Download - ราà¸à¸§à¸´à¸à¸¢à¸²à¸¥à¸±à¸¢ à¹à¸ªà¸ ศภà¸à¸²à¸ªà¸´à¸à¹à¸à¸à¸¢à¹ à¹à¸«à¹à¸à¸à¸£à¸°à¹à¸à¸¨à¹à¸à¸¢
Download - ราà¸à¸§à¸´à¸à¸¢à¸²à¸¥à¸±à¸¢ à¹à¸ªà¸ ศภà¸à¸²à¸ªà¸´à¸à¹à¸à¸à¸¢à¹ à¹à¸«à¹à¸à¸à¸£à¸°à¹à¸à¸¨à¹à¸à¸¢
Download - ราà¸à¸§à¸´à¸à¸¢à¸²à¸¥à¸±à¸¢ à¹à¸ªà¸ ศภà¸à¸²à¸ªà¸´à¸à¹à¸à¸à¸¢à¹ à¹à¸«à¹à¸à¸à¸£à¸°à¹à¸à¸¨à¹à¸à¸¢
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
การศึกษาปัจจัยเสี่ยงด้านสรีรวิทยาและดัชนีมวลกายในกลุ ่มผู ้ที่<br />
มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับที่เข้ารับการตรวจรักษาใน<br />
แผนกโสต ศอ นาสิก<br />
โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า<br />
( Body Measurements and Body Mass Index<br />
: A predictive factor of Obstructive Sleep Apnea in<br />
Department of Ear Nose Throat in<br />
Phramongkutklao Hospital )<br />
โดย<br />
แพทย์หญิง กฤษณา ไทยทอง<br />
อาจารย์ที่ปรึกษา<br />
พ.อ.ประสิทธิ ์ มหากิจ<br />
กอง โสต ศอ นาสิกกรรม<br />
โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า<br />
ปี การศึกษา 2549-2551
ก<br />
คํารับรองจากสถาบันฝึ กอบรม<br />
ข้าพเจ้าขอรับรองว่ารายงานฉบับนี ้เป็นผลงานของ พญ. กฤษณา ไทยทอง ที ่ได้ทําการวิจัย<br />
ขณะรับการฝึกอบรม ตามหลักสูตรการฝึกอบรมแพทย์ประจําบ้าน สาขาโสต ศอ นาสิกวิทยา โรงพยาบาล<br />
พระมงกุฎเกล้า ระหว่างปี พ.ศ. 2549-2551 จริง<br />
พันเอก อาจารย์ที ่ปรึกษาหลัก<br />
( ประสิทธิ์ มหากิจ )<br />
พันเอก<br />
ผู้อํานวยการ กองโสต ศอ นาสิกกรรม<br />
( สุรศักดิ์ พุทธานุภาพ ) โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
ข<br />
บทคัดย่อ<br />
ชื่อเรื่อง : การศึกษาปัจจัยเสี ่ยงด้านสรีรวิทยาและดัชนีมวลกายในกลุ่มผู้ที ่มีภาวะหยุดหายใจขณะ<br />
นอนหลับที ่เข้ารับการตรวจรักษาในแผนกโสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า<br />
ผู้ดําเนินการวิจัย : พญ. กฤษณา ไทยทอง<br />
อาจารย์ที่ปรึกษา : พ.อ.ประสิทธิ์ มหากิจ<br />
บทนํา : ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ เป็นภาวะที ่มีอันตราย หากเป็นขั้นรุนแรงอาจถึงเสียชีวิต<br />
การศึกษาที ่ผ่านมาพบว่ามีหลายปัจจัยเสี ่ยงที ่มีผลต่อภาวะดังกล่าวได้แก่ เพศ อายุ นํ ้าหนักตัวโรคทาง<br />
อายุรกรรมและ การสะสมของไขมันตามร่างกายส่วนต่างๆ เป็นต้น การวินิจฉัยภาวะหยุดหายใจขณะนอน<br />
หลับทําได้โดยการทดสอบการนอนด้วยเครื ่องทดสอบการนอนหลับ<br />
วัตถุประสงค์ของการวิจัย : ศึกษาปัจจัยเสี ่ยงด้านสรีระ คือ การสะสมของไขมันตามส่วนต่าง ๆ<br />
ของร่างกายที ่ได้จากการวัดขนาดร่างกายและค่าดัชนีมวลกายในกลุ่มผู้ป่วยที ่เข้ารับการตรวจรักษาใน<br />
คลินิกพิเศษนอนกรนแผนก โสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เพื ่อดูว่าปัจจัยเสี ่ยงใดเป็นปัจจัย<br />
เสี ่ยงที ่สําคัญที ่จะบอกได้ว่าผู้ป่วยน่าจะมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับและการพยากรณ์ความรุนแรง<br />
ของโรค<br />
รูปแบบการวิจัย : Retrospective Cross - sectional Study<br />
วิธีการดําเนินวิจัย : ผู้ป่วยที ่เข้ามาทําการตรวจวินิจฉัยรักษาที ่คลินิกพิเศษนอนกรนในแผนก<br />
โสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โดยมีอาการและอาการแสดงซึ ่งอาจสงสัยได้ว่าเป็นผู้ที ่มีภาวะ<br />
หยุดหายใจขณะนอนหลับ จะได้รับการทดสอบการนอนหลับเพื ่อประเมินภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ<br />
โดยจัดกลุ่มตามระดับความรุนแรงเป็น 4 กลุ่มกลุ่มละ 19 คน คือ กลุ่มที ่1 AHI 0-4.9 ต่อชั่วโมง ถือเป็น<br />
ภาวะปกติ, กลุ่มที ่2 AHI 5-14.9 ต่อชั่วโมง ถือเป็นภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับระดับเล็กน้อย,กลุ่มที ่3<br />
AHI 15-29.9 ต่อชั่วโมง ถือเป็นภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับระดับปานกลาง และกลุ่มที ่4 AHI มากกว่า<br />
30 ต่อชั่วโมง ถือเป็นภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับระดับรุนแรง โดยได้มีการเก็บข้อมูลปัจจัยด้านสรีระ<br />
และนํ ้าหนักตัวของผู้ป่วยแต่ละกลุ่ม 6 หัวข้อ ได้แก่ ดัชนีมวลกายหรือนํ ้าหนักตัวเทียบกับส่วนสูง ( Body<br />
Mass Index : BMI ) ,รอบคอ ( Neck Circumference : NC ) , รอบอก ( Chest Circumference : CC ) ,<br />
รอบเอวต่อรอบสะโพก ( Waist/Hip ratio ), อายุ ( Age ) และแต้มจากแบบประเมินการง่วงนอน ( ESS :<br />
Epworth Sleepiness Scale ) จากนั้นนําข้อมูลที ่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติเพื ่อดูความสัมพันธ์ระหว่างค่า<br />
ต่างๆกับภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับและหาแนวโน้มการทํานายความรุนแรงจากการเปลี ่ยนแปลงของ<br />
ค่าเหล่านั้นโดยใช้วิธี Ordinal Logistic Regression<br />
ผลการวิจัย :ค่าเฉลี่ยของดัชนีมวลกาย( BMI ) รอบคอ ( NC ) และรอบอก (CC ) ของแต่ละกลุ่ม<br />
มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ และรอบอก (CC )ที่เพิ่มขึ้นทุก 1 เซนติเมตรจะเพิ่มความ<br />
เสี ่ยงของภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ 1.65 เท่า และเมื ่อนําค่าคงที ่มาสร้างสมการการพยากรณ์พบว่ามี<br />
ความจําเพาะสูงถึง 78.9-89%
ค<br />
สรุปผลการวิจัย : การวัดขนาดร่างกายและหาค่าดัชนีมวลกาย เป็นวิธีที ่ง่ายและราคาถูก สมควร<br />
นํามาใช้ประเมินก่อนการทดสอบการนอนหลับ<br />
คําสําคัญ : ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ ,ปัจจัยเสี ่ยงด้านสรีรวิทยา,ดัชนีมวลกาย,แบบ<br />
ประเมินการง่วงนอน, เครื ่องทดสอบการนอนหลับ
ง<br />
Abstracts<br />
Title : Body Measurements and Body Mass Index : A predictive factor of Obstructive Sleep<br />
Apnea in Department of Ear Nose Throat in Phramongkutklao Hospital<br />
Name of researchers : Krisana Thaitong,MD<br />
Name of consultant : Prasit Mahakit,MD<br />
Introduction : Obstructive sleep apnea syndrome (OSAS) is a disorder which leads to serious<br />
complication. Age, sex, illness and demographic factors such as body mass index (BMI) and<br />
body fat composition have been found to be important determinants of the AHI. The diagnosis of<br />
OSA can be established by polysomnography.<br />
Objective : To evaluate relationship between body measurements parameters (such as body<br />
mass index (BMI) and body fat composition) and AHI , for predicting the presence and severity of<br />
obstructive sleep apnea syndrome (OSAS).<br />
Study Design : Retrospective Cross - sectional Study was designed.<br />
Materials and Methods : Cross - sectional survey of the patients in snoring clinic,<br />
Phramongkutklao Hospital. Seventy six patients (54 male, 22 female) who underwent<br />
polysomnography between November 2006 and June 2008 were 18-80 years of age. Exclusion<br />
criteria included those patients with severe medical illness. Depend on AHI, all patients were<br />
classified in 4 groups: 1. AHI 0-4.9 / hr , 2. AHI 5-14.9 / hr , 3. AHI 15-29.9 / hr and 4. AHI >30 /<br />
hr. The Body mass index (BMI) , the Epworth Sleepiness Scale ( ESS ),and the Body<br />
measurements parameters such as Neck Circumference ( NC ),Chest Circumference (CC ) and<br />
Waist/Hip ratio were evaluated.<br />
Statistic method : A Ordinal Logistic Regression was used to determine adjusted odd ratio for<br />
risk factor for obstructive sleep apnea syndrome (OSAS).<br />
Result : BMI and the Body measurements parameters such as Neck Circumference ( NC ) and<br />
Chest Circumference (CC ) were found to be significantly correlated with AHI . By combining of a<br />
Ordinal Logistic Regression method ,only chest circumference (CC ) were achieved for severity<br />
of OSAHS.<br />
Conclusion : It was concluded that the BMI and the Body measurements parameters could be<br />
an inexpensive and practical alternative to prePSG tests by high specificity and should be<br />
included in the evaluation of OSAHS patients.<br />
Keywords: Obstructive sleep apnea syndrome (OSAS), Body Measurements and Body Mass<br />
Index, Epworth Sleepiness Scale ( ESS ), Polysomnogram.
จ<br />
กิตติกรรมประกาศ ( Acknowledgement)<br />
ขอขอบคุณ<br />
อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย<br />
พ.อ. ประสิทธิ์ มหากิจ<br />
ผู ้ช่วยนักวิจัย (วิเคราะห์สถิติ)<br />
คุณสุภัค แซ่โง้ว
สารบัญ<br />
หน้า<br />
คํารับรอง<br />
ก<br />
บทคัดย่อภาษาไทย<br />
ข<br />
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ<br />
ง<br />
กิตติกรรมประกาศ<br />
จ<br />
สารบัญเรื่อง ฉ<br />
สารบัญแผนภูมิและตาราง<br />
ช<br />
บทที่ 1 หลักการและเหตุผล 1<br />
บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรม 6<br />
บทที่ 3 ระเบียบวิธีการศึกษา 10<br />
บทที่ 4 ผลการศึกษา 14<br />
บทที่ 5 การอภิปรายผล 21<br />
บทที่ 6 สรุปผลการศึกษา 24<br />
เอกสารอ้างอิง 25<br />
ภาคผนวก 26<br />
ก. ใบยินยอมเข้าร่วมโครงการวิจัย 26<br />
ข. แบบประเมินการง่วงนอน 29<br />
ช. เอกสารการรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย 31<br />
ฉ
สารบัญแผนภูมิและตาราง<br />
หน้ า<br />
ตารางที่ 1 แสดงค่าเฉลี ่ยอายุ(Age) ดัชนีมวลกาย (BMI) รอบคอ (NC) รอบอก (CC) 15<br />
รอบเอวต่อสะโพก( W/H ratio) และแต้มจากการประเมินการง่วงนอน (ESS)<br />
ตารางที่ 2 แสดง Ordinal logistic regression เพื ่อหาความสัมพันธ์ระหว่างระดับ 16<br />
ความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ กับปัจจัยที ่เกี ่ยวข้อง<br />
ตารางที่ 3 แสดงความถูกต้องของการพยากรณ์ระดับความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจ 17<br />
รูปที่ 1 กราฟแท่งแสดงอายุ(Age)ของประชากรในแต่ละกลุ่มศึกษา 18<br />
รูปที่ 2 กราฟแท่งแสดงค่าดัชนีมวลกาย(BMI)ของประชากรในแต่ละกลุ่มศึกษา 18<br />
รูปที่ 3 กราฟแท่งแสดงค่ารอบอก (CC) ของประชากรในแต่ละกลุ่มศึกษา 19<br />
รูปที่ 4 กราฟแท่งแสดงแต้มจากแบบประเมินการง่วงนอน (ESS) ของประชากร 19<br />
ในแต่ละกลุ่มศึกษา<br />
รูปที่ 5 กราฟแท่งแสดงค่ารอบเอวต่อสะโพก (W/H ratio) ของประชากรในแต่ละ 20<br />
กลุ่มศึกษา<br />
รูปที่ 6 กราฟแท่งแสดงค่ารอบคอ (NC) ของประชากรในแต่ละกลุ่มศึกษา 20<br />
ช
้<br />
1<br />
บทที่ 1 หลักการและเหตุผล<br />
1. ที่มาและความสําคัญของปัญหาที่ทําการวิจัย<br />
โรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทตามสาเหตุของการเกิด<br />
อาการ ได้แก่ ประเภทปิดกั้น (Obstructive Apnea) เกิดจากการปิดกั้นในช่องทางเดินหายใจ พบได้<br />
บ่อยที ่สุดในผู้ป่วยโรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ ประเภทประสาทส่วนกลาง (Central Apnea) เกิด<br />
จากการที ่สมองไม่สามารถสั่งการให้กล้ามเนื ้อระบบ หายใจทํางาน และประเภทผสม (Mixed<br />
Apnea) เกิดจากทั้งความผิดปกติจากการสั่งการของสมอง และการปิดกั้นในช่องทางเดินหายใจ<br />
ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ(OSA : Obstructive Sleep Apnea) คืออาการผิดปกติ<br />
ของร่างกายที ่ผู้ป่วยจะมีอาการหยุดหายใจขณะนอนหลับ โดยเกิดจากการที ่ช่องทางเดินหายใจ<br />
ถูกปิดกั้นโดยสิ ้นเชิงจนกระทั่งทําให้เกิดอาการหยุดหายใจเป็นช่วงๆขณะนอนหลับถือเป็นความ<br />
ผิดปกติของการหายใจขณะนอนหลับ (SDB : Sleep-Disorder Breathing) ที่พบได้บ่อย<br />
จากการศึกษาในต่างประเทศพบว่าอาการนอนกรน ( Snoring ) ซึ ่งเป็นความผิดปกติ<br />
ของการหายใจขณะนอนหลับที ่พบได้บ่อยกว่านั้นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับภาวะหยุดหายใจ<br />
ขณะนอนหลับ<br />
หนังสือมาตรฐานที ่ใช้อ้างอิงความรู้ด้าน โสต ศอ นาสิกในต่างประเทศ (Cummings<br />
Otolaryngology Head & Neck Surgery ) ได้มีการจําแนกความผิดปกติของการนอนหลับชนิด<br />
ปฐมภูมิ( Primary sleep disorders) ไว้ดังนี้<br />
1. Dyssomnias เป็นความผิดปกติของการนอนหลับที ่ทําให้ต้องการการนอนที ่มากขึ ้น<br />
ทดแทน แบ่งสาเหตุการเกิดเป็นสาเหตุภายในและสาเหตุภายนอก สาเหตุภายในนั้น บ่อยครั้ง<br />
ที ่เกิดจากความผิดปกติทางระบบโสต ศอ นาสิก ได้แก่ ภาวะที ่มีการอุดกั้นทางเดินหายใจมาก<br />
จนมีการหยุดหายใจหรือมีการลดลงของลมหายใจที ่เข้าสู่ปอดขณะนอนหลับ (Obstructive<br />
Sleep Apnea Syndrome : OSAS) จําเป็นต้องให้โสต ศอ นาสิกแพทย์เป็นผู้ประเมิน<br />
2. Parasomniasเป็นความผิดปกติของการนอนหลับที ่ไม่ต้องการการนอนที ่มากขึ ้น<br />
ทดแทนความผิดปกติของการหายใจขณะนอนหลับ (SDB : Sleep-Disorder Dreathing) ที่มี<br />
ความสัมพันธ์กับการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนหมายรวมถึงภาวะดังนี<br />
1. Primary Snoring เป็นภาวะที ่มีการอุดกั้นทางเดินหายใจ ทําให้มีอาการ<br />
นอนกรน แต่ไม่มีอาการง่วงในเวลากลางวัน เมื ่อทดสอบการนอนหลับ ( Polysomnography :<br />
PGS ) พบว่าจํานวนครั้งของการหยุดหายใจและการหายใจน้อยลงใน 1 ชั่วโมง( AHI ) น้อย<br />
กว่า 5 ครั้งในผู้ใหญ่หรือน้อยกว่า 1 ครั้งในเด็ก<br />
2. Upper Airway Resistance Syndrome: UARS เป็นภาวะที ่มีการอุดกั้น<br />
ทางเดินหายใจ ทําให้มีอาการนอนกรน และมีอาการง่วงในเวลากลางวันมากกว่าปกติเมื ่อ<br />
ทดสอบการนอนหลับ ( Polysomnography : PGS ) พบว่าจํานวนครั้งของการหยุดหายใจและ
่<br />
่<br />
2<br />
การหายใจน้อยลงใน 1 ชั่วโมง( AHI ) น้อยกว่า 5 ครั้งในผู้ใหญ่หรือน้อยกว่า 1 ครั้งในเด็กซึ ่งไม่<br />
แตกต่างกับอาการนอนกรนธรรมดา<br />
อย่างไรก็ตามพบว่ามีการเพิ่มขึ ้นของค่า RERA ( Respiratory Effort-Related Arousal )<br />
คือจํานวนครั้งของภาวะที ่มีการอุดกั้นทางเดินหายใจขณะนอนหลับเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 10<br />
วินาทีแล้วมีการสะดุ้งตื ่นโดยไม่มีลักษณะการหยุดหายใจ ( Apnea )และการหายใจน้อยลง<br />
( Hypopnea )<br />
3. Obstructive Sleep Apnea Syndrome : OSAS คือ ภาวะที ่มีการอุดกั้นทางเดิน<br />
หายใจมากจนมีการหยุดหายใจหรือมีการลดลงของลมหายใจที ่เข้าสู่ปอดขณะนอนหลับและ<br />
ส่งผลเสียต่อร่างกายในหลายด้าน จัดเป็นกลุ่มอาการหรือภาวะที ่มีอันตราย คือ ทําให้<br />
ประสิทธิภาพการทํางานของสมองลดลง ประสิทธิภาพในการคิด จดจํา สื ่อสาร การเรียนรู้ด้อย<br />
ลง เสี ่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆโดยเฉพาะโรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด และถ้ามีการหยุด<br />
หายใจอยู่ในขั้นรุนแรงอาจถึงเสียชีวิต รวมทั้งเสี ่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย<br />
ดังนั้นจึงมีการศึกษาวิจัยต่างๆ เกิดขึ ้นมากมายเพื ่อเข้าใจถึงพยาธิกําเนิดรวมถึงปัจจัย<br />
เสี ่ยงที ่มีผลต่อภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับเพื ่อหาทางป้องกันและเฝ้าระวังก่อนที ่โรคจะ<br />
รุนแรงและยากต่อการรักษาเยียวยา<br />
ปัจจัยเสี ่ยงที ่มีผลต่อภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ มีการศึกษามาแล้วมากมายโดยเฉพาะใน<br />
ต่างประเทศ ปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวที่เป็นที่ยอมรับได้แก่ เพศ ( Sex ) อายุ( Age ) นํ้าหนักตัว( BW )<br />
ดัชนีมวลกาย ( BMI ) รอบเอว ( Waist Circumference) รอบสะโพก ( Hip Circumference) รอบคอ<br />
( Neck Circumference) โคเลสเตอรอลในกระแสเลือด ปริมาณการดื ่มแอลกอฮอล์ ขนาดของ<br />
ทางเดินหายใจ และอีกหลายปัจจัยที ่มีผู้พยายามทําการศึกษา<br />
ผู้ป่วยที ่มีความผิดปกติของการหายใจขณะนอนหลับ (SDB : Sleep-Disorder Breathing)<br />
รวมถึงมีการอุดกั้นทางเดินหายใจมากจนมีการหยุดหายใจหรือมีการลดลงของลมหายใจที ่เข้าสู่ปอด<br />
ขณะนอนหลับ ( Obstructive Sleep Apnea Syndrome : OSAS ) มักจะมาพบแพทย์ด้วยอาการ<br />
นอนกรนเสียงดัง มีการสะดุ้งตื ่นเวลากลางคืน หลังจากตื ่นขึ ้นมาตอนเช้าพบว่าผู้ป่วยไม่รู้สึกแจ่มใส<br />
คล้ายกับไม่ได้พักผ่อน ในตอนกลางวันมักจะมีอาการง่วงนอนผิดปกติ อย่างไรก็ตามอาการต่าง ๆ<br />
ดังกล่าวก็ไม่สามารถบอกได้เป็นที ่แน่นอนว่าผู้ป่วยมีการอุดกั้นทางเดินหายใจมากจนมีการหยุด<br />
หายใจหรือมีการลดลงของลมหายใจที ่เข้าสู่ปอดขณะนอนหลับจริง เมื ่อผู้ป่วยมาพบแพทย์ด้วยอาการ<br />
ดังกล่าว แพทย์จะแนะนําให้ผู้ป่วยทําการทดสอบการนอนหลับด้วยเครื ่องทดสอบการนอนหลับ<br />
(Polysomnogram :PSG ) ซึ ่งเครื ่องทดสอบการนอนหลับจะรายงานจํานวนครั้งต่อชั่วโมงของการ<br />
หยุดหายใจเกิน10 วินาที ( Apnea Index : AI )และจํานวนครั้งต่อชั่วโมงของการหายใจด้วยแรงลมที<br />
เข้าสู่ปอดลดลงมากกว่า 50 % เกิน10 วินาที ( Hypopnea Index : HI )<br />
การวินิจฉัยภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับนั้น จะประเมินจากค่า AI+ HI = AHI (<br />
Apnea Hypopnea Index ) โดยที<br />
AHIไม่เกิน 5 ครั้ง/ชั่วโมง : ภาวะปกติ
้<br />
3<br />
AHI 5 ถึงไม่เกิน 15 ครั้ง/ชั่วโมง : ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับระดับเล็กน้อย<br />
AHI 15 ถึงไม่เกิน 30 ครั้ง/ชั่วโมง :ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับระดับปานกลาง<br />
AHIตั้งแต่ 30 ครั้ง/ชั่วโมงขึ ้นไป :ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับระดับรุนแรง<br />
สําหรับในประเทศไทยนั้น การทดสอบการนอนหลับด้วยเครื ่องทดสอบการนอนหลับมีเฉพาะ<br />
ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที ่มีแพทย์เฉพาะทางด้านโสต ศอ นาสิก หรือโรงพยาบาลที ่เป็นโรงเรียน<br />
แพทย์ ซึ ่งมีจํานวนจํากัดและต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง ทําให้การทดสอบการนอนหลับต้องทําเฉพาะในคน<br />
ที ่ถูกประเมินว่ามีความเสี ่ยงสูงที ่จะมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ โดยใช้การตรวจคัดกรองจาก<br />
แบบประเมินอาการง่วงนอนมาตรฐาน ( ESS : Epworth Sleepiness Scale ) โดยให้ผู้รับการ<br />
ประเมินให้คะแนนความง่วงจากเหตุการณ์ดังนี<br />
1.ขณะนั่งอ่านหนังสือ<br />
2.ขณะดูโทรทัศน์<br />
3.ขณะนั่งประชุมหรือดูภาพยนตร์<br />
4.งีบหลับยามบ่าย<br />
5.นั่งในที ่เงียบยามบ่ายที ่ไม่ได้ดื ่มเหล้า<br />
6.ขณะนั่งรถนาน 2 – 3 ชั่วโมง<br />
7.ขณะขับรถติดไฟแดง<br />
8.ขณะนั่งคุยกับเพื ่อน<br />
คะแนน 0 = ไม่เคยง่วง, 1= ง่วงเล็กน้อย, 2 = ง่วงปานกลาง, 3 = ง่วงมาก<br />
ESS ในคนปกติจะมีค่าไม่เกิน 8<br />
จะเห็นได้ว่าแบบประเมินอาการง่วงนอนที ่ใช้คัดกรองผู้ป่วยที ่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ<br />
เป็นเพียงการประเมินจากประวัติของผู้ป่วยเท่านั้น สําหรับในโรงพยาบาลบางแห่งอาจมีการนําค่า<br />
ดัชนีมวลกาย ประวัติการนอนกรนเสียงดังและการตรวจร่างกายเช่นการมีคอสั้น ลิ ้นใหญ่ มาช่วยใน<br />
การประเมินคัดกรองเพื ่อนําผู้ป่วยหรือผู้ที ่อยู่ในข่ายสงสัยเข้าสู่การทดสอบการนอนหลับ ซึ ่งมีความ<br />
แตกต่างกันออกไปในแต่ละสถาบัน<br />
การศึกษาวิจัยฉบับนี ้เป็นการศึกษาปัจจัยเสี ่ยงต่างๆที ่เคยมีผู้ทําการศึกษามาแล้วใน<br />
ต่างประเทศว่ามีความสัมพันธ์กับภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับโดยพบว่าผู้ป่วยที ่มีการสะสมของ<br />
ไขมันมากจะมีอัตราการเสี ่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับมาก และผู้ป่วยที ่มีดัชนีมวลกายมาก<br />
โดยเฉพาะกลุ่มคนอ้วนที ่มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 30 จะมีอัตราเสี ่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะนอน<br />
หลับมากเช่นกัน<br />
แต่สําหรับในคนไทยซึ ่งมีความแตกต่างด้านสรีระกับชาวต่างชาติโดยเฉพาะในประเทศแถบ<br />
ตะวันตกนั้นข้อมูลบางอย่างอาจแตกต่างกัน การศึกษานี ้จะทําการศึกษาว่าในประเทศไทย โดยเฉพาะ<br />
ในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ผู้ที ่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับในระดับความรุนแรงต่างๆ มี<br />
ปัจจัยเสี ่ยงเช่นเดียวกันกับที ่มีการศึกษาในต่างประเทศหรือไม่ โดยจะนําข้อมูลที ่ได้มาเป็นส่วนหนึ ่ง<br />
ในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาหรือบอกการพยากรณ์โรค และหากต่อไปอาจสามารถพัฒนาไป
4<br />
ใช้กับผู้ป่วยที ่ไม่ได้มีการทดสอบการนอนหลับด้วยเครื ่องทดสอบการนอนหลับ โดยอาจพยากรณ์<br />
ความรุนแรงของภาวะดังกล่าวได้ด้วย นอกจากนี ้ผู้ศึกษายังมุ่งเน้นเฉพาะปัจจัยด้านสรีระบางอย่าง<br />
จากการวัดขนาดตัวและนํ ้าหนักตัว เนื ่องจากง่ายต่อการคัดกรอง การวัดตัวนั้นทําได้แม้มิใช่บุคลากร<br />
ทางการแพทย์ อุปกรณ์หาได้ง่าย ราคาถูก ใช้เวลาน้อย และเป็นข้อมูลที ่แพทย์ได้จากการตรวจทําให้<br />
แม่นยํากว่าการใช้แบบประเมินอาการง่วงซึ ่งผู้ป่วยเป็นผู้ประเมินเองแต่เพียงอย่างเดียว ทําให้<br />
สามารถคัดกรองผู้มีความเสี ่ยงได้อย่างกว้างขวางและแม่นยํามากขึ ้น<br />
โดยการศึกษานี ้มุ่งสนใจปัจจัยด้านสรีระบางอย่างซึ ่งก็คือ การสะสมของไขมันตามส่วนต่าง ๆ<br />
ของร่างกายโดยการวัดขนาดร่างกายบางส่วน ได้แก่ ขนาดรอบคอ( Neck Circumference) รอบอก<br />
( Chest Circumference) รอบเอว ( Waist Circumference) รอบสะโพก ( Hip Circumference)<br />
ตามหลักการวัดตัวมาตรฐาน ( Body Measurements ) และค่าดัชนีมวลกาย ( Body Mass<br />
Index :BMI ) ซึ ่งได้จากการคํานวณนํ ้าหนักตัวเป็นกิโลกรัมเทียบกับส่วนสูงเป็นตารางเมตร รวมถึง<br />
เปรียบเทียบอายุ( Age ) และเพศ ( Sex ) ของผู้ที ่เข้ารับการทดสอบการนอนหลับด้วยเครื ่องทดสอบ<br />
การนอนหลับและเปรียบเทียบกับค่าที ่ได้จากแบบประเมินอาการง่วง ในผู้ที ่ที ่เข้ารับการตรวจรักษาใน<br />
คลินิกนอนกรน แผนก โสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โดยจําแนกเป็น 4 กลุ่มคือกลุ่ม<br />
ปกติ 1 กลุ่ม กับกลุ่มที ่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับระดับต่างๆอีก 3 กลุ่ม<br />
การให้ผู้ป่วยทดสอบการนอนหลับด้วยเครื ่องทดสอบการนอนหลับ ทางแผนก แผนก โสต ศอ<br />
นาสิก จะนัดผู้ป่วยที ่น่าสงสัยว่าจะมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับมาทดสอบโดยรับผู้ป่วยไว้ใน<br />
โรงพยาบาลและค่าใช้จ่ายต่อการทดสอบ 1 ครั้งประมาณ 8,700 บาท<br />
2.วัตถุประสงค์ของโครงการวิจัย<br />
ศึกษาปัจจัยเสี ่ยงด้านสรีระ คือ การสะสมของไขมันตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที ่ได้จากการ<br />
วัดขนาดร่างกายและค่าดัชนีมวลกายในกลุ่มผู้ป่วยที ่เข้ารับการตรวจรักษาในคลินิกพิเศษนอนกรน<br />
แผนก โสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เพื ่อดูว่าปัจจัยเสี ่ยงใดเป็นปัจจัยเสี ่ยงที ่สําคัญที ่จะ<br />
บอกได้ว่าผู้ป่วยน่าจะมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับและการพยากรณ์ความรุนแรงของโรค<br />
3. ประโยชน์ที่จะได้จากการวิจัย<br />
1. เพื ่อนําข้อมูลที ่ได้มาใช้ในการทํานายการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับในประชากร<br />
ไทยทั่วไปที ่เทียบเคียงได้กับงานวิจัยและเฝ้าระวังในผู้ที ่มีปัจจัยเสี ่ยงที ่สําคัญนั้น ๆ<br />
2. เพื ่อประมาณค่าปัจจัยความเสี ่ยงที ่เหมาะสมกับกับสรีระของคนไทยและเปรียบเทียบกับของ<br />
ต่างประเทศ<br />
3. เพื ่อทราบความชุกของผู้ที ่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ ที ่เข้ารับการตรวจรักษาใน<br />
คลินิกพิเศษนอนกรนแผนก โสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า<br />
4. ทราบถึงปัญหาและอุปสรรคในการใช้เครื ่องทดสอบการนอนหลับ ที ่ใช้วินิจฉัย ภาวะหยุด<br />
หายใจขณะนอนหลับ
5<br />
5.เพื ่อนําข้อมูลที ่ได้ไปช่วยตัดสินใจการรักษาและแนะนําผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม<br />
6.สามารถนําข้อมูลที ่ได้ไปพัฒนาเป็นระดับที ่แน่นอนเพื ่อค้นหาผู้ที ่มีโอกาสและปัจจัยเสี ่ยงใน<br />
ผู้ป่วยอื ่น ๆ ที ่อาจมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ เป็นระดับความรุนแรงต่าง ๆ โดยไม่ต้องใช้<br />
เครื ่องทดสอบการนอนหลับ เพื ่อประหยัดค่าใช้จ่ายและใช้คัดกรองผู้ป่วยได้ในอนาคต<br />
7.เพื ่อเป็นแนวทางให้ผู้สนใจทําการศึกษาวิจัยต่อยอดต่อไป
่<br />
6<br />
บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรม<br />
ความผิดปกติของการหายใจขณะนอนหลับ (Sleep-Disorder Breathing)จําแนกเป็นอาการ<br />
นอนกรน (Snoring) และภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (Obstructive Sleep Apnea:OSA) ภาวะ<br />
หยุดหายใจขณะนอนหลับ เป็นภาวะที ่เกิดขึ ้นโดยมีลักษณะการอุดกั้นบางส่วนหรือทั้งหมดของ<br />
ทางเดินหายใจส่วนบนเป็นพัก ๆ ขณะนอนหลับทําให้เกิดการหยุดหายใจเป็นช่วงๆซึ ่งสามารถตรวจ<br />
พบได้จากค่าของออกซิเจนอิ่มตัวในเลือดที ่ลดลงและการสะดุ้งตื ่นตอนกลางคืน อาการที ่พบในผู้ป่วย<br />
กลุ่มนี ้ได้แก่ อาการง่วงนอนตอนกลางวัน การนอนหลับไม่สนิท อาการอ่อนล้าในการทํางาน อาการ<br />
ปวดศีรษะตอนเช้าหลังตื ่นนอนเป็นต้น ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดปัญหาด้านสังคมและการประกอบอาชีพ<br />
การงาน<br />
มีการศึกษาวิจัยปัจจัยเสี ่ยงด้านสรีรวิทยาที ่เกี ่ยวข้องกับความผิดปกติของการหายใจขณะนอน<br />
หลับ (Sleep-Disorder Breathing) ทั้งอาการนอนกรน (Snoring) และภาวะหยุดหายใจขณะนอน<br />
หลับ (Obstructive Sleep Apnea:OSA) มากมายในต่างประเทศ เช่น<br />
Ward Flemons W, McNicholas WT และคณะ( 1997,Canada) ได้ศึกษาอาการทางคลินิกที<br />
ใช้ทํานายการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (Obstructive Sleep Apnea:OSA) โดยใช้<br />
เครื ่องทดสอบการนอนหลับ (Polysomnogram) ซึ ่งเป็นวิธีมาตรฐานที ่ใช้วินิจฉัย (standard<br />
diagnostic test)พบว่าอาการทางคลินิกที ่ใช้ทํานายการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับที ่สําคัญ<br />
ได้แก่ ความแตกต่างด้านสรีระเช่น ดัชนีมวลกาย( BMI ) ,รอบแขน( WC ), รอบคอ ( NC ) และการ<br />
หายใจผิดปกติบางอย่างขณะนอนหลับ (การกรน การหยุดหายใจ การไอ การถอนหายใจ) โดยมีผู้ที่<br />
นอนร่วมกับผู้ป่วยเป็นผู้ให้ข้อมูล โดยพบว่าอาการทางคลินิกดังกล่าวมีความไวสูงแต่ความจําเพาะ<br />
เจาะจงปานกลาง<br />
Mortimore IL, Marshall I, Wraith PK, Sellar RJ, Douglas NJ(1998, Scotland, UK ) ได้<br />
ทําการศึกษาเปรียบเทียบปริมาณของไขมันรอบคอที ่ประเมินจากภาพถ่ายคลื ่นแม่เหล็กไฟฟ้า( MRI )<br />
บริเวณคอ และการสะสมของไขมันบริเวณทางเดินหายใจส่วนบน ( local fat deposition )ในผู้ป่วยที<br />
มีภาวะหยุดหายใจและหายใจน้อยลงขณะนอนหลับ (SAHS: Sleep Apnea/Hypopnea Syndrome)<br />
ทั้งกลุ่มคนอ้วนและไม่อ้วน เปรียบเทียบกับกลุ่มคนปกติซึ ่งเป็นกลุ่มควบคุมรวมทั้งหมด 3 กลุ่ม ๆ ละ<br />
9 คน พบว่าไม่มีความแตกต่างทางสถิติระหว่างกลุ่มผู้ป่วยไม่อ้วนที ่มีภาวะหยุดหายใจและหายใจ<br />
น้อยลงขณะนอนหลับ กับกลุ่มควบคุม ส่วนกลุ่มผู้ป่วยอ้วนที ่มีภาวะหยุดหายใจและหายใจน้อยลง<br />
ขณะนอนหลับนั้น มีการสะสมของไขมันตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสะสมของ<br />
ไขมันบริเวณคอด้านหน้าและด้านข้างมากกว่ากลุ่มควบคุม ซึ ่งเป็นตําแหน่งทางของเดินหายใจ<br />
ส่วนบน การศึกษานี ้ทําให้พอจะทํานายภาวะดังกล่าวจาการประเมินค่าดัชนีมวลกาย (BMI ) และการ<br />
วัดรอบคอ ( NC :Neck Circumference )<br />
Sergi M, Rizzi M, Comi AL, และคณะ (1999, Italy) ได้ทําการศึกษาภาวะหยุดหายใจขณะ<br />
นอนหลับในกลุ่มผู้ป่วยที ่อ้วนปานกลางถึงอ้วนมากจํานวน 27 คน ที ่ปราศจากโรคประจําตัวด้าน
7<br />
ระบบประสาทและระบบไหลเวียน โดยมีการวัดส่วนสูง(Height)ชั่งนํ้าหนัก (BW )วัดรอบเอว ( WC :<br />
Waist Circumference)รอบสะโพก (HC: Hip Circumference )และการเจาะเลือดตรวจวิเคราะห์<br />
ข้อมูลทางโรคเลือด กําหนดค่าจํานวนครั้งของการหยุดหายใจและการหายใจน้อยลงใน 1 ชั่วโมง(<br />
AHI ) > 15 ครั้ง จัดว่ามีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ พบว่าในผู้ป่วยอ้วนนั้นค่า AHI สัมพันธ์กับ<br />
รอบคอและอัตราส่วนรอบเอวต่อรอบสะโพก ( Waist/Hip ratio ) นอกจากนี ้ยังสัมพันธ์กับจํานวนเม็ด<br />
เลือดแดง(RBC & Hb) และความเข้มข้นของเลือด( Hct ) ความชุกของภาวะหยุดหายใจขณะนอน<br />
หลับในคนอ้วนเท่ากับ 55 % นอกจากนี ้ยังพบว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติของ<br />
ผู้ป่วยระหว่างจํานวนเม็ดเลือดแดง ความเข้มข้นของเลือดและออกซิเจนอิ่มตัวในเลือด ( SaO2) ที่จะ<br />
ลดลงระหว่างนอนหลับ โดยสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ ้นของ AHI ในขณะที ่ผู้ที ่ไม่มีภาวะหยุดหายใจขณะ<br />
นอนหลับพบว่าค่าต่าง ๆ ข้างต้นปกติ จึงได้ข้อสรุปว่าค่าต่าง ๆ ดังกล่าวนั้นใช้ทํานายความเสี ่ยงของ<br />
การเกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับได้<br />
George CF, Kab V, Kab P, Villa JJ, Levy AM. (2003, Canada ) ได้ทําการศึกษาถึงความ<br />
ผิดปกติของการหายใจขณะนอนหลับ (Sleep-Disorder Breathing) ของนักฟุตบอลที ่มีชื ่อเสียง<br />
จํานวน 52 คนที ่สุ่มมาจากทั้งหมดจํานวน 302 คน โดยจัดเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มความเสี ่ยงสูง และกลุ่ม<br />
ความเสี ่ยงตํ ่า นักเตะที ่ถูกสุ่มเลือกขึ ้นมาจะได้รับการทดสอบการนอนหลับและการตรวจร่างกายทาง<br />
สรีระ รวมทั้งรับการประเมินโดยใช้แบบประเมินการง่วงนอน ( ESS : Epworth Sleepiness Scale )<br />
พบว่าแม้ว่านักฟุตบอลส่วนใหญ่จะต้องการการนอนที ่มากขึ ้นในตอนกลางวันมากกว่าคนปกติ แต่<br />
สาเหตุดังกล่าวกลับไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของการหายใจขณะนอนหลับ (SDB : Sleep-<br />
Disorder Breathing) เพราะมีเพียง 14 % ของกลุ่มวิจัยเท่านั้นที ่มีความผิดปกติของการหายใจขณะ<br />
นอนหลับ ดังนั้นจึงต้องมีการศึกษาต่อไปในอนาคต<br />
Tishler PV, Larkin EK, Schluchter MD, Redline S. ( 2003 ,USA ) ได้ทําการศึกษาถึง<br />
ความเสี ่ยงสําคัญที ่ทําให้เกิดความผิดปกติของการหายใจขณะนอนหลับ (SDB : Sleep-Disorder<br />
Breathing) ของประชากรใน Cleveland โดยมีการติดตามประเมินความเสี ่ยงสําคัญเป็นเวลา 5 ปี<br />
เพื ่อเฝ้าดูว่าปัจจัยอะไรบ้างที ่เป็นความเสี ่ยงสําคัญที ่ทําให้การเกิดความผิดปกติของการหายใจขณะ<br />
นอนหลับ จากการศึกษาพบว่าปัจจัยที ่เป็นความเสี ่ยงสําคัญได้แก่ อายุ (Age) เพศ ( Sex ) ดัชนีมวล<br />
กาย ( BMI ) รอบเอวต่อรอบสะโพก ( W/H ratio ) และ ความเข้มข้นของโคเลสเตอรอลในกระแส<br />
เลือด ( serum cholesterol concentration )<br />
Tashkandi Y, Badr MS, Rowley JA ( 2005,USA ) ได้ทําการศึกษาจากประชากรสูงอายุทั้ง<br />
ชายและหญิงจํานวน 501 คน (ผู้ชาย 218 ผู้หญิง 283) ซึ ่งได้รับการทดสอบการนอนหลับด้วยเครื ่อง<br />
ทดสอบการนอนหลับ ( Polysomnography )พบว่าปัจจัยสําคัญที ่ทําให้อัตราการหยุดหายใจขณะนอน<br />
หลับในผู้ชายเพิ่มขึ ้นได้แก่ ดัชนีมวลกาย ( BMI ) ,รอบคอ ( NC :Neck Circumference )และสัดส่วน<br />
ของการนอนหลับในแต่ละคืน ต่อจํานวนเวลานอนทั้งหมด ( percentage time spent in the supine<br />
position: %TST-supine ) โดยในผู้ชายนั้นค่าจํานวนครั้งของการหยุดหายใจและการหายใจน้อยลงใน
่<br />
่<br />
8<br />
1 ชั่วโมง( AHI ) ที ่มากขึ ้นเป็นผลมาจากค่าจํานวนครั้งของการหยุดหายใจใน 1 ชั่วโมง( AI ) ที่<br />
เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับในผู้หญิง<br />
Hui DS, Chan JK.และคณะ ( 1999,Hong Kong )ได้การศึกษาความชุกของการนอนกรนและ<br />
ภาวะความผิดปกติของการหายใจขณะนอนหลับ (SDB : Sleep-Disorder Breathing) ในประชากร<br />
วัย<br />
ผู้ใหญ่ตอนต้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการใช้แบบสอบถามและการใช้เครื ่อง<br />
ทดสอบการนอนหลับชนิดนํากลับไปทดสอบที ่บ้าน ( MESAM IV device : Madaus Medizin-<br />
Elektronik; Freiburg, Germany ) จากประชากร 1,910 คนที ่ส่งข้อมูลกลับมาทางอีเมลล์ พบว่าการที<br />
ดัชนีมวลกาย ( BMI ) เพิ่มขึ ้นจะมีผลให้มีอาการนอนกรน( Snoring ) มากขึ ้น แต่ไม่พบความสัมพันธ์<br />
ระหว่างระยะเวลาการนอนกรนที ่มากขึ ้นกับภาวะความผิดปกติของการหายใจขณะนอนหลับ<br />
การศึกษาดังกล่าวยังพบว่าการนอนกรนพบได้บ่อยแต่ภาวะที ่มีการหายใจผิดปกติกลับพบได้น้อย<br />
นอกจากนี ้การใช้แบบสอบถามเรื ่องการนอนกรนนั้น ไม่ช่วยในการทํานายการเกิดภาวะความผิดปกติ<br />
ของการหายใจขณะนอนหลับได้<br />
Dancey DR, Hanly PJ.และคณะ ( 2003,Canada ) ได้ทําการศึกษาถึงความสัมพันธ์ของ<br />
ความกว้างรอบคอ( NC :Neck Circumference ) ที ่มีต่อความรุนแรงของการหยุดหายใจขณะนอน<br />
หลับ( Sleep Apnea ) จากผู้ป่วยที ่เข้ารับการตรวจรักษาในคลินิกการนอนหลับผิดปกติ ( Sleep<br />
Clinic )จํานวน 3,942 คน (ชาย 2,753 หญิง 1,189) พบว่าสัดส่วนของความกว้างรอบคอต่อความสูง<br />
( Neck/Height ratio : NHR ) นั้นเป็นปัจจัยที ่สําคัญที ่สุดที ่ใช้ทํานายความรุนแรงของการหยุดหายใจ<br />
ขณะนอนหลับ โดยที ่ในผู้ชายนั้นพบว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างชัดเจนมากกว่าในผู้หญิง<br />
Khoo SM, Tan WC.และคณะ ( 2004,Singapore ) ได้ทําการศึกษาปัจจัยเสี ่ยงของภาวะ<br />
ความผิดปกติของการหายใจขณะนอนหลับ (SDB : Sleep-Disorder Breathing) ในประชากรทั่วไป<br />
จํานวน 2,298 คน อายุระหว่าง 20 – 75 ปี โดยการสัมภาษณ์และใช้แบบสอบถาม แล้วจําแนกเป็น<br />
กลุ่มนอนกรนธรรมดา( Habitual Snoring) , กลุ่มนอนกรนที ่มีการหยุดหายใจ( Apnoeic Snoring :<br />
SDB I) และกลุ่มนอนกรนที ่มีการหยุดหายใจร่วมกับการง่วงนอนอย่างมากในตอนกลางวัน<br />
( Apnoeic Snoring or Snoring with Diurnal Hypersomnia : SDB II) โดยได้ทําการชั่งนํ ้าหนัก<br />
( BW ) วัดส่วนสูง( Height ) วัดความกว้างรอบคอ ( NC :Neck Circumference ) และซักประวัติการ<br />
สูบบุหรี ่ จากการศึกษาพบว่าปัจจัยเสี ่ยงของภาวะความผิดปกติของการหายใจขณะนอนหลับนั้น<br />
เหมือนกันกับปัจจัยเสี ่ยงที ่ทําให้เกิดอาการนอนกรน ได้แก่ อายุมากกว่า 60 ปี มีประวัติครอบครัว<br />
ดัชนีมวลกาย ( BMI ) ความกว้างรอบคอ( NC :Neck Circumference ) และมีประวัติการสูบบุหรี<br />
Ocasio-Tascón ME, Alicea-Colón E.และคณะ ( 2006,Puerto Rico )ได้ทําการศึกษาหาว่า<br />
ปัจจัยใดบ้างที ่มีความเสี ่ยงต่อภาวะที ่มีการอุดกั้นทางเดินหายใจมากจนมีการหยุดหายใจหรือมีการ<br />
ลดลงของลมหายใจที ่เข้าสู่ปอดขณะนอนหลับ (Obstructive Sleep Apnea Syndrome : OSAS) มาก<br />
ที ่สุด โดยมีการใช้ดัชนีมวลกาย( BMI ) และแบบประเมินการง่วงนอน ( ESS : Epworth Sleepiness<br />
Scale ) เป็นหนึ ่งในปัจจัยเสี ่ยง โดยกําหนดค่าเฉลี ่ยดัชนีมวลกาย( mean BMI ) ในคนที ่อายุ 64 ปี =
้<br />
่<br />
9<br />
25 kg/m² และกําหนดแต้มเฉลี ่ยแบบประเมินการง่วงนอน(mean ESS ) = 8 จากการศึกษาพบว่า<br />
ปัจจัยที่มีความเสี่ยงมากที่สุด ได้แก่ภาวะซึมเศร้า( Depression) , การนอนไม่หลับ (Insomnia ),<br />
อาการง่วงนอนเวลากลางวัน(Narcolepsy Symptoms ) และแต้มจากแบบประเมินการง่วงนอน(<br />
ESS ) > 12<br />
Namyslowski G, Scierski W.และคณะ ( 2005,Poland )ได้ศึกษาประเมินความสัมพันธ์<br />
ระหว่างดัชนีมวลกาย( BMI ) และค่าการรบกวนการหายใจขณะนอนหลับ ( RDI: Respiratory<br />
Disturbance Index ) ในผู้ป่วยนํ ้าหนักเกินมาตรฐานและผู้ป่วยโรคอ้วน ค่า RDI คือผลรวมของ<br />
จํานวนครั้งของการหยุดหายใจและการหายใจน้อยลงใน 1 ชั่วโมง( AHI ) กับจํานวนครั้งของภาวะที<br />
เกิดจากการอุดกั้นทางเดินหายใจขณะนอนหลับเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 10 วินาทีแล้วมีการสะดุ้งตื ่น<br />
โดยไม่มีลักษณะการหยุดหายใจ ( Apnea )และการหายใจน้อยลง( Hypopnea ) ( RDI = AHI +<br />
RERA: Respiratory Effort-Related Arousal )ที ่ชัดเจน โดยมีผู้ป่วยจํานวน 106 คน ได้รับการ<br />
บันทึกดัชนีมวลกายและให้ทดสอบการนอนหลับโดยเครื ่องทดสอบการนอนหลับ<br />
(Polysomnography) พบว่าค่าดัชนีมวลกายที ่มากขึ ้นมีความสัมพันธ์กับค่าการรบกวนการหายใจ<br />
ขณะนอนหลับที ่สูงขึ ้นในผู้ป่วยกลุ่มนี<br />
Sharma SK, Kumpawat S.และคณะ ( 2006,India )ได้ทําการศึกษาภาวะความชุกและปัจจัย<br />
เสี ่ยงของภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (Obstructive Sleep Apnea:OSA) ในประชากรอินเดีย<br />
จํานวน 2,400 คน พบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที ่มีผลต่อการเกิดภาวะดังกล่าว เช่นเดียวกับที ่มี<br />
การศึกษาในประเทศแถบตะวันตก ได้แก่ ผู้ชายอายุมาก ( Male gender ), อายุ ( Age ), ดัชนีมวล<br />
กาย ( BMI )และรอบเอวต่อรอบสะโพก ( W/H ratio ) เป็นปัจจัยเสี ่ยงสําคัญที ่ทําให้เกิดภาวะ<br />
หยุดหายใจขณะหลับ
10<br />
บทที่ 3 ระเบียบวิธีการศึกษา<br />
1. แบบแผนการวิจัย<br />
Retrospective Cross - sectional Study<br />
2. ลักษณะตัวอย่างหรือประชากรที่ทําการศึกษา<br />
ก. ประชากรเป้ าหมาย<br />
ผู้ป่วยที ่มารักษาที ่คลินิกพิเศษ คือ คลินิกนอนกรนที ่สงสัยว่ามีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ<br />
ในแผนก โสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า<br />
ข. การเลือกตัวอย่าง<br />
เกณฑ์คัดเลือกผู้ป่วยเข้าโครงการวิจัย<br />
1. ผู้ป่วยที ่สงสัยว่ามีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ อายุระหว่าง 20 ถึง 70 ปีที่มารับการ<br />
ตรวจวินิจฉัยรักษาตั้งแต่ ม.ค. 2549 ถึง มิ.ย. 2551<br />
2. ผู้ป่วยเดิมมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงไม่มีโรคทางอายุรกรรมที ่รุนแรงและมีผลต่อการรักษา<br />
3. ผู้ป่วยยินยอมเข้าร่วมทําการวิจัยโดยทราบถึงจุดมุ่งหมายและลักษณะ รวมทั้งประโยชน์และ<br />
ความเสี ่ยงต่าง ๆ จากการทําวิจัย โดยให้เซ็นต์ใบยินยอมทําการวิจัย<br />
เกณฑ์คัดเลือกผู้ป่วยออกจากโครงการวิจัย<br />
1. ผู้ป่วยที ่มีโรคทางอายุรกรรมที ่รุนแรงและมีผลต่อการรักษา เช่น โรคเบาหวาน โรคภูมิต้านทาน<br />
บกพร่อง โรคทางระบบไหลเวียนและหายใจและโรคทางสมองเป็นต้น<br />
2. ผู้ป่วยที ่ไม่สามารถปฏิบัติตามคําแนะนําของแพทย์และเจ้าหน้าที ่ เช่น ผู้ป่วยโรคจิตประสาท<br />
3. ผู้ป่วยที ่จําเป็นต้องใช้ยาอื ่นที ่มีผลต่อการกดการหายใจนอกเหนือจากที ่กําหนดไว้ในการวิจัย<br />
ค. ขนาดตัวอย่าง<br />
การคํานวณขนาดตัวอย่าง<br />
จากการศึกษา ของ Oguz Ogretmenoglu และคณะ เรื ่อง “Body fat Composition: A<br />
Predictive Factor for Obstructive Sleep Apnea’ พบว่าค่าเฉลี่ยของ BMI ในกลุ่มปกติ เท่ากับ<br />
25.2±1.5 และในส่วนของค่าเฉลี ่ยของ BMI ในกลุ่มที ่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับมีค่าเฉลี ่ย<br />
27.4±2.6<br />
สูตรคํานวณขนาดตัวอย่าง
11<br />
= 19<br />
27.4±2.6<br />
ดังนั้น การวิจัยครั้งนี ้ใช้กลุ่มตัวอย่างกลุ่มละ 19 ราย<br />
หมายเหตุ<br />
ในกลุ่มปกติ เท่ากับ 25.2±1.5<br />
ในกลุ่มที ่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับมีค่าเฉลี ่ย<br />
2.2<br />
ระดับความเชื ่อมั่น 95%, α = 0.05,<br />
อํานาจการทดสอบ ,<br />
Z = 1.96<br />
α<br />
σ<br />
( n − 1) s + ( n −1)<br />
s<br />
2 2<br />
2 2 1 1 2 2<br />
= sp<br />
=<br />
( n1− 1) + ( n2<br />
−1)<br />
= 6.02<br />
3. วิธีดําเนินการวิจัย<br />
ผู้ป่วยที ่สงสัยว่ามีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับที ่เข้ามาทําการตรวจวินิจฉัยรักษาที ่คลินิก<br />
พิเศษนอนกรนในแผนก โสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โดยมีอาการและอาการแสดง<br />
ได้แก่<br />
• ผู้ป่วยนํ ้าหนักตัวเทียบกับส่วนสูงมาก อยู่ในเกณฑ์อ้วนหรือมีลักษณะค่อนข้างอ้วนเตี ้ย<br />
• ผู้ป่วยนอนกรน โดยถามจากญาติ หรือผู้ที ่นอนใกล้ชิด<br />
• มีอาการง่วงนอนมากในเวลากลางวัน<br />
• ตื ่นเช้าไม่แจ่มใส รู้สึกว่าพักผ่อนไม่เพียงพอทั้งที ่จํานวนชั่วโมงของการนอนหลับอยู่ในเกณฑ์<br />
ปกติ ประสิทธิภาพในการทํางานลดลง<br />
• เคยหยุดหายใจขณะนอนหลับ โดยมีการสะดุ้งตื ่นหรือหยุดหายใจเป็นพัก ๆ ขณะนอนหลับ<br />
ซึ ่งสังเกตโดยญาติและผู้ที ่นอนใกล้ชิด<br />
• ผู้ป่วยที ่มีกรามค่อนข้างสั้น หรือมีลิ ้นคับปากหรือมีลิ ้นไก่ยาวปิดกั้นทางเดินหายใจ<br />
และอาการแสดงเหล่านี ้จัดเป็นอาการที ่ทําให้สงสัยว่าผู้ป่วยอาจมีภาวะหยุดหายใจขณะนอน<br />
หลับและเป็นปัญหาที ่นําผู้ป่วยมาพบแพทย์ หรือแม้แต่ผู้ป่วยที ่มาพบแพทย์ด้วยปัญหาอื ่น แต่มี<br />
อาการและอาการแสดงในปัญหาที ่กล่าวข้างต้น ก็อาจสงสัยได้ว่าเป็นผู้ที ่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอน<br />
หลับ ซึ ่งจะให้ผู้ป่วยมาทําการทดสอบการนอนหลับเพื ่อดูว่ามีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับหรือไม่
้<br />
่<br />
12<br />
อย่างไร รุนแรงเพียงใด โดยจัดกลุ่มผู้ป่วยเหล่านี ้เข้ากลุ่มการศึกษาจากนั้นก็นําผลการทดสอบที ่ได้มา<br />
วิเคราะห์เทียบกับปัจจัยด้านสรีระและนํ ้าหนักตัว โดยระดับความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะ<br />
นอนหลับมี 4 ขั้น ดังนี<br />
1. 0-4.9 ต่อชั่วโมง ถือเป็นภาวะปกติ<br />
2. 5-14.9 ต่อชั่วโมง ถือเป็นภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับระดับเล็กน้อย<br />
3. 15-29.9 ต่อชั่วโมง ถือเป็นภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับระดับปานกลาง<br />
4. มากกว่า 30 ต่อชั่วโมง ถือเป็นภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับระดับรุนแรง<br />
หัวข้อที่ทําการศึกษาดังนี้<br />
1. ดัชนีมวลกายหรือนํ ้าหนักตัวเทียบกับส่วนสูง ( Body Mass Index : BMI ) มีหน่วย<br />
เป็น กิโลกรัมต่อตารางเมตร ( kg/m² )<br />
2. รอบคอ ( Neck Circumference : NC ) มีหน่วยเป็นเซนติเมตร (cm)<br />
3. รอบอก ( Chest Circumference : CC ) มีหน่วยเป็นเซนติเมตร (cm)<br />
4. รอบเอวต่อรอบสะโพก ( Waist/Hip ratio )<br />
5. อายุ ( Age ) มีหน่วยเป็นปี ( Year )<br />
6. แต้มจากแบบประเมินการง่วงนอน ( ESS : Epworth Sleepiness Scale )<br />
7. จํานวนครั้งของการหยุดหายใจและการหายใจน้อยลงใน 1 ชั่วโมง ( Apnea<br />
Hypopnea Index : AHI ) มีหน่วยเป็นครั้ง/ชั่วโมง<br />
จากนั้นนําข้อมูลที ่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติเพื ่อดูความสัมพันธ์ระหว่างค่าต่างๆที<br />
ทําการศึกษาดังกล่าวข้างต้นโดยเน้นที ่ความสัมพันธ์ของค่าดัชนีมวลกาย( Body Mass Index : BMI )<br />
กับจํานวนครั้งของการหยุดหายใจและการหายใจน้อยลงใน 1 ชั่วโมง ( Apnea Hypopnea Index :<br />
AHI ) โดยแบ่งกลุ่มศึกษาออกเป็น 4 กลุ่ม<br />
1. กลุ่มที ่ค่า AHI ที ่ได้จากการทดสอบการนอนหลับไม่เกิน 5 ครั้ง/ชั่วโมง : ถือเป็น<br />
กลุ่มปกติ<br />
2. กลุ่มที ่ค่า AHI ที ่ได้จากการทดสอบการนอนหลับ 5 ถึงไม่เกิน 15 ครั้ง/ชั่วโมง :ถือ<br />
เป็นกลุ่มที ่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับระดับเล็กน้อย<br />
3. กลุ่มที ่ค่า AHI ที ่ได้จากการทดสอบการนอนหลับ15 ถึงไม่เกิน 30 ครั้ง/ชั่วโมง :ถือ<br />
เป็นกลุ่มที ่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับระดับปานกลาง<br />
4. กลุ่มที ่ค่า AHI ที ่ได้จากการทดสอบการนอนหลับตั้งแต่ 30 ครั้ง/ชั่วโมงขึ ้นไป : ถือ<br />
เป็นกลุ่มที ่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับระดับรุนแรง<br />
โดยวางแผนให้มีจํานวนศึกษาในแต่ละกลุ่ม กลุ่มละ 19 คน จากนั้นทําการศึกษาวิเคราะห์<br />
เปรียบเทียบ Age,Sex,BMI,NC,CC,W/H ratioและESS เพื ่อหาข้อสรุปความสัมพันธ์ของค่าต่างๆกับ
13<br />
การมีหรือไม่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับและหาแนวโน้มการทํานายความรุนแรงของภาวะหยุด<br />
หายใจกับการเปลี ่ยนแปลงของค่าต่างๆเหล่านั้น<br />
4. การเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
ข้อมูลจะได้รับการบันทึกในแบบฟอร์มเก็บข้อมูลตามแบบประเมิน<br />
5. การวิเคราะห์ข้อมูล<br />
1. การวิเคราะห์ลักษณะข้อมูลทั่วไปใช้ค่าเฉลี ่ย และส่วนเบี ่ยงเบนมาตรฐาน หรือร้อยละ<br />
2. การเปรียบเทียบความแตกต่างของ BMI ระหว่างกลุ่มที ่ปกติ กับกลุ่มที ่มีภาวะการหยุด<br />
หายใจ โดยวิธี t – test หรือ Mann-Whitney U test ที่ระดับนัยสําคัญ 0.05
14<br />
บทที่ 4 ผลการศึกษา<br />
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล<br />
การวิจัยครั้งนี ้ได้เก็บข้อมูลจากแฟ้มเวชระเบียนผู้ป่วยและแบบประเมินการง่วงนอน (ESS)<br />
โดยผู้ป่วยที ่เข้ารับการตรวจรักษาที ่คลินิกพิเศษนอนกรนแผนก โสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลพระ<br />
มงกุฎเกล้าโดยแบ่งกลุ่มศึกษาตามระดับความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับซึ่งมี 4 กลุ่ม<br />
คือ กลุ่มภาวะปกติ (AHI 0-4.9 / hr :AHI I) ,ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับเล็กน้อย (AHI 5-14.9 /<br />
hr :AHI II) ,ระดับปานกลาง(AHI 15-29.9 / hr :AHI III) และระดับรุนแรง (AHI >30 / hr : AHI IV)<br />
กับปัจจัยทั้ง 6 อย่าง ได้แก่ อายุ ( Age ) , ดัชนีมวลกายหรือนํ ้าหนักตัวเทียบกับส่วนสูง ( Body<br />
Mass Index : BMI ), รอบคอ ( Neck Circumference : NC ), รอบอก ( Chest Circumference :<br />
CC ),รอบเอวต่อรอบสะโพก ( Waist/Hip ratio ) และแต้มจากการประเมินการง่วงนอน( ESS ) ซึ ่ง<br />
แต่ละระดับความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับได้กลุ่มตัวอย่างกลุ่มละ 19 ราย รวมเป็น<br />
76 ราย ประกอบด้วยเพศชาย 55 ราย เพศหญิง 21 ราย อายุเฉลี ่ย 48.5 ปี (range 26 - 69) เมื ่อทํา<br />
การเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี ่ยในแต่ละปัจจัยทั้ง 6 ปัจจัย พบว่าระดับความรุนแรงทั้ง 4<br />
กลุ่มมีค่าเฉลี ่ยที ่แตกต่างกันเพียง 3 ปัจจัยคือ ดัชนีมวลกาย ( Body Mass Index : BMI ), รอบคอ (<br />
Neck Circumference : NC )และ รอบอก ( Chest Circumference : CC ) ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%<br />
โดยในกลุ่มของภาวะหยุดหายใจระดับรุนแรง (AHI >30 / hr : AHI IV) มีค่าเฉลี ่ยปัจจัยดัชนีมวลกาย<br />
(BMI) รอบคอ (NC) และรอบอก (CC) มีเท่ากับ 28.9 ( range 21.8-43.1) ,17.5 ( range 13.5-24.0) และ<br />
38.0 ( range 33.0-44.0) ตามลําดับ ซึ ่งมีค่าเฉลี ่ยมากกว่ากลุ่มอื ่นๆในทุกปัจจัย แสดงดังตารางที ่1
ตารางที่ 1 แสดงค่าเฉลี ่ยอายุ(Age) ดัชนีมวลกาย (BMI) รอบคอ (NC) รอบอก (CC) รอบเอวต่อสะโพก(W/H<br />
ratio) และแต้มจากการประเมินการง่วงนอน (ESS)<br />
Total<br />
(n=76)<br />
Median<br />
(min-max)<br />
Age 48.5<br />
(26.0-69.0)<br />
Body Mass Index 25.7<br />
(kg/m 2 )<br />
(17.9-43.1)<br />
Neck<br />
16.0<br />
Circumference (12.0-24.0)<br />
(cm)<br />
Chest<br />
Circumference<br />
(cm)<br />
36.0<br />
(31.5-44.0)<br />
Waist/Hip ratio 0.91<br />
(0.73-1.06)<br />
ESS 10.0<br />
(1.0-20.0)<br />
a<br />
Kruskal-Wallis Test, α = 0.05<br />
AHI I<br />
(n=19)<br />
Median<br />
(min-max)<br />
46.0<br />
(27.0-68.0)<br />
24.2<br />
(19.8-37.2)<br />
15.0<br />
(14.0-18.0)<br />
34.0<br />
(32.0-36.5)<br />
0.92<br />
(0.81-0.97)<br />
7.0<br />
(2.0-15.0)<br />
AHI II<br />
(n=19)<br />
Median<br />
(min-max)<br />
47.0<br />
(26.0-67.0)<br />
25.2<br />
(17.9-38.3)<br />
16.0<br />
(12.0-18.0)<br />
36.0<br />
(31.5-38.0)<br />
0.86<br />
(0.73-0.97)<br />
11.0<br />
(2.0-18.0)<br />
AHI III<br />
(n=19)<br />
Median<br />
(min-max)<br />
49.0<br />
(27.0-69.0)<br />
26.1<br />
(22.9-35.7)<br />
16.0<br />
(14.0-19.0)<br />
36.0<br />
(33.0-39.0)<br />
0.93<br />
(0.81-1.00)<br />
13.0<br />
(1.0-18.0)<br />
AHI IV<br />
(n=19)<br />
Median<br />
(min-max)<br />
52.0<br />
(34.0-65.0)<br />
28.9<br />
(21.8-43.1)<br />
17.5<br />
(13.5-24.0)<br />
38.0<br />
(33.0-44.0)<br />
0.91<br />
(0.82-1.06)<br />
12.0<br />
(1.0-20.0)<br />
p-value a<br />
0.360<br />
0.020<br />
0.002<br />
< 0.001<br />
0.076<br />
0.091<br />
15
ตารางที่ 2 แสดง Ordinal logistic regression เพื ่อหาความสัมพันธ์ระหว่างระดับความรุนแรงของ<br />
ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ กับปัจจัยที ่เกี ่ยวข้อง<br />
B SE Wald p-value Odd<br />
Ratio<br />
Lower Upper<br />
Body Mass Index (kg/m 2 ) 0.036 0.059 0.364 0.547 1.04 -0.080 0.152<br />
Neck Circumference (cm) 0.078 0.185 0.177 0.674 1.08 -0.285 0.440<br />
Chest Circumference<br />
(cm)<br />
0.502 0.135 13.859 < 0.001 1.65 0.238 0.766<br />
Waist/Hip ratio -0.018 3.838 0.000 0.996 0.98 -7.541 7.505<br />
ESS 0.028 0.050 0.326 0.568 1.03 -0.069 0.126<br />
16<br />
ผลการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างระดับความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะนอน<br />
หลับ กับปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ดังแสดงในตารางที่ 2 พบว่าเฉพาะ ปัจจัยรอบอก (CC) เท่านั้นมี<br />
ความสัมพันธ์กับระดับความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ<br />
โดยปัจจัยรอบอก (CC) ที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 1 เซนติเมตร จะมีความเสี ่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะนอน<br />
หลับ ที่ระดับรุนแรงกว่าถึง 1.65 เท่าของผู้ป่วยที ่มีรอบคอน้อยกว่า (coefficient =<br />
0.502 ,95%CI : -7.541 - 7.505)<br />
จากตารางที ่ 2 สามารถสร้างสมการและนําสมการที ่ได้มาทําการพยากรณ์ผู้ป่วยที ่มีความ<br />
เสี ่ยงที ่จะมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ แสดงผลดังตารางที ่ 3<br />
Z 1 = 18.919+0.036 BMI+0.078 NC + 0.502 CC – 0.018 WH+0.028 ESS<br />
Z 2 = 20.423+0.036 BMI+0.078 NC + 0.502 CC – 0.018 WH+0.028 ESS<br />
Z 3 = 21.992+0.036 BMI+0.078 NC + 0.502 CC – 0.018 WH+0.028 ESS
่<br />
่<br />
17<br />
ตารางที่ 3 แสดงความถูกต้องของการพยากรณ์ระดับความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจ<br />
ระดับความรุนแรง Sensitivity Specificity<br />
0-4.9 73.7 78.9<br />
5-14.9 21.1 89.0<br />
15-29.9 26.3 78.9<br />
>=30 78.9 85.9<br />
เมื ่อทําการพยากรณ์ข้อมูลโดยนําปัจจัยที ่ศึกษาเข้าสมการและตรวจสอบความถูกต้องของ<br />
การพยากรณ์ แล้วพยากรณ์ว่าผู้ป่วยมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับอยู่ในกลุ่มใดโดยผลการ<br />
พยากรณ์จะออกมาในรูปตัวเลขระหว่างกลุ่ม 1-4 แล้วเปรียบเทียบกับผลการทดสอบการนอนหลับที<br />
ได้จากการทดสอบการนอนหลับจริงพบว่า ในกลุ่มภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับระดับรุนแรง<br />
(AHI >30 / hr : AHI IV) มีความไว( Sensitivity) ของการทดสอบสูงสุดเท่ากับ 78.9% รองลงมาคือ<br />
กลุ่มที่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับแบบปกติ (AHI 0-4.9 / hr :AHI I) เท่ากับ 73.7% ส่วนกลุ่มที<br />
มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับระดับปานกลาง(AHI 15-29.9 / hr :AHI III) และระดับเล็กน้อย (AHI<br />
5-14.9 / hr :AHI II) ในการพยากรณ์พบค่าความไวค่อนข้างตํ่าเท่ากับ 26.3 %และ21.1% ตามลําดับ<br />
ส่วนความจําเพาะ( Specificity) ของการทดสอบ พบว่าการพยากรณ์ในกลุ่มมีภาวะหยุดหายใจขณะ<br />
นอนหลับอยู่ในระดับเล็กน้อยจะมีความจําเพาะที ่มากที ่สุดเท่ากับ 89.0% รองลงมาคือ ระดับรุนแรง<br />
เท่ากับ 85.9% ส่วนกลุ่มที ่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับระดับปกติ และระดับปานกลาง มี<br />
ความจําเพาะเท่ากันคือ 78.9%
18<br />
Age(yrs)<br />
30 40 50 60 70<br />
0-4.9 5-14.9 15-29.9 >=30<br />
รูปที่ 1 กราฟแท่งแสดงอายุ(Age)ของประชากรในแต่ละกลุ่มศึกษา<br />
AHI(/hr)<br />
BMI( kg/m² )<br />
20 25 30 35 40 45<br />
0-4.9 5-14.9 15-29.9 >=30<br />
AHI(/hr)<br />
รูปที่ 2 กราฟแท่งแสดงค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ของประชากรในแต่ละกลุ่มศึกษา
19<br />
CC(cm)<br />
30 35 40 45<br />
0-4.9 5-14.9 15-29.9 >=30<br />
รูปที่ 3 กราฟแท่งแสดงค่ารอบอก (CC) ของประชากรในแต่ละกลุ่มศึกษา<br />
AHI(/hr)<br />
ESS<br />
0 5 10 15 20<br />
0-4.9 5-14.9 15-29.9 >=30<br />
AHI(/hr)<br />
รูปที่ 4 กราฟแท่งแสดงแต้มจากแบบประเมินการง่วงนอน (ESS) ของประชากรในแต่ละกลุ่มศึกษา
20<br />
WH<br />
.7 .8 .9 1 1.1<br />
0-4.9 5-14.9 15-29.9 >=30<br />
AHI(/hr)<br />
รูปที่ 5 กราฟแท่งแสดงค่ารอบเอวต่อสะโพก (W/H ratio) ของประชากรในแต่ละกลุ่มศึกษา<br />
NC(cm)<br />
10 15 20 25<br />
0-4.9 5-14.9 15-29.9 >=30<br />
รูปที่ 6 กราฟแท่งแสดงค่ารอบคอ (NC) ของประชากรในแต่ละกลุ่มศึกษา<br />
AHI(/hr)
21<br />
บทที่ 5 อภิปรายผล<br />
ปัจจุบันเป็นที ่ยอมรับว่าปัจจัยเสี ่ยงด้านสรีระวิทยาเกี ่ยวข้องกับความผิดปกติของการหายใจ<br />
ขณะนอนหลับ (Sleep-Disorder Breathing) ทั้งอาการนอนกรน (Snoring) และการหยุดหายใจขณะ<br />
นอนหลับ (Obstructive Sleep Apnea:OSA) มีการศึกษาวิจัยเกิดขึ้นมากมายในต่างประเทศ ส่วน<br />
ใหญ่เพื ่อหาปัจจัยสําคัญที่สุดที่เกี่ยวข้องกับภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับเพื ่อนํามาซึ ่งการลดความ<br />
เสี ่ยงโดยลดปัจจัยนั้นๆ แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนตรงกันว่าแท้จริงแล้วปัจจัยเสี่ยงตัวใดหรือกลุ่มใด<br />
เป็นตัวการสําคัญที ่สุดที ่มีผลต่อการหยุดหายใจขณะนอนหลับ ทั้งนี ้อาจเนื ่องมาจากความแตกต่าง<br />
ของแบบแผนการวิจัย รวมถึงความแตกต่างด้านสรีรวิทยาและพฤติกรรมของแต่ละเชื ้อชาติก็เป็นได้<br />
การศึกษาวิจัยครั้งนี ้ผู้วิจัยได้ทําการศึกษาปัจจัยเสี ่ยงด้านสรีระ คือ การสะสมของไขมันตาม<br />
ส่วนต่างๆ ของร่างกายที ่ได้จากการวัดขนาดร่างกายและค่าดัชนีมวลกายในกลุ่มผู้ป่วยที ่เข้ารับการ<br />
ตรวจรักษาในคลินิกพิเศษนอนกรนแผนก โสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าโดยมุ่งหวังจะ<br />
ได้ตัวอย่างข้อมูลทางด้านสรีระวิทยาและการสะสมของไขมันของประชากรไทย แล้วนํามาวิเคราะห์<br />
ความแตกต่างเพื ่อนําไปใช้ประโยชน์ในการพยากรณ์ภาวะดังกล่าวในประชากรไทยกลุ่มอื ่น ๆ ซึ ่งมี<br />
ความคล้ายกันทั้งด้านสรีรวิทยา และพฤติกรรมมากกว่าข้อมูลจากต่างประเทศ<br />
จากผลการศึกษาจะเห็นได้ว่าปัจจัยเสี ่ยงด้านสรีระวิทยา 3 ปัจจัย คือ ดัชนีมวลกาย (BMI)<br />
รอบคอ (NC) และรอบอก (CC) มีความแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจ<br />
ขณะนอนหลับอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ในขณะที ่ไม่พบว่ามีค่ารอบเอวต่อสะโพก (W/H ratio) และ<br />
แต้มจากแบบประเมินการง่วงนอน (ESS) ที ่แตกต่างกัน โดยที ่อายุของประชากรที ่ศึกษาไม่แตกต่าง<br />
กัน นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าเมื ่อปัจจัยเสี ่ยง 3 ประการเปลี ่ยนแปลงไปก็น่าจะมีการเปลี ่ยนแปลงความ<br />
รุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับด้วย ซึ ่งเป็นไปในแนวเดียวกับที ่เคยมีการศึกษาใน<br />
ต่างประเทศ ส่วนแต้มจากแบบประเมินการง่วงนอน (ESS) นั้นไม่แตกต่างกันซึ ่งเป็นไปได้ว่าการให้<br />
คะแนนเป็นแต้มได้จากการประเมินจากอาการที่ผู้ป่วยเป็นผู้ประเมินเอง มีหัวข้อที่ประเมินเพียง 8<br />
เหตุการณ์ และมีคะแนนเพียง 0,1,2 และ 3 ให้เลือก ทําให้ผลคะแนนที ่ได้ไม่แตกต่างกันมากในกลุ่ม<br />
ศึกษาแต่ละกลุ่ม โดยผู้วิจัยตั้งข้อสังเกตุว่า แม้แต่ในกลุ่มที ่จํานวนครั้งของการหยุดหายใจและการ<br />
หายใจน้อยลงใน 1 ชั่วโมง ( Apnea Hypopnea Index : AHI
22<br />
ส่วนค่ารอบเอวต่อสะโพก (W/H ratio) นั้นโดยปกติถ้าแยกศึกษาเป็นรอบเอว( W) หรือ รอบ<br />
สะโพก(H) ตัวใดตัวหนึ่งก็ อาจมีความแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มวิจัยได้ แต่การนําค่าทั้งสองมาเป็น<br />
อัตราส่วนกันนั้น แม้ว่าจะมีการเพิ่มขึ ้นของรอบเอว( W) ก็อาจทําให้ค่าอัตราส่วนเปลี ่ยนไปไม่มาก<br />
เป็นผลให้ค่าอัตราส่วนรอบเอวต่อสะโพก (W/H ratio) ไม่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม<br />
อย่างไรก็ตามการวิจัยครั้งนี ้ผู้วิจัยยังนําข้อมูลที ่ได้มาทําการศึกษาวิเคราะห์ต่อไปอีกถึงการ<br />
พยากรณ์ความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ โดยวิธีOrdinal Logistic Regression<br />
พบว่าเฉพาะค่ารอบอก (CC) เท่านั้นที ่หากมีการเปลี่ยนแปลงแล้วจะมีความสัมพันธ์กับการ<br />
เปลี ่ยนแปลงของระดับความรุนแรง โดยพบว่าค่ารอบอก (CC) ที่เพิ่มขึ้นทุก 1 เซนติเมตรจะมีความ<br />
เสี ่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับเพิ่มขึ ้น 1.65 เท่า<br />
เมื ่อนําข้อมูลจากค่าเฉลี ่ยของปัจจัยเสี ่ยงด้านสรีระและการสะสมของไขมันมาพิจารณาร่วมกับ<br />
ข้อมูลวิธี Ordinal Logistic Regression ทําให้ได้ข้อมูลสําคัญว่าปัจจัยเสี่ยงที่สําคัญที่สุดที่มีผลต่อ<br />
ภาวะและความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับคือ ขนาดของรอบอก (CC) ซึ ่งหากไม่ใช้วิธี<br />
นี ้ทําการศึกษาต่อจากข้อมูลที ่ได้ข้างต้นก็อาจสรุปว่าทั้งค่าดัชนีมวลกาย (BMI) รอบคอ (NC) และรอบ<br />
อก (CC) มีความสัมพันธ์ต่อภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับเพราะมีความแตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม<br />
ศึกษา แต่เมื ่อทําการศึกษาโดยวิธีดังกล่าวแล้วกลับพบว่าค่าดัชนีมวลกาย (BMI) และรอบคอ (NC)<br />
นั้นจะบอกได้เพียงว่าผู้ป่วยน่าจะมีหรือไม่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับหรืออาจจะพอบอกได้ว่ามี<br />
ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับในระดับความรุนแรงใดเพราะค่าเฉลี ่ยของดัชนีมวลกาย (BMI) และ<br />
รอบคอ (NC) ที ่ได้มีความแตกต่างกันตามระดับความรุนแรงต่างๆของภาวะหยุดหายใจขณะนอน<br />
หลับ ซึ ่งถ้าเปรียบเทียบกับผลจากงานวิจัยอื ่น ๆของต่างประเทศก็เป็นไปในแนวเดียวกัน งานวิจัย<br />
ส่วนใหญ่มักจะเพียงสรุปผลเพียงเท่านั้น แต่เมื ่อผู้วิจัยนําวิธี Ordinal Logistic Regression มาใช้ใน<br />
การวิเคราะห์ร่วมกันทําให้ทราบว่าแม้ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) และรอบคอ (NC) จะสัมพันธ์กับภาวะ<br />
หยุดหายใจขณะนอนหลับแต่การเพิ่มขึ ้นของค่าปัจจัยดังกล่าวก็ไม่สัมพันธ์กับการเพิ่มระดับความ<br />
รุนแรงของภาวะหยุดหายใจ<br />
การวิจัยในครั้งนี ้ผู้วิจัยได้นําเสนอสมการที ่นํามาใช้พยากรณ์ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ<br />
ดังแสดงไว้ในบทก่อน โดยนําข้อมูลที ่ได้มาทําการพยากรณ์แล้วตรวจสอบความถูกต้องของการ<br />
พยากรณ์จะพบว่า ความจําเพาะ( Specificity) สูงแต่ความไว( Sensitivity) ไม่แน่นอน โดยกลุ่มที่มี<br />
ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับระดับเล็กน้อยมีความไวตํ่าที่สุดคือ 21.1% แต่กลับมีความจําเพาะ<br />
สูงสุดถึง 89.0 % ส่วนในกลุ่มที ่มีภาวะหยุดหายใจระดับรุนแรงนั้นพบว่า มีความไวสูงที่สุดถึง 78.9 %<br />
ทั้งยังมีความจําเพาะสูงถึง 85.9%<br />
โดยหากนําสมการการพยากรณ์ไปใช้จริงในทางคลินิกก็น่าจะประยุกต์ใช้ในแง่ว่า ถ้าสมการ<br />
พยากรณ์ว่าน่าจะมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับโดยเฉพาะในกลุ่มที ่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอน<br />
หลับระดับเล็กน้อยและกลุ่มที ่มีภาวะหยุดหายใจระดับรุนแรงก็ถือว่ามีความเป็นไปได้สูงที ่ผู้ป่วยจะมี
23<br />
ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับในกลุ่มนั้นๆจริง แต่ถ้าพยากรณ์ว่าน่าจะไม่มีภาวะหยุดหายใจขณะ<br />
นอนหลับก็ยังไม่สามารถแยกภาวะนี ้ออกไปได้<br />
ดังนั้นการหาค่าดัชนีมวลกายและวัดขนาดร่างกายโดยใช้สายวัดตัวธรรมดาจึงเป็นวิธีที ่ง่ายและ<br />
ราคาถูก สมควรนํามาใช้ประเมินก่อนการทดสอบการนอนหลับ อย่างไรก็ตามคงต้องมีการศึกษา<br />
ต่อไปในประชากรศึกษาที ่มากขึ ้นเพื ่อความแม่นยําของค่าคงที ่ของสมการการพยากรณ์ซึ ่งอาจได้<br />
สมการที ่มีความไวสูงขึ ้นและสามารถนําไปใช้ได้จริงโดยเฉพาะในโรงพยาบาลหรือคลินิกที ่ไม่มีเครื ่อง<br />
ทดสอบการนอนหลับเพื ่อคัดกรองผู้ป่วยก่อนจะส่งต่อมายังโรงพยาบาลที ่มีเครื ่องทดสอบการนอน<br />
หลับซึ ่งจะน่าจะมีความแม่นยํามากกว่าการใช้แต้มประเมินอาการง่วงนอน (ESS) ที่ใช้กันอยู่ใน<br />
ปัจจุบัน
24<br />
บทที่ 6 สรุปผลการศึกษา<br />
ปัจจัยเสี ่ยงด้านสรีระ คือ การสะสมของไขมันตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที ่ได้จากการวัด<br />
ขนาดร่างกายและค่าดัชนีมวลกายในกลุ่มผู้ป่วยที ่เข้ารับการตรวจรักษาในคลินิกพิเศษนอนกรนแผนก<br />
โสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าที ่สัมพันธ์กับภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับและมีความ<br />
แตกต่างกันตามระดับความรุนแรงต่างๆของภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับได้แก่ค่าดัชนีมวลกาย<br />
(BMI) รอบคอ (NC) และรอบอก (CC) โดยมีความแตกต่างกันของค่าเฉลี ่ยในแต่ละกลุ่มศึกษาอย่างมี<br />
นัยสําคัญทางสถิติ<br />
ปัจจัยเสี ่ยงสําคัญที ่หากมีการเพิ่มขึ ้นจะเพิ่มความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ<br />
และใช้พยากรณ์ความรุนแรงของโรคคือค่ารอบอก (CC) โดยพบว่าค่ารอบอกที ่เพิ่มขึ ้นทุก 1<br />
เซนติเมตรจะมีความเสี ่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับเพิ่มขึ ้น 1.65 เท่า<br />
การพยากรณ์โรคโดยนําปัจจัยที ่ศึกษาเข้าสมการการพยากรณ์และตรวจสอบความถูกต้อง<br />
ของการพยากรณ์พบว่า มีความไว( Sensitivity) อยู่ในระดับ 21.1 – 78.9 % และมีความจําเพาะ<br />
( Specificity) อยู่ในระดับ 78.9 – 89 %<br />
การวัดขนาดร่างกายและหาค่าดัชนีมวลกาย เป็นวิธีที ่ง่ายและราคาถูก สมควรนํามาใช้<br />
ประเมินก่อนการทดสอบการนอนหลับ
25<br />
เอกสารอ้างอิง<br />
1. Byron J. Bailey . Head & Neck Surgery- Otolaryngology . Fourth edition,2006.<br />
2. Charles W. Cummings. Otolaryngology Head & Neck Surgery. Fourth edition,2005.<br />
3. Dancey DR, Hanly PJ, et all. Gender differences in sleep apnea: the role of neck<br />
circumference. Chest. 2003 May;123(5):1544-50.<br />
4. George CF, Kab V, et all. Sleep and breathing in professional football players . Sleep<br />
Med. 2003 Jul;4(4):317-25.<br />
5. Hui DS, Chan JK, et all. Prevalence of snoring and sleep-disordered breathing in a<br />
student population. Chest. 1999 Dec;116(6):1530-6.<br />
6. Khoo SM, Tan WC, et all. Risk factors associated with habitual snoring and sleepdisordered<br />
breathing in a multi-ethnic Asian population: a population-based study. Respir<br />
Med. 2004 Jun;98(6):557-66.<br />
7. Mortimore IL, Marshall I, et all. Neck and total body fat deposition in nonobese and<br />
obese patients with sleep apnea compared with that in control subjects. Am J Respir Crit<br />
Care Med. 1998 Jan;157(1):280-3.<br />
8. Namysłowski G, Scierski W, et all. Sleep study in patients with overweight and obesity. J<br />
Physiol Pharmacol. 2005 Dec;56 Suppl 6:59-65.<br />
9. Ocasio-Tascón ME, Alicea-Colón E, et all. The veteran population: one at high risk for<br />
sleep-disordered breathing. Sleep Breath. 2006 Jun;10(2):70-5.<br />
10. Oğretmenoğlu O, Süslü AE, et all. Body fat composition: a predictive factor for<br />
obstructive sleep apnea. Laryngoscope. 2005 Aug;115(8):1493-8.<br />
11. Sergi M, Rizzi M, Comi AL, et all. Sleep Apnea in Moderate-Severe Obese Patients.<br />
Sleep Breath. 1999;3(2):47-52.<br />
12. Sharma SK, Kumpawat S, Banga A, Goel A. Prevalence and risk factors of obstructive<br />
sleep apnea syndrome in a population of Delhi, India. Chest. 2006 Jul;130(1):149-56.<br />
13. Tashkandi Y, Badr MS, Rowley JA. Determinants of the apnea index in a sleep center<br />
population. Sleep Breath. 2005 Dec;9(4):181-6.<br />
14. Tishler PV, Larkin EK, et all. Incidence of sleep-disordered breathing in an urban adult<br />
population: the relative importance of risk factors in the development of sleep-disordered<br />
breathing. JAMA. 2003 May 7;289(17) :2230-7.<br />
15. Ward Flemons W, McNicholas WT,et all. Clinical prediction of the sleep apnea<br />
syndrome. Sleep Medicine Reviews.1997 Nov;1(1):19-32.
26<br />
ภาคผนวก<br />
เอกสารชี้แจงข้อมูลแก่ผู ้เข้าร่วมโครงการวิจัยและหนังสือแสดงความยินยอม<br />
ก.ใบยินยอมเข้าร่วมทําการวิจัย<br />
การศึกษาปัจจัยเสี ่ยงด้านสรีรวิทยาและดัชนีมวลกายในกลุ่มผู้ที ่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอน<br />
หลับที ่เข้ารับการตรวจรักษาในแผนก โสด ศอ นาสิก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า<br />
ผู้ดําเนินการวิจัย :<br />
พญ.กฤษณา ไทยทอง ผู้วิจัย<br />
พ.อ.ประสิทธิ์มหากิจ อาจารย์ที ่ปรึกษา<br />
สถานที่ทําการวิจัยและสถานที่ที่ผู ้เข้าร่วมวิจัยสามารถติดต่อได้<br />
กองโสต ศอ นาสิกกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า<br />
เนื ่องด้วยปัจจุบันภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ มีอุบัติการณ์เพิ่มมากขึ ้น ซึ ่งอาจเนื ่องมาจาก<br />
ประชากรในปัจจุบันมีแนวโน้มทางโภชนาการที ่ก่อภาวะอ้วนมากขึ ้นและเทคโนโลยีทางการแพทย์<br />
ทันสมัยขึ ้นสามารถวินิจฉัยได้แม่นยําและแพร่หลายกว่าแต่ก่อน ปัจจัยเสี ่ยงต่าง ๆ ที ่มีผลต่อกลุ่ม<br />
อาการหยุดหายใจขณะนอนหลับ มีการศึกษาก่อนหน้านี ้มากมาย ปัจจัยเสี ่ยงดังกล่าวได้แก่ เพศ อายุ<br />
นํ ้าหนักตัว รอบเอว รอบสะโพก รอบคอ รอบอก โคเลสเตอรอลในกระแสเลือด ปริมาณการดื ่ม<br />
แอลกอฮอล์ ขนาดของทางเดินหายใจ และอีกหลายปัจจัยที ่มีผู้พยายามทําการศึกษา<br />
ปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าวถือเป็นข้อมูลที ่ได้จากผู้ป่วยที ่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับซึ ่งเป็น<br />
กลุ่มอาการหรือภาวะที ่มีอันตราย คือ ทําให้ประสิทธิภาพการทํางานของสมองลดลง และถ้ามีการ<br />
หยุดหายใจอยู่ในขั้นรุนแรงอาจถึงเสียชีวิต ผู้ป่วยมักจะมาพบแพทย์ด้วยอาการกรนเสียงดัง มีการ<br />
สะดุ้งตื ่นเวลากลางคืน หลังจากตื ่นขึ ้นมาตอนเช้าพบว่าผู้ป่วยไม่รู้สึกแจ่มใส คล้ายกับไม่ได้พักผ่อน<br />
ในตอนกลางวันมักจะมีอาการง่วงนอนผิดปกติ อย่างไรก็ตามอาการต่าง ๆ ดังกล่าวไม่สามารถบอก<br />
ได้เป็นที ่แน่นอนว่าผู้ป่วยมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับจริง เมื ่อผู้ป่วยมาพบแพทย์ด้วยอาการ<br />
ดังกล่าว แพทย์จะแนะนําให้ผู้ป่วยทําการทดสอบการนอนด้วยเครื ่องทดสอบการนอนหลับ<br />
(Polysomnogram) ซึ ่งเครื ่องทดสอบการนอนหลับจะรายงานว่าผู้ป่วยมีการหยุดหายใจน้อยเป็น<br />
จํานวนครั้งต่อชั่วโมง โดยที ่คนปกติจะมีภาวะหยุดหายใจหรือหายใจน้อยไม่เกิน 5 ครั้งต่อชั่วโมง ถ้า<br />
มีการหยุดหายใจตั้งแต่ 5 ถึงไม่เกิน 15 ครั้งต่อชั่วโมง ถือเป็นกลุ่มผู้ป่วยที ่มีภาวะหยุดหายใจขณะ<br />
นอนหลับเล็กน้อยถ้ามีการหยุดหายใจขณะนอนหลับปานกลาง และหากมีการหยุดหายใจตั้งแต่ 30<br />
ครั้งต่อชั่วโมงขึ ้นไป ถือเป็นกลุ่มผู้ป่วยที ่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับรุนแรง<br />
การศึกษานี ้เป็นการศึกษาปัจจัยต่าง ๆ ที ่เคยมีผู้ทําการศึกษามาแล้วในต่างประเทศว่ามีผล<br />
แตกต่างชัดเจนระหว่างกลุ่มผู้ป่วยที ่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับกับกลุ่มคนปกติ โดยการศึกษา
27<br />
นี ้มุ่งสนใจปัจจัยด้านสรีระซึ ่งก็คือ การสะสมของไขมันตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและนํ ้าหนักตัว<br />
เทียบกับส่วนสูง โดยการศึกษาในต่างประเทศพบว่าผู้ป่วยที ่มีการสะสมของไขมันมากจะมีอัตราเสี ่ยง<br />
ต่อภาวการณ์หยุดหายใจขณะนอนหลับมากและผู้ป่วยที ่มีนํ ้าหนักตัวเทียบกับส่วนสูงมาก ( BMI )<br />
โดยเฉพาะกลุ่มคนอ้วนที ่มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 30 จะมีอัตราเสี ่ยงของภาวะหยุดหายใจขณะนอน<br />
หลับมากเช่นกัน เหตุที ่การศึกษานี ้มุ่งเน้นเฉพาะปัจจัยด้านสรีระและนํ ้าหนักตัวนั้นเนื ่องจากง่ายต่อ<br />
การวัดโดยแม้มิใช่บุคลากรทางการแพทย์ ทําให้สามารถคัดกรองผู้มีความเสี ่ยงได้อย่างกว้างขวาง<br />
กว่าที ่จะใช้เฉพาะในโรงพยาบาล<br />
การศึกษานี ้จะทําการศึกษาว่าในประเทศไทย โดยเฉพาะในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้ามี<br />
ข้อมูลเช่นเดียวกันกับที ่มีการศึกษาในต่างประเทศหรือไม่ โดยจะนําข้อมูลที ่ได้มาเป็นส่วนหนึ ่งในการ<br />
วินิจฉัยและวางแผนการรักษาหรือบอกการพยากรณ์โรค และหากต่อไปอาจสามารถพัฒนาไปใช้กับ<br />
ผู้ป่วยที ่ไม่ได้มีการทดสอบการนอนหลับด้วยเครื ่องทดสอบการนอนหลับก็ยังสามารถบอกได้คร่าว ๆ<br />
ว่าน่าจะมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับหรือไม่ และรุนแรงเพียงใด การให้ผู้ป่วยทดสอบการนอน<br />
ด้วยเครื ่องทดสอบการนอนหลับ ทางแผนก โสด ศอ นาสิก จะนัดผู้ป่วยทุกคนที ่สงสัยมาทดสอบโดย<br />
รับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาลและค่าใช้จ่ายต่อการทดสอบ 1 ครั้งประมาณ 8,700 บาท<br />
กรณีที ่ท่านปฏิเสธเข้าร่วมการวิจัย ท่านยังคงได้รับการวินิจฉัยและรักษาโดยวิธีดั้งเดิมตามวิธี<br />
มาตรฐานทุกประการ กรณีที ่ท่านไม่สามารถเข้าร่วมโครงการวิจัยต่อ หรืออาจเข้าร่วมระยะหนึ ่ง ท่าน<br />
สามารถถอนตัวได้ตลอดเวลาโดยไม่มีเงื ่อนไข<br />
ขณะทําการวิจัยนี ้ หากมีข้อมูลใหม่เกี ่ยวข้องกับการวิจัย ทางผู้วิจัยจะแจ้งแก่ผู้เข้าร่วมวิจัยให้<br />
เร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้<br />
กรณีท่านอ่านข้อมูลการวิจัยแล้ว สมัครใจเข้าร่วมการวิจัยดังกล่าว กรุณาเซ็นชื ่อกํากับใน<br />
เอกสารยินยอมเข้าร่วมโครงการวิจัยด้วย<br />
หากท่านมีข้อสงสัยในรายงานเข้าร่วมโครงการวิจัยนี ้ โปรดติดต่อ<br />
พญ.กฤษณา ไทยทอง กองโสต ศอ นาสิกกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า<br />
โทร. 02-3547600 ต่อ 93170 มือถือ 086-3092796<br />
นายแพทย์ ประสิทธิ์ มหากิจ กองโสต ศอ นาสิกกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า<br />
โทร 02-3547600 ต่อ 93170<br />
อนึ ่ง ถ้าท่านมีปัญหาหรือมีข้อร้องเรียนกับโครงการวิจัยนี ้ สามารถติดต่อกับคณะกรรมการ<br />
พิจารณางานวิจัยวิทยาลัยแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โทร 02-3547600 ต่อ 93170
28<br />
่<br />
่<br />
ลายเซ็นผู้เข้าร่วมโครงการวิจัย<br />
( )<br />
วันที่<br />
ลายเซ็น/ชื ่อผู้วิจัย<br />
( )<br />
วันที่<br />
ลายเซ็น/ชื ่อพยานคนที 1<br />
( )<br />
วันที่<br />
ลายเซ็น/ชื ่อพยานคนที 2<br />
( )<br />
วันที่
แบบประเมินอาการง่วงนอน<br />
29
เอกสารการรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย<br />
31