การเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์
สà¹à¸¥à¸à¹à¸à¸£à¸°à¸à¸à¸à¸à¸²à¸£à¸à¸£à¸£à¸¢à¸²à¸¢
สà¹à¸¥à¸à¹à¸à¸£à¸°à¸à¸à¸à¸à¸²à¸£à¸à¸£à¸£à¸¢à¸²à¸¢
- No tags were found...
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
บทที่ 5<br />
<strong>การเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์</strong>
การเพาะเลี ้ยงจุลินทรีย์<br />
ปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการเจริญของจุลินทรีย์ที่ต้องการเลี ้ยง<br />
แหล่งคาร์บอน<br />
แหล่งพลังงาน<br />
ในรูปของสารอาหารที่จุลินทรีย์ใช้ในการเจริญได้<br />
สภาพทางกายภาพเหมาะสม : pH, temp. and O 2
การเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ = การเพิ่มจ านวนของจุลินทรีย์<br />
*ไม่ใช่การเพิ่มขนาดเพียงอย่างเดียวเหมือนสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ<br />
growth
สภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการเจริญของจุลินทรีย์<br />
อุณหภูมิ<br />
ออกซิเจน<br />
พีเอช<br />
แรงดันออสโมติก
อุณหภูมิ<br />
• ส าคัญต่อการเจริญของจุลินทรีย์อย่างยิ่ง<br />
• จุลินทรีย์แต่ละชนิดจะมีช่วงของอุณหภูมิในการเจริญแตกต่างกัน<br />
minimum temperature<br />
- อุณหภูมิต ่าสุดที่<br />
จุลินทรีย์เจริญได้<br />
- แต่มีการแบ่งเซลล์น้อย<br />
มาก<br />
optimum temperature<br />
- อุณหภูมิเหมาะสม<br />
ส าหรับการเจริญ<br />
- มีการแบ่งเซลล์ได้อย่าง<br />
รวดเร็วที่สุด<br />
maximum temperature<br />
- อุณหภูมิสูงสุดที่จุลินทรีย์<br />
เจริญได้<br />
- อุณหภูมิสูงกว่านี้จะไม่<br />
เจริญเติบโต<br />
ช่วงของอุณหภูมิทั ้งสาม เรียกว่า cardinal temperature
ช่วงอุณหภูมิที่จุลินทรีย์แต่ละชนิดสามารถเจริญได้<br />
จุลินทรีย์<br />
Bacillus psychrophilus<br />
Micrococcus cryophilus<br />
Staphylococcus aureus<br />
Enterococcus faecalis<br />
Escherichia coli<br />
Neisseria gonorrhoeae<br />
Thermoplasma acidophilum<br />
Thermus aquaticus<br />
Pyrococcus abyssi<br />
Pyrolobus fumarii<br />
อุณหภูมิ (องศาเซลเซียส)<br />
ต ่าสุด เหมาะสม สูงสุด<br />
-10<br />
-4<br />
6.5<br />
0<br />
10<br />
30<br />
45<br />
40<br />
67<br />
90<br />
23-24<br />
10<br />
30-37<br />
37<br />
37<br />
35-36<br />
59<br />
70-72<br />
96<br />
106<br />
28-30<br />
24<br />
46<br />
44<br />
45<br />
38<br />
62<br />
79<br />
102<br />
113<br />
ที่มา (ดัดแปลงจาก Prescott, Harley and Klein, 2005, p. 123)
ถ้าหากจ าแนกจุลินทรีย์ตามอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญ<br />
จะสามารถจ าแนกได้เป็ น 3 กลุ่ม<br />
psychrophile<br />
mesophile<br />
thermopile<br />
จุลินทรีย์ที่สามารถเจริญได้ที่อุณหภูมิ 0 C หรือต ่ากว่า<br />
จุลินทรีย์ที่สามารถเจริญได้ที่อุณหภูมิปานกลาง ~ 25-40 C<br />
จุลินทรีย์ที่สามารถเจริญได้ที่อุณหภูมิสูงระหว่าง 45-60 C
psychrophile จุลินทรีย์ที่สามารถเจริญได้ที่อุณหภูมิ 0 C หรือต ่ากว่า<br />
อุณหภูมิต ่าสุดในการเจริญ 0 C<br />
อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเจริญ 15-20 C<br />
อุณหภูมิสูงสุดในการเจริญ 30 C<br />
Pseudomonas<br />
Achromobacter<br />
Flavobacterium<br />
Micrococcus
mesophile จุลินทรีย์ที่สามารถเจริญได้ที่อุณหภูมิปานกลาง ~ 25-40 C<br />
อุณหภูมิต ่าสุดในการเจริญ 5-25 C<br />
อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเจริญ 37 C<br />
อุณหภูมิสูงสุดในการเจริญ 43 C<br />
จุลินทรีย์ที่ท าให้เกิดโรคในมนุษย์<br />
Neisseria gonorrhoea<br />
Treponema pallidum<br />
Salmonella typhosa<br />
Shigella dysenteriae<br />
จุลินทรีย์ที่มีถิ่นอาศัยอยู ่ในร่างกายมนุษย์<br />
E. coli<br />
Enterobacter aerogenes
thermopile จุลินทรีย์ที่สามารถเจริญได้ที่อุณหภูมิสูงระหว่าง 45-60 C<br />
อุณหภูมิต ่าสุดในการเจริญ<br />
25-45 C<br />
อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเจริญ 50-55 C<br />
อุณหภูมิสูงสุดในการเจริญ 60-85 C<br />
Bacillus coagulans<br />
Bacillus stearothermophilus<br />
Lactobacillus delbruckii
ออกซิเจน<br />
มีผลต่อการเจริญของจุลินทรีย์<br />
จ าแนกจุลินทรีย์ออกเป็ น 4 กลุ่ม ตามความต้องการออกซิเจนได้
obligate aerobes<br />
จุลินทรีย์ที่ต้องการออกซิเจนเพื่อใช้สร้างพลังงาน<br />
เนื่องจากไม่สามารถสร้างพลังงานโดยกระบวนการหมัก<br />
Bacillus and Pseudomonas<br />
facultative anaerobe<br />
สามารถสร้างพลังงานได้จากกระบวนการหายใจหรือกระบวนการหมัก<br />
ไม่จ าเป็ นต้องใช้ออกซิเจนในการสังเคราะห์ต่าง ๆ<br />
Escherichia, Proteus and Enterobacter
microaerophile<br />
ต้องการออกซิเจนน้อยกว่า 0.2 บรรยากาศ<br />
ถ้ามีออกซิเจนในปริมาณมากจะเจริญได้อย่างช้า ๆ<br />
Lactobacillus and Nessserria<br />
anaerobe<br />
เป็ นพิษกับเซลล์<br />
ไม่สามารถเจริญได้ในสภาวะที่มีออกซิเจน<br />
เนื่องจากขาด catalase ในการสลาย H 2 O 2 ที่เกิดจากO 2 +H 2 O<br />
Clostridium, Methanobacterium and Bacteroides
OBLIGATE<br />
AEROBE<br />
OBLIGATE<br />
ANAEROBE<br />
FACULTATIVE<br />
ANAEROBE<br />
AEROTOLERANT<br />
ANAEROBE
การเจริญในอาหารเหลวของจุลินทรีย์<br />
สามารถสังเกตปริมาณการเจริญเติบโตว่าอยู ่ในระดับมาก ปานกลาง หรือน้อย<br />
สังเกตการเจริญและกระจายตัวในอาหารเหลวว่าสม ่าเสมอหรือเฉพาะบางต าแหน่ง<br />
การเจริญของจุลินทรีย์ในอาหารเหลวนี ้ บอกความต้องการออกซิเจนในการเจริญ<br />
เจริญที่ผิวหน้าของอาหารเลี ้ยงเชื ้อ : ต้องการออกซิเจนในการเจริญ<br />
เจริญมากที่บริเวณก้นหลอดทดลอง :ไม่ต้องการออกซิเจนในการเจริญ<br />
เจริญกระจายตัวทั่วทั ้งหลอดทดลอง :เจริญได้ทั้งในที่มีและไม่มีออกซิเจน
pH<br />
ส่วนใหญ่ต้องการค่าพีเอชที่เหมาะสมในการเจริญอยู ่ในช่วง 6.5-7.5<br />
แต่อาจมีจุลินทรีย์บางชนิดที่สามารถเจริญได้ที่ช่วงพีเอชอื่น เช่น<br />
Thiobacillus thiooxidans เจริญได้ที่พีเอช 2<br />
Alcaligenes faecalis เจริญได้ที่พีเอช 8.5<br />
เมื่อเลี ้ยงจุลินทรีย์ในอาหารเลี ้ยงเชื ้อได้ระยะหนึ ่ง pH ของอาหารจะเปลี่ยนแปลง<br />
จุลินทรีย์ที่เจริญปล่อยสารบางอย่างออกมา<br />
การย่อยสลายโปรตีนและสารประกอบไนโตรเจน จะปล่อยแอมโมเนีย/อัลคาไลน์อื่นๆออกมา<br />
การย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตจะปล่อยสารอินทรีย์ออกมา
ในการเตรียมอาหารเลี ้ยงเชื ้อจึงต้องเติมสารที่ท าหน้าที่เป็ นบัฟเฟอร์<br />
เพื่อช่วยให้พีเอชของอาหารเลี ้ยงเชื ้อเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ<br />
การจัดแบ่งจุลินทรีย์โดยอาศัยคุณสมบัติในการเจริญที่พีเอชต่าง ๆ กัน<br />
แบ่งออกได้เป็ น 2 กลุ่ม<br />
alkaliphilic microorganism<br />
เจริญได้ในอาหาร<br />
เลี ้ยงเชื ้อที่เป็ นเบส :<br />
Vibrio cholerae<br />
acidophilic microorganism<br />
เจริญได้ในอาหาร<br />
เลี ้ยงเชื ้อที่เป็ นกรด :<br />
Lactobacillus<br />
Streptococcus
osmotic pressure<br />
มีผลต่อจุลินทรีย์แตกต่างกันไป<br />
ขึ้นอยู ่กับความเข้มข้นของสารละลายและชนิดของจุลินทรีย์
แรงดันออสโมซิสของเซลล์<br />
จุลินทรีย์>สารละลายภายนอก<br />
ท าให้น ้าไหลเข้าสู ่เซลล์เกิด<br />
การรเต่งบวมของเซลล์<br />
“plasmoptysis”<br />
อาจท าให้เซลล์แตกได้<br />
หากผนังเซลล์จุลินทรีย์ไม่แข็งแรงพอ<br />
จุลินทรีย์ใส่ในสารละลายของน ้าเกลือเข้มข้น 0.01 เปอร์เซ็นต์<br />
นาน 5-20 นาที<br />
น ้าจากภายนอกเซลล์จะไหลออกสู ่ภายในเซลล์<br />
ท าให้เซลล์เต่งบวม
ถ้าสารละลายภายนอกเซลล์มีแรงดัน<br />
ออสโมติกสูงกว่าภายในเซลล์<br />
น ้าจากภายในเซลล์จะไหลออกสู ่j<br />
ภายนอก ท าให้เซลล์เกิดการเหี่ยว<br />
“plasmolysis”<br />
น าจุลินทรีย์ใส่ในสารละลายของซูโครสเข้มข้น 12 เปอร์เซ็นต์<br />
นาน 5-20 นาที<br />
น ้าจากภายในเซลล์จะไหลออกสู ่ภายนอกเซลล์<br />
เซลล์เหี่ยว
http://botit.botany.wisc.edu/images/130/Diffusion_Osmosis/Plasmolysis_and_recovery.html
การเลี ้ยงจุลินทรีย์ในที่มีแรงดันออสโมติกสูง<br />
จะท าให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือสมบัติทางสรีรวิทยาของเซลล์<br />
เช่น อาจมีรูปร่างที่ยาวกว่าปกติ หรือรูปร่างไม่แน่นอน
การจ าแนกจุลินทรีย์ตามความสามารถในการปรับตัวให้ทนต่อแรงดันออสโมติกสูง ๆ<br />
osmophile<br />
osmoduric bacteria halophile<br />
จุลินทรีย์ที่ปรับตัวให้เหมาะกับสภาพที่แรงดันออกโมติกสูง ๆ<br />
พร้อมทั ้งมีการเจริญและเพิ่มจ านวนด้วย<br />
จุลินทรีย์ที่สามารถทนต่อแรงดันออสโมติกสูง ๆ ได้<br />
แต่ไม่เพิ่มจ านวน<br />
จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู ่ในน ้าทะเล (ความเค็มประมาณ 3.5-<br />
4%)<br />
จุลินทรีย์ที่สามารถเจริญได้ในทะเลที่มีความเค็มถึง 29%
อัตราการเจริญของจุลินทรีย์<br />
น าจุลินทรีย์มาเพาะเลี ้ยงในอาหารเลี ้ยงเชื ้อที่เหมาะสม<br />
บ่มไว้ในสภาพที่เหมาะสมต่อการเจริญ<br />
จุลินทรีย์จะเจริญเพิ่มจ านวนขึ ้นอย่างรวดเร็ว
จุลินทรีย์สร้างเอนไซม์ออกมาย่อยสารอาหารและน าเข้าสู ่เซลล์<br />
ใช้ในการสร้างพลังงานและส่วนประกอบต่าง ๆ ของเซลล์รวมถึงสารพันธุกรรมด้วย<br />
เซลล์ยืดยาว<br />
สร้างเยื่อหุ้มเซลล์และผนังเซลล์มาแบ่งเซลล์ออกเป็ นสองส่วนเท่า ๆ กัน<br />
“binary fission”
การเจริญของจุลินทรีย์ในลักษณะนี ้ถือเป็ นการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ<br />
เป็ นการเพิ่มจ านวนแบบอนุกรมเรขาคณิต<br />
1 2 4 8 16 32 64...<br />
หรือ 1 2 1 2 2 2 3 2 4 2 5 2 6 ...<br />
ระยะเวลาที่ใช้ในการแบ่งเซลล์แต่ละครั ้ งเพื่อท าให้จ านวนเซลล์เพิ่มขึ ้นเป็ นสองเท่า<br />
“generation time”<br />
จุลินทรีย์แต่ละชนิดจะใช้เวลาในการเพิ่มจ านวนประชากรไม่เท่ากัน
การหาระยะเวลาที่จุลินทรีย์ใช้ในการแบ่งเซลล์เพื่อเพิ่มจ านวนเป็ นสอง<br />
นับจ านวนจุลินทรีย์ด้วยกล้องจุลทรรศน์<br />
ทราบจ านวนจุลินทรีย์<br />
ทิ้งระยะให้จุลินทรีย์มีการเจริญ<br />
เลี ้ยงในสภาวะใดสภาวะหนึ ่ง<br />
นับจ านวนจุลินทรีย์อีกครั ้ง
ข้อมูลที่ได้<br />
จ านวนจุลินทรีย์เริ่มต้น (B)<br />
จ านวนจุลินทรีย์สุดท้าย (b)<br />
เวลาที่ใช้ในการเพิ่มจ านวนของจุลินทรีย์ (t)<br />
หาความสัมพันธ์ในรูปของสมการ โดยให้<br />
G = เวลาที่ใช้ในการแบ่งเซลล์เป็ นสองเท่าในแต่ละครั ้ ง<br />
N = จ านวนครั ้งของการเพิ่มจ านวนเป็ นสองเท่า (generation)
ถ้าเริ่มต้นจุลินทรีย์ 1 เซลล์<br />
เมื่อผ่านการแบ่งเซลล์ 1 ครั ้ง จะได้จ านวนเซลล์เป็ น 2 เซลล์<br />
2 ครั ้ง เป็ น 4 เซลล์<br />
3 ครั ้ง เป็ น 8 เซลล์<br />
4 ครั ้ง เป็ น 16 เซลล์ ...<br />
* แต่ละครั้งจ านวนจุลินทรีย์จะเพิ่มขึ้นเป็ นสองเท่าเสมอ<br />
หาความสัมพันธ์ในรูปของสมการได้ คือ<br />
b = 1 x 2 n<br />
ถ้าจุลินทรีย์เริ่มต้น เท่ากับ B เซลล์ จะได้<br />
b = B x 2 n
log b = log B x n log 2<br />
n = (log b – log B) / log 2<br />
แทนค่า log 2 = 0.30103<br />
n = 3.3 log b/B<br />
G =<br />
ระยะเวลาที่ใช้ในการเพิ่มจ านวน<br />
จ านวนครั ้งของการเพิ่มจ านวนเป็ นสองเท่า<br />
G = t / 3.3 log b/B = t / n
ลักษณะการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์<br />
เมื่อน าจุลินทรีย์ใส่ในอาหารเลี ้ยงเชื ้อแล้วศึกษาการเพิ่มประชากรจุลินทรีย์ที่เวลาต่าง ๆ<br />
น าข้อมูลที่ได้มาหาความสัมพันธ์ระหว่าง<br />
จ านวนล็อก (log) ประชากรของจุลินทรีย์กับระยะเวลาที่ใช้ในการทวีจ านวน<br />
แบ่งการเจริญของจุลินทรีย์ได้เป็ น 4 ระยะ ดังนี ้<br />
Lag phase<br />
Logarithmic phase<br />
Stationary phase<br />
Death phase
Lag phase<br />
จุลินทรีย์ยังไม่มีการเพิ่มจ านวน<br />
อยู ่ระหว่างการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่<br />
เซลล์จะมีการปรับตัว : สังเคราะห์โพรโทพลาสซึมใหม่ เอนไซม์<br />
โคเอ็นไซม์ ดีเอ็นเอ อาร์เอ็นเอ<br />
เพื่อเตรียมพร้อมส าหรับส าหรับการแบ่งเซลล์<br />
ระยะนี ้เป็ นระยะที่เซลล์มีกิจกรรมทางสรีรวิทยาสูง<br />
ขนาดของเซลล์จะเพิ่มขึ ้น โดยเซลล์จะยาวขึ ้น<br />
โปรตีนและน ้าหนักแห้งของเซลล์จะเพิ่มขึ ้น
ระยะแลกเฟสจะยาวนานเพียงใดขึ้นกับ<br />
สภาพแวดล้อมในการเพาะเลี ้ยง<br />
ชนิดของจุลินทรีย์<br />
ระยะเวลาในการเก็บรักษาจุลินทรีย์<br />
ระยะแลกเฟสจะสั ้น<br />
<br />
หากน าจุลินทรีย์ไปเพาะเลี ้ยงใน<br />
อาหารชนิดเดิม<br />
ระยะแลกเฟสจะยาว<br />
หรือใส่จุลินทรีย์ที่พร้อมจะแบ่งตัวลงไปในอาหารเลี ้ยงเชื ้อ<br />
หากจุลินทรีย์ที่น ามาเพาะเลี ้ยงมีความ<br />
ผิดปกติหรือ<br />
เชื ้อมีการเก็บรักษาไว้เป็ นเวลานาน<br />
ต้องใช้เวลาในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่
ช่วงปลายของระยะนี ้จุลินทรีย์จะเริ่มมีการแบ่งตัว<br />
แต่เนื่องจากการแบ่งตัวของจุลินทรีย์ไม่ได้เกิดขึ ้นพร้อมกัน<br />
จ านวนประชากรของจุลินทรีย์จึงเพิ่มขึ ้นอย่างช้า ๆ<br />
บางครั ้งถือว่าระยะแลกเฟสเป็ นระยะการปรับตัวของจุลินทรีย์<br />
ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ก่อนที่จะมีการเพิ่มจ านวนประชากร
Logarithmic phase<br />
บางครั ้งเรียก Exponential phase or Log phase<br />
ระยะที่จุลินทรีย์มีอัตราการแบ่งเซลล์อย่างรวดเร็ว<br />
ถือเป็ นระยะที่มีการแบ่งเซลล์สูงสุด<br />
สารอาหารถูกใช้อย่างรวดเร็ว<br />
เซลล์มีกระบวนการเมแทบอลิซึม<br />
ตลอดจนสรีรวิทยาไม่แตกต่างกัน<br />
จ านวนจุลินทรีย์<br />
เพิ่มขึ ้นอย่างรวดเร็ว<br />
การแบ่งเซลล์แต่ละครั ้งจะใช้เวลาเท่า ๆ กัน<br />
ระยะเวลาการเพิ่มประชากรเป็ นสองเท่าจะเร็วหรือช้าขึ ้นอยู ่กับชนิดของจุลินทรีย์
Stationary phase<br />
ระยะที่จ านวนประชากรของจุลินทรีย์สูงที่สุด และคงที่<br />
จุลินทรีย์ยังคงมีการแบ่งเซลล์ แต่จ านวนประชากรไม่เพิ่มขึ ้น<br />
อัตราการแบ่งเซลล์<br />
=<br />
อัตราการตาย<br />
สภาวะแวดล้อมเปลี่ยนแปลง<br />
จากการสะสมสารพิษจาก<br />
เมแทบอลิซึมของจุลินทรีย์<br />
สารอาหารถูกใช้ไปอย่าง<br />
รวดเร็วใน log phase
ระยะนี ้จะคงอยู ่นานหรือไม่ขึ ้นกับ<br />
ความสามารถในการทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมของจุลินทรีย์<br />
ระยะสเทชันนารีเฟสสั ้น<br />
จุลินทรีย์ที่ทนต่อสภาพแวดล้อมที่<br />
ไม่เหมาะสมได้ไม่ดี<br />
ระยะสเทชันนารีเฟสยาว<br />
จุลินทรีย์ที่สามารถสร้างสปอร์<br />
หรือ cyst
Death phase<br />
หรือ Decline phase<br />
เป็ นระยะที่จุลินทรีย์มีอัตราการตายอย่างรวดเร็ว<br />
ท าให้จ านวนประชากรของจุลินทรีย์ลดลงอย่างรวดเร็ว<br />
ขาดสารอาหารส าหรับเซลล์<br />
การสะสมของสารพิษมากเกินกว่า<br />
จะมีชีวิตอยู ่ได้<br />
อาจใช้เวลานาน 2-3 วัน เป็ นสัปดาห์ หรือเป็ นเดือน<br />
ขึ ้นอยู ่กับจุลินทรีย์แต่ละชนิด
การวัดการเจริญของจุลินทรีย์<br />
การวัดการเจริญของจุลินทรีย์สามารถท าได้หลายวิธีด้วยกัน<br />
การนับจ านวนเซลล์<br />
การนับมวลของเซลล์ในรูปของน ้าหนัก<br />
การวัดความขุ ่น<br />
การวัดกิจกรรมทางชีวเคมีของเซลล์<br />
เป็ นต้น
การนับจ านวนเซลล์ของจุลินทรีย์<br />
การนับจ านวนเซลล์จุลินทรีย์โดยตรงจากล้องจุลทรรศน์<br />
Petroff-Hausser chamber : สไลด์พิเศษที่มีความหนา 3-5 mm<br />
ตรงกลางสไลด์เป็ นร่อง<br />
เมื่อปิ ดทับด้วยกระจกปิ ดสไลด์ชนิดพิเศษ จะมีพื ้นที่เท่ากับ 1 mm 2<br />
และมีความลึก 0.02 mm (ปริมาตร 2x10 -5 mm)<br />
ที่มา (http://www.hausserscientific.com/petroffhausser.htm, 2007)
แบ่งเป็ นช่องใหญ่ 25 ช่อง<br />
แต่ละช่องมีพื ้นที่เท่ากับ 0.04 mm 2<br />
(ปริมาตร 8x10 -7 ml)<br />
ภายในช่องใหญ่แบ่งออกเป็ น 16 ช่องเล็ก<br />
แต่ละช่องมีพื ้นที่ 0.0025 mm 2<br />
(ปริมาตร 5x10 -8 ml)<br />
ที่มา (http:// www.emsdiasum.com/microscopy/products/magnifier/counting. aspx, 2007)
หยดตัวอย่างจุลินทรีย์ที่ต้องการทราบจ านวนลงบนสไลด์<br />
นับจ านวนภายใต้กล้องจุลทรรศน์<br />
ทราบจ านวนจุลินทรีย์ต่อปริมาตรของสไลด์<br />
ค านวณหาปริมาณของจุลินทรีย์ต่อcm 3 หรือml
การนับจ านวนเซลล์ ท าได้โดยสมการต่อไปนี ้<br />
เซลล์ต่อมิลลิลิตร = v<br />
xy 1<br />
v<br />
เมื่อ x = จ านวนเซลล์ที่นับได้ต่อ 16 ช่องเล็ก<br />
y = ระดับความเจือจางที่ใช้<br />
1<br />
v = ปริมาตรของตัวอย่างในปริมาตร<br />
(กรณีนับ 16 ช่องเล็ก พื ้นที่ = 8x10 -7 มิลลิลิตร)<br />
= 1.25 x 10 6<br />
* ในทางปฏิบัติจะสุ่มนับจ านวนจุลินทรีย์จาก 5 ช่องใหญ่<br />
แล้วหาค่าเฉลี่ยมาแทนค่าเป็ นค่า x
ที่มา (Bauman, 2003, p. 192)
ค านวนหาปริมาณจุลินทรีย์ต่อมิลลิลิตรได้จากสมการ<br />
เซลล์ต่อมิลลิลิตร v = xy 1<br />
v<br />
= 15 x 1 x 1.25 x 10 6<br />
= 18.75 x 10 6<br />
= 1.88 x 10 7<br />
15 เซลล์<br />
หมายเหตุ กรณีนี ้ไม่ได้ท าการเจือจาง