Better Health 21
The magazine for patients and friends of Bumrungrad International Hospital, Thailand.
The magazine for patients and friends of Bumrungrad International Hospital, Thailand.
- Page 2 and 3: ข อต้อนรับสู
- Page 4 and 5: ผู้ป่วยส่วน
- Page 6 and 7: ส่วนโรคเบาห
- Page 8 and 9: CHARITY มูลนิธิโร
- Page 10 and 11: นพ. วัชรพงศ์
- Page 12 and 13: พญ. ประภาพร พ
- Page 14 and 15: หัวใจตีบ หมอ
- Page 16: HEALTH BRIEFS ลดความเ
ข<br />
อต้อนรับสู่<br />
W e l c o m e<br />
<strong>Better</strong> <strong>Health</strong> นิตยสารสำหรับผู้มีอุปการคุณ<br />
ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล <br />
<strong>Better</strong> <strong>Health</strong> ฉบับนี้ เราให้ความสำคัญกับโรค<br />
เรื้อรังที่บ่อนทำลายสุขภาพของคุณ โดยในหน้า 4 เราพูดถึง<br />
โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งทั้งสองโรคนี้มีลักษณะ<br />
เฉพาะที่เหมือนกันหลายประการ เริ่มจากปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้<br />
เกิดโรค ไม่ว่าจะเป็นความอ้วน พฤติกรรมการบริโภคที่ไม่เหมาะสม<br />
หรือประวัติครอบครัว นอกจากนี้จำนวนผู้ป่วยของทั้งสองโรคทั้งใน<br />
ประเทศไทยและทั่วโลกต่างก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง<br />
และท้ายที่สุด ทั้งสองโรคสามารถควบคุมได้ด้วยการปฏิบัติตามคำ<br />
แนะนำของแพทย์ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และการ<br />
ดูแลตนเองด้วยทัศนคติในเชิงบวกของผู้ป่วย ซึ่งก็คือการยอมรับ<br />
ในการ “อยู่ร่วม” กับโรคแทนที่จะรู้สึก “ทรมาน” จากอาการเจ็บป่วย<br />
ที่กินเวลายาวนาน<br />
งานวิจัยได้เพิ่มความรู้ ความเข้าใจของเราต่อโรคเบาหวานและ<br />
ความดันโลหิตสูง รวมถึงส่งผลต่อความสำเร็จในการควบคุมและ<br />
จัดการกับโรคเรื้อรัง ทั้งนี้ การดูแลทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน<br />
อย่างสม่ำเสมอควบคู่กับการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เหมาะสม<br />
เป็นหัวใจสำคัญในการควบคุมโรค แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ ความมี<br />
วินัยในการดูแลตัวเองของผู้ป่วยที่แม้จะทำได้ยากแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไป<br />
ไม่ได้ บทสัมภาษณ์ของคุณขจรเกียรติ คงวณิชกิจเจริญ ในหน้า <br />
16 จึงเป็นตัวอย่างอันดีที่ชี้ให้เห็นว่า โรคเรื้อรังไม่ได้ปิดกั้นผู้ป่วย<br />
จากการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข <br />
นอกจากนี้ ในหน้า 12 ยังมีบทความพิเศษเนื่องในโอกาสฉลอง<br />
ครบรอบ 30 ปีของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ที่ <strong>Better</strong> <strong>Health</strong><br />
ได้ขอให้แพทย์ เจ้าหน้าที่ และผู้ป่วยนับตั้งแต่ยุคบุกเบิก มาร่วมย้อน<br />
รำลึกถึงความหลังสุดประทับใจที่มีต่อโรงพยาบาล ที่ได้กลายเป็น<br />
ตำนานแห่งความสำเร็จตลอด 30 ปีที่ผ่านมา<br />
และเช่นเคย หากคุณมีข้อแนะนำ หรือคำติชมใดๆ ส่งมาได้ที่<br />
betterhealth@bumrungrad.com เรายินดีน้อมรับด้วยความ<br />
ขอบคุณ สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีโดยทั่วกันค่ะ <br />
<br />
<br />
<br />
พญ. จามรี เชื้อเพชระโสภณ<br />
ผู้อำนวยการด้านการแพทย์<br />
Contributing Editor<br />
<strong>Better</strong> <strong>Health</strong><br />
นิตยสาร <strong>Better</strong> <strong>Health</strong> เป็นนิตยสารรายสามเดือนของบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อแจกจ่ายเป็นการ<br />
ภายใน จัดทำและจัดพิมพ์โดย บริษัท โอกินส์ แอนด์ สโตน จำกัด เลขที่ 16 อโศกคอร์ท ห้อง 2A ถนนสุขุมวิท <strong>21</strong> (อโศก)<br />
แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ โทร. 0 2261 1<strong>21</strong>1<br />
2010 ข้อเขียนและรูปภาพทุกชิ้นในนิตยสารนี้เป็นลิขสิทธิ์ของบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) ห้ามพิมพ์ซ้ำ<br />
หรือกระทำการใด ๆ ที่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท โรงพยาบาล<br />
บำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) โทร: 0 2667 1000<br />
ข้อความในเนื้อที่โฆษณาของนิตยสารฉบับนี้ที่มิได้เป็นของบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) ถือเป็นความเห็นส่วนตัว<br />
ของเจ้าของผลิตภัณฑ์และบริการ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ฯ ไม่มีเจตนาให้การรับรองคุณภาพสินค้า บริการ หรือข้อความ<br />
ที่ปรากฏแต่อย่างใด<br />
C o n t e n t s<br />
4 Hypertension & Diabetes<br />
รู้ทัน เข้าใจ อยู่อย่างปลอดภัยกับโรคความดันและเบาหวาน<br />
<br />
9 Chronic kidney disease<br />
โรคไตเรื้อรัง อีกหนึ่งโรคที่ต้องระวัง<br />
<br />
10 Charity<br />
ภาพศิลป์...จากใจหมอ...สู่ใจเด็ก<br />
<br />
12 Anniversary<br />
ปีบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล<br />
<br />
16 Interview<br />
อยู่อย่างไรให้เป็น “นาย” ของโรค<br />
<br />
20 Q & A<br />
<br />
22 <strong>Health</strong> Briefs<br />
4 10 16<br />
12<br />
ติดต่อโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล<br />
โทรศัพท์: 2667 1000<br />
โทรสาร:<br />
2667 2525<br />
นัดแพทย์: 0 2667 1555<br />
เว็บไซต์: www.bumrungrad.com
HYPERTENSION & DIABETES<br />
รู้ทัน เข้าใจ อยู่อย่างปลอดภัย<br />
กับโรคความดันและเบาหวาน<br />
ว่ากันว่าเราทุกคนต้องรู้จักผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวานอย่างน้อย<br />
หนึ่งคน ทั้งสองโรคเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญและมีการรณรงค์ให้<br />
ความรู้ และป้องกันเสมอมา แต่จำนวนผู้ป่วยกลับไม่ได้ลดน้อยลงเลย<br />
เมื่อต้นปี 2553 กระทรวงสาธารณสุขไทยเปิดเผยว่า คนไทยป่วย<br />
ด้วย 5 โรคไม่ติดต่อเรื้อรังอันตราย เพิ่มขึ้นนาทีละ 1 คน โดยในปี <br />
2551 พบผู้ป่วยสะสมจำนวนกว่า 2 ล้านคน และคาดว่ายังมีผู้ป่วย<br />
ซ่อนเร้นอีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อายุต่ำกว่า 40 ปีที่มี<br />
แนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ<br />
<strong>Better</strong> <strong>Health</strong> ฉบับนี้จึงเน้นไปที่โรคเรื้อรังที่สำคัญ คือ โรคความดัน<br />
โลหิตสูง และโรคเบาหวาน ซึ่งไม่เพียงมีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากเท่านั้น<br />
แต่ยังเป็นสาเหตุที่นำไปสู่โรคแทรกซ้อน<br />
ร้ายแรงอันเป็นภัยแก่ชีวิตอีกหลายโรค<br />
<br />
ความดันโลหิตสูง<br />
ความดันโลหิต เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ<br />
ร่างกายมนุษย์ ความดันโลหิตเกิดขึ้นเมื่อหัวใจ<br />
บีบตัวเพื่อสูบฉีดเลือดผ่านหลอดเลือดแดง<br />
ไปยังส่วนต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ความดันจะ<br />
เพิ่มขึ้นเมื่อหัวใจบีบตัว และลดลงเมื่อหัวใจ<br />
พญ. ประภาพร พิมพ์พิไล<br />
คลายตัวลง โรคความดันโลหิตสูงเป็นหนึ่ง<br />
ในโรคเรื้อรังที่พบในประชากรส่วนใหญ่<br />
ในโลก องค์การอนามัยโลกได้กำหนดไว้ในปี 2542 ว่าผู้ใดมีความดันโลหิต<br />
มากกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง<br />
<br />
ความดันโลหิตสูงอันตราย<br />
ความดันโลหิตสูง เป็นภาวะที่เมื่อหัวใจบีบ และคลายตัวแต่ความดัน<br />
ยังคงค้างอยู่ในหลอดเลือด ไม่ลดลงอย่างที่ควรจะเป็นซึ่งพญ. ประภาพร <br />
พิมพ์พิไล อายุรแพทย์ อธิบายว่า “การมีความดันโลหิตสูงอย่างต่อเนื่อง<br />
เป็นเวลานาน สร้างความเสียหายแก่หลอดเลือดหลายประการ อาทิ <br />
หลอดเลือดแข็ง หลอดเลือดโป่งพอง อีกทั้งยังอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อน<br />
ที่เป็นอันตรายอีกหลายโรค”<br />
ความดันโลหิตสูงมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอด<br />
เลือดสมอง โรคไต และโรคเส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง การควบคุมรักษา<br />
ความดันโลหิตสูงอย่างเหมาะสมจึงมีความสำคัญในการป้องกันโรค<br />
แทรกซ้อนที่จะเกิดกับอวัยวะต่าง ๆ ดังกล่าวคือ หัวใจวาย หลอดเลือด<br />
หัวใจตีบ โรคไตวายเรื้อรัง อัมพาต และอัมพฤกษ์ <br />
<br />
สาเหตุ และอาการ<br />
โรคความดันโลหิตสูงซึ่งเกิดขึ้นกับผู้ป่วยส่วนมาก กว่าร้อยละ 85 ไม่มี<br />
สาเหตุที่ชัดเจน และมักสัมพันธ์กับประวัติในครอบครัว เราเรียกโรค<br />
ความดันโลหิตสูงกลุ่มนี้ว่าเป็น Primary หรือ Essential Hypertension<br />
“ผู้ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงแบบ Primary Hypertension นั้น<br />
ไม่อาจรักษาให้หายได้ ต้องอาศัยการควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดร่วมกับการ<br />
ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต” พญ. ประภาพรอธิบาย “ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งซึ่งเกิดกับ
ผู้ป่วยส่วนน้อย ได้แก่ Secondary Hypertension หรือโรคความดัน<br />
โลหิตสูงจากสาเหตุอื่น อาทิ โรคไต โรคที่เกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ (ต่อมไทรอยด์<br />
ต่อมหมวกไต) การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยาเสตียรอยด์ หรือ<br />
ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่เสตียรอยด์ (NSAIDs) ซึ่งหากได้รับการแก้ไขที่<br />
สาเหตุ ความดันโลหิตสูงก็จะกลับมาเป็นปกติได้โดยไม่ต้องใช้ยารักษา”<br />
โรคความดันโลหิตสูง ได้รับการขนานนามว่าเป็น “มัจจุราชเงียบ” <br />
เสมอมา ทั้งนี้เพราะส่วนมากโรคความดันโลหิตสูงมักจะไม่ปรากฏอาการ<br />
เตือนใด ๆ ให้ผู้ป่วยได้ทราบเลย<br />
“ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่ค่อยทราบว่าตนเองเป็นโรคความดันโลหิตสูง<br />
จนกระทั่งมาพบแพทย์ด้วยความเจ็บป่วยอื่น ๆ เมื่อวัดความดันโลหิต<br />
จึงพบว่าสูง” พญ. ประภาพรเล่า “จากการสำรวจในประเทศไทยเมื่อสัก<br />
4 - 5 ปีที่ผ่านมา พบผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจำนวนมากถึงร้อยละ<br />
20 - 30 ของจำนวนประชากร ซึ่งไม่เคยทราบเลยว่าตนเองเป็นโรค<br />
ความดันโลหิตสูง มีผู้ป่วยเพียงส่วนน้อยที่อาจพบอาการผิดปกติ เช่น<br />
ปวดศีรษะ มึนศีรษะ ตาพร่า เลือดกำเดาไหล แล้วรีบไปพบแพทย์<br />
จึงทราบว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง และได้รับการรักษาเพื่อควบคุม<br />
ความดันโลหิตก่อนที่จะมีอาการแทรกซ้อนของโรคขึ้น” <br />
<br />
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม <br />
โรคความดันโลหิตสูงจัดเป็นหนึ่งในโรคเรื้อรังที่มีความร้ายแรง เพราะ<br />
ส่วนมากไม่มีทางรักษาแต่สามารถควบคุมได้ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต <br />
และ/หรือรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง<br />
“ค่าความดันโลหิตเป้าหมายในคนปกติไม่ควรเกินกว่า 120/80 <br />
มิลลิเมตรปรอท ซึ่งเป็นค่าที่ประเมินกันแล้วว่าไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย<br />
แก่หลอดเลือดมาก เมื่อไรที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์ และมีการวัดความดัน<br />
“ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่ค่อย<br />
ทราบว่าตนเองเป็นโรคความดัน<br />
โลหิตสูง จนกระทั่งมาพบแพทย์<br />
ด้วยความเจ็บป่วยอื่น ๆ เมื่อ<br />
วัดความดันโลหิตจึงพบว่าสูง”<br />
ซึ่งอ่านค่าได้ 120/80 หรือมากกว่าก็ต้องถือว่าความดันเริ่มจะสูงแล้ว<br />
(Pre-hypertension) แต่ยังไม่เป็นความดันสูงเต็มขั้น แพทย์จะแนะนำ<br />
เรื่องการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อควบคุมความดันโลหิตไม่ให้สูงไปกว่านี้” <br />
ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่อาจปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตได้ หรือปรับแล้ว แต่ความดัน<br />
ไม่ลดลงตามเป้าหมาย แพทย์จึงจะพิจารณาให้ยาที่เหมาะสมต่อไป<br />
โดยมีเป้าหมายระยะสั้นอยู่ที่การควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์<br />
ไม่เกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอทและเป้าหมายระยะยาวอยู่ที่การป้องกัน<br />
ภาวะแทรกซ้อนเพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น <br />
ระดับความรุนแรงของโรคความดันโลหิตสูง<br />
ระดับความรุนแรงของโรค<br />
ความดัน<br />
โลหิตค่าบน<br />
(Systolic)*<br />
ความดัน<br />
โลหิตค่าล่าง<br />
(Diastolic)**<br />
คำแนะนำ<br />
ความดันที่เหมาะสม หรือปกติ น้อยกว่า 120 น้อยกว่า 80 ให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยกากใย และการ<br />
ออกกำลังกาย<br />
ความดันโลหิตสูงขั้นต้น<br />
Pre-hypertension<br />
**<br />
*<br />
120 - 139 80 - 89 ต้องหมั่นตรวจวัดความดัน รับประทานผักผลไม้ให้มากกว่าเดิม และ<br />
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ<br />
ความดันโลหิตสูงขั้นที่ 1 140 - 159 90 - 99 ตรวจวัดความดัน และพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ อาจต้องได้รับยา <br />
ควบคู่ไปกับการปรับการบริโภค และออกกำลังกายให้มากขึ้น<br />
ความดันโลหิตสูงขั้นที่ 2 160 ขึ้นไป 100 ขึ้นไป<br />
ความดันโลหิตค่าบน หรือความดันซีสโตลี (Systolic Blood Pressure) คือ แรงดันโลหิตเลือดขณะหัวใจบีบตัว<br />
ความดันโลหิตค่าล่าง หรือความดันไดแอสโตลี (Diastolic Blood Pressure) คือ แรงดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัว<br />
ตรวจวัดความดัน จดบันทึก และพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อควบคุม<br />
ผลกระทบที่อาจเกิดกับอวัยวะต่าง ๆ รวมทั้งระวังเรื่องอาหารให้มาก <br />
งดอาหารเค็ม เน้นผักผลไม้ และออกกำลังกายให้มากขึ้น
ปัจจัยที่มีผลต่อความดันโลหิต<br />
ความดันโลหิตมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตามปัจจัย<br />
ต่าง ๆ ดังนี้<br />
อายุ เมื่ออายุมากขึ้นความดันโลหิตมักสูงขึ้น<br />
เพศ ชายมักพบความดันโลหิตสูงบ่อยกว่าหญิง<br />
พันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ผู้ที่บิดา มารดา มีความดันโลหิตสูง <br />
มีแนวโน้มเป็นโรคนี้มากขึ้น<br />
ความอ้วน และขาดการออกกำลังกาย<br />
สภาวะทางอารมณ์ เช่น เครียด<br />
โกรธ เจ็บปวด เสียใจ ตื่นเต้น<br />
ส่งผลต่อความดันโลหิตทั้งสิ้น<br />
ซึ่งสามารถกลับเป็นปกติ เมื่อ<br />
ผ่านพ้นภาวะนั้น ๆ<br />
เชื้อชาติ<br />
อาหาร เช่นเกลือและส่วนประกอบ<br />
ของเกลือที่อาจนึกไม่ถึง เช่น ซีอิ๊ว น้ำปลา<br />
ผงชูรส ผงฟู ก้อนซุปสำเร็จรูปมีรายงานชัดเจนว่าเกลือส่งผล<br />
โดยตรงต่อความดันโลหิต<br />
บุหรี่ สุรา และกาแฟ<br />
สมุนไพรบางชนิด เช่น อบเชย<br />
ผลของยา เช่น ฮอร์โมนคุมกำเนิด ยากลุ่ม Non Steroid,<br />
Anti Inflammation.<br />
พญ. ประภาพรเน้นว่า “ไม่ว่าจะอย่างไรแพทย์ก็อยากให้ผู้ป่วย<br />
ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต และออกกำลังกายซึ่งเป็นวิธีการที่ปลอดภัยที่สุด<br />
ได้ผลแน่นอน และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคอื่น ๆ ลงไปได้อีกหลายโรค <br />
และที่ลืมไม่ได้ คือ ผู้ป่วยจำเป็นต้องหมั่นตรวจวัดความดันอย่าง<br />
สม่ำเสมอเพื่อติดตามผลการรักษา ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยยา หรือ<br />
การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต”<br />
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในโรคเรื้อรังอันตราย แต่หากคุณตั้งใจ<br />
จริงที่จะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเสียใหม่ โรคความดันโลหิตสูงก็จะไม่เป็น<br />
ปัญหาสำหรับคุณอีกต่อไป<br />
<br />
เบาหวาน <br />
โรคเบาหวานเป็นอีกหนึ่งโรคเรื้อรังอันตรายที่มักพบร่วมกันกับโรค<br />
ความดันโลหิตสูง องค์การอนามัยโลกระบุไว้ว่าในปีนี้ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน<br />
ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 285 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 6.4 ของจำนวน<br />
ประชากรทั่วโลก และคาดว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า จำนวนผู้ป่วยจะพุ่งขึ้น<br />
เป็น 438 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 7.8 ของจำนวนประชากรทั่วโลก<br />
ในประเทศไทย จากการเก็บข้อมูลของกรมการแพทย์ตั้งแต่ปี 2548 -<br />
2552 จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวานเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี อีกทั้งพบ<br />
<br />
ผู้ป่วยที่อายุน้อยลง ๆ ผศ. นพ. วราภณ วงศ์ถาวราวัฒน์ อายุรแพทย์ และ<br />
ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบต่อมไร้ท่อ (เบาหวาน) ให้ความรู้เรื่องเบาหวานไว้ดังนี้ <br />
<br />
เบาหวานคืออะไร<br />
“เบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากไม่<br />
อาจนำแป้ง และน้ำตาลที่บริโภคเข้าไปมาใช้ได้ เนื่องจาก ประการแรก <br />
ตับอ่อนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ หรือได้ไม่มากพอ โดยอินซูลิน<br />
นี้มีหน้าที่ช่วยส่งผ่านน้ำตาลที่อยู่ในรูปของกลูโคสในกระแสเลือดไปสู่<br />
ระบบเนื้อเยื่อต่าง ๆ เพื่อนำไปเผาผลาญ และแปลงเป็นพลังงาน ประการ<br />
ที่สอง เนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ (ไขมัน ตับ กล้ามเนื้อ ฯลฯ) มีภาวะ<br />
ดื้อต่ออินซูลิน” ผศ. นพ. วราภณกล่าว<br />
ด้วยความผิดปกติทั้งสองประการข้างต้น ส่งผลให้มีน้ำตาลตกค้าง<br />
อยู่ในกระแสเลือดในปริมาณมาก และหาก<br />
ไม่มีการดูแลรักษาอย่างถูกต้องก็จะนำไปสู่<br />
ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ มากมาย<br />
โดยทั่วไป โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น<br />
2 ประเภท ได้แก่ เบาหวานประเภทที่หนึ่ง <br />
และเบาหวานประเภทที่สอง ซึ่ง ผศ. นพ.<br />
วราภณอธิบายต่อว่า “เบาหวานประเภท<br />
ที่หนึ่งนั้นพบค่อนข้างน้อยประมาณ<br />
ร้อยละ 5 ของผู้ป่วยเบาหวานไทย<br />
เบาหวานประเภทนี้เกิดจากการที่ตับอ่อน<br />
ไม่สามารถสร้างอินซูลินได้เลย ผู้ป่วย<br />
จำเป็นต้องพึ่งการฉีดอินซูลินอย่างสม่ำเสมอ ไม่เช่นนั้นอาจ<br />
ก่อให้เกิดภาวะขาดอินซูลิน และระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากจนกระทั่ง<br />
หมดสติ และเสียชีวิตแบบเฉียบพลันได้ โรคเบาหวานประเภทที่หนึ่ง<br />
มักจะพบในเด็กและวัยรุ่น มีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการที่ภาวะ<br />
ภูมิต้านทานทำลายเซลล์ที่สร้างอินซูลินในตับอ่อน นอกจากนี้ ระดับ<br />
น้ำตาลที่สูงเรื้อรังจะนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังต่อไป<br />
ผศ. นพ. วราภณ วงศ์ถาวราวัฒน์<br />
อาการของเบาหวานที่ต้องสังเกต<br />
เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง คุณอาจมีอาการดังต่อไปนี้ <br />
ปัสสาวะบ่อยทั้งกลางวันและกลางคืน <br />
กระหายน้ำ เนื่องจากสูญเสียน้ำมากจากการปัสสาวะ <br />
อ่อนเพลีย และน้ำหนักลดเนื่องจากร่างกายนำน้ำตาลไปใช้ไม่ได้ <br />
หิวบ่อย รับประทานเก่งขึ้น <br />
คันตามตัว ติดเชื้อได้ง่าย เป็นเชื้อรา ตกขาวบ่อย<br />
ตาพร่า เห็นภาพไม่ชัด เห็นภาพซ้อน<br />
ขาชาอันเนื่องมาจากปลายประสาทเสื่อม
ส่วนโรคเบาหวานประเภทที่สองเป็นชนิดที่พบได้<br />
บ่อยคิดเป็นร้อยละ 95 ของผู้ป่วยเบาหวานไทย<br />
โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุตั้งแต่ 40 ปี<br />
ขึ้นไป “เบาหวานประเภทที่สองเกิด<br />
จากการที่ตับอ่อนของผู้ป่วย<br />
ไม่สามารถสร้างอินซูลินให้<br />
เพียงพอ และร่างกายมีภาวะ<br />
ดื้ออินซูลิน” ผศ. นพ. วราภณ<br />
กล่าว “เบาหวานประเภทนี้<br />
มักไม่พบอาการอันตราย<br />
อย่างเฉียบพลันเหมือน<br />
แบบแรก แต่หากไม่มี<br />
การควบคุมให้ดีก็จะนำ<br />
ไปสู่ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง<br />
ที่เป็นอันตรายอย่างเฉียบพลัน<br />
ได้เช่นกัน” <br />
<br />
คุณเป็นเบาหวานหรือไม่ <br />
การตรวจสอบว่าเป็นโรคเบาหวาน<br />
หรือไม่ ทำได้โดยการตรวจวัดระดับ<br />
น้ำตาลในเลือดซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย และ<br />
ได้ผลดี การวินิจฉัยโรคเบาหวาน<br />
สามารถทำได้โดยอาศัยเกณฑ์การ<br />
วินิจฉัยดังนี้<br />
มีระดับน้ำตาลในเลือดขณะงดอาหารและเครื่องดื่มอย่างน้อย<br />
8 ชั่วโมง มากกว่าหรือเท่ากับ 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร <br />
มีอาการของโรคเบาหวาน ร่วมกับระดับน้ำตาลในเลือดเวลาใดก็ตาม<br />
มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร<br />
มีระดับน้ำตาลในเลือด มากกว่าหรือเท่ากับ 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร<br />
ณ 2 ชั่วโมง ภายหลังทดสอบความทนต่อน้ำตาลกลูโคส 75 กรัมที่<br />
รับประทานเข้าไป<br />
มีระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1c) มากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 6.5 ขึ้นไป<br />
ปรับนิสัย เปลี่ยนอาหาร รับมือความดัน และเบาหวาน<br />
กุญแจสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน <br />
ควบคุมและอยู่กับโรคได้อย่างมีความสุข ได้แก่ การควบคุมเรื่อง<br />
การรับประทานอาหาร และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมซึ่งเรามี<br />
คำแนะนำ ดังต่อไปนี้ <br />
เลือกรับประทานอาหารจำพวกแป้งจากธัญพืชที่ไม่ขัดสี ในปริมาณ<br />
ที่พอเหมาะ<br />
พยายามงดอาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นหวาน มัน หรือเค็ม<br />
รับประทานผัก และผลไม้ที่ไม่หวานจัดเพื่อเพิ่มกากใยอาหาร <br />
ควบคุมน้ำหนัก<br />
งดสูบบุหรี่ และงดดื่มสุรา<br />
<br />
ใครบ้างที่เสี่ยงเบาหวาน!<br />
คุณมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานประเภทที่ 2 รวมทั้ง<br />
โรคแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคไตเรื้อรัง และ<br />
โรคหลอดเลือดสมอง หากคุณ<br />
อายุเกิน 40 ปีขึ้นไป <br />
มีประวัติครอบครัวโรคเบาหวาน<br />
เป็นผู้มีน้ำหนักเกิน หรือมีดัชนีมวลกายมากกว่า 25<br />
มีความดันโลหิต หรือมีน้ำตาลในเลือดสูง (เป็นโรคใด <br />
โรคหนึ่ง ความเสี่ยงต่ออีกโรคก็เพิ่มขึ้น)<br />
มีระดับไขมันในเลือดสูง<br />
สตรีที่มีประวัติเบาหวานขณะตั้งครรภ์หรือน้ำหนัก<br />
บุตรแรกคลอดมากกว่า 4 กก.<br />
ไม่ออกกำลังกาย<br />
ดื่มสุรา และ/หรือสูบบุหรี่<br />
“หากผลการตรวจหลังงดอาหารและเครื่องดื่มแล้ว ปรากฏว่ามีน้ำตาล<br />
อยู่กระแสเลือด 100-125 มิลลิกรัม/เดซิลิตร เดี๋ยวนี้ก็ถือว่าเริ่มผิดปกติ <br />
และมีแนวโน้มว่าจะเป็นเบาหวานเต็มขั้นหากไม่รีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรม<br />
การปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง<br />
เป็นเวลานาน ๆ เป็นที่มาของภาวะ<br />
แทรกซ้อนต่าง ๆ เมื่อประกอบกับภาวะ<br />
น้ำหนักเกิน ไขมันสูงและความดัน<br />
โลหิตสูง ย่อมส่งผลเสียต่อโครงสร้าง<br />
และการทำงานของหลอดเลือดทำให้<br />
อวัยวะต่าง ๆ ค่อย ๆ เสื่อมหน้าที่ลง” <br />
ผศ. นพ. วราภณกล่าว<br />
<br />
อยู่กับเบาหวานอย่างสบายใจ <br />
สำหรับการดูแลและรักษาโรค<br />
เบาหวานนั้น ผศ. นพ. วราภณ<br />
อธิบายว่าการรักษาเบาหวาน<br />
ประเภทที่สอง หากโรคยังอยู่ใน<br />
ระยะเริ่มต้น ก็สามารถอาศัยการ<br />
ควบคุมอาหาร ลดน้ำหนัก และ<br />
ออกกำลังกายได้ แต่ถ้าเป็นมากขึ้น<br />
ก็ต้องให้รับประทานยาควบคู่กันไป<br />
ส่วนในรายที่ใช้ยาเม็ดแล้วไม่ได้ผลก็<br />
ต้องพึ่งยาฉีดอินซูลินเช่นเดียวกับผู้ป่วย<br />
เบาหวานประเภทที่หนึ่ง ซึ่งจำเป็นต้อง<br />
เรียนรู้การฉีดอินซูลินด้วยตนเอง เพราะต้องฉีดเองที่บ้านเป็นประจำทุกวัน<br />
เป้าหมายในการรักษาโรคเบาหวานอยู่ที่การควบคุมน้ำตาลในเลือด <br />
ความดันโลหิต ไขมันในเลือด และน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม<br />
เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ทั้งนี้ ก็เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี และอายุ<br />
ที่ยืนยาวขึ้นของผู้ป่วยนั่นเอง<br />
“หากผู้ป่วยปรารถนาจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี ผู้ป่วย และผู้ดูแลควร<br />
มีความเข้าใจว่าเป้าหมายการรักษาคืออะไร และปฏิบัติตามคำแนะนำของ<br />
แพทย์อย่างถูกต้อง และสม่ำเสมอ ถ้าทำได้ก็จะสามารถอยู่กับเบาหวาน<br />
อย่างสบายใจ และสบายกายมากขึ้น” ผศ. นพ. วราภณกล่าวปิดท้าย<br />
ออกกำลังกายเป็นประจำในแบบแอโรบิควันละ<br />
30 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ตามคำแนะนำของแพทย์ <br />
รับประทานยาเพื่อควบคุมความดันโลหิต หรือ<br />
เบาหวานตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ<br />
ระวังอย่ารับประทานยาใด ๆ เองโดยไม่ได้<br />
ปรึกษาแพทย์ โดยเฉพาะยากลุ่มที่เป็น<br />
เสตียรอยด์ ยาฮอร์โมน<br />
หมั่นศึกษาหาความรู้ในการดูแลตนเอง<br />
ทำจิตใจให้สงบ และผ่อนคลายความเครียด<br />
ไม่โกรธ หรือโมโหง่าย
CHRONIC KIDNEY DISEASE<br />
โรคไตเรื้อรัง อีกหนึ่งโรคที่ต้องเฝ้าระวัง<br />
ไ<br />
ต อวัยวะที่เปรียบได้กับโรงบำบัดของเสียที่ต้องอยู่กับมลพิษ<br />
ตลอดเวลา เนื่องจากมีหน้าที่กรองของเสียออกจากกระแสเลือด <br />
การทรุดโทรมของไตจึงเกิดขึ้นได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้<br />
รูปแบบการดำเนินชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน<br />
<br />
สาเหตุของโรค<br />
นพ. สิร สุภาพ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านไตวิทยา อธิบายถึงสาเหตุ<br />
ของการเกิดโรคไตเรื้อรังไว้ว่า เกิดได้ทั้งจากโรคในเนื้อไตเองและจากโรคอื่น<br />
นพ. สิร สุภาพ<br />
“โรคไตในระยะแรก ๆ <br />
จะไม่แสดงอาการ ผู้ป่วย<br />
ส่วนใหญ่ที่ตรวจพบว่า<br />
เป็นโรคไต ก็อยู่ที่ระดับสี่<br />
ซึ่งประสิทธิภาพของไตได้<br />
ลดลงไปกว่าร้อยละ 70 แล้ว”<br />
อาทิ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน รวมไปถึง โรค SLE โรค<br />
เอดส์ โรคซิฟิลิส และโรคตับอักเสบบี ซี ซึ่งโรคเหล่านี้ส่งผลให้ไตต้อง<br />
ทำงานหนัก จนเสื่อมสภาพในที่สุด<br />
“โรคอันดับต้น ๆ ที่ทำให้ไตเสื่อม คือโรคเบาหวาน เพราะไปทำให้<br />
น้ำตาลในไตสูง โรคความดันโลหิตสูงซึ่งไปเพิ่มความดันเลือดในไต และ<br />
โรคอ้วน ที่เหมือนกับการเอาเครื่องยนต์ขนาดเล็กไปใช้กับรถคันใหญ่<br />
เพราะการปล่อยให้มีน้ำหนักตัวมาก ก็ยิ่งทำให้ไตต้องทำงานมาก <br />
นอกจากนี้การสูบบุหรี่ก็มีผลทำให้ไตเสื่อมเช่นกัน” นพ. สิร อธิบาย<br />
<br />
โรคไตคือภัยเงียบ<br />
โรคไตแบ่งออกได้เป็น 5 ระยะตามประสิทธิภาพการทำงานของไต <br />
(ดูตาราง) โดยในระยะแรก ๆ จะไม่แสดงอาการ แพทย์มักพบว่า ผู้ป่วย<br />
ส่วนใหญ่ที่ตรวจพบว่าเป็นโรคไต คือมีอาการอยู่ที่ระดับสี่แล้ว ซึ่งหมายถึง<br />
ประสิทธิภาพการทำงานของไตได้ลดลงไปกว่าร้อยละ 70 <br />
“ปัญหาคือ ผู้ป่วยไม่ทราบว่าตัวเองเป็นโรคไต ไตเสียไปครึ่งหนึ่ง<br />
แล้วก็ยังไม่มีอาการ เพราะโรคไตเป็นโรคที่หากไม่ได้รับการตรวจสุขภาพ<br />
อย่างสม่ำเสมอจะไม่มีทางรู้ได้เลย เป็นหมอไตเองก็ไม่รู้ว่ามีโรคไตอยู่<br />
ถ้าไม่เช็คตัวเอง” นพ. สิร กล่าว<br />
<br />
รักษาที่สาเหตุ<br />
ในการรักษาโรคไตเรื้อรังนั้น นพ. สิรอธิบายว่าจำเป็นต้องแก้ที่สาเหตุ <br />
เช่น ควบคุมเบาหวาน ลดความดัน ควบคุมน้ำหนัก ซึ่งทั้งหมดนี้ทำได้<br />
ด้วยการควบคุมอาหาร โดยเน้นที่การจำกัดปริมาณเกลือ ปริมาณโปรตีน <br />
และปริมาณฟอสเฟต ซึ่งมักจะอยู่ในนมและถั่ว เพราะเป็นอาหารที่ทำให้<br />
ไตทำงานหนัก นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่นอนดึก<br />
ละเลิกบุหรี่ และอย่าปล่อยให้ตัวเองเครียด<br />
“การคุมอาหารเป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับผู้ป่วย แต่ต้องพยายามทำให้ได้<br />
เพราะถ้าคุมอาหารได้ ยาก็จะทำงานได้ผลดี คนไข้ที่ยังทำไม่ได้ หมอจะ<br />
แนะนำให้นั่งสมาธิ เพราะช่วยทั้งในเรื่องของการควบคุมจิตใจและยังทำให้<br />
อารมณ์ดีอีกด้วย” นพ. สิร แนะนำ<br />
ระยะของโรคไตเรื้อรัง<br />
เพราะโรคไตเป็นโรคที่ไม่แสดงอาการในระยะแรก การเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อหาค่า GFR (Glomerular Filtration Rate) <br />
หรือ อัตรากรองของไตเท่านั้นจึงจะทราบระยะของโรคได้ ดังนี้<br />
อัตรากรองของไต*<br />
ระยะของโรค<br />
ระยะที่ 1<br />
ระยะที่ 2<br />
ระยะที่ 3<br />
ระยะที่ 4<br />
ระยะที่ 5<br />
90 - 100 %<br />
60 - 89 %<br />
30 - 59 %<br />
15 - 29 %<br />
ต่ำกว่า 15 %<br />
* ระดับการทำงานของไตที่ถือว่าปกติหรือ 100% เทียบเท่ากับค่า GFR 90 - 120 มิลลิลิตร/นาที<br />
อาการที่สังเกตได้<br />
การทำงานของไตยังเป็นปกติ แต่อาจไม่สามารถรับยาปฏิชีวนะและยาแก้อักเสบได้ อาจมี<br />
โปรตีนรั่วมาในปัสสาวะ<br />
ผลตรวจเลือดโดยทั่วไปยังไม่แสดงความผิดปกติ ความดันเลือดอาจสูงขึ้นเล็กน้อย<br />
ถ้าปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตตั้งแต่ช่วงนี้อาจหายได้โดยไม่ต้องรับการรักษา<br />
ผลตรวจเลือดแสดงความผิดปกติ อาจมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว เพลีย และแขนขาบวม<br />
แบบอ่อน ๆ มีโอกาสต้องเข้ารับการล้างไต<br />
ผู้ป่วยบางรายจะรู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ตัวซีด ผิวแห้ง และขาบวม หากผู้ป่วยไตอักเสบ <br />
จะพบโปรตีนรั่วมากับปัสสาวะ ควรควบคุมความดันเลือดอย่างเคร่งครัดและจำเป็นต้อง<br />
เข้ารับการฟอกเลือด<br />
อาการหนัก สามารถติดเชื้อได้ง่าย คนไข้ต้องได้รับการฟอกเลือดอย่างเร่งด่วน ก่อนที่อาการ<br />
จะรุนแรงจนไม่มีทางแก้ไข
CHARITY<br />
มูลนิธิโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จัดแสดงภาพวาดการกุศล<br />
“ภาพศิลป์...จากใจหมอ...สู่ใจเด็ก”<br />
ช่วยผ่าตัดหัวใจเด็กผู้ยากไร้<br />
มูลนิธิโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ร่วมกับมูลนิธิเด็กโรคหัวใจฯ<br />
และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดนิทรรศการภาพวาดการกุศล<br />
“ภาพศิลป์...จากใจหมอ...สู่ใจเด็ก” จำนวนกว่า 180 ภาพ ซึ่งเป็นฝีมือศิลป์ของแพทย์และ<br />
ผู้บริหารระดับสูงของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ตลอดจนศิลปินที่มีจิตศรัทธาและร่วมอุทิศ<br />
แรงกายแรงใจในการวาดภาพเพื่อนำรายได้สนับสนุนโครงการ “รักษ์ใจไทย” ของมูลนิธิโรงพยาบาล<br />
บำรุงราษฎร์ เพื่อผ่าตัดเด็กโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดผู้ยากไร้ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ในโอกาสครบรอบ <br />
30 ปี โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์<br />
ผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจที่ได้รับการผ่าตัด<br />
หัวใจแล้วตามโครงการ "รักษ์ใจไทย" <br />
บุคคลในภาพ (จากซ้าย) รองศาสตราจาย์<br />
นายแพทย์กวี สุวรรณกิจ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์,<br />
ศาสตราจารย์ นายแพทย์บุญชอบ พงษ์พานิช <br />
ประธานมูลนิธิเด็กโรคหัวใจฯ, แพทย์หญิงจามรี <br />
เชื้อเพชระโสภณ ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ <br />
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, มร. แมค แบนเนอร์ <br />
ผู้อำนวยการด้านบริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์,<br />
นายแพทย์ปัญญา กีรติหัตถยากร ที่ปรึกษา<br />
อาวุโส สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ <br />
(สปสช.), แพทย์หญิงกาญจนา สุทธากิจพันธ์ <br />
และแพทย์หญิงประภาพรรณ นาควัชระ<br />
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์<br />
รศ. นพ. กวี สุวรรณกิจ กับผลงาน "แมวเหมียว"<br />
ผลงาน "หนูน้อยชาวเขา"<br />
โดย พญ. กาญจนา สุทธากิจพันธ์<br />
ผลงาน "พลังแผ่นดิน" <br />
โดย พญ. ประภาพรรณ นาควัชระ<br />
ส่งความสุขปีใหม่...พร้อมมอบ<br />
หัวใจดวงใหม่แก่เด็กยากไร้<br />
เลือกส่งความสุขแก่คนที่คุณรักด้วยไปรษณียบัตรชุด “ภาพศิลป์...จาก<br />
ใจหมอ...สู่ใจเด็ก” โดยรายได้นำเข้ามูลนิธิโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เพื่อ<br />
สมทบทุนโครงการ “รักษ์ใจไทย” เพื่อผ่าตัดเด็กโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด<br />
ผู้ยากไร้ จำหน่ายในราคาชุดละ 250 บาท (1 ชุดมี 12 ภาพ) สนใจสั่งซื้อ<br />
ได้ที่บูธ “รักษ์ใจไทย" ชั้น M อาคารโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ หรือสอบถาม<br />
ได้ที่ 084 555 4815<br />
10
30th ANNIVERSARY<br />
บำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล<br />
2523 ไม่ว่าจะเป็นปีแรก<br />
ติณสูลานนท์<br />
มีเหตุการณ์สำคัญมากมายเกิดขึ้นในปีพ.ศ.<br />
แพร่สัญญาณเป็นครั้งแรก ปีที่โรนัลด์<br />
ของการก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของพลเอกเปรม<br />
เรแกน คว้าชัยชนะเหนือจิมมี คาร์เตอร์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่ง<br />
ปีที่สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น<br />
สหรัฐอเมริกา<br />
ปี พ.ศ. 2523 อีกเช่นกัน ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งเปิดตัวขึ้น ณ ต้นถนน<br />
สุขุมวิท ด้วยจำนวนแพทย์เพียง 4 คน กับเจ้าหน้าที่อีกเพียงหยิบมือ ทุกคน<br />
ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด เพื่อรองรับผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาใน<br />
ช่วงแรกเพียงไม่กี่ร้อยคนต่อวัน<br />
บางเรื่องราวอาจเกิดขึ้นเพื่อวันหนึ่งจะเหลือเพียงความทรงจำ แต่บาง<br />
เรื่องราวเกิดขึ้นเพื่อจะเติบโตต่อไปอย่างยิ่งใหญ่และยั่งยืน...<br />
17 กันยายน 2523<br />
2523<br />
เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในฐานะ<br />
โรงพยาบาลเอกชนขนาด 200 เตียง<br />
12<br />
<br />
2532<br />
จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในชื่อ บริษัท<br />
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) <br />
<br />
2542<br />
โรงพยาบาลแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้<br />
รับการรับรองมาตรฐานจากสถาบันรับรอง<br />
คุณภาพโรงพยาบาลไทย (Hospital <br />
Accreditation Thailand)<br />
<br />
<br />
2543<br />
โรงพยาบาลแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับ<br />
การรับรองมาตรฐานคุณภาพระบบงานองค์กร<br />
หรือ ISO 9000<br />
<br />
2545<br />
ได้รับการรับรองคุณภาพโรงพยาบาลระดับ<br />
สากลเป็นแห่งแรกในเอเชียตามมาตรฐาน<br />
ของ Joint Commission International (JCI) <br />
แห่งสหรัฐอเมริกา
นพ. วัชรพงศ์ แซ่ซือ อายุรแพทย์<br />
“<br />
ผมอยู่ที่นี่ตั้งแต่เริ่มเปิดทำการวันแรกจนถึงวันนี้ บำรุงราษฎร์เป็นเสมือนบ้านของผม จากจุด<br />
เริ่มต้น บ้านของเราดีขึ้นเรื่อย ๆ เป็นที่อยู่ของคนมากขึ้นเรื่อย ๆ 30 ปีนี่ไม่น้อยเลยนะกับการ<br />
ที่คน ๆ หนึ่งเลือกที่จะทำงานกับองค์กรใด ๆ สักแห่งหนึ่ง หากจะถามถึงความประทับใจ ก็ต้อง<br />
บอกว่าประทับใจทุกเรื่อง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มาหาผม บางรายผมดูแลมาตั้งแต่ตอนเขาเป็น<br />
นักเรียน จนตอนนี้ก็ยังพาลูกมาหา มาปรึกษา จนเรารู้สึกว่า ผู้ป่วยที่มาปรึกษานั้นไม่ใช่ใครอื่น<br />
แต่เป็นเหมือนญาติ เหมือนสมาชิกในครอบครัวของเรา ในแง่ของการทำงาน ที่นี่มีระบบงานดี<br />
มีบรรยากาศในการทำงานที่ดี เราเลยทำงานด้วยความสบาย ”<br />
คุณสิทธ์ ทวีสิน นักธุรกิจ/นักศึกษาปริญญาโท<br />
“<br />
สำหรับผม บำรุงราษฎร์ คือ ความอบอุ่น เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ผมเกิดที่นี่ และใช้บริการที่นี่<br />
มาตลอด ใช้บริการทั้งครอบครัว เป็นลูกค้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร บำรุงราษฎร์เคยช่วยชีวิตผมถึง<br />
สองครั้ง ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่ และเป็นโรคหอบหืดหนักมาก ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลกลางดึก<br />
ซึ่งก็ได้รับการประสานงานในการรักษาอย่างทันท่วงที เช้าวันรุ่งขึ้นก็กลับบ้านได้ มั่นใจครับ<br />
ยิ่งปัจจุบัน โรงพยาบาลมีมาตรฐานดีกว่าเดิมมากก็ยิ่งมั่นใจครับ ”<br />
คุณกัลยา เจนกลรบ ผู้จัดการแผนกคลินิกสุขภาพพนักงาน<br />
“<br />
ผู้บริหารที่นี่ทำให้เรารู้สึกว่าเรามีความสำคัญกับองค์กร ให้รู้ว่าเราคือส่วนหนึ่งของการเป็นเจ้าของ <br />
พอเรารู้สึกเป็นเจ้าของอะไร เราก็รัก และอยากทำให้ดีขึ้น เลยไม่เคยเปลี่ยนไปไหน บำรุงราษฎร์<br />
เป็นองค์กรที่ไม่อยู่เคยนิ่ง ก้าวไกล นำสมัย นำทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรที่ดีที่สุด ที่หนึ่งที่สุด<br />
เขาต้องไปให้ถึง และก็ไม่เคยทอดทิ้งพนักงาน ไม่เคยมีการเลย์ออฟ ทุกคนก้าวไปพร้อมกัน เดี๋ยวนี้<br />
พอคนรู้ว่าทำงานที่บำรุงราษฎร์ เขาจะพูดว่า ‘โอ้โห คุณทำงานอยู่ในโรงพยาบาลอันดับหนึ่งเลยนะ’ <br />
ความภูมิใจมันก็เกิดขึ้น<br />
”<br />
<br />
2545<br />
2546<br />
<br />
ได้รับรางวัลผู้ส่งออกสินค้าและบริการดีเด่น <br />
(Prime Minister’s Export Award) ประเภท <br />
Outstanding Private Hospital<br />
ได้รับการโหวตให้เป็น “บริษัทขนาดเล็ก<br />
ยอดเยี่ยม” จากนิตยสาร Asiamoney และ<br />
ยังได้รับการโหวตอีกครั้งในปี 2551<br />
2548<br />
2548<br />
ได้รับการเผยแพร่ทางรายการ “60 MINUTES”<br />
ทางสถานีโทรทัศน์ CBS ในสหรัฐอเมริกา<br />
<br />
ปรับชื่อใหม่เป็นโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ <br />
อินเตอร์เนชั่นแนล <br />
ได้รับการรับรองคุณภาพโรงพยาบาลระดับสากล<br />
อีกครั้งจาก Joint Commission International<br />
(JCI) แห่งสหรัฐอเมริกา<br />
2551<br />
รับรางวัล AMDIS ซึ่งเป็นรางวัลเชิดชูเกียรติ<br />
ที่มอบแด่ผู้มีความเป็นเลิศ และความสำเร็จ<br />
อย่างโดดเด่นด้านสารสนเทศทางการแพทย์<br />
ประยุกต์<br />
13
คุณวรรณิภา คูหิรัญญรัตน์ เจ้าของกิจการ<br />
“<br />
ดิฉันเป็นลูกค้าของบำรุงราษฎร์มานาน ชอบการดูแลเอาใจใส่ของแพทย์ ลูกของดิฉันทั้งสี่คน<br />
คลอดที่นี่ทั้งหมด ยอมรับว่ารู้สึกผูกพันกับแพทย์ที่นี่ค่ะ คือเค้าดูแลเรามาตั้งแต่ต้นด้วยความใส่ใจ<br />
เป็นอย่างดี แน่นอนว่าบางครั้งก็มีความขลุกขลักไม่สะดวกบ้าง แต่ก็ได้เห็นว่าโรงพยาบาลมีความ<br />
พยายามที่จะปรับปรุงเสมอมา และก็ดีขึ้น ๆ เรื่อย ๆ ตอนนี้สะดวกสบายกว่าเดิมมาก สำหรับดิฉัน <br />
บำรุงราษฎร์ คือความเอาใจใส่อย่างเป็นมืออาชีพค่ะ<br />
”<br />
คุณอนุวัฒน์ ปานทั่งทอง ผู้จัดการแผนกเวชระเบียน<br />
“<br />
ในสมัยนั้นจะอบอุ่นมาก เพราะว่าแผนกห้องตรวจ แผนกบัญชี ห้องยา ห้องแลบ ก็จะอยู่<br />
ใกล้ ๆ กัน ไปไหนมาไหนก็จะรู้จักกันหมด พอทำงานไปได้ปีสองปี ท่านประธาน คุณชัย โสภณพนิช<br />
ก็ให้จดหมายชมเชยว่าเราทำงานดีนะ เราก็ประทับมาก ก็เลยเอาจดหมายไปอวดคุณแม่ บอกว่า<br />
ผมได้ทำงานที่บำรุงราษฎร์แล้ว มีอาชีพที่มั่นคงแล้ว หลังจากทำงานกับผู้มีความรู้ที่โรงพยาบาล<br />
หลาย ๆ ท่าน เราก็ได้ความรู้ได้ประสบการณ์ทั้งในด้านบริหารจัดการ ด้านศิลปวัฒนธรรม<br />
ด้านความรู้ และเทคนิคต่าง ๆ ที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน บำรุงราษฎร์เติบโตอย่าง<br />
สง่างามและกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลกไปแล้ว ”<br />
พญ. จิราพร โหตระกิตย์ กุมารแพทย์<br />
“<br />
ตอนเปิดให้บริการแก่ผู้ป่วย เรามีแพทย์อยู่แค่ 4 คน เจ้าหน้าที่อีกจำนวนหนึ่ง ตอนนั้นเนื่องจาก<br />
โรงพยาบาลมีเพียงแค่ตึกเดียว ทุกคนในโรงพยาบาลรู้จักกันหมด บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง<br />
สิ่งที่หมอจำได้ชัดเจน ได้แก่ วิสัยทัศน์ของผู้บริหารซึ่งท่านเคยกล่าวไว้ในระหว่างการประชุมหารือ<br />
ร่วมกันครั้งหนึ่งว่า อยากสร้างโรงพยาบาลแห่งนี้ให้เติบโต เป็นศูนย์กลางในการส่งต่อผู้ป่วยทั้ง<br />
ในระดับประเทศ และระดับนานาชาติ จนถึงวันนี้ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ก็กลายเป็นศูนย์<br />
การแพทย์ที่ทันสมัย สามารถให้การดูแลรักษาโรคที่มีความซับซ้อนสมดังที่ผู้บริหารได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่<br />
แรกเริ่ม การได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรซึ่งมีความมุ่งมั่น ตั้งใจจริงเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจมากค่ะ ”<br />
2551<br />
เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกในไทยที่<br />
ได้รับรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ หรือ <br />
Thailand Quality Class (TQC-2008) ที่มี<br />
มาตรฐานเทียบเท่ากับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ<br />
ของประเทศสหรัฐอเมริกาได้แก่ Malcolm <br />
Baldrige National Quality Award (MBNQA)<br />
2551<br />
14<br />
2551<br />
เปิดให้บริการคลินิกผู้ป่วยนอกบริเวณ<br />
อาคารหลังใหม่ <br />
ได้รับการโหวตจากผู้อ่านนิตยสาร Asian <br />
Wall Street Journal ให้เป็นหนึ่งในบริษัท<br />
ชั้นนำในประเทศไทย (Thailand’s Most <br />
Admired Company) และเป็นที่หนึ่งด้าน<br />
คุณภาพและการบริการ
พญ. ประภาพร พิมพ์พิไล อายุรแพทย์<br />
“<br />
เราจะมีคติอยู่ว่า บำรุงราษฎร์เป็นบ้านที่สอง คือเรารักเหมือนบ้าน เพราะฉะนั้นเวลาทำงานเนี่ย <br />
เผื่อเหลือเผื่อขาดเราก็จะทำให้กันได้ แพทย์แต่ละคนที่เป็นเพื่อนอยู่ในระดับเดียวกันจะคุยกันรู้เรื่อง <br />
คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เวลามีปัญหาอะไรก็จะแบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน ปรึกษากันได้ คนไข้<br />
ก็น่ารัก ที่ดูแลกันมาก็ติดตามมาตลอด จนมีความรู้สึกเหมือนญาติ สิ่งนี้แหละค่ะที่เป็นความผูกพัน<br />
และทำให้อยู่กันมาได้นาน ”<br />
คุณนิเวส รัตนชัยเจริญ ทนายความ<br />
“<br />
ผมเลือกบำรุงราษฎร์ เพราะว่าที่นี่มีบริการทุกอย่าง ทั้งพ่อ แม่ และครอบครัวของผมเองก็<br />
มารักษาที่นี่ เครื่องไม้เครื่องมือทันสมัย สะอาดสะอ้าน วางใจได้ หลายอย่างดีขึ้นกว่าเดิมมาก<br />
โดยเฉพาะการนัดหมายแพทย์ล่วงหน้า คุณมาตามนัดตรงเวลา ก็รอแค่สองสามนาทีก็ได้พบ<br />
แพทย์แล้ว นัดผมผ่าตัดตอนตีสี่ พอมาถึงก็เข้าห้องผ่าตัดเลย ทุกอย่างเตรียมไว้เรียบร้อยหมดแล้ว <br />
หากจะถามว่าเมื่อพูดถึงบำรุงราษฎร์ จะนึกถึงอะไร ก็ต้องบอกว่า ผมนึกถึงสถานพยาบาลที่ให้<br />
บริการอย่างครบวงจร นี่คือสาเหตุที่ผมใช้บริการที่นี่เสมอมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น<br />
”<br />
คุณวรรณวิมล บ่างแสงนุรัตน์ เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ<br />
“<br />
ดิฉันเริ่มทำงานวันแรกเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2523 มาถึงตอนนี้ก็ 30 ปีพอดี ตอนนั้นเรามีกันแค่<br />
ไม่กี่คน มีตึกเจ็ดชั้นอยู่ตึกเดียว เด่นเป็นสง่ามากค่ะ เพราะสมัยนั้น แถวนี้เป็นบ้านเดี่ยวเสียส่วนใหญ่ <br />
ตลอดเวลาที่ร่วมงานกับบำรุงราษฎร์มา เห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายประการซึ่งล้วนแต่เป็น<br />
ความพยายามปรับปรุงและพัฒนาให้โรงพยาบาลมีคุณภาพเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น เป็นโอกาสให้เราในฐานะ<br />
ที่เป็นบุคลากรคนหนึ่ง ได้เรียนรู้ ปรับตัว และทำความคุ้นเคยกับระบบ และนวัตกรรมใหม่ ๆ<br />
เรียกว่าได้มีโอกาสพัฒนาความรู้ความสามารถของตนเองอยู่ตลอดเวลา ในวาระครบรอบ 30 ปีนี้<br />
ขอให้โรงพยาบาลเติบโตด้วยคุณภาพ และก้าวหน้าอย่างมั่นคงค่ะ ”<br />
<br />
<br />
รับรางวัลสถานพยาบาลยอดเยี่ยมด้านการ<br />
ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical<br />
Tourism) จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย<br />
ได้รับรางวัล “องค์กรที่มีนวัตกรรม<br />
ยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทย” จาก<br />
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับ<br />
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ<br />
<br />
2552<br />
ได้รับรางวัล “สถานประกอบกิจการดีเด่น<br />
ด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน” <br />
ประเภทสถานประกอบกิจการขนาดใหญ่ที่ไม่มี<br />
สหภาพแรงงาน (Thailand Best Employer)<br />
จากกระทรวงแรงงาน (และรับรางวัลอีกครั้ง<br />
ในปี 2553)<br />
2553<br />
2553<br />
ได้รับรางวัลผู้ส่งออกสินค้าและบริการดีเด่น <br />
(Prime Minister’s Export Award) ประเภท <br />
Best Service Provider 2010 <br />
รับรางวัลสถานพยาบาลดีเด่นด้านการส่งเสริม<br />
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism)<br />
อีกครั้งจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย<br />
ได้รับเลือกจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />
ร่วมกับหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจให้เป็น <br />
1 ใน 10 องค์กรที่มีนวัตกรรมยอดเยี่ยม<br />
แห่งประเทศไทยเป็นครั้งที่ 3<br />
2553<br />
15
INTERVIEW<br />
อยู่อย่างไร ให้เป็น<br />
“นาย” ของโรค<br />
30 ปีกับโรคเบาหวาน ผ่านการทำบายพาส<br />
หลอดเลือดหัวใจ แต่ยังยิ้มได้แม้ ในวัย 70<br />
เ<br />
ป็นที่ทราบกันดีว่า หัวใจสำคัญของการมีสุขภาพดี ได้แก่ การเลือก<br />
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับ<br />
การไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอรับคำแนะนำที่ถูกต้องในการ<br />
ดูแลตัวเอง ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากเราไม่ตระหนักถึงบทบาท<br />
ของตนเองในการดูแลสุขภาพร่างกาย <br />
<strong>Better</strong> <strong>Health</strong> ฉบับนี้ได้พูดคุยกับคุณ<br />
ขจรเกียรติ คงวณิชกิจเจริญ นักวิ่งสมัครเล่น<br />
ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่อยู่ร่วมกับโรคนี้มาถึง<br />
30 ปี และเกือบย่ำแย่ด้วยโรคแทรกซ้อนจน<br />
ท้ายที่สุดต้องเข้ารับการผ่าตัดบายพาสหลอด<br />
เลือดหัวใจ น่าสนใจว่าคุณขจรเกียรติมีเคล็ดลับ<br />
ในต่อสู้ และอยู่ร่วมกับโรคเรื้อรัง รวมทั้งกลับ<br />
คุณขจรเกียรติ คงวณิชกิจเจริญ<br />
มาทำกิจกรรมที่ชอบอันได้แก่การวิ่งได้อย่างไร<br />
ภายหลังการผ่าตัด<br />
<br />
ต่างโรค ต่างวาระ<br />
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน คุณขจรเกียรติซึ่งขณะนั้นอายุ<br />
ได้ 40 ปีได้ทราบว่าตนเองป่วยเป็นโรคเบาหวาน แต่ก็ถือว่าไม่รุนแรงนัก <br />
เนื่องจากเป็นคนรักการออกกำลังกายอยู่แล้ว จึงทำให้การควบคุมโรคเป็น<br />
ไปโดยไม่ลำบาก<br />
“ผมเป็นเบาหวานมานาน แต่อยู่มาได้อย่างดีเพราะผมออกกำลังกาย<br />
มาตลอด ตอนนี้ผมจะอายุ 70 ปีแล้วแต่ก็ยังออกกำลังกายเป็นกิจวัตร<br />
รับประทานยาตามแพทย์สั่งเท่านี้ผมก็คุมโรคได้ ผมไม่เคยคิดแม้แต่<br />
นิดเดียวว่าผมจะเป็นโรคหัวใจ” คุณขจรเกียรติเริ่มเล่า “จนเมื่อราว ๆ สัก<br />
สามสี่ปีก่อน ผมกำลังเตรียมตัวจะไปวิ่งมาราธอนเป็นระยะทางรวม<br />
16<br />
ความร่วมมือของแพทย์และผู้ป่วยเป็น<br />
กุญแจสำคัญในการฟื้นฟูสมรรถภาพ<br />
ร่างกายและคุณภาพชีวิต<br />
25 กิโลเมตร ตอนซ้อมผมตั้งเป้าไว้ที่ 30 กิโลเมตร พอซ้อมมาก ๆ เข้า<br />
ก็เลยปวดกล้ามเนื้อขึ้นมา ผมเลยรับประทานยาคลายกล้ามเนื้อโดยที่<br />
ไม่ทราบเลยว่าตัวเองแพ้ยา พอไปพบแพทย์จึงได้ทราบ ผลจากการแพ้ยานี้<br />
ทำให้กล้ามเนื้อสลายซึ่งโชคดีที่เป็นผลเพียงชั่วคราว เวลานั้น คิดเอาเองว่า <br />
สาเหตุที่เวลาเราซ้อมวิ่งแล้วพยายามเร่งแต่เร่งไม่ได้ หมดแรงเสียก่อนนั้น <br />
น่าจะเป็นเพราะกล้ามเนื้อสลาย”<br />
เมื่อทราบว่าตนเป็นโรคกล้ามเนื้อสลาย คุณขจรเกียรติก็ได้ปรับเปลี่ยน<br />
รูปแบบการออกกำลังกาย “ผมเปลี่ยนจากการวิ่งมาเป็นการว่ายน้ำสลับไป<br />
วิ่งเหยาะ ๆ บ้างเป็นบางครั้ง ทำอย่างนี้อยู่เป็นปี จนวันหนึ่งออกไปธุระ<br />
นอกบ้าน กลับบ้านมารู้สึกแน่นหน้าอก นอนพักครู่หนึ่งแล้วก็ยังไม่หาย<br />
ผมเลยบอกลูกให้รีบพามาที่บำรุงราษฎร์” คุณขจรเกียรติเล่า “เมื่อมาถึง<br />
โรงพยาบาล หมอตรวจอย่างละเอียดก็พบว่าผมเป็นโรคหลอดเลือด
หัวใจตีบ หมอเปิดภาพให้ดูเลยว่าหลอดเลือดหลักที่ไปเลี้ยงหัวใจ<br />
ตีบแล้วทั้งหมด แต่ที่อยู่มาได้ก็เพราะผมออกกำลังกายมาตลอด เลยมี<br />
เส้นเลือดย่อย ๆ เกิดขึ้น และส่งเลือดไปเลี้ยงหัวใจแทน” <br />
<br />
<br />
รักษาและฟื้นฟู<br />
คุณหมอสังเกตว่าผมไม่มี<br />
พัฒนาการทางร่างกาย<br />
แม้จะผ่าตัดบายพาส<br />
มาหลายเดือนแล้ว <br />
จึงต้องทำกายภาพบำบัด<br />
เพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ<br />
แม้จะมีหลอดเลือดฝอยที่คุณขจรเกียรติเรียกว่า ‘เส้นวาสนา’ เกิดขึ้นมา<br />
หล่อเลี้ยงหัวใจไว้ การรักษาอย่างเหมาะสมเพื่อเปิดทางเดินเลือดเข้าสู่<br />
หัวใจก็ยังจำเป็นอย่างยิ่ง คุณขจรเกียรติเล่าต่อว่า “กรณีของผม<br />
ทำบอลลูนขยายหลอดเลือดไม่ได้ ต้องทำบายพาสเท่านั้น ผมตัดสินใจ<br />
เลยไม่รอช้า ไม่กี่ชั่วโมงก็ทำบายพาสเรียบร้อย กลายเป็นคนใหม่ แต่หลัง<br />
จากนั้นก็อยู่แต่บ้าน เหงามาก นอนเฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรเพราะมี<br />
คนทำให้หมดทุกอย่าง คนรอบข้างสังเกตว่าผมซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด<br />
ไม่คิดจะทำอะไรเลยหมดความสนใจไปเฉย ๆ โทรทัศน์ก็ไม่ดู นอนมาก<br />
ก็จริงแต่นอนไม่หลับ ต้องรับประทานยานอนหลับตลอด ผมเริ่มเขียน<br />
พินัยกรรมแล้วด้วยเพราะไม่คิดว่าจะอยู่ได้นาน เหมือนชีวิตหายไปเลย”<br />
หลังจากนั่ง ๆ นอน ๆ ใช้ชีวิตส่วนใหญ่บนเตียงอยู่ถึงหกเดือน ชีวิต<br />
ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง “ผมมีนัดกับ นพ. ชัยอนันต์ ชัยยามานนท์ตามปกติ<br />
เพื่อติดตามอาการ คุณหมอสังเกตว่าผมไม่มีพัฒนาการทางร่างกายเลย<br />
แม้จะผ่าตัดบายพาสมาหลายเดือนแล้ว หมอบอกผมว่ากล้ามเนื้อลีบ<br />
หมดแล้ว ควรจะทำกายภาพบำบัดฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ผมก็เลยได้เข้าร่วม<br />
โปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจโดยมีคุณหมอนำเป็นผู้ดูแล”<br />
<br />
ชีวิตที่เริ่มต้นใหม่<br />
การได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้เข้าร่วมโปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพ<br />
หัวใจเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญซึ่งทำให้คุณขจรเกียรติมีมุมมองแง่บวก<br />
ต่อชีวิตอีกครั้ง <br />
“ในช่วงแรก หมอให้ยืดเส้นยืดสาย และเดินสายพาน” คุณขจรเกียรติ<br />
เล่าต่อ “ตอนแรกแค่ทรงตัวยังแทบทำไม่ได้ ต้องมีคนมาประคอง<br />
ข้างหลัง พอผ่านไปสัก 4 ถึง 5 ครั้ง ก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ สดชื่นขึ้น<br />
เหมือนได้ชีวิตกลับมาเดินเองได้ ทำอะไรได้ คือ รู้สึกว่าเราหายป่วย<br />
แล้วจริง ๆ กินได้ นอนหลับสบาย มีความสุขขึ้นมาก” <br />
เป้าหมายในท้ายที่สุดของคุณขจรเกียรติคือ การได้กลับไปวิ่งอีกครั้ง<br />
อย่างที่ใจรัก ซึ่งเป้าหมายนั้นอยู่อีกไม่ไกลเลย “เดี๋ยวนี้ผมว่ายน้ำ<br />
ที่สระ 50 เมตรได้ 20 เที่ยวโดยไม่หยุด ผมจะกลับไปวิ่งที่สวนลุมให้ได้<br />
เหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้หลอดเลือดหัวใจของผมปลอดโปร่งแล้ว ร่างกาย<br />
ก็พร้อมแล้ว ผมว่าผมน่าจะวิ่งได้ดีกว่าเดิมอีกนะครับ” คุณขจรเกียรติ<br />
กล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มและความมั่นใจ<br />
จ<br />
ากเรื่องราวของคุณขจรเกียรติ เราได้เรียนรู้ว่าการผ่าตัดครั้ง<br />
สำคัญอย่างการทำบายพาสไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนิน<br />
ชีวิตตามปกติเลย หากมีการดูแลฟื้นฟูอย่างถูกวิธี นพ. นำ<br />
ตันธุวนิตย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู <br />
เปิดเผยรายละเอียดเบื้องหลัง “ชีวิตใหม่” ของ<br />
คุณขจรเกียรติ และผู้ป่วยโรคหัวใจรายอื่น ๆ <br />
ที่ผ่านการผ่าตัดครั้งสำคัญมาแล้ว <br />
“การดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจที่ประสบความ<br />
สำเร็จนั้นไม่ใช่แค่ให้การรักษาอย่างเดียว<br />
สิ่งสำคัญคือเมื่อผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลไป<br />
แล้วควรจะต้องสามารถใช้ชีวิตที่มีคุณภาพได้ <br />
ตรงนี้เป็นที่มาของแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพ<br />
นพ.นำ ตันธุวนิตย์<br />
หัวใจอย่างเป็นระบบที่เราเตรียมไว้สำหรับ<br />
ผู้ป่วย หรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ” นพ. นำกล่าว<br />
โปรแกรมการฟื้นฟูหัวใจทางกายภาพบำบัดประกอบไปด้วยสองส่วน <br />
ส่วนแรก เป็นการให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเรื่องการปฏิบัติตัว การดูแลตัวเอง<br />
การฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายอย่างเป็นระบบ<br />
18<br />
เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ รวมถึงการสร้างเสริม<br />
กำลังใจให้ผู้ป่วย ส่วนที่สอง ได้แก่ การให้คำแนะนำในการออกกำลังกาย<br />
ซึ่งช่วงแรกต้องทำควบคู่กับการติดตามสัญญาณคลื่นไฟฟ้าหัวใจ <br />
“กรณีของคุณขจรเกียรติ เราเริ่มจากการเดินบนสายพาน ซึ่งก็พบ<br />
อาการหัวใจเต้นผิดจังหวะบ้างจึงประสานไปทางแพทย์หัวใจ และแก้ไข<br />
จนได้ ระหว่างทำกายภาพบำบัด เราก็ตั้งเป้าด้วยกัน ประเมินผล<br />
พร้อมกัน ซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนนั้นกลายเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วย<br />
พยายามมากขึ้น น่าดีใจที่คุณขจรเกียรติเป็นคนออกกำลังกายอยู่แล้ว <br />
จึงเป็นผู้ที่มีพื้นฐานที่ดี เมื่อได้รับการฟื้นฟูจึงเห็นพัฒนาการอย่าง<br />
รวดเร็ว” นพ. นำเล่า <br />
สิ่งที่ทำให้คุณขจรเกียรติประสบความสำเร็จในความเห็นของนพ. นำ <br />
ได้แก่ การที่ผู้ป่วยให้ความร่วมมือ และมีวินัยในการปฏิบัติตามคำแนะนำ<br />
ของแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลตนเอง การมาพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ<br />
และการนำคำแนะนำไปปฏิบัติด้วยตนเองที่บ้าน “ตอนนี้คุณขจรเกียรติ<br />
ขึ้นบันไดสามชั้นโดยไม่พักได้แล้ว เดินได้เร็วขึ้น กล้ามเนื้อแข็งแรงและ<br />
การทรงตัวดีขึ้น เกือบจะกลับไปวิ่งที่สวนลุมฯ ได้แล้วครับ”
Q & A<br />
พญ. นภิสวดี ว่องชวณิชย์<br />
การควบคุมอาการของโรคเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นโรคความดัน<br />
โลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือโรคไตนั้น นอกจากการใช้ยา<br />
แล้ว ผู้ป่วยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตไป<br />
จากเดิม ซึ่งหลายครั้งที่มักมีคำถามตามมา พบคำตอบที่จะช่วยให้<br />
การมีชีวิตอยู่กับโรคเรื้อรังเป็นไปอย่างราบรื่นจาก พญ. นภิสวดี<br />
ว่องชวณิชย์ ผู้เชี่ยวชาญโรคไต ใน <strong>Better</strong> <strong>Health</strong> ฉบับนี้<br />
Q: ตอนนี้กำลังรับประทานยาลดความดันโลหิต ซึ่งก็ได้ผลดีค่ะ แต่รู้สึก<br />
ว่าไม่อยากจะพึ่งยาไปตลอด ถ้าหยุดรับประทานยาจะเป็นอะไรหรือเปล่าคะ <br />
A: กรณีนี้ ต้องขึ้นอยู่กับว่ามีอาการของอวัยวะที่เริ่มเสื่อมจากความดัน<br />
โลหิตสูงหรือไม่ เช่น โรคหัวใจ ไตเสื่อม เส้นเลือดในสมองตีบ เป็นต้น<br />
ถ้ายังไม่มี ประกอบกับมีการปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวันให้ดีขึ้น เช่น <br />
เลิกบุหรี่ และควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด ก็มีบ้างเหมือนกันที่หยุดยาได้<br />
แต่เป็นส่วนน้อย เพราะหากอวัยวะต่าง ๆ เริ่มแสดงอาการจากความดัน<br />
โลหิตสูงแล้ว ก็จำเป็นต้องกินยาต่อ เพราะยาบางตัวไม่ได้ลดความดันเพียง<br />
อย่างเดียว แต่ช่วยเยียวยาส่วนอื่น ๆ <br />
ภายในร่างกายด้วย<br />
นอกจากนี้ยาลดความดันโลหิต<br />
บางตัว เช่น โคลนิดีน และเบต้า<br />
บล็อคเกอร์หากหยุดทันทีจะทำให้<br />
ความดันขึ้นหรือที่เรียกกันว่า “รีบาวด์”<br />
แบบนี้ผู้ป่วยจะหยุดยาเองไม่ได้ ต้อง<br />
ปรึกษาแพทย์ ซึ่งแพทย์ก็จะใช้วิธีค่อย ๆ ลดยาลง<br />
แต่ก็เฉพาะในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น เพราะโดยปกติ<br />
แพทย์จะไม่แนะนำให้ลดยาอยู่แล้ว<br />
Q: เพื่อนของดิฉันต้องเลิกรับประทานของโปรดทุกชนิดเพราะต้องการ<br />
ควบคุมคอเรสเตอรอล แต่ดิฉันเห็นว่าแทนที่จะคุมอาหารเช่นนี้ น่าจะใช้<br />
วิธีกินยาควบคุมคอเรสเตอรอลแล้วก็รับประทานตามที่ใจต้องการ ชีวิต<br />
น่าจะมีความสุขกว่า อยากถาม<br />
ว่า ในทางการแพทย์แล้ว <br />
วิธีของดิฉันสามารถทำได้<br />
หรือไม่คะ<br />
A: มีบางคนเหมือน<br />
กันที่ไม่อยากคุมอาหาร<br />
ทำให้ต้องใช้ยา แต่ก็แน่นอน<br />
ว่าต้องรับประทานยามากกว่าคนที่คุมอาหาร ซึ่งตามหลักการแล้ว ไม่ควรทำ<br />
ถ้าเป็นนาน ๆ ครั้งก็ยังพอจะเพิ่มยาได้ไม่มีปัญหามากนัก แต่ถ้าทำเป็น<br />
ประจำวัน เช่น อาทิตย์ละสี่ครั้ง อันนี้ก็ต้องดูระดับคอเรสเตอรอลว่าทำได้<br />
ตามที่ตั้งไว้หรือเปล่า และแน่นอนว่าเมื่อเพิ่มปริมาณยาผลข้างเคียง<br />
ของยาก็จะเพิ่มตามไปด้วย ซึ่งอาจนำไปสู่อาการกล้ามเนื้ออักเสบ ตับ<br />
อักเสบ หรืออาการอื่น ๆ ได้นอกจากนี้ ยาคุมคอเรสเตอรอลจะช่วยได้แค่<br />
ระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าจะเพิ่มปริมาณไปเท่าไหร่ ในขณะที่ผลข้างเคียง<br />
จะมากขึ้นตามปริมาณยาที่ได้รับ<br />
Q: เราสามารถล้างไตเองที่บ้านได้หรือไม่ครับ ถ้าทำได้ จะมีข้อแนะนำ หรือข้อควรละเว้น<br />
อะไรบ้าง<br />
A: การล้างไตแบบที่ผู้ป่วยสามารถทำที่บ้านได้ เรียกว่า เพอริโตเนียลไดอาไลซิส ซึ่งผู้ป่วย<br />
จะต้องได้รับการฝึกฝน ให้ล้างไตโดยการนำน้ำยาใส่เข้าไปในบริเวณเยื่อบุช่องท้องผ่านทาง<br />
สายยาง และแช่ทิ้งไว้เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนของเสียระหว่างเส้นเลือดกับน้ำยาในช่องท้อง <br />
ก่อนจะถ่ายน้ำยาทิ้ง <br />
ข้อเสียของวิธีนี้คือ มีโอกาสติดเชื้อที่บริเวณสายยางและอาจลุกลามถึงเยื่อบุช่องท้องได้ง่าย<br />
ผู้ป่วยจึงควรปฏิบัติตามการฝึกอย่างเคร่งครัด ผู้ที่เคยผ่าตัดหรือเคยได้รับบาดแผลบริเวณช่อง<br />
ท้องมาก่อนจะไม่สามารถปฏิบัติได้ เช่นเดียวกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานร่วมด้วยเพราะบางครั้ง<br />
อาจจะมีผลต่อสายตา ทำให้การถ่ายน้ำยาด้วยตัวเองทำได้ยาก ทางที่ดีคือควรจะมีพยาบาล<br />
หรือผู้ชำนาญการคอยดูแลช่วยเหลือทุกครั้ง<br />
หากคุณมีข้อสงสัยเรื่องสุขภาพ ส่งคำถามของคุณมาที่: บรรณาธิการนิตยสาร <strong>Better</strong> <strong>Health</strong> ฝ่ายการตลาดและ<br />
พัฒนาธุรกิจ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล 33 สุขุมวิท ซอย 3 กรุงเทพฯ 10110<br />
20
HEALTH BRIEFS<br />
ลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง<br />
ด้วยคอเรสเตอรอลชนิดดี <br />
เมื่อเดือนมิถุนายน 2010 สถาบันวิจัย Tufts Medical Center<br />
Molecular Cardiology Research Institute ในสหรัฐอเมริกาได้เปิดเผย<br />
ผลการศึกษาล่าสุดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณคอเรสเตอรอล<br />
กับการเป็นโรคมะเร็ง โดยพบว่าผู้ที่มีคอเรสเตอรอลชนิดดี หรือ HDL <br />
(High Density Lipoprotein) อยู่ในระดับสูงจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรค<br />
มะเร็งน้อยลง<br />
การค้นพบที่ถูกตีพิมพ์ใน Journal of the American College of<br />
Cardiology นี้เกิดจากการวิเคราะห์งานวิจัยด้านสุขภาพที่เน้นความ<br />
เกี่ยวข้องของคอเรสเตอรอลกับโรคหัวใจจำนวน 24 ฉบับ และพบว่า<br />
ความเสี่ยงต่อมะเร็งของผู้ป่วยลดลงประมาณ<br />
หนึ่งในสามต่อการเพิ่มขึ้นของคอเรสเตอรอล<br />
ชนิดดี 10 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร<br />
ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าคอเรสเตอรอล<br />
ชนิดดีจะสามารถป้องกันมะเร็งได้ทั้งหมด<br />
เพราะบทบาทของคอเรสเตอรอล ชนิดนี้<br />
คือช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน มีฤทธิ์<br />
ต่อต้านอนุมูลอิสระ และ<br />
ต้านการอักเสบได้ ซึ่งเท่า<br />
กับเป็นการช่วยยับยั้ง<br />
พัฒนาการของเซลล์มะเร็ง<br />
ซึ่งเรื่องของคอเรสเตอรอลกับมะเร็งนี้ยังต้องรอการศึกษาเพิ่มเติมดังนั้น<br />
ในระหว่างนี้ การออกกำลังกายเป็นประจำ การได้รับสารอาหารที่เพียงพอ<br />
และการใส่ใจต่อสุขภาพยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มคอเรสเตอรอล<br />
ชนิดดี<br />
สิ่งที่รายงานนี้ จำเป็นต้องทำการวิจัยต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลสรุปที่<br />
แน่ชัดต่อไป<br />
อันตรายสองเท่า<br />
ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน<br />
The Lancet วารสารการแพทย์ของอังกฤษ ตีพิมพ์งานวิจัยชิ้น<br />
สำคัญซึ่งบ่งชี้ว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือด<br />
สมอง และหัวใจวายมากกว่าผู้ที่มีสุขภาพปกติถึงสองเท่า โดยผล<br />
การวิจัยนี้มาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในสหราชอาณาจักรซึ่งทำ<br />
การวิเคราะห์ประวัติทางการแพทย์ของผู้ใหญ่จำนวนมากถึงราว <br />
700,000 คนจากงานวิจัยกว่า 100 ฉบับ ใน 25 ประเทศทั่วโลก<br />
ปัจจุบัน สถานการณ์ของโรคเบาหวานในประเทศอุตสาหกรรม<br />
ที่พัฒนาแล้วทั้งหลายแทบไม่ต่างอะไรจากโรคระบาด ร้อยละ 10<br />
ของผู้ที่เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจมีสาเหตุมาจากเบาหวาน <br />
ซี่งจำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีมานี้ <br />
ล้วนเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง การขาดการออก<br />
กำลัง และความอ้วน<br />
งานวิจัยชิ้นนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของการป้องกันโรคเบาหวาน<br />
ซึ่งทำได้ด้วยการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็น<br />
ประจำ และตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ<br />
พบแพทย์บ่อยครั้ง ช่วยลดความดันโลหิตได้<br />
อีกหนึ่งผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Hypertension ของ American Heart Association ซึ่งพบว่า<br />
การไปพบแพทย์บ่อยครั้งของผู้ป่วยโรคเบาหวานจะช่วยให้ระดับความดันโลหิตกลับสู่ปกติได้เร็วกว่า<br />
ทั้งนี้ ความดันโลหิตสูงสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานถือเป็นอาการที่รุนแรงเพราะอาจก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดในสมอง หัวใจวาย และปัญหา<br />
สุขภาพอื่น ๆ ที่ล้วนมีอันตรายถึงชีวิต<br />
สำหรับผลสรุปดังกล่าว ได้มาจากการศึกษาความเปลี่ยนแปลงของความดันโลหิต<br />
กับความถี่ในการไปพบแพทย์ของผู้ป่วยโรคเบาหวานจำนวนถึง 5,000 คน เป็นระยะเวลา<br />
5 ปี ผลปรากฏว่า กลุ่มผู้ป่วยที่ไปพบแพทย์อย่างน้อยเดือนละครั้งนั้น โดยเฉลี่ยแล้ว<br />
ความดันโลหิตจะกลับเป็นปกติภายในเวลาน้อยกว่าสองเดือน ในขณะที่ผู้ป่วยซึ่ง<br />
ไปพบแพทย์น้อยกว่าหนึ่งครั้งต่อเดือนใช้เวลาเกินกว่าหนึ่งปีกว่าที่ความดันโลหิตจะ<br />
ลดลงเป็นปกติ<br />
แม้ว่าสาเหตุที่แน่ชัดของความแตกต่างนี้ยังไม่สามารถระบุได้ งานวิจัยนี้ได้เน้นให้เห็น<br />
ความสำคัญของการควบคุมโรคเบาหวานอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยลดความเสี่ยง<br />
จากปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ที่เกิดจากโรคเบาหวาน ได้แก่ คุณภาพของการรักษา การได้รับ<br />
สารอาหารอย่างครบถ้วน และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง<br />
22