Left 2: The design of the<br />
catwalks and cat steps<br />
takes into account the<br />
cats’ body proportions,<br />
allowing them to fully<br />
stretch their bodies and<br />
tails.<br />
higher than head level tends to be in<br />
approach each other in a gentle<br />
that area. This approach delivers a<br />
manner, the animals now feel more<br />
layout that separates the living spaces<br />
comfortable entering the owners’ living<br />
between the humans and animals while<br />
space during their everyday activities.<br />
providing flexible enough access for<br />
everyone to share the common areas.<br />
It also allows all the humans and cats to<br />
feel comfortable and safe whenever<br />
สําหรับการกําหนดความสูงของเส้นทางแมว สถาปนิก<br />
อ้างอิงจากจังหวะที่แมวเข้าหาคนเป็นหลัก “พื้นที่นี้<br />
เป็นการอยู่ร่วมกัน ทุกฝ่ายควรได้ผ่อนคลาย การเข้าถึง<br />
คนแบบกระโจนจากข้างหลังหรือข้างบนจะทําให้คนตกใจ<br />
หรือต้องคอยระวัง ซึ่งมันเครียด เราจึงคํานึงการเข้าถึงกัน<br />
และกันเป็นอย่างมาก” สถาปนิกกําหนดเส้นทางของแมว<br />
ให้ต่ํากว่าศีรษะคนในแต่ละท่วงท่า ในที่ทานอาหาร ที่นั่ง<br />
เล่น และจังหวะลงบันได และยกทางเดินแมวให้สูงกว่า<br />
ศีรษะคนบริเวณทางสัญจรของคน หลักการนี้เป็นการ<br />
ออกแบบพื้นที่แยกกันอยู่ ที่เปิดโอกาสให้ย้ายตําแหน่งมา<br />
อยู่รวมกันได้ตลอดเวลาด้วยการเข้าถึงกันที่อีกฝ่ายก็อุ่นใจ<br />
อีกสิ่งที่สถาปนิกให้ความสําคัญ คือ สัดส่วนของพื้นที่แมว<br />
ทั้งจังหวะกระโดดของบันได ความกว้างที่อยู่สบาย ขนาด<br />
ของช่องที่อยากซุก ขนาดของรูที่อยากลอด แน่นอนว่าการ<br />
คํานวนสัดส่วนนั้นเป็นหลักการของมนุษย์ แต่สถาปนิกก็<br />
หาวิธีทดสอบสมมติฐานด้วยการ...ให้แมวเป็นผู้ตรวจงาน<br />
“เราให้แมวมาตรวจงานระหว่างก่อสร้างหลายครั้ง เรา<br />
ออกแบบโดยคํานวณจากขนาดแมวไว้แล้ว ระหว่างตรวจ<br />
งาน แมวก็ขึ้นไปเล่นให้เราดู ผลคือ สัดส่วนเป็นที่พอใจ<br />
ของแมว แต่ยังมีบางรูที่แมวไม่ลอด ทีมออกแบบจึงปรับ<br />
สัดส่วน ให้พอดีตามการมาตรวจงานของแมว”<br />
บ้านหลังนี้ ประยุกต์ แคทวอล์ค แคททรู และ แคทสเต็ป<br />
ให้เป็นทางเดินแมวที่หลากหลาย โดยคํานวนสัดส่วนจาก<br />
ขนาดของแมวจนทําให้แมวสามารถยืนแล้วยืดหางจนสุดได้<br />
การกํากับความสูงทําให้เกิดปฎิสัมพันธ์ทางตาโดยปริยาย<br />
และเมื่อจังหวะในการเข้าถึงกันถูกออกแบบอย่างอ่อนโยน<br />
แมวก็จะลงมาทํากิจกรรมร่วมกับคนอย่างธรรมชาติ<br />
they come into contact.<br />
Another priority was the cats’ living<br />
area, which encompasses factors such<br />
as its size, the jumping range between<br />
steps, and the size of tunnels the cats<br />
feel most comfortable using. Scale was<br />
calculated primarily by using the human<br />
body’s proportions and preferences.<br />
The architect, however, tested the<br />
layout by giving the cats the role of<br />
inspectors. “We let the cats visit the<br />
site a number of times. We design by<br />
doing the calculation based on the cats’<br />
body proportions. When we were at the<br />
ทดสอบสมมติฐานด้วยการให้<br />
แมวเป็นผู้ตรวจงาน<br />
Testing the hypothesis as<br />
cats inspect the site.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 54<br />
55 Animal
ซ้าย: ห้องหลังบ้านเป็นพื้นที่<br />
อาบแดดอ่อนๆของแมว<br />
เอื้อให้แสงและบรรยากาศ<br />
ภายนอกเข้ามาปรับสมดุลทาง<br />
ธรรมชาติของแมว<br />
Left: The room offers a<br />
good sunbathing space for<br />
the cats. The ample<br />
presence of natural light<br />
and outside surroundings<br />
helps keep the<br />
domesticated cats’ natural<br />
behaviors in balance.<br />
ขวา: แมวไทยจะมีสีขนแบบ<br />
หนึ่งในอุณภูมิร้อน และ<br />
เปลี่ยนเป็นอีกสีหนึ่งใน<br />
อุณหภูมิเย็น<br />
Right: Thai cats’ hair is<br />
one color in high<br />
temperatures and<br />
changes in cooler<br />
temperatures.<br />
In addition to a design that puts great<br />
thought into how functional spaces are<br />
accessed, the room at the back of the<br />
house now also allows the cats to bask<br />
in warm sunlight. “Cats never have<br />
problem with indoor air, but natural<br />
light and outside surrounding do have<br />
an effect on the animals’ instinctive<br />
natures. The three cats are Thai cats so<br />
they need to be exposed to both high<br />
and low temperatures because their<br />
hair color will be of a certain color<br />
during low temperatures and another<br />
color when the temperature is higher,”<br />
explained the architect.<br />
Japanese designer Kenya Hara once<br />
said: “People build the environment<br />
based on human proportion, from<br />
chairs, tables, doors, steps…to homes<br />
and cities. Animals have to adjust to the<br />
built environment, which is based<br />
almost entirely from the human scale.”<br />
With Cat Café Home, however, the<br />
architect has adjusted the dimension of<br />
functional spaces and, in doing so,<br />
brought the twin worlds of humans and<br />
cats together in the most gentle and<br />
thoughtful manner.<br />
นอกจากการออกแบบที่คํานึงถึงสัดส่วนและ<br />
การเข้าถึงกันและกันแล้วนั้น ห้องหลังบ้าน<br />
ยังเป็นพื้นที่อาบแดดอ่อนๆของแมวอีกด้วย<br />
”แมวไม่เคยมีปัญหาเรื่องอากาศในบ้าน แต่<br />
แสงและบรรยากาศของภายนอกจะมีผลต่อ<br />
ธรรมชาติแมว แมวบ้านนี้เป็นแมวไทยจึง<br />
จําเป็นต้องสัมผัสกับความร้อนและความเย็น<br />
เพราะสีขนจะเป็นสีหนึ่งในอุณหภูมิที่เย็น แล้ว<br />
จะเปลี่ยนเป็นอีกสีหนึ่งเมื่ออุณหภูมิร้อน”<br />
สถาปนิกเล่าถึงห้องอาบแดดแมว<br />
Kenya Hara กล่าวไว้ว่า “คนสร้างสิ่ง<br />
แวดล้อมขึ้นโดยอ้างอิงจากสัดส่วนมนุษย์<br />
ตั้งแต่เก้าอี้ โต๊ะ ประตู บันได …บ้าน ต่อ<br />
เนื่องไปจนถึงเมือง และสัตว์เลี้ยงก็ต้องปรับ<br />
ตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่สร้างไว้ตามพื้น<br />
ฐานของสัดส่วนมนุษย์” แต่ใน Cat Café<br />
Home หลังนี้ สถาปนิกพยายามที่จะปรับมิติ<br />
ของสเปสขึ้นใหม่ เพื่อผสานโลกของมนุษย์<br />
กับโลกของแมว ให้อยู่ร่วมกันอย่างอ่อนโยน<br />
Project Name: Cat Cafe Home<br />
Owner: Mallika Techolarn<br />
Location: Bangkok Thailand<br />
Area: 75 spare metre<br />
Year of completion: 2016<br />
Architect: Ponna Studio<br />
Interior: Ponna Studio :Ponn Laohasukkasem,<br />
Pimrada Nochid, Charwanchon<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 56<br />
57 Animal
ROUNDTABLE TALK<br />
Animals and Me<br />
การออกแบบสภาพแวดล้อม<br />
เพื ่อการเรียนรู้สัตว์<br />
ผู้ใช้ในมุมมองของคนทั่วไปหรือเจ้าของ<br />
โครงการ บางทีจะเน้นทางด้านผู้ชมค่อน<br />
ข้างเยอะ แต่ในฐานะคนที่ทำสวนสัตว์กัน<br />
จริงๆ จะเข้าใจว่าน้าหนักที่ต้องเท่าๆกัน<br />
เลย หรืออาจจะเยอะกว่าด้วยซ้า ก็คือผู้ใช้<br />
ที่เป็นสัตว์ เพราะเค้าเป็นผู้ใช้สอยที่อยู่<br />
ตลอด 24 ชั่วโมง<br />
Text: <strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> Team<br />
Photo: ชนิภา เต็มพร้อม / Chanipa Temprom<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 58<br />
ซ้าย: คุณยงชัย อุตระ<br />
กลาง: ดร.ฉมาวงศ์ สุริยจันทร์<br />
ขวา: ผศ.ดร.สุพิชชา โตวิวิชญ์<br />
การออกแบบสวนสัตว์ที่มีผู้ใช้สอยอาคารเป็นทั้งมนุษย์<br />
และสัตว์นั้นเป็นเรื่องที่น่าสนุกที่เราอาจจะไม่ค่อยได้พูด<br />
ถึงกันสักเท่าไร <strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> มีโอกาสได้นั่งพูดคุยกับผู้<br />
เชี่ยวชาญสองท่าน ได้แก่ คุณยงชัย อุตระ สัตวแพทย์<br />
และผู้ช่วยผู้อํานวยการ สํานักอนุรักษ์และวิจัย องค์การ<br />
สวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และอาจารย์ ดร.ฉมาวงศ์<br />
สุริยจันทร์ อาจารย์ประจําภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม<br />
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ<br />
อนุกรรมการด้านวิชาการและกายภาพองค์การสวนสัตว์<br />
ในพระบรมราชูปถัมภ์เกี่ยวกับแนวโน้มการออกแบบ<br />
สภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้สัตว์<br />
_ตอนนี้รูปแบบของโครงการสวนสัตว์ต่างๆ ที่มีใน<br />
ประเทศไทยมีลักษณะใดบ้างคะ<br />
คุณยงชัย: ในประเทศไทยถ้าเฉพาะขององค์การสวนสัตว์<br />
มี 7 แห่ง และของเอกชนที่มีขนาดใหญ่ มีประมาณ<br />
2 แห่ง อย่างของซาฟารีเวิลด์นี่จุดดึงดูดลูกค้าคือโชว์<br />
ส่วนขององค์การสวนสัตว์จะเน้นส่วนแสดง นอกจาก<br />
นี้ก็มีสวนนก ที่มีขนาดใหญ่หน่อยก็จะมีที่จังหวัดชัยนาท<br />
ตอนนี้เทรนด์การทํากรงนกใหญ่ขนาด 3-5 ไร่ นี้ค่อยๆ<br />
น้อยลง เพราะจัดคอลเลคชันนกที่จะปล่อยยากมาก<br />
อย่างแรกคือคนต้องเห็นนกได้ชัด อย่างที่สองคือสีต้อง<br />
สวยแล้วโดยส่วนใหญ่นกบ้านเราจะสีเขียวๆเทาๆ ไม่ค่อย<br />
มีสีสดสะดุดตา อย่างที่สามคือนกต้องไม่ทะเลาะกัน<br />
ครับ เพราะว่านกบางพวกมันเป็นนกกินเนื้อ หรือนกบาง<br />
พวกพอมันจับคู่ผสมพันธุ์ปุ๊บ มันจะมีเขตของมัน ถ้าใคร<br />
ไปยุ่งกับเมียมัน มันตีตายเลย ส่วนอควาเรียมจะมีจํานวน<br />
เยอะกว่า เพราะรายได้ดีครับมีทั้งแบบน้ำจืดและน้ำเค็ม<br />
59 Animal
_ฟังคุณหมอแล้วรู้สึกว่ามีรายละเอียดที่ต้องคำนึงถึง<br />
ตอนออกแบบเยอะเหมือนกันสถาปนิกและภูมิสถาปนิก<br />
จะต้องมีความรู้พื้นฐานอะไรบ้างคะ<br />
คุณยงชัย: ขั้นแรกเจ้าของโครงการต้องกําหนด requirement<br />
ให้สถาปนิกก่อน แต่ทีนี้ปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นคือ<br />
เจ้าของโครงการเองก็ไม่มีความรู้ แล้วพอสถาปนิกก็ไม่รู้<br />
ด้วย มันก็เลยได้แค่สวนสวยๆ ออกมามองจากคน<br />
ภายนอกก็คือจัดสวนสวยจังเลย แล้วก็มีตัวอะไรไม่รู้วิ่งไป<br />
วิ่งมาคือมีแค่สวนและสัตว์จริงๆ (ยิ้ม) ซึ่งเวลาให้อาหาร<br />
เราต้องโยนเข้าไปข้างหน้า แต่เวลาที่สัตว์มันป่วย ที่เรา<br />
ต้องชั่งน้ำหนักหรือฉีดยาสัตว์ เราจะไม่สามารถทําได้<br />
อ.ฉมาวงศ์: ผมก็มองเห็นปัญหาเดียวกันครับ เพราะผม<br />
มองว่าสัตว์แต่ละชนิด มันก็เหมือนกับผู้ใช้โครงการ ซึ่ง<br />
เวลาเราทําการออกแบบก็ต้องศึกษาให้ลึกซึ้งถ้าเราไม่<br />
เข้าใจความต้องการของสัตว์ ไม่เข้าใจพฤติกรรม เราจะ<br />
ไม่สามารถออกแบบได้ตอบสนองความต้องการของ<br />
เค้า อย่างที่คุณหมอพูดเรื่องปัญหาที่จะเกิดขึ้น จาก<br />
ประสบการณ์มีนิสิตทําวิทยานิพนธ์ บางคนจะจับเฉพาะ<br />
ทางไปเลย เช่นบางคนดูเรื่องนกกระเรียน บางคนดูเรื่อง<br />
วัวแดง ล่าสุดที่ผมเป็นที่ปรึกษาดูแค่เรื่องลิงอย่างเดียว<br />
พบว่าสังคมของลิงมันก็ซับซ้อนมาก นี่คือแค่ลิงชนิดเดียว<br />
นะครับ แล้วคือสวนสัตว์มันรวมตั้งไม่รู้กี่ชนิด ประเด็น<br />
หลักคือเราต้องเข้าใจผู้ใช้ เพราะว่าผู้ใช้ในมุมมองของคน<br />
ทั่วไปหรือเจ้าของโครงการ บางทีจะเน้นทางด้านผู้ชมค่อน<br />
ข้างเยอะ แต่ในฐานะคนที่ทําสวนสัตว์กันจริงๆ จะเข้าใจ<br />
ว่าน้ำหนักที่ต้องเท่าๆกันเลย หรืออาจจะเยอะกว่าด้วยซ้ำ<br />
ก็คือผู้ใช้ที่เป็นสัตว์ เพราะเค้าเป็นผู้ใช้สอยที่อยู่ตลอด<br />
24 ชั่วโมง แล้วเค้าคือต้นทางของการที่โครงการจะออก<br />
มาดีหรือไม่ดี เพราะฉะนั้นเรื่องพฤติกรรมของสัตว์ต่างๆ<br />
ถือว่าเป็นอันดับแรกที่ต้องเข้าใจที่สุด<br />
E<br />
D<br />
E<br />
E<br />
E<br />
R<br />
D<br />
Y<br />
D<br />
D = Den<br />
คอกกักสัตว์<br />
E = Exhibition<br />
ส่วนแสดง<br />
Y = Exercise Yard<br />
พื้นที่ออกกําลัง<br />
R = Rest Way<br />
เส้นทางบริการเพื่อ<br />
ชั่งนํ้ำหนักหรือฉีดยา<br />
Y<br />
D<br />
_องค์ประกอบของการออกแบบส่วนแสดง<br />
สัตว์ที่ดีควรประกอบด้วยอะไรบ้างคะ<br />
คุณยงชัย: อยากให้ดูภาพประกอบ ส่วน E<br />
ในภาพนี้คือ Exhibition หรือส่วนแสดง แรก<br />
เริ่มเลยเราจัดให้สัตว์อยู่ในคอกกัก (D=Den)<br />
สี่เหลี่ยม ปล่อยมันวิ่งไปวิ่งมาอยู่ในนั้น เวลา<br />
ให้อาหารก็โยนให้มันกิน อย่างที่กล่าวไปคือ<br />
ลักษณะนี้สัตว์อาจจะไม่ได้พักผ่อนเลย และ<br />
เข้าไปดูแลรักษาสัตว์ได้ยาก รูปแบบต่อมามี<br />
การพัฒนาเพิ่มรายละเอียด เช่น แยกส่วน<br />
คอกกักออกจากส่วนแสดง เพื่อให้สัตว์มีที่พัก<br />
เมื่อเวลาที่สัตว์มีลูกแล้วอาจเริ่มทะเลาะกับพ่อ<br />
กับแม่ ก็ต้องทําคอกเพิ่มขึ้น หรือบางทีเวลา<br />
ที่สัตว์ป่วย ซึ่งสวนสัตว์จะมีกฎว่าสัตว์ที่ไม่<br />
สมบูรณ์ ป่วย หรือชรา ห้ามแสดงให้คนดู<br />
เราก็ต้องมี exercise yard เพิ่มไว้ข้างหลัง<br />
ด้วย เอาไว้ในกรณีที่มันป่วย หรือมันแก่ หลัง<br />
จากนั้นเรามีปัญหาว่าเมื่อต้องรักษาพยาบาล<br />
สัตว์ หรืออยากชั่งน้ำหนัก แล้วต้องวางยา<br />
สลบทุกครั้ง การออกแบบต่อมาจึงเพิ่มส่วนที่<br />
เรียกว่า rest way เข้าไป ซึ่งเป็นคล้ายๆ ทาง<br />
เดินที่เชื่อมต่อระหว่างคอกกักกับส่วนแสดง<br />
ซึ่งจะมีระบบเป็น platform ชั่งน้ำหนัก ทําให้<br />
สะดวกมากขึ้น<br />
อ.ฉมาวงศ์: ส่วนแสดงนี่ ผมว่าเป็นอะไรที่<br />
ค่อนข้างจะซับซ้อน เวลาจะออกแบบจริงๆ ก็<br />
ต้องได้ข้อมูลจากคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญบอก<br />
คือเราทํางานร่วมกันนะครับ คือเมื่อเราได้<br />
รับ space requirement มาจากทางสวนสัตว์<br />
ผู้ออกแบบ ก็นํามาจัดให้มันถูกที่ถูกทาง ให้<br />
สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม อย่างทางด้าน<br />
ภูมิสถาปัตยกรรมเราจะช่วยดูทิศทาง แดด<br />
ลม พืชพรรณ วัสดุ shape รวมถึง form<br />
และการออกแบบต่างๆ ให้มันสวยงาม<br />
สําหรับคนดูและไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 60<br />
61 Animal
_แล้วถ้าองค์ประกอบของสวนสัตว์ทั้งหมด<br />
เลย มันมีอะไรที่สำคัญๆบ้างคะ ปัจจุบันผู้<br />
ชมจะต้องการอะไรบ้างจากการชมสวนสัตว์<br />
อ.ฉมาวงศ์: ย้อนอดีตสักนิดหนึ่งแล้วกันนะ<br />
ครับ ตอนแรกจะเน้นการจับสัตว์เข้ามาอยู่ใน<br />
กรง แล้วก็เอาคนมาดูเพื่อให้หวนระลึกถึง<br />
ธรรมชาติมันเริ่มมาจากตั้งแต่ในวังของ<br />
กษัตริย์ แล้วพัฒนาการมันก็ดีขึ้นมาเรื่อยๆ<br />
มีการจัดพื้นที่ให้ใหญ่ขึ้น ถัดมาเมื่อพื้นที่ใหญ่<br />
ขึ้นแล้วก็ค่อยๆ มีการออกแบบปรับแต่งสภาพ<br />
แวดล้อมให้เหมือนกับถิ่นที่สัตว์เคยอยู่ มีการ<br />
เพิ่มต้นไม้และบ่อน้ำ เพื่อให้สัตว์ได้แสดง<br />
พฤติกรรมทางธรรมชาติออกมา นักออกแบบ<br />
ต้องคิดว่าสัตว์บางชนิดใช้เวลา 70-80% ใน<br />
การหาอาหาร ถ้าเราไปโยนให้มันก็จะไม่ได้<br />
ออกกําลังกาย ก็ต้องออกแบบให้เอาอาหาร<br />
ไปซ่อนบนพุ่มไม้ หรือใต้หญ้าแห้งให้มันใช้<br />
ชีวิตคล้ายกับอยู่ในธรรมชาติ จนมาถึงแนว<br />
โน้มล่าสุดจะใช้คําว่า landscape immersion<br />
คือ พยาม blend ทั้งเรื่องของการใช้<br />
ชีวิตของสัตว์และการชมของผู้คนให้มันเป็น<br />
ธรรมชาติมากที่สุด ให้มันเหมือนกับสภาพ<br />
แวดล้อมจริงมากที่สุด ถ้าจะพูดในภาพใหญ่<br />
สวนสัตว์สมัยก่อนเรามองว่ามันเป็นแค่<br />
ประเภทหนึ่งของ theme park มี พัฒนาการ<br />
จากที่เคยให้ความสําคัญไปที่คนดูเป็นหลัก ก็<br />
มาเพิ่มน้ำหนักให้ทางสัตว์ ล่าสุดที่ผมทํางาน<br />
ร่วมกับคุณหมอและคณะทํางานขององค์การ<br />
สวนสัตว์ ได้พยายามเอานโยบายขององค์<br />
การฯ เข้ามาซึ่งมันสอดคล้องกับสากลนะ<br />
ครับ ว่าสวนสัตว์ต้องเป็นทั้งแหล่งเรียนรู้<br />
ที่พักผ่อนหย่อนใจ และที่อนุรักษ์และวิจัย<br />
คุณยงชัย: เพิ่มเติมในส่วนของคนดูแลสัตว์<br />
นะครับ ในสวนสัตว์ขนาดใหญ่จะทําservice<br />
way ไว้เป็น วงแหวนรอบๆ เพื่อให้เข้าถึงได้<br />
จากทางด้านหลังโดยที่ไม่รบกวนผู้ชมด้าน<br />
หน้า นอกจากนี้ต้องการคลังอาหาร(commissary)<br />
เมื่ออาหารแห้งและอาหารสดเข้ามาจะ<br />
ตรวจนับ วัดชั่ง เก็บ และจ่ายออกจากตรง<br />
นั้น แล้วก็มีโรงพยาบาลสัตว์<br />
อ.ฉมาวงศ์: ในส่วนที่จะเป็นจุดพักจุดหมายตา<br />
ที่จอดรถ ที่ขายตั๋ว อันนั้นคือตามมาตรฐานของ<br />
การออกแบบสวนสาธารณะหรือ theme park<br />
ทั่วไปว่ามันต้องมีในทุกระยะเท่าไรซึ่งทางคุณ<br />
หมอเองก็มีการเก็บข้อมูลที่น่าสนใจเช่นบางที<br />
ตามมาตรฐานจะบอกว่าคนอาจจะเดินได้<br />
300 เมตร ถึงจะต้องมีจุดพัก แต่คุณหมอบอก<br />
ว่าถ้าที่เขาดินต้องใช้ระยะ200 เมตร เพราะ<br />
เด็กเป็น user หลัก ทางองค์การสวนสัตว์มี<br />
ข้อมูลต่างๆ แล้วเอามาแชร์กัน คุณหมอเคยเล่า<br />
ว่าส่วนจัดแสดงหนึ่ง บางคนใช้เวลาแค่ 22<br />
วินาที เท่านั้นเอง ซึ่งก็จะเป็นข้อมูลที่น่าสนใจว่า<br />
นักออกแบบต้องทํายังไงให้เค้าอยู่ชมได้นาน<br />
มากกว่านั้น<br />
_คิดว่าความยากของการออกแบบสวนสัตว์<br />
คืออะไรคะ ทั้งในส่วนของนักออกแบบและ<br />
สำหรับสัตวแพทย์<br />
คุณยงชัย: งบประมาณไม่เคยพอ สวนสัตว์ที่<br />
ประเทศโปแลนด์แค่อาคารสําหรับสัตว์จาก<br />
ทวีป Africa อาคารเดียวก็ 3,000 ล้านแล้ว<br />
ของเราส่วนแสดงได้งบประมาณแค่ 10 ล้าน<br />
ถ้าเทียบกับต่างประเทศเป็นได้แค่ค่าแบบของ<br />
เรารวมค่าออกแบบและค่าก่อสร้างด้วย คุณว่า<br />
อันไหนมันจะดีกว่ากันอย่างที่บอกว่ามันก็จะมี<br />
แต่หน้าบ้านสวยๆไง ไม่มีหลังบ้าน<br />
อ.ฉมาวงศ์: : ผมว่าความยากคือเป้าหมายหนึ่ง<br />
ที่อยากให้คนเปลี่ยนพฤติกรรม คือให้คนเข้ามา<br />
“อิน” กับสัตว์ อยากเป็นส่วนร่วมของการช่วย<br />
เหลือไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง สวนสัตว์ควรจะมี<br />
ความยืดหยุ่นหรือว่าเปิดโอกาสให้ประชาชน<br />
ทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมเยอะๆ ทํายังไงให้ดึงการมี<br />
ส่วนร่วมเข้ามาใช้ในการบริหารจัดการ รวมถึง<br />
การออกแบบ เพราะว่าหลายๆที่แม้แต่องค์การ<br />
สวนสัตว์ เป้าหมายหลักคือให้ประชาชนมีจิต<br />
สํานึกที่ดี แต่บางทีมาครั้งเดียวมันก็อาจจะไม่ได้<br />
เกิดขึ้น มันเป็นทั้งการดีไซน์กายภาพ และดีไซน์<br />
กระบวนการ ผมว่าถ้าทําตรงนั้นให้มันเกิดขึ้น<br />
ได้ ก็จะ win-win ทั้งสองฝ่าย ประชาชนได้เกิด<br />
ความเข้าใจที่ดี กลับมาเยี่ยมชมบ่อยๆ หลายที่<br />
คือคนส่วนใหญ่จะไปแค่ช่วงเป็นเด็ก<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 62<br />
63 Animal
FEATURE<br />
สิงสาราสัตว์ในสถาปัตยกรรมไทย<br />
Animals in Traditional<br />
Thai Architecture<br />
Text: รศ.ดร. ชาตรี ประกิตนนทการ / Assoc. Prof. Chatri Prakitnonthakan, Ph.D.<br />
Translation: ธนว์กัญญา แจ้งใจธรรม / Tanakanya Changchaitum<br />
If one looks closely at the details of traditional Thai architecture, a link between architectural elements<br />
and the physical features and symbolic meaning of certain animals is clearly apparent. Such references<br />
can be found in everything from decorative details to the concepts that dictate architectural styles and<br />
forms. Thai artisans and builders have created a wealth of terminology related to physical features or<br />
characteristics of animals. It isn’t overstatement to say that animals, both real and mythical, have been a<br />
significant source of inspiration in traditional Thai architecture.<br />
The use of animals in Thai architecture can be roughly divided into two categories. The first is terminology<br />
in which certain architectural and structural compositions are named or inspired by animals; the second<br />
is the direct use of animals as an integral part of the creation of architectural forms and styles.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 64<br />
ค้างคาวในเรือนไทยประเพณี<br />
อ้างอิง: หนังสือสรรพสัตว์ใน<br />
งานสถาปัตยกรรมไทย<br />
A piece of wood connecting<br />
the rafters and a projecting<br />
wooden peg, the kang kao<br />
is an important structural<br />
element of traditional Thai<br />
houses.<br />
สถาปัตยกรรมไทยประเพณีหากเรามองดูในรายละเอียดอย่างจริงจังจะพบว่ามีเป็นจํานวนมากที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดย<br />
อาศัยแหล่งอ้างอิงทางความคิดที่เกี่ยวข้องกับสรรพสัตว์นานาชนิด เริ่มตั้งแต่องค์ประกอบตกแต่งอาคารไปจนถึงระดับที่<br />
ให้แนวคิดต่อการกําหนดรูปทางสถาปัตยกรรม แม้กระทั่งการเรียกชื่อโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมของช่างไทยในอดีต<br />
ที่หากไล่เรียงดูก็จะเห็นเช่นกันว่ามีไม่น้อยที่ถูกนิยามขึ้นโดยอ้างอิงกับรูปร่างหรือลักษณะเฉพาะของสัตว์ ซึ่งคงจะไม่เกิน<br />
เลยไปนักหากจะกล่าวว่า สถาปัตยกรรมไทยในด้านหนึ่งถูกออกแบบขึ้นจากแรงบันดาลใจที่มาจากสิงสาราสัตว์ต่างๆ ทั้ง<br />
ที่มีอยู่จริงตามธรรมชาติและในจินตนาการ เราสามารถแบ่งสิงสาราสัตว์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับงานสถาปัตยกรรมไทยได้<br />
กว้างๆ เป็น 2 ประเภท คือ ความเกี่ยวข้องในฐานะที่ถูกใช้เป็นชื่อเรียกองค์ประกอบและโครงสร้างทางสถาปัตยกรรม<br />
ไทย กับความเกี่ยวข้องโดยตรงที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์รูปแบบทางสถาปัตยกรรม<br />
ชื่อโครงสร้างและองค์ประกอบทาง<br />
สถาปัตยกรรมจากสิงสาราสัตว์<br />
1<br />
กระบวนการก่อสร้างของช่างไทยในอดีตไม่ว่า<br />
จะเป็น “งานช่างชาวบ้าน” หรือ “งานช่าง<br />
หลวง” ชื่อเรียกอาคาร โครงสร้าง และองค์<br />
ประกอบต่างๆ มักถูกกําหนดขึ้นโดยอิงกับสิ่ง<br />
แวดล้อมรอบๆ ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก<br />
สรรพสัตว์ต่างๆ หากช่างพิจารณาเห็นว่าองค์<br />
ประกอบหรือโครงสร้างใดมีลักษณะคล้ายหรือ<br />
เหมือนกับสัตว์ประเภทใดก็มักจะตั้งชื่อองค์<br />
ประกอบหรือโครงสร้างนั้นด้วยชื่อของสัตว์<br />
ประเภทนั้นๆ ในแง่หนึ่งนับว่าเป็นความชาญ<br />
ฉลาดของช่าง เพราะการตั้งชื่อโดยอิงกับสัตว์<br />
เหล่านี้ช่วยให้เกิดความเข้าใจร่วมกันในหมู่<br />
ช่างได้ง่ายขึ้นและสะดวกต่อการสื่อสารต่อ<br />
ผู้คนในวงกว้าง ตัวอย่างที่คุ้นเคยกันดีแม้<br />
กระทั่งในกลุ่มช่างทั่วไปในปัจจุบันก็เช่น<br />
อกไก่, สันตะเข้, กระเบื้องหน้าวัว, หลังคา<br />
ปีกนก และ เดือยหางเหยี่ยว เป็นต้น ส่วนที่<br />
เป็นศัพท์ช่างเฉพาะทางสถาปัตยกรรมไทย<br />
ประเพณีก็พบชื่อเรียกเกี่ยวกับสัตว์เป็นจํานวน<br />
มาก เช่น หางหงส์, ช่อฟ้าปากนก, ช่อฟ้า<br />
ปากปลา, ซุ้มรังไก่, ไม้ข้างควาย, กบทู, บัว<br />
ปากปลิง, ค้างคาว, ผีเสื้อ และช่องกบ เป็นต้น<br />
Local builders or royal artisans have<br />
often given buildings, structures and<br />
architectural elements names that<br />
were closely associated with the<br />
surrounding environment, particularly<br />
animals. The physical resemblances<br />
between certain parts or structural<br />
typologies of buildings and animals or<br />
their body parts led local builders and<br />
artisans to come up with this terminology.<br />
The emergence of these terms reflects<br />
a certain artisanal brilliance because<br />
their creation has helped foster mutual<br />
understanding and communication<br />
between professionals as well as the<br />
general public.<br />
Some of the well-known terms include<br />
‘ok kai’ (chicken breast roof ridge); ‘san<br />
ta-kae’ (crocodile ridge hip rafter), ‘kra<br />
bueng na wua’ (cow face tiles); ‘lang ka<br />
peek nok’ (bird wing roof); and ‘doei hang<br />
yeu’ (falcon tail dowel). More specific<br />
vocabulary used exclusively in traditional<br />
Thai architecture and associated with<br />
1 เนื้อหาในหัวข้อนี้เป็นการสรุปความจาก สมใจ นิ่มเล็ก, สรรพสัตว์ในงานสถาปัตยกรรมไทย (กรุงเทพฯ: มติชน, 2557).<br />
65 Animal
การตั้งชื่อเหล่านี้มิได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีหลักเกณฑ์ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นชื่อที่ต้องสัมพันธ์กับสัตว์ประเภทนั้นๆ อย่างชัดเจน<br />
เช่น “ช่อฟ้าปากนก” ที่มีรูปทรงเหมือนปากของนก หรือ “ค้างคาว” ในเรือนไทยที่เป็นไม้ยึด “จันทันระเบียง” เข้ากับ<br />
“เต้า” ซึ่งเมื่อยึดเข้าด้วยกันแล้ว ไม้ยึดตัวนี้จะมองดูคล้ายกับค้างคาวที่กําลังห้อยหัวเวลานอน เป็นต้น<br />
บางครั้งชื่อเรียกก็เกิดขึ้นจากการเทียบเคียงตําแหน่งขององค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมกับธรรมชาติของสัตว์นั้นๆ<br />
ตัวอย่างเช่น “ลายผีเสื้อ” กับ “ลายค้างคาว” ซึ่งลวดลายทั้งสองชนิดนี้มีรูปทรงที่คล้ายกันแต่ตั้งอยู่คนละตําแหน่งกันและ<br />
เป็นสาเหตุที่ทําให้ชื่อเรียกแตกต่างกัน โดยลายผีเสื้อจะเป็นลายปูนปั้นส่วนที่อยู่ใต้หลบสันหลังคาซึ่งใช้ตกแต่งภายนอก<br />
อาคาร ส่วนลายค้างคาวจะทําประดับลายฝ้าเพดานภายในอาคาร ดังนั้นการเรียกชื่อลวดลายทั้งสองจึงยึดตามธรรมชาติ<br />
ของสัตว์ทั้งสองชนิด คือ ค้างคาวเป็นสัตว์อาศัยในที่มืดจึงถูกนําไปเรียกลวดลายที่ประดับบนฝ้าภายในอาคารซึ่งจะอยู่ใน<br />
ตําแหน่งที่มืดคล้ายกัน ส่วนผีเสื้อเป็นแมลงและอาศัยอยู่ในที่แจ้งจึงถูกนําไปเรียกลวดลายที่ประดับกลางแจ้ง<br />
ภาพเปรียบเทียบลายค้างคาว (ซ้าย) กับลายผีเสื้อ (ขวา)<br />
Comparative section drawings of the kang kao and<br />
phisuer patterns.<br />
อ้างอิง: หนังสือสรรพสัตว์ในงานสถาปัตยกรรมไทย<br />
animal body parts includes ‘hang hong’ (a type of<br />
a protruding wooden peg to secure the structure<br />
swan tail-like roof ornamentation); ‘chor fah pak<br />
of a traditional Thai house. This particular piece<br />
nok’ and ‘chor fah pak pla’ (bird’s beak gable apex<br />
resembles a bat when sleeping upside down.<br />
and fish mouth gable apex, respectively); ‘soom<br />
rang kai’ (chicken nest arch); and ‘mai kang kwai’<br />
Some of the names originated because of a<br />
(directly translates to ‘wood by the buffalo’; a piece<br />
similarity between the position in which a certain<br />
of wood used to secure materials to the roof).<br />
architectural composition is constructed and the<br />
natural habitat of the animal this particular part is<br />
Others include ‘kob tu’ (frog roof ridge for a ruean<br />
named after. For example, the butterfly and bat<br />
khruang phuk, a traditional Thai house built out of<br />
simple, lightweight materials using tying techniques);<br />
‘bua pak pling’ (literal translation: ‘leech mouth<br />
ornamental moulding’); ‘kang kao’ (a piece<br />
of wood connecting the rafters and a projecting<br />
wooden peg named after the Thai for bat); ‘phi<br />
suer’ (butterfly dowels); and ‘chong kob’ (frog<br />
cavity, a term used to refer to the void of a cased<br />
opening).<br />
These names didn’t appear out of nowhere, but<br />
originated from tangible connections between the<br />
architectural elements and the animals they were<br />
named after. For example, the ‘chor fah pak nok’ or<br />
bird’s beak gable apex refers to the resemblance<br />
pattern contain similar details but are located at<br />
different parts of the structure. Hence the<br />
different names. While butterfly refers to the<br />
exterior concrete ornament positioned underneath<br />
the ridge of a roof, the bat pattern is used as a<br />
decorative element on the interior ceiling. The<br />
names of the two patterns refer to the different<br />
natures and living environment of the two animals.<br />
Since bats are nocturnal creatures, the animal is<br />
used to name the ornamental detail of the interior<br />
decoration element situated in a darker part of the<br />
building. Butterflies, on the other hand, are<br />
insects whose natural habitat is open, outdoor<br />
spaces, which explains why it is used to name the<br />
decorative pattern of an outdoor architectural<br />
สิงสาราสัตว์กับการสร้างความหมายเชิงสัญลักษณ์ใน<br />
งานสถาปัตยกรรมไทย<br />
เป็นที่รับรู้ทั่วไปว่า สถาปัตยกรรมมิใช่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อ<br />
มุ่งหวังประโยชน์ใช้สอยทางกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่<br />
ประโยชน์ใช้สอยในแง่ของการทําหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ใน<br />
เชิงอุดมคติบางอย่างนั้นคือเป้าหมายที่สําคัญมากประการ<br />
หนึ่งของการสร้างงานสถาปัตยกรรม และแน่นอนงาน<br />
สถาปัตยกรรมไทยประเพณีก็หลีกไม่พ้นธรรมชาติข้อนี้<br />
เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาปัตยกรรมทางศาสนาที่<br />
อาจกล่าวได้ว่าล้วนแล้วแต่ถูกออกแบบขึ้นเพื่อเป้าหมายใน<br />
การจําลองพื้นที่ในอุดมคติอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ ไม่ว่าจะ<br />
เป็น เขาพระสุเมรุ, สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรือ ชมพูทวีป ซึ่ง<br />
การจําลองพื้นที่ดังกล่าวจะไม่มีทางสมบูรณ์ได้เลยหากขาด<br />
ซึ่งองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวข้องกับสิงสาราสัตว์<br />
Animals and Symbolic Meanings in<br />
Thai Architecture<br />
Architecture does not only serve functional<br />
purposes it can also be used to symbolically<br />
represent a particular ideology. The latter is one of<br />
the most important reasons behind the conception<br />
of certain types of architecture. Thai traditional<br />
Thai architecture is no different. Notably, religious<br />
architecture is designed and constructed to<br />
simulate an ideal place; Mount Meru, for example,<br />
the highest level of heaven, or the terrestrial world<br />
of Jambudvīpa. The simulation of these mythical<br />
places would not be complete without animal-inspired<br />
architectural elements.<br />
between the apex’s shape and the beak of a bird.<br />
element.<br />
‘Kang kao’ is a wooden piece that joins the rafter to<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 66<br />
67 Animal
พื้นที่พุทธาวาสของวัดไทยในอดีตคือพื้นที่ที่<br />
มักถูกสร้างขึ้นโดยมุ่งหวังที่จะให้มีสถานะเป็น<br />
สัญลักษณ์ของ “เขาพระสุเมรุ” ตามคติพุทธ<br />
ศาสนาให้ปรากฏเป็นรูปธรรม รูปแบบทาง<br />
สถาปัตยกรรมที่นิยมใช้ในการสื่อความหมาย<br />
นี้คือการสร้าง “พระปรางค์” ที่เป็นสัญลักษณ์<br />
ของภูเขาขึ้นเป็นหลักประธานของวัดโดยล้อม<br />
รอบด้วยพระปรางค์ทิศและพระระเบียงที่สื่อ<br />
ความหมายถึง “เขาสัตตบริภัณฑ์” ที่โอบล้อม<br />
เขาพระสุเมรุ และสิ่งสําคัญที่มักจะขาดไม่ได้<br />
เลยคือการสร้างสัญลักษณ์ของป่าหิมพานต์ที่<br />
อยู่ใต้ฐานเขาพระสุเมรุ ซึ่งสัญลักษณ์ในส่วนนี้<br />
จะถูกสร้างขึ้นผ่านองค์ประกอบทาง<br />
สถาปัตยกรรมที่สัมพันธ์กับสัตว์หิมพานต์<br />
ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทํา“ชั้นฐานสิงห์”,<br />
“ชั้นฐานครุฑแบก”, ชั้นฐานยักษ์แบก” หรือ<br />
การสร้างศิลปกรรมรูปสัตว์หิมพานต์ขึ้นมาตั้ง<br />
เรียงรายอยู่ด้วยรอบฐานพระปรางค์ประธาน<br />
เป็นต้น และเพื่อความสมบูรณ์ทางความ<br />
หมาย วัดบางแห่ง (เช่น วัดอรุณราชวราราม)<br />
จึงได้ออกแบบประติมากรรมที่ตั้งอยู่ในชั้น<br />
เรือนธาตุของพระปรางค์ให้เป็นรูปพระอินทร์<br />
ทรงช้างเอราวัณ เพื่อสื่อสารโดยตรงถึงสวรรค์<br />
ชั้นดาวดึงส์บนยอดเขาพระสุเมรุ<br />
พระเมรุมาศ เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็น<br />
ชัดเจนถึงความสําคัญของสิงสาราสัตว์ที่เข้ามา<br />
เติมเต็มความหมายอันสมบูรณ์ให้แก่งาน<br />
สถาปัตยกรรม พระเมรุมาศคือสถาปัตยกรรม<br />
ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการถวายพระเพลิง<br />
พระบรมศพพระมหากษัตริย์ ซึ่งในอีกความ<br />
หมายหนึ่งก็คือการทําหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ใน<br />
การส่งเสด็จพระมหากษัตริย์ในฐานะสมมติ-<br />
เทพ (พระอินทร์) กลับเขาพระสุเมรุ ด้วย<br />
เหตุนี้พระเมรุมาศจึงจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง<br />
ถูกออกแบบให้สื่อความหมายของการเป็นเขา<br />
พระสุเมรุให้ชัดเจนที่สุด ซึ่งในส่วนนี้ไม่มีองค์<br />
ประกอบใดที่จะทําหน้าที่ดีที่สุดมากไปกว่ารูป<br />
ประดับจําลองสัตว์ในป่าหิมพานต์ที่จะถูกสร้าง<br />
ขึ้นมากมายและนํามาตั้งโดยรอบพระเมรุมาศ<br />
ไม่ว่าจะเป็น ช้าง, สิงห์, หงส์, กินรี, ราชสีห์<br />
In the past, the built structures inside<br />
the perimeter of Thai temples were<br />
primarily constructed to serve as a<br />
tangible representation of Mount Meru,<br />
the most sacred place in Buddhist<br />
cosmology. The architectural elements<br />
popularly used to symbolize this<br />
mythical mountain range from prang,<br />
a chedi-like structure, to the cloister<br />
(a roofed passage extending from the<br />
ordination hall) constructed around the<br />
principle Buddha statue situated at the<br />
center of a temple, representing the<br />
seven seas and seven mountain walls<br />
(Sattaboriphan Mountains) surrounding<br />
Mount Meru.<br />
One of the most important and wellknown<br />
places in Buddhist cosmology is<br />
the imaginary woodland situated at the<br />
foot of Mount Meru. The symbolic<br />
representation of the forest is created<br />
through different architectural elements<br />
inspired by the mythical creatures<br />
living in the legendary sanctuary.<br />
For example, the lion-shaped pedestal,<br />
the garuda pedestal, the giant pedestal.<br />
Himavanta creatures are also<br />
turned into sculptures, which are<br />
placed around the pedestal on which<br />
the principle Buddha statue is situated.<br />
When they want the symbolism to be<br />
even more complete and elaborate,<br />
some temples (Wat Arun Ratchawararam<br />
for example) construct sculptures<br />
of Indra god riding the Erawan elephant<br />
and mount them to the pedestal of the<br />
principle Buddha sculpture to represent<br />
Tavatimsa Heaven at the top of<br />
Mount Meru.<br />
บน: พระอินทร์ทรงช้าง<br />
เอราวัณในเรือนธาตุพระ<br />
ปรางค์วัดอรุณฯ<br />
Top: One of four sculptures<br />
of the god Indra riding the<br />
elephant Erawan, located<br />
on the second terrace of<br />
Wat Arun Ratchawararam’s<br />
central prang.<br />
ล่าง: ฐานลิงแบกและกินรี<br />
พระปรางค์วัดอรุณฯ<br />
Bottom: Sculptures of<br />
mythological monkeys and<br />
kinnaree creatures occupy<br />
the base of Wat Arun<br />
Ratchawararam’s central<br />
prang.<br />
อ้างอิง: หนังสือคติสัญลักษณ์<br />
และการออกแบบวัดอรุณ<br />
ราชวราราม<br />
หรือคชสีห์ เป็นต้น ในภาพวาดบันทึกเหตุการณ์พระราช<br />
พิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเพทราชาในสมัยอยุธยา<br />
แสดงให้เห็นริ้วกระบวนอัญเชิญพระบรมศพที่นําขบวนด้วย<br />
หุ่นรูปสัตว์หิมพานต์ขนาดใหญ่มากถึง 18 ตัว สิ่งนี้เป็นอีก<br />
หนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงการทํางานร่วมกันระหว่าง<br />
งานสถาปัตยกรรมกับองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่<br />
เกี่ยวข้องกับสัตว์ในการสร้างความหมายของเขาพระสุเมรุ<br />
ให้เกิดขึ้น หากขาดซึ่งรูปสัญลักษณ์ของสัตว์หิมพานต์เหล่า<br />
นี้ เขาพระสุเมรุย่อมไม่อาจสมบูรณ์ได้<br />
Constructed for the cremation ceremony of a king,<br />
the Royal Crematorium perfectly illustrates the<br />
significance of animal representations in traditional<br />
Thai architecture. It symbolizes the ceremonious<br />
departure of the king as the god-like entity (Indra)<br />
who returns to the heavenly realm of Mount Meru.<br />
With this being the case, the Royal Crematorium is<br />
designed to best represent the sacred Mount Meru.<br />
The creatures of Himavanta Forest are a crucial<br />
component of this architecture that purports to be<br />
an ideal representation of this mythical place.<br />
A great number of sculptures of elephants, lions,<br />
swans, kinnaree (a half-bird half-woman creature),<br />
kochasee (a hybrid creature with the body of a lion<br />
and the head of an elephant), etc., are all present. In<br />
the drawings created to document the cremation<br />
ceremony of King Phetracha during the Ayutthaya<br />
period were details of the funeral march led by 18<br />
massive sculptures from Himavanta Forest. This<br />
evidence exemplifies the long history of integrating<br />
animal-inspired architectural features in order to<br />
help bring the Mount Meru cosmology into reality.<br />
Without the presence of these creatures, the ideal<br />
Mount Meru could never be completed.<br />
2 ดูรายละเอียดเพิ่มใน Barend J. Terwiel, “Two Scrolls Depicting Phra<br />
Phetracha’s Funeral Procession in 1704 and the Riddle of their Creation,”<br />
The Journal of Siam Society. Vol 104 (2016): 79-94.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 68<br />
69 Animal
ตําราภาพสัตว์หิมพานต์<br />
สําหรับผูกหุ่นแห่พระบรมศพ<br />
ครั้งรัชกาลที่ 3<br />
A handbook depicting the<br />
creatures of the Himavanta<br />
Forest, created for the<br />
funeral procession of King<br />
Rama 3.<br />
อ้างอิง: หนังสือจิตรกรรมภาพ<br />
สัตว์หิมพานต์ พระวิหารหลวง<br />
วัดสุทัศน์เทพวราราม<br />
นอกจากการใช้รูปสัตว์เข้ามาในงาน<br />
สถาปัตยกรรมเพื่อสร้างพื้นที่ในอุดมคติตามที่<br />
กล่าวไป รูปสัตว์หิมพานต์ยังถูกใช้ในบริบท<br />
อื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น การใช้รูปทรง<br />
พญานาคออกแบบขึ้นเป็น “สะพานนาค” ใน<br />
ปราสาทหินของวัฒนธรรมเขมรที่มีเป้าหมาย<br />
เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการเปลี่ยนผ่านจากโลก<br />
มนุษย์เข้าสู่พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า, การ<br />
ใช้ตัว “มอม” ในวัฒนธรรมภาคเหนือ หรือ<br />
“มกร” ในวัฒนธรมอีสาน มาออกแบบเป็น<br />
ราวบันไดก่อนเข้าโบสถ์ในฐานะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์<br />
ที่คอยป้องกันรักษาสิ่งชั่วร้ายไม่ให้ย่างกราย<br />
เข้าไปในโบสถ์ หรือแม้กระทั่งการสร้าง<br />
สถาปัตยกรรมขึ้นเป็นรูปสัตว์ทั้งตัวอาคารก็<br />
เป็นสิ่งที่พบเห็นได้เช่นกันในหลายพื้นที่ เช่น<br />
กรณีการสร้างเมรุรูป “นกหัสดีลิงค์” (นกที่มี<br />
รูปร่างเหมือนช้าง) ตามธรรมเนียมเจ้าเมือง<br />
ในภาคอีสานที่เมื่อถึงแก่กรรมแล้วมักจัดงาน<br />
ศพเป็นการใหญ่โตมโหฬารและทําเมรุเป็นรูป<br />
นกหัสดีลิงค์3<br />
As well as its important role in architectural<br />
representations of Mount Meru<br />
and other mythical places, animal<br />
imagery also appears in other contexts.<br />
For example, the shape of the mythical<br />
‘naga’ dragon is incorporated in the<br />
design of the ‘Naga Bridge’ of Khmer<br />
stone castles to symbolize the transition<br />
from earthly world to spiritual realm,<br />
while the use of a creature called ‘mom’<br />
or ‘makorn’ in the design of stairway<br />
balusters leading up to ordination halls<br />
in North and Northeastern Thailand<br />
follows the belief that such creatures<br />
possess the power to repel evil forces<br />
from entering sacred grounds.<br />
3 ประทับใจ สิกขา, นกหัสดีลิงค์ (อุบลราชธานี: โรงพิมพ์<br />
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, 2556).<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 70<br />
71 Animal
สิ่งที่อธิบายมาโดยสังเขปทั้งหมดข้างต้นเป็น<br />
เพียงตัวอย่างบางส่วนที่สะท้อนให้เห็นถึง<br />
บทบาทหน้าที่ของสรรพสัตว์ต่างๆ (ทั้งที่มีอยู่<br />
จริงและในจินตนาการ) ที่มีต่อการสร้างสรรค์<br />
งานสถาปัตยกรรมไทยทั้งในมิติเชิงช่างและ<br />
มิติทางสัญลักษณ์ การทํางานร่วมกันดังกล่าว<br />
ได้เข้าช่วยก่อรูปสิ่งที่เรียกว่างานสถาปัตยกรรม<br />
ไทยประเพณีให้เกิดขึ้น และหลายส่วนก็ยัง<br />
สืบทอดต่อเนื่องมาจนถึงงานสถาปัตยกรรมใน<br />
สังคมไทยปัจจุบัน<br />
Animal-inspired architecture can be<br />
seen across the country, such as in the<br />
cremation hall built in the shape of a<br />
‘hassadeeling’ bird (a bird with the body<br />
of an elephant), which is one of the<br />
ancient traditions carried out as a part<br />
of the elaborate funeral of kings in the<br />
Isaan region. The aforementioned<br />
examples represent only a fraction of<br />
how animals (both real and mythical)<br />
have influenced traditional Thai<br />
architecture either in the form of<br />
ornamental details or through symbolic<br />
meaning. Such influence has contributed<br />
to many of the conventions of traditional<br />
Thai architecture that have come into<br />
being and been inherited by different<br />
periods and generations, and it is still<br />
discernible in much architecture<br />
designed and constructed today.<br />
ปราสาทนกหัสดีลิงค์สําหรับพระเถระชั้นผู้ใหญ่ของล้านนา<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 72<br />
A cremation hall in the shape of Hassadeeling (a bird with<br />
the body of an elephant), built for the funeral of a Phra<br />
Tera (a revered, senior Buddhist monk who attains ten or<br />
more years in the monkhood) in the Lanna region.<br />
อ้างอิง: หนังสือ สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคเหนือ<br />
ตัวมอม วัดบุปผาราม เชียงใหม่<br />
A statue of a mythical creature known as a mom on a<br />
stairway at Bupharam temple in Chiang Mai, Thailand.<br />
อ้างอิง: พระมหาจิรศักดิ์ เวปไซด์วัดบุปผาราม<br />
73 Animal
ILLUSTRATION<br />
สัตว์และสถาปัตยกรรม<br />
Animals & Architecture<br />
Illustrator: ชยางกูร เกตุพยัคฆ์ / Shayangkoon Ketpayak<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 74<br />
พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ<br />
พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ เป็นประติมากรรมลอยตัวรูปช้างสามเศียร<br />
ที่เกิดจากความต้องการที่จะรักษาของโบราณที่คุณเล็ก วิริยะพันธุ์<br />
ได้สะสมไว้ รวมไปถึงรูปเคารพศักดิ ์สิทธิ์ เพื่อให้เป็นมรดกของไทย<br />
โดยเก็บรักษาไว้ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ซึ่งออกแบบ โดย<br />
คุณเล็ก วิริยะพันธุ์เอง สร้างขึ้นเมื่อวันที่13 กรกฎาคม พ.ศ. 2537<br />
อ้างอิง: https://e23ozk.wordpress.com/2011/12/14/ประวัติ<br />
ความเป็นมา-พิพิธ/<br />
75 Animal
<strong>ASA</strong>Crew 16 76<br />
มังกร วัดสามพราน (พุทโธภาวนา) อ.สามพราน จ.นครปฐม<br />
มังกรพันหลัก อาคารสูง 16 ชั้นนี้คือตึก 108 เกจิอาจารย์ การ<br />
ใช้สอยคือกุฏิที่พักของพระสงฆ์ โดดเด่นด้วยมังกรสีเขียวพันรอบตัว<br />
อาคารตั้งแต่ฐานไปจนกระทั่งยอดตึก ความพิเศษยิ่งกว่านั้นคือเรา<br />
สามารถเดินภายในลําตัวของมังกรนี้ไปจนถึงดาดฟ้าได้อีกด้วย โดย<br />
วัดแห่งนี้สร้างขึ้นจากแนวคิดของนางสาวสุดาภรณ์ ชุ ้นสามพราน<br />
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2526 และแต่งตั้งขึ้นเป็นวัดสามพรานเมื่อวันที่ 16<br />
กันยายน พ.ศ. 2528 เป็นต้นมา<br />
อ้างอิง: https://www.talontiew.com/wat-sampran-dragon-temple/<br />
https://thailandhere.blogspot.com/2015/07/wat-sampran-dragon-temple-in-nakorn.html<br />
อุทยานมังกรสวรรค์ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี<br />
อุทยานมังกรสวรรค์ ตั้งอยู่ภายในบริเวณศาลเจ้าพ่อหลักเมือง<br />
สุพรรณบุรี ก่อตั้งขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการฑูต<br />
ไทย-จีน ครบรอบ 20 ปี นําเสนอเรื่องราวความเป็นมาของชาวจีน<br />
ในประเทศไทย รวมไปถึงประวัติศาสตร์ และอารยธรรมจีนอีกด้วย<br />
สร้างขึ้นจากแนวคิดของนายบรรหาร ศิลปอาชา ในปีพ.ศ. 2539<br />
อ้างอิง: http://www.suphan.biz/dragonmuseum.htm<br />
77 Animal
พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก อ.เมือง จ.ยโสธร<br />
พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก พิพิธภัณฑ์รูปคางคกยักษ์สูงกว่า 19 เมตร<br />
สูงเทียบเท่าตึก 5 ชั้น ตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ําโขง ภายในจัด<br />
แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับคางคกมากกว่า 500 สายพันธุ์ ตํานานบุญ<br />
บั้งไฟ แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของจังหวัดยโสธร<br />
อ้างอิง: http://travel.trueid.net/detail/Yb4qd0o4ODG<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 78<br />
79 Animal
<strong>ASA</strong> REGIONAL: TAKSIN<br />
ตรีชวารีสอร์ท: ที่พักรักสัตว์เลี้ยง<br />
Tri-shawa Resort:<br />
A Pet-Friendly Hotel<br />
Text: กิตติ เชาวนะ / Kitti Chaowana<br />
Translation: ธนว์กัญญา แจ้งใจธรรม / Tanakanya Changchaitum<br />
Photo: ทรงพันธุ์ จันทร์ทอง / Songpan Janthong<br />
ชุมชนคลองวาฬ อําเภอเมือง จังหวัด<br />
ประจวบคีรีขันธ์ อาจดูไม่คุ้นชินกับคนทั่วไป<br />
มากนัก แต่สําหรับกลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยง<br />
ชุมชนคลองวาฬ เป็นหนึ่งในสถานที่สําคัญที่<br />
เป็นหมุดหมายสําหรับการเดินทางเพื่อพัก<br />
ผ่อนร่วมกับเพื่อนซี้สี่ขา ไม่ว่าจะเป็นน้องหมา<br />
น้องแมว หรือสมาชิกในครอบครัวสายพันธุ์<br />
อื่นๆ และหนึ่งในเป้าหมายที่พร้อมรองรับ<br />
ครอบครัวคนรักสัตว์เลี้ยงอันดับต้นๆ ของ<br />
เมืองไทยก็อยู่ที่นี่เช่นกัน “ได้เวลาพาลูกรัก<br />
ออกจากห้องสี่เหลี่ยม แล้วไปเดินเล่นริมทะเล<br />
สร้างความทรงจําดีๆ ร่วมกันแล้วล่ะ”<br />
คําเชื้อเชิญในเวปไซต์ของรีสอร์ทซึ่งมีที่มาของ<br />
ชื่อมาจากพันธุ์ไม้พุ่มเตี้ย “ตรีชวา (Justicia<br />
betonica L.)” ดอกเป็นช่อขาวสวย รออวด<br />
โฉมต้อนรับตั้งแต่ทางเข้ารีสอร์ท ที่มีการ<br />
วางตัวอาคารโดยเว้นที่ว่างส่วนกลางเพื่อเป็น<br />
ทางเดินหลัก สนามหญ้า และจัดสวนตลอด<br />
แนวอาคารไปจนถึงร้านอาหาร สระว่ายนํ้ำ<br />
และพื้นที่พักผ่อนริมทะเล ด้วยขนาดที่พัก<br />
จํานวน 33 ยูนิต ที่ดูอบอุ่น เป็นกันเอง<br />
สําหรับการพักผ่อนของครอบครัว คู่รัก และ<br />
กลุ่มคนรักสัตว์ ซึ่งถือว่าน้องๆ “สัตว์เลี้ยงเป็น<br />
ส่วนหนึ่งของครอบครัว”<br />
When it comes to tourist attractions,<br />
the Klong Wan community in Prachuab<br />
Khiri Khan’s Amphoe Mueng District<br />
may be less famous than other parts of<br />
the coastal province. Yet the community<br />
is home to a hotel that has grown to<br />
become one of the best loved destinations<br />
for families wanting to spend their<br />
holiday with their non-human family<br />
members be they dogs, cats or animals<br />
of other species.<br />
This renowned pet-friendly hotel<br />
operates its business with great joy and<br />
passion. “It’s about time to take your<br />
pets out of a square room. Let’s run<br />
along the beach and make some good<br />
memories together,” declares the<br />
resort’s website.<br />
พื้นที่สําหรับครอบครัวและ<br />
สมาชิกตัวน้อย<br />
Humans and their pets are<br />
welcome at the resort.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 80<br />
81 Animal
การออกแบบเพื ่อทุกคน (Universal Design) ในอีกมิติ ยิ่งเมื ่อได้ฟัง<br />
เสียงน้องหมา น้องแมว และเพื ่อนซี้สี่ขา ซึ ่งเป็นสมาชิกที่สำคัญของ<br />
แต่ละครอบครัว แต่กลับมีข้อจำกัดในการเดินทาง ท่องเที่ยว พักผ่อน<br />
ในที่ต่างๆ ค่อนข้างมาก การเปิดพื ้นที่เพื ่อรองรับสมาชิกตัวน้อย ตอบ<br />
รับกับความหลากหลายทุกคนร่วมกัน (Inclusive Design) จึงเป็น<br />
แนวทางหนึ ่งในการสร้าง “สมดุล” ที่ดีในสังคม<br />
สนามหญ้าเพื่อใช้เวลาร่วมกัน<br />
Guests spend time<br />
together on the lawn.<br />
ห้องพักบรรยากาศอบอุ่น<br />
วางตัวขนานไปกับสวนกลาง<br />
โครงการ<br />
Each room has a warm<br />
atmosphere and sits<br />
parallel to the central<br />
garden.<br />
สิ่งที่ได้เห็น รับรู้และรู้สึกได้อย่างชัดเจนคือ<br />
รีสอร์ทแห่งนี้มีการออกแบบที่เคารพธรรมชาติ<br />
และสิ่งแวดล้อมมาก มีการจัดวางอาคารโดย<br />
เว้นที่ว่างไว้เพื่อให้ต้นไม้เดิมอยู่ร่วมกับสิ่ง<br />
แวดล้อมใหม่ที่ออกแบบอย่างเรียบง่าย อีกทั้ง<br />
มีการออกแบบภูมิทัศน์และจัดสวนที่ลงตัวใน<br />
ทุกรายละเอียด ทั้งความหลากหลายของพืช<br />
พรรณระดับต่างๆ ที่ถูกจัดวางได้อย่างลงตัว<br />
มีการแสดงรายละเอียดชื่อวิทยาศาสตร์ของ<br />
พืชพันธุ์ให้ศึกษาได้เลยทีเดียว ทราบมาว่าเป้า<br />
หมายแรกของรีสอร์ทคือต้องการออกแบบ<br />
พื้นที่พักผ่อนที่ดีเพื่อครอบครัวที่อบอุ่น ซึ่ง<br />
ถือว่าเป็นการออกแบบเพื่อทุกคน (Universal<br />
Design) ในอีกมิติ ยิ่งเมื่อได้ฟังเสียงน้องหมา<br />
น้องแมว และเพื่อนซี้สี่ขา ซึ่งเป็นสมาชิกที่<br />
สําคัญของแต่ละครอบครัว แต่กลับมีข้อจํากัด<br />
ในการเดินทาง ท่องเที่ยว พักผ่อน ในที่ต่างๆ<br />
ค่อนข้างมาก การเปิดพื้นที่เพื่อรองรับสมาชิก<br />
ตัวน้อย ตอบรับกับความหลากหลายทุกคน<br />
ร่วมกัน (Inclusive Design) จึงเป็นแนวทาง<br />
หนึ่งในการสร้าง “สมดุล” ที่ดีในสังคม ใน<br />
รีสอร์ทนี้เราจึงเห็นกิจกรรมที่หลากหลายทั้ง<br />
ภาพการพักผ่อนของครอบครัว การพาน้อง<br />
หมาวิ่งเล่นชายหาด มีมื้ออาหารบาร์บีคิว<br />
สําหรับน้องหมา มีกิจกรรมเรียนรู้การทํา<br />
ไอศครีม แพนเค้ก ป๊อปคอนสําหรับเด็กๆ<br />
หรือการฉายหนังริมหาดที่ดูโรแมนติกสําหรับ<br />
Tri-Shawa takes its name from the<br />
Justicia betonica L. plant, which is<br />
known for its distinctive and beautiful<br />
white foliage. The luscious plant<br />
welcomes visitors at the entrance of<br />
the resort. The resort’s masterplan is<br />
designed to offer a space in the middle<br />
that functions as the common area and<br />
main walkway. The green grass of the<br />
yard as well as the garden have paths<br />
that lead to the restaurant, pool and<br />
beachfront area. Housing 33 units, the<br />
resort is private and friendly with a<br />
lovely warm atmosphere that makes it<br />
an ideal spot for families, couples and<br />
animal lovers who consider their pets<br />
a part of the family.<br />
The resort is designed with incredible<br />
respect for nature and the environment.<br />
The buildings were arranged so as not<br />
to disturb existing trees on the property.<br />
The structures are simple in form while<br />
the landscape architecture is designed<br />
to offer a diverse array of plants. Their<br />
scientific and common names are even<br />
provided for those curious to know<br />
more.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 82<br />
83 Animal
Tri-Shawa is the first pet-friendly hotel<br />
in Klong Wan and all of Thailand. It can<br />
be credited with having set in motion<br />
changes in society both at the local and<br />
national level. Its presence has inspired<br />
several other hotel properties to adjust<br />
their services to cater to pet lovers and<br />
their animal companions. As a result,<br />
the industry is witnessing the growth of<br />
another promising group of customers<br />
and gradually acknowledging the<br />
changing status of animals in modern<br />
families how they have become<br />
important members of the family who<br />
also require love and attention.<br />
Nonetheless, it is never easy to create<br />
สวนส่วนกลางของโครงการทอดตัวยาวจากล็อปบี้ถึงชายหาด<br />
The central garden flows from the lobby to the beach.<br />
ที่นี่ถือว่าเป็นที่พักที่แรกของคลองวาฬและแห่งแรกๆ<br />
ของเมืองไทยที่เริ่มรับรองครอบครัวกลุ่มคนรักสัตว์<br />
(Pet-Friendly Hotel) ที่สามารถสร้างการขับเคลื่อน<br />
สร้างความเปลี่ยนในสังคมทั้งในระดับพื้นที่และภาพรวม<br />
ทําให้ที่พักอีกหลายๆ แห่งเริ่มปรับตัวรองรับครอบครัว<br />
เพื่อนซี้สี่ขามากขึ้นอย่างก้าวกระโดด เราได้เห็นการ<br />
เติบโตของกลุ่มลูกค้าสําคัญอีกกลุ่ม เริ่มเห็นมุมมองความ<br />
คิดเรื่องการเลี้ยงสัตว์ที่เปลี่ยนจากการเป็นเพื่อนเล่น หรือ<br />
งานอดิเรกในบ้าน เป็นสมาชิกที่สําคัญในครอบครัว ที่เรา<br />
ให้ความรักและการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด<br />
แต่อย่างไรก็ดี ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสร้างสภาพแวดล้อม<br />
และการบริการที่สามารถรองรับลูกค้าทุกกลุ่ม เพราะ<br />
ความต้องการที่หลากหลาย รวมถึงลูกค้าส่วนหนึ่งอาจยัง<br />
ไม่รู้สึกปลอดภัยมากนักเมื่อต้องอยู่ร่วมกับเพื่อนสี่ขา ทาง<br />
รีสอร์ทจึงแบ่งโซนพื้นที่ห้องพักที่รองรับน้องๆ ไว้ ซึ่งใน<br />
ห้องกลุ่มนี้จะมีที่นอนน้องหมา น้องแมว เครื่องฟอก<br />
อากาศ และการดูแลความสะอาดเป็นพิเศษ รวมทั้งมี<br />
การเตรียมความพร้อม สิ่งอํานวยความสะดวกส่วนอื่นๆ<br />
เช่น พื้นที่อาบนํ้ำ ในขณะที่ต้องมีการจํากัดพื้นที่บางส่วน<br />
เพื่อลดการรบกวนกับลูกค้ากลุ่มอื่น เช่น ร้านอาหารหลัก<br />
และโซนสระว่ายนํ้ำ เป็นต้น<br />
The owners say the initial intention was for the<br />
resort to offer family-friendly accommodation,<br />
which allowed the concept of Universal Design to<br />
be adopted as an integral part of it. Being able to<br />
hear the sounds of the resort’s guest pets and see<br />
them being treated as an actual member of a<br />
family, in contrast to most hotels in Thailand,<br />
which still prohibit animals from their premises,<br />
leaves one hopeful about the future of establishments<br />
such as Tri Shawa. Opening its space up to little<br />
creatures and embracing the notion of inclusive<br />
design is an admirable mindset that will ultimately<br />
bring greater balance to society. At the resort, all<br />
kinds of family activities take place. People enjoy<br />
walking on the beach with their dogs, while the<br />
hotel offers barbecue dinners for the four-legged<br />
creatures. Children also have fun learning how to<br />
make ice-cream and popcorn. At night, an outdoor<br />
cinema on the beach is set up for everyone,<br />
attracting especially couples.<br />
the kind of environment and service<br />
that can accommodate all types of<br />
guests due to their incredible diversity<br />
of demands, not to mention the fact<br />
that there are still people who feel<br />
unsafe around animals. The resort<br />
solves the latter issue by providing an<br />
animal-friendly zone in each unit that<br />
includes a bed for the animal and an air<br />
purifier. These units are given extra<br />
maintenance and cleaning. Other<br />
facilities are also provided for the<br />
animals, such as shower areas.<br />
Meanwhile, some common areas, such<br />
as the main restaurants and swimming<br />
pool, are still restricted to stop pets<br />
disturbing other guests.<br />
พื้นที่เอื้อต่อการดูแลเอาใจใส่<br />
เพื่อนซี้สี่ขา<br />
A cat enjoys a stroll with<br />
its owner.<br />
พื้นที่เอื้อต่อการดูแลเอาใจใส่<br />
เพื่อนซี้สี่ขา<br />
A dog and owner enjoy the<br />
outdoor living area.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 84<br />
85 Animal
ห้องพักแสนสบายสําหรับ<br />
สมาชิกตัวน้อย<br />
Rooms are dog-friendly as<br />
well as comfortable.<br />
พนักงานที่นี่ค่อยๆ เรียนรู้ และเข้าใจลูกค้า<br />
กลุ่มสัตว์เลี้ยงมากขึ้นเรื่อยๆ มีเรื่องเล่าความ<br />
ประทับใจของโรงแรมมากมาย โดยเฉพาะ<br />
เรื่องความน่ารักของลูกค้ากลุ่มใหม่นี้ “เคยมี<br />
เคส น้องแมว น้องหมา น้องกระต่าย กับนก<br />
แก้วมาคอร์ มาพร้อมๆ กัน...สนุกสนานมาก<br />
ต้องดูแลกันใกล้ชิดมากทีเดียว”<br />
แม้ในเมืองไทยยังไม่มีมาตรฐาน Pet-Friendly<br />
Hotel ที่ชัดเจน แต่การเติบโตที่เห็นได้ชัดของ<br />
ลูกค้ากลุ่มนี้ซึ่งอาจเกิดจากรูปแบบและ<br />
โครงสร้างสังคมและครอบครัวที่เปลี่ยนแปลง<br />
ไปในปัจจุบัน หรือเหตุผลอื่นๆ สามารถสร้าง<br />
ความเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่น ชัดเจน ในคลอง<br />
วาฬได้ แต่หากจะทําให้เห็นภาพความ<br />
เปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์มากขึ้นยังจําเป็นต้อง<br />
ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งในระดับ<br />
ประเทศและท้องถิ่นเพื่อช่วยเปิด “พื้นที่<br />
สาธารณะสําหรับทุกคน” ใหม่นี้ สร้างเป็น<br />
Pet-Friendly Community สนับสนุนด้านการ<br />
ท่องเที่ยวอีกกลุ่มที่สามารถช่วยเศรษฐกิจ<br />
ชุมชนได้แน่นอน<br />
As the staff here learn to understand<br />
more about their new clientele, the<br />
number of memorable stories grow as<br />
the hotel welcomes more non-human<br />
yet incredibly lovely visitors. “We have<br />
had cats, dogs, a rabbit and a macaw all<br />
under one roof at the same time. It took<br />
a lot of effort to take care of everyone,<br />
but it was a lot of fun.”<br />
While Thailand still lacks official<br />
standards for the operation of<br />
pet-friendly hotels, the growth of this<br />
particular group of clients (the result<br />
of changing social and family structures,<br />
and, for that matter, several other<br />
factors) can bring a significant change<br />
to the Klong Wan community. And for<br />
the change to be more sustainable,<br />
support on both a local and national<br />
scale are very much needed for the<br />
development of ‘public space for all’.<br />
Pet-friendly communities have the<br />
potential to open new doors and to<br />
create new possibilities for tourism<br />
that can only end up helping local<br />
economies in the long run.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 86<br />
87 Animal
<strong>ASA</strong> REGIONAL: LANNA<br />
สถาปัตยกรรมร้านกาแฟ<br />
Cafe + Architecture =<br />
“Cafitecture”<br />
Text & Photo: ผศ.ดร.รัฐพงษ์ อังกสิทธิ์ / Asst.Prof. Rattapong Angkasith, Arch.D.<br />
Translation: ธนว์กัญญา แจ้งใจธรรม / Tanakanya Changchaitum<br />
นักเรียนสถาปัตย์ที่เกิดมาในช่วงของ Generation<br />
X (เกิดระหว่างปี 1960-1980) และ<br />
เติบโตมาในช่วงรอยต่อของยุค analog กับยุค<br />
digital ดั่งเช่นผู้เขียนส่วนใหญ่มักจะคุ้นเคย<br />
กับการเรียนการสอนสถาปัตยกรรมในพื้น<br />
ฐานที่ว่า สถาปัตยกรรมถูกออกแบบมาเพื่อ<br />
ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้หลักโดยตรง<br />
มีโปรแกรมการใช้งานที่แน่นอน ไม่ซับซ้อน<br />
อาทิเช่น เป็นสถาปัตยกรรมเพื่อพักอาศัย<br />
(residential) หรือเป็นสถาปัตยกรรมเพื่อการ<br />
พาณิชย์ (commercial) หรือเป็น<br />
สถาปัตยกรรมเพื่อการทํางาน (office)<br />
เป็นต้น เพื่อให้งานออกแบบต้องสามารถตอบ<br />
สนองต่อความต้องการใหม่ๆ ของผู้ใช้ที่มาก<br />
ขึ้น ตามกระแสของโลกที่เปลี่ยนไปพร้อมกับ<br />
สภาพสังคม เศรษฐกิจและเทคโนโลยีในยุค<br />
ปลายของ Generation Y (เกิดระหว่างปี<br />
1980-1990) จนไปถึงรุ่นของ Generation M<br />
(เกิดระหว่างปี 1981-1996) ก่อให้เกิดกลุ่มผู้<br />
ใช้งานกลุ่มใหม่ที่มีแนวคิดต่างไปจากคนรุ่น<br />
Generation X หรือแม้กระทั่งคนรุ่น Baby<br />
Booomer (เกิดระหว่างปี 1940-1960) ส่ง<br />
ผลทําให้ขอบเขตการใช้งานเดิมๆของ<br />
สถาปัตยกรรมเปลี่ยนไปจากการใช้งานที่<br />
ตายตัว เกิดสถาปัตยกรรมและพื้นที่ชนิดใหม่<br />
เช่น maker space, fabrication lab,<br />
co-working space, co-sharing office,<br />
co-creative space เป็นต้น<br />
THE BARISTRO AT PING RIVER<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 88<br />
89 Animal
Born between 1960 and 1980, the<br />
‘Generation X’ architecture students<br />
grew up in the transition period<br />
between analog and digital, and, like<br />
myself, are familiar with the architecture<br />
school of thought that aims primarily to<br />
fulfill users’ functional demands. We<br />
were taught that architecture, be it<br />
residential, commercial or office, has a<br />
functional program that is definite and<br />
uncomplicated. Such an approach<br />
allows design to fully respond to users’<br />
diverse range of demands.<br />
However, due to changing trends<br />
dictated by social, economic and<br />
technological progress, new groups of<br />
consumers have emerged, including<br />
Millennials, or Generation Y. They<br />
possess different mindsets from<br />
Generation X and Baby Boomers (the<br />
post-war generation born between 1940<br />
and 1960), causing perceptions of<br />
architecture to shift. What was once<br />
definite has become fluid as new types<br />
of architecture and space are conceived<br />
in the form of maker space, fabrication<br />
lab, co-working space, co-sharing<br />
office, co-creative space, and so on.<br />
ซ้ายล่าง: Ristr8to Lab<br />
ขวาบน: Little Shelter<br />
ในอดีตร้านกาแฟอาจอยู่ในรูปแบบรถเข็นที่มีเก้าอี้และโต๊ะ<br />
พับ 2-3 ตัว หรือไม่มีเก้าอี้และโต๊ะเลย ส่วนใหญ่มักจะตั้ง<br />
อยู่ในชุมชนหรือบริเวณที่มีคนพลุกพล่าน ส่วนใหญ่เรามัก<br />
จะสั่งกาแฟพร้อมกับอาหารเช้าเช่นขนมปังปิ้ง หรือไข่ลวก<br />
เพื่อรับประทานพร้อมกาแฟก่อนไปทํางานเสมอ หรือมี<br />
พื้นที่ขนาดใหญ่ขึ้น เป็นร้านห้องแถวไม้หรือปูนอยู่ในตลาด<br />
พื้นที่ของร้านกาแฟมักทําหน้าที่เป็นแหล่งพบปะสังสรรค์<br />
ของคนในท้องถิ่นเพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารทั้งด้านเศรฐกิจ<br />
สังคม และเรื่องสัพเพเหระต่างๆ เสมือนเป็นศาลา<br />
ประชาคมประจําหมู่บ้าน จนต่อมาเมื่อความนิยมในการ<br />
ดื่มกาแฟเพิ่มขึ้น การดื่มกาแฟชนิดพิเศษ (specialty<br />
coffee) ที่คั่วบด จากเมล็ดพันธุ์ที่ดี ผ่านการเลือกสรร<br />
ผ่านการชงของผู้ชง (Barista) ที่เข้าใจในเมล็ดพันธุ์และ<br />
แหล่งที่มา และส่วนสําคัญอีกประเด็นคือการต้องการพื้นที่<br />
ส่วนตัว ที่จะหลีกหนีออกจากพื้นที่เดิมๆเริ่มมีมากขึ้นใน<br />
สังคมเมือง ร้านกาแฟจึงถูกออกแบบพื้นที่ใหม่และวาง<br />
ตําแหน่งในตลาดผู้บริโภคให้เป็นเหมือนสถานที่ระหว่าง<br />
บ้านและสถานที่ทํางานหรือโรงเรียน ที่เรียกว่าสถานที่<br />
In the past, a coffee shop in Thailand was simply a<br />
food cart with a couple of folding chairs so that<br />
customers could sit down while enjoying a quick<br />
cup of coffee. Some were stand-alone kiosks with<br />
no seating whatsoever. These establishments can<br />
be found in local communities or bustling locations<br />
with a large number of passersby. Most of the<br />
time, people would order a cup of coffee with<br />
toast and a poached egg as a fast breakfast before<br />
setting off to work. The bigger establishments<br />
operated in wooden or concrete shophouses<br />
found in local community markets. These places<br />
functioned as unofficial community centers where<br />
locals could meet and discuss their views on<br />
current events, from the economy to social events<br />
and news, including miscellaneous banter and<br />
casual conversations about their everyday lives.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 90<br />
91 Animal
However, as coffee drinking has<br />
Chiang Mai, particularly popular<br />
become a lifestyle and cafés become a<br />
commercial districts attracting both<br />
culture, we have witnessed a growing<br />
tourists and locals, is an interesting<br />
interest in gourmet coffee roasted and<br />
case study for how café space has<br />
ground from meticulously selected<br />
evolved. Only 1.3 kilometers long,<br />
beans by experts, or baristas, whose<br />
famous Nimmanhaemin Road houses<br />
extensive understanding and knowledge<br />
over 50 cafés. The lifecycle of this<br />
extend to the origins and species as<br />
area’s establishments has become<br />
well as the art of making coffee. In the<br />
incredibly dynamic, with new ones<br />
meantime, particularly in urban society,<br />
emerging and some of the old ones<br />
consumers’ demand for private space<br />
dying almost on a monthly basis. The<br />
and a more personalized experience<br />
spatial layout of most of them is similar<br />
has grown. Coffee shops have been<br />
to that mentioned earlier vis a vis mixed<br />
redesigned and repositioned to serve<br />
function spaces.<br />
as something that in between home,<br />
workplace or even school so called<br />
These cafés also serve as backdrops for<br />
third places.<br />
social media enthusiasts who enjoy<br />
snapping photos and sharing them<br />
These spaces have become a destination<br />
among friends and followers. The<br />
for those who wish to take a break from<br />
development of café culture will no doubt<br />
work, while away their lunch break or<br />
continue and it is always fun to observe<br />
don’t feel like going home just yet. They<br />
in which direction the globalized world<br />
แห่งที่ 3 (the third place) นั่นเอง พื้นที่<br />
แห่งนี้จึงกลายเป็นจุดหมายของคนที่อยากจะ<br />
พักผ่อนจากที่ทํางาน ระหว่างพักเที่ยงหรือ<br />
หลังเลิกงาน แต่ยังไม่อยากกลับบ้าน หรือ<br />
อยากทํางานในวันหยุดที่ไม่ต้องไปที่สํานักงาน<br />
สภาวะที่เกิดขึ้นในพื้นที่แห่งนี้มีความน่าสนใจ<br />
คือดูผ่อนคลายแต่มีความกระตือรือร้น ใน<br />
ปัจจุบันนอกจากร้านกาแฟจะมีการขายกาแฟ<br />
เป็นเครื่องดื่มหลักแล้ว ยังเพิ่มการใช้งานให้มี<br />
ความหลากหลายมากขึ้น ประกอบด้วยพื้นที่<br />
นั่งทํางาน ห้องประชุม ห้องสมุด พื้นที่<br />
สํานักงานให้เช่า พื้นที่แสดงงานศิลปะ ร้าน<br />
ขายของเก่า สตูดิโอถ่ายภาพ ร้านขายของมือ<br />
สอง ตลอดจนถึง ร้านรับจ้างตัดเลเซอร์<br />
จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ<br />
เกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบพื้นที่ของร้านกาแฟ<br />
โดยเฉพาะย่านการค้าพาณิชกรรมยอดนิยม<br />
สําหรับนักท่องเที่ยวและคนเชียงใหม่ คือย่าน<br />
ถนนนิมมานเหมินทร์ ซึ่งมีความยาวเพียง 1.3<br />
กิโลเมตร หากแต่มีร้านกาแฟมากกว่า 50 ร้าน<br />
วงจรชีวิตของร้านกาแฟของย่านนิมมานฯ มี<br />
ความน่าสนใจคือ มีร้านกาแฟเปิดใหม่และปิด<br />
ตัวลงอยู่ตลอดเวลาแทบจะทุกเดือน นอกจาก<br />
นี้ยังมีลักษณะของการใช้งานครบทุกรูปแบบที่<br />
ได้กล่าวถึงข้างต้น และพบว่าร้านกาแฟ มีการ<br />
ใช้งานใหม่คือเป็นฉากหลังให้กับการถ่ายภาพ<br />
ได้รับอิทธิพลจากสื่อสังคม (social media)<br />
ต่างๆ ผู้เขียนเชื่อว่าร้านกาแฟคงมีการ<br />
พัฒนาการต่อไป เป็นเรื่องน่าสนุกที่จะเฝ้า<br />
สังเกตและจับตามองต่อไปว่า กระแสโลกาภิ<br />
วัตน์และพฤติกรรมผู้บริโภคจะนําพาการ<br />
ออกแบบร้านกาแฟไปสู่จุดไหนหรือ ควร<br />
จะเป็นหน้าที่สถาปนิกนักออกแบบเอง<br />
ที่จะชี้นําสังคม เสนอรูปแบบการใช้พื้นที่ใน<br />
ลักษณะใหม่ขึ้น ที่สามารถรองรับกลุ่มผู้ใช้<br />
ใหม่และกลุ่มผู้ใช้เดิมได้เช่นกัน<br />
TASTE ATELIER Weave<br />
Artisan Society<br />
are also weekend workspaces for those<br />
who don’t want to spend their days off<br />
at the office but need to get some work<br />
done. These spaces are interesting by<br />
virtue of the sense of encouragement<br />
and relaxation they bring to patrons.<br />
The role of a coffee shop or a cafe has<br />
diversified now they are not only places<br />
that sell certain type of beverages. A<br />
number of cafés even offer additional<br />
functional spaces such as conference<br />
rooms and libraries. Some have office<br />
space for rent while others function<br />
also as art spaces or photography<br />
studios. Some are second-hand or<br />
antique shops or provide niche services<br />
such as laser-cutting.<br />
and changing consumer behaviors are<br />
leading the design and layouts of these<br />
establishments. Looking forward, it will<br />
be interesting to see whether architects<br />
and designers will be able to introduce<br />
new ways for these spaces to be used<br />
whilst accommodating their old and<br />
new groups of users.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 92<br />
93 Animal
<strong>ASA</strong> REGIONAL: ESAN<br />
เข้าบ้าน<br />
Back Home<br />
Text: ปองพล ยุทธรัตน์ / Pongpon Yuttharat<br />
Photo: กลุ่มนักออกแบบอุดร (UDMVD)<br />
Translation: ธนว์กัญญา แจ้งใจธรรม / Tanakanya Changchaitum<br />
การตัดสินประกวดแบบกุฎิ<br />
ของกลุ่ม UDMVD<br />
The judging process<br />
for UDMVD’s monk living<br />
quarters design<br />
competition.<br />
โดยที่ไม่ต้องรอประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา<br />
ก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าช่วงนี้เข้าสู่ฤดูฝนอย่าง<br />
เป็นทางการ ฟ้าครึ้ม กระแสลมกรรโชกแรง<br />
กว่าปกติ ส่งสัญญาณว่าอีกไม่ช้า สายฝนคง<br />
กระหนํ่ำลงมาแน่ๆ “..เข้าบ้านๆ...” เสียงผู้<br />
หญิงดังอยู่ไม่ไกล ให้เดาจากสถานการณ์ก็<br />
คงจะพอคาดได้ว่า แม่เรียกลูกให้กลับเข้าไป<br />
ในบ้าน ก่อนที่ฝนจะตก ก่อนที่จะเปียก หรือ<br />
อาจจะเกิดอันตรายจากภัยธรรมชาติที่ไม่อาจ<br />
คาดการณ์ได้ล่วงหน้า ซึ่งบางครั้งก็ทําให้เด็กๆ<br />
ที่กําลังเตรียมเล่นกับฝน ผิดหวังไปตามๆ กัน<br />
ภายในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เป็นที่น่าสังเกตว่า<br />
จังหวัดเล็กๆ ในภาคอีสานอย่างอุดรธานี เริ่ม<br />
มีธุรกิจ หรือกิจการเกิดใหม่ขึ้นมากมาย โดย<br />
เป็นธุรกิจที่เกิดจากผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่<br />
เดินทาง ‘กลับบ้าน’ เพื่อสร้างแนวทางของ<br />
ตนเองหรือต่อยอดกิจการจากคนรุ่นก่อนหน้า<br />
หลังจากที่ไปพบเจอกับประสบการณ์ ‘นอก<br />
บ้าน’ และเลือกที่จะกลับมาพัฒนา ‘บ้าน<br />
นอก’ ของตัวเอง ทั้งนี้สถาปนิกคงจะเข้าใจคํา<br />
ว่า “บ้าน” ในความหมายของอาคารหรือ<br />
สถาปัตยกรรมได้ดีอยู่แล้ว แต่ในบริบทของ<br />
การกลับบ้าน หรือโดนเรียกเข้าบ้าน มิติของ<br />
“บ้าน” อาจจะไม่ใช่แค่ตัวอาคารที่จับต้องได้<br />
เท่านั้น แต่มันคือความรู้สึก คือความ<br />
ปลอดภัย คือประสบการณ์ที่คุ้นเคยในอดีต<br />
ประกอบกับการทํางานในยุคปัจจุบันสามารถ<br />
ใช้เทคโนโลยีที่ทํางานตรงมุมไหนของโลกก็ได้<br />
จึงไม่น่าแปลกใจนักที่การกลับบ้านจะเป็นทาง<br />
เลือกอันดับต้นๆ ของนักธุรกิจรุ่นใหม่ในยุค<br />
ปัจจุบัน<br />
We don’t need to wait for an announcement<br />
from the Meteorological<br />
Department to know that Thailand has<br />
definitely entered the rainy season. The<br />
cloudier skies and stronger than usual<br />
winds both signal the arrival of heavy<br />
rain. “Come inside!” a woman cries from<br />
a distance. Presumably a mother is<br />
calling to her child to get inside the<br />
house before the rain starts to fall, to<br />
stop the little one from getting wet or<br />
harmed by unpredictable nature. It’s a<br />
killjoy in a way, especially if you’re a kid<br />
and anticipating a little fun in the rain.<br />
Over the past couple of years, provinces<br />
in Thailand’s northeastern Esan region,<br />
such as Udon Thani, are thriving when<br />
it comes to new, locally-operated<br />
establishments. The owners of these<br />
businesses are often young entrepreneurs<br />
who decided to return home.<br />
Some are exploring their own paths<br />
while others return to take care of the<br />
family business. After experiencing<br />
what things are like outside of their<br />
homes, these people choose to come<br />
back and develop their hometown –<br />
rural areas often stereotyped as<br />
unsophisticated.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 94<br />
95 Animal
While architects have a good understanding<br />
of the definition of a home,<br />
particularly as a built structure or a<br />
work of architecture, the dimensions of<br />
home in the context of ‘coming home’<br />
extend far beyond tangible structures<br />
to intangibles such as security, safety<br />
and emotional connections to nostalgic<br />
experiences. And with modern technology<br />
now finally allowing people to work<br />
from pretty much anywhere in the<br />
world, it isn’t really surprising that going<br />
back home is one of the options young<br />
business operators choose when it comes<br />
to their career path or choice of living.<br />
แบบที่ชนะเลิศงานประกวด<br />
แบบกุฎิโดยกลุ่ม UDMVD<br />
The winning design.<br />
ในสายงานออกแบบสถาปัตยกรรมในอีสานเอง ก็เกิด<br />
ปรากฏการณ์นี้คล้ายๆ กับธุรกิจอื่นๆ การกลับบ้านของ<br />
นักออกแบบรุ่นใหม่เริ่มเห็นได้ชัดในช่วง 1-2 ปีนี้ และที่น่า<br />
สนใจคือ การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่นเป็นต้นทุน<br />
ซึ่งทําให้เกิดความหลากหลายของงานออกแบบในปัจจุบัน<br />
และที่น่าสนใจมากๆ อีกอย่างคือ ในอีสานไม่ค่อยมีการ<br />
เปิดสํานักงานออกแบบกันจริงจังมากนัก (อาจจะเป็น<br />
เพราะรูปแบบของธุรกิจในปัจจุบันที่ต้องการการปรับ<br />
ตัวอย่างรวดเร็ว การทํางานแบบ freelance จึงน่าจะตอบ<br />
โจทย์มากกว่า) นักออกแบบในอีสานจึงมีการรวมตัวกัน<br />
จับเป็นกลุ่มก้อนในแต่ละจังหวัดเพื่อพัฒนาวิชาชีพและองค์<br />
ความรู้ร่วมกัน อย่างในอุดรธานีมีกลุ่ม UDMVD (อยู่ดีไม่<br />
ว่าดี) ที่รวมตัวกันเรื่องธุรกิจออกแบบ ในขณะเดียวกันก็<br />
ทํางานช่วยสังคมไปด้วย เช่น การจัดประกวดแบบกุฏิ<br />
หรือการรวมตัวกันเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ในการออกแบบ<br />
พื้นที่สาธารณะของอุดรธานีในอีก 10 ปีข้างหน้าในเวที<br />
Within Esan’s architectural community, a similar<br />
phenomenon has been happening. Young designers<br />
and architects returning home has been a palpable<br />
trend in the past couple of years. What’s interesting<br />
about this development is how these young<br />
practitioners use locally available materials as an<br />
integral part of their creative resources and<br />
capitals, creating interesting works in a diversity of<br />
styles and typologies. Equally intriguing is the fact<br />
that, while Esan has only a few fully functioning<br />
design studios (a result, perhaps, of the current<br />
business model, whereby everything and everyone<br />
is expected to be agile and mobile, and hiring<br />
freelancers is often the preferred option),<br />
designers in the region have come together to<br />
form a provincial and regional network that is<br />
attempting to help bring new developments and<br />
prospects to the profession.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 96<br />
97 Animal
สาธารณะ UDON2029 และปีนี้กลุ่ม UDMVD ร่วมกับสมาคมสถาปนิกสยามฯ จัดงาน<br />
พัฒนาวิชาชีพทั้งหมด 4 ครั้งในอุดรธานี โดย 2 ครั้งแรกเป็นการอบรวมการใช้โปรแกรม<br />
3 มิติในการออกแบบ และครั้งที่สองเป็นเวิร์กช็อปชื่อ ‘ไผเฮ็ดไผ่’ โดยได้ตั๊บ ธ.ไก่ชน และโอ๊ต<br />
บราวน์ไบค์ สองสถาปนิกงานไม้ไผ่มาเป็นวิทยากร และจะมีอีก 2 ครั้งในช่วงปลายปีนี้<br />
นอกจากนี้ในจังหวัดอุบลราชธานีและมุกดาหารเริ่มมีการรวมกลุ่มนักออกแบบ ในชื่อ ’ตะเข็บ<br />
โขง’ ซึ่งใช้โมเดลคล้ายๆ กันคือนอกจากจะรวมตัวเพื่อธุรกิจออกแบบแล้ว ยังจัดกิจกรรมเพื่อให้<br />
ความรู้กับสมาชิกผ่านการปั่นจักรยานชมสถาปัตยกรรมเก่าแก่ริมแม่นํ้ำโขงเมื่อปลายปีที่ผ่านมา<br />
ท้ายที่สุด ความหมายของการ ‘กลับบ้าน’ ในช่วงหลังจึงเป็นความตั้งใจของคนรุ่นใหม่ที่จะมา<br />
พัฒนาบ้านเกิดจริงๆ และถึงแม้จะเป็นการกลับบ้านเพราะแม่เรียกให้เข้าบ้าน ก็เป็นการกลับ<br />
บ้านที่ยังสนุก เพราะในบ้านหลังใหญ่นี้ มีเพื่อนบ้านเพียบเลย<br />
ซ้าย: การตัดสินประกวดแบบ<br />
กุฏิของกลุ่ม UDMVD<br />
Left: Inside the judging<br />
room for the competition.<br />
ขวา: ภาพบรรยากาศงาน<br />
“ไผเฮ็ดไผ่” เวิร์คช็อบพัฒนา<br />
วิชาชีพโดยกลุ่ม UDMVD<br />
ร่วมกับกรรมธิการสถาปนิก<br />
สยามฯ<br />
Right: A Pai Hed Pai<br />
professional development<br />
workshop co-organized<br />
by UDMVD and the<br />
commission of the<br />
Association of Siamese<br />
Architects.<br />
In Udon Thani, UDMVD is a design<br />
collective that brings together<br />
designers and design studios for both<br />
business and social purposes. Their<br />
activities range from a competition for<br />
the design of monk cells to organizing a<br />
symposium, UDON2029, where visions<br />
are presented and thoughts about the<br />
direction of public spaces in Udon<br />
Thani over the next decade discussed.<br />
In Ubon Ratchathani and Mukdahan<br />
provinces, meanwhile, a design<br />
collective, Ta Keb Khong, has adopted a<br />
similar model to UDMVD. It aims to not<br />
only broaden opportunities for the<br />
group’s design businesses, but also to<br />
initiate and promote architectural<br />
knowledge through activities, such as<br />
a bike tour to architectural sites along<br />
the Mae Khong River.<br />
This year, UDMVD together with the<br />
Association of Siamese Architects are<br />
set to co-host four different activities.<br />
The first one features a 3D design<br />
training program while the second will<br />
take the form of a workshop titled ‘Pai<br />
Hed Pai’. This will be led by Dau Tub and<br />
T. Kaichon of Oak Brown Bike, two<br />
architects with expertise in bamboo<br />
architecture. The other two activities<br />
will be held at the end of the year.<br />
It seems that ‘coming home’ for the<br />
younger generation is all about bringing<br />
new developments to the places where<br />
they were born. While their return may<br />
partially be an answer to their mother’s<br />
call, these young creative practitioners<br />
are arriving back home with good<br />
intentions, anticipation and excitement.<br />
Waiting for them is a whole group of<br />
people who share a similar spirit and<br />
aspirations.<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 98<br />
99 Animal
STUDIO VISIT<br />
ทิศทางสตูดิโอ<br />
Tidtang Studio<br />
Text: วสวัตติ์ รุจิระภูมิ / Wasawat Rujirapoom<br />
Photo: อนันตา ฐิตานัตต์ / Ananta Thitanat<br />
ปีที่ก่อตั้ง: พ.ศ. 2555<br />
จำนวนพนักงาน: 20 คน<br />
www.tidtangstudio.com<br />
เป็นสตูดิโอสถาปนิกชื ่อไทยๆ ที่เน้นความเป็น<br />
ไทยเข้าไปอยู่ในทุกงานที่ทำ โครงการ Busaba<br />
Ayutthaya Hostel ถือเป็นผลงานที่อธิบาย<br />
ทิศทางของงานสถาปัตยกรรมในแบบของทิศทาง<br />
สตูดิโอได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นโครงการที่ถือ<br />
เป็นจุดเปลี่ยนที่สร้างชื ่อเสียงให้กับทางสตูดิโอได้<br />
เติบโตอย่างรวดเร็ว<br />
_จุดเริ่มต้นของทิศทางสตูดิโอ<br />
ทิศทางสตูดิโอ เริ่มมาจากกลุ่มเพื่อน 4 คน<br />
ที่มีทิศทางความคิดเดียวกัน ที่อยากสร้างห้อง<br />
ทดลองของการออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่ๆ<br />
ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.<br />
2555 จนกระทั่งเวลาที่เปลี่ยนผ่านไปร่วม<br />
7 ปี กลุ่มผู้ก่อตั้งบางคนได้แยกย้ายกันไปทํา<br />
ตามความฝันในสายอาชีพอื่นๆ ปัจจุบัน<br />
นอกจากคุณมิก-ภัททกร ธนสารอักษร<br />
ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง ก็มีคุณก้อง-สุพพัต<br />
พรพัฒน์กุล และ คุณพลอย-กานต์รวี<br />
คารวะวุฒิกุล ได้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนในภาย<br />
หลัง ด้วยแนวความคิดเริ่มต้นที่ไม่อยากให้ผล<br />
งานของบริษัทมีรูปแบบเป็นลายเซ็น ติดเป็น<br />
ภาพลักษณ์เฉพาะ แต่ต้องการให้แต่ละงานมี<br />
ที่มาและเรื่องราวเป็นเอกลักษณ์ของงานนั้นๆ<br />
จึงเป็นที่มาของชื่อ ทิศทางสตูดิโอ<br />
_ทิศทางของความคิด<br />
ทิศทางสตูดิโอ พยายามใช้สิ่งของธรรมดา<br />
รอบตัวๆ มาสร้างวิธีการและรูปแบบใหม่ๆ ให้<br />
น่าสนใจยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสอดแทรกความ<br />
เป็นไทยเข้าไปอยู่ในทุกๆ ผลงานที่ทําซึ่งไม่<br />
จําเป็นต้องเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยดั้งเดิม<br />
เท่านั้น แต่สามารถออกแบบให้เป็น<br />
สถาปัตยกรรมไทยสมัยใหม่ ที่ประยุกต์จาก<br />
การตีความใหม่บนพื้นฐานของความเป็นไทย<br />
เพื่อให้เกิดทางเลือกและการเติบโตของ<br />
สถาปัตยกรรมไทยในอนาคต<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 100<br />
101 Animal
_รูปแบบการทำงาน<br />
ทิศทาง สตูดิโอ เปรียบเสมือนสนามเด็กเล่น<br />
ของความคิดสร้างสรรค์ ห้องทดลองทางงาน<br />
สถาปัตยกรรม ทุกคนในสตูดิโอสามารถ<br />
เสนอแนวความคิดในการออกแบบได้ร่วมกัน<br />
ระดมความคิดและตกผลึกด้วยกัน จุดเริ่มต้น<br />
ของไอเดียไม่จําเป็นต้องมาจากเพียงคุณมิก<br />
คุณก้อง หรือคุณพลอยเท่านั้น ทําให้ทุกคน<br />
รู้สึกว่าเป็นส่วนร่วมและเป็นหนึ่งในทีมที่<br />
ออกแบบในทุกงานของทิศทาง สตูดิโอ อีกจุด<br />
หนึ่งที่ทิศทาง สตูดิโอให้ความสําคัญ คือ ขั้น<br />
ตอนการออกแบบขั้นแรกที่จะส่งให้ลูกค้า จะ<br />
เป็นแบบค่อนข้างสมบูรณ์แล้ว มีตั้งแต่แบบ<br />
แปลนไปจนถึงภาพทัศนียภาพ เพราะ<br />
กระบวนการคิดแบบ 2 และ 3 มิติ ไป<br />
พร้อมๆกัน ทําให้ใช้เป็นกระบวนการที่ใช้<br />
เวลานานกว่าปกติ ไม่ใช่เพียงส่งรูปอ้างอิง<br />
แบบร่างหรือแค่แบบแปลน เพื่อให้ลูกค้าได้<br />
เข้าใจและเห็นภาพตรงกันตั้งแต่แรก<br />
_เครื่องมือ<br />
สตูดิโอเพียงแต่จัดสรรพื้นที่สนามเด็กเล่นที่<br />
พนักงานสามารถมาทําอะไรก็ได้ พร้อมด้วย<br />
เครื่องมือพื้นฐานสําหรับการทํางาน ไม่มีข้อ<br />
จํากัดในการคิดสร้างสรรค์ผลงาน ขึ้นอยู่กับ<br />
ความถนัดของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็น สเกตช์<br />
มือ การตัดโมเดล คอลลาจรูป เป็นต้น<br />
ทําให้ทุกคนสามารถใส่ความเป็นตัวเองเข้าไป<br />
ได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ทิศทาง สตูดิโอยัง<br />
ให้ความสําคัญกับพื้นที่จัดเก็บตัวอย่างวัสดุ<br />
เพื่อให้พนักงานได้เข้าไปศึกษาเรียนรู้วัสดุ<br />
ใหม่ๆ สัมผัสวัสดุในสัดส่วนจริง เพื่อให้<br />
เข้าใจและเห็นภาพในการทํางาน<br />
สถาปัตยกรรมมากขึ้น<br />
ภัททกร ธนสารอักษร<br />
Co-founder & CEO<br />
สุพพัต พรพัฒน์กุล<br />
Partner & CDO<br />
สมัยเรียนรู้สึกว่างานสถาปัตยกรรม<br />
ที่ทําให้เราตื่นตาตื่นใจ เป็นงานที่<br />
เราเข้าถึงได้ยาก เช่น โรงแรม<br />
หรือสถานที่ที่ต้องเสียเงินเข้าไป<br />
แพงๆ แต่งานที่ผู้คนพบเจอทั่วไป<br />
หรืออาคารสาธารณะ ยังไม่มี<br />
ที่ไหนเลยที่ผู้คนทั่วไปจับต้อง<br />
สถาปัตยกรรมที่มีความคิดที่น่า<br />
สนใจได้ เลยอยากจะลองทําอะไร<br />
บางอย่างที่ทําให้ทิศทางของงาน<br />
แต่ละชิ้นมีจุดโดดเด่น มีเอกลักษณ์<br />
และคนทั่วไปจับต้องได้ง่าย<br />
แนวทางการทํางานของออฟฟิศ<br />
คือสามารถดึงอะไรก็ได้ ที่อยู่รอบๆ<br />
ตัวเรา ของที่ง่ายๆ มา redesign<br />
ใหม่ และเราให้ความสําคัญกับการ<br />
ส่งแบบครั้งแรกของเรา ที่จะค่อน<br />
ข้างสมบูรณ์แล้ว เพื่อให้ลูกค้าเห็น<br />
ภาพตรงกันตั้งแต่ต้นจนจบเลย ซึ่ง<br />
อาจจะไม่ละเอียดถึงขั้น detail แต่<br />
ทุกอย่างต้องถูกคิดไว้หมดแล้ว<br />
กานต์รวี คารวะวุฒิกุล<br />
Visualizer<br />
จุดเริ่มต้นของโปรเจกต์ในแต่ละ<br />
ครั้ง เป็นการประชุมร่วมกันของ<br />
คนที่อยู่ในทีมว่า ใครมีความคิด<br />
อย่างไร เพื่อที่จะเข้าใจและ<br />
ตกผลึกร่วมกัน บางทีการตีความ<br />
อาจจะต้องใช้เวลาศึกษาและ<br />
วิเคราะห์ให้รอบด้านมากขึ้น เพื่อ<br />
พยายามที่จะมองในมุมอื่นที่แตก<br />
ต่างจากเดิมสู่การสร้างเอกลักษณ์<br />
นภัสสร สุดาทิศ<br />
Senior Interior Designer<br />
เคยได้ออกไปทํางานอิสระอยู่ช่วง<br />
หนึ่ง ได้ทํางานร่วมกับหลายๆ<br />
บริษัท แล้วรู้สึกไม่ใช่ จึงกลับมา<br />
ทํางานที่นี่ เพราะชอบรูปแบบการ<br />
ทํางานขององค์กร ที่รู้สึกว่าเข้ากับ<br />
ตัวเรา อยู่ด้วยกันแบบเข้าใจ และ<br />
ให้เกียรตินักออกแบบทุกคน ไม่ว่า<br />
จะเป็น senior หรือ junior<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 102<br />
103 Animal
ทํางานที่นี่มา 5 ปีแล้ว ปัจจุบัน<br />
หน้าที่หลักคือ รับข้อมูลของงาน<br />
คุยกับทีม และดูแลจัดการส่วนที่<br />
ตกหล่น รวมถึงดูแลน้องๆในทีมอีก<br />
4 คนด้วย<br />
จิรภัทร ฉิมเล็ก<br />
Senior Interior Designer<br />
จุดเด่นของที่นี่คือวิธีการแบ่งงาน<br />
ที่ไม่เหมือนที่อื่นที่ให้ทําเฉพาะด้าน<br />
ที่ถนัดของแต่ละคน แต่ให้เรา<br />
สามารถดูแลโครงการหนึ่งไปเลย<br />
ตั้งแต่ต้นจนจบ<br />
ธัช สงวนไทย<br />
Junior Architect<br />
ก่อนหน้านี้ได้ไปลองทํางานในสาย<br />
อื่นมาก่อน แล้วถึงกลับมาทํางาน<br />
เป็นสถาปนิกที่นี่ ชอบที่ได้แสดง<br />
ความคิดเห็นกันเรื่องการออกแบบ<br />
กับพี่และเพื่อนๆ หลายๆ คนที่นี่<br />
เพียรพร จารุภากร<br />
Junior Architect<br />
_การออกแบบพื้นที่<br />
พื้นที่สตูดิโอที่เห็นอยู่ปัจจุบันนี้ ทิศทาง สตูดิโอเพิ่งย้ายมา<br />
ได้เพียง 1 ปี เนื่องจากงานที่เข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างไม่ทัน<br />
ตั้งตัว ตั้งแต่ผู้คนได้เห็นโครงการ Busaba Ayutthaya<br />
Hostel ทําให้ออฟฟิศเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จากที่เดิม<br />
รองรับพนักงานได้เพียง 12 ที่นั่ง และคาดหวังว่าจะใช้<br />
พื้นที่เดิมไปอีก 3-5 ปี ทําให้ต้องขยับขยาย หาออฟฟิศที่<br />
มีพื้นที่กว้างขึ้น เพราะปัจจุบันมีพนักงานรวมทั้งหมดถึง<br />
20 คน จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทิศทาง สตูดิโอ สร้างพื้นที่<br />
co-working space ชื่อ ‘subtitle’ เปรียบเทียบกับการดู<br />
ภาพยนตร์ ที่จะมีคําบรรยายที่ช่วยขยายความเพื่อให้เข้าใจ<br />
รายละเอียดได้มากขึ้น โดยจะมีพื้นที่ส่วนกลางสําหรับนั่ง<br />
เล่น ต้อนรับลูกค้า ทํากิจกรรมรวมกันหรือฉายภาพยนต์<br />
ก็ได้ ชุดโซฟาสามารถจับรวมหรือแยกชิ้นส่วนเพื่อสามารถ<br />
ปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมของการใช้งานได้ รวมถึงมี<br />
ห้องรับประทานอาหาร ที่มีนํ้ำและขนมให้บริการตนเองได้<br />
ตลอด ถือเป็น 30% ของพื้นที่ออฟฟิศทั้งหมด แสดงให้<br />
เห็นว่าสตูดิโอให้ความสําคัญกับเรื่องอื่นพอๆ กับการ<br />
ทํางาน อีก 50% เป็นส่วนสํานักงาน ที่ปัจจุบันให้ออฟฟิศ<br />
อื่น เช่าแบ่งปันใช้พื้นที่ได้ รวมถึงสามารถใช้พื้นที่ส่วน<br />
กลางได้ด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังมีกิจกรรมประจําเดือน เช่น<br />
ทานอาหารกลางวันร่วมกัน ทําให้เกิดสังคมที่กว้างขึ้น<br />
เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดของคนนอกวงการ มีชีวิตชีวา<br />
มากกว่าการอยู่เพียงออฟฟิศเดียว นอกจากนี้ทิศทาง<br />
สตูดิโอยังมองว่าห้องประชุมมีความสําคัญกับการทํางาน<br />
ในยุคปัจจุบันมาก เพราะเป็นที่แบ่งปันความคิดของแต่ละ<br />
คน รวมถึงเชิญลูกค้าเข้ามาประชุมและแสดงให้เห็นถึง<br />
ความใส่ใจในการทํางานด้วย หรือหากต้องการความเป็น<br />
ส่วนตัวก็สามารถเข้ามาใช้งานได้ เป็นอีก 10% ของพื้นที่<br />
ที่มีห้องประชุมขนาดเล็กและใหญ่ รวมกันถึง 5 ห้อง<br />
พื้นที่ 10% สุดท้ายเป็นห้องเก็บวัสดุ พื้นที่ประมาณ 40<br />
ตารางเมตร ซึ่งถือว่ามีขนาดค่อนข้างใหญ่ เพื่อให้พนักงาน<br />
ได้เข้าไปศึกษา และทําความเข้าใจกับวัสดุจริง ก่อนนํามา<br />
ใช้ในงานออกแบบ<br />
_การออกแบบระยะเวลาในการทำงาน<br />
ตั้งเวลาการเข้างาน ตั้งแต่ 10.00-19.00 น.<br />
เป็นพื้นฐาน แต่ทุกคนสามารถจัดสรรเวลาตัว<br />
เองได้อย่างอิสระ ตามความเหมาะของงาน<br />
แต่ละโครงการและของแต่ละบุคคล ส่วน<br />
ระยะเวลาการทํางานแต่ละโครงการ ทิศทาง<br />
สตูดิโอให้ความสําคัญกับการออกแบบขั้นแรก<br />
เป็นอย่างมากตามที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น<br />
ซึ่งบางโครงการอาจใช้เวลาในการออกแบบขั้น<br />
แรกถึง 2 เดือนเลยทีเดียว โดยไม่ใช่ดูเพียง<br />
ความสวยงาม แต่ยังคํานึงถึงความเป็นไปได้<br />
ในการก่อสร้าง และงบประมาณอีกด้วย<br />
ด้วยการคิดอย่างละเอียดนี้จะช่วยประหยัด<br />
เวลา เกิดความผิดพลาดน้อยลง และผลงาน<br />
ที่สร้างจริง จะใกล้เคียงกับภาพ 3 มิติที่นํา<br />
เสนอลูกค้าไปในตอนแรกมาก<br />
ทิชากร ดาวเรือง<br />
Junior Architect<br />
ปรัชญา วงโยโพ<br />
Junior Architect<br />
เพิ่งเข้ามาทํางานที่นี่ 2 อาทิตย์<br />
สนใจรูปแบบการทํางานของที่นี่<br />
มีแนวความคิดที่เรียบง่าย ตรงไป<br />
ตรงมา จึงอยากเข้ามาศึกษา<br />
พัฒนาตนเอง<br />
อยูท่ี่นี่มาไมนานครับ แตตราบใดที่<br />
ยังไดทําในสิ่งท่ี่ตัวเองรัก ตัวผมก็<br />
ยังคงมีความสุข<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 104<br />
105 Animal
ธนวรรณ สุจิตรัตนันท์<br />
Interior Designer<br />
พรรณธร กิติประเสริฐ<br />
Interior Designer<br />
บุตรม พัดชู<br />
Interior Designer<br />
เพราะเราต้องใช้เวลาเกือบ 80<br />
เปอร์เซ็นในที่ทํางาน บรรยากาศใน<br />
ที่ทํางานจึงสําคัญมากๆ ที่นี่ค่อน<br />
ข้างอยู่กันแบบสบายๆ มี่พื้นที่กิน<br />
ข้าว มีพื้นที่นั่งเล่น สําหรับนอนพัก<br />
ช่วงกลางวัน เวลาการทํางานที่ให้<br />
อิสระในแต่ละวัน ทําให้ไม่รู้สึก<br />
กดดันในการทํางาน สามารถเสนอ<br />
ความคิดเห็นในทุกโปรเจกต์ ทําให้<br />
ทุกโปรเจกต์ที่ออกไปเป็นโปรเจกต์<br />
ของทีมจริงๆ<br />
ที่นี่ทําเองทุกอย่าง ทั้งออกแบบ<br />
เขียนแบบ ดูวัสดุตั้งแต่ต้นจนจบ<br />
ได้เรียนรู้ทุกกระบวนการ แม้จะ<br />
เพิ่งเรียนจบ ตอนแรกก็กังวล แต่ก็<br />
ได้พี่ๆ คอยช่วย ได้อิสระในการ<br />
ออกแบบ รู้สึกสนุกกับการทํางาน<br />
ทํางานที่นี่มา 2 ปี ตั้งแต่เรียนจบ<br />
เลย ได้ทําทุกอย่างตั้งแต่กระบวน<br />
การออกแบบ ดูวัสดุ คุยกับตัวแทน<br />
วัสดุ รวมถึงคุยกับลูกค้า แตกต่าง<br />
จากบริษัทใหญ่ๆ ที่จะได้ทําหน้าที่<br />
เฉพาะของตัวเอง ถือเป็นการเริ่ม<br />
ต้นทํางานที่ดีที่ได้เรียนรู้ทุกอย่าง<br />
_ทิศทางต่อไปของทิศทาง สตูดิโอ<br />
อยากให้ชื่อของทิศทาง สตูดิโอ ไปอยู่ในเวที<br />
โลก ทําให้ผู้คนสนใจสถาปัตยกรรมใน<br />
ประเทศไทยมากขึ้น ทิศทาง สตูดิโอพยายาม<br />
สอดแทรกความเป็นไทยรูปแบบใหม่ลงไปใน<br />
ทุกๆ ผลงาน อย่างงาน Busaba Ayutthaya<br />
Hostel ที่เคยเป็นบ้านทรงไทย ซึ่งปัจจุบัน<br />
ไม่มีการสร้างใหม่ และผู้คนในยุคปัจจุบันก็ไม่<br />
ได้เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในเรือนไทยแล้ว นํามา<br />
สร้างทิศทางของไทยสมัยใหม่ที่ยังคงความ<br />
เป็นไทย อย่างเช่นการใช้งานแบบเดิมที่เป็น<br />
หนึ่งเรือนหนึ่งการใช้งาน ที่ยังคงแยกเป็น<br />
เรือนนอน เพื่อให้คนไทยปัจจุบันได้เข้าไป<br />
สัมผัสการใช้ชีวิตในบ้านไทยเดิม ซึ่งได้ผล<br />
ตอบรับดีมาก จากลูกค้าที่ส่วนใหญ่เป็นคน<br />
ไทย ทิศทาง สตูดิโอ ยังคงทดลองและค้นหา<br />
ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ของสถาปัตยกรรมไทย<br />
ต่อไป ด้วยความคาดหวังว่าวงการ<br />
สถาปัตยกรรมไทยจะกลายเป็นที่รู้จักทั่วโลก<br />
จิดาภา รอดสาตร์<br />
Interior Designer<br />
เพชรรัตน์ ละม้าย<br />
Interior Designer<br />
เพิ่งเรียนจบและเข้ามาทํางานที่นี่ได้<br />
4 เดือน เป็น 4 เดือนที่ได้อะไร<br />
เยอะมาก ต่างจากตอนเรียนมาก<br />
ได้พัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆทุกวัน ให้<br />
อิสระ สามารถบริหารเวลาเองให้<br />
เข้ากับแต่ละคน<br />
เข้ามาถึงก็มีโอกาสได้โครงการ<br />
ออกแบบตกแต่งภายในโรงแรมเลย<br />
ตอนแรกก็กังวล แต่พี่ๆ คอยมา<br />
ช่วยดูแล<br />
_อยากฝากอะไรให้สถาปนิกที่สนใจจะเปิดสตูดิโอบ้าง<br />
รูปแบบการทํางานของเราเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งเท่านั้น<br />
ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทดลอง แต่อยากให้ทดลองด้วยจิต<br />
วิญญาณของการเป็นนักออกแบบจริงๆ เราเชื่อว่า คุณค่า<br />
ของงานออกแบบหรือศิลปะ มันประเมินค่าเป็นเงินไม่ได้<br />
ร่วมกันสร้างงานสถาปัตยกรรมที่ข้ามกาลเวลาได้ ไม่ได้<br />
เป็นไปเพียงตามยุคสมัย สามารถอยู่คู่ไปกับพื้นที่ตรงนั้น<br />
ได้ไปอีกหลักร้อยปีและสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนที่มา<br />
พบเจอ เหมือนที่เราได้แรงบันดาลใจจากการไปเยี่ยมชม<br />
งานของสถาปนิกระดับโลกหลายๆท่าน งานที่ดีจริงๆ วัน<br />
หนึ่งจะมีคุณค่าขึ้นมากเอง แล้วชื่อเสียง เงินทองจะตามมา<br />
เอง และถ้าเป็นไปได้ อยากให้สถาปนิกไทยทํางานช่วยกัน<br />
รักษาความเป็นไทย วัฒนธรรมหลายๆ อย่างกําลังถูก<br />
ทําลายทิ้ง รากเหง้าของพวกเรากําลังหายไป เพราะทุกวัน<br />
นี้ประเทศไทยได้รับอิทธิพลมาจากโลกภายนอกเยอะมาก<br />
นั่นเป็นเหตุผลที่ทําไมเราถึงพยายามทํางานที่สอดแทรก<br />
ความเป็นไทย ภายใต้ออฟฟิศชื่อ ทิศทาง สตูดิโอ<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 106<br />
107 Animal
Tidtang Studio Organization Diagram<br />
CEO &<br />
Co-Founder<br />
Chief Design<br />
Officer<br />
The Boss<br />
ภัททกร ธนสารอักษร สุพพัต พรพัฒน์กุล Blu<br />
Senior Interior Designer<br />
Visualizer<br />
Administrator<br />
เเพรพลอย หรณพ<br />
Interior Designer<br />
วิชญา อินทมุนี<br />
Interior Designer<br />
กานตอง วิสุทธิแพทย<br />
Interior Designer<br />
สนใจในงานของบริษัทที่มีความ<br />
หลากหลาย สนุกกับการทํางาน<br />
เวลาคิดงานไม่ออกก็จะมีพี่คอย<br />
ช่วย ให้คําปรึกษา และระดม<br />
ความคิด<br />
ตอนนี้ได้ดูแลโครงการออกแบบ<br />
ตกแต่งภายในคอนโด ที่ออก-<br />
แบบตั้งแต่ส่วนกลางจนถึงห้อง<br />
พัก บรรยากาศการทํางานเป็น<br />
กันเอง อยู่แบบรุ่นพี่ รุ่นน้อง<br />
ในตอนแรกสนใจงานของท่ีนี่<br />
กอน แลวพอไดเขามาเริ่มทํา<br />
งานที่นี่ก็ใหความรูสึกของการ<br />
ทํางานเปนทีม ที่ทุกคนคอย<br />
ชวยเหลือกัน สามารถแสดง<br />
ความเห็นได และพี่ๆพรอมรับ<br />
ฟงความเห็นของเด็กจบใหม<br />
แบบเรา ทําใหเกิดการแลก<br />
เปลี่ยนความคิดกัน และ<br />
บรรยากาศ การทํางานก็สนุกดี<br />
กานต์ธิดา เทศซ้อน<br />
Interior Designer<br />
อลงกรณ จันทรประจักร์<br />
Interior Designer<br />
อัจฉรา รัตอาภา<br />
Administrator<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 108<br />
พี่ๆ จากทิศทาง สตูดิโอ เคยไป<br />
บรรยายที่มหาวิทยาลัยที่เรียน<br />
จึงสนใจมาทํางานที่นี่ และชอบ<br />
รูปแบบงานของที่นี่ด้วย<br />
เคยเปนเด็กฝกงานมากอนแลว<br />
จึงไดเขามาเริ่มทํางานเมื่อ<br />
ไมนานมานี้ สิ่งที่ทําใหอยาก<br />
กลับมาทําคือบรรยากาศการทํา<br />
งานที่อบอุน สนุกสนาน และที่<br />
นี่ใหความรูสึกเปนกันเอง<br />
สามารถแสดงออกทางความคิด<br />
ตางๆไดและคอยชวยเหลือกัน<br />
พี่ๆคอยใหความรูใหมๆสอน<br />
งานตางๆดีมาก<br />
หน้าที่หลักคือ ดูแลทุกอย่างของ<br />
ออฟฟิศ ทั้งอุปกรณ์ รวมถึง<br />
บุคคลากรด้วย รวมถึงคอยจัดสรร<br />
เวลานัดพบของตัวแทนวัสดุกับ<br />
น้องๆด้วย<br />
นภัสสร สุดาทิศ จิรภัทร ฉิมเล็ก<br />
กานต์รวี คารวะวุฒิกุล อัจฉรา รัตอาภา<br />
Junior Architect<br />
Junior Interior Designer<br />
ธัช สงวนไทย บุตรม พัดชู เพชรรัตน์ ละม้าย<br />
เพียรพร จารุภากร ธนวรรณ สุจิตรัตนันท์ วิชญา อินทมุนี<br />
ทิชากร ดาวเรือง<br />
พรรณธร กิติประเสริฐ เเพรพลอย หรณพ<br />
ปรัชญา วงโยโพ<br />
จิดาภา รอดสาตร์ กานต์ธิดา เทศซ้อน<br />
109<br />
กานตอง วิสุทธิแพทย อลงกรณ จันทรประจักร์<br />
Animal
INTERNATIONAL ARCHITECT<br />
“Small Steps Forward,”<br />
said Arrhov Frick<br />
Text: นวันวัจน์ ยุธานหัส / Nawanwaj Yudhanahas<br />
Photo: Arrhov Frick<br />
ซ้าย: Project Hammarby<br />
Gård<br />
ขวา: ภาพ Portrait ของ<br />
Arrhov Frick<br />
Arrhov Frick ก่อตั้งโดย Johan Arrhov<br />
และ Henrik Frick ในปี 2010 ที่เมือง<br />
สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ปัจจุบันมีสมาชิก<br />
ประมาณ 10 คน บริษัทปฏิเสธงานออกแบบ<br />
หลายชิ้นที่เข้ามาช่วงเศรษฐกิจขยายตัว<br />
เพราะตั้งใจจะรักษาจํานวนสมาชิกไว้เพียงเท่า<br />
นี้ เลือกรับงานที่ใหญ่กว่าตัว เพื่อเป็นโอกาส<br />
พัฒนาตนเอง และไม่ต้องการสร้างอาคารที่<br />
คนมากมายรู้จัก ขอแค่การทํางานชิ้นนั้น<br />
จะทําให้ได้เรียนรู้เพิ่มเติม<br />
สิ่งที่ Arrhov Frick นําเสนอในการบรรยาย<br />
ครั้งนี้ ไม่ใช่การนําเสนอผลงานจากชิ้นที่ 1<br />
ไปชิ้นที่ 2, 3, 4 แต่เป็นการเล่าถึงแนวทาง<br />
ของบริษัท ผ่านกลุ่มคําโปรยบนพื้นหลังสีขาว<br />
ว่างเปล่า ที่ฉายขึ้นจอสลับกับภาพสเก็ตช์และ<br />
ภาพถ่ายอาคาร ผลงานไม่ปรากฏตามลําดับ<br />
จากเก่าไปใหม่ และบางชิ้นก็ปรากฏซํ้ำอีกครั้ง<br />
ในมุมที่ต่างไป ตามแต่ว่าตอบเรื่องที่กําลังพูด<br />
ถึงอย่างไร<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 110<br />
111 Animal
ซ้าย/ขวา: Project Lilla Rågholmen<br />
พวกเขาพูดถึงการ ‘ถอย’ ออกมามองภาพที่กว้างขึ้นเพื่อวิเคราะห์ถึงลักษณะกายภาพ สภาพ<br />
สังคม เศรษฐกิจ เพื่อที่จะออกแบบโปรแกรม มุมมอง ไปจนถึงวัสดุ และกระบวนการก่อสร้าง<br />
ศูนย์วัฒนธรรมของเมืองเล็ก จึงไม่ควรถูกออกแบบเพื่อรับกิจกรรมยิ่งใหญ่เลียนแบบเมืองหลวง<br />
มันจึงไม่ได้มีเพียงพื้นที่แสดงดนตรีอย่างที่ลูกค้าริเริ่ม แต่เพิ่มโรงเรียนสอนดนตรี ร้านอาหาร<br />
ห้องสมุด เพื่อที่แต่ละส่วนจะรองรับและส่งเสริมกันเองให้อาคารมีชีวิตอยู่อย่างยั่งยืน<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 112<br />
ภาพอาคารอยู่อาศัยที่มีชั้นหนึ่งปิดทึบปรากฏขึ้น มันดูมั่นคง เป็นระเบียบ แต่ Johan Arrhov<br />
มีความเห็นว่านี่ไม่ใช่ตัวอย่างที่ดี ตรงกันข้ามกับภาพถัดมา ที่เพียงบางส่วนของอาคารชั้นหนึ่ง<br />
ปิดทึบ ที่เหลือเป็นร้านกาแฟ ด้านหนึ่งของร้านคือชั้นแสดงเบเกอรี่ อีกด้านคือโต๊ะ เก้าอี้ที่หยิบ<br />
ยืมพื้นที่ของทางเท้าที่กว้างขวาง<br />
113 Animal
ซ้าย/ขวา: Project Viggsö<br />
การสังเกตในสิ่งที่อาจจะเห็นชินตา เกิดเป็น<br />
การปรับองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมเพียง<br />
เล็กน้อยแต่ชาญฉลาด ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาด<br />
ใหญ่ที่ชั้นล่างของโครงการ ICA ถูกล้อมรอบ<br />
ด้านด้วยพื้นที่แบ่งขายสําหรับร้านค้าขนาด<br />
เล็กที่จะปรับเปลี่ยนหน้าตาของห้องขายตาม<br />
ต้องการ ทําให้อาคารมีความสัมพันธ์กับถนน<br />
รอบตัวอย่างมีชีวิตชีวา การแบ่งช่องหน้าต่าง<br />
ของห้องพักใน Hammarby Gård ในด้านที่<br />
หันเข้าหาถนน และหันเข้าหาสวน ต่างกัน<br />
เพียงการแบ่งตามแนวตั้ง หรือแนวนอน แต่<br />
ทําให้ผู้อยู่อาศัยในห้องเล็กได้บรรยากาศที่ไม่<br />
จําเจ ได้ปรับเปลี่ยนใช้งานระเบียงในทุกฤดู<br />
และขอบของพื้นบ้าน Lilla Rågholmen ก็ถูก<br />
ยกขึ้นโดยรอบเพียงเล็กน้อย เพียงพอที่จะใช้<br />
เป็นที่นั่งชมธรรมชาติภายนอก<br />
‘เล็ก’ อาจจะเป็นคําหนึ่งที่สรุปความเป็น<br />
Arrhov Frick ‘เล็ก’ ในที่นี้ไม่ใช่ขนาดของงาน<br />
ที่ออกแบบ แต่ ‘เล็ก’ เพื่อจะไม่มองข้ามสิ่ง<br />
ใกล้ตัว สร้างการปรับเปลี่ยนที่ ‘เล็ก’ แต่<br />
แยบยลและส่งความหมายที่ใหญ่กว่า ‘เล็ก’<br />
พอที่จะเหลือช่องว่างให้ผู้ใช้งานปรับเอง และ<br />
ก้าวไปข้างหน้า ด้วยก้าวที่ ‘เล็ก’ แต่ไตร่ตรอง<br />
หรืออย่างที่พวกเขาเรียกว่า ‘Small steps<br />
forward’<br />
งานเสวนาทางสถาปัตยกรรม “สถาปัตยปาฐะ”<br />
2562 | Arrhov Frick - A Lecture โดย<br />
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากร วันที่ 27 เมษายน 2562<br />
ณ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC)<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 114<br />
115 Animal
WHAT’S ARCHITECT THINK<br />
Elephant Tower Revisit<br />
Text: กฤษณะพล วัฒนวันยู / Kisnaphol Wattanawanyo<br />
Photo: Shutterstock<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 116<br />
117 Animal
เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อสถาปนิกแต่ละคนได้<br />
หวนกลับไปย้อนมองดูผลงานของตนที่เคย<br />
ออกแบบไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน ก็อาจจะมี<br />
ความรู้สึกที่ผสมผสานปนเปกันไป สถาปนิก<br />
บางคนอาจจะยังคงรู้สึกดีและชื่นชอบกับผล<br />
งานของตนอยู่ แต่ก็มีบางคนที่อาจจะรู้สึกไม่<br />
พอใจและมีมุมมองต่อผลงานชิ้นนั้นๆ ที่<br />
เปลี่ยนไป คุณองอาจ สาตรพันธุ์ - ศิลปิน<br />
แห่งชาติ ปี พ.ศ. 2552 สาขาทัศนศิลป์ ใน<br />
สาขาย่อย ศิลปะสถาปัตยกรรม (แบบร่วม<br />
สมัย) ก็เป็นสถาปนิกอีกคนหนึ่งที่กล้าพูดและ<br />
ยอมรับออกมาตรงๆ กับเราเมื่อได้สอบถาม<br />
พูดคุยถึงแนวคิดและที่มาของการออกแบบ<br />
ตึกช้าง ซึ่งท่านก็ได้ตอบมาว่า “เห็นว่าตึกช้าง<br />
เมื่อสร้างขึ้นมาแล้วได้ทําลายเนื้อเมือง (หรือ<br />
fabric) ของกรุงเทพฯ อย่างสิ้นเชิง” นี่คือคํา<br />
ตอบที่สะท้อนความคิดเห็น ความรู้สึกของคุณ<br />
องอาจต่ออาคารหลังนี้อย่างตรงไปตรงมา<br />
และเมื่อช่วงต้นปีนี้เอง คุณองอาจก็ได้ให้ความ<br />
เห็นในทํานองเดียวกันเมื่อถูกถามถึงผลงานใน<br />
ยุคก่อนๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคที่ยังไม่ได้<br />
ย้ายขึ้นไปอยู่ที่เชียงใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะไม่<br />
ชอบและไม่เคยถูกใจผลงานที่คุณองอาจ<br />
ออกแบบเอง<br />
_แนวคิดหลัก<br />
ตึกช้าง สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2540 เป็นการร่วม<br />
ออกแบบกับ ศาตราจารย์กิตติคุณ อรุณ ชัยเสรี (เป็นทั้ง<br />
วิศวกรและเจ้าของโครงการ) ตึกช้างนี้เป็นอาคารประเภท<br />
อาคารสํานักงานและพักอาศัยรวม เป็นอาคารขนาดใหญ่<br />
พิเศษ รูปทรงของอาคารถูกบังคับตามพื้นที่ดินที่มีลักษณะ<br />
ยาวเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว ด้วยกฎหมายและความต้องการ<br />
ของเจ้าของโครงการ ทําให้ในช่วงเริ่มแรกของการ<br />
ออกแบบ อาคารถูกแบ่งออกเป็น 3 ทาวเวอร์ และ<br />
เนื่องจากความต้องการให้มีพื้นที่ขายมากขึ้น คุณองอาจจึง<br />
เชื่อม 3 ทาวเวอร์เข้าด้วยกัน แต่ด้วยข้อกําหนดเรื่องพื้นที่<br />
เปิดโล่ง จึงทําให้เชื่อมอาคารได้เพียงส่วนบนและเกิดช่อง<br />
ขนาดใหญ่ 2 ช่องในตัวอาคาร ต่อมา อาจารย์อรุณ เห็น<br />
ว่าอาคารมีลักษณะคล้ายช้างและส่วนตัวท่านชื่นชอบช้าง<br />
อยู่แล้ว คุณองอาจจึงออกแบบตกแต่งส่วนของอาคารเพิ่ม<br />
เพื่อให้เหมือนช้างจริงๆ<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 118<br />
119 Animal
“การถกเถียงเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าทำเพื ่อเป็นการโฆษณาส่งเสริมความคิด<br />
ซึ ่งไม่แน่ว่าอยู่ในพื ้นฐานที่มั่นคงก็ไม่เป็นสิ่งดี เพราะจะไปเพิ่มความ<br />
สับสนให้กับวงการสถาปัตยกรรมขึ ้น บางทีเราควรที่จะหยุดพูดและ<br />
กลับไปสงบใจทำงานโดยไม่คิดแต่เพียงว่าจะต้องสร้างงานที่แปลกใหม่<br />
ไม่เหมือนใคร ดีเด่นที่สุด เพราะอย่างที่ได้พูดมาแล้วว่าประวัติศาสตร์มี<br />
มานานแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมีคนทำมาแล้วทั้งนั้น”<br />
_การรับรู้และการได้รับความสนใจโดยสื่อ<br />
และสังคมทั่วไป<br />
ในปี พ.ศ. 2556 ตึกช้าง ถูกจัดอันดับโดย<br />
เว็บไซต์ CNN ให้เป็น landmark ที่น่าจดจํา<br />
ของกรุงเทพฯ และเป็น 1 ใน 25 อาคารสูง<br />
จากทั่วโลกที่มีรูปร่างสะดุดตา แต่ในอีกมุม<br />
มองที่ตรงกันข้ามนั้น ตึกช้างเองก็ติดโผ 31<br />
ตึกน่าเกลียดที่สุดในโลก ซึ่งจัดโดยเว็บไซต์<br />
ของ Architectural Digest เมื่อปีที่แล้ว ซึ่ง<br />
แน่นอนว่า ทั้งสื่อและผู้คนโดยทั่วไป ก็มีมุม<br />
มองที่ทั้งชื่นชอบและไม่ชื่นชอบต่ออาคารหลัง<br />
นี้ได้ และอันที่จริงแล้ว ก็รวมไปถึงทุกๆ<br />
อาคาร ซึ่งผู้คนในสังคมก็ล้วนมีการรับรู้ มี<br />
ความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้ แต่คุณองอาจ<br />
กลับไม่มีความเห็นต่อประเด็นดังกล่าว และ<br />
ยังมองว่า มันไม่ได้มีคุณค่าอะไรมากนัก<br />
“เพราะไม่ได้ทําให้เมืองน่าอยู่ การที่เมืองจะ<br />
น่าอยู่ จะต้องมีตึกที่สร้างบรรยากาศและ<br />
เอกลักษณ์ของพื้นที่ โดยมีสัดส่วนที่สัมพันธ์<br />
กับมนุษย์และมีพื้นที่สาธารณะที่น่าใช้สอย”<br />
อย่างไรก็ตาม หากมองย้อนกลับไปยังช่วง<br />
เวลาก่อนการสร้างตึกช้างนี้ ในช่วงปี พ.ศ.<br />
2535 คุณองอาจเคยให้ความคิดเห็นและ<br />
ข้อคิดที่น่าคิดตาม ไว้ว่า<br />
“การถกเถียงเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าทําเพื่อเป็นการ<br />
โฆษณาส่งเสริมความคิดซึ่งไม่แน่ว่าอยู่ในพื้น<br />
ฐานที่มั่นคงก็ไม่เป็นสิ่งดี เพราะจะไปเพิ่ม<br />
ความสับสนให้กับวงการสถาปัตยกรรมขึ้น<br />
บางทีเราควรที่จะหยุดพูดและกลับไปสงบใจ<br />
ทํางานโดยไม่คิดแต่เพียงว่าจะต้องสร้างงานที่<br />
แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ดีเด่นที่สุด เพราะ<br />
อย่างที่ได้พูดมาแล้วว่าประวัติศาสตร์มีมานาน<br />
แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมีคนทํามาแล้วทั้งนั้น”<br />
ในแวดวงสถาปนิกและสื่อนั้น มักเป็นที่รับรู้<br />
กันดีว่า ผลงานการออกแบบยุคหลังๆ ของ<br />
คุณองอาจ หลังจากที่ได้ย้ายไปปักหลักปัก<br />
ฐานที่เชียงใหม่ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2542 นั้น<br />
เริ่มมีความแตกต่างและเปลี่ยนแปลงไปจาก<br />
การออกแบบยุคก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด<br />
ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า งานออกแบบของคุณองอาจ<br />
ในยุคหลังๆ นี้ มีความสงบขึ้น ให้ความสําคัญ<br />
ต่อบริบท สถานที่และให้ความสนใจในเรื่อง<br />
ของสถาปัตยกรรมในท้องถิ่นมากขึ้น หรือ<br />
ตึกช้าง หลังนี้ อาจเป็นจุดเปลี่ยนสําคัญอัน<br />
หนึ่งที่ส่งผลต่อวิธีคิดและการทํางานของคุณ<br />
องอาจ ก็เป็นได้ และไม่ว่าผู้คนจะมีความรู้สึก<br />
หรือความคิดเห็นอย่างไรต่อตึกช้าง แต่มันก็<br />
เป็นอาคารแห่งหนึ่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว<br />
สร้างภาพจําของอาคารสูงในกรุงเทพฯ ที่<br />
ชัดเจนหลังหนึ่ง อย่างปฏิเสธไม่ได้<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 120<br />
121 Animal
USERS’ OPINION<br />
ตึกช้าง<br />
Elephant Tower<br />
Text: ปวริศ คงทอง / Pawarit Kongthong<br />
Photo: Shutterstock<br />
“พี่เลือกที่จะแต่งงานที่นี่เพราะใน<br />
เวลานั้นมันเดินทางสะดวก<br />
ตำแหน่งที่ตั้งก็อยู่ในจุดที่พอดี<br />
ไม่กลางเมืองจนเกินไป หรือไม่อยู่<br />
นอกเมืองจนเดินทางลำบาก<br />
นอกจากนี้ที่จอดรถก็สะดวก มี<br />
เพียงพอต่อจำนวนแขก ที่ชอบ<br />
มากที่สุดของตึกช้างคือพอ<br />
บอกแขกว่าแต่งงานที่ตึกช้างจะ<br />
ไม่มีใครมาถามซ้าเลยว่าตึกไหน<br />
เพราะทุกคนรู้หมดว่าอันไหนคือ<br />
ตึกช้าง หรือพอมาใกล้ก็คือรู้เลย<br />
ว่าต้องไปไหน ไม่มีการสับสนว่าที่<br />
ไหนคือที่จัดงาน ไม่มีใครโทรมา<br />
ถามทางเลย”<br />
“จริงๆ ชอบตรงที่มันเด่นมาก<br />
เวลาจะนัดเจอใครหรือว่าจะถาม<br />
ตำแหน่งว่าอยู่ไหนคือถ้าตอบว่า<br />
ตึกช้างก็จะอ๋อเลย แต่ที่จะติดอยู่<br />
หน่อยๆ ก็คือเวลาเดินข้างในตึก<br />
เราจะหลงอยู่บ่อยๆ เพราะมันมี<br />
ตั้ง 3 ตึกในตึกเดียว”<br />
จิรวรรณ ชมนก<br />
นักศึกษา/ธุรกิจส่วนตัว<br />
“ข้อดีที่ชัดๆ เลยนะก็คือมันเด่น<br />
มาก เป็นเอกลักษณ์ ลูกค้าชอบ<br />
เพราะมันจำง่าย แต่ข้อที่ลูกค้าติง<br />
กันก็คือลูกค้ามักจะงงว่าไหนหน้า<br />
ไหนหลัง ตึกไหนเป็นตึกไหน”<br />
กรรณิการ์ เพ็ญศรี<br />
เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดเลี้ยง<br />
“เคยเข้าไปใช้ห้องประชุมจัดเลี้ยง<br />
ที่ตึกช้างนะคะ ตอนจะไปที่ตึกช้าง<br />
เนี่ย หาง่ายมาก ไม่มีหลงทางเลย<br />
แต่จากที่จอดรถเข้าไปในตึกปุ๊บ<br />
คือหลงทางอยู่พักนึง เพราะ<br />
อาคารมันแยกเป็นสามส่วน แต่<br />
เราเดินงงๆ อยู่ไม่รู้ว่าห้องประชุม<br />
ไปทางไหน”<br />
วรมน พงศ์สถิตสุนทร<br />
เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์<br />
ศิริพร เบญจพงศ์<br />
ข้าราชการ<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 122<br />
123 Animal
ONE DAY WITH AN ARCHITECT<br />
Extraordinary<br />
Everyday<br />
”จากหนึ ่งวันนั้นๆที่มีความคิดสะสมกันมาเป็ นปี ๆ ทาให้เราได้มีหนึ ่งวัน<br />
ที่เราเริ่มต้นทดลองทาอะไรบางอย่างเพื<br />
่อที่จะพิสูจน์ว่าโมเดลนี้มันจะส่ง<br />
ผลต่อเมือง ชุมชน และย่านอย่างไรได้บ้าง”<br />
Text : ปวริศ คงทอง / Pawarit Kongthong<br />
Photo : Cloud Floor<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 124<br />
125 Animal
จากความคิดที่ต้องการจะพัฒนาเมืองกลั่นกรองเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงความธรรมดาอย่างไม่ธรรมดา <strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> ได้<br />
รับเกียรติให้สัมภาษณ์ชีวิตในหนึ่งวันของคุณนัฐพงษ์ พัฒนโกศัยหรือคุณฟิวส์ สถาปนิกและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Cloud<br />
Floor Co., Ltd. ที่จะเล่าให้เราฟังถึงที่มาที่ไปของโครงการที่น่าสนใจอย่างพิพิธภัณฑ์ The Shophouse 1527 ซึ่งเกิด<br />
จากการตกตะกอนความคิดในแต่ละวันของเขา และด้วยความร่วมมือกับ Intregrated Field (IF)<br />
_วันที่ไม่ได้ทางานออฟฟิศจะทาอะไร<br />
ในหนึ่งวันที่ไม่ใช่วันทํางานสิ่งที่ผมคิดตลอด<br />
คือการพัฒนาเมืองและพื้นที่สาธารณะ เรา<br />
พยายามจะคิดว่าสิ่งที่เราเห็น ยังมีอะไรที่เรา<br />
พอจะช่วยพัฒนาเมืองได้บ้างในฐานะนัก<br />
ออกแบบ นี่คือสิ่งที่ผมคิดเสมอไม่ว่าจะหนึ่ง<br />
วันหรือทุกๆวัน คือเราไม่มีบทบาทที่จะ<br />
เปลี่ยนแปลงเมืองในลักษณะผู้ออกกฎหมาย<br />
หรือสามารถที่จะบังคับออกคําสั่งได้ มันเลย<br />
กลายเป็นคําถามว่ามีอะไรที่เราสามารถ<br />
ทําได้บ้าง<br />
_อะไรคือจุดเริ่มต้นของโปรเจค the<br />
shophouse 1527<br />
ก่อนหน้านี้ผมได้ไปเกาะนาโอชิม่าที่ประเทศ<br />
ญี่ปุ่น ซึ่งเขาจะมีงานศิลปะจัดแสดงตามจุด<br />
ต่างๆ ในเกาะ แล้วผมก็มีโอกาสได้ไปเช่า<br />
ตึกแถวตึกหนึ่งที่สามย่านพอดี เลยมาคิดว่า<br />
ในเมืองของเรามันสามารถจะถูกพัฒนา และ<br />
สร้างคุณค่าให้กับพื้นที่โดยรอบได้ด้วยงาน<br />
ศิลปะ ผมคิดว่าถ้าเรามีพื้นที่ที่หนึ่ง การทํา<br />
ธุรกิจร้านกาแฟ โรงแรม ร้านอาหาร อาจ<br />
ไม่ใช่คําตอบที่จะพัฒนาเมืองอย่างที่ตั้งใจไว้<br />
ผมคิดไปถึงว่าถ้าเราสร้างโปรแกรมใหม่ให้กับ<br />
ตึกแถวนั้น ให้มันมี impact มีส่วนร่วมกับ<br />
พื้นที่โดยรอบ เช่นการเล่าเรื่องราวผ่านศิลปะ<br />
ที่มีบริบทของพื้นที่นั้นเป็น content มันน่าจะ<br />
ทําให้ย่านนั้นมีคุณค่ามากขึ้น มันเลยเป็นจุด<br />
เริ่มต้น เป็นที่มาที่ไปของ the shophouse<br />
1527 ว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 126<br />
127 Animal
RAMA IV<br />
CHULALONGKORN<br />
UNIVERSITY<br />
SAMYAN<br />
MITRTOWN<br />
CHAMCHURI<br />
SQUARE<br />
THE SHOPHOUSE 1527<br />
_จัดแสดงอะไร<br />
เนื้อหาที่จะจัดแสดงมันจะเป็นเรื่องที่เราไป<br />
ศึกษาพื้นที่โดยรอบว่าวิถีชีวิต อาชีพ หรือ<br />
กายภาพของเมืองและสิ่งแวดล้อมบริเวณนั้น<br />
มันมีความพิเศษอย่างไร สิ่งที่เราจะเล่าคือ<br />
ชีวิตทั่วไปซึ่งเรามองในมุมที่ต่างออกไป แล้ว<br />
สุดท้ายเรื่องราวทั้งหมดก็จะกลายเป็น<br />
นิทรรศการที่หมุนเวียนในระยะเวลา 2 ปี<br />
ก่อนที่ตึกแถวนี้จะถูกทุบเป็นพื้นที่พาณิชย<br />
กรรม สุดท้ายจะทําเป็นหนังสือเล่มหนึ่งเพื่อ<br />
แสดงให้เห็นว่าในพื้นที่นี้มีคุณค่า มีชีวิต มี<br />
การอยู่อาศัยแบบไหน เพื่อเป็นข้อมูลให้นัก<br />
ลงทุน นักออกแบบ หรือคนทั่วไปได้เห็น<br />
กายภาพและวิถีชีวิตของย่านนี้<br />
RAMA I<br />
_ความธรรมดาที่ไม่ธรรมดา<br />
Object ที่เราเลือกมองเป็นสิ่งที่คนต้องเจอ<br />
เป็นปรกติ แต่สิ่งที่เราแสดงคือความธรรมดา<br />
ที่ต่างกันในแต่ละเมือง กรุงเทพก็แบบหนึ่ง<br />
จีน ญี่ปุ่น ยุโรป มันอาจจะเป็นอีกแบบหนึ่ง<br />
มันเป็นการศึกษาชีวิตของคนที่อยู่ในเมืองที่<br />
ต่างวัฒนธรรม ภูมิอากาศ และโครงสร้างทาง<br />
สังคมกัน การศึกษานี้จะทําให้เราเข้าใจถึงวิถี<br />
ชีวิต ความต้องการ และค่านิยม ผมมองว่า<br />
มันจะทําให้เราอ่านเมืองออกและสามารถที่จะ<br />
มีเครื่องมือในการพัฒนาเมืองอย่างเข้าใจ<br />
ทั้งหมดมันเป็นเรื่องที่ผมคิดตลอดไม่ว่าจะ<br />
หนึ่งวันหรือกี่วัน มันไม่มีหนึ่งวันที่พิเศษกว่านี้<br />
แล้วจากหนึ่งวันนั้นๆที่มีความคิดสะสมกันมา<br />
เป็นปีๆ ทําให้เราได้มีหนึ่งวันที่เราเริ่มต้น<br />
ทดลองทําอะไรบางอย่างเพื่อที่จะพิสูจน์ว่า<br />
โมเดลนี้มันจะส่งผลต่อเมือง ชุมชน และย่าน<br />
อย่างไรบ้าง<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 128<br />
129 Animal
BOOK<br />
Engeki Quest: แมวธนฯ ผู้ไร้นาม<br />
(No Name Cats in Thonburi)<br />
Text & Photo: วิชิต หอยิ่งสวัสดิ์ / Wichit Horyingsawad<br />
เขียน: จิคาระ ฟูจิวาระ, มิโนริ สุมิโยชิยามะ<br />
และฮารุกะ ชินจิ<br />
ภาษา: ไทย/ อังกฤษ/ ญี่ปุ่น<br />
จัดพิมพ์โดย: ประยูรเพื่อศิลปะ<br />
สนับสนุนโดย: The Saison Foundation<br />
และกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ส ำนักงาน<br />
ศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย<br />
ทุกวันนี้หลายคนคงเคยชินกับการท่องเที่ยวไป<br />
ยังที่ต่างๆ ด้วยการใช้ google map เป็น<br />
เครื่องนําทาง แต่หนังสือเล่มนี้ ‘Engeki<br />
Quest: แมวธนฯ ผู้ไร้นาม’ จะทําให้คุณได้<br />
สัมผัสรสชาติของการเดินทางท่องเที่ยวที่<br />
แตกต่างออกไปด้วยส่วนผสมของความเป็น<br />
วรรณกรรม เกม และคู่มือสําหรับการเดิน<br />
ทางท่องเที่ยว โดยให้เราในฐานะผู้เล่นเป็น<br />
แมว (ผู้ไร้นาม) ที่กําลังเดินเล่นอยู่ในชุมชน<br />
ในแถวพื้นที่ย่านฝั่งธนบุรี โดยมีเงื่อนไขที่<br />
สําคัญว่าให้ไปคนเดียว ทักทายแมวทุกตัวที่<br />
เจอในระหว่างเดินทางด้วยการร้อง “เมี้ยว~”<br />
และเมื่อพระอาทิตย์ตกดินแล้วอย่าลืมตั้งชื่อ<br />
ให้ตัวเอง<br />
จะเป็นอย่างไรถ้าเราเดินเข้าไปในที่ต่างๆ ผ่านการแนะนํา<br />
โดยปราศจากชื่อถนนและตรอกซอกซอยต่างๆ ในการ<br />
อ้างอิงแบบที่เราคุ้นชินกัน แต่เป็นการเดินทางผ่านเรื่องราว<br />
และองค์ประกอบต่างๆ ของชุมชนผ่านสิ่งละอันพันละน้อย<br />
ที่อยู่รายรอบด้วยรสชาติเรื่องเล่าแบบงานวรรณกรรม “ข้าง<br />
ในระฆัง อยู่ในนี้สักระยะหนึ่งสิ ตรงนี้รู้สึกเหมือนอยู่ในห้วง<br />
จักรวาลเลยเนอะ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน เธอมาจากที่ไหน นี่<br />
อาจจะเป็นข้างในท้องแม่ของเธอ เธอออกมาจากที่นั่นเมื่อ<br />
ไหร่นะ เธอมีความทรงจําอยู่มั้ย โอเค เราจะหยุดพูดละ<br />
สัมผัสความรู้สึกของห้วงอากาศไปนะ และรับรู้ถึงสาย<br />
สัมพันธ์ระหว่างเธอกับโลกนี้เถอะ” นอกจากนั้นหนังสือยัง<br />
พาเราเข้าไปทําความรู้จักกับความทรงจําร่วมผ่านภาพถ่าย<br />
ของผู้คนที่อยู่ในชุมชน “ตรงนี้เป็นโกดังขนาดใหญ่ ดูที่<br />
กําแพงโกดังดีๆ สิ เธออาจจะเห็นภาพถ่ายของผู้หญิงคน<br />
หนึ่ง เธอเป็นใครกันนะ เราได้ยินข่าวลือมาว่าเจ้าของโกดัง<br />
เจอรูปนี้ที่นี่ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเธอคือใคร บางทีเธออาจจะไม่ได้<br />
เป็นคนที่มีชื่อเสียงอะไร อาจเป็นแค่คนธรรมดาที่อาศัย<br />
อยู่ฝั่งธนฯ แต่ว่าเมื่อไหร่ล่ะ แล้วเธอยังมีชีวิตอยู่มั้ย เธอ<br />
มีทายาทหรือเปล่า ...อืมม ลึกลับจริงจัง เมี้ยว~” หรือ<br />
บางครั้งก็พาเราไปที่สถานที่ที่มีบรรยากาศแปลกตาน่า<br />
สนใจที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน “โกดังหลายหลังและกลิ่น<br />
หอมๆ ที่จริงสถานที่นี้เป็นโลเกชั่นถ่ายหนังเจมส์ บอนด์<br />
เรื่อง Tomorrow Never Dies ถ้าเธอได้ดูเรื่องนี้เธอจะ<br />
เห็นฉากแอคชั่นสุดๆ แต่อันที่จริงแล้วที่นี่เงียบสงบมาก<br />
อย่างที่เธอเห็นตอนนี้แหละ”<br />
นอกจากเรื่องเล่าและความสนุกสนานที่ได้รับจากการ<br />
เดินทางท่องเที่ยวเข้าไปในชุมชนแล้ว ทีมงานผู้จัดทํา<br />
หนังสือเล่มนี้ยังได้เตือนเราเอาไว้ว่าคุณอาจจะหลงทางใน<br />
ระหว่างการเล่นได้แต่นั่นก็ไม่ได้แปลกอะไรเพราะมันเป็น<br />
ประสบการณ์ที่เจ๋งมากสําหรับการผจญภัยและขอให้เรา<br />
“สนุกกับการหลงเถอะ!” เมี้ยว~<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 130<br />
131 Animal
VISUAL ESSAY<br />
อาคารเรือนกระจก<br />
สวนสัตว์ดุสิต<br />
Text: ปวริศ คงทอง / Pawarit Kongthong<br />
Photo: <strong>ASA</strong><br />
ที่ตั้งโครงการ: สวนสัตว์ดุสิต ถนนพระราม 5,<br />
เขตดุสิต, กรุงเทพมหานคร<br />
ผู้ออกแบบ: มหาเสวกตรี พระยาบริหารราชมานพ<br />
เจ้าของโครงการ: องค์การสวนสัตว์ใน<br />
พระบรมราชูปถัมภ์<br />
ปีที่ก่อสร้าง: รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ<br />
ปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7<br />
ปีที่ได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรม<br />
ดีเด่น: พ.ศ.2545<br />
อาคารเรือนกระจกสวนสัตว์ดุสิต ก่อสร้างเมื่อ<br />
ครั้งที่มีการปรับปรุงสวนสัตว์ดุสิต โดย<br />
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้<br />
มหาเสวกตรี พระยาบริหารราชมานพเป็นผู้<br />
อํานวยการสร้าง เพื่อเป็นเรือนรับรองเจ้านาย<br />
ระดับสูง ต่อมาถูกใช้เป็นอาคารสํานักงานของ<br />
ผู้อํานวยการสวนสัตว์ดุสิต และที่ทําการ<br />
สโมสรผู้รักสวนสัตว์แห่งประเทศไทยตาม<br />
ลําดับ ได้รับพระราชทานเกียรติบัตรรางวัล<br />
อนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่นประจําปี<br />
พ.ศ. 2545 จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า<br />
กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม<br />
ราชกุมารี<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 132<br />
133 Animal
<strong>ASA</strong>Crew 16 134<br />
135 Animal
CONTRIBUTORS<br />
บรรณาธิการบริหาร<br />
Managing Editor<br />
ผศ. ดร.กมล จิราพงษ์<br />
Asst. Prof.Kamon Jirapong, Ph.D.<br />
บรรณาธิการ<br />
Editor<br />
ผศ. ดร.สุพิชชา โตวิวิชญ์<br />
Asst. Prof.Supitcha Tovivich, Ph.D.<br />
บรรณาธิการด้านเนื้อหาสถาปัตยกรรม<br />
Architectural Feature Editor<br />
กฤษณะพล วัฒนวันยู<br />
Kisnaphol Wattanawanyoo<br />
บรรณาธิการภาษาอังกฤษ<br />
English Editors<br />
Max Crosbie-Jones<br />
Art Director<br />
วิชิต หอยิ่งสวัสดิ์<br />
Wichit Horyingsawad<br />
Graphic Designer<br />
กฤติกา ประสิทธิ์ศิริวงศ์<br />
Grittiga Prasitsiriwongse<br />
กองบรรณาธิการ<br />
Editorial Staff<br />
ปวริศ คงทอง<br />
Pawarit Kongthong<br />
ประสานงานกองบรรณาธิการ/<br />
พิสูจน์อักษร<br />
Editorial Coordinator/Proofreader<br />
ประทุมทิพย์ แสงจันทร์<br />
Prathumthip Saengchan<br />
นักแปล<br />
Translator<br />
ธนว์กัญญา แจ้งใจธรรม<br />
Tanakanya Changchaitum<br />
นักเขียนรับเชิญ<br />
Contributors<br />
กิตติ เชาวนะ<br />
Kitti Chaowana<br />
ชยางกูร เกตุพยัคฆ์<br />
Shayangkoon Ketpayak<br />
รศ. ดร. ชาตรี ประกิตนนทการ<br />
Assoc. Chatri Prakitnonthakan, Ph.D.<br />
ณัฐวดี สัตนันท์<br />
Nuttawadee Suttanan<br />
นวันวัจน์ ยุธานหัส<br />
Nawanwaj Yudhanahas<br />
ปองพล ยุทธรัตน์<br />
Pongpon Yuttharat<br />
ผศ. ดร. รัฐพงษ์ อังกสิทธิ์<br />
Asst.Prof.Rattapong Angkasith, Arch.D.<br />
วสวัตติ์ รุจิระภูมิ<br />
Wasawat Rujirapoom<br />
อ.ดร. วิญญู อาจรักษา<br />
Winyu Ardrugsa, Ph.D.<br />
สิริพร ด่านสกุล<br />
Siriporn Dansakun<br />
Digital Media Team<br />
SATARANA<br />
หัวหน้าฝ่ายสื่อดิจิทัล<br />
Digital Media Director<br />
สุวิชา พิทักษ์กาญจนกุล<br />
Suwicha Pitakkanchanakul<br />
ประสานงาน<br />
Coordinator<br />
เตชิต จิโรภาสโกศล<br />
Techit Jiropaskosol<br />
การตลาด<br />
Marketing<br />
พิมพ์วิมล วงศ์สมุทร<br />
Pimwimol Wongsamut<br />
พิมพ์โดย<br />
Printed by<br />
เค.ซี.เพรส<br />
K.C.PRESS<br />
รายนาม คณะกรรมการบริหาร<br />
สมาคมสถาปนิกสยาม<br />
ในพระบรมราชูปถัมภ์<br />
ประจําปี 2561-2563<br />
<strong>ASA</strong> Executive Committee<br />
2018-2020<br />
นายกสมาคม<br />
President<br />
นายอัชชพล ดุสิตนานนท์<br />
Ajaphol Dusitnanond<br />
อุปนายก<br />
Vice President<br />
นายเมธี รัศมีวิจิตรไพศาล<br />
Metee Rasameevijitpisal<br />
อุปนายก<br />
Vice President<br />
ผศ. ดร.ธนะ จีระพิวัฒน์<br />
Asst.Prof.Thana Chirapiwat, Ph.D.<br />
อุปนายก<br />
Vice President<br />
ดร. วสุ โปษยะนันท์<br />
Vasu Poshyanandana, Ph.D.<br />
อุปนายก<br />
Vice President<br />
ดร.พินัย สิริเกียรติกุล<br />
Pinai Sirikiatikul, Ph.D.<br />
อุปนายก<br />
Vice President<br />
นายทรงพจน์ สายสืบ<br />
Songpot Saiseub<br />
เลขาธิการ<br />
Secretary General<br />
นายปรีชา นวประภากุล<br />
Preecha Navaprapakul<br />
นายทะเบียน<br />
Honorary Registrar<br />
พ.ต.อ.สักรินทร์ เขียวเซ็น<br />
Pol.Col.Sakarin Khiewsen<br />
เหรัญญิก<br />
Honorary Treasurer<br />
นางภิรวดี ชูประวัติ<br />
Pirawadee Chooprawat<br />
ปฏิคม<br />
Social Event Director<br />
นายสมชาย เปรมประภาพงษ์<br />
Somchai Premprapapong<br />
ประชาสัมพันธ์<br />
Public Relations Director<br />
ผศ. ดร.กมล จิราพงษ์<br />
Asst.Prof.Kamon Jirapong, Ph.D.<br />
กรรมการกลาง<br />
Executive Committee<br />
นายเทียนทอง กีระนันทน์<br />
Thienthong Kiranandana<br />
กรรมการกลาง<br />
Executive Committee<br />
ดร.รัฐพงศ์ อังกสิทธิ์<br />
Rattapong Angkasith, Ph.D.<br />
กรรมการกลาง<br />
Executive Committee<br />
นายชายแดน เสถียร<br />
Chaidan Satian<br />
กรรมการกลาง<br />
Executive Committee<br />
นายรุ่งโรจน์ อ่วมแก้ว<br />
Rungroth Aumkaew<br />
ประธานกรรมาธิการสถาปนิกล้านนา<br />
Chairman of Northern Region (Lanna)<br />
นายอิศรา อารีรอบ<br />
Issara Areerob<br />
ประธานกรรมาธิการสถาปนิกอีสาน<br />
Chairman of Northeastern Region (Esan)<br />
นายธนาคม วิมลวัตรเวที<br />
Tanakom Wimolvatvetee<br />
ประธานกรรมาธิการสถาปนิกทักษิณ<br />
Chairman of Southern Region (Taksin)<br />
นายนิพนธ์ หัสดีวิจิตร<br />
Nipon Hatsadeevijit<br />
สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์<br />
248/1 ซอยศูนย์วิจัย 4 ถนนพระรามที่ 9 แขวงบางกะปิ<br />
เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310<br />
The Association of Siamese Architects Under Royal Patronage<br />
248/1 Soi Soonvijai 4, Rama IX Rd., Bangkapi,<br />
Huaykwang, Bangkok, 10310 Thailand<br />
Tel: 0-2319-6555 Fax: 0-2319-6555 press 120 or 0-2319-6419<br />
www.asa.or.th / Facebook : asacrew / Email: asacrewmag@gmail.com<br />
<strong>ASA</strong>Crew 16 136<br />
137 Animal
www.asacrew.asa.or.th