ฟังไจ
สà¹à¸¥à¸à¹à¸à¸£à¸°à¸à¸à¸à¸à¸²à¸£à¸à¸£à¸£à¸¢à¸²à¸¢
สà¹à¸¥à¸à¹à¸à¸£à¸°à¸à¸à¸à¸à¸²à¸£à¸à¸£à¸£à¸¢à¸²à¸¢
- No tags were found...
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
บทที่ 6<br />
<strong>ฟังไจ</strong>
<strong>ฟังไจ</strong> (fungi)<br />
• จัดเป็ นจุลินทรีย์กลุ่มยูแคริโอต<br />
• สร้างอาหารเองไม่ได้ ไม่มีคลอโรฟิ ลล์<br />
• ได้อาหารจากการย่อยสลายสารอินทรีย์ที่เน่าเปื่ อยให้มีขนาดเล็กลง เพื่อ<br />
น าเข้าสู ่เซลล์<br />
• สามารถใช้สารอาหารได้หลายชนิด<br />
• ส่วนใหญ่ต้องการอากาศในการเจริญ<br />
• บางชนิดเป็ นปรสิตของสิ่งมีชีวิตอื่น
<strong>ฟังไจ</strong> (fungi)<br />
• ทนต่อสภาวะที่ไม่เหมาะสมได้ดีกว่าจุลินทรีย์ชนิดอื่น ๆ<br />
• เจริญได้ในที่มีความเข้มข้นของน ้าตาลสูง : แยม นมข้น<br />
• ทนต่อสภาพความเป็ นกรดได้ดีกว่าจุลินทรีย์อื่น ๆ
<strong>ฟังไจ</strong> (fungi)<br />
พวกที่เจริญในลักษณะหลาย<br />
เซลล์เรียงกันเป็ นเส้นใย<br />
(hypha)<br />
เจริญเป็ นเซลล์เดี่ยว
โครงสร้าง<br />
ผนังเซลล์<br />
ประกอบด้วยสารในกลุ่มไคทิน (chitin) หรือเซลลูโลสและไคทิน เป็ นส่วนหลัก<br />
อาจมีสารชนิดอื่น ๆ เป็ นส่วนประกอบ : แตกต่างกันไปตามชนิดของ<strong>ฟังไจ</strong>
Penicillium chrysogenum<br />
จะมี 6- ดีออกซีเฮกโซส (6-deoxyhexose) แรมโนส (rhamnose) และไซโลส<br />
(xylose) เป็ นส่วนประกอบด้วย<br />
Polysticus chrysogenum<br />
จะมีเฉพาะไซโลสเท่านั ้น<br />
Neurospora crassa<br />
จะมีสารที่เป็ นโพลิเมอร์ของกาแลกโทซามีน<br />
(galactosamine) ยึดเกาะกับพอลิฟอสเฟต<br />
Penicillium chrysogenum<br />
Neurospora crassa
ผนังเซลล์ของ<strong>ฟังไจ</strong>จะพบโปรตีนและไขมันน้อยมาก<br />
ในยีสต์ แคนดิดา อัลบิแคนส์<br />
จะพบโปรตีนรวมกับพอลิแซ็กคาไรด์ เกิดเป็ นโครงสร้างที่ซับซ้อน ที่<br />
เรียกว่า polysaccharide-protein complex<br />
ในยีสต์ แซ็กคาโรไมซีส<br />
โปรตีนจะรวมกับแมนแนน (mannan) เกิดเป็ นโครงสร้างที่เรียกว่า<br />
mannan-protein complex<br />
ในส่วนของไขมันจะพบเล็กน้อย
ในผนังเซลล์ของก้านชูสปอร์ (sporangiospore) ของรา Phycomyces<br />
พบไขมันเป็ นองค์ประกอบมากกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ของน ้าหนักแห้ง<br />
นอกจากนี ้ที่ผนังเซลล์ของ<strong>ฟังไจ</strong>ยังอาจพบลิกนิน (lignin) ได้อีกด้วย
เยื่อหุ ้มเซลล์<br />
ประกอบด้วยไขมันและโปรตีน ในรูปของสารประกอบเชิงซ้อนของ<br />
lipoprotein โดยมีจ านวนและชนิดของไขมันและโปรตีนแตกต่าง<br />
กันไปตามชนิดของ<strong>ฟังไจ</strong>
ร่างแหเอนโดพลาซึม<br />
เป็ นออร์แกเนลล์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการล าเลียงสารภายในเซลล์<br />
พบกระจายอยู ่ทั่วไปในเซลล์<br />
มีลักษณะเป็ นเยื่อหุ้มแบบยูนิตเมมเบรน ลักษณะคล้ายท่อเล็ก ๆ แพร่กระจายทั่วไซ<br />
โทพลาซึมและเชื่อมต่อกันเป็ นแขนง บางส่วนพองออกเป็ นถุงแบน ๆ เรียกว่าซิส<br />
เทอร์นี (cisternae) บางส่วนพองออกเป็ นถุงเล็ก ๆ (vesicle) ภายใน<br />
ท่อของร่างแหเอนโดพลาซึมจะมีของเหลวใสบรรจุอยู ่เรียกว่า เมทริกซ์<br />
(matrix) ของเหลวนี ้ประกอบด้วยสารหลายชนิด เช่น โปรตีน ลิพิด และ<br />
เอนไซม์ เป็ นต้น
ร่างแหเอนโดพลาซึม<br />
ร่างแหเอนโด พลาซึมชนิดขรุขระ<br />
(rough endoplasmic reticulum หรือ<br />
RER)<br />
ร่างแหเอนโดพลาซึมชนิดเรียบ<br />
(smooth endoplasmic reticulum<br />
หรือ SER)<br />
ที่ผิวด้านนอกมีไรโบโซมเกาะอยู ่เป็ นจ านวนมาก ไม่มีไรโบโซมเกาะ<br />
ท าให้มองเห็นลักษณะเป็ นผิว<br />
ขรุขระเมื่อส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน
ร่างแหเอนโด พลาซึมชนิดขรุขระ<br />
ร่างแหเอนโด พลาซึมชนิดเรียบ<br />
ร่างแหเอนโด พลาซึมชนิดเรียบ<br />
ไรโบโซมบนเยื่อของ<br />
ร่างแหเอนโด พลาซึม<br />
ไรโบโซม
กอลจิคอมเพล็กซ์ (golgi complx)<br />
กอลจิแอปพาราตัส (golgi apparatus)<br />
กอไจบอดี (golgi body)
มีลักษณะเป็ นเส้นเล็ก ๆ ติดสีด า เรียงตัวประสานกันเป็ นร่างแหอยู ่ตอนปลาย<br />
ของ ร่างแหเอนโดพลาซึมบริเวณรอบ ๆ นิวเคลียส<br />
ประกอบด้วยยูนิตเมมเบรน มีลักษณะเป็ นถุง แบน ๆ คล้ายจาน เรียกว่า ซิส<br />
เทอร์นา (cisterna) เรียงซ้อนกันหลายอันเป็ นตั ้ง ๆ แต่ละตั ้งเรียกว่า ซิสเทอร์นี<br />
(cisternae)<br />
ตอนปลายของถุงซิสเทอร์นาจะมีลักษณะพองออกเป็ นถุงเล็ก ๆ (golgi vesicle)<br />
จ านวนมาก ภายในซิสเทอร์นาและถุงเล็กดังกล่าวจะมีสารสะสมอยู ่<br />
ท าหน้าที่ร่วมกับร่างแหเอนโดพลาซึมในการสังเคราะห์สารต่าง ๆ
ก<br />
ข<br />
กลุ ่มของ<br />
กอลไจแอป<br />
พาราตัส<br />
ร่างแหเอน<br />
โดพลาซึม<br />
ชนิดขรุขระ<br />
ภาพจากกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน<br />
ภาพวาดกอลไจแอปพาราตัส
ไมโทคอนเดรีย<br />
พบในไซโทพลาซึมของเซลล์พวกยูแคริโอต ที่มีการหายใจแบบใช้<br />
ออกซิเจน (aerobic respiration)<br />
ประกอบด้วยยูนิตเมมเบรนสองชั ้น ชั ้นในจะพับยื่นเข้าข้างในเป็ นแผ่น<br />
หรือท่อ เรียกว่าคริสตี (cristae)<br />
เป็ นแหล่งที่อยู ่ของเอนไซม์เกี่ยวข้องกับการหายใจและสร้างพลังงาน<br />
ให้กับเซลล์ มีเอนไซม์ที่เกี่ยวกับปฏิกิริยาออกซิเดชัน (oxidation)<br />
อยู ่เป็ นจ านวนมาก เอนไซม์ทุกชนิดในวัฏจักรเครบส์
พลาสทิด (plastid)<br />
• มีบทบาทในการสร้างและสะสมอาหาร<br />
• หากใช้สารสีที่เป็ นองค์ประกอบเป็ นเกณฑ์ในการจ าแนก สามารถแบ่ง<br />
ออกได้เป็ นสองกลุ่ม<br />
พลาสทิดที่ไม่มีสารสี พลาสทิดที่มีสารสีอยู ่ภายใน<br />
ลิวโคพลาสต์<br />
(leucoplast)<br />
พวกที่มีสีเขียว : คลอโรพลาสต์<br />
พวกที่มีสีอื่น ๆ : โครโมพลาสต์<br />
(chromoplast)<br />
ไม่พบใน<strong>ฟังไจ</strong><br />
สร้างอาหารเอง<br />
ไม่ได้
ไรโบโซม<br />
มีลักษณะเป็ นอนุภาคทรงกลมขนาดเล็ก ไม่มีเยื่อหุ้ม<br />
ประกอบด้วยสองหน่วยย่อยเช่นเดียวกับที่พบในแบคทีเรีย แต่มีขนาดที่<br />
แตกต่าง<br />
ไรโบโซมจากเซลล์ของสิ่งมีชีวิตพวกยูแคริโอตจะมีขนาด 80 S ประกอบด้วย<br />
หน่วยย่อยใหญ่ขนาด 60 S และหน่วยย่อยเล็กขนาด 40 S
นิวเคลียส<br />
สามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยการย้อมสี<br />
แต่ละเซลล์อาจมีนิวเคลียสหนึ ่งอันหรือมากกว่า<br />
ในแต่ละนิวเคลียสจะมีนิวคลีโอลัส (nucleolus) 1 อัน ติดอยู ่กับเยื่อหุ้มนิวเคลียส<br />
(nuclear membrane)
การแบ่งนิวเคลียสของราจะแตกต่างจากพืชและสัตว์ โดยพบมีเยื่อหุ้ม<br />
นิวเคลียสตลอดการแบ่งนิวเคลียส นิวเคลียสมีการยืดยาวออกเป็ น<br />
รูปดัมเบล (dumb-bell-shaped) และขาดออกเป็ นสองนิวเคลียส<br />
โครโมโซมของราส่วนใหญ่มีรูปร่างเป็ นเส้นยาว (thread-like) แต่ใน<br />
ยีสต์และราบางชนิดอาจมีรูปร่างกลม (spherical chromosome) ก็ได้
เส้นใย (hypha)<br />
ประกอบด้วยเซลล์หลายเซลล์เรียงต่อในแนวเดียวกัน<br />
เมื่อมีการเพิ่มจ านวนและรวมกลุ่มจนมีขนาดใหญ่ มองเห็นด้วยตาเปล่า จะ<br />
เรียกว่า ไมซีเลียม (mycelium)<br />
เส้นใยของรานี ้ สามารถแบ่งได้เป็ น 2 กลุ่ม<br />
1. เส้นใยที่ไม่มีผนังกั ้น (nonseptate หรือ coenocytic hypha)<br />
2. เส้นใยมีผนังกั ้น (septate hypha)
ไมซีเลียม<br />
เส้นใย<br />
สปอร์
เส้นใยที่ไม่มีผนังกั ้น<br />
(nonseptate หรือ coenocytic hypha)<br />
กันตลอด<br />
ลักษณะของเส้นใยที่ไม่มีผนังกั ้นนี ้ท าให้เกิดเป็ นท่อทะลุถึง<br />
ไซโทพลาสซึมและนิวเคลียสอยู ่ปะปนกัน<br />
นิวเคลียส
เส้นใยมีผนังกั ้น<br />
(septate hypha)<br />
เซลล์จะถูกแบ่งด้วยผนังกั ้นที่มีรูตรงกลาง<br />
ภายในมีนิวเคลียส ไซโทพาสซึมและออร์แกเนลล์ต่าง ๆ โดย<br />
แต่ละเซลล์อาจมีหนึ ่งหรือหลายนิวเคลียส
การเจริญ<br />
เป็ นแบบ 2 ทิศทาง คือ<br />
การเจริญตามขวาง ซึ ่งจะหยุดเมื่อมีการเจริญเต็มที่<br />
การเจริญตามยาว ซึ ่งจะเจริญทางด้านปลาย โดยเส้นใยจะเจริญและแตกแขนง<br />
ออกไปได้อย่างต่อเนื่องตราบเท่าที่มีสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม<br />
เส้นใยอาจเรียงตัวประสานกันในลักษณะอัดกันหลวม ๆ ตามยาว คล้ายเนื ้อเยื่อ<br />
เรียกว่า โพรเซนไคมา (prosenchyma) และในลักษณะอัดแน่นคล้าย เนื ้อเยื่อ<br />
พาเรงคิมาของพืชชั ้นสูง (parenchyma) เรียกว่า ซูโดพาเรงคิมา<br />
(pseudoparenchyma)
mycelium<br />
ส่วนที่ยึดเกาะกับอาหาร<br />
(somatic หรือ vegetative mycelium)<br />
ดูดซึมอาหารที่ย่อยแล้วไปเลี ้ยงส่วน<br />
ต่าง ๆ<br />
ส่วนที่ยื่นไปในอากาศ<br />
(aerial หรือ reproductive mycelium)<br />
ท าหน้าที่เพื่อสร้างการสืบพันธุ์
นอกจากนี ้ยังมี<strong>ฟังไจ</strong>อีกหลายชนิดที่เส้นใยมีการเจริญและเปลี่ยนแปลงไปท าหน้าที่เฉพาะ<br />
ไรซอยด์ (rhizoid)<br />
เป็ นเส้นใยที่มีลักษณะคล้าย<br />
รากพืชชั ้นสูง ช่วยในการยึด<br />
ติดกับผิวอินทรีย์วัตถุเพื่อดูด<br />
ซึมสารอาหาร
สเครอโรเทีย (sclerotia)<br />
เส้นใยที่อัดตัวกัน<br />
ท าให้ทนต่อสภาวะที่ไม่<br />
เหมาะสมได้ดี
ฮอสทอเรีย (haustoria)<br />
พบใน<strong>ฟังไจ</strong>ที่ด ารงชีวิตแบบ<br />
ปรสิต<br />
เป็ นเส้นใยที่แทรกเข้าไปใน<br />
เซลล์ของโฮสต์ เพื่อดูด<br />
สารอาหารมาใช้ส าหรับการ<br />
เจริญ
การสืบพันธุ ์<br />
แบบไม่อาศัยเพศ (asexual reproduction)<br />
แบบอาศัยเพศ (sexual reproduction)<br />
เกิดขึ ้นได้อย่างรวดเร็ว<br />
คราวละมาก ๆ
การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ<br />
(asexual reproduction)<br />
การแตกหักเป็ นส่วน ๆ<br />
(fragmentation)<br />
เส้นใยที่ฉีดขาดสามารถเจริญเป็ นเส้นใยใหม่ได้<br />
ส่วนที่ฉีดขาดเป็ นชิ้นนี ้เรียกว่าออยเดีย (oidia)<br />
วิธีการนี ้เป็ นวิธีการที่ใช้<br />
ส าหรับการถ่ายเชื ้อ<strong>ฟังไจ</strong><br />
ในห้องปฏิบัติการทางจุล<br />
ชีววิทยา
การแตกหน่อ<br />
(budding)<br />
การที่เซลล์ยื่นออกเป็ นหน่อเล็ก ๆ นิวเคลียส<br />
ของเซลล์แม่มีการแบ่งออกเป็ นสองนิวเคลียส<br />
นิวเคลียสหนึ ่งเคลื่อนที่ไปบริเวณหน่อ<br />
เมื่อหน่อเจริญเต็มที่จะหลุดออกจากเซลล์แม่<br />
บางครั ้งหน่อไม่หลุดและมีการแบ่งเซลล์ไปเรื่อย ๆ จนเกิดการเรียงต่อกันเป็ น<br />
สายยาวคล้ายไมซีเลียม เรียกว่า ซูโดไมซีเลียม (pseudomycelium)<br />
พบในยีสต์บางชนิด เช่น แคนดิดา อัลบิแคนส์
หน่อ<br />
ก<br />
นิวเคลียส<br />
รอยแผล<br />
ข<br />
ซูโดไฮฟา<br />
ค
การแบ่งตัว<br />
(fission)<br />
เป็ นการสืบพันธุ์โดยการคอดเว้าของผนังกั ้น<br />
บริเวณกลางเซลล์ เพื่อแบ่งออกเป็ นสองเซลล์<br />
พบในยีสต์บางชนิด<br />
การสร้างสปอร์<br />
(sporulation)<br />
เป็ นการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศที่พบมากที่สุด<br />
ของ<strong>ฟังไจ</strong><br />
เกิดจากการแบ่งเซลล์แบบไมโทซีส และไม่มี<br />
การรวมกันของนิวเคลียสของเซลล์<br />
มีวิธีการสร้าง และเรียกชื่อแตกต่างกัน
โคนิดิโอสปอร์หรือโคนิเดีย (conidiospore หรือ conidia)<br />
เป็ นสปอร์ที่เกิดที่ปลายของเส้นใย<br />
มีทั ้งขนาดเล็ก เรียกว่าไมโครโคนิเดีย<br />
(microconidia) ซึ ่งมีรูปร่างแตกต่างกันไป เช่น<br />
กลม รูปไข่ รี และรูปท่อน เป็ นต้น มีหลายสี<br />
เช่น ด า น ้าตาล ส้ม แดง เหลือง และไม่มีสี<br />
พบใน<strong>ฟังไจ</strong>ทั่วไป ยกเว้นในกลุ่มของไซโกไม<br />
ซีทีส (Zygomycetes) และโคนิเดียขนาดใหญ่<br />
(macroconidia)<br />
พบในพวกที่ท าให้เกิดโรคผิวหนัง<br />
(dermatophyte)
สปอแรงจิโอสปอร์ (sporangiospore)<br />
เป็ นสปอร์ที่เกิดภายในถุงหรืออับสปอร์<br />
(sporangium)<br />
เกิดจากปลายเส้นใยที่พองออก แล้วสร้าง<br />
ผนังกั ้นภายใน<br />
มีทั ้งแบบที่เคลื่อนโดยอาศัยแฟลเจลลา<br />
เรียกว่าซูโอสปอร์ (zoospore) และแบบ<br />
เคลื่อนที่ไม่ได้ เรียกว่าอะพลาโนสปอร์<br />
(aplanospore)<br />
พบในกลุ่มของไซโกไมซีทีส เช่น ไรโซปัส<br />
(Rhizopus) และมูคอร์ (Mucor) เป็ นต้น
แคลมิโดสปอร์ (chlamydospore)<br />
เป็ นสปอร์ที่เกิดจากเซลล์ของเส้นใยสร้างผนังขึ ้นมาห่อหุ้ม<br />
ช่วยให้สามารถมีชีวิตอยู ่ในสภาพที่ไม่เหมาะสมได้เป็ นเวลานาน
อาร์โธรสปอร์หรือออยเดีย (arthrospore หรือ oidia)<br />
เป็ นสปอร์เซลล์เดียวที่เกิดจากการที่เส้นใยหลุดออกมากลายเป็ นสปอร์<br />
บลาสโทสปอร์ (blastospore)<br />
เป็ นสปอร์ที่เกิดจากการแตกหน่อของสปอร์เดิม<br />
blastospore<br />
arthrospore
การสืบพันธุ ์แบบอาศัยเพศ<br />
พลาสโมแกมี (plasmogamy)<br />
การที่ไซโทพลาสซึมของเซลล์สองเซลล์เกิดการรวมกัน กลายเป็ นเซลล์ที่มีสอง<br />
นิวเคลียส เรียกเซลล์ในระยะนี ้ว่าไดแคริออน (dikaryon)<br />
ทั ้งสองนิวเคลียสมีโครโมโซมเป็ นแฮปพลอยด์ (haploid)
แคริโอแกมี (karyogamy)<br />
นิวเคลียสทั ้งสองเกิดการรวมกัน ได้นิวเคลียสที่มีโครโมโซมเป็ นดิพลอยด์<br />
(diploid)<br />
สุดท้ายจะเกิดไมโอซิส (meiosis) เพื่อลดจ านวนโครโมโซมที่เป็ นดิพลอยด์ ให้<br />
เหลือเป็ นแฮปพลอยด์อีกครั ้ง
่<br />
ระยะไดแคริโอทิก (dikaryotic stage)<br />
การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของ<strong>ฟังไจ</strong><br />
แบ่งออกเป็ น 3 ระยะ<br />
เป็ นระยะที่ไซโทพลาซึมของทั ้งสองเซลล์มารวมกัน มองเห็นนิวเคลียส 2 อัน อยู<br />
รวมกันด้วย<br />
นิวเคลียสทั ้งสองนี ้มีโครโมโซมแบบแฮพลอยด์ (haploid) เรียกเซลล์ในระยะนี ้ว่า<br />
ไดแคริออน
ระยะดิพลอยด์ (diploid stage)<br />
เป็ นระยะที่นิวเคลียสทั ้งสองเกิดการรวมกัน ท าให้นิวเคลียสมี<br />
โครโมโซมแบบดิพลอยด์ (2n)<br />
ใน<strong>ฟังไจ</strong>ชั ้นต ่าระยะนี ้จะเกิดทันทีหลังจากมีการรวมกันของไซโทพลาซึม<br />
ขณะที่<strong>ฟังไจ</strong>ชั ้นสูงจะเกิดขึ ้นอย่างช้า ๆ<br />
ระยะแฮพลอยด์ (haploid stage)<br />
เป็ นระยะที่นิวเคลียสซึ ่งมีโครโมโซมแบบดิพลอยด์เกิดการแบ่งตัวแบบ<br />
meiosis<br />
เกิดเป็ นสปอร์ที่มีโครโมโซมแบบแฮพลอยด์
การหลอมรวม<br />
นิวเคลียส<br />
การหลอมรวม<br />
ไซโทพลาสซึม<br />
ระยะไดคาริโอทิก<br />
(n+n)<br />
ระยะดิพลอยด์<br />
(2n)<br />
ระยะแฮพลอยด์<br />
(n)<br />
ไมโอซิส
สปอร์ที่เกิดจากการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศนี ้จะมีจ านวนน้อยกว่าสปอร์ที่ได้จาก<br />
การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ แต่มีหลายชนิด<br />
แอสโคสปอร์ (ascospore) เป็ นสปอร์ที่เกิดขึ ้นภายในถุงแอสคัส<br />
(ascus) โดยภายในถุงแอสคัสจะประกอบด้วย 8 แอสโคสปอร์<br />
ลักษณะสปอร์แบบนี ้พบในคลาสแอสโคไมซีตีส (Ascomycetes)
โอโอสปอร์ (oospore) เป็ นสปอร์ที่เกิดภายในโอโอโกเนียม<br />
(oogonium) เกิดจากการรวมนิวเคลียสของเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ที่<br />
สร้างจากแอนเทอริเดียม (antheridium) และเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย<br />
พบในคลาสโอโอไมซีทีส (Oomycetes)
เบสิดิโอสปอร์ (basidiospore) เป็ นสปอร์ที่เกิดที่ส่วนปลายของเบสิเดียม<br />
(basidium) โดยมีการสร้างสเตอริกมา (sterigma) ขึ ้น และนิวเคสียสที่<br />
เกิดจากการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสแทรกตัวเข้าไปอยู ่ภายใน มักมี 4<br />
เบสิดิโอสปอร์ต่อหนึ ่งก้านสเตอริกมา พบในคลาสเบสิดิโอไมซีทิส<br />
(Basidiomycetes)<br />
เบสิดิโอสปอร์
ไซโกสปอร์ (zygospore) เป็ นสปอร์ขนาดใหญ่ที่เกิดจากการรวมตัวของ<br />
นิวเคลียสจากเส้นใย 2 สายที่มาพบกัน แล้วสร้างผนังหนาขึ ้นมา<br />
ห่อหุ้ม เพื่อให้ทนต่อสภาวะแวดล้อม พบในไรโซปัส และมูคอร์
การด ารงชีวิต<br />
<strong>ฟังไจ</strong>ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ จึงจะต้องได้อาหารจากสิ่งมีชีวิตอื่น และ<br />
อินทรีย์วัตถุต่าง ๆ ดังนั ้นการด ารงชีวิตของ<strong>ฟังไจ</strong>จึงอยู ่ในรูปของปรสิต หรือ<br />
แซโพรไฟต์ (saprophyte)
การด ารงชีวิตในรูปแบบของปรสิต<br />
เจริญบนเนื ้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตอื่น โดยอาจเป็ นพืชหรือสัตว์<br />
สามารถแบ่งออกเป็ น 2 กลุ่ม<br />
กลุ่มที่เจริญได้เฉพาะเนื ้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตเท่านั ้น<br />
กลุ่มที่ตามปกติจะเจริญบนเนื ้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต<br />
แต่สามารถปรับตัวให้เจริญบนซากสิ่งมีชีวิต<br />
หรืออาหารเลี ้ยงเชื ้อในห้องปฏิบัติการได้
การจัดจ าแนกหมวดหมู ่ของ<strong>ฟังไจ</strong><br />
ลักษณะของสปอร์แบบมีเพศ และการ<br />
สร้างฟรุติงบอดี (fruiting body) ใน<br />
วงจรชีวิตแบบอาศัยเพศ เป็ นส าคัญ<br />
ในกรณีที่ไม่ทราบวงจรชีวิตที่สมบูรณ์<br />
หรือมีการสร้างสปอร์และฟรุตทิบอดี<br />
เฉพาะในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม<br />
เท่านั ้น การจัดจ าแนกก็จะใช้ลักษณะ<br />
ทางสัณฐานวิทยาของสปอร์แบบไม่<br />
อาศัยเพศ โครงสร้าง การเจริญเติบโต<br />
และการด ารงชีวิตเข้ามาประกอบ
ค าถามท้ายบท<br />
• จงยกตัวอย่างออร์แกเนลล์ของ<strong>ฟังไจ</strong>ที่ไม่พบในแบคทีเรียมา 3 ชนิด<br />
• เส้นใยของเชื ้อรามีกี่แบบ อธิบาย<br />
• การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของ<strong>ฟังไจ</strong>มีกี่แบบ อธิบาย<br />
• จงยกตัวอย่างสปอร์แบบไม่อาศัยเพศของ<strong>ฟังไจ</strong>มา 3 ชนิด พร้อมอธิบาย<br />
• จงยกตัวอย่างสปอร์แบบอาศัยเพศของ<strong>ฟังไจ</strong>มา 3 ชนิด พร้อมอธิบาย<br />
• การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของ<strong>ฟังไจ</strong> มีกี่ระยะ อธิบาย<br />
• จงอธิบายหลักเกณฑ์ในการจัดจ าแนกหมวดหมู ่ของ<strong>ฟังไจ</strong>มาพอเข้าใจ