à¸à¸à¸±à¸ สมà¸à¸¹à¸£à¸à¹ - Thailand Energy Network for Educators หà¸à¹à¸²à¹à¸£à¸
à¸à¸à¸±à¸ สมà¸à¸¹à¸£à¸à¹ - Thailand Energy Network for Educators หà¸à¹à¸²à¹à¸£à¸ à¸à¸à¸±à¸ สมà¸à¸¹à¸£à¸à¹ - Thailand Energy Network for Educators หà¸à¹à¸²à¹à¸£à¸
กระจกเคลือบสารแผ่รังสีตำ่ำ (Low emissivity coating) ก ร ะ จ ก ช น ิ ด น ี ้ ม ี ค ่ า ส ั ม ป ร ะ ส ิ ท ธการนำความร้อนและการแผ่รังสีต่ำกระจกสมาร์ทวินโดว์ (Smart window) กระจกชนิดนี้มีการวิจัยมากว่าทศวรรษ และปัจจุบันเริ่มมีจำหน่ายในท้องตลาด กระจกชนิดนี้สามารถปรับเปลี่ยนคุณสมบัติการส่งผ่านแสงได้กระจกเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar cell glazing) เป็นเทคโนโลยีที่พลังงานแสงอาทิตย์สามารถกักเก็บได้จากกระจกใส โดยอาศัยการเคลือบซิลิกอนบนผิวกระจกอย่างไรก็ตาม กระจกชนิดนี้มีค่าสัมประสิทธิ์การนำความร้อนสูงกว่ากระจกหลายชั้นแอโรเจล (Aerogel) เทคโนโลยีนี้ใหม่มากสำหรับกระจก ปัจจุบันมีเพียงบริษัทเดียวที่พยายามผลิตกระจกโปร่งแสงและโปร่งใสจากแอโรเจลกระจกชนิดเติมก๊าซ (Gas-filled glazing)นอกจากการพัฒนาตัวกระจกและการเคลือบฟิล์มแล้ว ยังมีการวิจัยในส่วนประกอบอื่นๆที่เกี่ยวข้องได้แก่สเปสเซอร์ (Spacer) ซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่คั่นกลางระหว่างกระจกแต่ละแผ่น งานวิจัยพยายามลดค่าสัมประสิทธิ์การนำความร้อนให้ต่ำลง เช่น การใช้วัสดุโฟม (Foam spacer) เทอร์โมพลาสติก(Thermoplastic spacer)หรือที่ใช้วัสดุโลหะ (Metal-based spacer) การสำรวจพบว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้ค่าสัมประสิทธิ์การนำความร้อนของสเปสเซอร์ต่ำที่ระดับ 17-26W/m.K ขณะที่โลหะอลูมิเนียมมีค่าสูงถึง200 W/m.Kกรอบโครงสร้างของหน้าต่าง มีการนำวัสดุที่ไม่ใช้โลหะมาใช้เป็นกรอบหน้าต่าง เช่น การใช้วัสดุPVC ร่วมกันฉนวน ทำให้ค่าสัมประสิทธิ์การนำความร้อนร่วมของหน้าต่างต่ำกว่า 0.8 W/m2.Kการออกแบบและการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมนอกจากประเด็นด้านประสิทธิภาพพลังงานของวัสดุแล้ว การออกแบบกรอบอาคาร สัดส่วนของผนังทึบและหน้าต่างกระจก และรูปทรงของอาคารก็มีอิทธิพลสูงต่อการการใช้พลังงานของอาคารสำหรับประเทศเขตร้อนดังเช่นประเทศไทย อุปกรณ์บังแดดที่ถูกออกแบบมาอย่างเหมาะสมสามารถเพิ่มสมรรถนะพลังงานของกรอบอาคาร อุปกรณ์บังแดดช่วยป้องกันความร้อนของรังสีตรงจากดวงอาทิตย์จึงลดภาระการทำความเย็นขณะเดียวกันยอมให้แสงธรรมชาติจากท้องฟ้าผ่านเข้ามาได้ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าของระบบแสงสว่างจึงลดลงการออกแบบกรอบอาคารนอกจากต้องพิจารณาสภาพภูมิอากาศแล้ว ยังต้องคำนึงถึงรูปแบบการใช้งานอาคารด้วย เช่น จากการศึกษาพบว่าในเขตภูมิอากาศร้อน อาคารที่ผนังติดตั้งฉนวนและมีการปรับอากาศในเวลากลางคืนจะมีการใช้พลังงานสูงกว่าอาคารที่ไม่ติดฉนวน [9]ทั้งนี้เนื่องมาจากความร้อนจากรังสีอาทิตย์ที่ผ่านมาทางหน้าต่างใช้ช่วงกลางวันมีการสะสมและไม่สามารถถ่ายเทออกจากตัวอาคารได้ ตัวอย่างดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการออกแบบและเลือกวัสดุกรอบอาคารจำเป็นต้องมีการวิจัยที่ลึกซึ้งและรอบด้าน เพื่อให้ได้องค์ความรู้ที่ถูกต้อง การวิจัยยังควรพิจารณาความคุ้มค่าเชิงต้นทุนด้วย31
การวิจัยลักษณะนี้โดยมากพึ่งเครื่องมือวิเคราะห์ เช่น โปรแกรมจำลองด้านพลังงานอาคาร(EnergyPlus, TRNSYS) และออพติไมเซชั่นเทคนิค (Genetic Algorithm, the Particle Swarm Algorithmand the Sequential Search algorithm) เพื่อให้เห็นสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปีระบบปรับและระบายอากาศระบบปรับอากาศในอาคารมีมากมายหลายลักษณะ อย่างไรก็ตาม อาจจำแนกระบบปรับอากาศเป็น2 กลุ่มคือ ระบบปรับอากาศแบบปกติ (Conventional air-conditionsystem) และระบบปรับอากาศทางเลือก (Alternative air-conditionsystem)ระบบปรับอากาศแบบปกติ (Conventional air-conditionsystem)ระบบปรับอากาศปกติในที่นี้หมายถึงระบบปรับอากาศที่ทำงานด้วยไฟฟ้า (Electrically operatedsystem)กระบวนการทำความเย็นเป็นกระบวนการแบบอัดไอ (Vapor compression system) และการถ่ายโอนความร้อนออกจากอาคารอาศัยการพาความร้อนโดยอากาศเย็น (Cooled air) ที่หมุนเวียนโดยเครื่องส่งลมเย็น (Air handling unit)การวิจัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบปรับอากาศกลุ่มนี้เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงขั้นตอนย่อยๆในกระบวนการทำความเย็นเพื่อให้สมรรถนะการทำความเย็นทั้งหมดดีขึ้นโดยใช้เทคนิคและด้วยอุปกรณ์ต่างๆ เช่นการเพิ่มสมรรถนะในกระบวนการอัดไอ (Vapor compression process) ได้แก่ การใช้คอมเพรสเซอร์แบบหลายชั้นพร้อมอินเตอร์คูลลิ่งสารทำความเย็น (Multistage compressors with inter-cooling ofrefrigerant)เพื่อทำให้ความต้องการใช้พลังไฟฟ้าลดลงการเพิ่มสมรรถนะการระบายความร้อน (Heat rejection process) ของคอนเดนเซอร์ ได้แก่การเพิ่มพื้นที่ระบายความร้อน (Condenser heat transfer surface) และการลดอุณหภูมิคอนเดนเซอร์(Condensing temperature) โดยใช้น้ำช่วยหรือระบายความร้อนแทนอากาศการใช้สารทำความเย็นที่อื่นๆเช่น CO2แทนในกระบวนการทำความเย็นแบบอัดไอนอกจากประสิทธิภาพของตัวอุปกรณ์แล้ว การใช้พลังงานของระบบปรับอากาศสามารถลดลงได้โดยการควบคุมการทำงานของระบบให้เป็นไปอย่างเหมาะสม งานวิจัยในส่วนนี้เกี่ยวข้องกับการพัฒนากระบวนการวิเคราะห์สมรรถนะการทำความเย็นภายใต้ภาระการทำความเย็นและสภาวะแวดล้อมต่างๆและควบคุมการเดินเครื่องจักรและอุปกรณ์ทั้งหมดในระบบ32
- Page 3 and 4: คำนำกรมพัฒน
- Page 5 and 6: สารบัญการวิ
- Page 8 and 9: การวิจัยและ
- Page 10 and 11: งานวิจัยเชิ
- Page 12 and 13: เทคโนโลยีปร
- Page 14 and 15: (1) มอเตอร์ใช้
- Page 16 and 17: ออกจากไอเสี
- Page 18 and 19: เทคโนโลยีเฉ
- Page 20 and 21: เป็นของเสีย
- Page 22 and 23: อากาศร้อน เพ
- Page 24 and 25: เทคโนโลยี Impulse
- Page 26 and 27: ตารางที่ 2 เท
- Page 28 and 29: ระบบไฟฟ้าแส
- Page 30 and 31: เซลลูโลส (Cellulose
- Page 34 and 35: ระบบปรับอาก
- Page 36 and 37: ภายใต้สภาพแ
- Page 38 and 39: ปริมาณแสงธร
- Page 40 and 41: งานวิจัยเชิ
- Page 42: รูปที่ 4 ปัจจ
- Page 45 and 46: คาดว่าจะทำใ
- Page 47 and 48: ยานยนต์ที่ม
- Page 49: การวิจัยและ
- Page 52 and 53: รูปที่ 9 แสดง
- Page 54 and 55: พลังงานแสงอ
- Page 56 and 57: สถานภาพเทคโ
- Page 58 and 59: แต่มิได้พัฒ
- Page 60 and 61: พัฒนาผลิตภั
- Page 62 and 63: ตารางที่ 4 สถ
- Page 64 and 65: การวิจัยพัฒ
- Page 66 and 67: นอกจากโครงก
- Page 68 and 69: นอกจากนี้เพ
- Page 70 and 71: เทคนิคในการ
- Page 72 and 73: Pelton turbine ประกอบ
- Page 74 and 75: การวิจัยพัฒ
- Page 76 and 77: 5) RDF Technology เป็นเ
- Page 78 and 79: ชีวมวลและเท
- Page 80 and 81: รูปที่ 17 สถาน
การวิจัยลักษณะนี้โดยมากพึ่งเครื่องมือวิเคราะห์ เช่น โปรแกรมจำลองด้านพลังงานอาคาร(<strong>Energy</strong>Plus, TRNSYS) และออพติไมเซชั่นเทคนิค (Genetic Algorithm, the Particle Swarm Algorithmand the Sequential Search algorithm) เพื่อให้เห็นสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปีระบบปรับและระบายอากาศระบบปรับอากาศในอาคารมีมากมายหลายลักษณะ อย่างไรก็ตาม อาจจำแนกระบบปรับอากาศเป็น2 กลุ่มคือ ระบบปรับอากาศแบบปกติ (Conventional air-conditionsystem) และระบบปรับอากาศทางเลือก (Alternative air-conditionsystem)ระบบปรับอากาศแบบปกติ (Conventional air-conditionsystem)ระบบปรับอากาศปกติในที่นี้หมายถึงระบบปรับอากาศที่ทำงานด้วยไฟฟ้า (Electrically operatedsystem)กระบวนการทำความเย็นเป็นกระบวนการแบบอัดไอ (Vapor compression system) และการถ่ายโอนความร้อนออกจากอาคารอาศัยการพาความร้อนโดยอากาศเย็น (Cooled air) ที่หมุนเวียนโดยเครื่องส่งลมเย็น (Air handling unit)การวิจัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบปรับอากาศกลุ่มนี้เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงขั้นตอนย่อยๆในกระบวนการทำความเย็นเพื่อให้สมรรถนะการทำความเย็นทั้งหมดดีขึ้นโดยใช้เทคนิคและด้วยอุปกรณ์ต่างๆ เช่นการเพิ่มสมรรถนะในกระบวนการอัดไอ (Vapor compression process) ได้แก่ การใช้คอมเพรสเซอร์แบบหลายชั้นพร้อมอินเตอร์คูลลิ่งสารทำความเย็น (Multistage compressors with inter-cooling ofrefrigerant)เพื่อทำให้ความต้องการใช้พลังไฟฟ้าลดลงการเพิ่มสมรรถนะการระบายความร้อน (Heat rejection process) ของคอนเดนเซอร์ ได้แก่การเพิ่มพื้นที่ระบายความร้อน (Condenser heat transfer surface) และการลดอุณหภูมิคอนเดนเซอร์(Condensing temperature) โดยใช้น้ำช่วยหรือระบายความร้อนแทนอากาศการใช้สารทำความเย็นที่อื่นๆเช่น CO2แทนในกระบวนการทำความเย็นแบบอัดไอนอกจากประสิทธิภาพของตัวอุปกรณ์แล้ว การใช้พลังงานของระบบปรับอากาศสามารถลดลงได้โดยการควบคุมการทำงานของระบบให้เป็นไปอย่างเหมาะสม งานวิจัยในส่วนนี้เกี่ยวข้องกับการพัฒนากระบวนการวิเคราะห์สมรรถนะการทำความเย็นภายใต้ภาระการทำความเย็นและสภาวะแวดล้อมต่างๆและควบคุมการเดินเครื่องจักรและอุปกรณ์ทั้งหมดในระบบ32