Better Health magazine
The magazine for patients and friends of Bumrungrad International Hospital, Thailand. The magazine for patients and friends of Bumrungrad International Hospital, Thailand.
- Page 3 and 4: รศ.นพ.สมศักดิ
- Page 5 and 6: 7 ชั้นก็เริ่ม
- Page 8 and 9: 17 กันยายน 2523 เ
- Page 10: Bumrungrad by the numbers บำ
- Page 14: การเต้นของห
- Page 17 and 18: นอนน้อย ทำให
- Page 20 and 21: +++++ The Case เมื่อก
- Page 22 and 23: +++++ M.D. Focus รู้จัก
- Page 24: พื้นที่ประช
- Page 28: ่ +++++ Q & A ปัญหาส
รศ.นพ.สมศักดิ์ เชาว์วิศิษฐ์เสรี<br />
ผู้อำนวยการด้านการแพทย์<br />
Contributing Editor<br />
<strong>Better</strong> <strong>Health</strong> นิตยสารสำหรับผู้มีอุปการคุณของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กลับมาพบกันครั้งนี้<br />
เป็นฉบับที่36 พร้อมๆ กับการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 36 ปีของการก่อตั้งโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์<br />
พอดีครับ ดังนั้นนอกเหนือจากสาระเพื่อสุขภาพเช่นเคยแล้ว เราขออนุญาตใช้พื้นที่ในฉบับนี้นำเสนอ<br />
บทความพิเศษว่าด้วยเรื่องราวของโรงพยาบาลนับตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบันเพื่อให้คุณได้รู้จักกับเรา<br />
มากขึ้นกว่าเดิม<br />
สำหรับบทความอื่นๆ นั้น เรามีเรื่องของสุขภาพหัวใจโดยเฉพาะผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่ง<br />
แพทย์พบว่าปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันผลข้างเคียงของโรคซึ่งมีความรุนแรงได้ส่วนจะเป็นอะไรนั้น<br />
ติดตามได้ในหน้า 12 ครับ นอกจากนี้ยังมีเทคนิคการออกกำลังกายในฟิตเนสให้ปลอดภัย การเลือก<br />
รับประทานสารให้ความหวานแทนน้ำตาล และคอลัมน์ประจำที่อัดแน่นไปด้วยสาระดีๆ อีกเช่นเคย<br />
และหากคุณผู้อ่านมีคำแนะนำหรือคำติชมใดๆ กรุณาส่งมาที่ betterhealth@bumrungrad.com<br />
เรายินดีน้อมรับด้วยความขอบคุณ<br />
12<br />
สารบัญ<br />
4<br />
Special<br />
Scoop<br />
36 ปีบำรุงราษฎร์<br />
เชิดชูอดีต เฉลิมฉลองปัจจุบัน<br />
ก้าวย่างสู่อนาคต<br />
Cardiac Arrhythmias<br />
ผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ<br />
กับนวัตกรรมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า<br />
16 Sports Medicine<br />
ฟิตเนส เล่นอย่างไรไม่ให้บาดเจ็บ<br />
20 The Case<br />
เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน<br />
วันร้ายที่คาดไม่ถึงของ คุณทศพร หงสนันทน์<br />
22 M.D. Focus<br />
รู้จักกับแพทย์บำรุงราษฎร์<br />
26 <strong>Health</strong> Briefs<br />
28 Q & A<br />
30 Bumrungrad News<br />
นิตยสาร <strong>Better</strong> <strong>Health</strong> เป็นนิตยสารรายสี่เดือนของบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อแจกจ่ายเป็นการภายใน<br />
จัดทำและจัดพิมพ์โดย บริษัท เนทีฟ มีเดีย จำกัด เลขที่10/162 อาคารเดอะเทรนดี้ ชั้น 20 ห้อง 2001C ซ. สุขุมวิท 13 (แสงจันทร์) แขวงคลองเตยเหนือ<br />
เขตวัฒนา กทม. 10110 โทร. 0 2168 7624 www.nativemedia.co.th<br />
2016 ข้อเขียนและรูปภาพทุกชิ้นในนิตยสารนี้เป็นลิขสิทธิ์ของบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) ห้ามพิมพ์ซ้ำหรือกระทำการใดๆ<br />
ที่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2667 1000<br />
ข้อความในเนื้อที่โฆษณาของนิตยสารฉบับนี้ที่มิได้เป็นของบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) ถือเป็นความเห็นส่วนตัวของ<br />
เจ้าของผลิตภัณฑ์และบริการ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ไม่มีเจตนาให้การรับรองคุณภาพสินค้า บริการ หรือข้อความที่ปรากฏแต่อย่างใด<br />
ติดต่อโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์<br />
โทรศัพท์: 0 2667 1000<br />
โทรสาร: 0 2667 2525<br />
นัดแพทย์: 0 2667 1555<br />
เว็บไซต์: www.bumrungrad.com
+++++ Special Scoop<br />
36 ปีบำรุงราษฎร์<br />
เชิดชูอดีต เฉลิมฉลองปัจจุบัน ก้าวย่างสู่อนาคต<br />
17 กันยายน 2523 เป็นวันที่โรงพยาบาลเอกชนเล็กๆ แห่งหนึ่ง<br />
เปิดตัวขึ้นภายในซอยสุขุมวิท 3 ด้วยเป้าหมายเพียงเพื่อต้องการ<br />
เป็นโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานเทียบเท่าระดับสากล มีบริการที่น่า<br />
พึงพอใจ และเป็นทางเลือกสำาหรับผู้ป่วยในช่วงเวลาที่ประเทศไทยยังมี<br />
โรงพยาบาลเอกชนเพียงไม่กี่แห่ง และประชาชนส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งพา<br />
บริการด้านสุขภาพจากโรงพยาบาลของรัฐ<br />
คงเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาว่า 36 ปีต่อมา โรงพยาบาลเล็กๆ<br />
แห่งนั้นจะกลายเป็นศูนย์การแพทย์ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกและ<br />
เป็นความหวังของผู้ป่วยนับล้านคนในแต่ละปี<br />
จากจุดเริ่มต้น<br />
ชื่อ “บำารุงราษฎร์” หมายถึง “การดูแลประชาชน" อันเป็นชื่อที่<br />
คณะผู้ร่วมก่อตั้งเห็นพ้องต้องกันว่ามีความไพเราะและตรงกับความตั้งใจ<br />
ในการดำาเนินกิจการโรงพยาบาล<br />
ในระยะแรก บำารุงราษฎร์เป็นโรงพยาบาลขนาด 200 เตียงที่มีเพียง<br />
อาคาร 7 ชั้น 1 อาคารสำาหรับให้บริการในแผนกอายุรกรรม ศัลยกรรม<br />
และสูตินรีเวช โดยมีแพทย์ประจำาเพียง 4 คนกับเจ้าหน้าที่อีกไม่กี่คน<br />
ในแต่ละแผนก และมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาหลัก<br />
ร้อยคนต่อวัน<br />
แต่ด้วยความเชี่ยวชาญของแพทย์และบุคลากร<br />
ทางการแพทย์ การดูแลเอาใจใส่ผู้ป่วยดุจญาติมิตร<br />
ความพร้อมของอุปกรณ์และเครื่องมือทางการ<br />
แพทย์ รวมถึงการให้บริการที่เป็นเลิศ ภายในเวลา<br />
เพียงไม่กี่ปี โรงพยาบาลก็เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก<br />
อย่างกว้างขวาง<br />
ในปี 2532 โรงพยาบาลบำารุงราษฎร์ได้เข้า<br />
จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย<br />
ภายใต้ชื่อ บริษัท โรงพยาบาลบำารุงราษฎร์ จำากัด<br />
(มหาชน) ด้วยความตั้งใจที่จะดำาเนินธุรกิจให้<br />
เติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการดูแลผู้คน<br />
ในสังคมอันเป็นลักษณะเฉพาะของธุรกิจการ<br />
ให้บริการด้านสุขภาพที่ไม่สามารถคำานึงถึง<br />
ผลประโยชน์ทางธุรกิจแต่เพียงด้านเดียวได้<br />
ต่อมาเมื่อมีผู้เข้าใช้บริการเพิ่มมากขึ้น อาคาร<br />
4
7 ชั้นก็เริ่มคับแคบ แม้จะได้มีการเพิ่มจ ำนวนเตียง<br />
ผู้ป่วยเป็น 400 เตียงแล้วก็ตามแต่ก็ยังไม่เพียงพอ<br />
ต่อการให้บริการ แผนการก่อสร้างอาคารหลังใหม่<br />
จึงเริ่มต้นขึ้น และวันที่ 15 มกราคม 2540 ก็ได้<br />
กลายเป็นวันแห่งความปลื้มปีติอย่างสูงสุดของชาว<br />
บำรุงราษฎร์ เมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ<br />
สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเปิด<br />
อาคารหลังใหม่ของโรงพยาบาล ซึ่งเป็นอาคาร<br />
ขนาดใหญ่สูง 12 ชั้น มีพื้นที่มากถึง 70,262 ตร.ม.<br />
ฝ่าวิกฤติ<br />
เช่นเดียวกับเรื่องราวความสำเร็จของหลาย<br />
ธุรกิจที่ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป เส้นทางการเติบโต<br />
ของบำรุงราษฎร์ก็มีบททดสอบให้ต้องก้าวผ่านอยู่<br />
เป็นระยะ และบททดสอบที่ยากลำบากที่สุดก็<br />
เกิดขึ้นในช่วงรอยต่อก่อนเข้าสู่ทศวรรษที่สองของ<br />
โรงพยาบาลนั่นเอง เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่<br />
หนักหนาสาหัสขึ้นภายในประเทศและลุกลามไป<br />
ยังอีกหลายประเทศในทวีปเอเชีย<br />
วิกฤติครั้งนั้นทำให้โรงพยาบาลมีหนี้สินเพิ่มขึ้น<br />
เป็นเท่าตัวและต้องยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการไม่<br />
ต่างจากธุรกิจอื่นๆ แต่ในขณะที่หลายบริษัท<br />
เลือกที่จะหยุดขยายงานและปลดพนักงานเพื่อ<br />
ลดต้นทุน ผู้บริหารโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์กลับ<br />
ขอให้พนักงานใช้ช่วงเวลาที่จำนวนผู้ป่วยภายใน<br />
ประเทศลดลงในการฝึกฝนภาษาอังกฤษ และ<br />
เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับตลาดต่างประเทศ<br />
ซึ่งได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่ลดลงอย่างมาก<br />
มีการเสริมทีมแพทย์ให้แข็งแกร่ง โดย ศ.นพ.สิน<br />
อนุราษฎร์ ผู้อำนวยการด้านการแพทย์กลุ่ม<br />
ได้เริ่มชักชวนแพทย์ไทยในต่างประเทศที่มีความ<br />
เชี่ยวชาญเฉพาะทางให้กลับมาร่วมงานกับ<br />
บำรุงราษฎร์ ในขณะเดียวกันก็นำเอาเทคโนโลยี<br />
ทางการแพทย์ใหม่ๆ เข้ามาเสริมมากขึ้น<br />
วิกฤติการณ์ทางการเงินในช่วงปี 2540<br />
จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญและเป็นการ<br />
กำหนดทิศทางใหม่ที่ชัดเจนและสร้างความ<br />
แตกต่างให้กับบำรุงราษฎร์จนทุกวันนี้<br />
ก้าวสู่เวทีโลก<br />
เพียง 2 ทศวรรษโดยประมาณหลังการก่อตั้ง<br />
บำรุงราษฎร์เริ่มได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ<br />
และได้รับการรับรองคุณภาพโรงพยาบาลระดับ<br />
สากลตามมาตรฐานของ Joint Commission<br />
International (JCI) แห่งสหรัฐอเมริกาในปี 2545<br />
นับเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกในเอเชียที่ได้รับ<br />
มาตรฐานนี้<br />
การยอมรับนี้ถูกตอกย้ำในการประชุมระดับ<br />
นานาชาติหลายๆ ครั้ง ครั้งหนึ่ง มร.เคิร์ท ชโรเดอร์<br />
อดีตผู้อำนวยการด้านบริหารของบำรุงราษฎร์<br />
ได้รับเชิญให้เป็นองค์ปาฐกพิเศษในการประชุม<br />
5
“ การยึดเอาผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง<br />
เพื่อมอบบริการทางการแพทย์ที่<br />
ดีที่สุด คือปัจจัยที่อยู่เบื้องหลัง<br />
การเติบโตอย่างมั่นคงของ<br />
บำรุงราษฎร์”<br />
นพ.นำ ตันธุวนิตย์<br />
Council of Teaching Hospitals and <strong>Health</strong><br />
Systems ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้ตั้ง<br />
คำถามต่อที่ประชุมซึ่งประกอบด้วยผู้บริหาร<br />
สถาบันทางการแพทย์ชั้นนำของโลกกว่าร้อยชีวิต<br />
ว่ามีใครบ้างที่เคยได้ยินชื่อของโรงพยาบาล<br />
บำรุงราษฎร์<br />
“ปรากฏว่าผู้ฟังเกือบทั้งหมดยกมือ ซึ่งเป็น<br />
เรื่องน่าทึ่งที่คนเหล่านี้รู้จักโรงพยาบาลจาก<br />
ประเทศไทยที่มีชื่ออ่านยากสำหรับชาวต่างชาติ<br />
และน่าทึ่งยิ่งกว่าเมื่อได้สนทนากับผู้บริหารระดับ<br />
สูงหลายท่านและพบว่าโรงพยาบาลของเราเป็นที่<br />
รู้จักมากเพียงใด” นั่นคือสิ่งที่อดีตผู้บริหารของ<br />
บำรุงราษฎร์บันทึกไว้ในนิตยสาร <strong>Better</strong> <strong>Health</strong><br />
เมื่อปี 2553<br />
เติบโตอย่างมั่นคง<br />
บำรุงราษฎร์เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2554<br />
อาคารผู้ป่วยนอกสูง 21 ชั้นเริ่มเปิดให้บริการแก่<br />
ผู้ป่วยจำนวนนับล้านคนจากทุกมุมโลก ผู้ป่วย<br />
เหล่านี้ส่วนใหญ่ป่วยด้วยโรคที่มีความซับซ้อนและ<br />
เดินทางมาด้วยความเชื่อมั่นว่าจะได้รับบริการ<br />
ทางการแพทย์ที่ดีเช่นเดียวกันกับบริการจาก<br />
โรงพยาบาลชั้นนำของโลก<br />
ยิ่งผู้ป่วยมีมากขึ้น แพทย์ก็มีโอกาสต่อยอด<br />
ความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาได้ลึกซึ้งมากขึ้น ผลคือ<br />
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์สามารถให้บริการทาง<br />
การแพทย์ที่มีความซับซ้อนได้มากขึ้นเรื่อยๆ<br />
ในทศวรรษที่ 3 ของบำรุงราษฎร์ โรงพยาบาล<br />
ได้รับการจัดอันดับจากเว็บไซต์ชั้นนำให้เป็น 1 ใน<br />
10 ของโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก การยอมรับนี้<br />
มีความสำคัญไม่เฉพาะกับบำรุงราษฎร์เท่านั้น แต่<br />
ยังช่วยให้ความพยายามของภาครัฐและเอกชน<br />
ที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง<br />
ทางการแพทย์ระดับโลก หรือ Medical Hub<br />
ในช่วงเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมาก่อเกิดผลสำเร็จ<br />
เป็นรูปธรรม<br />
นพ.นำ ตันธุวนิตย์ ผู้อำนวยการด้านบริหาร<br />
ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ สรุปปัจจัยที่อยู่<br />
เบื้องหลังการเติบโตอย่างมั่นคงของโรงพยาบาล<br />
ว่าเกิดจากวัฒนธรรมองค์กรที่ได้รับการปลูกฝัง<br />
มานับตั้งแต่วันแรกของการก่อตั้งนั่นคือ การยึด<br />
เอาผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางเพื่อมอบบริการทางการ<br />
แพทย์ที่ดีที่สุด<br />
ปัจจุบันบำรุงราษฎร์มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกว่า<br />
1,300 คนครอบคลุมศาสตร์การรักษาเฉพาะทาง<br />
มากกว่า 55 สาขา มีศูนย์แพทย์เฉพาะทางกว่า<br />
30 ศูนย์ที่มีความชำนาญในการรักษา มีเทคโนโลยี<br />
ทางการแพทย์ที่ทันสมัยและดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย<br />
ไม่ว่าจะเป็นระบบคอมพิวเตอร์ประมวลผลข้อมูล<br />
อัจฉริยะไอบีเอ็มวัตสันเพื่อการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง<br />
(IBM Watson for Oncology) การใช้แขนกล<br />
หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic Arm Assisted Joint<br />
Replacement Surgery) หรือการลงทุนในศูนย์<br />
ฝึกทักษะการดูแลผู้ป่วยด้วยสถานการณ์เสมือนจริง<br />
(Simulation Training Center)<br />
เหนือสิ่งอื่นใด คือการทำงานร่วมกันอย่างเป็น<br />
ระบบของแพทย์และบุคลากรในทุกสายงานเพื่อ<br />
ให้สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างครอบคลุมและ<br />
มีประสิทธิภาพมากที่สุด และเป็นการให้บริการ<br />
ด้วยอัธยาศัยไมตรีอันเป็นคุณลักษณะพิเศษ<br />
ของคนไทยที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ป่วย<br />
มาโดยตลอด<br />
สู่อนาคตที่ยั่งยืน<br />
ภายในเวลาอีกไม่กี่ปีนับจากนี้ บำรุงราษฎร์จะ<br />
มีอาคารใหม่ๆ ที่สามารถรองรับผู้ป่วยได้มากขึ้น<br />
ศูนย์การแพทย์หลายศูนย์มีขนาดใหญ่ขึ้น มีคลินิก<br />
นอกสถานที่ทั้งในและต่างประเทศ มีจำนวน<br />
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรในสาขาต่างๆ เพิ่ม<br />
มากขึ้นและหลากหลายสาขายิ่งขึ้น เทคโนโลยี<br />
ทางการแพทย์ที่ทันสมัยมากมายล้วนอยู่ใน<br />
แผนการดำเนินงาน<br />
บำรุงราษฎร์อาจเปลี่ยนแปลงไปในทางกายภาพ<br />
แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่และจะไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือ<br />
ความมุ่งมั่นที่จะให้บริการทางการแพทย์ที่ดีที่สุด<br />
ด้วยความเอื้ออาทรและยึดถือหลักคุณธรรมแก่<br />
ผู้ป่วยของเราทุกคน ซึ่งเป็นพันธกิจที่โรงพยาบาล<br />
ยึดถือมาตลอดระยะเวลา 36 ปี<br />
6
17 กันยายน 2523<br />
เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ<br />
2537<br />
เปิดอาคารแม่และเด็กสูง 16 ชั้น<br />
(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นอาคาร BH Residence)<br />
2540<br />
เปิดให้บริการ ณ อาคารใหม่สูง 12 ชั้น<br />
ซึ่งมีพื้นที่รวมมากถึง 70,262 ตารางเมตร<br />
2532<br />
เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในชื่อ<br />
บริษัท โรงพยาบาลบำารุงราษฎร์ จำากัด (มหาชน)<br />
2542<br />
โรงพยาบาลแห่งแรกในประเทศไทย<br />
ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสถาบันรับรองคุณภาพ<br />
โรงพยาบาลไทย (Hospital Accreditation Thailand)<br />
บางส่วนของเหตุการณ์<br />
และรางวัลแห่งความภาคภูมิใจ<br />
ตลอด 36 ปีที่ผ่านมา<br />
8<br />
2553<br />
+ ได้รับรางวัลผู้ส่งออกสินค้าและบริการดีเด่น<br />
ประเภท Best Service Provider 2010<br />
+ ได้รับรางวัลสถานพยาบาลดีเด่นด้านการส่งเสริม<br />
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย<br />
+ ได้รับการรับรองมาตรฐานการรักษาเฉพาะโรคหลอดเลือด<br />
สมองตีบ โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน โรคไตเรื้อรัง<br />
และโรคเบาหวานจาก JCI แห่งสหรัฐอเมริกา<br />
2555<br />
+ ได้รับการยกย่องให้เป็น “1 ใน 50<br />
องค์กรต้นแบบด้านความรับผิดชอบ<br />
ต่อสังคม” จัดทำาข้อมูลโดยสถาบันไทยพัฒน์<br />
+ ได้รับรางวัล Trusted Brand Award จากรีดเดอร์ ไดเจสท์<br />
2552<br />
ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติ<br />
“สถานประกอบกิจการดีเด่น<br />
ด้านแรงงานสัมพันธ์และ<br />
สวัสดิการแรงงาน”<br />
ติดต่อกันทุกปีจนถึงปัจจุบัน<br />
2556<br />
+ ได้รับรางวัล “องค์กรยอดเยี่ยม<br />
ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม”<br />
และได้รับต่อเนื่องทุกปีจนถึงปัจจุบัน<br />
2557<br />
+ นำาระบบคอมพิวเตอร์<br />
ประมวลผลข้อมูลอัจฉริยะ<br />
IBM Watson for Oncology<br />
มาใช้ในการวางแผนการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง<br />
+ ได้การรับรองมาตรฐานห้องปฏิบัติการทางการแพทย์<br />
ตามโครงการ Westgard Sigma Verification<br />
+ ได้รับรางวัลบริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำาเนินงานดีเด่น<br />
จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
2543<br />
โรงพยาบาลแห่งแรกในประเทศไทย<br />
ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพ<br />
ระบบงานองค์กร หรือ ISO 9000<br />
2546<br />
ได้รับรางวัล “บริษัทที่มีเงินลงทุนขนาดเล็กยอดเยี่ยม” และ<br />
“บริษัทบริหารจัดการยอดเยี่ยม” จากนิตยสารเอเชียมันนี่<br />
และยังได้รับการรับรางวัลอีกครั้งในปี 2551<br />
2549<br />
ผ่านการรับรองมาตรฐานการรักษา<br />
โรคหลอดเลือดสมองตีบ<br />
และโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายอย่างเฉียบพลัน<br />
2545<br />
+ โรงพยาบาลแห่งแรกในเอเชียที่ได้รับการรับรองคุณภาพโรงพยาบาล<br />
ระดับสากลตามมาตรฐานของ JCI แห่งสหรัฐอเมริกาและได้รับการ<br />
รับรองต่อเนื่องในปี 2548, 2551, 2554 และ 2557 จนถึงปัจจุบัน<br />
+ ได้รับรางวัลผู้ส่งออกสินค้าและบริการดีเด่นประเภท Outstanding Private Hospital<br />
2548<br />
+ ปรับชื่อใหม่เป็น<br />
โรงพยาบาลบำารุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล<br />
+ ได้รับการเผยแพร่ทางรายการ “60 MINUTES”<br />
ทางสถานีโทรทัศน์ CBS ในสหรัฐอเมริกา<br />
2551<br />
+ เปิดอาคารผู้ป่วยนอกบำารุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล คลินิก<br />
+ รับรางวัล AMDIS จาก Association of Medical Directors<br />
of Information Systems<br />
+ เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกที่ได้รับรางวัลการบริหาร<br />
สู่ความเป็นเลิศจากสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ<br />
+ ได้รับการโหวตจากผู้อ่านนิตยสาร Asian Wall Street Journal<br />
ให้เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำาในประเทศไทย<br />
+ ได้รับการรับรองมาตรฐานห้องปฏิบัติการทางการแพทย์<br />
ISO 15189:2003<br />
2558<br />
+ เปิดอาคาร Bumrungrad Residence and Office<br />
+ ได้รับการรับรอง “คุณภาพโรงพยาบาลและ<br />
บริการสุขภาพขั้นก้าวหน้า” (A-HA Advance<br />
Hospital Accreditation)<br />
+ ได้รับรางวัล Thailand Corporate<br />
Excellence Awards 2015 ในสาขา<br />
ความเป็นเลิศด้านความรับผิดชอบต่อสังคม<br />
+ เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกที่ได้รับรางวัลส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ<br />
จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย<br />
+ ได้รับรางวัล “องค์กรที่มีนวัตกรรมยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทย”<br />
จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ<br />
2559<br />
+ ได้รับการรับรองมาตรฐาน JCI เฉพาะโรคด้านการผ่าตัดข้อเข่าเทียม<br />
+ เปิดคลินิกกายภาพบำาบัดบำารุงราษฎร์ ณ อาคารเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์<br />
+ เปิดบำารุงราษฎร์ คลินิก ย่างกุ้ง<br />
9
Bumrungrad<br />
by the<br />
numbers<br />
บำ<br />
รุงราษฎร์ได้ชื่อว่าเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ และมี<br />
อาคารผู้ป่วยนอกที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดยมีพื้นที่ให้บริการเฉพาะ 2 อาคาร มากถึง<br />
127,468 ตร.ม. แต่นั่นเป็นเพียงตัวเลขบางส่วนของการเติบโตและพัฒนาทางกายภาพในช่วงเวลา 36 ปี<br />
เพราะยังมีตัวเลขที่น่าสนใจอีกมากมายที่ควรค่าแก่การบันทึกไว้ใน <strong>Better</strong> <strong>Health</strong> ฉบับนี้<br />
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา >1,300 คน<br />
พยาบาลชำนาญการ<br />
>1,000 คน<br />
พนักงานทั้งหมด 4,800 คน<br />
บุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ >300 คน<br />
เจ้าหน้าที่ภาษาพิเศษ >150 คน<br />
ให้บริการ 14 ภาษา<br />
จำนวนผู้ป่วย<br />
3,372 คนต่อวัน<br />
1,230,780 ล้านคนต่อปี<br />
สำนักงานตัวแทน<br />
33 แห่งใน 18 ประเทศ<br />
ผู้ป่วยต่างชาติ<br />
520,000 คนต่อปี<br />
จาก 190 ประเทศทั่วโลก 33 ศูนย์รักษาเฉพาะทาง<br />
580 เตียงผู้ป่วยใน<br />
>100 สาขาความชำนาญเฉพาะทาง<br />
275 ห้องตรวจ ทารกเกิดใหม่<br />
>2,000 รายต่อปี<br />
10
+++++ Cardiac Arrhythmias<br />
ผู้ป่วยภาวะหัวใจ<br />
เต้นผิดจังหวะ<br />
กับนวัตกรรมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า<br />
รู้จักกับสองเทคโนโลยีล่าสุดในการป้องกันผลข้างเคียงจาก<br />
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งได้แก่ การใส่อุปกรณ์ปิดรยางค์หัวใจ<br />
ห้องบนซ้าย เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง<br />
ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว และการฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจแบบไร้สาย<br />
สำหรับผู้ป่วยหัวใจเต้นช้าผิดจังหวะเพื่อป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลว<br />
ภ<br />
าวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเกิดจากความผิดปกติของกระแสไฟฟ้าในหัวใจ<br />
ที่ควบคุมกลไกการเต้นของหัวใจ ส่งผลให้หัวใจของคนเราเต้นไม่เป็น<br />
ไปตามจังหวะธรรมชาติซึ่งมีอัตราการเต้นอยู่ที่ประมาณ 60-100 ครั้ง<br />
ต่อนาที โดยอาจเต้นเร็วเกินไป ช้าเกินไป หรือเต้นเป็นจังหวะที่ไม่สม่ำเสมอ<br />
ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดที่เป็นอันตรายจำเป็น<br />
ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะโรคนี้ไม่เพียงทำให้การสูบฉีดเลือดไปยัง<br />
ส่วนต่างๆ ของร่างกายด้อยประสิทธิภาพลงเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเป็น<br />
โรคหลอดเลือดสมอง หรือเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้<br />
<strong>Better</strong> <strong>Health</strong> ฉบับนี้พูดคุยกับ นพ.โชติกร คุณวัฒน์ อายุรแพทย์โรคหัวใจ เกี่ยวกับ<br />
นวัตกรรมล่าสุดในการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่เป็นอันตรายสองประเภท ได้แก่<br />
ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (atrial fibrillation) และหัวใจเต้นช้าผิดจังหวะ (bradycardia)<br />
ซึ่งจะเป็นทางเลือกใหม่ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงของโรคได้<br />
อุปกรณ์ปิดรยางค์หัวใจ<br />
หัวใจสั่นพลิ้วเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง<br />
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดที่พบมากที่สุดและจ ำเป็น<br />
ต้องได้รับการรักษาคือ ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว ซึ่งเป็น<br />
ภาวะที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติหรือเร็วกว่า 350 ครั้งต่อนาที<br />
โดยมักพบในผู้สูงอายุ มีประวัติเป็นโรคหัวใจหรือความดัน<br />
โลหิตสูง ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก หรือมีภาวะหยุดหายใจ<br />
ขณะหลับ (sleep apnea) ซึ่งเป็นภาวะที่กระตุ้นให้เกิด<br />
พังผืดในห้องข้างบนของหัวใจ ส่งผลให้การเดินไฟฟ้า<br />
ของหัวใจผิดปกติ ขณะเดียวกันผู้ป่วยอายุน้อยที่เป็น<br />
โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษก็มีโอกาสเกิดภาวะหัวใจห้องบน<br />
สั่นพลิ้วได้เช่นกัน<br />
“การที่หัวใจห้องบนบีบตัวเร็วเกินไปนั้น นอกจากจะ<br />
ทำให้หัวใจอ่อนแรงแล้ว ยังทำให้เลือดที่อยู่บริเวณห้อง<br />
ข้างบนของหัวใจไม่สามารถไหลเวียนได้ตามปกติ และมี<br />
เลือดบางส่วนที่ไม่เคลื่อนไหวไปรวมค้างอยู่บริเวณรยางค์<br />
หัวใจห้องบนด้านซ้าย (left atrium appendage: LAA)<br />
ซึ่งมีลักษณะเป็นกระเปาะขนาดเล็กแล้วเกิดเป็นลิ่มเลือดได้<br />
หากลิ่มเลือดหลุดออกจากหัวใจเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือด<br />
ก็อาจไปอุดตันหลอดเลือดสมอง ทำให้สมองขาดเลือดและ<br />
เกิดโรคอัมพาต อัมพฤกษ์ได้” นพ.โชติกร อธิบาย<br />
รู้จักกับ อุปกรณ์ปิดรยางค์หัวใจ<br />
เนื่องจากผู้ป่วยภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วมีโอกาสเป็น<br />
โรคหลอดเลือดสมองสูงกว่าคนปกติถึง 5 เท่า การรักษา<br />
เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจึงมีความจำเป็นโดยขั้นตอน<br />
ในการรักษาจะเริ่มด้วยการหาสาเหตุของการเกิดโรคเพื่อ<br />
แก้ไขที่ต้นเหตุก่อน จากนั้นจึงเป็นการให้ยาคุมจังหวะ<br />
12
การเต้นของหัวใจไม่ให้เต้นเร็ว หรือไม่ให้เต้น<br />
ผิดจังหวะ และการป้องกันการเกิดลิ่มเลือดเพื่อ<br />
ลดความเสี่ยงที่ผู้ป่วยจะเป็นโรคหลอดเลือดสมอง<br />
นพ.โชติกร อธิบายว่า ปัจจุบันแพทย์มีแนวทาง<br />
ในการป้องกันการเกิดลิ่มเลือด 2 แนวทาง ได้แก่<br />
+ การใช้ยาละลายลิ่มเลือด เช่น ยาในกลุ่ม<br />
แอสไพริน วาร์ฟาริน หรือยาละลายลิ่มเลือด<br />
กลุ่มใหม่ (novel oral anticoagulants: NOAC)<br />
+ การใส่อุปกรณ์ปิดรยางค์หัวใจห้องบนซ้าย<br />
(left atrial appendage closure)<br />
“ข้อจำกัดของยาละลายลิ่มเลือดคือ ยาอาจมีผล<br />
ข้างเคียงที่ทำให้ผู้ป่วยบางรายไม่สามารถใช้ติดต่อ<br />
กันได้เป็นเวลานานหรือไม่สามารถใช้ยาละลาย<br />
ลิ่มเลือดได้ เช่น ผู้ป่วยที่มีโอกาสเกิดเลือดออก<br />
ได้ง่าย อาทิ ผู้ป่วยที่มีเกล็ดเลือดต่ำมาก ผู้ป่วย<br />
ตับวาย ไตวาย ผู้ป่วยที่ควบคุมความดันโลหิตสูง<br />
ได้ไม่ดี ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยที่มีเลือดออกในสมอง<br />
มาก่อนขณะรับประทานยาละลายลิ่มเลือด หรือ<br />
ผู้ป่วยที่มีเลือดออกในทางเดินอาหารอยู่บ่อยๆ<br />
และไม่สามารถหาจุดเลือดออกได้ ในกรณีเช่นนี้<br />
การใส่อุปกรณ์ปิดรยางค์หัวใจห้องบนซ้ายก็เป็น<br />
ทางเลือกใหม่ที่เข้ามาทดแทนการใช้ยาละลาย<br />
ลิ่มเลือดได้” นพ.โชติกร กล่าว<br />
“ ผู้ป่วยภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว<br />
มีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดสมอง<br />
สูงกว่าคนปกติถึง 5 เท่า”<br />
นพ.โชติกร คุณวัฒน์<br />
ห้องขวาบน<br />
สายสวน<br />
ห้องซ้ายบน<br />
ห้องซ้ายล่าง<br />
ห้องขวาล่าง<br />
สำหรับขั้นตอนของการใส่อุปกรณ์ปิดรยางค์<br />
หัวใจห้องบนซ้ายนั้น แพทย์จะใส่อุปกรณ์ซึ่งมี<br />
ลักษณะคล้ายร่มเล็กๆ ขนาดประมาณ 27 มิลลิเมตร<br />
ด้วยสายสวนผ่านหลอดเลือดดำที่ต้นขาไปยังหัวใจ<br />
ด้านซ้าย เมื่ออุปกรณ์เข้าที่ แพทย์จะปล่อยให้<br />
อุปกรณ์เข้าไปปิดผนึกบริเวณรยางค์หัวใจห้องบนซ้าย<br />
และเมื่อเวลาผ่านไป เนื้อเยื่อหัวใจจะเจริญหุ้ม<br />
อุปกรณ์ และรยางค์ดังกล่าวจะถูกปิดผนึกอย่างถาวร<br />
โดยขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง<br />
Pacemaker ไร้สาย<br />
ทางเลือกใหม่เมื่อหัวใจเต้นช้า<br />
สำหรับผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิด<br />
เต้นช้าผิดปกติ และผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยง่าย<br />
วิงเวียนคล้ายจะเป็นลม หมดสติ หรือความดันตก<br />
ถ้าไม่สามารถหาสาเหตุที่แก้ไขได้แพทย์อาจ<br />
พิจารณาใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจหรือ pacemaker<br />
เพื่อป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลวซึ่งเสี่ยงต่อการ<br />
เสียชีวิต<br />
“การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจเป็นวิธีที่ใช้กันอย่าง<br />
แพร่หลายมานานกว่า 50 ปี วิธีการคือ แพทย์จะ<br />
ฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจไว้ใต้ผิวหนังบริเวณ<br />
ใต้กระดูกไหปลาร้า และสอดสายสื่อสัญญาณ<br />
ไฟฟ้าไปยังหัวใจ โดยเครื่องจะทำการตรวจจับ<br />
จังหวะการเต้นของหัวใจ และสายสื่อสัญญาณ<br />
ไฟฟ้าจะเป็นตัวควบคุมและกระตุ้นให้หัวใจเต้น<br />
เร็วพอที่จะสูบฉีดเลือดไปเลี ้ยงส่วนต่างๆ ของ<br />
ร่างกายได้” นพ.โชติกร อธิบาย<br />
อย่างไรก็ตาม การฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ<br />
เครื่องกระตุ้นหัวใจแบบไร้สาย<br />
ขั้วบวก<br />
ขั้วลบ<br />
แบบใส่สายสื่อสัญญาณนี้ อาจทำให้เกิดภาวะ<br />
แทรกซ้อนในผู้ป่วยบางราย เช่น มีเลือดออกหรือ<br />
มีก้อนเลือดคั่งอยู่ใต้ผิวหนัง มีการติดเชื้อบริเวณ<br />
ที่ใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ สายสื ่อสัญญาณ<br />
ไฟฟ้าหลุดเลื่อนจากตำแหน่งเดิม รวมถึงความ<br />
รู้สึกไม่สบายตัวและไม่สวยงามที่เกิดจากการฝัง<br />
เครื่องส่งสัญญาณ<br />
นี่จึงเป็นที่มาของเทคโนโลยีล่าสุดที่ออกแบบ<br />
มาเพื่อลดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว โดยมีการริเริ่ม<br />
นำเครื่องกระตุ้นหัวใจแบบไร้สาย (leadless cardiac<br />
pacemaker) เข้ามาใช้ในการรักษาผู้ป่วย<br />
หัวใจเต้นช้าผิดจังหวะ ซึ่งเทคโนโลยีใหม่นี้จะรวม<br />
เอาตัวส่งสัญญาณกระตุ้นหัวใจและสายสื่อสัญญาณ<br />
ไฟฟ้าไว้ในแคปซูลขนาดเล็กที่มีความยาวเพียง<br />
26 มิลลิเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 6.7 มิลลิเมตร<br />
และหนักเพียง 1.75 กรัม โดยแพทย์จะส่งแคปซูล<br />
ด้วยสายสวนผ่านหน้าขาเข้าไปฝังบริเวณผนัง<br />
หัวใจห้องล่างขวาเพื่อทำหน้าที่ควบคุมจังหวะการ<br />
เต้นของหัวใจ<br />
“การใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจแบบไร้สายเป็น<br />
ทางเลือกที่เหมาะกับผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะ<br />
ผู้ป่วยที่ต้องการใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจเฉพาะ<br />
ห้องข้างล่างขวาเท่านั้น เช่น ผู้ป่วยสูงอายุ หรือ<br />
เป็นโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วย<br />
ยังสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้<br />
สะดวกและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม<br />
เครื่องกระตุ้นหัวใจแบบไร้สายนี้อาจมีข้อจำกัด<br />
และไม่สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยบางราย ซึ่งแพทย์จะ<br />
พิจารณาเป็นกรณีไป” นพ.โชติกร กล่าวทิ้งท้าย<br />
14
+++++ Sports Medicine<br />
16<br />
ฟิตเนส<br />
เล่นอย่างไรไม่ให้บาดเจ็บ<br />
ค<br />
วามสะดวกสบายและความครบครันที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการ<br />
ของคนรักสุขภาพ ทำาให้สถานออกกำาลังกายที่เรียกกันง่ายๆ ว่า ฟิตเนส<br />
ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยเฉพาะกับกลุ่มคนวัยทำางาน<br />
ในเมืองใหญ่ที่หาโอกาสเล่นกีฬาหรือออกกำาลังกายกลางแจ้งได้ยาก<br />
แต่ถึงแม้จะเป็นการออกกำาลังกายในร่มที่ไม่มีการปะทะ และฟิตเนสส่วนใหญ่<br />
มีเทรนเนอร์ประจำา หลายคนยังคงต้องมาพบแพทย์เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บจากการ<br />
เล่นฟิตเนส อาการเหล่านี้มีอะไรบ้าง จะมีวิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นอย่างไร และจะป้องกัน<br />
ไม่ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร <strong>Better</strong> <strong>Health</strong> ฉบับนี้มีคำาตอบจากคุณธิดารัตน์ อร่ามวัฒนชัย<br />
นักกายภาพบำบัดของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มาฝากกัน<br />
4 ลักษณะของการบาดเจ็บ<br />
“การบาดเจ็บที่พบในฟิตเนสเกิดได้ทั้งจากการออกกำาลังกายประเภทคาร์ดิโอที่<br />
เน้นพัฒนาระบบไหลเวียนโลหิต หัวใจ และปอดอย่างการปั่นจักรยานไฟฟ้าหรือวิ่งบน<br />
ลู่วิ่ง และการออกกำาลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออย่างการเล่นเวท<br />
โดยส่วนใหญ่มักเป็นการบาดเจ็บในเรื่องของโครงสร้างร่างกายที่เกิดจากการใช้งาน<br />
มากเกินไปหรือหนักเกินไป” คุณธิดารัตน์อธิบาย<br />
การบาดเจ็บที่พบส่วนใหญ่ซึ่งมักแบ่งออกได้เป็น<br />
4 ลักษณะ ได้แก่<br />
1. กล้ามเนื้ออักเสบ เป็นการอักเสบของกล้ามเนื้อ<br />
เมื่อเกิดฉีกขาดจากการใช้งานหนัก<br />
2. เส้นเอ็นกล้ามเนื้ออักเสบ เป็นการอักเสบของ<br />
เส้นเอ็นที่ยึดระหว่างกล้ามเนื้อกับกระดูก<br />
(tendon)<br />
3. เส้นเอ็นยึดข้อฉีกขาด เป็นการอักเสบของเส้นเอ็น<br />
ที่ยึดระหว่างกระดูกกับกระดูก (ligament)<br />
4. กระดูกรับน้ำหนักมากเกินไป หรือมีแรงเครียด<br />
ต่อกระดูกมากเกินไป เช่น กระดูกขาหักแบบ<br />
เป็นรอย (stress fracture) จากการวิ่งอย่าง<br />
หนักและเกิดแรงกระแทกซำ้ำๆ<br />
เจ็บแล้ว ต้องทำอย่างไร<br />
หากคุณไม่ได้ออกกำาลังกายมานานพอสมควร<br />
เมื่อกลับมาออกกำาลังอีกครั้งและรู้สึกปวดเมื ่อย<br />
เนื้อตัว อาการแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นการบาดเจ็บ<br />
แต่เป็นกลไกตอบสนองของร่างกายตามปกติ<br />
เพื่อจะบอกว่า การออกกำาลังกายนั้นหนักเกินไป<br />
กล้ามเนื้อยังไม่คุ้นเคยและมีอาการกล้ามเนื้อชำ้ำ<br />
เกิดขึ้น ซึ่งอาการนี้จะหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน<br />
โดยไม่จำาเป็นต้องทำาอะไรเลย<br />
แต่หากเป็นการบาดเจ็บจริงๆ ซึ่งจะต้อง<br />
ประกอบด้วยอาการปวด บวม ผิวบริเวณที่เจ็บมี<br />
สีแดง และเมื่อแตะแล้วรู้สึกร้อนกว่าบริเวณ<br />
ใกล้เคียง ให้สันนิษฐานว่ามีการอักเสบเกิดขึ้น<br />
หลักการดูแลตัวเองเบื้องต้นที่คุณสามารถทำาได้<br />
ทันทีคือ PRICER ซึ่งประกอบด้วย<br />
P = Protection ป้องกันไม่ให้ส่วนที่บาดเจ็บ<br />
ขยับเขยื้อน<br />
R = Rest พักการใช้งานส่วนที่บาดเจ็บ<br />
I = Ice ประคบเย็นด้วยนำ้ำแข็งภายใน 24 ชั่วโมง<br />
หลังเกิดการบาดเจ็บเพื่อลดอาการบวม<br />
C = Compression คือการกด โดยทำาควบคู่<br />
ไปกับการใช้นำ้ำแข็ง อาจใช้แผ่นเย็นประคบ<br />
แล้วพันให้กระชับ<br />
E = Elevation คือยกอวัยวะส่วนที่เจ็บให้สูงไว้<br />
เพื่อให้เลือดไหลย้อนกลับเข้าสู่หัวใจและ<br />
ลดอาการบวม<br />
R = Referral ในกรณีที่บาดเจ็บมาก หรือมี<br />
อาการผิดปกติอื่นๆ แนะนำาให้พบแพทย์ทันที
นอนน้อย<br />
ทำให้น้ำหนักขึ้น!<br />
สาเหตุหลักๆ ที่ทำาให้น้ำาหนักขึ้นคง<br />
หนีไม่พ้นพฤติกรรมการกินของตัวเอง และ<br />
ความขี้เกียจออกกำาลังกาย ส่วนพฤติกรรม<br />
การนอนหลับก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำาคัญที่<br />
ส่งผลต่อน้ำาหนักตัวเช่นกัน เพราะการนอน<br />
เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนที่ควบคุมความรู้สึก<br />
อยากอาหาร 2 ตัว คือ เกรลิน(Ghrelin)<br />
เป็นฮอร์โมนกระตุ้นความหิวและ เล็ฟติน<br />
(Leptin) ฮอร์โมนที่ทำาให้รู้สึกอิ่ม และเพิ่ม<br />
อัตราการเผาผลาญ<br />
เคยมีการทดลองพบว่า คนที่นอน<br />
ประมาณ 5 ชั่วโมงต่อวันจะมีระดับฮอร์โมน<br />
เกรลินสูงกว่าคนที่นอน 8 ชั่วโมงต่อวันมากถึง<br />
15% และมีเล็ปตินต่ำากว่าประมาณ 15%<br />
ส่งผลให้คนที่นอนน้อยมักจะหิวบ่อย กินเยอะ<br />
แถมมีโอกาสเป็นโรคอ้วนถึงร้อยละ 73 รวมถึง<br />
มีความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ<br />
โรคความดันโลหิตสูง โรคไตและโรคอื่นๆ อีก<br />
มากมาย เมื่อนอนน้อยก็จะเบิร์นน้อยตามไปด้วย<br />
นักวิจัยพบว่าคนที่นอนไม่พอจะใช้พลังงาน<br />
ในร่างกายน้อยลงกว่าคืนที่นอนเต็มอิ่ม 5%<br />
และหลังจากกินอาหารอิ่มจัดแล้ว ร่างกาย<br />
จะใช้พลังงานลดลงอีก 20% ซึ่งก็เป็นเหตุ<br />
ให้ดูอ่อนเพลีย ไม่กระปรี้กระเปร่านั่นเอง<br />
ถ้าหากนอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงร่างกาย<br />
จะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ซึ่งเป็น<br />
ฮอร์โมนที่จะกระตุ้นให้คุณรู้สึกหิวทันทีอาหาร<br />
ที่อยากทานก็จะเป็นพวกแป้ง น้ำาตาล และ<br />
อาหารรสหวานทุกชนิด เพราะร่างกายต้องการ<br />
เพิ่มน้ำาตาลในกระแสเลือด เพื่อให้ร่างกาย<br />
สดชื่นขึ้น<br />
เมื่อนอนน้อยก็จะกินเยอะขึ้น หาก<br />
คืนไหนที่สาวๆ ทั้งหลายนอนพักผ่อนเพียง<br />
แค่ 4 ชั่วโมง ในวันรุ่งขึ้นคุณจะมีแนวโน้มกิน<br />
อาหารที่มีแคลอรี่เพิ่มขึ้นอีกถึง329 กิโลแคลอรี่<br />
ส่วนผู้ชายจะกินเพิ่มขึ้น 263 กิโลแคลอรี่<br />
โดยประมาณ เห็นแบบนี้แล้ว มาพักผ่อนให้<br />
เพียงพอกันดีกว่า เราควรนอนอย่างน้อย<br />
7-8 ชั่วโมง และควรนอนก่อน 4 ทุ่ม เพื่อเปิด<br />
โอกาสให้โกรทฮอร์โมนได้ทำาหน้าที่ฟื้นฟู<br />
ซ่อมแซร่างกายได้อย่างเต็มที่หากทำาอย่างนี้<br />
ได้นอกจากจะไม่อ้วนแล้ว ผิวพรรณยังสวยใส<br />
เปล่งปลั่งอีกด้วย การพักผ่อนให้เพียงพอ<br />
ควบคู่ไปกับการออกกำาลังกายพร้อมให้<br />
vivosmartHR เป็นผู้ช่วยส่วนตัวในการ<br />
ติดตามการนอนและวางแผนออกกำาลังกาย<br />
รับรองว่าคุณจะมีสุขภาพดีอย่างแน่นอน<br />
Garmin vivosmartHR นอกจาก<br />
ฟังก์ชันหลักๆ ที่สามารถนับก้าว ระยะทาง<br />
แคลอรี่ รวมถึงวัดอัตราการเต้นหัวใจ ยังมี<br />
การติดตามการนอนตลอดคืนอีกด้วย(ติดตาม<br />
การนอนทั้งหมดทั้งช่วงที่เคลื่อนไหวหรือ<br />
หลับสนิท) เพื่อให้เราสามารถดูบันทึกคุณภาพ<br />
การนอนของเราว่าหลับสนิทแค่ไหน พักผ่อน<br />
เพียงพอหรือไม่ในแต่ละคืน ทำาให้เราเกิด<br />
การเรียนรู้จากการเฝ้าสังเกตพฤติกรรมตัว<br />
เอง ทำาให้เกิดการปรับปรุงลักษณนิสัย ช่วย<br />
เพิ่มระยะเวลานอนหลับให้ดีขึ้นอีกด้วย<br />
vivosmartHR 5,990 บาท (รองรับภาษาไทย)<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม / สั่งซื้อออนไลน์<br />
www.GPSsociety.com<br />
สอบถามโทร 02-266-9944
“ระหว่างที่ยังบาดเจ็บอยู่ ไม่ควรทำกิจกรรมที่<br />
จะทำให้บาดเจ็บซ้ำที่เดิม เพราะจะทำให้โอกาส<br />
หายน้อยลงหรือต้องใช้เวลานานขึ ้นกว่าจะหาย<br />
ฉะนั้น ควรรอให้อาการหายสนิทแล้วจริงๆ แต่<br />
คุณก็ยังสามารถออกกำลังกายในส่วนอื่นๆ ที่ไม่<br />
บาดเจ็บได้ เช่น เจ็บแขนก็ให้เลือกออกกำลังกาย<br />
ที่ใช้ขาแทน หรือเจ็บขาก็ยกเวทแขนไปก่อน<br />
เป็นต้น” คุณธิดารัตน์แนะนำ<br />
การบาดเจ็บ ป้องกันได้<br />
อย่างไรก็ตาม การป้องกันตัวเองจากอาการ<br />
บาดเจ็บย่อมดีกว่าการรักษาตัว ซึ่งนักกายภาพ<br />
บำบัดของเรามีคำแนะนำที่คุณสามารถนำไป<br />
ปฏิบัติได้ไม่ยาก ดังนี้<br />
+ เข้ารับการตรวจสุขภาพก่อนเริ่มโปรแกรม<br />
ออกกำลังกายหากคุณเป็นผู้หญิงอายุมากกว่า<br />
55 ปี หรือผู้ชายอายุมากกว่า 45 ปี โดยเฉพาะ<br />
ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอยู่ก่อนแล้ว<br />
+ อบอุ่นร่างกายก่อน (warm up) และหลัง (cool<br />
down) การออกกำลังกายทุกครั้ง โดยใช้เวลา<br />
อย่างละ 5-10 นาที<br />
+ ระหว่างการ warm up และ cool down ให้ยืด<br />
กล้ามเนื้อร่วมด้วย โดยใช้เวลาประมาณ 3 นาที<br />
เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและข้อต่อ<br />
+ ค่อยๆ เพิ่มระดับแรงต้าน ระยะเวลา และ<br />
ความถี่ของการออกกำลังกาย เพื่อให้เวลา<br />
ร่างกายปรับตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป<br />
+ สลับชนิดการออกกำลังกายในแต่ละวัน เพื่อ<br />
ไม่ให้ร่างกายแต่ละส่วนถูกใช้งานมากเกินไป<br />
+ รู้จุดด้อยของตัวเอง เช่น หากเคยบาดเจ็บไหล่<br />
หรือเข่ามาก่อน ควรปรึกษาแพทย์ให้มั่นใจ<br />
ว่าสามารถออกกำลังกายในส่วนนั้นๆ ได้<br />
อย่างปลอดภัย<br />
+ ไม่ออกกำลังหนักและต่อเนื่องเป็นเวลานาน<br />
เพราะจะทำให้ร่างกายล้าเกินไป<br />
+ พักจากการออกกำลังบ้างสัปดาห์ละ 1-2 วัน<br />
เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว<br />
+ ปรึกษาเทรนเนอร์ นักกายภาพบำบัดหรือ<br />
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนลองเทคนิคการออก<br />
กำลังกายใหม่ๆ<br />
+ แต่งกายให้เหมาะสมกับประเภทของการ<br />
ออกกำลังกาย<br />
+ ดื่มน้ำให้เพียงพอก่อน ระหว่าง และหลังการ<br />
ออกกำลังกาย รวมถึงไม่ปล่อยให้ท้องว่าง<br />
ด้วยการรับประทานอาหารว่างเบาๆ ก่อน<br />
ออกกำลังอย่างน้อย 30 นาที<br />
+ มีเป้าหมายในการออกกำลังกายที่ชัดเจน<br />
เป็นไปได้ และใช้เทคนิคที่ถูกต้องเพื่อให้บรรลุ<br />
เป้าหมาย<br />
เพียงเท่านี้คุณก็สามารถออกกำลังกายใน<br />
ฟิตเนสได้อย่างปลอดภัยและห่างไกลจากอาการ<br />
บาดเจ็บอย่างแน่นอน<br />
คลินิกกายภาพบำบัดบำรุงราษฎร์ คลินิกกายภาพบำบัดใกล้ๆ คุณ<br />
อ<br />
าการผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อและกระดูก การเล่นกีฬา และการบำบัดก่อนและหลังการ<br />
ระบบประสาท รวมถึงการบาดเจ็บจากการ ผ่าตัดเกี่ยวกับข้อและกระดูกด้วยเครื่องมือรักษา<br />
เล่นกีฬาจาเป็นต้องได้รับการบาบัดรักษาและ ทางกายภาพบำบัดที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน<br />
ฟื้นฟูตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างครบถ้วน ในการให้บริการ<br />
และต่อเนื่อง คลินิกกายภาพบาบัดบารุงราษฎร์ นอกจากนี้ คลินิกกายภาพบำบัดบำรุงราษฎร์<br />
จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสาหรับผู้ที่ไม่สะดวก ยังมีพื้นที่ออกกำลังกายที่เป็นสัดส่วนพร้อมบริการ<br />
เข้ามารับการกายภาพบาบัดในโรงพยาบาล ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการออกกำลังกายและจัด<br />
คลินิกกายภาพบำบัดบำรุงราษฎร์ เป็นคลินิก โปรแกรมการออกกำลังกายเฉพาะบุคคลสำหรับ<br />
กายภาพบำบัดของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ณ บุคคลทั่วไปโดยนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ<br />
อาคารเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ เปิดให้บริการด้าน เฉพาะทางของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์<br />
การกายภาพบำบัดระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ<br />
การกายภาพบำบัดระบบกระดูกและกล้ามเนื้อที่ คลินิกกายภาพบำบัดบำรุงราษฎร์<br />
เกิดจากการทำงาน การกายภาพบำบัดระบบ ณ อาคารเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ได้ที่<br />
ประสาท การกายภาพบำบัดอาการบาดเจ็บจาก โทร 0 2667 1305<br />
18
+++++ The Case<br />
เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน<br />
วันร้ายที่คาดไม่ถึง<br />
ของ คุณทศพร หงสนันทน์<br />
“ ตรวจสุขภาพทุกปีครับ ผมเป็นนักบินด้วย ต้องตรวจสุขภาพอย่างละเอียดเพื่อต่อใบอนุญาตอยู่แล้ว”<br />
“ ถ้ามีเวลาว่าง ต้องออกกำลังกายทันที ว่ายน้ำ เข้ายิม ขี่จักรยาน ทุกคนสงสัยกันหมดว่า<br />
ออกกำลังกายขนาดนี้ทำไมยังเป็นโรคหัวใจ”<br />
“ ตอนนั่งอยู่ที่ศูนย์หัวใจ บำรุงราษฎร์ ผมคิดว่าเรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”<br />
<strong>Better</strong> <strong>Health</strong> กับ คุณทศพร หงสนันทน์<br />
นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ที่รักการออกกำาลังกายเป็นชีวิตจิตใจ ทำาให้ยังดูแข็งแรง<br />
นี่คือบางส่วนของบทสนทนาระหว่าง<br />
และมีรูปร่างที่ดีแม้ในวัยขึ้นเลขหก และหากไม่บอกก็คงไม่มีใครรู้ว่า<br />
คุณทศพรเพิ ่งผ่านช่วงเวลาวิกฤตจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันมาได้<br />
เพียง 2 เดือนเท่านั้น<br />
ชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง<br />
“ผมออกกำาลังกายมาตั้งแต่ยังเป็นนักเรียน เล่นรักบี้ ยูโด ดำานำ้ำมาตั้งแต่อายุ 16<br />
จนทุกวันนี้ก็ยังเป็นผู้ฝึกสอนให้กับครูดำานำ้ำ (scuba diving instructor trainer)<br />
ผมว่ายนำ้ำสมำ่ำเสมอครั้งละ 1,000-1,200 เมตร เข้ายิมวันละชั่วโมงกว่า แล้วก็ยังชอบ<br />
ปั่นจักรยานโดยเฉพาะปั่นระยะไกล 60-70 กิโลเมตร เรียกว่าเล่นกีฬาต่อเนื่องมา<br />
ทั้งชีวิตไม่เคยหยุด” คุณทศพร เริ่มต้นเล่าถึงความชื่นชอบในการออกกำาลังกาย<br />
และนอกจากกีฬาแล้ว คุณทศพรยังมีไลฟ์สไตล์ที่กระตุ้นจังหวะการเต้นของ<br />
หัวใจอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการขี่จักรยานยนต์ทางไกลข้ามประเทศ หรือการขับ<br />
เครื่องบินส่วนบุคคลซึ่งการจะขึ้นบินได้นั้นต้องผ่านขั้นตอนการตรวจร่างกายและ<br />
การทำางานของสมองอย่างละเอียดในส่วนของการมองเห็นและการได้ยินอย่างน้อย<br />
ปีละ 2 ครั้งตามกฎข้อบังคับของสถาบันเวชศาสตร์การบิน<br />
“ผมคิดว่าตัวเองดูแลสุขภาพสมำ่ำเสมอนะ พยายามทำาตัวให้แข็งแรง ถึงจะไม่ได้<br />
เคร่งครัดเรื่องอาหารมากแต่ก็ควบคุมนำ้ำหนักไม่ให้นำ้ำหนักเพิ่มขึ้น ทำางานก็มี<br />
เครียดบ้างไม่เครียดบ้างตามปกติ แล้วอยู่ๆ ก็เกิดเป็นโรคนี้ขึ้นมา” คุณทศพรพูดถึง<br />
“ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน” หนึ่งใน<br />
กลุ่มอาการของโรคหัวใจที่ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยคิด<br />
มาก่อนว่าตัวเองจะเป็น<br />
ไร้สัญญาณบอกเหตุ<br />
วิกฤตสุขภาพครั้งนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณ<br />
เตือนใดๆ “วันนั้นเป็นวันที่ผมตั้งใจจะไปนอนที่วัด<br />
เพื่อเตรียมตัวอุปสมบทในสัปดาห์ถัดไป แต่พอ<br />
ไปถึงก็เริ่มมีอาการปวดแปลบๆ บริเวณด้านซ้าย<br />
ของหัวใจเยื้องขึ้นไปทางไหล่ แล้วก็จุกแน่นแต่<br />
ซักพักก็หายไป เช้ามืดวันถัดมาก็ปวดอีก ตอนนั้น<br />
ยังไม่แน่ใจว่าเป็นอะไรแต่คิดว่าไม่ค่อยดีแล้ว<br />
เลยขออนุญาตกลับบ้านก่อน กลับมาถึงบ้านสัก<br />
พักใหญ่ก็ปวดที่ตำาแหน่งเดิมอีกแล้วยังมีอาการ<br />
ชาที่ปลายนิ้วร่วมด้วย คราวนี้ผมเก็บของเลย<br />
บอกคนที่บ้านว่าจะเข้าโรงพยาบาล เพราะค่อน<br />
ข้างแน่ใจแล้วว่าต้องเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ”<br />
ภายในเวลาไม่ถึง 10 นาทีหลังจากที่คุณทศพร<br />
มาถึงโรงพยาบาลบำารุงราษฎร์ เขาได้รับการ<br />
วินิจฉัยจากนพ.วิสุทธิ์ วิเวกาภิรัต ว่ามีภาวะ<br />
20
“สำคัญที่สุดคือ ต้องวินิจฉัยได้เร็ว”<br />
ใ นการรักษาผู้ป่วยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจ<br />
ตายเฉียบพลันนั้น นพ.วิสุทธิ์ วิเวกาภิรัต<br />
อายุรแพทย์โรคหัวใจยืนยันว่าการวินิจฉัยโรค<br />
อย่างแม่นยำาและรวดเร็วคือหัวใจสำาคัญที่จะช่วย<br />
ให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์สูงสุด<br />
ผู้ป่วยมาถึงด้วยอาการอย่างไร<br />
ผู้ป่วยมีอาการเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อหน้าอก<br />
ด้านซ้าย โดยเริ่มเจ็บตั้งแต่วันก่อนที่จะเข้ามา<br />
รักษา พอเราทราบอาการก็ทำาการตรวจคลื่นไฟฟ้า<br />
หัวใจทันที ซึ่งสามารถทำาได้ภายในเวลาไม่ถึง 10<br />
นาทีนับตั้งแต่ผู้ป่วยมาถึง ผลจากกราฟหัวใจบ่งชี้<br />
ว่ามีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เนื่องจาก<br />
มีลิ่มเลือดไปอุดตันในหลอดเลือดแบบถาวร ทำาให้<br />
เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงหัวใจได้และส่งผลให้เซลล์<br />
กล้ามเนื้อหัวใจตายในที่สุด<br />
ในภาวะเช่นนี้ การวินิจฉัยที่รวดเร็วมีความ<br />
สำาคัญมาก เพราะหากล่าช้าเกินไปอาจทำาให้<br />
ผู้ป่วยสูญเสียกล้ามเนื้อหัวใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ<br />
เมื่อประสิทธิภาพในการบีบตัวลดลงก็จะส่งผลให้<br />
หัวใจเต้นผิดจังหวะและเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวใน<br />
อนาคตได้ และหากมีการอุดตันของหลอดเลือด<br />
ขนาดใหญ่ที่ทำาให้กล้ามเนื้อตายเป็นบริเวณกว้าง<br />
ก็อาจทำาให้เสียชีวิตได้เช่นกัน โดยโรคนี้มีความเสี่ยง<br />
ในการเสียชีวิตมากกว่าร้อยละ 10 ซึ่งถือว่าสูงมาก<br />
สาเหตุของโรคเกิดจากอะไร<br />
และมีวิธีการรักษาอย่างไร<br />
ผู้ป่วยมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ มีความ<br />
กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันและต้องเข้ารับ<br />
การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนทันที<br />
“คุณหมอตรวจวินิจฉัยแบบตรงประเด็น<br />
ชัดเจน และรวดเร็วมาก พอทราบผล เคสผมก็<br />
กลายเป็นเคสฉุกเฉินทันที มีเจ้าหน้าที่หลายคน<br />
เข้ามาดูแล ทุกคนทำางานแข่งกับเวลา เพียงระยะ<br />
เวลาหนึ่งชั่วโมงทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี สามารถ<br />
ทราบถึงตำาแหน่งที่ผิดปกติและทำาการรักษาได้<br />
อย่างทันท่วงที ซึ ่งผมต้องชมเชยจริงๆ เพราะ<br />
ถ้าช้ากว่านี้ผมคงแย่”<br />
แข็งแรงช่วยได้<br />
หลังทำาบอลลูนเรียบร้อย คุณทศพรใช้เวลาพัก<br />
ในโรงพยาบาล 3 วันก่อนจะกลับไปบวชอีก 3<br />
สัปดาห์ตามที่ตั้งใจไว้ และเมื่อสึกแล้วก็เริ่มออก<br />
เสี่ยงจากการสูบบุหรี่ โรคความดันโลหิตสูง<br />
นำ้ำตาลในเลือดสูง และมีไขมันที่พอกเป็นตะกรัน<br />
(plaque) เกาะตามผนังหลอดเลือด เมื่อ plaque<br />
แตกตัวก็ทำาให้เกิดลิ่มเลือดไปอุดกั้นหลอดเลือด<br />
ผู้ป่วยจึงเริ่มเจ็บหน้าอกแต่เจ็บแบบไม่ต่อเนื่อง<br />
เพราะลิ่มเลือดยังอุดกั้นไม่หมด แต่พอเวลา<br />
ผ่านไปลิ่มเลือดมีมากขึ้นจนอุดตันถาวร อาการ<br />
เจ็บจึงไม่หายอีก เนื่องจากไม่มีเลือดไปเลี้ยง<br />
กล้ามเนื้อหัวใจ<br />
กรณีนี้เราต้องเปิดหลอดเลือดให้เร็วที่สุดเพื่อ<br />
ให้เลือดกลับไปเลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณนั้น เป็นการ<br />
หยุดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย ซึ่งโชคดีที่ผู้ป่วย<br />
รายนี้มาถึงโรงพยาบาลเร็ว กล้ามเนื้อหัวใจยัง<br />
ไม่ถูกทำาลายมากนัก หลังจากที่เราฉีดสีเพื่อให้<br />
ทราบตำาแหน่งที่หลอดเลือดอุดตันแล้วก็ขยาย<br />
กำาลังกายตามปกติอีกครั้ง “ตอนนี้รู้สึกสดชื่นขึ้น<br />
แข็งแรงขึ้น ว่ายนำ้ำได้ระยะทางไกลขึ้น เหนื่อย<br />
น้อยลง นี่ก็กำาลังเตรียมตัวจะไปขี่จักรยานยนต์<br />
ทางไกลอีกแล้ว” คุณทศพรเล่าอย่างอารมณ์ดี<br />
ประสบการณ์ผ่านความเป็นความตายจาก<br />
โรคร้ายครั้งนี้ คุณทศพรมีข้อคิดหลายประการ<br />
มาแบ่งปันกัน นั่นคือ การออกกำาลังกายช่วยให้<br />
ร่างกายมีแรงพอที่จะรับมือกับโรคได้ แต่อย่า<br />
เชื่อมั่นเกินไปว่าตัวเองแข็งแรงแล้วจะไม่เป็น<br />
โรคร้าย ขณะเดียวกันก็ควรมีความรู้พื้นฐานใน<br />
การดูแลตัวเองเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน มีสติ<br />
และไม่ประมาท โดยเฉพาะในกรณีของภาวะ<br />
หัวใจขาดเลือด เพราะโรคสามารถพัฒนาจาก<br />
อาการเพียงเล็กน้อยไปจนรุนแรงและถึงขั้น<br />
เสียชีวิตได้<br />
หลอดเลือดด้วยบอลลูนและใส่ขดลวดถ่างขยาย<br />
(stent) ทำาให้มีเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อได้ดังเดิม<br />
คุณทศพรฟื้นตัวเร็วเพราะร่างกายแข็งแรงดี<br />
อยู่แล้ว สามารถเดินเหิน ทำากิจกรรมได้ตามปกติ<br />
ปัจจุบันผู้ป่วยมีอาการอย่างไร<br />
ตอนนี้หัวใจทำางานแทบจะปกติ ก่อนออกจาก<br />
โรงพยาบาล เราตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อน<br />
อีกครั้งซึ่งผลออกมาค่อนข้างดี แต่ยังต้องเฝ้า<br />
ระวังเพราะโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้อีก และกรณี<br />
คุณทศพรก็ยังมีหลอดเลือดตีบประมาณร้อยละ<br />
50-60 อยู่อีกตำาแหน่งหนึ่ง ซึ่งยังไม่จำาเป็นต้องทำา<br />
อะไร เพียงแต่ต้องรับประทานยาต้านเกล็ดเลือด<br />
และยาลดไขมันในเลือดอย่างต่อเนื่อง เพราะการ<br />
ควบคุมไขมันได้ดีจะทำาให้โอกาสเกิดภาวะหัวใจ<br />
ขาดเลือดน้อยลงไปถึงกว่าร้อยละ 30<br />
ต้องทำอย่างไรเมื่ออยู่ในกลุ่มเสี่ยง<br />
โรคนี้เป็นได้ทุกวัย แต่ถ้าคุณเป็นผู้หญิงวัย<br />
หมดประจำาเดือน มีประวัติครอบครัวเป็นโรค<br />
หัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือมี<br />
พฤติกรรมเสี่ยง เช่น ไม่ออกกำาลังกาย เครียด<br />
สูบบุหรี่ ทั้งหมดนี้ก็มีโอกาสที่จะเกิดภาวะกล้าม<br />
เนื้อหัวใจตายได้สูง ฉะนั้น ต้องหมั่นสังเกตตัวเอง<br />
ว่ามีอาการเหนื่อยง่ายผิดปกติ หรือเจ็บแน่น<br />
หน้าอกเวลาออกแรงหรือไม่ ถ้ามี ก็ควรเข้ารับ<br />
การตรวจประเมินสุขภาพเพื่อให้แพทย์ดูว่ามี<br />
ความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน และจะป้องกันหรือ<br />
ลดความเสี่ยงนี้ได้อย่างไร<br />
21
+++++ M.D. Focus<br />
รู้จักกับ<br />
แพทย์บำรุงราษฎร์<br />
ส่วนหนึ่งของทีมแพทย์โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ที่มากด้วยทักษะ<br />
และประสบการณ์ซึ่งพร้อมจะดูแลคุณอย่างรอบด้าน<br />
ผศ.พญ.ธรรมบวร เนติ<br />
วิสัญญีแพทย์<br />
ผศ.พญ.ธรรมบวร สำเร็จการศึกษาจากคณะ<br />
แพทยศาสตร์ (เกียรตินิยมอันดับ 1) ศิริราชพยาบาล<br />
มหาวิทยาลัยมหิดล ก่อนไปศึกษาต่อที่ University<br />
of California Los Angeles ประเทศสหรัฐอเมริกา<br />
ในสาขาการระงับความรู้สึกสำหรับการผ่าตัดหัวใจ<br />
ผู้ใหญ่และการผ่าตัดเด็กหัวใจพิการแต่กำเนิด<br />
แล้วจึงกลับมาเป็นอาจารย์ที่ศิริราชราว 10 ปี<br />
ก่อนจะย้ายมาร่วมงานกับบำรุงราษฎร์ คุณหมอ<br />
เป็นหนึ่งในทีมแพทย์ผู้อยู่เบื้องหลังการผ่าตัดรักษา<br />
โรคหัวใจให้กับเด็กๆ กว่า 700 คนภายใต้โครงการ<br />
รักษ์ใจไทยมาโดยตลอด ปัจจุบันคุณหมอยังดำรง<br />
ตำแหน่งหัวหน้ าแผนกวิสัญญีของบำรุงราษฎร์อีกด้วย<br />
บทบาทและองค์ความรู้ที่จำเป็น<br />
ของวิสัญญีแพทย์<br />
บทบาทหลักคือทำงานร่วมกับศัลยแพทย์ในการ<br />
นำพาผู้ป่วยผ่านการผ่าตัดไปได้อย่างปลอดภัย<br />
และมีภาวะแทรกซ้อนน้อยที่สุด โดยต้องมีความรู้<br />
ทางอายุรกรรม มีความรู้ว่าการผ่าตัดจะมีผล<br />
กระทบต่อผู้ป่วยอย่างไร ต้องเลือกเทคนิควิธีระงับ<br />
ความรู้สึก ชนิดและปริมาณยาที่ใช้อย่างละเอียด<br />
ต้องมีความรู้ในการเฝ้าระวังเพื่อประคับประคอง<br />
ให้ทุกๆ อวัยวะได้รับเลือดและออกซิเจนอย่าง<br />
เพียงพอ มีความรู้ด้านเวชบำบัดวิกฤต มีทักษะ<br />
ขั้นสูงสุดของการช่วยฟื้นคืนชีพ รู้กายวิภาคทาง<br />
หายใจ กระดูกสันหลัง และทางเดินของเส้นประสาท<br />
ต่างๆ ที่จะทำการระงับความรู้สึก<br />
การรักษาที่รู้สึกประทับใจ<br />
เคยมีผู้ป่วยรายหนึ่งเป็นนักศึกษาหญิงประสบ<br />
อุบัติเหตุกระดูกสันหลังคอหักแขนขาทั้ง 2 ข้างขยับ<br />
ไม่ได้เลยในทันที เพียงแต่หายใจได้และพูดได้<br />
ซึ่งการบาดเจ็บรุนแรงขนาดนี้ โอกาสที่ผู้ป่วยจะ<br />
กลับมาขยับแขนขาได้มีต ่ำมาก และมักเสียชีวิต<br />
ในเวลาต่อมา แม้จะลำบากใจแต่แพทย์จำเป็น<br />
ต้องให้ข้อมูลแก่คุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อซึ่งเป็นผู้<br />
ขับรถในครั้งนั้นถึงกับร้องไห้ออกมาต่อชะตากรรม<br />
ของลูกสาว<br />
การผ่าตัดซ่อมยึดกระดูกคออย่างเร็วที่สุดเป็น<br />
โอกาสเดียวแม้ความหวังจะริบหรี่ในยามนั้นจำได้<br />
ว่าตัวเองคิดถึงลูกสาวที ่มีอายุใกล้เคียงกับผู้ป่วย<br />
และเข้าใจถึงหัวอกของคุณพ่อคุณแม่ การผ่าตัด<br />
ผ่านไปด้วยดี อีก 1 ปีต่อมาผู้ป่วยกลับมาหา<br />
คุณหมอผ่าตัด เป็นหญิงสาวสวยแทบไม่เหลือ<br />
ความผิดปกติอยู่เลย<br />
มีเหตุการณ์มากมายในชีวิตการทำงานที่ทำให้<br />
คิดเสมอว่า การทุ่มเทในวิชาชีพของเราเป็นการได้<br />
สะสมบุญทุกๆ วัน ไม่ต้องไปทำบุญที่อื่น ทำในที่<br />
ทำงานของเรานี่แหละ<br />
ปรัชญาในการทำงาน<br />
ผู้ป่วยต้องมาก่อนเสมอค่ะ สิ่งนี้อยู่ในใจตลอด<br />
เวลา บำรุงราษฎร์มีโครงสร้างการบริหารที่ให้ความ<br />
สำคัญต่อคุณภาพและความปลอดภัยของผู้ป่วย<br />
เป็นอันดับแรก ซึ่งตรงกับปรัชญาการท ำงานของตัวเอง<br />
ศ.นพ.รุ่งโรจน์ พิทยศิริ<br />
อายุรแพทย์ผู้เชี ่ยวชาญด้าน<br />
ประสาทวิทยา – โรคพาร์กินสัน<br />
หลังสำเร็จการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิตจาก<br />
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.นพ.รุ่งโรจน์ ได้รับ<br />
วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญและปริญญาบัตรผู้ทรงคุณวุฒิ<br />
สาขาอายุรศาสตร์ของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์<br />
แห่งกรุงลอนดอนและสาธารณรัฐไอร์แลนด์<br />
รวมถึงได้รับวุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญสาขาจิตวิทยา<br />
22<br />
และประสาทวิทยาจากประเทศสหรัฐอเมริกา<br />
ปัจจุบัน ศ.นพ.รุ่งโรจน์เป็นอาจารย์พิเศษทั้งที่<br />
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, University of California,<br />
Los Angeles และ Juntendo University Hospital<br />
ประเทศญี่ปุ่น<br />
เหตุใดจึงสนใจสาขา movement disorder<br />
สมัยนั้นสาขานี ้เป็นสาขาที่ค่อนข้างท้าทาย<br />
เพราะยังใหม่มาก หลายคนยังคิดว่าพาร์กินสัน<br />
เป็นโรคที่น่ากลัว ถ้าเป็นแล้วอีกไม่กี่ปีก็ต้องนอน<br />
ติดเตียง ยารักษาก็มีไม่กี่ตัว แต่ผมกลับรู้สึก<br />
อยากเรียน เพราะว่าเราได้เห็นการเปลี่ยนแปลง<br />
ของผู้ป่วยอย่างชัดเจนว่าถ้าคุณรักษาเขาได้ดี<br />
เขาจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้<br />
ปัจจุบันวิธีการรักษาเปลี่ยนแปลง<br />
ไปอย่างไร<br />
เมื่อก่อนหากผู้ป่วยตัวสั่นเพียงเล็กน้อยแพทย์มัก<br />
จะบอกว่ายังไม่ต้องรักษา รอให้มีอาการเยอะๆ แล้ว<br />
ค่อยให้ยา แต่ในช่วง 10 ปีมานี้แนวทางการรักษา<br />
โรคพาร์กินสันมีประสิทธิภาพมากขึ้น มียาจำนวน<br />
มากขึ้น มีเทคนิคการผ่าตัดอย่างการผ่าตัดสมอง<br />
ส่วนลึกที่ก้าวหน้าแม้จะยังเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด<br />
แต่ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพได้นาน<br />
กว่า 20 ปี จากเมื่อก่อน 5 ปีก็ต้องนั่งรถเข็นแล้ว<br />
หลักคิดในการทำงาน<br />
ต้องมุ่งมั่นและจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ตัวเองอยาก<br />
จะทำ แต่ก่อนที่จะมีความมุ่งมั่น คุณต้องมีความ<br />
ชอบในสิ่งนั้นอย่างจริงจังก่อน ถ้าคุณไม่ชอบ<br />
คุณก็ไม่อยากทำ ไม่อยากจะจดจ่อกับสิ่งนั้น<br />
ความคิดสร้างสร้างสรรค์ก็ไม่เกิด และทำให้ไม่มี<br />
ผลงานในที่สุด ผมโชคดีที่ได้เจอในสิ่งที่ชอบ<br />
แล้วพยายามหาโอกาสที่จะได้ทำสิ่งนั้น ที่สำคัญ<br />
คือต้องขยัน ผมเชื่อว่าอาชีพแพทย์ต้องขยัน<br />
ต้องทำจนเชี่ยวชาญ อะไรที่ยังไม่รู้ก็ต้องถามผู้รู้
พญ.รสนีย์ วัลยะเสวี<br />
อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบ<br />
ต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิสม<br />
พญ.รสนีย์จบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์<br />
ศิริราชพยาบาล ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 ก่อนจะ<br />
ไปทำงานวิจัยและศึกษาต่อทางด้านโรคระบบ<br />
ต่อมไร้ท่อที่ Howard University Hospital และ<br />
Mayo Clinic รัฐมินนิโซตา สหรัฐอเมริกา เมื่อจบ<br />
งานวิจัยแล้วจึงสอบอเมริกันบอร์ดและกลับมา<br />
ร่วมงานกับบำรุงราษฎร์ในปี 2546 หลังใช้เวลา<br />
ในต่างประเทศนานถึง 14 ปี<br />
ผศ.พญ.ศริญญา ภูวนันท์<br />
อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ –<br />
ภาวะหัวใจล้มเหลวและปลูกถ่ายหัวใจ<br />
หลังสำเร็จการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิต<br />
(เกียรตินิยม) และแพทย์ประจำบ้านสาขา<br />
อายุรศาสตร์ทั่วไป จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์<br />
ผศ.พญ.ศริญญาได้เลือกศึกษาต่อเฉพาะทาง<br />
ในสาขาอายุรศาสตร์หัวใจ ที่คณะแพทยศาสตร์<br />
ศิริราชพยาบาล สาขาคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ<br />
จาก Mayo Clinic และ Cleveland Clinic<br />
สหรัฐอเมริกา และสาขาภาวะหัวใจล้มเหลวและ<br />
อายุรศาสตร์การปลูกถ่ายหัวใจ จาก University<br />
of Florida สหรัฐอเมริกา นับเป็นแพทย์เพียง 1 ใน<br />
การทำงานของแพทย์โรคระบบต่อมไร้ท่อ<br />
แพทย์ในปัจจุบันต้องหมั่นอัพเดทความรู้และ<br />
ตามโรคให้ทัน และเนื่องจากเบาหวานเป็นโรค<br />
เรื้อรัง การดูแลผู้ป่วยจึงต้องต่อเนื่อง และผู้ป่วย<br />
ก็ต้องให้ความร่วมมือ การรักษาจึงจะได้ผลดี<br />
ในการรักษาหมอจะซักประวัติ รูปแบบการใช้<br />
ชีวิต และประวัติการใช้ยาอย่างละเอียด จากนั้น<br />
จะอธิบายผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ แผนการ<br />
รักษา รวมทั้งผลข้างเคียงหรือข้อควรระวังของยา<br />
ที่สั่งจ่าย และเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยซักถาม บางท่าน<br />
มาตอนที่ยังไม่มีโรคแทรกซ้อน หมอจะบอกเลยว่า<br />
หมอตั้งใจรักษานะ ขอให้คุณร่วมมือเพื่อช่วยลด<br />
ภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ หรือต้องตัดขา<br />
ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเข้าใจและให้ความร่วมมือ<br />
การรักษาที่รู้สึกประทับใจ<br />
ไม่ได้เป็นผู้ป่วยของแผนกต่อมไร้ท่อแต่เป็นเคส<br />
ชาวต่างชาติ อายุประมาณ 18-19 ปี มาประสบ<br />
อุบัติเหตุรถชนทางภาคใต้ โดยที่เขาเป็นโรค<br />
ฮีโมฟิเลีย (โรคเลือดออกง่ายหยุดยาก) อยู่ก่อน<br />
ทำให้เลือดออกภายในช่องท้องเยอะมาก แต่<br />
เนื่องจากโรงพยาบาลต่างจังหวัดไม่มีสารที่ท ำให้เลือด<br />
4 ของประเทศไทยที่ผ่านการฝึกอบรมทางคลินิก<br />
เฉพาะทางด้านนี้<br />
แรงบันดาลใจและการทำงาน<br />
จุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจเรียนต่อในสาขาภาวะ<br />
หัวใจล้มเหลวและการปลูกถ่ายหัวใจเกิดขึ้นช่วงที่<br />
ยังเรียนอยู่ศิริราช มีนักศึกษาแพทย์ปี4 เกิดภาวะ<br />
หัวใจล้มเหลวชนิดมีภาวะหัวใจอักเสบแล้วช็อก<br />
ต้องเข้า CCU ในวันที่อยู่เวรพอดี อาการของน้อง<br />
รุนแรงมากแต่ตอนนั้นเรายังไม่มีแพทย์ที่มีความ<br />
เชี่ยวชาญทางด้านนี้ หากไม่ได้เครื่องช่วยพยุง<br />
หัวใจ (VAD) ไว้ก็คงไม่รอด ทำให้คิดว่าบ้านเรายัง<br />
ขาดแคลนแพทย์สาขานี้อยู่มาก<br />
ส่วนสาขาอายุรศาสตร์การปลูกถ่ายหัวใจก็เช่น<br />
เดียวกันคือยังไม่มีแพทย์ทางด้านนี้มากนัก ที่ผ่าน<br />
มาการปลูกถ่ายหัวใจมักเริ่มต้นและอยู่ภายใต้การ<br />
ดูแลของศัลยแพทย์ ขณะที่ในสหรัฐอเมริกาจะ<br />
เป็นการดูแลร่วมกันระหว่างอายุรแพทย์โรคหัวใจ<br />
กับศัลยแพทย์หัวใจ โดยอายุรแพทย์โรคหัวใจจะ<br />
เป็นผู้ประเมินว่าผู้ป่วยจ ำเป็นต้องได้รับการปลูกถ่าย<br />
หรือเปลี่ยนหัวใจหรือไม่ก่อนจะส่งต่อให้ศัลยแพทย์<br />
หัวใจ ซึ่งคิดว่าเป็นประโยชน์กับผู้ป่วยอย่างมาก<br />
แข็งตัว เมื่อผ่าตัดเลือดก็ออกไม่หยุด จนผู้ป่วย<br />
ช็อกและมีช่วงที่หัวใจหยุดเต้น ญาติทางอเมริกา<br />
จึงติดต่อผ่าน Mayo Clinic ซึ่งมีเครือข่ายของ<br />
แพทย์ซึ่งเป็นศิษย์เก่าอยู่ทั่วโลก และหมอก็ได้รับ<br />
การติดต่อให้ช่วย<br />
เวลานั้นเป็นช่วงค่ำๆ ของวันเสาร์ เราส่ง air<br />
ambulance ไปเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมาที่ห้องฉุกเฉิน<br />
ในเวลาเพียง 45 นาที มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถึง<br />
9 ท่านเข้ามาดูแลผู้ป่วย ทั้งคุณหมอ ICU คุณหมอ<br />
โรคหัวใจ คุณหมอทางโรคเลือดภาวะโรคฮีโมฟีเลีย<br />
คุณหมอไต คุณหมอโรคติดเชื้อและศัลยแพทย์<br />
เจ้าหน้าที่ทุกคนช่วยกันดูแลจนกระทั่งผู้ป่วย<br />
สามารถเดินทางกลับสหรัฐอเมริกาได้อย่าง<br />
ปลอดภัย แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของ<br />
บำรุงราษฎร์ที่สามารถช่วยผู้ป่วยในทุกๆ ด้าน<br />
การร่วมงานกับบำรุงราษฎร์<br />
บำรุงราษฎร์มีบุคลากรที่มีความสามารถและ<br />
เครื่องมือที่ทันสมัย เราทำงานกันเป็นทีมทำให้การ<br />
ทำงานง่ายขึ้นและผลดีตกอยู่กับผู้ป่วย ทุกฝ่าย<br />
ให้การสนับสนุน ปัญหาต่างๆ ได้รับการใส่ใจแก้ไข<br />
ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น<br />
การดูแลผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว<br />
การดูแลผู้ป่วยต้องอาศัยการประเมินของ<br />
แพทย์ที่แม่นยำและการติดตามที่ใกล้ชิด ปัจจุบัน<br />
การรักษามีความก้าวหน้ามาก นอกจากยาแล้ว<br />
ยังมีการรักษาด้วยเครื่องช่วยการทำงานของหัวใจ<br />
ต่างๆ การผ่าตัดใส่เครื่องพยุงหัวใจและการผ่าตัด<br />
ปลูกถ่ายหัวใจ อย่างไรก็ตาม ความรู้ความเข้าใจ<br />
และการปฎิบัติได้จริงเกี่ยวกับการดูแลตัวเองของ<br />
ผู้ป่วยมีความสำคัญมากที่สุด เช่น การชั่งน้ำหนัก<br />
ทุกวันเพื่อติดตามสภาวะน้ำคั่ง การรับประทาน<br />
อาหารที่โซเดียมต่ำ การออกกำลังกาย การทราบ<br />
อาการที่ต้องระวัง ความสำคัญของยา และการ<br />
มาพบแพทย์ตามนัด เป็นต้น<br />
การร่วมงานกับบำรุงราษฎร์<br />
บำรุงราษฎร์มีระบบการจัดการที่ดี มีอุปกรณ์<br />
การแพทย์ที่ทันสมัยและรองรับการท ำงานของแพทย์<br />
ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางได้ มีการดูแลผู้ป่วย<br />
เป็นทีมแบบสหสาขาวิชาชีพโดยที่ทุกฝ่ายสนับสนุน<br />
การทำงานของกันและกัน เรียกว่าสมบูรณ์แบบมาก<br />
ตัวเองรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ทำงานที่นี่ค่ะ<br />
23
พื้นที่ประชาสัมพันธ์พิเศษ<br />
ฟิตร่างกาย<br />
เติมความแอคทีฟ<br />
และอ่อนเยาว์ให้ตนเอง<br />
แม้ไม่มีใครสามารถย้อนเวลากลับไปได้<br />
แต่เราทุกคนสามารถทำให้เข็มนาฬิกาแห่งอายุ<br />
เดินช้าลงได้ไม่ยาก เพียงแค่...ออกกำลังกาย<br />
ก<br />
ารออกกำาลังกายเป็นประจำาเป็นสิ่ง<br />
จำาเป็น หากคุณอยากมีสุขภาพแข็งแรง<br />
มีพลัง และดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ<br />
“ธรรมชาติสร้างคนเรามาให้ต้องมีการเคลื่อนไหว<br />
คนที่ออกแรงและเคลื่อนไหวอยู่เสมอมีแนวโน้ม<br />
ที่จะบริหารจัดการนำ้ำหนักของตัวเองได้ดีกว่า<br />
อีกทั้งการออกกำาลังกายยังช่วยลดผลกระทบจาก<br />
โรคประจำาตัวและโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ช่วยเสริม<br />
สร้างความคล่องแคล่ว ยืดหยุ่น ทนทานให้กับ<br />
ร่างกาย และช่วยกระตุ้นสมอง ซึ่งจะเป็นเกราะ<br />
ป้องกันอาการความจำาเสื่อม การลดลงของระดับ<br />
การรับรู้ทางสติปัญญา และภาวะสมองเสื่อม<br />
อีกด้วย” พญ.วรรณวิพุธ สรรพสิทธิ์วงศ์ แพทย์ด้าน<br />
เวชศาสตร์ชะลอวัย ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์<br />
อธิบายถึงประโยชน์มากมายของการออกกำาลังกาย<br />
อย่ากลัวที่จะเริ่มต้น<br />
สำาหรับใครที่ห่างหายจากการออกกำาลังกาย<br />
ไปนาน สิ่งที่ยากที่สุดมักเป็นการหา ‘จุดเริ่มต้น’<br />
ในการออกกำาลังกายนั่นเอง ซึ่งพญ.วรรณวิพุธ<br />
แนะนำาว่าอย่ากลัวที่จะเริ่มต้น และหากยังไม่ทราบ<br />
หรือไม่มั่นใจว่าตนควรจะออกกำาลังกายอย่างไร<br />
ก็อาจลองเริ่มจากโปรแกรมสอนออกกำาลังกาย<br />
ที่ได้รับความนิยม เช่น T25, The seven-minute<br />
workout หรือ The 10,000 steps ก่อนได้<br />
ส่วนผู้ที่ต้องการเริ่มต้นอย่างมั่นใจศูนย์ส่งเสริม<br />
สุขภาพไวทัลไลฟ์มีโปรแกรมการออกกำาลังกาย<br />
เฉพาะบุคคลที่ออกแบบมาให้ผู้เข้ารับคำาปรึกษา<br />
ทำาตามได้อย่างสะดวกใจและง่ายดาย โดย<br />
พญ.วรรณวิพุธ กล่าวว่า “ขั้นตอนแรกซึ่งสำาคัญ<br />
ที่สุดคือ การพูดคุยทำาความรู้จักกับผู้ที่เข้ามา<br />
ปรึกษาก่อน เพื ่อทำาความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพ<br />
ร่างกายและวิถีชีวิตของเขา ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูก<br />
นำาไปวิเคราะห์หาจุดแข็งและจุดอ่อนเฉพาะบุคคล<br />
ก่อนนำามาสร้างแผนการสร้างเสริมสมรรถภาพ<br />
ทางร่างกายให้เหมาะสมกับแต่ละคนโดยเฉพาะ”<br />
ออกกำลังกายด้วยวิถีผสมผสาน<br />
เมื่อเริ่มต้นออกกำาลังกายแล้ว พญ.วรรณวิพุธ<br />
แนะนำาว่า ควรออกกำาลังกายให้หลากหลายรูปแบบ<br />
เพราะนอกจากจะช่วยไม่ให้เบื่อหน่ายแล้ว ยังเป็น<br />
การเสริมสร้างสมรรถภาพของร่างกายให้รอบด้าน<br />
อีกด้วย เช่น เล่นฟิตเนสเพื ่อเผาผลาญไขมัน<br />
ส่วนเกินและเสริมความแข็งแกร่งให้แก่กล้ามเนื้อ<br />
พร้อมกับออกกำาลังกายอย่างอื่นเพื่อสร้างความ<br />
ทนทานรวมถึงความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อไปด้วย<br />
เช่น ปั่นจักรยาน วิ่งจ็อกกิง ขณะที่การว่ายนำ้ำหรือ<br />
เดินก็เหมาะสมและปลอดภัยกว่าสำาหรับผู้ที่มี<br />
อาการบาดเจ็บ ปวดข้อกระดูก หรือผู้ที่มีนำ้ำหนัก<br />
ตัวค่อนข้างมาก<br />
“อีกหนึ่งรูปแบบของการออกกำาลังกายที่ลืม<br />
ไม่ได้คือ การทำางานบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำาสวน<br />
ล้างรถ หรือการปัดกวาดเช็ดถูต่างๆ ก็นับเป็น<br />
การออกกำาลังกายด้วยเช่นกัน”<br />
สร้างแรงบันดาลใจ<br />
สำาหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มออกกำาลังกาย การออก<br />
กำาลังกายอย่างไม่มีจุดหมายอาจบั่นทอนความ<br />
ตั้งใจและกำาลังใจลงไปได้มาก ดังนั้นควรตั้ง<br />
เป้าหมายในการออกกำาลังกาย เช่น เพื่อลด<br />
นำ้ำหนัก ลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี หรือ<br />
ลดความดันโลหิต เพื่อสร้างแรงบันดาลให้กับ<br />
ตัวเองและพยายามทำาให้สำาเร็จ<br />
“นอกจากนี้ เรายังสามารถทำาให้การออก<br />
กำาลังกายเป็นกิจกรรมกลุ่มหรือเป็นพื้นที่ของการ<br />
พบปะพูดคุยกับเพื่อนฝูงหรือสมาชิกในครอบครัว<br />
ซึ่งวิธีนี้ก็จะช่วยให้การออกกำาลังกายน่าสนใจ<br />
มากขึ้นได้” พญ.วรรณวิพุธ แนะนำาในท้ายที ่สุด<br />
ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ เป็นส่วนหนึ่งของบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน)<br />
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ www.vitallife-international.com หรือโทร 0 2667 2340<br />
24
+++++ <strong>Health</strong> Briefs<br />
9 ใน 10 ของโรคหลอดเลือดสมอง<br />
ป้องกันได้<br />
หลายคนทราบดีว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็น<br />
สาเหตุลำดับต้นๆ ของการเสียชีวิตและทุพพลภาพ<br />
ของประชากรทั่วโลก แต่คุณทราบหรือไม่ว่าอันที่<br />
จริงแล้ว ร้อยละ 90 ของโรคนั้นสามารถป้องกันได้<br />
โรคหลอดเลือดสมองเกิดจากสาเหตุหลักๆ 10<br />
ประการ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ไม่ออกกำลังกาย<br />
ไขมันในเลือดสูง รับประทานอาหารไม่ถูกหลัก<br />
โภชนาการ น้ำหนักเกิน สูบบุหรี่ เป็นโรคหัวใจ<br />
โรคเบาหวาน แอลกอฮอล์ และความเครียด ซึ่ง<br />
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้ทั้งสิ้น<br />
น่าสนใจว่าหากไม่มีสาเหตุเหล่านี้ โอกาสการเกิด<br />
โรคหลอดเลือดสมองจะลดลงได้มากน้อยเพียงใด<br />
นี่จึงเป็นที่มาของงานวิจัยที่สถาบันการแพทย์<br />
หลายแห่งทั่วโลกร่วมกันทำขึ้นภายใต้ชื่อ INTER-<br />
STROKE โดยเป็นการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง<br />
จำนวนเกือบ 27,000 คนจาก 32 ประเทศทั่วโลก<br />
ซึ่งผลปรากฏว่าความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยง<br />
ที่สำคัญที่สุดของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง<br />
หากกำจัดสาเหตุนี้ได้ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของ<br />
การเกิดโรคได้ถึงร้อยละ 48 และหากกำจัดได้ทั้ง<br />
10 สาเหตุ ก็เท่ากับลดโอกาสของการเป็นโรค<br />
หลอดเลือดสมองได้ถึงร้อยละ 90.7 ทีเดียว<br />
งานวิจัยชิ้นนี้จึงเป็นการยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า<br />
การปรับเปลี ่ยนพฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคเป็นการ<br />
ป้องกันโรคหลอดเลือดสมองที่ต้นเหตุซึ่งได้ผลดี<br />
ที่สุดอย่างแน่นอน<br />
26<br />
ไม่อยากเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ<br />
อย่าปล่อยให้ตัวเองเหงา<br />
บทความล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Heart<br />
ของอังกฤษระบุว่า ความโดดเดี่ยวอ้างว้างและ<br />
แยกตัวจากสังคมนั้นอาจทำให้คุณเป็นโรคหัวใจ<br />
และโรคหลอดเลือดสมองได้<br />
นักวิจัยจาก University of York ประเทศ<br />
อังกฤษ ใช้วิธีวิเคราะห์งานวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรม<br />
การเข้าสังคมจำนวน 23 ชิ้นครอบคลุมกลุ่ม<br />
ตัวอย่างมากถึง 181,000 คน และพบว่าเมื่อเวลา<br />
ผ่านไป คนที่รู้สึกโดดเดี่ยวหรือชอบปิดกั้นตัวเอง<br />
จากโลกภายนอกมีโอกาสป่วยเป็นโรคหัวใจ<br />
มากกว่าร้อยละ 29 และมีโอกาสป่วยเป็นโรค<br />
หลอดเลือดสมองมากกว่าร้อยละ 32 เมื่อเทียบกับ<br />
คนที่มีเพื่อนมากและชอบสังสรรค์ ซึ่งเป็นตัวเลข<br />
ความเสี่ยงที่ใกล้เคียงกับการสูบบุหรี่หรือเป็น<br />
โรคอ้วนเลยทีเดียว<br />
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสภาพจิตใจนั้นส่งผลต่อ<br />
สุขภาพร่างกายโดยตรง โดยเฉพาะความเหงาซึ่ง<br />
นอกจากโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองแล้ว<br />
ยังเคยมีการศึกษากันว่าอาจเป็นสาเหตุให้ภูมิ<br />
คุ้มกันโรคอ่อนแอลง และทำให้ความดันโลหิต<br />
เพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย<br />
สมองหดตัวได้<br />
หากไม่เริ่มออกกำลังกาย<br />
เชื่อหรือไม่ว่าความเฉื่อยชาในช่วงวัยกลางคนนั้น<br />
ส่งผลต่อสมองยามสูงวัยของคุณได้อย่างคาดไม่ถึง<br />
งานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารNeurology<br />
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยง<br />
ระหว่างพฤติกรรมการออกกำลังกายของผู้ที่มีอายุ<br />
อยู่ในวัยกลางคนกับการหดตัวของสมองเมื่ออายุ<br />
มากขึ้น โดยนักวิจัยได้ติดตามกลุ่มตัวอย่างที่มี<br />
อายุเฉลี่ย 40 ปีจำนวน 1,100 คนเป็นเวลายาวนาน<br />
ถึง 20 ปี และพบว่าคนที่ไม่ค่อยได้ขยับร่างกาย<br />
ในวัยกลางคนนั้นมีเนื้อสมองที่หดเล็กลงเมื่อเทียบ<br />
กับคนที่ใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉง<br />
ทั้งนี้ นักวิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ไม่มีประวัติ<br />
ป่วยเป็นโรคหัวใจหรือมีภาวะสมองเสื่อมมาก่อน<br />
และให้ทุกคนเข้ารับการทดสอบความอดทนของ<br />
ระบบหายใจและไหลเวียนโลหิตด้วยการวิ่งบน<br />
สายพานไฟฟ้าแล้วจึงเก็บข้อมูลไว้เพื่อเปรียบเทียบ<br />
กับการทดสอบแบบเดียวกันกับคนกลุ่มเดียวกัน<br />
ในอีก 20 ปีต่อมา แต่ในครั้งหลังนี้นักวิจัยได้เพิ่ม<br />
การตรวจสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) และ<br />
ทดสอบการทำงานของสมองร่วมด้วย<br />
เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ก็มีงานวิจัย<br />
ที่ระบุว่าการออกกำลังกายแบบปานกลางอาจ<br />
เกี่ยวข้องกับการที่สมองแก่ตัวช้าลง<br />
ชัดเจนอย่างนี้แล้ว ลุกไปออกกำลังกายกันเถอะ
่<br />
+++++ Q & A<br />
ปัญหาสุขภาพจำเป็นต้องได้รับคำตอบจากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ<br />
เฉพาะทางเท่านั้น ไม่ว่าปัญหาของคุณคืออะไร <strong>Better</strong> <strong>Health</strong><br />
มีคำตอบที่คุณวางใจในความถูกต้องได้เสมอ<br />
Q: อยากขอคำแนะนำจากคุณหมอเกี่ยวกับการเลือกรับประทานสารให้ความหวาน<br />
แทนน้ำตาล เนื่องจากครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคเบาหวาน จึงอยากระวังไว้ก่อนค่ะ<br />
A: การใส่ใจดูแลเรื่องการรับประทานอาหารในกรณีที่ครอบครัวมีประวัติเป็นโรค<br />
เบาหวานเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่อันที่จริงแล้วอาหารของผู้ป่วยเบาหวานกับอาหารของผู้ที<br />
ไม่ได้เป็นเบาหวานคืออาหารแบบเดียวกัน หลักการอยู่ที่ต้องรู้จักเลือกรับประทาน เช่น<br />
ไม่รับประทานแป้งกับน้ำตาลมากเกินไป แต่ให้<br />
เน้นผัก ส่วนผลไม้ถ้าหวานมากก็รับประทาน<br />
น้อยชิ้น หรือแบ่งเป็นส่วนๆ วันละ 3-4 ครั้ง<br />
ไม่รับประทานทีเดียวในปริมาณมาก<br />
ส่วนสารให้ความหวานหรือที่เราเรียกว่าน้ำตาล<br />
เทียมนั้นเป็นวัตถุให้ความหวานที่ไม่ให้พลังงาน<br />
หรือให้น้อยมาก โดยตัวของมันเองสามารถ<br />
รับประทานได้โดยไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้น<br />
เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือมีโอกาสเสี่ยง<br />
จะเป็นเบาหวาน ปัจจุบันมีให้เลือกใช้หลายชนิด<br />
เช่น แซ็กคาริน (saccharin), แอสปาร์เทม<br />
(aspartame), ซูคราโลส (sucralose) และ<br />
หญ้าหวาน (stevia) แต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติและ<br />
รสชาติแตกต่างกันไป ให้ใช้ในปริมาณที่เหมาะสม<br />
เช่น ใส่ในชา กาแฟ เพียงเล็กน้อย ข้อควรระวัง<br />
เช่น ใช้ปรุงอาหารพวกขนมหวานแล้วเข้าใจว่า<br />
รับประทานแล้วไม่อ้วน ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด<br />
เพราะในอาหารนั้นยังมีส่วนประกอบอื่นๆ เช่น<br />
แป้งรวมอยู่ด้วย รับประทานแล้วก็อาจทำให้<br />
น้ำหนักเพิ่มหรือน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้<br />
พญ.รสนีย์ วัลยะเสวี<br />
อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบต่อมไร้ท่อ<br />
และเมตะบอลิสม<br />
Q: คุณพ่อวัย 75 ปี เริ่มมีอาการมือสั่นอย่างเห็นได้ชัด<br />
อาการแบบนี้เป็นปกติของผู้สูงอายุหรือเปล่าครับ?<br />
A: อาการสั่นที่เห็นได้ชัดเจนและมีอาการต่อเนื่อง<br />
เป็นเวลานาน ไม่มีอาการไหนที่ถือว่าปกติ ต้องดูว่า<br />
อาการสั่นนั้นเกิดจากโรคอะไร เพราะมีโรคในผู้สูงอายุ<br />
หลายโรคที่มีอาการสั่นซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นโรค<br />
พาร์กินสันเสมอไป<br />
อาการสั่นในโรคพาร์กินสันจะสังเกตได้ง่าย คือ<br />
จะเริ่มสั่นข้างเดียวก่อน โดยร้อยละ 70 เริ่มที่มือ<br />
อีกร้อยละ 30 เริ่มที่ขา บางรายริมฝีปากหรือคางสั่น<br />
แต่จะไม่สั่นทั้งศีรษะ นอกจากนี้อาการสั่นจะเกิด<br />
เฉพาะเวลาที่ผู้ป่วยอยู่เฉยๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย<br />
เช่น ขณะนั่งดูโทรทัศน์ แต่เมื่อขยับร่างกายยกมือขึ้น<br />
ปรากฏว่าอาการสั่นหายไป ซึ่งช่วงแรกๆ ผู้ป่วย<br />
อาจจะยังไม่รู้ตัว ฉะนั้นผู้สูงอายุที่มีอาการสั่นจน<br />
ตักอาหารรับประทานไม่ได้ ตักแล้วหก กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน<br />
ถ้าคุณพ่อมีอาการนานกว่า 6 เดือนแล้ว และอาการรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ควรพาท่าน<br />
มาพบแพทย์โดยด่วนครับ<br />
ศ.นพ.รุ่งโรจน์ พิทยศิริ<br />
อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา<br />
28
+++++ Bumrungrad News<br />
ผู้ป่วยโรคหัวใจชาวเวียดนามได้รับชีวิตใหม่ที่บำรุงราษฎร์<br />
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ประสบความสำเร็จในโครงการ ‘ผ่าตัดผู้ป่วย<br />
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดผู้ยากไร้ชาวเวียดนาม’ ซึ่งเป็นโครงการคัดเลือก<br />
ชาวเวียดนามที่มีฐานะยากจนและป่วยเป็นโรคหัวใจแต่กำเนิดมาเข้ารับการ<br />
ผ่าตัดหัวใจที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์<br />
โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี<br />
รวมถึงเพื ่อเป็นการเฉลิมฉลอง 40 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทาง<br />
การทูตระหว่างไทยกับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและในโอกาสที่<br />
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ดำเนินการมาครบ 36 ปี โดยคัดเลือกชาวเวียดนาม<br />
ผู้ยากไร้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดจำนวน 5 รายเพื่อเข้ารับการผ่าตัด<br />
ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในช่วงเดือนกรกฎาคม 2559<br />
ที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันผู้ป่วยทุกรายมีอาการดีขึ้นตามลำดับ และเดินทางกลับ<br />
ประเทศโดยสวัสดิภาพเป็นที่เรียบร้อยโดยสายการบินแอร์เอเชีย<br />
Mother’s Day 2016<br />
เป็นพ่อแม่ มหัศจรรย์ของการให้ชีวิต<br />
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์จัดงาน "Mom Little Secret"<br />
เป็นพ่อแม่ มหัศจรรย์ของการให้ชีวิต โดยเชิญคุณพ่อคุณแม่<br />
เข้าร่วมรับฟังเทคนิคการดูแลคุณแม่มือใหม่ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์<br />
จากคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาล พร้อมพูดคุย<br />
แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคุณลิเดีย-ศรัณรัชต์ ดีน และคุณโน้ต<br />
ณัฐกานต์ เตชะรัตนไชย (ประสพสายพรกุล) โดยภายในงานมี<br />
หัวข้อน่าสนใจที่คุณแม่ควรรู้ อาทิ การเตรียมตัว 40 สัปดาห์<br />
แห่งครรภ์คุณภาพ การคลอดธรรมชาติ-ผ่าคลอด วิธีไหนดีกับแม่<br />
และปลอดภัยกับลูก วิธีดูแลผิวพรรณคุณแม่ท้องให้สดใสและ<br />
ออกกำลังกายอย่างไรให้คุณแม่ฟิตแอนด์เฟิร์ม<br />
บำรุงราษฎร์ คลินิก ย่างกุ้ง เปิดอย่างเป็นทางการแล้ว<br />
บำรุงราษฎร์ คลินิก ย่างกุ้ง เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเป็นที่<br />
เรียบร้อยแล้ว โดยในระยะแรกเป็นการให้บริการ 5 ด้านด้วยกัน คือ บริการ<br />
ด้านสาธารณสุขระดับปฐมภูมิ การตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน บริการถ่ายภาพ<br />
ทางรังสี บริการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ และบริการนัดหมายแพทย์<br />
สำหรับผู้ที่จะเดินทางเพื่อเข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์<br />
กรุงเทพฯ ทั้งนี้การดูแลผู้ป่วยทุกขั้นตอนเป็นไปตามมาตรฐานของบำรุงราษฎร์<br />
ทุกประการ<br />
สำหรับงานเปิดคลินิกอย่างเป็นทางการ บำรุงราษฎร์ คลินิก ย่างกุ้ง<br />
ได้รับเกียรติจากคุณพิษณุ สุวรรณะชฏ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงย่างกุ้ง<br />
คุณเดนนิส บราวน์Corporate CEO (ตำแหน่งขณะนั้น) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์<br />
พร้อมด้วย Dr. Mo Nyan Kyaw (Marcus) และคุณ Bruce Mo Ye Kyaw<br />
ผู้บริหารบริษัท ย่างกุ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล เมดิคอล เซอร์วิส พร้อมแขก<br />
ผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก<br />
30