à¸à¸¹à¹à¸¡à¸·à¸à¸à¸²à¸£à¹à¸à¹à¸«à¹à¸à¸à¸à¸à¸´à¸à¸±à¸à¸´à¸à¸²à¸£ (à¸à¸à¸±à¸à¸à¸£à¸±à¸à¸à¸£à¸¸à¸à¸à¸µ 2555)
à¸à¸¹à¹à¸¡à¸·à¸à¸à¸²à¸£à¹à¸à¹à¸«à¹à¸à¸à¸à¸à¸´à¸à¸±à¸à¸´à¸à¸²à¸£ (à¸à¸à¸±à¸à¸à¸£à¸±à¸à¸à¸£à¸¸à¸à¸à¸µ 2555)
à¸à¸¹à¹à¸¡à¸·à¸à¸à¸²à¸£à¹à¸à¹à¸«à¹à¸à¸à¸à¸à¸´à¸à¸±à¸à¸´à¸à¸²à¸£ (à¸à¸à¸±à¸à¸à¸£à¸±à¸à¸à¸£à¸¸à¸à¸à¸µ 2555)
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
คํานํา<br />
คูมือการใชหองปฏิบัติการ คณะสัตวแพทยศาสตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม ไดจัดทําขึ้นเปน<br />
ครั้งที่ 3 ทั้งนี้เนื่องจากไดมีการปรับเปลี่ยนความรับผิดชอบในแตละหองปฏิบัติการ ดังนั้นคณะผูจัดทํา<br />
จึงไดเพิ่มเนื้อหาการใชงานครุภัณฑที่ไดรับการจัดสรรเขามาใหม และเทคนิคการปฏิบัติตางๆ ใน<br />
หองปฏิบัติการที่ทันสมัย ตลอดจนขั้นตอนการปฏิบัติงานในแตละหองปฏิบัติการ เพื่อชวยอํานวย<br />
ความสะดวกและทําความเขาใจใหกับผูใชหองปฏิบัติการใหสามารถใชงานไดอยางเหมาะสม และมี<br />
ประสิทธิภาพสูงสุด<br />
คณะผูจัดทําหวังวาคูมือเลมนี้จะเปนประโยชนแก คณาจารย นักศึกษา และบุคลากร ที่มีความ<br />
ประสงคจะใชงานหองปฏิบัติการตางๆ ภายในคณะสัตวแพทยศาสตร เพื่อเปนการทําความเขาใจ<br />
เบื้องตนถึงขั้นตอนตางๆ เกี่ยวกับการใชหองปฏิบัติการ เทคนิคปฏิบัติการตางๆ และวิธีการใชครุภัณฑ<br />
ชนิดตางๆ ที่พบไดภายในหองปฏิบัติการนั้นๆ<br />
ขอขอบคุณคณะกรรมการการจัดการความรู (Knowledge Management) คณะสัตว-<br />
แพทยศาสตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม ที่ใหการสนับสนุนทั้งดานคําแนะนําและงบประมาณในการ<br />
ดําเนินการ ซึ่งทางกลุมผูจัดทําจะไดมีการติดตามผลการใชงานคูมือหองปฏิบัติการเพื่อนํามาปรับปรุง<br />
ใหดีขึ้นตอไป<br />
หองปฏิบัติการกลาง
สารบาญ<br />
เรื่อง หนา<br />
1.หองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร 1<br />
ระเบียบการใชหองปฏิบัติการ 1<br />
Work Instruction 3<br />
1. การเตรียมสัตวทดลอง 3<br />
2. การเตรียมกระดูกสัตว 6<br />
3. การเตรียมสัตวทดลองแบบ In Situation 9<br />
4. การกําจัดซากสัตว 10<br />
5. การกําจัดสารพิษในหองปฏิบัติการ 11<br />
6. การเตรียม Resin cast ปอดสุกร (ชนิด Styrene foam) 11<br />
2.หองปฏิบัติการจุลทรรศน 1 14<br />
ระเบียบการใชหองปฏิบัติการ 14<br />
การใชงานครุภัณฑ 15<br />
1. วิธีการใชกลองจุลทรรศน 15<br />
2. วิธีการทําความสะอาดและจัดเก็บกลองจุลทรรศน 18<br />
3. วิธีการใชกลองจุลทรรศนสําหรับตอกับทีวี 19<br />
3.หองปฏิบัติการชันสูตรซากและจุลพยาธิวิทยา 21<br />
ระเบียบการใชหองปฏิบัติการ 22<br />
การใชงานครุภัณฑ 23<br />
1. หลักการพื้นฐานการใชงานกลองจุลทรรศน (ประจําหอง E102) 23<br />
2. การใชตูดูดไอพิษจากสารเคมี (Fume hood) 24<br />
3. การใชเครื่องเตรียมชิ้นเนื้ออัตโนมัติ (Tissue-Trek4640B) 24<br />
4. การใชงานเครื่องเตรียมบล็อกเนื้อเยื่ออัตโนมัติ (Leica EG1160X) 24<br />
5. การใชงานเครื่องตัดชิ้นเนื้อแบบมือหมุน (Leica RM2125) 25<br />
4.หองปฏิบัติการปรสิตวิทยา 26<br />
Work Instruction 26<br />
1. การตรวจอุจจาระดวยวิธี Flotation 26<br />
2. การตรวจอุจจาระดวยวิธี Sedimentation 27<br />
3. การตรวจอุจจาระดวยวิธี Sedimentation 27<br />
4. การตรวจหา Trichinella 27<br />
5. การยอมสี diff quick 28<br />
6. การยอมสี Giemsa 28<br />
7. การตรวจหาตัวออนระยะที่ 3 ของพยาธิตัวกลมในสัตวเคี้ยวเอื้อง 28<br />
การใชงานครุภัณฑ 29<br />
1. กลองจุลทรรศน 29
เรื่อง หนา<br />
2. ตูแชสารเคมี 29<br />
3. การใชงานเครื่อง centrifuge EBA 12 30<br />
4. เครื่องกวนสารละลายโดยพรอมแผนแมเหล็กใหความรอน (Hot plate stirrer) 30<br />
5. เครื่องชั่ง OHAUS 31<br />
5.หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา 32<br />
Work Instruction 32<br />
1. การเตรียมสไลดสําหรับยอมสี 32<br />
2. การยอมสีแบบแอซิดฟาสต 33<br />
3. การยอมสีแบบแกรม 34<br />
4. การยอมสีสปอร 34<br />
5. การตรวจเชื้อแบคทีเรียกอโรค 35<br />
6. การถายเชื้อดวยวิธีปราศจากเชื้อปนเปอน 43<br />
7. การทดสอบความไวของเชื้อตอยาตานจุลชีพโดยวิธี Dish diffusion test 44<br />
การใชงานครุภัณฑ 45<br />
1. กลองจุลทรรศน 45<br />
2. ตูแชสารเคมี 45<br />
3. Autopipette 46<br />
4. Autoclave 46<br />
5. อางน้ําควบคุมอุณหภูมิ 47<br />
6. เครื่องเขยาผสมสารละลาย 47<br />
7. ตูบมเพาะเชื้อ (Incubator) 48<br />
8. เครื่องกวนสารละลายโดยพรอมแผนแมเหล็กใหความรอน (Hot plate stirrer) 48<br />
9. ตูอบฆาเชื้อโดยใชความรอน (Hot air oven) 48<br />
10. เครื่องชั่ง OHAUS 49<br />
11. เครื่องนับโคโลนี 49<br />
12. เครื่องปนเหวี่ยง (Centrifuge UNIVERSAL 32R) 50<br />
13. เครื่อง SpectrophotometerSpectronic® 20 Genesys TM 50<br />
6.หองปฏิบัติการตรวจน้ํานม 51<br />
Work Instruction 51<br />
1. วิธีการตรวจเชื้อแบคทีเรียกอโรคในน้ํานม 51<br />
2. การวินิจฉัยเชื้อ Staphylococcus aureus 52<br />
3.วิธีการตรวจ Somatic cell ในน้ํานม 53<br />
7.หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา 55<br />
ระเบียบการใชหองปฏิบัติการ 56<br />
Work Instruction 56<br />
1. วิธีเตรียม 70 % Ethanol จาก 95% Ethanol 56
เรื่อง หนา<br />
2. วิธีเตรียม normal saline solution 57<br />
3. วิธีเตรียม Phosphate Buffered Saline (PBS), pH 7.4 57<br />
4. วิธีเตรียมน้ําเกลือเขมขน 57<br />
5. วิธีกําจัดขยะ 57<br />
6. วิธีฆาเชื้อโดยการรมควันดวยฟอรมาลีน 58<br />
7. วิธีการยอมสี Giemsa 58<br />
8. วิธียอมสี Diff Quick 59<br />
9. วิธีการยอมสี Gram 59<br />
10. วิธีการนับจํานวนโคโลนี (Colony count technique) 60<br />
11. วิธีการนับจํานวนยีสตและรา (Yeasts and Moulds Count) 64<br />
12. วิธีการนับจํานวน Coliform (Coliform count) 68<br />
13. วิธีการตรวจเชื้อซัลโมเนลลาในตัวอยางอาหาร (Salmonella spp.) 73<br />
14. วิธีการตรวจนับปริมาณ coliform bacteria โดยวิธี Most Probable Number (MPN) 77<br />
15. วิธีการตรวจนับปริมาณ Fecal coliform bacteria และ E. coli โดยวิธี Most<br />
78<br />
Probable Number (MPN)<br />
การใชงานครุภัณฑ 80<br />
1. กลองจุลทรรศน 80<br />
2. ตูแชสารเคมี 80<br />
3. เครื่องปนเหวี่ยง (Centrifuge EBA 12) 80<br />
4. Hematocrit centrifuge 81<br />
5. Autopipette 81<br />
6. Autoclave 82<br />
7. Larminar flow 83<br />
8. อางน้ําควบคุมอุณหภูมิ 84<br />
9. เครื่องเขยาผสมสารละลายรุน G-560E 84<br />
10. ตูบมเพาะเชื้อ (Incubator) 84<br />
11. เครื่องกวนสารละลายโดยพรอมแผนแมเหล็กใหความรอน (Hot plate stirrer) 85<br />
12. ตูอบฆาเชื้อโดยใชความรอน (Hot air oven) 85<br />
13. เครื่องชั่ง OHAUS 85<br />
14. เครื่องตีผสมสารตัวอยาง 86<br />
15. เครื่องนับโคโลนี 86<br />
8.หองปฏิบัติการคุณภาพอาหารสัตว 87<br />
Work Instruction 87<br />
1.การวิเคราะหเยื่อใยโดยรวม (Crude Fiber) 87<br />
2.การวิเคราะหไขมัน (Crude Fat) 89<br />
3.การวิเคราะหโปรตีนโดยรวม (Crude Protein) 90
เรื่อง หนา<br />
4.การวิเคราะหความชื้น (Moisture content) 93<br />
9.หองปฏิบัติการอณูชีวโมเลกุล 96<br />
Work Instruction 96<br />
1. การสกัดสารพันธุกรรม (DNA) ดวยวิธี CTAB 96<br />
2. เทคนิคการเพิ่มปริมาณ DNA ดวยปฏิกิริยาลูกโซโพลีเมอเรส (PCR) 97<br />
3. วิธี Gel electrophoresis 97<br />
การใชงานครุภัณฑ 98<br />
1. เครื่องปนเหวี่ยง Spectrafuge 16 M 98<br />
2. เครื่องเขยาผสมสารละลาย (VORTEX MIXER Genie -2) 98<br />
3. เครื่องดูดจายสารละลายอัตโนมัติ (Autopipette) 98<br />
4. เครื่องเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรม รุน PTC-200 99<br />
5. เครื่องเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรม รุน PTC-200 99<br />
6. ตูเพาะเชื้อแบบเขยา HT MINITRON 100<br />
7. เครื่องวัดการดูดกลืนแสง (Spectrophotometer : Spectronic Genesys 8) 100<br />
8. เครื่องอุลตราโซนิค UP100H 101<br />
9. เครื่องจายกระแสไฟฟา (Power Pac 300/200) 101<br />
10. ตูแชแข็ง - 80°C 101<br />
11. ตูแชสารเคมี 102<br />
12. เครื่องกวนสารละลายโดยพรอมแผนแมเหล็กใหความรอน (Hot plate stirrer) 102<br />
10.หองปฏิบัติการฮอรโมน 103<br />
Work Instruction 103<br />
1. การตรวจหา Creatinine 103<br />
2. การตรวจ Luteinizing hormone 104<br />
3. การตรวจวัด Cortisal 106<br />
4. การตรวจวัดฮอรโมนโปรเจสเตอโรน ดวยวิธี direct, single antibody competitive 108<br />
EIA<br />
11.หองปฏิบัติการสัตวน้ํา 111<br />
ระเบียบการใชหองปฏิบัติการ 111<br />
Work Instruction 112<br />
1. การทําความสะอาดอุปกรณ 112<br />
2. เทคนิคการใชปเปต 113<br />
3. เทคนิคการไทเทรต 114<br />
4. เทคนิคการใชบิวเรต 115<br />
5. เทคนิคการยอมสีโดยวิธี WRIGHT STAIN 115<br />
6. เทคนิคการยอมสีโดยวิธี GIEMSA STAIN 116<br />
7. เทคนิคการยอมสีโดยวิธี GRAM’S STAIN 117
เรื่อง หนา<br />
การใชงานครุภัณฑ 117<br />
1. การใชงานกลองจุลทรรศน (ALPHAPHOT-2 YS2) 117<br />
2. การใชงานเครื่องวัดความเปนกรด – ดาง (pH meter : Cyber Scan pH 500) 118<br />
3. การใชงานเครื่องวัดการดูดกลืนแสง (Spectrophotometer : Spectro 23) 119<br />
4. การใชงานเครื่องวัดการดูดกลืนแสง (Spectrophotometer : Genesys 10 VIS) 120<br />
5. การใชงานเครื่องวัดความเค็ม (Refractometer) 121<br />
6. การใชงานเครื่องวัดคาการนําไฟฟา (Conductivity : Cyber Scan CON100) 121<br />
7. การใชงานเครื่องวัดปริมาณแอมโมเนียในน้ํา (HI 93715) 122<br />
8. การใชงานเครื่องวัดปริมาณคลอรีน, ความกระดางในน้ํา (HI 93745) 123<br />
9. การใชงานเครื่องวัดปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ํา (ภาคสนาม) (YSI#550A) 124<br />
10. การใชงานเครื่องวัดปริมาณออกซิเจนในน้ํา inoLab Oxi level 2 (แบบตั้งโตะ) 125<br />
11. การใชงานเครื่องชั่งดิจิตอลทศนิยม 2 และ 4 ตําแหนง 126<br />
12. การใชงานเครื่องกวนสารละลายพรอมแผนใหความรอน (Hotplate stirrer : SLR) 126<br />
13. การใชงานเครื่องปมสุญญากาศ (Vacuum pump : ME 2) 128<br />
12.หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา 129<br />
ระเบียบการใชหองปฏิบัติการ 130<br />
Work Instruction 131<br />
1. การตรวจ ADV (Aujeszky Disease Virus or Pseudorabies Virus) โดยวิธี ELISA 131<br />
2. การตรวจ PRRS (Porcine Reproductive and Respiratory Syndrome) โดยวิธี 132<br />
ELISA<br />
3. การตรวจ M.hyo (Mycoplasma hyopneumoniae) โดยวิธี ELISA 133<br />
4. การตรวจ APP ( Actinobacillus pseudopneumoniae) โดยวิธี ELISA 134<br />
5. การตรวจ IBV (Infectious Bronchitis Virus) โดยวิธี ELISA 135<br />
6. การตรวจ IBD (Infectious Bursal Disease) โดยวิธี ELISA 137<br />
7. การตรวจ MG (Mycoplasma gallisepticum) โดยวิธี ELISA 139<br />
8. การตรวจ CSFV (Classical Swine Fever Virus ) โดยวิธี ELISA 141<br />
9. การตรวจ EIA (Equine Infectious Anemia)โดยวิธี Agar Gel Immunodiffusion 142<br />
10. การตรวจ Brucellosis โดยวิธี Rose Bengal Plate Agglutination 143<br />
11. การตรวจ MG (Mycoplasma gallisepticum)โดยวิธี Plate Agglutination 144<br />
12. การตรวจ NDV (New Cassle Disease Virus)โดยวิธี Hemaglutination 145<br />
การใชงานครุภัณฑ 148<br />
1. เครื่องนึ่งฆาเชื้อ (Autimatic Autoclave sterilizer) ยี่หอ STURDY 148<br />
2. ตูอบเครื่องแกวยี่หอ Memmert 149<br />
3. เครื่องชั่งไฟฟาความละเอียดทศนิยม 3 ตําแหนงยี ่หอ OHAUS 149<br />
4. เครื่องปนแยกซีรั่ม Centrifuge UNIVERSAL 320 149<br />
5. อางน้ําควบคุมอุณหภูมิยี่หอ Memmert 150
เรื่อง หนา<br />
6. ตูแชสารเคมียี่หอ SANYO 150<br />
7. ตูแชแข็งเย็นจัด (– 70°C) ยี่หอ Harris 151<br />
8. ตูแชแข็ง –20°C ยี่หอ Whirlpool 152<br />
9. Hot plate stirrer ยี่หอ MyLab 152<br />
10. Autopipette 152<br />
11. เครื่อง Larminar flow 153<br />
12. เครื่อง Tecan Spectra Classic Elisa Reader 154<br />
13.หองปฏิบัติการไวรัสวิทยา 160<br />
ระเบียบการใชหองปฏิบัติการ 161<br />
Work Instruction 161<br />
1. ขั้นตอนการรับและเก็บตัวอยางเพื่อสงตรวจตัวอยาง ไขหวัดนก (Avain influenza 161<br />
virus)<br />
2. การตรวจตัวอยาง ไขหวัดนก (Avain influenza virus) โดยใชวิธี Cell culture 162<br />
3. การตรวจเชื้อไขหวัดสัตวปกโดยวิธีไขไกฟก 169<br />
4. การตรวจตัวอยาง ไขหวัดนก (Avain influenza virus) โดยใชวิธี Polymerase chain 171<br />
reaction<br />
การใชงานครุภัณฑ 174<br />
1. เครื่อง Larminarflow (TELSTAR ® ) 174<br />
2. เครื่อง Realtime PCR (7300 ABI) 175<br />
14.หองปฏิบัติการระบบสืบพันธุ 177<br />
ระเบียบการใชหองปฏิบัติการ 177<br />
Work Instruction 178<br />
1. เทคนิคการยอมสีเชื้ออสุจิ 178<br />
2. การเจือจางน้ําเชื้อเพื่อหาความเขมขนของตัวอสุจิโดยใช Red Cell pipette 178<br />
3. การเจือจางน้ําเชื้อเพื่อหาความเขมขนของตัวอสุจิโดยใช Micropipette 179<br />
4. การเตรียมน้ําเชื้อที่จะนับจํานวนอสุจิ 179<br />
5. วิธีนับตัวอสุจิโดยใชกลองจุลทรรศน 179<br />
6. วิธีคํานวณความเขมขนของตัวอสุจิ 180<br />
7. วิธีเตรียมสียอม Eosin-Nigrosin 180<br />
การใชงานครุภัณฑ 181<br />
1. การใชงานเครื่องวัดความเขมขนของน้ําเชื้อ (Spermacue) 181<br />
2. การใชงานอางน้ําควบคุมอุณหภูมิ (Water bath รุน WB-22 ยี่หอ MEMMERT) 182<br />
3. การใชงานกลองปรับอากาศสําหรับเก็บน้ําเชื้อ 183<br />
4. การใชงานเครื่องวัดความเปนกรด-ดาง (pH meter) 185<br />
ภาคผนวก 187<br />
แบบฟอรมการขอใชหองปฏิบัติการ/ครุภัณฑ/วัสดุอุปกรณ 188
เรื่อง หนา<br />
ขั้นตอนการขอใชหองปฏิบัติการ/ครุภัณฑ/วัสดุอุปกรณ 189<br />
ขั้นตอนการปฏิบัติงานหองปฏิบัติการ (SOP) 190
1<br />
หองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร<br />
ชื่อหองปฏิบัติการ : หองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร (Anatomy Laboratory) (D104)<br />
นักวิทยาศาสตรประจําหอง : นางสาวปยะมาศ คงถึง<br />
แผนผังหองปฏิบัติการ<br />
D103<br />
D106<br />
D105<br />
D104<br />
D109<br />
D104 = หองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร<br />
D103 = หองเตรียมสารเคมี<br />
D105 = หองเก็บอุปกรณ<br />
D106 = หองเก็บอุปกรณ<br />
D109 = หองพิพิธภัณฑกระดูก<br />
ระเบียบการใชหองปฏิบัติการ<br />
ระเบียบการใชหองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร (D104)<br />
1. แตงกายใหสุภาพเรียบรอย และสวมเสื้อกาวนทุกครั้งที่เขาเรียนในหองปฏิบัติการ<br />
2. เก็บสัมภาระตาง ๆ ในตูล็อคเกอรใหเรียบรอย อนุญาตใหนําเขาไดเฉพาะคูมือปฏิบัติการ/สมุดบันทึก/อุปกรณที่<br />
ใชประกอบในบทปฏิบัติการเทานั้น<br />
3. เขาหองเรียนใหตรงเวลา<br />
4. ตองนําอุปกรณสําหรับชําแหละซากมาทุกครั้งที่มีการเรียนปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร<br />
5. หามนําอาหารและเครื่องดื่มมารับประทานในหองปฏิบัติการ<br />
6. ชวยกันรักษาความสะอาด และไมสงเสียงดังในหองปฏิบัติการ<br />
7. หากพบอุปกรณ หรือครุภัณฑใดๆ ในหองปฏิบัติการชํารุด ใหแจงเจาหนาที่ประจําหองปฏิบัติการ<br />
8. หามนักศึกษาใชอุปกรณโสตทัศนูปกรณภายในหองปฏิบัติการ ยกเวนไดรับ อนุญาตจากอาจารย หรือเจาหนาที่<br />
เปนกรณีพิเศษ<br />
9. เมื่อสิ้นสุดการเรียนในแตละครั้ง ตองเก็บสุนัขทดลอง ชิ้นสวนอวัยวะ หรือแบบจําลองอวัยวะตางๆ เขาที่เดิม<br />
ใหเรียบรอย โดยสุนัขทดลองใหนําไปใสในถังดอง หรือถังน้ําในกรณีที่มีเรียนอีกในวันถัดไป สวนชิ้นสวน<br />
ของอวัยวะใหเก็บในโหลดอง<br />
10. ทําความสะอาดโตะปฏิบัติการทุกครั้งหลังเสร็จสิ้นบทปฏิบัติการ
2<br />
หองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร<br />
ระเบียบการใชตูลอคเกอร<br />
1. ใหนักศึกษาเซ็นตชื่อยืมกุญแจตูลอกเกอรเมื่อเปดภาคการศึกษา<br />
2. เปดแลวปดตูล็อคเกอรใหเรียบรอยทุกครั้ง<br />
3. หามทิ้งขยะในตูล็อคเกอร<br />
4. เมื่อสิ้นสุดภาคการศึกษาใหนํากุญแจตูล็อคเกอรมาคืน หากสูญหาย นักศึกษาตองเสียคาปรับเปนเงิน 50 บาท/<br />
ดอก<br />
5. หามทิ้งของมีคาไวในตูล็อคเกอร เพราะทางหองปฏิบัติการจะไมรับผิดชอบกรณีสูญหาย<br />
อุปกรณที่นักศึกษาตองเตรียมมาทุกครั้งเมื่อตองเรียนในหองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร<br />
1. ชุดเครื่องมือชําแหละซาก พรอมใบมีด<br />
2. เสื้อปฏิบัติการ<br />
3. ถุงมือตรวจโรค<br />
4. คูมือการชําแหละซาก (Guide Dog)<br />
คะแนน : หองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร : 100 คะแนน<br />
1. เขาเรียนตรงเวลาทุกครั้ง 20 คะแนน<br />
2. การแตงกาย สวมเสื้อปฏิบัติการทุกครั้ง 20 คะแนน<br />
3. ความพรอมของอุปกรณที่ใชในหองปฏิบัติการ 20 คะแนน<br />
4. การทําความสะอาดโตะปฏิบัติการ 20 คะแนน<br />
5. ความเรียบรอยของการเก็บ specimen 20 คะแนน<br />
รวม 100 คะแนน
3<br />
หองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร<br />
Work Instruction<br />
1. การเตรียมสัตวทดลอง<br />
การเรียนการสอนในหองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร คณะสัตวแพทยศาสตร จําเปนตองใชสัตวทดลอง<br />
ประกอบบทเรียนปฏิบัติการ สัตวที่นิยมใชมากที่สุดในปจจุบันคือ สุนัข ซึ่งทางหองปฏิบัติการตองจัดเตรียมสุนข<br />
ทดลองทุกปปละ 1 ครั้ง ในชวงเดือน ตุลาคม แลวใชประกอบการเรียนการสอนเปนระยะเวลา 1 ป<br />
อุปกรณและสารเคมี<br />
1. 38 % Formaline<br />
2. Glycerine<br />
3. Phenol crystal<br />
4. 95% alcohol<br />
5. Nembutal ®<br />
6. สีโปรสเตอร (แดง)<br />
7. กาวยางพารา<br />
8. 75% alcohol<br />
9. Syringe 10, 20 cc.<br />
10. สําลี<br />
11. บีกเกอร 2000 ml<br />
12. เครื่องมือชําแหละซาก<br />
13. ถุงมือตรวจโรค<br />
14. ดาย<br />
15. ถังฉีดฟอรมาลีนเขาเสนเลือด<br />
16. หนากากปองกันแกสพิษ<br />
17. แวนตาปองกันสารเคมี<br />
18. เสื้อกาวนด<br />
19. ผาขาวบาง<br />
วิธีการเตรียมสุนัขทดลอง<br />
1. วางยาสลบโดยใช Nembutal® ฉีดเขาเสนเลือด (Cephalic vein)<br />
2. เมื่อสุนัขสลบลึกแลว ใหจับสุนัขนอนหงาย กดคางสุนัขเพื่อใหบริเวณลําคอยืดตึง<br />
3. ใชมีดผาตัดกรีดบริเวณลําคอดาน Ventral โดยกรีดเปนเสนตรงเริ่มจากบริเวณกลองเสียง (Larynx)<br />
ไปตลอดความยาวของลําคอ (ประมาณกระดูกคอที่ 6 (C6)) แลวคอย ๆ กรีดผานชั้นไขมันจน<br />
มองเห็นกลามเนื้อ sternohyoideus ซึ่งมีลักษณะเปนแผนกลามเนื้อบาง ๆ 2 แผนวางชิดกัน ใหกรีด<br />
ผานบริเวณรอยตอของกลามเนื้อทั้งสองแผนนี้ (หามตัดมัดกลามเนื้อ) ก็จะมองเห็นหลอดลม<br />
(trachea)
4<br />
หองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร<br />
4. จากขอ 3 จะสังเกตเห็นเสนเลือด common carotid artery ทอดขนานอยูทางดานลางของ trachea (มี<br />
2 เสน ซาย - ขวา สามารถใชเสนใดก็ได) ทําการ clean ไขมันออกจากเสนเลือดจนมองเห็นเสน<br />
เลือดชัดเจน<br />
** หมายเหตุ : เสนเลือด common carotid artery จะอยูชิดกันเสนประสาท vagus nerve ให clean แตไขมันออก<br />
โดยไมตองแยกเสนเลือดกับเสนประสาทออกจากกัน<br />
5. ใชดายผูกเสนเลือดกับเสนประสาทรวมกันใหแนน โดยผูกใหคอนไปทางดานหัวของสุนัข เพื่อให<br />
เหลือพื้นที่สําหรับฉีดฟอรมาลีนใหมากที่สุด<br />
6. ใช artery forceps หนีบเสนเลือดใตบริเวณที่ผูกเชือกในขอ 4 แลวใชกรรไกรตัดเสนเลือดที่อยู<br />
ระหวางบริเวณที่ผูกเชือก กับ artery forceps เปนรูปปากฉลาม โดยตัดประมาณ ¾ ของเสนเลือด<br />
หาม !! อยาตัดเสนเลือดจนขาดจากกัน<br />
7. ปลอย artery forceps เลือดสุนัขจะพุงออกจากเสนเลือดอยางแรง และคอย ๆ ชาลงเปนลําดับ<br />
** หมายเหตุ : ในขั้นตอนนี้อาจยกสุนัขไปดานนอกหองปฏิบัติการ บริเวณทอระบายน้ํา เพื่อใหเลือดสุนัขไหล<br />
ลงทอระบายน้ํา<br />
8. ปลอยใหเลือดไหลออกจากตัวสุนัข เมื่ออัตราการไหลของเลือดชาลง ใหใชน้ําฉีดลางบริเวณรอยตัด<br />
ของเสนเลือด เพราะอาจมีเลือดแข็งตัวปดรอยตัดไวทําใหเลือดไมไหล แลวทําการกดบริเวณหัวใจ<br />
สุนัขเปนจังหวะเหมือนปลั๊มหัวใจ พรอมกับกดทองเพื่อไลเลือดบริเวณทองออกมาใหหมด รอจน<br />
เลือดหยุดไหล และสุนัขหยุดหายใจ โดยจะสังเกตเห็นวาไหลที่ไหลออกมามีสีคล้ําเพราะขาด<br />
ออกซิเจน<br />
9. อาบน้ําทําความสะอาดรางกายสุนัขใหสะอาดดวยผงซักฟอกหรือแชมพูอาบน้ําสุนัข<br />
10. จับสุนัขนอนหงายบนโตะปฏิบัติการ จัดทาใหเปนไปตามธรรมชาติ คือ ดึงขาทั้งสี่ขางใหเหยียด<br />
ตึง จัดหางใหตรง กดคางพรอมทั้งอาปากสุนัขใหสุด ดึงลิ้นออกมาจากปาก<br />
11. ฉีดฟอรมาลีนเขาเสนเลือด โดยสอดเข็มของเครื่องฉีดฟอรมาลีนเขาไปบริเวณรอยตัดของเสน<br />
เลือด ใชมือ ลอกเสนเลือดกับเข็มใหแนนแลวปลอยฟอรมาลีนเขาไปดวยความดันประมาณ 50-<br />
70 ปอนด/ตารางนิ้ว<br />
** หมายเหตุ : ในขั้นตอนนี้ใชคนประมาณ 3 คน และตองสวมหนากากปองกันฟอรมาลีน และแวนตาปองกัน<br />
สารเคมีทุกคน เพื่อความปลอดภัยของผูปฏิบัติงาน<br />
12. เมื่อฟอรมาลีนเขาไปในเสนเลือดสุนัขจะทําใหสุนัขสวนตาง ๆ ของรางกายสุนัขเริ่มแข็งตัว ทอง<br />
ปองขึ้น ขาเหยียดตึง ลิ้นแข็ง และเมื่อฟอรมาลีนเขาไปจนทั่วรางกายแลวฟอรมาลีนจะดันเลือดที่<br />
คางอยูในรางกายสุนัขใหเออลนออกมาทางปากและจมูกของสุนัข ใหรอจนกวาฟอรมาลีนจะเริ่ม<br />
ใส จึงหยุดการฉีดฟอรมาลีนได<br />
13. ถอดเข็มออก แลวใชดายผูกเสนเลือดไวเพื่อกันไมใหฟอรมาลีนไหลยอนกลับออกมาได<br />
14. ปลอยสุนัขทิ้งไว 1 คืน (24 ชั่วโมง)<br />
15. ทําการฉีดสีผสมกาวยางพารา เขาไปในเสนเลือด โดยมีขั้นตอนดังนี้<br />
15.1 แกะเชือกที่มัดเสนเลือดกันฟอรมาลีนไหลยอนกลับในขอ 13 ออก<br />
15.2 ใชเข็มที่ตัดปลายแหลมออกแลว (เพื่อปองกันไมใหแทงเสนเลือดทะลุ) สอดเขาไปในเสน<br />
เลือดบริเวณรอยตัด
5<br />
หองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร<br />
15.3 ให syringe ขนาด 20 cc. ดูดสีผสมกาวยางพาราใหเต็มหลอด แลวสวมเขากับเข็มในขอ<br />
15.2 แลวใชมือลอกหัวเข็มกับ syringe ใหแนน เพื่อปองกันไมให syringe หลุดจากเข็มซึ่ง<br />
อาจทําใหสีกระเด็นเปอนเสื้อผาได<br />
** หมายเหตุ : สีผสมกาวยางพาราหากเปลื้อนเสื้อผาจะซักไมออก !!<br />
15.4 ออกแรงดันสีใน syringe เขาไปในเสนเลือด โดยสุนัข 1 ตัวใชสีประมาณ 100 cc. เปนอยาง<br />
นอย<br />
15.5 ใชมีดผาตัดกรีดปลายขาหลังของสุนัขดาน Median บริเวณกระดูก tibia เพื่อดูวาสีเขาไปจน<br />
ทั่วรางกายสุนัขหรือไม ถามองเห็นเสนเลือดมีสีชมพูแลวจึงหยุดฉีดสีได<br />
15.6 ดึงเข็มออกแลวใหดายมัดเสนเลือดไวเพื่อปองกันไมใหสีไหลยอนกลับออกมา<br />
15.7 ทิ้งสุนัขไว 1 คืน (24 ชั่วโมง)<br />
16. นําสุนัขจากขอ 15 ลงแชในอางดองสัตวทดลอง ที่มีฟอรมาลีน 10% อยู เพื่อเก็บไวใชประกอบการเรียน<br />
การสอนตอไป<br />
อัตราสวนของสารเคมี<br />
อัตราสวนของสารเคมีตาง ๆ ที่ใชในการเตรียมสุนัขทดลองมีดังนี้<br />
อัตราสวนของฟอรมาลีนสําหรับฉีดเขาเสนเลือด<br />
1. 38% Formaldehyde 3 ลิตร<br />
2. Glycerine 1.5 ลิตร<br />
3. 95% Methyl alcohol 2 ลิตร<br />
4. Phenol (carboric acid) (solution) 450 cc. 2 ขวด<br />
5. น้ําปะปา 10 ลิตร<br />
ผสมสารเคมีทั้งหมดใหเขากัน แลวเติมลงในถังฉีดฟอรมาลีนเขาเสนเลือด โดยการผสม 1 ครั้ง จะ<br />
เพียงพอสําหรับฉีดเขาเสนเลือดสุนัขได 4-5 ตัว<br />
อัตราสวนของฟอรมาลีนที่ใชในแชสุนัขทดลองในอางดอง<br />
1. 38% Formaldehyde 1 สวน<br />
2. น้ําปะปา 9 สวน<br />
3. Phenol (carboric acid) (solution) 450 cc. 2 ขวด<br />
โดยความจุของอางดองในหองปฏิบัติการคือ 1,650 ลิตร ในการผสมฟอรมาลีน 1 ครั้ง จะผสมให<br />
ระดับฟอรมาลีนอยูที่ ¾ ของอางดองเพื่อไมใหฟอรมาลีนลมเมื่อนําสุนัขทดลองใสลงไปซึ่งปริมาตรของ<br />
ฟอรมาลีน ¾ ของอางดองเทากับ 1,240 ลิตร เพราะฉะนั้น การคํานวณหาปริมาณฟอรลีนตอการผสม 1 อางมีดังนี้<br />
ปริมาตรของอางดอง = 1,650 ลิตร<br />
ฟอรมาลีนที่ผสมแลวเปน ¾ ของอาง = ¾ x1,650<br />
= 1,240 ลิตร
6<br />
หองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร<br />
อัตราสวนการผสมฟอรมาลีน : น้ํา = 1 : 9<br />
∴ใชฟอรมาลีน = 1/10 x 1,240<br />
= 124 ลิตร<br />
ใชน้ํา = 9/10 x 1,240<br />
= 1,116 ลิตร<br />
การผสมสีกับกาวยางพารา<br />
1. สีโปรสเตอร(สีแดง) 40 cc 1 ขวด<br />
2. กาวยางพารา (ขวดกลม) 1 ขวด<br />
ทําการผสมสีและกาวใหเขากันเปนเนื้อเดียว แลวกรองดวยผาขาวบางเพื่อเอาตะกอนออก สามารถเก็บไว<br />
ใชไดหลายป โดยกอนใชทุกครั้งตองเขยาใหเขากันและกรองดวยผาขาวบาง<br />
วิธีใชเครื่องฉีดฟอรมาลีนเขาเสนเลือด<br />
1. เปดวาลวหมายเลข 3 เพื่อระบายลมออกจากถัง ปลอยใหความดันในถังลดลงจนเปน 0<br />
2. เปดฝาถังรับน้ํายา หมายเลข 2 เพื่อเติมน้ํายาฟอรมาลีน<br />
3. เปดวาลวหมายเลข 1<br />
4. ใชผาขาวบางมัดรอบปากถังรับน้ํายาเพื่อกรองเอาตะกอนของสารเคมีออก แลวเติมน้ํายาฟอรมาลีนที่<br />
ผสมเสร็จแลวลงไปในถังรับน้ํายา<br />
5. ปดฝาถังรับน้ํายาหมายเลข 2 แลวปดวาลวหมายเลข 1 และ 3<br />
6. เสียบปลั๊กไฟ เครื่องอัดลมจะทํางานอัตโนมัติ ความดันในถังจะคอย ๆ เพิ่มขึ้น<br />
* เครื่องจะหยุดอัตโนมัติเมื่อความดันในถังมากเกินไป<br />
7. เปดวาลวหมายเลข 4 เพื่อปลอยน้ํายาออกจากถัง<br />
8. สอดเข็มที่ปลายสายยางเขาไปในเสนเลือดแลวเปดวาลวหมายเลข 5 เพื่อปลอยน้ํายาเขาไปในเสนเลือด<br />
2. การเตรียมกระดูกสัตว<br />
การเรียนการสอนในหองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร ตองใชสื่อการสอนหลายประเภท เชน สุนัข และ<br />
อวัยวะสัตวตาง ๆ ดองฟอรมาลีน, แบบจําลองอวัยวะตาง ๆ ของสัตว, รูปภาพ และกระดูกสัตวชนิดตาง ๆ เปนตน<br />
ซึ่งในจํานวนนี้ กระดูกสุนัขถือเปนสื่อการสอนที่สําคัญ นักศึกษาที่เรียนวิชา โครงสรางและการทํางานของรางกาย 1<br />
จะไดรับแจกกระดูกสุนัขจํานวน 1 กลอง ตอ 2 คน ซึ่งจะมีกระดูกสุนัขครบทั้งตัวอยูในกลอง เพื่อใหนักศึกษานํา<br />
กลับไปศึกษาดวยตนเอง และนอกจากนี้ นักศึกษายังตองไดรับมอบหมายงานใหจัดทํากระดูกสัตวเพื่อสงเปนคะแนน<br />
ในวิชานี้ดวย<br />
อุปกรณและสารเคมี<br />
1. เตาแกส / เตาถาน (พรอมถาน)<br />
2. หมอตม / ปบ / กะทะใบบัว<br />
3. ลวด<br />
4. ผาขาวบาง
7<br />
หองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร<br />
5. ไมพาย<br />
6. ไฟแช็ค<br />
7. เครื่องมือชําแหละซาก<br />
8. มีแลเนื้อ<br />
9. ถุงมือ<br />
10. ถุงขยะดํา<br />
11. เชือกฟาง<br />
12. แปรงสีฟน / แปรงขัดมือ<br />
13. ผงซักฟอก<br />
14. โซดาไฟ<br />
15. ไฮโดรเจนเปอรออกไซด<br />
วิธีการเตรียมกระดูกสุนัข<br />
1. ลางทําความสะอาดซากสุนัขดวยผงซักฟอก หรือแชมพูอาบน้ําสุนัข หากมีกลิ่นเหม็นมาก อาจราดดวย<br />
น้ํายาฆาเชื้อเดทตอลผสมน้ํา เพื่อกําจัดกลิ่นและฆาเชื้อไปพรอม ๆ กัน<br />
2. ชําแหละซากสุนัข โดยตองเลาะเนื้อออกจากกระดูกใหมากที่สุด แลวแยกกระดูกเปนสวน ๆ ดังนี้<br />
2.1 กะโหลก และกระดูกขากรรไกร (Skull + Mandible)<br />
2.2 กระดูกกนกบ, กระดูกเชิงกราน และกระดูกหาง (pelvic girdle + sacrum + coccygeal bone)<br />
2.3 กระดูกขาหนา 2 ขาง (แยกจากกัน) (Humerus, radius, ulna, metacarpal, carpal, digits)<br />
2.4 กระดูกขาหลัง 2 ขาง (แยกจากกัน) (femur, tibia, fibular, metatarsus, tarsus, digits)<br />
2.5 กระดูกสะบัก (scapular)<br />
2.6 กระดูกคอ 7 ชิ้น (Cervical bone)<br />
2.7 กระดูกเอว 7 ชิ้น (Lumbar bone)<br />
2.8 กระดูกสันหลังและกระดูกซี่โครง (Thoracic bone + rib)<br />
2.9 กระดูกอก (sternum) และกระดูก Hyoid ไมตองตม<br />
3. ใชผาขาวบางหอกระดูกสุนัขไวเปนสวน ๆ แลวใชลวดมัดใหแนน ทําลวดใหเปนหวงเพื่อความ<br />
สะดวกตอการยกขึ้นจากหมอขณะตม โดยแยกเปนสวน ๆ ดังนี้<br />
3.1 กระดูกขอ 2.1-2.5 หอดวยผาขาวบาง มัดลวดใหเปนหวง<br />
3.2 กระดูกขอ 2.6-2.7 ใหใชลวดรอยเขาไปในชองไขสันหลัง แลวมัดลวดเปนหวง โดยไมตองหอดวย<br />
ผาขาวบาง<br />
3.3 กระดูกขอ 2.8 ใหใชลวดรอยเขาไปในชองไขสันหลัง และใชลวดพันกระดูกซี่โครงใหยึดติดกัน<br />
แบงเปน 2 ขาง(ซาย-ขวา) แลวหอดวยผาขาวบางอีกชั้นหนึ่ง<br />
3.4 กระดูกขอ 2.9 ไมตองตม ใหเลาะเนื้อออกใหมากที่สุดแลวใชลวดมัดใหแนน จุมในน้ําเดือดทิ้งไว<br />
30 วินาที แลวยกขึ้น ทําซ้ ํา 2-3 ครั้ง แลวนําไปแตกแดดใหแหง หามตมเด็ดขาด !! เพราะเปน<br />
กระดูกออน หากตมจะถูกกัดกรอนโดยโซดาไฟและสลายไป<br />
4. นํากระดูกทั้งหมดจากขอ 3 (ยกเวน ขอ 3.4) ไปตมในน้ําที่มีโซดาไฟและผงซักฟอกอยู โดยโซดาไฟ<br />
จะชวยทําใหเนื้อเปอยยุยและหลุดออกจากกระดูกไดเร็วขึ้น และชวยละลายกระดูกออน ทําใหกระดูก
8<br />
หองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร<br />
แยกจากกันเปนชิ้น ๆ โดยใชโซดาไฟประมาณ 300 กรัม สวนผงซักฟอกจะชวยดับกลิ่น และทําให<br />
กระดูกขาวขึ้น ใชประมาณ 1 กํามือ เมื่อน้ําเดือดจะเกิดฟอง ตองคอยตัดฟองทิ้ง<br />
5. คนกระดูกเปนครั้งคราว และคอยเติมโซดาไฟเมื่อฟองลดลง หมั่นนํากระดูกขึ้นมาตรวจดูวาเนื้อเริ่ม<br />
หลุดออกมาจากกระดูกหรือยัง โดยสังเกตจากกระดูกคอหรือกระดูกสะเอวซึ่งไมไดหอดวยผาขาวบาง<br />
หรือคอยดูวากระดูกซี่โครงหลุดออกจากกระดูกสันหลังหรือยัง<br />
6. แยกกระดูก scapular และ rib ออกมากอนเพราะมีขนาดบางและเล็ก หากตมนานเกินไปกระดูกจะผุ<br />
กรอน และสลายไปได<br />
7. แยกกระดูกคอ กระดูกสันหลัง และกระดูกเอว ออกมาเมื่อเนื้อหลุดออกหมดแลว หรือเนื้อเปอยยุยจน<br />
สามารถใชแปรงขัดออกได<br />
8. ตมกระดูกที่เหลือตอไปจนเนื้อหลุดออกหมด หรือเนื้อเปอยยุยจนสามารถใชแปรงขัดออกได<br />
9. นํากระดูกทั้งหมดมาลางในน้ําผสมผงซักฟอก หรือน้ํายาลางจาน แลวใชแปรงสีฟนหรือแปรงขัดมือ<br />
ขัดเนื้อบางสวนที่ยังติดอยูออกใหหมด นํากระดูกทั้งหมดไปตากแดดใหแหง ในกรณีที่กระดูกมีสีคล้ํา<br />
มาก สามารถนํากระดูกไปแชในไฮโดรเจนเปอรออกไซดเจือจางกอนนําไปตากแดด แตตองคอยเฝา<br />
ระวังอยาแชนานเกินไป หรืออยาใชความเขมขนมากเกินไป เพราะจะทําใหกระดูกกรอนได<br />
10. นํากระดูกที่แหงสนิดแลวมาตอเปนโครง หรือ เก็บใสกลองพลาสติกที่มีฝาปดสนิด<br />
** หมายเหตุ : ระยะเวลาในการจัดทํา<br />
- เลาะกระดูกสุนัข 1 ตัว ใชเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง / 2 คน<br />
- ตมกระดูกสุนัขใชเวลาประมาณ 3-5 ชั่วโมง ขึ้นกับขนาดตัว<br />
*** สําหรับการเตรียมกระดูกสัตวอื่น ๆ สามารถดัดแปลงไดจากการเตรียมกระดูกสุนัข โดยอุปกรณและ<br />
สารเคมีรวมทั้งเวลาในการจัดทําเปลี่ยนแปลงไปตามขนาดตัวของสัตว
9<br />
หองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร<br />
3. การเตรียมสัตวทดลองแบบ In Situation<br />
In-situ มาจากภาษาอังกฤษวา In Situation หมายถึง อยูในลักษณะตามธรรมชาติ การทํา In-situ คือการ<br />
เตรียมสัตวทดลองใหอยูในทาธรรมชาติ คือทายืน มีประโยชนในการสอนที่ตองรูตําแหนงของอวัยวะตางๆ ตาม<br />
ธรรมชาติ สัตวที่นิยมใชคือ มา และแกะ เปนตน<br />
อุปกรณและสารเคมี<br />
1. สวาน<br />
2. คอน<br />
3. ตะปู (ขนาดใหญ,กลาง,เล็ก)<br />
4. ลวด<br />
5. เชือก (เชือกปานและเชือกไนลอน)<br />
6. คีบตัดลวด<br />
7. ผาดิบ<br />
8. ดาย/ไหมเย็บ<br />
9. เครื่องมือผาตัด (กรรไกร, forceps,needle holher,Artery forceps)<br />
10. โครงไม<br />
11. แผนกระดาน หนาอยางนอย 1 นิ้ว<br />
12. ลอก<br />
13. Nembutal<br />
14. Formaline (38% Formaldehyde bistal : water = 1 : 8)<br />
วิธีการเตรียมสุนัขทดลอง<br />
1. วางยาสลบ (Nembutal®) โดยฉีดเขาเสนเลือด cephalic vein ที่ขาหนา<br />
2. กรีดผาลําคอ ดาน ventral view แลวชําแหละหาเสนเลือด common carotid artery<br />
3. ใชเชือกผูกเสนเลือดใหแนน โดยพยายามใหชิดไปทางดานบน ตัดเสนเลือด common carotid artery<br />
ใหเปนรูปปากฉลาม ปลอยใหเลือดไหลออกจากจากตัวสัตวจนหมด ระหวางนี้ตองคอยใชน้ําลางเสน<br />
เลือดบริเวณรอยตัดเพื่อปองกันไมใหเลือดแข็งตัว รอจนกระทั่งสัตวตาย<br />
4. ใชดายหรือไหมเย็บแผลเย็บปดบริเวณปาก และทวารหนักของสัตว เพื่อกันไมใหฟอรมาลีนไหล<br />
ออกมา และเพิ่มความสวยงามใหกับสัตวทดลอง<br />
5. ตอกตะปูบริเวณกระดูก Patella ที่โคนขาหลังทั้ง 2 ขาง จะทําใหขาหลังของสัตวเหยียดตรง<br />
6. ตอกตะปูขนาดใหญบริเวณสะโพก เพื่อใชเปนที่ยึดลําตัวดานหลัง ถาสัตวมีขนาดใหญ เชน มา ใหตอก<br />
ตะปูบริเวณไหล โดยตอกระหวาง process ของ กระดูกสันหลังเพื่อใชเปนที่ยึดบริเวณกลางลําตัว<br />
7. ตอกตะปูขนาดใหญใตหนังบริเวณกะโหลก เพื่อใชเปนที่ยึดสวนหัว และตอกตะปูที่บริเวณหางเพื่อยึด<br />
หาง<br />
8. ใชเชือกมัดยึดบริเวณที่ตอกตะปูแลวมัดเขากับโครงไม เพื่อจัดใหสัตวยืนในทาทางธรรมชาติ หากสัตว<br />
มีขนาดใหญ เชน มา ตองใชลอกชวยในการยกสัตวขึ้นยืน
10<br />
หองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร<br />
9. ใชแผนกระดานหนาประมาณ 2 นิ้ว รองใตเทา จํานวน 2 แผน (หนา และหลัง) แลวตอกตะปูบนกีบ<br />
เทา ทั้งขาหนาและขาหลังใหยึดติดกับแผนกระดาน<br />
10. ใชผาดิบพันรอบขาหนาบริเวณหนาแขง (radius) แลวผูกเชือกมัดโยงไปดานหลังเพื่อยึดขาหนาให<br />
เหยียดตึง<br />
11. ฉีดฟอรมาลีนเขาเสนเลือดบริเวณที่ถูกตัดเปนปากฉลาม จนสัตวเริ่มแข็ง และมีฟอรมาลีนไหลออกมา<br />
ทางปาก<br />
12. ใชผาดิบชุบน้ําใหชุม แลวพันรอบตัวสัตว รดน้ําซ้ําอีกครั้งเพื่อเพิ่มความชุมใหแกผิวหนังสัตว<br />
13. ทิ้งไว 1 คืน (24 ชั่วโมง)<br />
14. เก็บสัตวทดลองไวในหองเย็น สามารถใชได 2-3 เดือน<br />
4. การกําจัดซากสัตว<br />
การเรียนการสอนในหองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร จําเปนตองใชสัตวทดลองในการเรียนการสอนทั้ง<br />
สัตวทดลองที่ดองในน้ํายาฟอรมาลีน และสัตวทดลองสด รวมทั้งอวัยวะสัตวสด ๆ ซึ่งเมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอน<br />
แลวจะตองทําการกําจัดซากสัตวตาง ๆ เหลานี้ดวยวิธีการที่ถูกตองเหมาะสม และเพื่อใหไมสงผลกระทดตอสังคม<br />
และสิ่งแวดลอม<br />
ประเภทของซากในหองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร<br />
1. ซากสัตวที่ผานการดองดวยน้ํายาฟอรมาลีน ไดแก สุนัขทดลอง และอวัยวะสัตวตาง ๆ ที่ผานการใช<br />
งานจนไมอยูในสภาพที่จะใชประกอบการเรียนการสอนได<br />
2. ซากสัตวที่ไมไดผานการดอง คือซากสัตว และอวัยวะสัตวสด เชน ปอดสุกร ไตสุกร ที่ใชในการเรียน<br />
การสอนแลวไมสามารถเก็บรักษาโดยการดองในน้ํายาฟอรมาลีนได เนื่องจากเนาเสียแลว หรือสัตวที่<br />
ใชซากสดสอนไดมีประสิทธิภาพมากกวาซากดอง เชน ไก ปลา เปนตน<br />
วิธีการกําจัดซากสัตวที่ผานการดองดวยน้ํายาฟอรมาลีน<br />
1. นําซากที่ผานการดองดวยน้ํายาฟอรมาลีนที่ตองการกําจัดแชในกะละมังพลาสติก แลวเปนน้ําไหลผาน<br />
เปนเวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพื่อเจือจางน้ํายาฟอรมาลีน<br />
2. นําซากจากขอ 1 มาใสในถุงขยะดํา แลวมัดปากถุงใหสนิท<br />
3. เขียน Label รายละเอียดเกี่ยวกับชนิดและ จํานวนของซากที่อยูในถุงดํา พรอมลงวันที่<br />
4. ขนยายถุงดําไปยังหองผาซากเพื่อเผาทําลายตอไป<br />
วิธีการกําจัดซากสัตวที่ไมไดผานการดอง<br />
ปฏิบัติเชนเดียวกับวิธีการกําจัดซากสัตวที่ผานการดองดวยน้ํายาฟอรมาลีนตั้งแตขอ 2 – 4
11<br />
หองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร<br />
5. การกําจัดสารพิษในหองปฏิบัติการ<br />
สารพิษที่สําคัญในหองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร คือ ฟอรมาลีน (Formaldehyde) ซึ่งเปนสารเคมีที่ใช<br />
สําหรับดองสัตวทดลองและชิ้นสวนอวัยวะสัตวตาง ๆ ในหองปฏิบัติการ ซึ่งทางหองปฏิบัติการจะทําการเปลี่ยนถาย<br />
น้ํายาฟอรมาลีนที่ใชดองสัตวทดลองในอางดองปละ 1 ครั้ง ในชวงเดือนตุลาคมของทุกป นอกจากนี้ยังมีสารเคมี<br />
อื่นๆ เชน Alcohol, Glycerine และ Phenol ซึ่งใชในปริมาณนอยและใชแลวหมดไปโดยไมตองกําจัด กระทําเพียง<br />
จัดการกับภาชนะบรรจุสารเคมีเหลานี้เทานั้น ซึ่งทางบริษัทตัวแทนจําหนายไดรับภาชนะ ดังกลาวคืนทั้งหมด จึง<br />
ไมขอกลาวถึงการกําจัดสารเคมีเหลานี้ในที่นี้<br />
วิธีการกําจัดน้ํายาฟอรมาลีน<br />
1. นําสัตวทดลองออกจากอางดองใหหมด โดยหากยังตองการเก็บซากสัตวทดลองไวใชตอใหแช<br />
สัตวทดลองไวในอางน้ําเพื่อรอน้ํายาฟอรมาลีนชุดใหม แตหากตองการกําจัดซากก็ปฏิบัติตามวิธีการ<br />
กําจัดซากตอไป<br />
2. เปดระบายน้ํายาฟอรมาลีน (10% Formaldehyde) ในอางดองใหไหลออกจากอางดองชา ๆ พรอมกับเปด<br />
น้ําจากสายยางใหไหลไปพรอม ๆ กับฟอรมาลีน โดยใหอัตราการไหลของน้ําสูงกวาอัตราการไหลของ<br />
ฟอรมาลีน เพื่อเจือจางฟอรมาลีนใหมากที่สุด ขั้นตอนนี้จะใชเวลาประมาณ 1 วัน ซึ่งโดยปกติจะทําให<br />
วันหยุดราชการ (เสาร-อาทิตย) เพื่อไมใหไอระเหยของฟอรมาลีนไปรบกวนการทํางานของผูอื่น<br />
3. น้ํายาที่ระบายออกจากถังดองจะผสมกับน้ําจนเจือจางมากและไหลลงสูทอระบายน้ําของคณะ แลวไหล<br />
ไปสูบอบําบัดน้ําเสียของคณะตอไป<br />
4. เมื่อระบายน้ํายาออกจากอางดองหมดแลว เปดฝาอางดองแลวใชน้ําฉีดลางภายในอางดองอีกครั้ง จากนั้น<br />
ทิ้งไวประมาณ 3 วัน เพื่อใหฟอรมาลีนระเหยจนหมด<br />
5. ลางทําความสะอาดภายในอางดองอีกครั้งดวยผงซักฟอก<br />
การกําจัดขยะติดเชื้อและของมีคม<br />
• ขยะติดเชื้อ เชน ถุงมือ กระบอกฉีดยา และเศษเนื้อ ทางหองปฏิบัติการไดจัดถังขยะสําหรับใชทิ้งขยะ<br />
ติดเชื้อโดยเฉพาะ ซึ่งการกําจัดกระทําโดยนําขยะดังกลาวไปเผาทําลายที่หองผาซาก<br />
• ของมีคม เชน ใบมีดผาตัด เข็ม ทางหองปฏิบัติการไดจัดภาชานะสําหรับทิ้งไวโดยเฉพาะ เปน<br />
แกลลอนพลาสติกมีฝาปดสนิท เมื่อเต็มแกลลอนแลวจะนํานึ่งฆาเชื้อที่หองปฏิบัติการกลางของคณะฯ<br />
แลวสงตอมายังที่หองผาซาก ซึ่งทางหองผาซากจะสงตอไปยังโรงพยาบาลสัตวเล็กเพื่อรอใหเจาหนาที่<br />
จากเทศบาลนครเมืองเชียงใหมมารับขยะพวกนี้ไปจัดการโดยเฉพาะอีกตอหนึ่ง<br />
6. การเตรียม Resin cast ปอดสุกร (ชนิด Styrene foam)<br />
Resin cast แบงเปน 2 ประเภท ตามวัสดุที่ใชทําคือ<br />
1. Styrene foam สําหรับจัดแสดง<br />
2. Acrylic resin สําหรับงานวิจัย
12<br />
หองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร<br />
Styrene foam มีสวนผสมหลักคือ โฟม (ธรรมดา) Acetone และสี นํามาผสมกันไดสารละลายที่มี high<br />
viscosity สามารถฉีดสารละลายนี้เขาไปในหลอดหรือทอตางๆ ของอวัยวะ เชน เสนเลือด ขนาดใหญ กลาง และเล็ก<br />
แตไมสามารถเขาสู capillary ไดดีนัก อวัยวะที่ไดจึงจัดเปน Macroscopic specimen มักใชสําหรับจัดแสดง<br />
(Exhibition)<br />
Acrylic resin จัดเปน Microscopic specimen มันใชสําหรับงานวิจัย (Research) เพราะสารละลายที่มี<br />
ลักษณะใสคลายน้ํา (like watery) สามารถฉีดเขาไปจนถึงระดับ capillary ไดเปนอยางดี จึงนิยมใชในการศึกษา<br />
ลักษณะโครงสรางของเสนเลือดภายในอวัยวะตางๆ เชน การศึกษาโครงสรางของเสนเลือดภายในตับ เปนตน<br />
อุปกรณและสารเคมี<br />
1. โฟม<br />
2. Acetone<br />
3. Ether<br />
4. โซดาไฟ (NaOH)<br />
5. สีฝุนหรือสีน้ํามัน<br />
6. ขวดแกวปากกวางมีฝาปดสนิท<br />
7. ตะเกียงแอลกอฮอล<br />
8. แทงแลวคนสาร<br />
9. อุปกรณชําแหละ (ใบมีด, กรรไกร, forceps, artery forceps)<br />
10. เชือก/ดาย<br />
11. ถาดพลาสติก<br />
12. Syringe ขนาดตาง ๆ เชน 3, 5, 10, 20 และ 50 ml<br />
ขั้นตอนการเตรียมกระบอกฉีด<br />
1. เลือกกระบอกฉีดยาใหมีปริมาตรและขนาดที่เหมาะสมกับอวัยวะที่จะทํา Resin cast<br />
2. เลือกกระบอกฉีดยาขนาดเล็กอีก 1 อัน ที่มีเสนผาศูนยกลางใกลเคียงกับขนาดของหลอดเลือดหรือ trachea<br />
ที่จะฉีดสารละลายโฟมเขาไป<br />
3. ตัดปลายกระบอกฉีดยาอันใหญ สวนที่ใชสวมกับเข็มฉีดยาออกจะทําใหเกิดรูปเล็กๆ ขึ้น แลวขยายขนาด<br />
ของรูปดังกลาวโดยใชโลหะเผาไฟ ลนโดยรอบจนมีขนาดใกลเคียงกับเสนผาศูนยกลางของกระบอกฉีดยา<br />
อันเล็ก<br />
4. ตัดปลายบนของกระบอกฉีดยาอันเล็กออก แลวนําปลายดานลางเล็กลนใหพลาสติกละลายเล็กนอย แลว<br />
นํามาครอบบริเวณชองบนกระบอกฉีดยาอันใหญที่เตรียมไว<br />
5. ใชโลหะเผาไฟ ลนบริเวณรอยตอใหสนิท<br />
6. ทดสอบวามีรูปรั่วหรือไมโดยนําไปเติมน้ํา หากพบรอยรั่วใหทําการซอมแซมใหเรียบรอย<br />
7. ใชโลหะเผาไฟแลวนํามาแตะปลายกระบอกฉีดยาอันเล็ก ใหมีผิวขรุขระ เพื่อใหสามารถยึดกับเสนเลือดได<br />
งายเวลาผูกเชือก
13<br />
หองปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร<br />
การเตรียม Styrene foam<br />
1. เท acetone ลงในขวดแกวปากกวาง<br />
2. หักโฟมเปนชิ้นเล็กๆ แลวใสลงในขวดแกวบรรจุ acetone กอนโฟมจะคอยๆ ละลาย ใชแทงแกวคน<br />
เบา ๆ จนกลายเปนสารละลายโฟมในที่สุด<br />
3. หากยังไมใชในทันที ใหปดฝาใหสนิทและเก็บในที่แหง<br />
4. เมื่อตองการใชใหเทลงในภาชนะที่ตองการ เชน ขวดแบงที่ใชในการผสมสี<br />
5. เติมสีลงไปในสารละลายโฟมที่ จนไดสีตามตองการ ปกติ นิยมใชสีน้ําเงินสําหรับฉีดเสนเลือดดํา สี<br />
แดงสําหรับฉีดเสนเลือดแดง และสีขาวสําหรับฉีดเขาทอทางเดินหายใจ (trachea) ทั้งนี้ตองเปนสีที่<br />
ละลายในน้ํามัน หากเปนสีที่ละลายในน้ําจะไมสามารถผสมเปนเนื้อเดียวกับสารละลายโฟมได<br />
6. ทดสอบความหนืดของสารละลายโฟมกอนทําการฉีด ไมใหขนหรือเหลวเกินไป<br />
ขั้นตอนการเตรียม Specimen: ปอดสุกร<br />
1. สั่งซื้อปอดสุกรที่ไมไดแยกหัวใจออกจากปอด และมีสวนของ trachea ดวย<br />
2. ทําการเลาะ pericardium ออกจากหัวใจ<br />
3. ตัดหัวใจออกใหเลือกติดอยูเพียง1/4 สวน สําหรับเปนบริเวณที่จะฉีดสารละลายโฟมเขาไปใน pulmonary<br />
artery และ pulmonary vein<br />
4. ตัด trachea ใหมีความยาวที่เหมาะสม จากนั้นทําการเลาะแยกใหเห็นเสนเลือด pulmonary artery และ<br />
pulmonary vein<br />
5. ใชเชือกคลองกับ trachea และเสนเลือดที่ตองการจะฉีดสารละลายโฟม<br />
6. ฉีดสารละลายโฟมเขาไปในสวนที่ตองการใหเต็ม<br />
a. เมื่อฉีดสารละลายไปจนเต็มปริมาตรความจุของทอนั้นๆ แลวจะมีความรูสึกเหมือนมีแรงดันกลา<br />
นกระบอกฉีด<br />
b. ปอดจะขยายขนาดขึ้น เมื่อใชมีดหรือกรรไกรตัดปลายลางสุดของปอด จะพบสารละลายโฟมไห<br />
ลออกมา แสดงวาปริมาณสารละลายโฟมที่ฉีดเขาไปเพียงพอแลว<br />
7. ผูกเชือกที่คลองไวใหแนไมใหสารละลายโฟมไหลออกมา<br />
8. นํา specimen ที่เตรียมเสร็จแลวไปแชในน้ําเปนเวลา 2-3 วัน เพื่อใหสารลายโฟมแข็งตัว **ขอควรระวัง ใน<br />
ขั้นตอนนี้ตองเก็บในภาชนะที่มิดชิด ไมใหแมลงวันตอมเนื่องจาก specimen จะเริ่มเนา<br />
9. เมื่อสารละลายโฟมแข็งตัว ใหนําขึ้นมาเลาะเอากระดูกออนและเสนเลือดออกใหมากที่สุด แลวนําไปแชใน<br />
สารละลาย 10-20% NaOH เพื่อยอยเอาเนื้อเยื่อออกจาก cast ที่แข็งตัว เปนเวลา 3-4 วัน<br />
10. ทําการลาง specimen ดวยน้ําประปา โดยเปดน้ําแรงๆ เพื่อลางเนื้อเยื่อตางๆ ออก หางยังมีเนื้อเยื่อบางสวน<br />
ติดอยูกับ cast ใหแชทําการแชใน NaOH ตอไปอีก 1-2 วัน จนกวาเนื้อเยื่อจะหลุดออกจนหมด<br />
11. นํา specimen ที่เปนเสร็จสมบูรณไปตากหรือผึ่งลมใหแหง เพื่อลดกลิ่น<br />
12. นํา cast ที่ไดไปตั้งแสดง<br />
เอกสารอางอิง<br />
ดัดแปลงจากเอกสารประกอบการสอนวิชา โครงสรางและการทํางานของรางกาย 3 ปการศึกษา 2551<br />
เทคนิคจากการฝกงานของ อ.สพ.ญ. ประภาวดี ไพรินทร ณ มหาวิทยาลัย Azabu University ประเทศญี่ปุน
14<br />
หองปฏิบัติการจุลทรรศน 1<br />
ชื่อหองปฏิบัติการ : หองปฏิบัติการจุลทรรศน 1 (Microscopy Laboratory 1) (E211)<br />
นักวิทยาศาสตรประจําหอง : นางสาวปยะมาศ คงถึง<br />
แผนผังหองปฏิบัติการ<br />
E212<br />
E211<br />
E211 = หองปฏิบัติการจุลทรรศน 1<br />
E212 = หองเก็บอุปกรณและจัดแสดง<br />
ระเบียบการใชหองปฏิบัติการ<br />
ระเบียบการใชหองปฏิบัติการจุลทรรศน 1 (E211)<br />
1. แตงกายใหสุภาพเรียบรอยทุกครั้งที่เขาเรียนในหองปฏิบัติการ<br />
2. เก็บสัมภาระตางๆ ในหองเก็บของดานขางหองปฏิบัติการใหเรียบรอย อนุญาตใหนําเขาไดเฉพาะคูมือ<br />
ปฏิบัติการ/ สมุดบันทึก/อุปกรณที่ใชประกอบในบทปฏิบัติการเทานั้น<br />
3. เขาหองเรียนใหตรงเวลา<br />
4. เซ็นตชื่อยืม-คืนสไลดเปนรายวัน และหามนํากุญแจตูเก็บกลองจุลทรรศนออกนอกหองปฏิบัติการ<br />
5. ทําการตรวจเช็คสภาพกลองจุลทรรศน และสไลดกอนใชงานทุกครั้ง หากพบวาชํารุดเสียหายใหรีบแจง<br />
เจาหนาที่ทันที มิฉะนั้นหากเจาหนาที่ตรวจเช็คแลวพบความชํารุดเสียหายภายหลัง จะถือวาเปนการกระทําของ<br />
ผูใชคนสุดทายและตองเปนผูรับผิดชอบคาใชจายกรณีตองซอมบํารุง<br />
6. ใชกลองจุลทรรศนและสไลดดวยความระมัดระวัง<br />
7. หามนําอาหารและเครื่องดื่มเขามารับประทานในหองปฏิบัติการ<br />
8. หามสงเสียงดังในขณะใชหองปฏิบัติการ และใหชวยกันรักษาความสะอาด<br />
9. หากพบอุปกรณ หรือครุภัณฑใดๆ ในหองปฏิบัติการชํารุด ใหรีบแจงเจาหนาที่ประจําหองปฏิบัติการทราบทันที<br />
10. หามนักศึกษาใชอุปกรณโสตทัศนูปกรณภายในหองปฏิบัติการ ยกเวนไดรับอนุญาตจากอาจารย หรือเจาหนาที่<br />
เปนกรณีพิเศษ<br />
11. หลังใชงานกลองจุลทรรศนตองทําความสะอาดกลองเสร็จทุกครั้ง และเก็บเขาที่ใหเรียบรอย แลวจึงนําสไลด มา<br />
คืนพรอมเซ็นตชื่อคืนสไลด
15<br />
หองปฏิบัติการจุลทรรศน 1<br />
คะแนนสวน : หองปฏิบัติการจุลทรรศน 1 : 100 คะแนน<br />
1. เขาหองเรียนตรงเวลาทุกครั้ง 20 คะแนน<br />
2. ปฏิบัติตามระเบียบการใชหองปฏิบัติการอยางเครงครัด 20 คะแนน<br />
3. เก็บกลองจุลทรรศนอยางถูกตอง 20 คะแนน<br />
4. ทักษะการใชและการเคลื่อนยายกลองจุลทรรศน 20 คะแนน<br />
5. การเก็บเกาอี้เขาที่เดิม 20 คะแนน<br />
รวม 100 คะแนน<br />
1. วิธีการใชกลองจุลทรรศน<br />
การใชงานครุภัณฑ<br />
กลองจุลทรรศน เปนอุปกรณในหองปฏิบัติการที่มีราคาแพง อาจารย บุคลากร และนักศึกษาทุกคนตองพึง<br />
ระลึกไวเสมอวาตองใชกลองจุลทรรศนดวยความระมัดระวัง และชวยกันดูแลรักษากลองจุลทรรศนใหสะอาด และมี<br />
สภาพพรอมใชงานอยูเสมอ เพื่อยืดอายุการใชงานของกลองจุลทรรศนใหยาวนานยิ่งขึ้น<br />
วิธีการใชกลองจุลทรรศน<br />
1. เสียบปลั๊ก เปดสวิตชไฟที่กลองจุลทรรศน กลองจุลทรรศนบางตัวสวิตชและปุมปรับความสวางเปนปุม<br />
เดียวกันโดยเมื่อหมุน เปดตามเข็มนาฬิกา ความสวางจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ<br />
2. ปรับ Condenser iris diaphragm (A) ใหเห็นแสงสวางเปนวงกลมผานขึ้นมาบน condenser<br />
3. วางแผนสไลดลงบน stage(B) แลวลอคดวย specimen holder(C)<br />
4. เลื่อนสไลดโดยใช Vertical feed knob(D) และ Horizontal feed knob(E) ใหตําแหนงของ specimen(F) ที่<br />
เราตองการสองดูอยูตรงกึ่งกลางของแสงสวางที่สองขึ้นมา (จากขอ 3)<br />
5. หมุน Revolving nosepiece(G) ใหอยูที่กําลังขยายต่ําสุด (4x)<br />
6. หมุน Coarse focus adjustment knob(H) ให stage เลื่อนขึ้นมาสูงสุด<br />
** หมายเหตุ : ตองระวังอยาใหปลาย objective lens(M) สัมผัสกับ slide เพราะอาจทําให objective lens(M)<br />
เสียหาย ซึ่งอาจเกิดขึ้นไดในกรณีลืมหมุน Revolving nosepiece(G) ใหอยูที่กําลังขยายต่ําสุด แลว<br />
เลื่อน stage เลื่อนขึ้นมาสูงสุด<br />
7. ปรับ Interpupillar distance adjustment seat(I) ใหระยะหางของ Eyepiece(J) พอดีกับระยะหางของ<br />
ดวงตาทั้งสองขาง (จะสังเกตเห็นวา วงกลมที่มองเห็นซอนทับกันเปนวงเดียว) แลวหมุน Coarse focus adjustment<br />
knob(H) ลงชา ๆ จนมองเห็นชัดเจน<br />
** หมายเหตุ : หากความชัดของ Eyepiece lens ทั้งสองขางไมเทากันสามารถหมุน Diopter adjustment<br />
ring(K) ขึ้นลงเล็กนอยใหความชัดของทั้งสองขางเทากัน แตโดยทั่วไปจะไมตองปรับเพราะทางหองปฏิบัติการไดทํา<br />
การปรับใหเทากันแลว
16<br />
หองปฏิบัติการจุลทรรศน 1<br />
8. หากตองการเพิ่มกําลังขยาย ใหหมุน Revolving nosepiece(G) ทวนเข็มนาฬิกาใหกําลังขยายเพิ่มขึ้นเปน<br />
ลําดับ แลวหมุนปรับ Fine focus adjustment knob(L) เพียงเล็กนอยก็จะเห็นภาพชัดเจนโดยไมตองปรับ Coarse focus<br />
adjustment knob(H) อีกเลย<br />
** หาม!! หมุน Revolving nosepiece ตามเข็มนาฬิกา คือ เปลี่ยนจาก 4x เปน 100x เพราะอาจทําใหปลาย<br />
objective lens กระแทกกับสไลดจนชํารุดแตกหักได<br />
** หมายเหตุ : การเปลี่ยนกําลังขยายใหใหญขึ้น จะทําใหพื้นที่ในการมองเห็นเล็กลง เพราะฉะนั้นจึง<br />
จําเปนตองเลื่อนตําแหนงที่เราตองการดูใหมาอยูตรงจุดศูนยกลางของวงกลม มิฉะนั้นเมื่อเปลี่ยนกําลังขยายแลวอาจ<br />
มองไมเห็นตําแหนงดังกลาวเพราะอยูนอกขอบเขตในการมองเห็นของกลอง<br />
9. การใชกําลังขยาย 100x ตองหยด oil ลงบนแผนสไลด มีขั้นตอนดังนี้<br />
9.1 หาตําแหนงของภาพที่ตองการดูโดยใชกําลังขยาย 40x จากนั้นหมุน Revolving<br />
nosepiece(G) ใหอยูระหวางกําลังขยาย 40x และ 100x<br />
9.2 หยด oil บนแผนสไลดตรงจุดศูนยกลางของแสงสวาง ระวัง !!! อยาใหมีฟองอากาศ<br />
9.3 หมุน Revolving nosepiece(G) มาที่กําลังขยาย 100x ชา ๆ<br />
9.4 ปรับ Fine focus adjustment knob ชา ๆ จนเห็นภาพชัดเจน<br />
** หมายเหตุ เมื่อใชงานเสร็จตองเช็ด oil ออกทุกครั้งโดยใช Xylene (ดูรายละเอียดการทําความสะอาด<br />
กลองและเก็บจุลทรรศนประกอบ)
17<br />
หองปฏิบัติการจุลทรรศน 1<br />
รูปแสดงสวนประกอบของกลองจุลทรรศน
18 หองปฏิบัติการจุลทรรศน 1<br />
2. วิธีการทําความสะอาดและจัดเก็บกลองจุลทรรศน<br />
กลองจุลทรรศน เปนอุปกรณในหองปฏิบัติการที่มีราคาแพง อาจารย บุคลากร และนักศึกษาทุกคนตองพึง<br />
ระลึกไวเสมอวาตองใชกลองจุลทรรศนดวยความระมัดระวัง และทําความสะอาดกลองจุลทรรศนทุกครั้งหลังการใช<br />
งานกลองจุลทรรศนเสร็จ เพื่อยืดอายุการใชงานของกลองจุลทรรศนใหยาวนานยิ่งขึ้น<br />
วิธีการเก็บกลองจุลทรรศน<br />
นักศึกษาตองปฏิบัติดังตอไปนี้<br />
1. ปดสวิทซ ถอดปลั๊กไฟออก<br />
2. นําสไลดออกจากกลองจุลทรรศน<br />
3. ใชผากอซที่สะอาดและแหงเช็ดทําความสะอาดตัวกลอง<br />
4. เช็ดเลนสดวยกระดาษเช็ดเลนส ถาใช oil ตองหยด xylene บนกระดาษเช็ดเลนสเพื่อเช็ด oil ออกให<br />
หมด แลวใชกระดาษเช็ดเลนสแหงเช็ดซ้ําอีกครั้ง<br />
ระวัง!!! อยาใช xylene เช็ดบริเวณที่เปนพลาสติก<br />
5. หมุน Revolving nosepiece ใหอยูที่กําลังขยายต่ําสุด (4x)<br />
6. เลื่อน Interpapillar distance ใชชิดกัน<br />
7. พันสายไฟไวรอบๆ ฐานกลอง<br />
8. เลื่อน Stage ลงใหอยูในตําแหนงต่ําสุด<br />
9. เลื่อน Mechanical stage ใหชิดขอบของ stage ดานใน<br />
10. คลุมดวยผาคลุมกลอง แลงยกกลองไปเก็บในตู ตามหมายเลขที่ติดอยูบนกลอง<br />
11. การเคลื่อนยายกลองจุลทรรศน ใหปฏิบัติดังนี้<br />
11.1 ตองยกกลองดวยมือทั้งสองขาง<br />
- กลอง ยี่หอ Nikon ใชมือขางที่ถนัดจับบริเวณ Arm และมืออีกขางหนึ่งรองบริเวณ Base<br />
- กลอง ยี่หอ Olypus ใหใชมือทั้งสองขางจับบริเวณ Arm ดังรูปที่ 1<br />
รูปที่ 1 แสดงการยกกลองจุลทรรศน<br />
11.2 ยกกลองระดับอก และตองประคองใหกลองทํามุมตั้งฉากกับพื้น หาม !! เอียงกลองโดยเด็ดขาด<br />
เพราะอาจทําให ocular lens หลุดออกจากตัวกลอง ทําใหเกิดการชํารุดเสียหายได<br />
12 ขอควรระวังในการใชกลองจุลทรรศน (ดังรูปที่ 2)
19<br />
หองปฏิบัติการจุลทรรศน 1<br />
- หามวางกลองจุลทรรศนบนพื้นที่มีลักษณะออนนุม เพราะจะไมสามารถระบายความรอนออก<br />
จากตัวกลองได (A)<br />
- หามซอมแซมกลองจุลทรรศนดวยตนเอง หากมีปญหาใหปรึกษาเจาหนาที่ผูดูแลหองปฏิบัติการ<br />
(B)<br />
- หามเก็บกลองจุลทรรศนไวในที่ที่อุณหภูมิและความชื้นสูง (C)<br />
- เพื่อความปลอดภัยในการใชงานควรตอสายดิน (D)<br />
(A)<br />
(B)<br />
(C)<br />
(D)<br />
รูปที่ 2 แสดง ขอควรระวังในการใชกลองจุลทรรศน<br />
เอกสารอางอิง<br />
หนังสือคูมือกลองจุลทรรศน : EDUCATIONAL MICROSCOPE CH20 INSTRUCTIONS, OLYMPUS.<br />
หนังสือคูมือกลองจุลทรรศน : Biological Microscope, ALPHAPHOT-2 YS2-H, NIKON.<br />
http://www.cas.muohio.edu/~mbi-ws/microscopes/compoundscope.html#how%20it%20works<br />
3. วิธีการใชกลองจุลทรรศนสําหรับตอกับทีวี<br />
กลองจุลทรรศนสําหรับตอกับทีวี เปนกลองจุลทรรศนสามตา (Trinocular eyepiece tube) ที่ตอเขากับกลอง<br />
วิดีโอ (Color vedio camera) ซึ่งจะตอเขาเครื่อง CAMERA ADAPTOR (CMA-D2) และ VIDEO AND AUDIO<br />
DISTRIBUTOR (DA 1400) แลวตอสัญญาณไปยังทีวีที่ติดตั้งอยูบนเพดานหองปฏิบัติการทุกตัว เครื่องมือดังกลาว<br />
จะทําใหภาพในกลองจุลทรรศนปรากฏบนจอทีวี ซึ่งจะมีประโยชนอยางมากในการเรียนการสอนจุลกายวิภาค<br />
ศาสตรเพราะทําใหอาจารยและนักศึกษาสามารถดูภาพภายในกลองจุทรรศนไปพรอม ๆ กันไดทั้งชั้นเรียน<br />
วิธีการใชกลองจุลทรรศนสําหรับตอกับทีวี<br />
1. เปดสวิตชไฟที่ปลั๊กไฟ<br />
2. เปดสวิตชเครื่อง VIDEO AND AUDIO DISTRIBUTOR (DA 1400) (หมายเลข 1)<br />
3. เปดสวิตชเครื่อง CAMERA ADAPTOR (CMA-D2) (หมายเลข 2)<br />
4. เปดสวิตชทีวี<br />
5. เปดสวิตชกลองจุลทรรศน (หมายเลข 3) (หมุนตามเข็มนาฬิกา ความสวางของกลองจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ)
20<br />
หองปฏิบัติการจุลทรรศน 1<br />
ปฏิบัติตามขั้นตอนการใชงานกลองจุลทรรศนโดยทั่วไป แตมีขอปฏิบัติเพิ่มเติมดังนี้<br />
5.1 เมื่อตองการมองภาพในกลองจุลทรรศน (ภาพจะไมปรากฏบนจอทีวี) ใหกดแทงสแตนเลสที่ติด<br />
อยูดานขวามือของ observation tube (หมายเลข 4) เขาหาตัวกลอง<br />
5.2 เมื่อตองการใหภาพปรากฏบนจอทีวี (จะไมสามารถมองภาพในกลองจุลทรรศนได) ใหดึงแทงส<br />
แตนเลสที่ติดอยูดานขวามือของ observation tube (หมายเลข 4) ออกหางจากกลองจุลทรรศน<br />
6. เมื่อใชงานเสร็จใหเช็ดทําความสะอาดกลองจุลทรรศน (ปฏิบัติตามขั้นตอนการทําความสะอาดและการ<br />
เก็บกลองจุลทรรศน) และปดสวิตชทีวี, เครื่อง CAMERA ADAPTOR (CMA-D2) (หมายเลข 2), เครื่อง VIDEO<br />
AND AUDIO DISTRIBUTOR (DA 1400) (หมายเลข 1) และปลั๊กไฟ พรอมทั้งคลุมกลองและเครื่องมือ อื่นๆ ดวย<br />
ผาพลาสติกใหเรียบรอย และลงบันทึกการใชกลองจุลทรรศนทุกครั้ง
21<br />
หองปฏิบัติการชันสูตรซากและ<br />
หองปฏิบัติการจุลพยาธิวิทยา<br />
ชื่อหองปฏิบัติการ : หองปฏิบัติการชันสูตรซาก (106) และหองปฏิบัติการจุลพยาธิวิทยา<br />
(E104-E110)<br />
นักวิทยาศาสตรประจําหอง : นายณัฐพงศ วังใน<br />
แผนผังหองปฏิบัติการ<br />
เตาเผาซากสัตว<br />
E 106<br />
E 108<br />
E 107 E 105 E 109<br />
E 103 E 110<br />
E 102 E 101 E 104<br />
E 111<br />
โถงทางเดินในอาคาร<br />
อาคาร E ชั้นที่ 1<br />
E 101 หองพักเจาหนาที่หองปฏิบัติการ<br />
E 102 หองปฏิบัติการกลองจุลทรรศน<br />
E 103 หองอภิปรายกลุมนักศึกษา<br />
E 104 หองปฏิบัติการจุลพยาธิวิทยา (หองเตรียมบล็อกเนื้อเยื่อและตัดเซ็คชั่น)<br />
E 105 หองเปลี่ยนเครื่องแตงกาย<br />
E 106 หองปฏิบัติการชันสูตรซาก<br />
E 107 หองเก็บอุปกรณชันสูตรซากและวัสดุหองปฏิบัติการ<br />
E 108 หองสุขาชาย<br />
E 109 หองสุขาหญิง<br />
E 110 หองสุขาหองปฏิบัติการจุลพยาธิวิทยา (หองเตรียมเนื้อเยื่อและยอมสี)<br />
E 111 หองเก็บกระปุกเก็บตัวอยางและสารเคมีใชแลว
22<br />
หองปฏิบัติการชันสูตรซากและ<br />
หองปฏิบัติการจุลพยาธิวิทยา<br />
ระเบียบการใชหองปฏิบัติการ<br />
1. หองปฏิบัติการชันสูตรซาก<br />
1. กรอกแบบฟอรมนําสงตัวอยางที่จะนํามาชันสูตร<br />
2. ลงบันทึกการใชหองปฏิบัติการ (เวลาเขาทําปฏิบัติการ)<br />
3. กรอกแบบฟอรมใบเบิก-ยืมอุปกรณชันสูตรซาก<br />
4. เปลี่ยนเครื่องแตงกาย (สวมเสื้อกาวน, Apron, รองเทาบูท)<br />
5. จุมเทาในน้ํายาฆาเชื้อกอนเขาหองปฏิบัติการ<br />
6. สวมถุงมือ ผาปดปาก และหมวกคลุมผม<br />
7. ลงมือปฏิบัติการชันสูตรซากตามคูมือปฏิบัติการ<br />
8. เก็บซากลงถุงดําเพื่อนําไปจํากัดใหเรียบรอย<br />
9. ทําความสะอาดอุปกรณและโตะปฏิบัติการ ตลอดจนบริเวณพื้นรอบๆใหสะอาด<br />
10.จุมเทาในน้ํายาฆาเชื้อกอนออกจากหองปฏิบัติการ<br />
11.อาบน้ําและเปลี่ยนเสื้อผา โดยนําเสื้อกาวนที่ใชแลวใสในตะกราสําหรับซักทําความสะอาด<br />
12.ลงบันทึกการใชหองปฏิบัติการ (เวลาออกทําปฏิบัติการ)<br />
หมายเหตุ 1.หัวเข็มและใบมีดผาตัด ใหทิ้งในภาชนะที่ทางหองปฏิบัติการจัดเตรียมไว<br />
2.ตัวอยางชิ้นเนื้อที่ตองการสงเพื่อเตรียมสไลดทางจุลพยาธิวิทยาใหนําไปออกหมายเลข<br />
ตัวอยางที่หนวยชันสูตรฯกอนนํามาสงที่หองปฏิบัติการ<br />
3.หามนําอาหารและเครื่องดื่มเขามารับประทานในหองปฏิบัติการ<br />
2. ระเบียบการใชหองเปลี่ยนเสื้อผา<br />
1. นําสัมภาระและของมีคาเก็บไวในล็อคเกอร ปดล็อค และนํากุญแจติดตัวเขาเรียนปฏิบัติการดวยทุกครั้ง<br />
2. สวมเสื้อกาวนแขนยาว รองเทาบูท แลวสวมApron ทับดานนอกทุกครั้งที่เขาหองปฏิบัติการ<br />
3. สวมถุงมือและหนากาก(Mask)ทุกครั้งที่เขาเรียน นักศึกษาหญิงตองรวบผมใหเรียบรอยหรือสวมหมวกคลุมผม<br />
กอนเขาเรียน<br />
4. หลังจากจบปฏิบัติการใหทําความสะอาดรองเทาบูทและ Apron ใหเรียบรอยกอนออกจากหองปฏิบัติการ<br />
5. นําเสื้อกาวนที่ใชแลวใสลงในตะกราสําหรับซักแลวเก็บรองเทาบูทขึ้นชั้นวางรองเทาใหเรียบรอย<br />
6. ตรวจเช็คสัมภาระและของมีคาในตูล็อคเกอรเมื่อนําออกมากอนคืนกุญแจทุกครั้ง<br />
หมายเหตุ หามวางสัมภาระและของมีคาไวบนมานั่ง ใหเก็บไวในล็อคเกอรเทานั้นเพื่อปองกันการสูญหาย
23<br />
หองปฏิบัติการชันสูตรซากและ<br />
หองปฏิบัติการจุลพยาธิวิทยา<br />
การใชงานครุภัณฑ<br />
1. หลักการพื้นฐานการใชงานกลองจุลทรรศน (ประจําหอง E102)<br />
กลองจุลทรรศนชนิด 3 คนดู Nikon Eclipse E400 พรอมชุดถายภาพนิ่ง<br />
กลองจุลทรรศนชนิด 2 คนดู Nikon Alphaphot-2 YS2 พรอมชุดถายภาพเคลื่อนไหว<br />
กลองจุลทรรศน Olympus BX41 พรอมชุดถายภาพและโปรแกรมวิเคราะหภาพถาย<br />
กลองจุลทรรศน Olympus C011X3<br />
กลองจุลทรรศนแบบเตอริโอ Olympus SZ30<br />
1. ปรับเลนสใกลวัตถุ(Objective Lens)ไปที่กําลังขยายต่ําสุดแลวเลื่อนแทนวางสไลดลงจนสุด<br />
2. เช็ดสไลดที่ตองการดูใหแหงเพราะอาจเกิดความเสียหายแกตัวกลองได จากนั้นวางแผนสไลดลงบนแทน<br />
วางแลวจึงปรับแทนวางสไลดขึ้นจนสุด มองในกลองโดยการลืมตาทั้งสองขาง คอยๆปรับเลื่อนปุมปรับ<br />
ภาพหยาบ(Course adjustment)ลงชาๆจนกระทั้งเห็นภาพไดชัดแลวจึงปรับแตงเพิ่มเติมโดยใชปุมปรับภาพ<br />
ละเอียด(Fine adjustment)ใหภาพชัดขึ้น<br />
3. การเพิ่มกําลังขยาย ควรปรับจากกําลังขยายต่ําไปหาสูงคือ 4X, 10X, 40X,และ 100X ตามลําดับโดยจะปรับ<br />
ภาพใหชัดเจนดวยการปุมใชปุมปรับภาพละเอียด(Fine adjustment)เทานั้น และหามเปลี่ยนกําลังขยายจาก<br />
4X เปน 100X ทันทีโดยเด็ดขาดเพราะจะทําใหเลนสกระทบกับแผนสไลดจนเกิดความเสียหายได<br />
4. เมื่อใชกําลังขยาย 100X ตองใช Emersion oil เพื่อชวยในการหักเหแสง โดยทําการหยด oil กอนที่จะมีการ<br />
เลื่อน Objective Lens กําลังขยายสูงสุดลงบนสไลด<br />
5. ปด Cover slip ทุกครั้งที่ตองสองตรวจตัวอยางที่เปนของเหลว<br />
6. เมื่อใชกลองจุลทรรศนเสร็จแลวใหปรับ Objective Lens ไปที่กําลังขยายต่ําสุดแลวเลื่อนแทนวางสไลด ลง<br />
ใหต่ําที่สุด นําแผนสไลดออกเลื่อนเลนสใกลตาใหมาชิดกัน กรณีที่ใชกําลังขยายสูงสุด ควรเช็ดทําความ<br />
สะอาด Emersion oil ที่ติดบน Objective Lens ออกใหหมดกอน<br />
7. พันสายไฟและคลุมกลองจุลทรรศนเมื่อเลิกใชงาน<br />
8. เมื่อมีปญหาหรือขอสงสัยในการใชงานควรปรึกษาเจาหนาที่ประจําหองปฏิบัติการ ไมควรทําการแกไข<br />
ดวยตนเอง<br />
9. อุปกรณตอพวงอื่นๆที่มีกับกลองจุลทรรศนเมื่อมีความจําเปนตองใชตองมีการยื่นแบบฟอรมขออนุญาตใช<br />
ครุภัณฑกับเจาหนาที่ประจําหองปฏิบัติการกอน เพื่อใหเจาหนาที่เปนผูดําเนินการในการดูแลการใชงาน<br />
อยางใกลชิด
24<br />
หองปฏิบัติการชันสูตรซากและ<br />
หองปฏิบัติการจุลพยาธิวิทยา<br />
2. การใชตูดูดไอพิษจากสารเคมี (Fume hood)<br />
1. เลื่อนตูดูดควันพิษไปยังบริเวณที่ตองการใชงาน ตอระบบไฟและระบบน้ําเขากับระบบของอาคาร<br />
2. เปดเมนสวิทชเพื่อเริ่มตนระบบไฟฟาใหทํางาน จากนั้นเปดพัดลมดูดอากาศ เพื่อใหอยูในสภาวะพรอมใช<br />
งาน<br />
3. เปดสวิทชไฟเมื่อตองการแสงสวางภายในตู<br />
4. ภายหลังเลิกใชงานทุกครั้ง ใหใชน้ําสะอาดผสมน้ํายาฆาเชื้อลางทําความสะอาดโดยปลอยใหพัดลมทํางาน<br />
ตอไปเปนเวลาประมาณ 10 นาที จึงปดเครื่อง<br />
5. คาความเร็วลมปกติที่เกจวัดจะอยูที่ 100 พาสคาล หากความเร็วลมมากกวา 500 พาสคาล แสดงวาฟลเตอร<br />
หมดอายุการใชงาน<br />
3. การใชเครื่องเตรียมชิ้นเนื้ออัตโนมัติ (Tissue-Trek4640B)<br />
1. เปดไฟเขาเครื่องและตรวจดูใหแนใจวาปุม Delay timer อยูที่ “0” และจัดให “0” บนแผนตั้งเวลาตรงกับ<br />
จุดเริ่มตน<br />
2. ปรับปุมตัวเลือกไปที่ Manual เพื่อใหฝาเครื่องยกขึ้นและเคลื่อนที่ไปที่โถถัดไปแลวปรับปุมไปที่ Off<br />
3. นําตลับชิ้นเนื้อที่เตรียมไวแลวจัดวางลงในตะกรา จากนั้นปดฝาตะกราแลวนําไปแขวนไวที่ตะขอเกี่ยวบน<br />
ฝาเครื่อง<br />
4. ดึงปุม Pull เพื่อเคลื่อนฝายอนกับไปอยูเหนือบริเวณโถน้ํายาที่12 จากนั้นเลื่อนสวิทชเครื่องไปที่คําวา<br />
AUTO ปลอยใหฝาเครื่องเลื่อนลงจนสุด ปลอยใหตะกราทํางานตามที่ตั้งเวลาเอาไว<br />
5. หลังจากตะกราไดจุมลงในโถพาราฟนโถสุดทายตามเวลาที่ตั้งไวแลวเครื่องจะหยุดทํางาน ใหปรับปุม<br />
สวิทชไปที่ Manual ใหฝาเครื่องยกขึ้นสูงสุดแลวปรับกลับไปที่ Off จากนั้นนําเอาตะกราออก เพื่อนําชิ้น<br />
เนื้อไปทําบล็อกตอไป(Embedding)<br />
6. ปดครอบโถน้ํายาแตละโถดวยแผนฟอลยแลวจึงปรับปุมสวิทชไปที่ Manual ใหฝาเครื่องเลื่อนลงจนสุดสุด<br />
แลวปรับกลับไปที่ Off จากนั้นปดเครื่อง<br />
4. การใชงานเครื่องเตรียมบล็อกเนื้อเยื่ออัตโนมัติ (Leica EG1160X)<br />
1. กดสวิทช ON เพื่อเปดเครื่องกอนลงมือปฏิบัติการอยางนอย 3 ชั่วโมงเพื่อละลายพาราฟนในถังบรรจุ<br />
พาราฟน และเพื่อใหความเย็นแกถาดน้ําแข็งบนเครื่อง<br />
2. กดสวิทชที่เทาเพื่อเติมพาราฟนเหลวลงในแมพิมพ จากนั้นนําชิ้นเนื้อวางลงในแมพิมพ แลววางตลับใสชิ้น<br />
เนื้อไวชั้นบนสุด<br />
3. เติมพาราฟนเหลวลงในตลับชิ้นเนื้อจนเต็ม นําไปวางทิ้งไวบนถาดน้ําแข็งจนพาราฟนแข็งตัว<br />
4. บล็อกพาราฟนที่แข็งตัวมาแกะเพื่อแยกออกจากแมพิมพ ทําการขูดตกแตงพาราฟนสวนเกินบนบล็อก<br />
เนื้อเยื่อออก กอนนําไปแชเย็นเพื่อทําการตัดเซ็คชั่นเนื้อเยื่อตอไป<br />
5. กดสวิทช OFF เพื่อปดเครื่องเมื่อเลิกใชงาน
25<br />
หองปฏิบัติการชันสูตรซากและ<br />
หองปฏิบัติการจุลพยาธิวิทยา<br />
5. การใชงานเครื่องตัดชิ้นเนื้อแบบมือหมุน (Leica RM2125)<br />
1. ประกอบฐานสําหรับวางใบมีดไมโครโตมลงบนตัวเครื่องตัดชิ้นเนื้อโดยปรับใหใบมีดทํามุมประมาณ 5<br />
องศากับบล็อกเนื้อเยื่อ<br />
2. นําบล็อกเนื้อเยื่อบรรจุลงใน Block Holder แลวยึดใหแนน<br />
3. ทําการตัดแตงหนาบล็อกเนื้อเยื่อโดยการหมุน Course feed wheel ตัดเอาพาราฟนสวนเกินและเนื้อเยื่อ<br />
บางสวนออกเพื่อใหสามารถตัดเอาเนื้อเยื่อที่ตองการใชจริงไดเต็มสวน จากนั้นนําไปแชใหเย็นจัด<br />
4. ปรับปุมเลือกความหนาของเนื้อเยื่อใหมีความหนาขนาดประมาณ 3 – 5 ไมโครเมตร จากนั้น นําบล็อก<br />
เนื้อเยื่อบรรจุลงใน Block Holder แลวยึดใหแนน<br />
5. ทําการตัดเซ็คชั่นโดยการหมุน Fine feed wheel เพื่อใหไดเซ็คชั่นของเนื้อเยื่อที่มีความหนาตามตองการ<br />
6. นําปากคีบ คีบเซ็คชั่นดังกลาวไปลอยใน water baht ที่ตั้งอุณหภูมิ 30 -40 องศาเซลเซียส เพื่อใหแผน<br />
เซ็คชั่นนั้นขยายออกใหเต็มที่ จากนั้นใชแผนสไลดแกวชอนแผนเซ็คชั่นนั้นไวบนสไลด<br />
7. นําแผนสไลดที่มีเซ็คชั่นชิ้นเนื้อ ไปตากใหแหงสนิทบน Slide warmer ที่ตั้งอุณหภูมิประมาณ 50 องศา<br />
เซลเซียส ใชเวลาประมาณ 3 – 5 ชั่วโมง หรือนําไปอบที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส เวลา 30 นาทีแลวจึง<br />
นําไปยอมสีตอไป
26<br />
หองปฏิบัติการปรสิตวิทยา<br />
ชื่อหองปฏิบัติการ : หองปฏิบัติการปรสิตวิทยา (E304)<br />
นักวิทยาศาสตรประจําหองปฏิบัติการ : นางสาวดวงหทัย ศรีภักดี<br />
แผนผังหองปฏิบัติการปรสิตวิทยา<br />
ประตู<br />
หอง<br />
น้ํา<br />
E304<br />
E303<br />
E302<br />
E308<br />
E310<br />
E311<br />
E301<br />
E307<br />
E309<br />
E312<br />
E314<br />
E313<br />
E316<br />
E315<br />
Work Instruction<br />
1. การตรวจอุจจาระดวยวิธี Flotation<br />
1.1 ใชอุจจาระขนาดเทาหัวแมมือ หรือประมาณ 1 กรัม ใสลงในถวยพลาสติก แลวเติมน้ําเกลืออิ่มตัว<br />
ประมาณ 10-20 มล.<br />
1.2 ใชที่กดลิ้นคนใหอุจจาระละลายใหมากที่สุดเทาที่ทําได<br />
1.3 กรองสารละลายอุจจาระดวยตะแกรงลวด ใหไหลผานกรวยกรองลงในหลอดทดลอง ขนาด 16x100<br />
mm.จนสารละลายอุจจาระที่ปากหลอดนูนสูงขึ้นจากปากหลอดทดลองเล็กนอย ระวังอยาใหเกิด<br />
ฟองอากาศ<br />
1.4 ปดปากหลอดทดลองดวยแผนแกวปดสไลด ขนาด 22x22 mm แลวตั้งทิ้งไวนาน 15 นาที<br />
1.5 ยกแผนแกวปดสไลดขึ้นจากปากหลอดทดลองโดยยกในแนวตั้งตรง ระวังอยาใหกระทบกับปากหลอด<br />
ทดลอง<br />
1.6 วางแผนแกวปดสไลดบนสไลด แลวนําไปตรวจดูดวยกลองจุลทรรศนกําลังขยาย 10X
27<br />
หองปฏิบัติการปรสิตวิทยา<br />
2. การตรวจอุจจาระดวยวิธี Sedimentation<br />
2.1 ใชอุจจาระขนาดเทาหัวแมมือ หรือประมาณ 1 กรัม ใสลงในถวยพลาสติก แลวเติมน้ําประปา<br />
ประมาณ 250 มล. หยดน้ํายาลางจาน 1 หยด<br />
2.2 ใชที่กดลิ้นคนใหอุจจาระละลายใหมากที่สุดเทาที่ทําได<br />
2.3 กรองสารละลายอุจจาระดวยตะแกรงลวด ใหไหลลงถวยพลาสติกอีกใบหนึ่ง<br />
2.4 ตั้งสวนที่กรองไวนาน 4-5 นาที เพื่อใหไขพยาธิตกตะกอนอยูที่กนแกว<br />
2.5 เทน้ําดานบนทิ้ง แลวเติมน้ําประปาอีกประมาณ 200 มล. ตั้งทิ้งไว 4-5 นาที ทําเชนนี้ 3-4 ครั้ง หรือ จน<br />
น้ําดานบนใส<br />
2.6 เทน้ําสวนใสดานบนทิ้ง จะไดตะกอนที่สะอาด แลวเทผานตะแกรงลวดลงสูจานเพาะเชื้อ<br />
2.7 นําไปตรวจดูดวยกลองจุลทรรศน กําลังขยาย 4X<br />
3. การตรวจอุจจาระดวยวิธี Sedimentation<br />
3.1 การเตรียมน้ํายอยเปปซิน<br />
-นําเปปซินละลายน้ํา แลวเติมโซเดียมคลอไรดและกรดเกลือ<br />
-ปนใหเขากัน และอุนที่อุณหภูมิประมาณ 40 องศาเซลเซียส นาน 30 นาทีกอนใช<br />
3.2 การตรวจหา Sarcocystis<br />
-อุนน้ํายอยเปปซินที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส นาน 30 นาที<br />
-นําเนื้อ 10 กรัม สับใหละเอียด<br />
-นําน้ํายอยปริมาตร 100 มิลลิลิตรที่เตรียมไว ใสในขวดรูปชมพูที่มีจุกปดเรียบรอย แลวใสเนื้อที่<br />
สับไว ยอยนาน 5 นาทีที่ 40 องศาเซลเซียส<br />
-กรองน้ํายอยผานกระชอน เพื่อกรองเอาเศษเนื้อที่ไมยอยออกไป<br />
-นําน้ํายอยไปปนที่ความเร็ว 3000 รอบตอนาที เปนเวลา 5 นาที เทน้ําสวนบนทิ้งแลวนําน้ําที่<br />
กนหลอดไปตรวจดูดวยกลองจุลทรรศน กําลังขยาย 40x จะเห็น Bradyzoite โดยไมตองยอมสี<br />
อาจสงตัวอยางไปทําสไลด<br />
4. การตรวจหา Trichinella<br />
4.1 การเตรียมน้ํายอยเปปซิน<br />
-นําเปปซินละลายน้ํา แลวเติมกรดเกลือ<br />
-ปนใหเขากัน และอุนที่อุณหภูมิประมาณ 40 องศาเซลเซียส นาน 30 นาทีกอนใช<br />
4.2 การตรวจหา Trichinella<br />
-เตรียมน้ํายอยเปปซิน แลวอุนอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส นาน 30 นาที<br />
-นําเนื้อ 10 กรัม สับใหละเอียด<br />
-ผสมเนื้อและน้ํายอยเขาดวยกัน แลวเทใสในกรวยกรองที่ตอสายยางแลวปดดวยคลิปหนีบ<br />
-บมในตูอบอุณหภูมิสูงที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส นาน 18 ชั่วโมง<br />
-เปดคลิปหนีบใหน้ํายอยไหลลงสูจานอาหารเลี้ยงเชื้อ ปริมาตรประมาณ 15 มิลลิลิตร แลว
28<br />
หองปฏิบัติการปรสิตวิทยา<br />
ตรวจสองดูดวยกลองจุลทรรศนแบบสองกราด ดวยหัว 4X<br />
5. การยอมสี diff quick<br />
5.1 ทํา smear ตัวอยางบน Slide และทําใหแหงโดยการผึ่งลม<br />
5.2 จุม Slide ลงใน Fixation Solution 10 วินาที<br />
5.3 จุม Slide ลงใน “Instant” Stain A 10 วินาที<br />
5.4 จุม Slide ลงใน “Instant” Stain B 10 วินาที<br />
5.5 ลาง Slide ดวยน้ํากลั่น แลวทิ้งไวใหแหง<br />
6. การยอมสี Giemsa<br />
6.1 ทํา Smear ตัวอยางบน Slide และทําใหแหงโดยการผึ่งลม<br />
6.2 หยดสีลงบน Slide ใหทวม ทิ้งไว 3 วินาที<br />
6.3 คอยๆ หยด buffer ในปริมาณเดียวกับสี mix เบาๆ ทิ้งไว 5 นาที<br />
6.4 ลาง Slide ดวยน้ํากลั่นแลวทิ้งไวใหแหง<br />
7. การตรวจหาตัวออนระยะที่ 3 ของพยาธิตัวกลมในสัตวเคี้ยวเอื้อง<br />
7.1 นําตัวอยางอุจจาระใสลงใน Petri dish<br />
7.2 ใชที่กดลิ้นบดอุจจาระใหละเอียดบน Petri dish<br />
7.3 พรมน้ําใหชื้นพอประมาณ นําไปเก็บไวที่อุณหภูมิหองประมาณ 7-10 วัน<br />
7.4 ตรวจดูความชื้นทุกวัน ถาอุจจาระคอนขางแหง พรมน้ําใหมีความชื้นพอเหมาะอยูเสมอ<br />
7.5 ตรวจหาตัวออนของพยาธิโดยวิธีของแบรแมน (Baermann’s apparatus) ดังนี้<br />
-ใสน้ําลงในกรวยกรองขนาดใหญที่ปลายกรวยตอสายยางแลวปดดวยคลิปหนีบเพื่อควบคุม<br />
การไหลของน้ํา นํากรวยกรองไปวางบนขาตั้ง<br />
-เอาตะแกรงขนาดพอดีกับกรวยกรองวางใหแตะผิวน้ํา<br />
-นําตัวอยางอุจจาระที่เตรียมไววางลงในตะแกรง<br />
-ตั้งทิ้งไวประมาณ 3 ชม. ถาระดับน้ําลดลงใหเติมถึงระดับเดิมเสมอ<br />
-ปลอยน้ําออกมาจากสวนลางสุดของสายยาง 2-3 มล.<br />
-นําไปตรวจและจําแนกชนิดของตัวออน
29<br />
หองปฏิบัติการปรสิตวิทยา<br />
การใชงานครุภัณฑ<br />
1. กลองจุลทรรศน<br />
1. เสียบปลั๊กไฟฟาใหเรียบรอย<br />
2. วางสไลดที่ตองการตรวจบน stage หมุนหัว Objective lens กําลังขยาย 10 เทา (X10) ใหตรงกับวัตถุที่จะ<br />
ตรวจ เลื่อน stage ขึ้นชาๆ โดยการหมุน coarse adjustment จนมองเห็นวัตถุที่จะตรวจ<br />
3. ปรับ fine adjustment เพื่อใหมองเห็นวัตถุที่จะตรวจชัดเจนขึ้น<br />
4. เปด iris diaphragm ใหกวางที่สุด แลวคอยๆปดเพื่อใหแสงสวางลดลงและเห็นวัตถุชัด จึงเริ่มทําการ<br />
ตรวจและทําอยางนี้ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนหัว objective lens<br />
5. ถาตองการจะตรวจดูดวย objective lens ที่มีกําลังขยายมาก (X40) จะตองดูดวย Objective lens (X10)<br />
กอนเสมอ และเลื่อนจุดที่ตองการขยายใหมาอยูตรงกลาง แลวหมุน Objective lens (X40) มาแทนที่ และ<br />
ปรับภาพใหชัดดวยการปรับ fine adjustment เทานั้น<br />
6. ถาตองการดูดวย Objective lens ที่มีกําลังขยายมากที่สุด (X 100) จะตองดูดวย Objective lens (X10) กอน<br />
แลวหยดน้ํามัน (Oil immersion) ลงไปหนึ่งหยด ตอจากนั้นจึงหมุนหัว Objective lens (X100) ลงมา<br />
แทนที่ และปรับภาพดวยปุม fine adjustment ก็จะเห็นภาพวัตถุที่ตองการตรวจชัดเจน และตองใช<br />
กระดาษเช็ดเลนส เช็ด Oil immersion ออกหลังใชงานเสร็จแลว<br />
2. ตูแชสารเคมี<br />
1. ตูแชนี้ใชไฟ 220 V และไมควรเสียบปลั๊กรวมกับปลั๊กของเครื่องใชไฟฟาอื่นๆ ในเตาเสียบเดียวกัน<br />
2. เขียน ชื่อสารเคมี วันเดือนป ผูเตรียมสารเคมีชนิดนั้นหรือเจาของ ติดไวขางขวดทุกขวด<br />
3. ของที่มีกลิ่นควรคลุมดวยถุงพลาสติกหรือกลองเสียกอนที่จะนําไปแช<br />
4. ไมควรใสของในตูแชมากเกินไป และควรใหมีชองวางเพื่อใหความเย็นกระจายไดทั่วถึง<br />
5. เวลาใสหรือนําของออกจากตูแช ไมควรเปดฝาทิ้งเปนเวลานาน
30<br />
หองปฏิบัติการปรสิตวิทยา<br />
3. การใชงานเครื่อง centrifuge EBA 12<br />
1. เสียบปลั๊ก แลวเปด switch ที่บริเวณฐานของเครื่อง Centrifuge EBA 12<br />
2. รอใหมีสัญญาณเสียงดังเตือน 1 ครั้ง และไฟแสดงสัญลักษณเปดฝาเครื่องติดกอน แลวจึงสามารถเปดฝา<br />
เครื่องได<br />
3. เปดฝาเครื่อง แลวใสหลอดทดลองลงไป โดยดานตรงขามของแตละแขนของเครื่องจะตองมีน้ําหนักเทากัน<br />
(Balance) แลวปดฝาเครื่อง<br />
4. ตั้งเวลาในการปนโดยการกด > < แลวจะมีตัวเลขแสดงเวลา จากนั้นกด<br />
หรือ จนไดเวลาที่ตองการ<br />
5. ตั้งความเร็วในการปนโดยการกด > < แลวจะมีตัวเลขแสดงความเร็ว จากนั้นกด<br />
หรือ จนไดความเร็วที่ตองการ<br />
6. กด STOP เพื่อตั้งโปรแกรมการทํางาน<br />
7. กด START เพื่อเริ่มการทํางานตามโปรแกรมที่ตั้งไว รอจนกวาเครื่องทํางานเสร็จ จะมีเสียงดัง 1 ครั้ง และ<br />
มีไฟที่แสดงสัญลักษณเปดฝาเครื่องติดกอน แลวจึงเปดฝาเครื่องได<br />
8. หากตองการหยุดการทํางานของเครื่องกอนหมดเวลาที่ตั้งโปรแกรมไว ใหกด STOP เครื่องจะหยุดการ<br />
ทํางาน แลวรอใหสัญญาณเสียงดัง 1 ครั้ง และมีไฟที่แสดงสัญลักษณเปดฝาเครื่องติดกอน แลวจึงเปดฝา<br />
เครื่องได<br />
9. เมื่อเลิกใชงาน ใหปด switch ที่บริเวณฐานของเครื่อง และถอดปลั๊กออกทุกครั้งหลังการใชงานเสร็จ<br />
4. เครื่องกวนสารละลายโดยพรอมแผนแมเหล็กใหความรอน (Hot plate stirrer)<br />
1. เสียบปลั๊ก<br />
2. เปด main switch ดานหนาเครื่อง<br />
3. ถาตองการกวนสารใหเปดปุมควมคุมหมวด stirrer ปรับตามความแรงตามที่ตองการ ไฟแสดงการทํางาน<br />
จะติด<br />
4. ถาตองการความรอนใหเปดปุมควมคุมหมวด heater ปรับตามความรอนตามที่ตองการ ไฟแสดงการ<br />
ทํางานจะติด<br />
5. เมื่อใชงานเสร็จใหหมุนปุมควบคุมทั้ง 2 อยางลงมาในตําแหนง off แลวปด main switch<br />
6. ถอดปลั๊ก
31<br />
หองปฏิบัติการปรสิตวิทยา<br />
5. เครื่องชั่ง OHAUS<br />
1. เปดเครื่องทิ้งไว เพื่อปรับการทํางานของเครื่องใหเขากับสภาวะแวดลอม 30 นาที จอแสดง 0.0 g<br />
2. หากจอแสดงคาน้ําหนักใดๆอยูสามารถปรับใหเปน 0.0 g โดยกดปุม TARE<br />
3. วางภาชนะบนจาน จอแสดงน้ําหนักของภาชนะ<br />
4. กดปุม TARE จอที่แสดงน้ําหนักจะเปลี่ยนเปน 0.0 g<br />
5. นําสารหรือวัสดุที่ตองการชั่งใสลงไปในภาชนะ คาที่แสดงบนจอหนาปดจะเปนคาของน้ําหนักสารหรือ<br />
วัสดุนั้นๆ โดยไมรวมน้ําหนักภาชนะ<br />
6. รอจนคาน้ําหนักคงที่ ซึ่งสังเกตไดจากเครื่องหมาย * บนมุมดานซายของจอหนาปด<br />
7. ถาเอาภาชนะออกจากจานตราชั่ง จอแสดงคาของภาชนะที่ติดเครื่องหมายลบใหกดปุม TARE คาน้ําหนัก<br />
ของภาชนะที่ติดเครื่องหมายลบจะเปลี่ยนเปน 0.0 g<br />
8. เมื่อใชงานเสร็จกดปุม OFF ตัวเลขบนจอจะหายไป
32<br />
หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
ชื่อหองปฏิบัติการ : หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
นักวิทยาศาสตรประจําหองปฏิบัติการ : นางสาวธัญญา วรินทรรักษ<br />
แผนผังหองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
ประตู<br />
หอง<br />
น้ํา<br />
E304<br />
E308<br />
E303<br />
E310<br />
E302<br />
E311<br />
E301<br />
E307<br />
E309<br />
E312<br />
E314<br />
E313<br />
E316<br />
E315<br />
Work Instruction<br />
1. การเตรียมสไลดสําหรับยอมสี<br />
อุปกรณและเครื่องมือ<br />
1. ตะเกียงบุนเสน หรือตะเกียงแอลกอฮอล<br />
2. หวงเขี่ยเชื้อ<br />
3. สไลดแกว<br />
อาหารเลี้ยงเชื้อและสารเคมี<br />
1. Distilled water<br />
วิธีการปฏิบัติงาน<br />
1. น้ํากลั่นลงบนสไลดแกวที่สะอาด แลวใชหวงเขี่ยเชื้อที่ฆาเชื้อแลวเขี่ยเชื้อที่ตองการทดสอบมาผสมกับหยด<br />
น้ําบนสไลด<br />
2. ละเลง (smear) เชื้อที่อยูบนสไลดใหกระจายออกเปนบริเวณบางๆ
33<br />
หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
3. ปลอยสไลดทิ้งไวในอากาศใหแหง (air dry)<br />
4. ทําใหแบคทีเรียติดแนนบนสไลดโดยความรอน (heat-fixed) โดยนําสไลดไปผานเปลวไฟออนๆ จาก<br />
ตะเกียงบุนเสนหรือตะเกียงแอลกอฮอล ระวังอยาใหรอนเกินไปเพราะอาจทําใหเซลลไหม<br />
5. ปลอยใหสไลดเย็นลงแลวนําไปยอมสีแบบตางๆ ได<br />
2. การยอมสีแบบแอซิดฟาสต<br />
อุปกรณและเครื่องมือ<br />
1. ขวดใสสารเคมี<br />
2. กลองจุลทรรศน<br />
3. กระดาษเช็ดเลนส<br />
อาหารเลี้ยงเชื้อและสารเคมี<br />
1. Carbol fuchsin<br />
2. Acid alcohol<br />
3. Methylene blue<br />
4. น้ําประปา<br />
วิธีการปฏิบัติงาน<br />
1. เตรียมสไลดสําหรับยอมสีตาม SOP การเตรียมสไลดสําหรับยอมสี<br />
2. นําสไลดมาวางบนที่ยอม หยดสี carbol fuchsin ลงบนสไลดจนทวมบริเวณที่มีแบคทีเรีย<br />
3. ใชเปลวไฟออนๆ จากตะเกียงแอลกอฮอลลนเปนเวลาประมาณ 5 นาที ระวังอยาใหสียอมแหง เติมสียอม<br />
เมื่อจําเปน<br />
4. ทิ้งสไลดจนเย็น ลางดวยน้ํา สลัดน้ําออกจากสไลดจนหมด<br />
5. ลางดวย acid alcohol จนไมมีสีติดออกมากับ acid alcohol ใชเวลาไมเกิน 10 วินาที<br />
6. ลางน้ํา แลวสลัดน้ําออกจากสไลดจนหมด<br />
7. ยอมดวยสียอมควบคู (Counterstain) โดยใชสี methylene blue นาน 1-2 นาที<br />
8. ลางออกดวยน้ํา<br />
9. ปลอยใหสไลดแหงในอากาศ แลวตรวจเชื้อดูดวยหัวน้ํามันของกลองจุลทรรศน
34<br />
หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
3. การยอมสีแบบแกรม<br />
อุปกรณและเครื่องมือ<br />
1. ขวดใสสารเคมี<br />
2. กลองจุลทรรศน<br />
3. กระดาษเช็ดเลนส<br />
อาหารเลี้ยงเชื้อและสารเคมี<br />
1. Crystal violet<br />
2. Lugal’s iodine<br />
3. Decolorizer<br />
4. Safranin<br />
5. น้ําประปา<br />
วิธีการปฏิบัติงาน<br />
1. เตรียมสไลดสําหรับยอมสีตาม SOP การเตรียมสไลดสําหรับยอมสี<br />
2. นําสไลดมาวางบนที่ยอม หยดน้ํายา Crystal violet ปลอยทิ้งไวนาน 1 นาที<br />
3. เทสีออก ลางดวยน้ํากอกที่ไหลออนๆ แลวใสน้ํายา Lugol’s iodine ไวนาน 1 นาที เพื่อชวยใหติดสีดีขึ้น<br />
4. ลางดวยน้ํากอกที่ไหลออนๆ สลัดน้ําออกจากสไลดจนหมด<br />
5. ใชน้ํายาลางสี (Decolorizer) หยดใหไหลผานสไลดจนน้ํายาที่หยดผานไมมีสีติดออก ใชเวลาไมเกิน 10<br />
วินาที<br />
6. ลางน้ําอยางรวดเร็ว แลวสลัดน้ําออกจากสไลดจนหมด<br />
7. ยอมดวยสียอมควบคู (Counterstain) โดยใชสี safranin O นาน 30-60 วินาที<br />
8. ลางออกดวยน้ํา<br />
9. ปลอยใหสไลดแหงในอากาศ แลวตรวจเชื้อดูดวยหัวน้ํามันของกลองจุลทรรศน<br />
4. การยอมสีสปอร<br />
อุปกรณและเครื่องมือ<br />
1. ขวดใสสารเคมี<br />
2. กลองจุลทรรศน<br />
3. กระดาษเช็ดเลนส<br />
อาหารเลี้ยงเชื้อและสารเคมี<br />
1. malacrite green<br />
2. safranin<br />
3. น้ําประปา
35<br />
หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
วิธีการปฏิบัติงาน<br />
1. เตรียมสไลดสําหรับยอมสีตาม SOP การเตรียมสไลดสําหรับยอมสี<br />
2. นําสไลดมาวางบนที่ยอม หยดสี malachite green ลงบนสไลดจนทวมบริเวณที่มีแบคทีเรีย<br />
3. ใชเปลวไฟออนๆ จากตะเกียงแอลกอฮอลลนเปนเวลาประมาณ 5 นาที ระวังอยาใหสียอมแหง เติมสียอม<br />
เมื่อจําเปน<br />
4. ทิ้งสไลดจนเย็น ลางดวยน้ํา แลวซับใหแหง<br />
5. ยอมดวยสียอมควบคู (Counterstain) โดยใชสี Safranin O นาน 30-60 วินาที<br />
6. ลางออกดวยน้ํา<br />
7. ปลอยใหสไลดแหงในอากาศ แลวตรวจเชื้อดูดวยหัวน้ํามันของกลองจุลทรรศน<br />
5. การตรวจเชื้อแบคทีเรียกอโรค<br />
อุปกรณเครื่องมือ<br />
1. ตะเกียงบุนเสน หรือตะเกียงแอลกอฮอล<br />
2. หวงเขี่ยเชื้อ (Standard loop)<br />
3. เข็มเขี่ยเชื้อ<br />
4. กรรไกร<br />
5. Forceps<br />
6. สําลี<br />
7. Sterile petri dish ขนาด 90x100 mm<br />
8. Sterile cotton swab<br />
อาหารเลี้ยงเชื้อและสารเคมี<br />
1. 5% Sheep blood agar (BA)<br />
2. MacConkey Agar (Mc)<br />
3. Brain Heart Infusion Broth (BHI) ปริมาตร 10 มล.<br />
4. สารทดสอบชีวเคมี<br />
5. ชุดสียอม Gram’s stain<br />
6. น้ํายาที่ใชทดสอบชีวเคมีตางๆ<br />
7. 95% Ethanol<br />
วิธีการปฏิบัติงาน<br />
1. นํา BA และ Mc ตากไวในตูบม อุณหภูมิ 37°C อยางนอย 15 นาที หรือจนหนาอาหารเลี้ยงเชื้อไมมีหยดน้ํา<br />
เกาะ<br />
2. ลงตัวอยางโดย
36<br />
หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
ตัวอยางชิ้นเนื้อ<br />
- ชุบกรรไกรและ Forceps ดวย 95% Ethanol แลวเผาไฟ ทิ้งไวใหเย็น<br />
- ใชกรรไกรตัดชิ้นเนื้อใหมีขนาดพอเหมาะ ใช Forceps คีบผานเปลวไฟ เพื่อลดการปนเปอน<br />
- ใชกรรไกรที่ฆาเชื้อแลวทิ้งใหเย็น แลวตัดชิ้นเนื้อใหขาดในครั้งเดียว<br />
- ปายชิ้นเนื้อในบริเวณที่ตัดลงบน BA และ Mc ตามลําดับ<br />
- เก็บตัวอยางชิ้นเนื้อใสถุงพลาสติก เขียนเลข Case No. ติดขางถุง และลงวันที่เก็บ แชในชองแชแข็ง<br />
ตัวอยาง swab<br />
- ปาย swab ลงบน BA และ Mc ตามลําดับ โดยกลิ้ง swab ใหทั่วทั้งหัวสําลี<br />
- เมื่อเก็บ swab ลงใน Transport media ใหหักดาม swab สวนที่ใชมือจับทิ้ง หรือใชไฟลนที่กาน swab<br />
ตรงบริเวณที่ใชมือจับกอนเก็บเขา tube<br />
- เก็บตัวอยาง swab ใสในตูเย็น หรือที่อุณหภูมิ 4-8°C<br />
ตัวอยางของเหลว<br />
- เผาหวงเขี่ยเชื้อใหแดง แลวทิ้งใหเย็น จุมลงในตัวอยางของเหลว แลวปายลงบน BA และ Mc<br />
ตามลําดับ<br />
- ดูดตัวอยางของเหลวปริมาตร 1 มล. ใสลงใน BHI แลวนําบมในตูบมเชื้อที่อุณหภูมิ 37°C แตถาเปน<br />
ตัวอยางน้ํานมสามารถบมเชื้อไดโดยไมตองใช BHI<br />
3. เผาหวงเขี่ยเชื้อใหแดง แลวทิ้งใหเย็น นํามาเขี่ยบน BA และ Mc ที่ลงเชื้อไว โดยเขี่ยใหแยกเปนโคโลนีเดี่ยว<br />
(Streak for isolation)<br />
4. อบเชื้อที่ 37°C นาน 24 ชั่วโมง หรือตามอุณหภูมิหรือสภาวะของเชื้อกอโรคที่สงสัย<br />
5. คัดเลือกเชื้อ โดย<br />
- ดูโคโลนีที่เจริญบนอาหารเลี้ยงเชื้อ จดลักษณะตางๆ คือ สี ขนาดเสนผานศูนยกลางของโคโลนี<br />
รูปแบบและสวนสูงของโคโลนี ลักษณะผิวหนา ขอบโคโลนี การยอยสลายเม็ดเลือดแดง รวมถึง<br />
จํานวนโคโลนีที่เจริญ (โดยประมาณ)<br />
- จดลักษณะตางๆ ลงในบันทึกการวิเคราะหตัวอยาง<br />
6. เพาะเชื้อซ้ําโดยเลือกโคโลนีเดี่ยวๆ ตามขอ 8.5 มาเขี่ยลงบน Blood agar และ MacConkey agar เพื่อเพิ่ม<br />
ปริมาณเชื้อ<br />
7. สําหรับตัวอยางของเหลว หากไมมีการเจริญของเชื้อ ใหลงตัวอยางใหมตามขอ 8.2.3.1 โดยใชตัวอยางตาม<br />
ขอ 8.2.3.2<br />
8. อบเชื้อที่ 37°C นาน 24 ชั่วโมง หรือตามอุณหภูมิหรือสภาวะของเชื้อกอโรคที่สงสัย<br />
9. ดูการเจริญของเชื้อบน Blood agar และ MacConkey agar แลวยอมสี Gram’s strain เพื่อดูลักษณะของเชื้อ<br />
10. ทดสอบทางชีวเคมี ครั้งที่ 1 โดยเลือกทดสอบตามแผนภาพในภาคผนวก<br />
11. อบเชื้อที่ 37°C นาน 24 ชั่วโมง<br />
12. อานผลการทดสอบทางชีวเคมี แลวทดสอบทางชีวเคมี ครั้งที่ 2 ตอ เพื่อแยกชนิดของเชื้อตาม แผนภาพใน<br />
ภาคผนวก<br />
13. อบเชื้อที่ 37°C นาน 24 ชั่วโมง หรือตามอุณหภูมิหรือสภาวะของเชื้อกอโรคที่สงสัย<br />
14. อานผลการทดสอบทางชีวเคมี<br />
15. ทําการทดสอบความไวของเชื้อตอยาตานจุลชีพ ตาม SOP การทดสอบความไวของเชื้อตอยาตานจุลชีพ<br />
ตอไป
37<br />
หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
16. บันทึกผลการวิเคราะหตัวอยาง<br />
Group I. Rapid Colony Development on MacConkey Agar<br />
Table 1 Rapid lactose fermentation (red colonies) : Arizona, Citrobacter, Escherichia, Enterobacter, Klebsiella<br />
Gram stain<br />
Citrate utilization<br />
H 2 S production<br />
Indole production<br />
Motility<br />
Urease production<br />
Lysine decarboxylase production<br />
Arizona * - + - + - +<br />
Citrobacter - + + v + v -<br />
Escherichia - - - + + - v<br />
Enterobacter + - + - - + v v<br />
Klebsiella - + - - - + +<br />
* Very occasionally Arizona ferments lactose<br />
+ Enterobacter never produces both urease and lysine decarboxylase<br />
Table 2 No or delayed lactose fermentation (colorless colonies) ; production of H 2 S : Salmonella, Proteus,<br />
Arizona, Citrobacter<br />
Gram stain<br />
Urease production<br />
Lysine decarboxylase production<br />
Malonate utilization<br />
Agglutination, Salmonella<br />
antiserum<br />
Salmonella - - + - +<br />
Proteus - + - - -<br />
Arizona - - + + - (or w+)<br />
Citrobacter - - (or w+) * - - (or w+) -<br />
*<br />
w+ = weak positive occasionally
38<br />
หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
Table 3 No lactose fermentation (colorless colonies) ; glucose fermentation (yellow butt on TSI : Proteus,<br />
Providence, Salmonella, Escherichia, Klebsiella, Serratia, Shigella, Aeromonas<br />
Gram stain<br />
Urease production<br />
Indole production<br />
Citrate utilization<br />
Voges Proskauer reaction<br />
Motility<br />
Arabinose fermentation<br />
Lysine decarboxylase production<br />
Agglutination Salmonella antiserum<br />
Oxidase production<br />
Proteus - + v v - + - - - -<br />
Providence - - + + - + - - - -<br />
Salmonella - - - + - + + + + -<br />
Escherichia - - + - - + + v - -<br />
Enterobacter - - (or w+) - + + + + v - -<br />
Klebsiella - + - + + - + + - -<br />
Serratia - w+ - + + + - + - -<br />
Shigella - - - - - - v - - -<br />
Aeromonas - - - v v v v v - +<br />
Table 4 Delayed or no lactose fermentation (colorless colonies) ; no glucose fermentation (no change in butt on<br />
TSI agar) : Pseudomonas, Achromobacter, Alcaligenes<br />
Gram stain<br />
Oxidase production<br />
OF glucose reaction<br />
Motility<br />
Nitrate reduction<br />
P. aeruginosa - + O + +<br />
P. pseudomallei - + F + +<br />
Achromobacter - - O - -<br />
Alcaligenes - + - + + (-)<br />
Group II. Slow or Poor Colony Development on MacConkey Agar<br />
Table 5 Rapid lactose fermentation (red colonies) : Pasteurella, Actinobacillus, Vibrio<br />
Gram stain<br />
Urease production<br />
Motillity<br />
P. hemolytica - - -<br />
A. equui - + -<br />
V. metschnikovii - - +
39<br />
หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
Table 6 Delayed or no lactose fermentation (colorless colonies) : glucose fermentation (yellow butt on TSI) :<br />
Actinobacillus, Yersinia, Pasteurella, Vibrio<br />
Gram stain<br />
Oxidase production<br />
A. lignieresi - + + - v<br />
Y. pestis - - - - -<br />
Y. pseudotuberculosis - - + + -<br />
Pasteurella hemolytica * - + - - +<br />
Vibrio comma + - + - + -<br />
* Late lactose fermentation may result in colorless colonies in MacConkey agar<br />
+ Usually requires CO 2 for initial isolation<br />
Urease production<br />
Motility<br />
Hemolysis on blood agar<br />
Table 7 Delayed or no lactose fermentation (colorless colonies) ; no glucose fermentation (no change in TSI agar) :<br />
Bordetella, Mima, Actinobacillus, Vibrio, Brucella, Moraxella, Flavobacterium<br />
Gram stain<br />
Oxidase production<br />
Urease production<br />
Motility<br />
Diplococcoid<br />
morphology<br />
Indole production<br />
Nitrate reduction<br />
Bordetella - + + + - - +<br />
Mima - - * - - + - -<br />
A. mallei - - - - - - +<br />
Rare isolates<br />
Vibrio fetus - + - + - - +<br />
Brucella abortus + Type I - + + - - - +<br />
Moraxella sp. Type II - + + - + - +(-)<br />
Flavobacterium - + - - - + -<br />
* Occasionally positive known as Mima polymorpha var. oxidans<br />
+<br />
Usually require CO2 for initial isolation; Brucella abortus (Type I) is also penicillin resistant
40<br />
หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
Group III. Growth on Blood Agar but no Growth on MacConkey Agar ; Organisms Gram Negative<br />
Table 8 : Glucose fermentaion (yellow butt on TSI) : Pasteurella, Neisseria<br />
Gram stain<br />
Urease production<br />
Indole production<br />
Nitrate reduction<br />
Diplococcoid morphology<br />
Oxidase production<br />
P. multocida * - - + + - +<br />
P. pneumotropica + - + + + - +<br />
P. gallinarum - - - - - +<br />
Neisseria - - - - + +<br />
* Key reaction of Pasteurella multocida are those involving indole and nitrate<br />
+ May need a drop of serum on slant to give positive urease production<br />
Table 9 No glucose fermentation (no change in butt on TSI agar) : Brucella, Moraxella, Mima, Actinobacillus,<br />
Pseudomonas, Neisseria<br />
Gram stain<br />
Morphology<br />
Oxidase production<br />
Urease production<br />
Beta hemolysis<br />
Motility<br />
Brucella - bacillus + + - -<br />
Moraxella - diplococcoid + - + -<br />
Mima - diplococcoid - (rarely +) - (rarely +) - -<br />
A. mallei - bacillus - - - -<br />
P. pseudomallei - bacillus + - +<br />
Neisseria - diplococcoid + - - -<br />
Group IV. Growth on Blood Agar but no Growth on MacConkey Agar ; Organisms Gram Positive<br />
Table 10 Gram positive, catalase-producing cocci : Staphylococcus, Micrococcus<br />
Gram stain<br />
Coagulase<br />
production *<br />
Acid butt on<br />
TSI agar<br />
S. aureus + + +<br />
S. epidermidis + - +<br />
Micrococcus + - -<br />
*<br />
Coagulase reaction should be done using homologous plasma
41<br />
หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
Table 11 Gram-positive cocci; no catalase production : Streptoccus, Enterococcus, Diplococcus<br />
Bacitracin sensitivity<br />
Growth in Streptococcus<br />
faecalis SF broth<br />
Growth in 6.5% NaCl<br />
Optochin sensitivity<br />
Streptococcus * - - - -<br />
S. pyogenes, group A + - - -<br />
“Enterococci,” group D - + + -<br />
Diplococcus - - - +<br />
* All Landfield groups of Streptococcus except A and D<br />
Table 12 Gram-positive cocci ; no catalase production : Streptoccus, Enterococcus, Diplococcus<br />
Landfield group<br />
Hemolysis *<br />
Bacitracin sensitivity<br />
CAMP test<br />
Inulin fermentation<br />
Lactose fermentation<br />
Sorbitol fermentation<br />
Salicin fermentation<br />
Growth in SF broth<br />
Optochin sensitivity<br />
S. pyogenes A beta + - - + - + - -<br />
S. agalactiae B v - + - + - + - -<br />
S. uberis C v - + + + + + - -<br />
S. dysgalactiae C v - - - + v - - -<br />
S. equi C v - - - - - + - -<br />
S. zooepidemicus C beta - - - + + + - -<br />
S. equisimilis C beta - - - v - + - -<br />
S. canis C beta - - - + - + - -<br />
“Enterococci” D v - - - + v + + -<br />
D. pneumoniae alpha - - + + v - +<br />
Group IV. Gram Positive Bacilli<br />
Table 13 Branching organisms : Nocardia, Streptomyces<br />
Branching organisms<br />
“Sulfur granules” in<br />
pathological material<br />
Production of aerial<br />
mycelium and conidia<br />
Casein hydrolysis +<br />
Production of tyrosinase<br />
Nocardia sp. * + - - -<br />
Streptomyces sp. - + + +<br />
*<br />
May be weakly acid-fast.<br />
+<br />
Within three days
42<br />
หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
Table 14 Organisms gram-positive bacilli : Corynebacterium, Bacillus, Listeria, Mycobacterium,<br />
Corynebacterium, Erysipelothrix<br />
Gram positive<br />
bacilli<br />
Beta hemolysis<br />
Acid-fast<br />
H 2 S on TSI agar<br />
Motility<br />
Spore formation<br />
Corynebacterium spp. - (+) - - - -<br />
Bacillus sp. + (-) - - + +<br />
B. anthracis - - - - +<br />
Listeria + - - + + -<br />
Mycobacterium - + - - -<br />
C. pyogenes + - - - -<br />
Erysipelothrix - (+) - + * - -<br />
* May take from three to five days for blackening to become evident<br />
+ Best demonstrated at room temperature<br />
Table 15 : Corynebacterium<br />
Corynebacterium<br />
Hemolysis<br />
Catalase production<br />
Acid on butt in TSI<br />
glucose fermentation<br />
Lactose<br />
fermentation<br />
sucrose fermentation<br />
C. pyogenes + - + + +<br />
C. equi - + - - -<br />
C. renale - (+) + + - -<br />
C. pseudotuberculosis - (+) + + + +<br />
Group V. Organism with Spacial Nutritional Requirment<br />
Table 16<br />
Growth in<br />
thioglycolate broth<br />
Morphology<br />
Nitrate reduction<br />
Mannitol<br />
fermentation<br />
A. bovis Duffuse Branching rare, few<br />
- -<br />
filaments<br />
A. baudeti Granular, clear broth Branching, filamentous + +
43<br />
หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
Table 17<br />
C. movyi<br />
C. perfringens<br />
C. septicum<br />
C. henmolyticum<br />
C. chauvoei<br />
C. tetani<br />
C. botulinum<br />
C. bifermentans<br />
C. tertium<br />
C. sporogenes<br />
C. histolyticum<br />
Motility + - + + + + + + + + +<br />
Glucose fermentation + + + + + - + + + + -<br />
Lactose fermentation - + + - + - - - + - -<br />
Sucrose fermentation - + - - + - - - + - -<br />
Salicin fermentation - - + - - - - + - - -<br />
Indole production - - - + - - - + - - -<br />
Nitrate reduction - + + - + - - - + + -<br />
Sulfide (H 2 S) production - - - - - + + + - + +<br />
Proteolysis - - - - - - + + - + +<br />
Spore morphology *<br />
Table 18<br />
ovoid<br />
E<br />
ovoid<br />
C<br />
ovoid<br />
E<br />
ovoid<br />
ST<br />
ovoid<br />
E<br />
round<br />
T<br />
ovoid<br />
E<br />
ovoid<br />
E<br />
ovoid<br />
T<br />
ovoid<br />
E<br />
ovoid<br />
ST<br />
Morphology<br />
Black colonies<br />
Gas in culture media<br />
Fetid odor<br />
C. contorlum Chains - + -<br />
C. lottii Chains - - -<br />
C. nigrum Chains + - +<br />
E. disciformans Small masses - - -<br />
E. obstii Single rod - + +<br />
6. การถายเชื้อดวยวิธีปราศจากเชื้อปนเปอน<br />
อุปกรณและเครื่องมือ<br />
1. ตะเกียงบุนเสน หรือตะเกียงแอลกอฮอล<br />
2. หวงเขี่ยเชื้อ<br />
3. เชื้อตัวอยางในภาชนะตางๆ เชน หลอดแกว จานอาหารเลี้ยงเชื้อ เปนตน<br />
วิธีการปฏิบัติงาน<br />
1. ถือหวงเขี่ยเชื้อระหวางนิ้วหัวแมมือและนิ้วชี้ของมือขา ถือในลักษณะเหมือนจับปากกา<br />
2. ทําใหหวงเขี่ยเชื้อปราศจากเชื้อโดยนําไปเผาดวยเปลวไฟจากตะเกียงบุนเสนใหรอนแดงประมาณ ¾ ของ<br />
ความยาวลวด แลวทิ้งไวสักครูใหเย็น<br />
3. ถายเชื้อโดย
44<br />
หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
3.1 ถายเชื้อจากหลอดแกว<br />
- ใชมือซายถือหลอดทดลอง แลวใชนิ้วกอยของมือขวาและฝามือขวายึดฝาจุก จากนั้นใชมือซาย<br />
หมุนเอาหลอดแกวออกจากฝาจุกเบาๆ ถาเปนฝาจุกแบบสวมหรือจุกสําลีใหเปดฝาจุกออกโดย<br />
การบิด<br />
- ลนปากหลอดทดลองโดยผานเปลวไฟอยางรวดเร็ว<br />
- สอดหวงเขี่ยเชื้อลงไปในหลอดทดลอง และแตะเชื้อที่ขึ้นอยูเบาๆ<br />
- ดึงหวงเขี่ยเชื้อออกจากหลอดทดลองโดยไมใหสัมผัสกับผิวในหลอดทดลอง<br />
- ลนปากหลอดทดลองผานเปลวไฟอยางรวดเร็ว<br />
- ปดฝาจุกใหแนนโดยหมุนที่หลอดแกว<br />
3.2 ถายเชื้อจากจานอาหารเลี้ยงเชื้อ<br />
- ใชมือซายเปดดานกนของจานอาหารเลี้ยงเชื้อ<br />
- หงายจานอาหารเลี้ยงเชื้อดานกน แลวใชหวงเขี่ยเชื้อแตะเชื้อที่ขึ้นอยูเบาๆ<br />
- วางดานกนของจานอาหารเลี้ยงเชื้อคว่ําลงบนฝาจานอาหารเลี้ยงเชื้อ<br />
4. จะไดเชื้อบริสุทธิ์ในหวงเขี่ยเชื้อเพื่อถายเชื้อสูสิ่งแวดลอมอื่นตอไป<br />
5. เมื่อถายเชื้อเสร็จแลว ตองเผาหวงเขี่ยเชื้อเพื่อทําใหปราศจากเชื้อทุกครั้ง<br />
7. การทดสอบความไวของเชื้อตอยาตานจุลชีพโดยวิธี Dish diffusion test<br />
อุปกรณและเครื่องมือ<br />
1. ตะเกียงบุนเสน หรือตะเกียงแอลกอฮอล<br />
2. ไมพันสําลีที่ผานการฆาเชื้อแลว<br />
3. จานเพาะเชื้อ ขนาดเสนผานศูนยกลาง 100 mm.<br />
4. หลอดทดลอง ขนาด 13 x 100 มิลลิเมตร พรอมฝาปดหลอดทดลอง<br />
5. เวอเนียร คาลิปเปอร<br />
อาหารเลี้ยงเชื้อ<br />
1. Mueller Hinton Agar (MHA)หรือ Sheep Blood Agar หรือ Bovine Blood Agar (BA)<br />
2. Brain heart infusion broth (BHI broth)<br />
3. Standard 0.5 Mc Farland อายุไมเกิน 2 เดือน<br />
4. แผนทดสอบยาตานจุลชีพ<br />
วิธีการปฏิบัติงาน<br />
1. เขี่ยเชื้อแบคทีเรียที่ตองการทดสอบลงใน Blood agar โดยเขี่ยเชื้อแยกใหเปน Single colony<br />
2. อบเชื้อที่ 37°C นาน 24 ชั่วโมง<br />
3. เขี่ยเชื้อที่เจริญเปน Colony เดี่ยวๆ จํานวน 1-2 colony ลงใน BHI broth เขยาใหเชื้อกระจาย<br />
4. เปรียบเทียบความขุนของ BHI broth กับ Standard 0.5 MacFarland ถาใสกวาใหบมเชื้อใน Incubator<br />
อุณหภูมิ 37°C นานประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง ขึ้นอยูกับชนิดของเชื้อ ถาขุนกวาใหเติม BHI broth ลงไปจนมี<br />
ความขุนเทากัน
45<br />
หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
5. ใชไมพันสําลีที่ผานการฆาเชื้อแลวจุมลงใน BHI broth ที่ปรับความขุนแลว จุมใหไมพันสําลีชุม แลวกดหัว<br />
สําลีกับดานขางของหลอดทดลอง<br />
6. นําไมพันสําลีมาปายลงบน Mueller Hinton agar ใหทั่ว plate โดยปาย 3 ทิศทาง ทํามุม 60° (ในกรณีเปน<br />
เชื้อ Streptococcus spp. ใชอาหารเลี้ยงเชื้อเปน Blood Agar)<br />
7. พักใหหนา plate แหง โดยไมควรนานเกิน 10 นาที<br />
8. วางแผนยาตานจุลชีพที่ใชทดสอบลงบน plate โดยใหแผนยาแตละแผนอยูหางกันโดยประมาณ 20<br />
มิลลิเมตร (ไมควรวางแผนยาทดสอบมากเกิน 7 แผน ในจานอาหารเลี้ยงเชื้อเดียวกัน)<br />
9. อบเชื้อที่ 37°C นาน 24 ชั่วโมง<br />
10. วัดขนาดเสนผานศูนยกลางของ clear zone ที่เกิดขึ้นในหนวยมิลลิเมตร ดวยเวอเนียร คาลิปเปอร (ถามี<br />
หลายวงซอนกันใหอานวงดานที่แคบที่สุด)<br />
11. อานผลความไวของเชื้อตอยาตานจุลชีพ โดยอานคาเทียบกับตารางอาน Susceptibility test<br />
การใชงานครุภัณฑ<br />
1. กลองจุลทรรศน<br />
1. เสียบปลั๊กไฟฟาใหเรียบรอย<br />
2. วางสไลดที่ตองการตรวจบน stage หมุนหัว Objective lens กําลังขยาย 10 เทา (X10) ใหตรงกับวัตถุที่จะ<br />
ตรวจ เลื่อน stage ขึ้นชาๆ โดยการหมุน coarse adjustment จนมองเห็นวัตถุที่จะตรวจ<br />
3. ปรับ fine adjustment เพื่อใหมองเห็นวัตถุที่จะตรวจชัดเจนขึ้น<br />
4. เปด iris diaphragm ใหกวางที่สุด แลวคอยๆปดเพื่อใหแสงสวางลดลงและเห็นวัตถุชัด จึงเริ่มทําการตรวจ<br />
และทําอยางนี้ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนหัว objective lens<br />
5. ถาตองการจะตรวจดูดวย objective lens ที่มีกําลังขยายมาก (X 40) จะตองดูดวย Objective lens (X10) กอน<br />
เสมอ และเลื่อนจุดที่ตองการขยายใหมาอยูตรงกลาง แลวหมุน Objective lens (X40) มาแทนที่ และปรับ<br />
ภาพใหชัดดวยการปรับ fine adjustment เทานั้น<br />
6. ถาตองการดูดวย Objective lens ที่มีกําลังขยายมากที่สุด (X 100) จะตองดูดวย Objective lens (X10) กอน<br />
แลวหยดน้ํามัน (Oil immersion) ลงไปหนึ่งหยด ตอจากนั้นจึงหมุนหัว Objective lens (X100) ลงมา<br />
แทนที่ และปรับภาพดวยปุม fine adjustment ก็จะเห็นภาพวัตถุที่ตองการตรวจชัดเจน และตองใช<br />
กระดาษเช็ดเลนส เช็ด Oil immersion ออกหลังใชงานเสร็จแลว<br />
2. ตูแชสารเคมี<br />
1. ตูแชนี้ใชไฟ 220 V และไมควรเสียบปลั๊กรวมกับปลั๊กของเครื่องใชไฟฟาอื่นๆ ในเตาเสียบเดียวกัน<br />
2. เขียน ชื่อสารเคมี วันเดือนป ผูเตรียมสารเคมีชนิดนั้นหรือเจาของ ติดไวขางขวดทุกขวด<br />
3. ของที่มีกลิ่นควรคลุมดวยถุงพลาสติกหรือกลองเสียกอนที่จะนําไปแช<br />
4. ไมควรใสของในตูแชมากเกินไป และควรใหมีชองวางเพื่อใหความเย็นกระจายไดทั่วถึง<br />
5. เวลาใสหรือนําของออกจากตูแช ไมควรเปดฝาทิ้งเปนเวลานาน
46<br />
หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
3. Autopipette<br />
1. กอนใชงานทุกครั้งใหศึกษาการทํางานของ Autopipette ที่เลือกใชงาน เพราะบางชนิดอาจทํางานได 2<br />
จังหวะ ซึ่งกําหนดปริมาตรไว แตบางชนิดมี overshoot หรือจังหวะที่ 3<br />
2. การใช overshoot มีวิธีการใช สองวิธีคือ forward mode และ reverse mode<br />
3. forward mode คือการกดลูกสูบลง(จังหวะที่ 1) แลวปลอยลูกสูบดูดของเหลวขึ้นมา(จังหวะที่ 2) แตตอน<br />
เอาของเหลวออก ตองกดลูกสูบชวง overshoot (จังหวะที่ 3) เพื่อไลของเหลวออกใหหมด<br />
4. reverse mode คือกดลูกสูบชวง overshoot (จังหวะที่ 3)แลวปลอยลูกสูบดูดของเหลวจนสุด เมื่อเอา<br />
ของเหลวออกก็กดลูกสูบลง (จังหวะที่ 1) จะเห็นวาจะมีของเหลวเหลืออยูที่ Tip<br />
5. ตรวจดูความสะอาดของตัว pipette ตลอดจนสวนปลายซึ่งใชสวม Tip อยาใหมีซีรั่ม หรือน้ํายาติดอยู<br />
6. พรอมของ Autopipette ที่จะใชทํางาน คือหลังจากดูดของเหลวเขาไปใน Tip แลว ใหยกขึ้นดูในอากาศ<br />
ประมาณ 1 นาที ถาหากของเหลวนั้นไมหยดออกมาที่ปลาย Tip แสดงวาพรอมที่จะใชงาน<br />
7. การใช Autopipette ในการดูดและปลอยของเหลว<br />
8. ปรับปริมาตร Autopipette ตามตองการ ใส tip ที่ปลาย Autopipette ใหแนบสนิทพอดี ใหสังเกต Tip ดวยวา<br />
สะอาดและไมมีรอยบุเยิน<br />
9. จับ Autopipette ตั้งตรงเวลาดูดของเหลว ดูดของเหลวโดยใหปลาย Tip แตะที่ผิวของของเหลว ไมควรจุม<br />
ลงในของเหลวที่ลึกจนเกินไป เพราะจะทําใหเกิดการติด ที่ภายนอกของตัว Tip และไมควรใชกระดาษซับ<br />
ที่ปลาย Tip ภายหลังดูดของเหลวแลว<br />
10. เมื่อดูดของเหลวเขาไปใน Tip แลว หามวาง Autopipette ในแนวนอน เพราะจะทําใหของเหลวไหลยอน<br />
เขาไปในตัว Autopipette ได<br />
11. การปลอยของเหลว ใหใชปลาย tip แตะขางภาชนะ แลวปลอยของเหลวลงอยางชาๆ<br />
12. เปลี่ยน Tip ใหมทุกครั้ง เมื่อจะทําการดูดของเหลวชนิดอื่น<br />
4. Autoclave<br />
1. เติมน้ําลงในกรวย หมายเลข 15 โดยเปดวาลวหมายเลข 4 และวาลวหมายเลข 1 สังเกตดูระดับน้ําที่เติมได<br />
จากหลอดแกวดูระดับน้ําหมายเลข 17 ใหเติมประมาณ 24 ลิตร ใชน้ํากรองเติม เมื่อเติมไดระดับแลวใหปด<br />
วาลวหมายเลข 1 และ 4<br />
2. ใสของที่ตองการนึ่งเขาในหองนึ่ง แลวปดประตูเครื่องนึ่งใหสนิท โดยผลักคันล็อกหมายเลข 7 ไปทางขวา<br />
มือใหสุด (ซึ่งจะอยูที่ตําแหนง 12 นาฬิกา) แลวหมุนพวงมาลัยล็อกหมายเลข 8 ไปทางขวามือเชนกันให<br />
แนน<br />
3. ตรวจดูวาลวทุกตัวตั้งแตหมายเลข 1 ถึง 6 ใหอยูในตําแหนงปด<br />
4. ปรับอุณหภูมินึ่ง (Sterilizing temperature) ที่เครื่องควบคุมอุณหภูมิหมายเลข 29 (Termostat) ใหอยู<br />
ตําแหนงที่ตองการ ปรับไดตั้งแต 110-130 องศาเซลเซียส<br />
5. ตั้งเวลานึ่ง (Sterilize timer) ที่นาฬิกาตั้งเวลาหมายเลข 28 ใหอยูในตําแหนงที่ตองการ (หามปรับตั้งเวลาใน<br />
ขณะที่เครื่องกําลังทํางานอยู)
47<br />
หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
6. เปดสวิทชไฟ (Main) ใหอยูในตําแหนง ON เครื่องนึ่งจะเริ่มทํางาน สังเกตที่หลอดไฟสีเขียว (Power)<br />
หมายเลข 24 และหลอดไฟสีแดง (Heater) หมายเลข 25<br />
7. พอแรงดันไอน้ําขึ้นถึง 28 ปอนด/ตารางนิ้ว สังเกตที่มาตรวัดแรงดันหมายเลข 9 ซึ่งเปนมาตรวัดแรงดันไอ<br />
น้ําของผนังชั้นนอก จึงคอยเปดวาลวหมายเลข 3 และ 4 เพื่อทําระบบสุญญากาศ โดยสังเกตจากมาตรวัด<br />
แรงดันหมายเลข 10 เข็มชี้จะคอยๆลดต่ําลงมาจนถึงขีด -10 นิ้วปรอท จากนั้นใหปดวาลวหมายเลข 3 และ 4<br />
ตามลําดับ<br />
8. เปดวาลวหมายเลข 2 เพื่อใหไอน้ําในผนังชั้นนอกเขาในหองนึ่ง โดยคอยๆเปด สังเกตที่มาตรวัดความดัน<br />
หมายเลข 10 เข็มที่ชี้จะคอยๆขยับขึ้น แลวกดปุม Drying time เพื่อจับเวลา<br />
9. จากนั้นเครื่องนึ่งจะทํางานเองโดยอัตโนมัติจนถึงเวลาที่ตั้งไว เมื่อทําการนึ่งเสร็จแลวสัญญาณออดก็จะดัง<br />
เตือนและจะหยุดเองโดยอัตโนมัติ<br />
10. คอยๆเปดวาลวหมายเลข 2 และหมายเลข 3 ชาๆ เพื่อปลอยไอน้ําในหองนึ่งทิ้ง จนเข็มของมาตรวัดแรงดัน<br />
หมายเลข 10 ลดลงจนถึง 0<br />
11. การเปดประตูเครื่องนึ่งใหเปดวาลวหมายเลข 6 เพื่อใหอากาศเขาไปแทนที่สุญญากาศภายในหองนึ่ง จึงจะ<br />
เปดประตูเครื่องนึ่งได<br />
5. อางน้ําควบคุมอุณหภูมิ<br />
1. ใหเติมน้ํากรองจนถึงขีดที่กําหนดในอาง<br />
2. เสียบปลั๊ก<br />
3. เปด main switch<br />
4. ตั้งคาอุณหภูมิที่ตองการใช โดยกดปุม set คางไวแลวหมุนปุมปรับอุณหภูมิตามที่ตองการ<br />
5. รอจนคาอุณหภูมิถึงจุดที่กําหนดแลวถึงนําของที่ตองการอุนมาอุนในอางน้ําควบคุมอุณหภูมิ<br />
6. ถาอุณหภูมิไมถึงจุดที่กําหนดและไฟที่ตําแหนง alarm ติดใหกดปุม reset เครื่องใหม (ปุม reset อยูดานหลัง<br />
เครื่อง)<br />
7. เมื่อใชเสร็จใหปดฝาเครื่องและ main switch<br />
6. เครื่องเขยาผสมสารละลาย รุน G-560E<br />
1. วางเครื่องบนพื้นโตะพื้นราบเรียบสม่ําเสมอ เสียบปลั๊ก<br />
2. สําหรับการใชงานที่ตองการใหมีการผสมสารตลอดเวลา ใหปรับสวิทชไปที่ตําแหนง “ON”<br />
3. สําหรับการใชงานที่ตองการใหมีการผสมสารเปนชวงๆ ใหปรับสวิทชไปที่ตําแหนง “ TOUCH ”<br />
4. นําสิ่งที่ตองการเขยาผสมสารวางตรงแทนเขยาที่อยูดานบนเครื่อง<br />
5. ปรับความเร็วของการเขยาตามความตองการโดยใชปุมที่กําหนดความแรงของ Mixer<br />
6. เมื่อใชงานเสร็จใหปรับสวิทชกลับไปที่ตําแหนง “ OFF “<br />
7. ถอดปลั๊ก
48<br />
หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
7. ตูบมเพาะเชื้อ (Incubator)<br />
1. เสียบปลั๊ก<br />
2. เปดเครื่อง โดยหมุนปุม main switch ไปที่ตําแหนง I ไฟสีเขียวที่ตําแหนง Power และไฟสีเหลืองที่<br />
ตําแหนง heat จะติด<br />
3. ปรับอุณหภูมิที่ตองการโดยกดปุม set คางไวแลวหมุนปรับอุณหภูมิโดยใชปุมปรับที่อยูขางปุม set<br />
4. รอใหอุณหภูมิถึงจุดที่กําหนดไวไฟสีเหลืองที่ตําแหนง heat จะดับลง ถึงจะนําของที่จะบมเขาเก็บในตู ปด<br />
ฝาตูใหสนิททั้ง 2 ชั้น<br />
5. เมื่อใชงานเสร็จแลวใหปดเครื่องโดยหมุนปุม main switch ไปที่ตําแหนง O ไฟสีเขียวที่ตําแหนง Power<br />
จะดับลง<br />
8. เครื่องกวนสารละลายโดยพรอมแผนแมเหล็กใหความรอน (Hot plate stirrer)<br />
1. เสียบปลั๊ก<br />
2. เปด main switch ดานหนาเครื่อง<br />
3. ถาตองการกวนสารใหเปดปุมควมคุมหมวด stirrer ปรับตามความแรงตามที่ตองการ ไฟแสดงการทํางาน<br />
จะติด<br />
4. ถาตองการความรอนใหเปดปุมควมคุมหมวด heater ปรับตามความรอนตามที่ตองการ ไฟแสดงการ<br />
ทํางานจะติด<br />
5. เมื่อใชงานเสร็จใหหมุนปุมควบคุมทั้ง 2 อยางลงมาในตําแหนง off แลวปด main switch<br />
6. ถอดปลั๊ก<br />
9. ตูอบฆาเชื้อโดยใชความรอน (Hot air oven)<br />
1. นําของที่ตองการอบเขาวางในตู<br />
2. เปดเครื่อง โดยหมุนปุม main switch ไปที่ตําแหนง ไฟสีเขียวที่ตําแหนง Power และไฟสีเหลืองที่<br />
ตําแหนง heat จะติด<br />
3. หมุนปุมปรับเวลาตั้งเวลาตามที่ตองการจะใช<br />
4. หมุนปุมปรับอุณหภูมิปรับอุณหภูมิที่ตองการจะใช<br />
5. ถาอุณหภูมิถึงจุดที่กําหนดไฟสีเหลืองที่ตําแหนง heat จะดับลง<br />
6. เมื่อใชงานเสร็จแลวใหปดเครื่องโดยหมุนปุม main switch ไปที่ตําแหนง O ไฟสีเขียวที่ตําแหนง Power<br />
จะดับลง
49<br />
หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
10. เครื่องชั่ง OHAUS<br />
1. เปดเครื่องทิ้งไว เพื่อปรับการทํางานของเครื่องใหเขากับสภาวะแวดลอม 30 นาที จอแสดง 0.00 g (หรือ<br />
0.000 g หรือ 0.0 g)<br />
2. หากจอแสดงคาน้ําหนักใดๆอยูสามารถปรับใหเปน 0.00 g (หรือ 0.000 g หรือ 0.0 g) โดยกดปุม TARE<br />
3. วางภาชนะบนจาน จอแสดงน้ําหนักของภาชนะ<br />
4. กดปุม TARE จอที่แสดงน้ําหนักจะเปลี่ยนเปน 0.00 g (หรือ 0.000 g หรือ 0.0 g)<br />
5. นําสารหรือวัสดุที่ตองการชั่งใสลงไปในภาชนะ คาที่แสดงบนจอหนาปดจะเปนคาของน้ําหนักสารหรือ<br />
วัสดุนั้นๆ โดยไมรวมน้ําหนักภาชนะ<br />
6. รอจนคาน้ําหนักคงที่ ซึ่งสังเกตไดจากเครื่องหมาย * บนมุมดานซายของจอหนาปด<br />
7. ถาเอาภาชนะออกจากจานตราชั่ง จอแสดงคาของภาชนะที่ติดเครื่องหมายลบใหกดปุม TARE คาน้ําหนัก<br />
ของภาชนะที่ติดเครื่องหมายลบจะเปลี่ยนเปน 0.00 g (หรือ 0.000 g หรือ 0.0 g)<br />
8. เมื่อใชงานเสร็จกดปุม OFF ตัวเลขบนจอจะหายไป<br />
11. เครื่องนับโคโลนี<br />
การดูโคโลนี<br />
1. วางจาน petri dish ที่จะใชกอนเสียบสายไฟ<br />
2. ปรับระดับความเอียงของเครื่องใหไดตามตองการ<br />
3. เปดไฟโดยกดปุมเปด-ปด<br />
วิธีการนับ ทําได 2 วิธี คือ<br />
1. วิธีการใชปากกา<br />
1. เสียบปากกาเขากับชองสําหรับตอปากกา<br />
2. หากตองการเสียงขณะนับใหเปดปุมเสียง หากไมตองการใหปด<br />
3. หากเสียบปากกาแลวจะไมสามารถนับดวยการกดปุมบนตัวเครื่อง<br />
4. กดปุม reset กอนเริ่มการนับ<br />
5. จิ้มปากกาลงไปบนฝาจานเพื่อนับโคโลนี<br />
2. วิธีการใชปุมบนตัวเครื่อง<br />
1. หากเสียบปากกาอยูใหถอดออก<br />
2. หากตองการเสียงขณะนับใหเปดปุมเสียง หากไมตองการใหปด<br />
3. กดปุม reset กอนเริ่มการนับ<br />
4. กดปุมบนตัวเครื่องเพื่อนับ
50<br />
หองปฏิบัติการจุลชีววิทยา<br />
12. เครื่องปนเหวี่ยง (Centrifuge UNIVERSAL 32R)<br />
1. เสียบปลั๊กแลว เปด Switch ที่บริเวณฐานของเครื่อง<br />
2. รอใหมีสัญญาณเสียงดังเตือน 1 ครั้ง และไฟแสดงสัญลักษณเปดฝาเครื่องติดกอนแลวจึงสามารถเปดฝา<br />
เครื่องได<br />
3. ตรวจดูหัวปนใหเหมาะสมกับลักษณะหลอดที่จะปน ถาไมเหมาะสมใหเปลี่ยนหัวปนและตรวจเช็คความ<br />
เรียบรอย (ในกรณีที่เปลี่ยนหัวปน ใหกด Start แลวรอจนกระทั่งรอบการหมุนถึงที่กําหนด เพื่อใหเครื่อง<br />
ทราบ แลวเครื่องจะแสดงความเร็วสูงสุดในการปนของหัวปนนั้นๆ)<br />
4. รอใหมีสัญญาณเสียงดังเตือน 1 ครั้ง และไฟแสดงสัญลักษณเปดฝาเครื่องติดกอนแลวจึงสามารถเปดฝา<br />
เครื่อง แลวใสหลอดทดลองลงไป โดยดานตรงขามของแตละแขนของเครื่อง จะตองมีน้ําหนักเทากัน<br />
( Balance ) แลวปดฝาเครื่อง<br />
5. ตั้งเวลาในการปน โดยการกด แลวจะมีตัวเลขแสดงเวลา จากนั้นกด หรือ จนได<br />
เวลาที่ตองการ<br />
6. ตั้งความเร็วในการปน โดยการกด แลวจะมีตัวเลขแสดงความเร็ว จากนั้นกด หรือ<br />
จนไดความเร็วที่ตองการ<br />
7. ตั้งอัตราเรงในการปน โดยการกด แลวจะมีตัวเลขแสดงอัตราเรง จากนั้นกด หรือ จน<br />
ไดอัตราเรงที่ตองการ<br />
8. ตั้งอุณหภูมิในการปน โดยการกด แลวจะมีตัวเลขแสดงอุณหภูมิ จากนั้นกด หรือ จน<br />
ไดอุณหภูมิที่ตองการ<br />
9. กด START เพื่อตั้งโปรแกรมการทํางาน<br />
10. กด START เพื่อเริ่มการทํางานของโปรแกรมตามที่ตั้งไว เมื่อครบเวลาตามที่โปรแกรมกําหนด เครื่องจะ<br />
หยุดการทํางานเองโดยอัตโนมัติแลวรอใหสัญญาณเสียงดังเตือน 1 ครั้งและมีไฟแสดงสัญลักษณเปดฝา<br />
เครื่องติดกอนแลวจึงสามารถเปดฝาเครื่องได<br />
11. หากตองการหยุดการทํางานของเครื่องกอนหมดเวลาที่ตั้งโปรแกรมไว ใหกด STOP เครื่องจะหยุดการ<br />
ทํางานแลวรอใหสัญญาณเสียงดังเตือน 1 ครั้งและมีไฟที่แสดงสัญลักษณเปดฝาเครื่องติดกอนแลวจึง<br />
สามารถเปดฝาเครื่องได<br />
12. เมื่อเลิกใชงานให ปด Switch ที่บริเวณฐานของเครื่อง และถอดปลั๊กทุกครั้งหลังการใชงานเสร็จแลว<br />
13. หากมีของเหลวกระเด็นออกมาใหเช็ดทําความสะอาดเครื่อง หลังการใชงานทันที<br />
13. เครื่อง SpectrophotometerSpectronic® 20 Genesys TM<br />
1. เปดเครื่องทิ้งไว 15-20 นาที<br />
2. กดปุม A/T/C เพื่อเลือก mode Absorbance หรือ Transmittance<br />
3. ตั้งคาความยาวคลื่นโดยใชปุม nm หรือ nm<br />
4. วาง blank ในชองใสตัวอยาง/ปดฝา<br />
5. กดปุม 0 ABS/100%T เพื่อ set blank ใหเปน 0 absorbance หรือ 100%T<br />
6. วาง cuvette ที่บรรจุสารละลายตัวอยางในชองใสตัวอยาง/ปดฝา แลวอานผลจากจอ LCD<br />
7. ปดสวิทซ/ถอดปลั๊ก
51<br />
หองปฏิบัติการตรวจน้ํานม<br />
ชื่อหองปฏิบัติการ : หองปฏิบัติการตรวจน้ํานม (E310)<br />
นักวิทยาศาสตรประจําหองปฏิบัติการ : นางสาวเสาวรัชรี รินอุตย<br />
แผนผังหองปฏิบัติการตรวจน้ํานม<br />
หอง<br />
น้ํา<br />
E304<br />
E303<br />
E302<br />
E308<br />
E310<br />
E311<br />
E301<br />
E307<br />
E309<br />
E312<br />
E314<br />
E313<br />
E316<br />
E315<br />
Work Instruction<br />
1. วิธีการตรวจเชื้อแบคทีเรียกอโรคในน้ํานม<br />
1.อุปกรณละเครื่องมือ<br />
1.1ตะเกียงบุนเสน<br />
1.2หวงเขี่ยเชื้อ<br />
2.อาหารเลี้ยงเชื้อและสารเคมี<br />
2.1 5% sheep Blood agar<br />
2.2 สารทดสอบชีวเคมี<br />
- Esculin - Hippurate<br />
- Inulin - Mannitol<br />
- Raffinose - Salicin<br />
2.3 ชุดสียอม Gram’s stain<br />
2.4 น้ํายาที่ใชทดสอบชีวเคมีตางๆ<br />
2.5 70% Ethanal
52<br />
หองปฏิบัติการตรวจน้ํานม<br />
3.วิธีการปฏิบัติงาน<br />
3.1 เผาหวงเขี่ยเชื้อใหรอนแดงแลวทิ้งใหเย็นจุมในตัวอยางนมใหเต็มหวงแลวขีดเชื้อลงบน 5% Blood agar<br />
3.2 บมเชื้อที่อุณหภูมิ 37 ۫C นาน 24 ชั่วโมง<br />
3.3 คัดเลือกเชื้อโดย<br />
- ดูโคโลนีที่เจริญบนอาหารเลี้ยงเชื้อ จดลักษณะตางๆ คือ สี ขนาดเสนผานศูนยกลางของโคโลนี รูปแบบและ<br />
สวนสูงของโคโลนี ลักษณะผิวหนา ขอบโคโลนี การยอยสลายเม็ดเลือดแดง รวมถึงจํานวนโคโลนีที่เจริญ<br />
(โดยประมาณ)<br />
- จดลักษณะตางๆลงในบันทึกวิเคราะหตัวอยาง<br />
3.4 เพาะเชื้อซ้ําโดยเลือกโคโลนีเดี่ยวๆตามขอ 3.3 มาเขี่ยลงบน 5% Blood agar เพื่อเพิ่มปริมาณเชื้อ<br />
3.5 นําเชื้อที่ไดมาทําการยอมสี Gram’s stain เพื่อทําการแยกชนิดของเชื้อเพื่อที่จะนําเชื้อไปทดสอบทางชีวเคมี<br />
3.6 การทดสอบทางชีวเคมี<br />
- CAMP Test - Esculin<br />
- Inulin - Hippurate<br />
- Raffinose - Mannitol<br />
- Salicin<br />
3.7 ทําการทดสอบยาปฏิชีวนะ<br />
Catalase test<br />
วิธีทํา : ใช sterile loop เขี่ยเชื้อบนอาหารเลี้ยงเชื้อ ปายลงบนสไลด หยด 3%ไฮโดรเจน<br />
เปอรออกไซด บนเชื้อ สังเกตการณเกิดฟอง<br />
ผลบวก : มีฟองอากาศเกิดขึ้น<br />
2. การวินิจฉัยเชื้อ Staphylococcus aureus<br />
2.1 การยอมสีแกรมและสองดูดวยกลองจุลทรรศน<br />
ทําการยอมสีแกรมและการแปลผลเชนเดียวกับขอ 1.1 โดยเชื้อ S. aureus จะใหผลดังนี้<br />
ผลบวก : เชื้อแกรมบวก ติดสีน้ําเงิน-มวงของคริสตัลไวโอเลต รูปรางกลม เรียงตัวเปน<br />
กลุมคลายพวงองุน<br />
2.2 Coagulase test<br />
เชื้อใน Genus Staphylococcus ที่พบบอยมี 2 species คือ S. aureus และ S. epidermidis<br />
ดังนั้นการวินิจฉัยแยกเชื้อ 2 ชนิดนี้ จะอาศัยคุณสมบัติการสรางเอนไซม coagulase ของ S. aureus<br />
ในขณะที่ S. epidermidis จะไมมีคุณสมบัติดังกลาว<br />
วิธีทํา : ใช sterile loop เขี่ยเชื้อจํานวน 2-3 โคโลนี มากระจายในพลาสมา จํานวน 0.5 มล.<br />
ในหลอดทดลอง จากนั้นนําไปบมที่อุณหภูมิ 35°ซ สังเกตการจับกันเปนกอนของพลาสมาทุกครึ่ง<br />
ชั่วโมง ภายในเวลา 4-24 ชั่วโมง<br />
ผลบวก : เชื้อที่มีการสรางเอนไซม coagulase จะพบวาพลาสมาจับกันเปนกอน<br />
2.3 การใชน้ําตาลแมนนิทอล (mannitol fermentation)<br />
เชื้อ S. aureus จะสามารถใชน้ําตาลแมนนิทอล ซึ่งตางจากเชื้อ S. epidermidis จะไมมี<br />
คุณสมบัตินี้
53<br />
หองปฏิบัติการตรวจน้ํานม<br />
วิธีทํา : ใช sterile needle แตะเชื้อมา steak บนสวน slant ของ mannitol agar slant จากนั้น<br />
stab ลงอาหารจนถึงกนหลอด นําไปบมที่อุณหภูมิ 35°ซ ขามคืน อานผลการสรางกรด<br />
ผลบวก : ถาเชื้อใชน้ําตาลจะเกิดกรดซึ่งสามารถเปลี่ยนสีของ indicator phenol red จากสี<br />
สมเปนสีเหลืองทั้งหลอด<br />
2.4 การใชน้ําตาลกลูโคส (glucose fermentation)<br />
เชื้อ S. aureus จะสามารถใชน้ําตาลกลูโคสได ซึ่งตางจากเชื้อ S. epidermidis จะไมมี<br />
คุณสมบัตินี้<br />
วิธีทํา : ใช sterile needle แตะเชื้อมา steak บนสวน slant ของ glucose agar slant จากนั้น<br />
stab ลงอาหารจนเกือบถึงกนหลอด บมที่อุณหภูมิ 35°ซ ขามคืน อานผลการสรางกรด<br />
ผลบวก : ถาเชื้อใชน้ําตาลจะเกิดกรดซึ่งสามารถเปลี่ยนสีของ indicator phenol red จากสี<br />
แดงเปนสีเหลือง<br />
2.5 การสลายเม็ดเลือดแดงบน blood agar (hemolysis)<br />
เชื้อแบคทีเรียแตละชนิดโดยเฉพาะ Gram-positive cocci จะใหโคโลนีและการสลายเม็ด<br />
เลือดแดง (α, β หรือ γ -hemolysis) บน blood agar plate ได<br />
วิธีทํา : ใช sterile loop เขี่ยเชื้อมา steak บน blood agar plate เพื่อใหไดโคโลนีเดี่ยวๆ บม<br />
ที่อุณหภูมิ 35-37°ซ เปนเวลา 18-24 ชั่วโมง สังเกตลักษณะโคโลนีที่ได และการสลายเม็ดเลือดแดง<br />
ผลบวก : เชื้อ S. aureus จะมีโคโลนีขนาดเล็ก นูน ขุน สีครีม สามารถสลายเม็ดเลือดแดง<br />
โดยสังเกตเห็น clear zone รอบๆ โคโลนี (β-hemolysis)<br />
3. วิธีการตรวจ Somatic cell ในน้ํานม<br />
1. ทําการอุนน้ํานมในอางน้ําควบคุมอุณหภูมิที่ 40 o C<br />
2. นําสาย waste ใสลงในถัง waste กอนเปดเครื่อง<br />
3. เปดเครื่อง Somacount 150 และเครื่องพิมพ<br />
4. เมื่อหนาจอ Main menu ปรากฏ ready<br />
5. เช็คดูวา Carrier pump ทํางาน<br />
6. ทิ้งไว 30 นาทีเพื่อใหเครื่อง Stable เพื่อ warm laser และ heating coil<br />
7. เมื่อครบ 30 นาทีเลือก Run Instrument กด Enter<br />
8. Pretesing with water<br />
- จุม pipette ลงใน distil water 100 ml.<br />
- กด F2 สังเกตหนาจอ count = 0<br />
- กด F2 เพื่อ Stop (ทํา 3 รอบ) แลวกดF5 เพื่อเปลี่ยนลําดับที่ตรวจ<br />
9. นํานมมาใสในรางตรวจแลวจุม pipette ลงในนมขวดแรก<br />
10. กด F2 เพื่อทําการตรวจ<br />
11. เมื่อตรวจเสร็จกด F2 เพื่อหยุด<br />
12. ทําการ Cleaning<br />
- จุม pipette ลงใน 2% RBC 35 Solution (Carrier fluid) ประมาณ 500 ml.
54<br />
หองปฏิบัติการตรวจน้ํานม<br />
- กด Space bar เพื่อหยุด<br />
13. ทําการ Rinsing<br />
- เปลี่ยน 2% RBC 35 Solution เปน distilled water 500 ml.<br />
- กด F8 เมื่อน้ําใกลหมดกด F8 เพื่อหยุด<br />
14. Parking the Pumps โดยกด F7<br />
15. Turning off<br />
- กด Esc to main menu<br />
- ปดเครื่อง<br />
- ปด printer<br />
- เก็บ pipette และ เก็บสาย waste<br />
- ปดฝาถัง waste<br />
**ไมควรเติม Carrier fluid ขณะที่เครื่องกําลังทํางานเพราะอาจเกิด air bubbles**<br />
วิธีการเตรียมสารสําหรับเครื่อง Somacount 150<br />
วิธีการเตรียม Dry/Buffer solution 1 ลิตร (สําหรับ 300 ตัวอยาง)<br />
1. Buffer concentrate 100 ml.<br />
2. Dye concentrate 10 ml.<br />
3. deionized water 900 ml.<br />
**ใชภายใน 7 วัน**<br />
วิธีการเตรียม Carrier fluid (2%) (สําหรับ 150 ตัวอยาง)<br />
- RBC 35 Detergent concentrate 20 ml. เติมน้ําจนครบ 1 ลิตร<br />
**ใชภายใน 7 วัน**
55<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
ชื่อหองปฏิบัติการ : หองปฏิบัติการแบคทีเรีย (E315) และ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา (E316)<br />
นักวิทยาศาสตรประจําหองปฏิบัติการ : นางสาวนิตยา ชะนะญาติ<br />
แผนผังหองปฏิบัติการแบคทีเรียและหองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
หอง<br />
น้ํา<br />
E304<br />
E308<br />
E303<br />
E310<br />
E302<br />
E311<br />
E301<br />
E307<br />
E309<br />
E314<br />
E316<br />
E312<br />
E313<br />
E315<br />
E301 หองจุลทรรศนเปยก 2<br />
E307 หองนึ่งฆาเชื้อ<br />
E308 หองเตรียมอาหารเลี้ยงเชื้อ<br />
E309, E311 หองเก็บเครื่องแกว<br />
E312 หองลางเครื่องแกว<br />
E313 หองเก็บอุปกรณและหองพักนักวิทยาศาสตร<br />
E315, E316 หองปฏิบัติการแบคทีเรีย
56<br />
ระเบียบการใชหองปฏิบัติการ<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
1. จํากัดการเขาออกขณะมีการทํางาน<br />
2. ลางมือทุกครั้ง หลัง สัมผัสสิ่งที่มีเชื้อ, ถอดถุงมือ และกอนออกจากหอง<br />
3. หามกิน, ดื่ม, สูบบุหรี่, แตงหนา, ถอด / ใสคอนแทคเลนส และเก็บอาหารในบริเวณหอง (ใหเก็บ<br />
อาหารไวในหองพักเทานั้น)<br />
4. สวมเสื้อกาวนทุกครั้ง ขณะปฏิบัติงาน สวมถุงมือหากมีแผล ( สงซักที่ชั้น 3 ทุกสัปดาห, หามใสเสื้อ<br />
กาวนนอกหองปฏิบัติการ)<br />
5. ทิ้งของมีคมในภาชนะที่จัดไวใหเทานั้น<br />
6. ลดการแพรกระจายของสิ่งติดเชื้อทางอากาศ หรือการกระเด็น ขณะปฏิบัติงาน<br />
7. เช็ดพื้นผิวที่ทํางานดวยน้ํายาฆาเชื้อทันที หลังสิ่งติดเชื้อหกและหลังปฏิบัติงานทุกครั้ง<br />
8. ทิ้งวัสดุติดเชื้อในภาชนะที่เตรียมไว เพื่อนึ่งฆาเชื้อกอนจะลางตอไป<br />
9. หามเคลื่อนยาย ครุภัณฑและวัสดุอุปกรณในหองปฏิบัติการ<br />
Work Instruction<br />
1. วิธีเตรียม 70 % Ethanol จาก 95% Ethanol<br />
การคํานวณหาปริมาตร 95 % Ethanol ที่ตองใชเตรียม เตรียมไดจากสูตร<br />
C1V1 = C2V2<br />
C1 = ความเขมขนของสารตั้งตน<br />
V1 = ปริมาตรสารตั้งตน<br />
C2 = ความเขมขนของสารที่ตองการเตรียม<br />
V2 = ปริมาตรสารที่ตองการเตรียม<br />
ตัวอยาง<br />
1. ตองการเตรียม 70% Ethanol ปริมาตร 1 ลิตร<br />
2. แทนคาสารที่ตองการเตรียมในสูตรเคมีขางตน<br />
95(V1) = 70 (1000)<br />
V1 = 70000 / 95<br />
V1 = 736.84<br />
ดังนั้นตองใช 95% Ethanol ปริมาตร 736.84 ml เติมน้ําใหครบ 1,000 ml
2. วิธีเตรียม normal saline solution<br />
57<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
1. ชั่ง NaCl 8.5 g<br />
2. ละลายใหหมดในน้ํา 1 ลิตร<br />
3. นําไปฆาเชื้อโดยการ Autoclave ที่ 121 o C เปนเวลา 15 นาที<br />
3. วิธีเตรียม Phosphate Buffered Saline (PBS), pH 7.4<br />
1. ชั่ง NaCl 7.650 g<br />
2. ชั่ง Na 2 HPO 4 , anhydrous 0.724 g<br />
3. ชั่ง KH 2 PO 4 0.210 g<br />
4. ละลายสารประกอบทั้งหมดในน้ํา 1 ลิตร ปรับ pH ใหได 7.4 โดยใช NaOH ความเขมขน 1 N<br />
5. นําไปฆาเชื้อโดยการ Autoclave ที่ 121 o C เปนเวลา 15 นาที<br />
4. วิธีเตรียมน้ําเกลือเขมขน<br />
1. ใชเกลือปนที่มีขายตามรานคาทั่วไป<br />
2. ตมโดยใชน้ําเปลาธรรมดาจนกระทั่งเกลือไมละลาย ทิ้งใหตกตะกอน<br />
3. เทน้ําเกลือสวนใสเก็บใสถังเก็บ<br />
4. เกลือที่เหลือสามารถเติมน้ําลงไปแลวตมไดอีก<br />
*** เกลือ 1 กิโลกรัม สามารถตมไดน้ําเกลือเขมขนประมาณ 1.5 ลิตร<br />
5. วิธีกําจัดขยะ<br />
1. ขยะติดเชื้อ<br />
1.1 แยกทิ้งในถุงพลาสติก ปดปากถุงใหมิดชิด<br />
1.2 ทําการนึ่งฆาเชื้อโดยการนึ่งฆาเชื้อ ที่ 121 o C เปนเวลา 15 นาที<br />
1.3 เก็บใสถุงขยะสีดําอีกชั้น รอทิ้งเหมือนขยะทั่วไป<br />
ของมีคมแยกใสขวดพลาสติก ฝากไปทําลายที่คณะแพทยศาสตร<br />
2. ขยะทั่วไป<br />
2.1 ทิ้งในถุงขยะสีดํา ในถังขยะที่มีฝาปด<br />
2.2 ปดปากถุงใหมิดชิดกอนทิ้งทั้งถุง<br />
2.3 เก็บรวบรวมทิ้งทุกวัน รอรถเก็บขยะมาเก็บ<br />
2.4 เศษแกว<br />
2.4.1 ทิ้งในกลองที่มีถุงขยะสีเขียวที่จัดไวให<br />
2.4.2 รอจนเต็มแลวปดปากถุงใหมิดชิดกอนทิ้ง<br />
2.4.3 เก็บไวในโรงเก็บขยะสําหรับเศษแกวเพื่อรอรถมาเก็บ
6. วิธีฆาเชื้อโดยการรมควันดวยฟอรมาลีน<br />
58<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
1. คํานวณสารเคมีที่ใชโดย พื้นที่ 100 ตารางฟุตจะใชสารเคมีดังนี้<br />
ก. Potassium permanganate (KMnO 4 ) 17.5 g<br />
ข. 37% Formaline 35 ml<br />
2. ผสมสารทั้ง 2 ชนิดเขาดวยกันในภาชนะที่ทนการกัดกรอนไดแลวปดหองไวประมาณ 2 วัน<br />
• ขณะทําการผสมสารเพื่อทําความสะอาดหองโดยใชวิธีฆาเชื้อโดยการรมควันดวยฟอรมาลีน<br />
ควรใสหนากากกันสารเคมีและถุงมือทุกครั้ง<br />
• เมื่อทําความสะอาดหองโดยใชวิธีฆาเชื้อโดยการรมควันดวยฟอรมาลีน ควรติดปายแสดงถึง<br />
วัน เวลา ที่ทําการฆาเชื้อใหชัดเจน<br />
7. วิธีการยอมสี Giemsa<br />
Reagent ประกอบดวย<br />
1. Wright Giemsa ความเขมขน 30%<br />
2. Phosphate Buffer pH 7.0-7.2<br />
วิธีการปฏิบัติงาน<br />
1. ทํา smear ตัวอยางบน slide โดยใช capillary ที่มีเลือดแตะลงบนแผน slide และใชขอบของแผน slide<br />
อีกแผนแตะหยดเลือดใหเอียงทํามุมประมาณ 30-45 o ถอยกระจกที่ใชไถมาดานหลังเล็กนอย เพื่อให<br />
เลือดกระจายไปตามขอบของกระจกที่ใชไถ แลวไถกระจกมาดานหนาประมาณ 2 ใน 3 สวนของ<br />
slide เมื่อไถเสร็จก็นําแผน slide ไปผึ่งลมใหแหง<br />
2. fixed slide ดวย absolute methyl alcohol 15-30 วินาที แลวทิ้งไวใหแหง<br />
3. หยดสี Giemsa ที่มีความเขมขน 30% ลงบน slide ใหทวม ทิ้งไว 30 นาที<br />
4. คอยๆหยด Phosphate buffer ในปริมาณเดียวกับสี mix เบาๆ ทิ้งไว 5 นาที<br />
5. ลาง slide ดวย Phosphate buffer จนสีหมดแลวทิ้งไวใหแหง
8. วิธียอมสี Diff Quick<br />
59<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
Reagent ประกอบดวย<br />
1. Fixative solution<br />
2. “ Instant “ Stain A<br />
3. “ Instant “ Stain B<br />
วิธีการปฏิบัติงาน<br />
1. ทํา smear ตัวอยางบน slide โดยใช capillary ที่มีเลือดแตะลงบนแผน slide และใชขอบของแผน slideอีก<br />
แผนแตะหยดเลือดใหเอียงทํามุมประมาณ 30-45 o ถอยกระจกที่ใชไถมาดานหลังเล็กนอย เพื่อใหเลือด<br />
กระจายไปตามขอบของกระจกที่ใชไถ แลวไถกระจกมาดานหนาประมาณ 2 ใน 3 สวนของ slide เมื่อ<br />
ไถเสร็จก็นําแผน slide ไปผึ่งลมใหแหง<br />
2. fixed slide ดวย absolute methyl alcohol 15-30 วินาที แลวทิ้งไวใหแหง<br />
3. จุม slide ลงใน “ Instant “ Stain A 10 วินาที<br />
4. แตะปลาย slide ลงบนกระดาษกรองเพื่อดูดซับน้ําสีที่มากเกิน<br />
5. ลาง slide ดวยน้ํากลั่น<br />
6. จุม slide ลงใน “ Instant “ Stain B 10 วินาที<br />
7. แตะปลาย slide ลงบนกระดาษกรองเพื่อดูดซับน้ําสีที่มากเกิน<br />
8. ลาง slide ดวยน้ํากลั่น แลวทิ้งไวใหแหง<br />
9. วิธีการยอมสี Gram<br />
Reagent ประกอบดวย<br />
crystal violet, iodine, decolourizer, safranin<br />
วิธีการปฏิบัติงาน<br />
1. Fix slide โดยการผานเปลวไฟหรือ Fixโดยการใชเมทานอล<br />
2. หยดสี crystal violet ลงบน slide จนทวม ทิ้งไว 10-30 วินาที<br />
3. ลาง slide ดวยน้ําเปลา สลัดน้ําที่เกาะติด slide ออก<br />
4. หยด iodine ลงบน slide จนทวม ทิ้งไว 20-60 วินาที (ใชเวลาเปน 2 เทาของเวลาที่ยอมดวย crystal<br />
violet)<br />
5. ลาง slide ดวยน้ําเปลา สลัดน้ําที่เกาะติด slide ออก<br />
6. หยด decolorizer ลงบน slide ประมาณ 10 วินาที ลางดวยน้ําเปลาเบาๆ ทําซ้ําจนกระทั่งไมมีสีของ<br />
crystal violet หลุดออกมาอีกแลวสลัดน้ําที่เกาะติด slide ออก<br />
7. หยดสี safranin ลงบน slide จนทวม ทิ้งไว 30 วินาที<br />
8. ลาง slide ดวยน้ําเปลา สลัดน้ําที่เกาะติด slide ออก ทิ้งใหแผน slide แหง<br />
9. นําแผนslide ไปตรวจดูดวยกลองจุลทรรศน กําลังขยาย 1000 เทา
60<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
การอานผล<br />
เชื้อที่ติดสีมวงจัดอยูในกลุม Gram positive bacteria<br />
เชื้อที่ติดสีแดงจัดอยูในกลุม Gram negative bacteria<br />
วิธีการลางอุปกรณเครื่องแกว<br />
1. อุปกรณเครื่องแกวที่สัมผัสเชื้อโรค<br />
ก. แยกในถุงพลาสติก ปดปากถุงใหมิดชิด<br />
ข. ทําการนึ่งฆาเชื้อโดย Autoclave ที่ 121 o C เปนเวลา 15 นาที<br />
ค. แยกเศษขยะเก็บใสถุงขยะพลาสติก ปดปากถุงใหมิดชิด ใสในถุงขยะสีดําอีกชั้น รอทิ้งเหมือน<br />
ขยะทั่วไป<br />
ง. แยกอุปกรณเครื่องแกว แชในน้ํายาฆาเชื้อ Hyter ที่เจือจาง 10 เทา<br />
จ. ลางอุปกรณเครื่องแกวดวยน้ํายาลางเครื่องแกว<br />
ฉ. ลางซ้ําดวยน้ําสะอาดอีก 2 ครั้ง<br />
ช. ลางครั้งสุดทายดวยน้ํากลั่น<br />
ซ. นําเครื่องแกวไปตากผึ่งใหแหงสนิท<br />
2. อุปกรณเครื่องแกวทั่วไป<br />
ก. ลางอุปกรณเครื่องแกวดวยน้ํายาลางเครื่องแกว<br />
ข. ลางซ้ําดวยน้ําเปลาอีก 2 ครั้ง<br />
ค. ลางครั้งสุดทายดวยน้ํากลั่น<br />
ง. นําเครื่องแกวไปตากผึ่งใหแหงสนิท<br />
10. วิธีการนับจํานวนโคโลนี (Colony count technique)<br />
เครื่องมือ<br />
- อางควบคุมอุณหภูมิ (Water bath) ตั้งอุณหภูมิไวที่ 45±2<br />
- หมอนึ่งความดัน (Autoclave) ตั้งอุณหภูมิไวที่ 121 o C เวลา 15 นาที<br />
- ตูบมเพาะ (Incubator) ตั้งอุณหภูมิไวที่ 37 o C<br />
- เครื่องชั่งดิจิตัล ทศนิยม 2 ตําแหนง<br />
- เครื่องตีตัวอยาง (Stomacher)<br />
- เครื่องเขยา (Vortex mixer)<br />
อุปกรณ<br />
- หลอดทดลองขนาด 16 mm x 150 mm และฝาปดหลอดทดลอง ที่ผานการฆาเชื้อแลว<br />
- ขวดเก็บอาหารเลี้ยงเชื้อ หรือสารละลายขนาด 250 ml มีฝาปดแบบเกลียว ที่ฆาเชื้อแลว<br />
- ปเปตแกวขนาด 1 และ10 ml ที่ผานการฆาเชื้อแลว<br />
- ลูกยางสําหรับดูดสาร<br />
- ถุงใสตัวอยางและอาหารเลี้ยงเชื้อ ขนาด 12 นิ้ว x 24 นิ้ว<br />
- ถุงใสตัวอยาง (Stomacher bag) ขนาด 5 นิ้ว x 8 นิ้ว<br />
- กรรไกร และปากคีบที่ฆาเชื้อแลวสําหรับตัดแบงตัวอยาง<br />
- ยางรัด<br />
- ตะเกียงแอลกอฮอล หรือชุดตะเกียงบุนเซนพรอมถังแกส
61<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
- ปากกาเขียนเครื่องแกว<br />
- กระบอกตวงขนาด 100 ml ที่ผานการฆาเชื้อแลว<br />
- เทอรโมมิเตอรสําหรับวัดอุณหภูมิในชวง 0-100 o C<br />
- จานเพาะเลี้ยงเชื้อ ที่ผานการฆาเชื้อแลว ขนาดเสนผานศูนยกลาง 100 mm<br />
- ถังใสน้ํายาฆาเชื้อสําหรับใสปเปตที่ใชแลว<br />
- แทนวางหลอดทดลอง (Test tube rack)<br />
สารเคมี<br />
- สารละลาย Maximum Recovery Diluent (MRD)<br />
- อาหารเลี้ยงเชื้อ Plate count agar (PCA)<br />
วิธีปฏิบัติงาน<br />
ใชวิธี Aseptic technique ในการปฏิบัติทุกขั้นตอน อาหารเลี้ยงเชื้อ น้ํายาเจือจาง เครื่องแกวและเครื่องใชทุก<br />
ชนิดที่สัมผัสกับตัวอยาง ตองผานการอบหรือนึ่งฆาเชื้อกอน<br />
1. ตัวอยางที่เปนของแข็งทําการตัดโดยวิธีปลอดเชื้อ จํานวน 10 กรัม สวนตัวอยางที่เปนของเหลว นํามา<br />
10 ml แลวนําตัวอยางใสลงใน sterile plastic bag เติม Maximum Recovery Diluent (MRD) 90 ml. ผสมใหเขากัน<br />
กับตัวอยาง จะไดความเขมขน 10 -1 แลวหลังจากนั้นใชนิ้วมือคอย ๆ ไลอากาศออกจาถุงพลาสติก เพื่อใหอากาศออก<br />
แลว นําไปใสในเครื่องตีตัวอยาง (Stomacher) เปนเวลา 1 นาที แลวนํา stomacher bag ออกจากเครื่อง stomacher<br />
แลวทําใหตัวอยางเจือจางลงลําดับละ 10 เทา โดยจับปเปตที่ฆาเชื้อแลวในแนวดิ่ง จุมปลายปเปตใหต่ํากวาผิวของ<br />
สารละลายในถุงที่เตรียมไว ประมาณ 1 นิ้ว แลวดูดสารละลายนี้จํานวน 1 มล. มาแตะปลายปเปตกับ stomacher<br />
bag หลังจากนั้นนําไปใสลงใน 9 ml ของ Maximum Recovery Diluent (MRD) (สารละลายสําหรับเจือจาง) ที่<br />
เตรียมไวในหลอดทดลอง โดยแตะปลายปเปตที่มีสารละลายที่ต่ํากวาผิวระดับสารละลายที่อยูในหลอด ประมาณ 1<br />
นิ้ว แลวปลอยสารละลายลงไปในหลอดทดลอง ยกปเปตขึ้นเหนือระดับของ MRD แตะปลายของปเปตที่ขางหลอด<br />
เปนเวลา 3 วินาที หลังจากนั้นนําปเปตที่ใชแลวใสในภาชนะที่มีสารละลายฆาเชื้อ<br />
2. เขียนตัวเลขกํากับขางหลอดนี้เปน 10 -2 แลวเขยาหลอดดวยเครื่องเขยาสาร เขยาหลอดประมาณ 15<br />
วินาที (ตัวอยางในขั้นตอนนี้จะมีความเจือจางเปน 1:10 = 10 -2 )<br />
3. ใชปเปตดูดสารละลายที่มีความเขมขน 10 -2 มาปริมาณ 1 ml ใสลงใน 9 ml ของ Maximum Recovery<br />
Diluent (MRD) ซึ่งตัวอยางในขั้นตอนนี้จะมีความเจือจางเปน 10 -3 ทําซ้ําเชนนี้จนไดสารละลายที่มีความเจือจาง<br />
สูงสุดตามที่ตองการ ตั้งแต 10 -1 จนถึง 10 -6 โดยเปลี่ยนปเปตใหมทุกๆ ระดับความเจือจางที่เตรียม และผสมใหเขากัน<br />
ดวย vortex mixer<br />
4. ใชปเปตขนาด 1 ml ที่ฆาเชื้อแลว ดูดสารละลายจากหลอดที่มีความเขมขนต่ําที่สุด คือ 10 -6 จํานวน 1<br />
ml ลงในจานเพาะเชื้อที่ผานการนึ่งฆาเชื้อแลว และเขียนวันที่ ความเขมขนของสารละลาย และรหัสของตัวอยางไวที่<br />
กนจานอาหารเลี้ยงเชื้อทุกใบแลว จํานวน 2 จานตอ 1 ความเขมขน<br />
5. ใชปเปตอันเดิมดูดสารละลาย 1 ml ที่มีความเขมขนเพิ่มขึ้นอันดับถัดไป คือ 10 -5 ลงใน จานเพาะเชื้อ<br />
ที่ผานการนึ่งฆาเชื้อแลว จํานวน 2 จานตอ 1 ความเขมขน เชนกัน และทําเชนนี้จนถึงระดับความเขมขนสูงสุด<br />
6. เทอาหารเลี้ยงเชื้อ PCA agar ที่ไดฆาเชื้อและหลอมเหลวแลวประมาณ 15-20 มิลลิลิตร ลงในจานเพาะ<br />
เชื้อที่หยอดตัวอยางไวแลวดวยเทคนิคปลอดเชื้อ โดยที่อุณหภูมิอาหารเลี้ยงเชื้อตองอยูระหวาง 45±2 o C จากนั้นผสม<br />
สารละลายของเชื้อและอาหารเลี้ยงเชื้อใหกระจายเขากันดี โดย<br />
a. เขยาตามแนวราบของโตะไปขางหนาและหลัง 5 ครั้ง<br />
b. เขยาตามแนวราบของโตะไปดานซายและขวา 5 ครั้ง
62<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
c. วนจานใหหมุนตามเข็มนาฬิกา 5 ครั้ง<br />
d. วนจานใหหมุนทวนเข็มนาฬิกา 5 ครั้ง<br />
หมายเหตุ ในขณะที่เขยาควรระมัดระวังไมใหอาหารเลอะติดฝาจานเลี้ยงเชื้อ<br />
7. ปลอยใหอาหารเลี้ยงเชื้อแข็งตัว แลวกลับจานเลี้ยงเชื้อใหคว่ําลง<br />
8. นําไปบมที่ Incubator ณ อุณหภูมิ 37±1 o C เปนเวลา 48±2 ชั่วโมง<br />
9. จากนั้นนับจํานวนโคโลนีบนอาหารเลี้ยงเชื้อ โดยนับบนจานอาหารเลี้ยงเชื้อที่มีโคโลนีอยูระหวาง<br />
10-300 โคโลนี ตอ 1 ความเขมขน<br />
10. คํานวณปริมาณเชื้อ และรายงานผล<br />
แผนภาพแสดงวิธีการปฏิบัติงาน<br />
ใสตัวอยางในสารละลาย MRD 90 ml<br />
ใสในเครื่องตีตัวอยาง (Stomacher) 1 นาที<br />
นําตัวอยางที่ไดมาทําการเจือจางใน MRD ดวยวิธี 10-fold dilution
1 ml<br />
63<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
1 ml transfer<br />
เท PCA Agar , mix<br />
นําไปบมที่อุณหภูมิ 37±1 o C นาน 48 ±2 ชั่วโมง<br />
อานผลโดยการนับจํานวน colony และนํามาคํานวณ cfu/g หรือ ml<br />
การคํานวณและแปรผล<br />
การนับจํานวนโคโลนีจากสวนที่มีจํานวนโคโลนีตามแตละเทคนิคที่เลือกใช Pour plate technique นับ<br />
จํานวนโคโลนีในจานเลี้ยงเชื้อที่มีจํานวนระหวาง 10 - 300 โคโลนี<br />
Cfu/g หรือ mlคํานวณจากสูตร N = ∑C<br />
V[( n1*1) + (n2 * 0.1)] * d<br />
โดยที่ N คือ ปริมาณเชื้อ cfu/ml หรือ cfu/g<br />
∑C คือ ผลรวมของจํานวนโคโลนีที่เลือกมาคํานวณ<br />
V คือ ปริมาตรของสารละลายเชื้อที่นํามาทดสอบ (1 ml)<br />
n 1 คือ จํานวนของ plate ที่เลือกมา ของ ความเขมขนแรก<br />
n 2 คือ จํานวนของ plate ที่เลือกมา ของ ความเขมขนที่ 2 (เจือจางกวา)<br />
d คือ Dilution ที่สูงที่สุดที่เลือก โดยเปน dilution ที่จํานวนโคโลนีอยูในชวงที่นับได
64<br />
การคํานวณตัวอยาง Pour plate<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
120 โคโลนี<br />
78 โคโลนี<br />
5 โคโลนี<br />
136 โคโลนี<br />
65 โคโลนี<br />
7 โคโลนี<br />
ความเขมขน 10 -1 ความเขมขน 10 -2 ความเขมขน 10 -3<br />
แทนคาในสูตร N = 78+65+120+136<br />
1[2*1+(0.1x2)]x10 -1<br />
= 399 x10 1<br />
= 4.0 x10 3 cfu/g (ml)<br />
ดังนั้นในตัวอยางนี้จะพบเชื้อแบคทีเรียทั้งหมด จํานวน 4.0x10 3 ตอกรัม หรือ มิลลิลิตร<br />
คาที่คํานวณไดควรปดเปนทศนิยม 1 ตําแหนง โดยที่ถาทศนิยม ตําแหนงที่ 2 มีคาตั้งแต 5 ขึ้นไปใหปด<br />
ตัวเลขทศนิยมตําแหนงที่ 1 ขึ้น แตถาตัวเลขทศนิยมตําแหนงที่ 2 มีคานอยกวา 5 ลงมาใหคงตัวเลขทศนิยมตําแหนงที่<br />
1 ไว หลังจากไดปริมาณเชื้อออกมาแลว จึงนําผลที่ไดไปเทียบกับคามาตรฐานที่กําหนดไววามาก หรือนอยกวาที่<br />
มาตรฐานกําหนดหรือไม<br />
1. หากไมมีโคโลนีเจริญบนจานเลย หรือมีจํานวนโคโลนีนอยกวา 10 โคโลนี ใหรายงานผลเปนนอยกวา<br />
1.0 X ระดับการเจือจางนอยที่สุดที่ทํา<br />
2. ในกรณีที่ทุกจานมีการเจริญของเชื้อมาก จนไมสามารถนับได ใหรายงานผลเปน TNTC (Too Numerous<br />
To Count ) นําตัวอยางที่ตัดสํารองไวมาทําซ้ําเพื่อยืนยันผลอีกครั้งหนึ่ง<br />
11. วิธีการนับจํานวนยีสตและรา (Yeasts and Moulds Count)<br />
เครื่องมือ<br />
- อางควบคุมอุณหภูมิ (Water bath) ตั้งอุณหภูมิไวที่ 45±2 o C<br />
- หมอนึ่งความดัน (Autoclave) ตั้งอุณหภูมิไวที่ 121 o C<br />
- ตูบมเพาะ (Incubator) ตั้งอุณหภูมิไวที่ 25 o C<br />
- เครื่องชั่งดิจิตัล ทศนิยม 2 ตําแหนง<br />
- เครื่องตีตัวอยาง (Stomacher)<br />
- เครื่องเขยา (Vortex mixer)<br />
อุปกรณ<br />
- หลอดทดลองขนาด 16 mm x 100 mm และฝาปดหลอดทดลองแบบเกลียว ที่ผานการฆาเชื้อ<br />
- ขวดเก็บอาหารเลี้ยงเชื้อ หรือสารละลายขนาด 250 ml มีฝาปดแบบเกลียว ที่ฆาเชื้อแลว<br />
- ปเปตขนาด 1 และ10 ml ที่ผานการฆาเชื้อแลว<br />
- ลูกยางสําหรับดูดสาร
65<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
- ถุงใสตัวอยางและอาหารเลี้ยงเชื้อ ขนาด 12 นิ้ว x 24 นิ้ว<br />
- ถุงใสตัวอยาง (Stomacher bag) ขนาด 5 นิ้ว x 8 นิ้ว<br />
- กรรไกร และปากคีบที่ฆาเชื้อแลวสําหรับตัดแบงตัวอยาง<br />
- ยางรัด<br />
- ตะเกียงแอลกอฮอล หรือชุดตะเกียงบุนเซนพรอมถังแกส<br />
- ปากกาเขียนเครื่องแกว<br />
- กระบอกตวงขนาด 100 ml ที่ผานการฆาเชื้อแลว<br />
- เทอรโมมิเตอรสําหรับวัดอุณหภูมิในชวง 0-100 o C<br />
- จานอาหารเพาะเชื้อ ที่ผานการฆาเชื้อแลว ขนาดเสนผานศูนยกลาง 100 mm<br />
- ถังใสน้ํายาฆาเชื้อสําหรับใสปเปตที่ใชแลว<br />
- แทนวางหลอดทดลอง (Test tube rack)<br />
อาหารเลี้ยงเชื้อและสารเคมี<br />
1. สารละลาย Maximum Recovery Diluent (MRD)<br />
2. อาหารเลี้ยงเชื้อ YDC agar<br />
วิธีปฏิบัติงาน<br />
ใชวิธี Aseptic technique ในการปฏิบัติทุกขั้นตอน อาหารเลี้ยงเชื้อ น้ํายาเจือจาง เครื่องแกวและเครื่องใชทุก<br />
ชนิดที่สัมผัสกับตัวอยาง ตองผานการอบหรือนึ่งฆาเชื้อกอน<br />
11. ตัวอยางที่เปนของแข็งทําการตัดโดยวิธีปลอดเชื้อ จํานวน 10 กรัม สวนตัวอยางที่เปนของเหลว นํามา<br />
10 ml แลวนําตัวอยางใสลงใน sterile plastic bag เติม Maximum Recovery Diluent (MRD) 90 ml. ผสมใหเขากัน<br />
กับตัวอยาง จะไดความเขมขน 10 -1 แลวหลังจากนั้นใชนิ้วมือคอย ๆ ไลอากาศออกจากถุงพลาสติกเพื่อใหอากาศ<br />
ออกแลว นําไปใสในเครื่องตีตัวอยาง (Stomacher) เปนเวลา 1 นาที แลวนํา stomacher bag ออกจากเครื่อง stomacher<br />
แลวทําใหตัวอยางเจือจางลงลําดับละ 10 เทา โดยจับปเปตที่ฆาเชื้อแลวในแนวดิ่ง จุมปลายปเปตใหต่ํากวาผิวของ<br />
สารละลายในถุงที่เตรียมไว ประมาณ 1 นิ้ว แลวดูดสารละลายนี้จํานวน 1 มล. มาแตะปลายปเปตกับ stomacher<br />
bag หลังจากนั้นนําไปใสลงใน 9 ml ของ Maximum Recovery Diluent (MRD) (สารละลายสําหรับเจือจาง) ที่<br />
เตรียมไวในหลอดทดลอง โดยแตะปลายปเปตที่มีสารละลายที่ต่ํากวาผิวระดับสารละลายที่อยูในหลอด ประมาณ 1<br />
นิ้ว แลวปลอยสารละลายลงไปในหลอดทดลอง ยกปเปตขึ้นเหนือระดับของ MRD แตะปลายของปเปตที่ขางหลอด<br />
เปนเวลา 3 วินาที หลังจากนั้นนําปเปตที่ใชแลวใสในภาชนะที่มีสารละลายฆาเชื้อ<br />
12. เขียนตัวเลขกํากับขางหลอดนี้เปน 10 -2 แลวเขยาหลอดดวยเครื่องเขยาสาร เขยาหลอดประมาณ 15<br />
วินาที (ตัวอยางในขั้นตอนนี้จะมีความเจือจางเปน 1:100 = 10 -2 )<br />
13. ใชปเปตดูดสารละลายที่มีความเขมขน 10 -2 มาปริมาณ 1 ml ใสลงใน 9 ml ของ Maximum Recovery<br />
Diluent (MRD) ซึ่งตัวอยางในขั้นตอนนี้จะมีความเจือจางเปน 10 -3 ทําซ้ําเชนนี้จนไดสารละลายที่มีความเจือจาง<br />
สูงสุดตามที่ตองการ ตั้งแต 10 -1 จนถึง 10 -6 โดยเปลี่ยนปเปตใหมทุกๆ ระดับความเจือจางที่เตรียม และผสมใหเขากัน<br />
ดวย vortex mixer<br />
14. ใชปเปตขนาด 1 ml ที่ฆาเชื้อแลว ดูดสารละลายจากหลอดที่มีความเขมขนต่ําที่สุด คือ 10 -6 จํานวน 1<br />
ml ลงในจานเพาะเชื้อที่ผานการนึ่งฆาเชื้อแลว และเขียนวันที่ ความเขมขนของสารละลาย และรหัสของตัวอยางไวที่<br />
กนจานอาหารเลี้ยงเชื้อทุกใบแลว) จํานวน 2 จานตอ 1 ความเขมขน<br />
15. ใชปเปตอันเดิมดูดสารละลาย 1 ml ที่มีความเขมขนเพิ่มขึ้นอันดับถัดไป คือ 10 -5 ลงใน จานเพาะเชื้อ<br />
ที่ผานการนึ่งฆาเชื้อแลว จํานวน 2 จานตอ 1 ความเขมขน เชนกัน และทําเชนนี้จนถึงระดับความเขมขนสูงสุด
66<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
16. เทอาหารเลี้ยงเชื้อ YDC agar ที่ไดฆาเชื้อและหลอมเหลวแลวประมาณ 15-20 มิลลิลิตร ลงในจานเพาะ<br />
เชื้อที่หยอดตัวอยางไวแลวดวยเทคนิคปลอดเชื้อ โดยที่อุณหภูมิอาหารเลี้ยงเชื้อตองอยูระหวาง 45±2<br />
o C จากนั้นผสมสารละลายของเชื้อและอาหารเลี้ยงเชื้อใหกระจายเขากันดี โดย<br />
a. เขยาตามแนวราบของโตะไปขางหนาและหลัง 5 ครั้ง<br />
b. เขยาตามแนวราบของโตะไปดานซายและขวา 5 ครั้ง<br />
c. วนจานใหหมุนตามเข็มนาฬิกา 5 ครั้ง<br />
d. วนจานใหหมุนทวนเข็มนาฬิกา 5 ครั้ง<br />
หมายเหตุ ในขณะที่เขยาควรระมัดระวังไมใหอาหารเลอะติดฝาจานเลี้ยงเชื้อ<br />
17. ปลอยใหอาหารเลี้ยงเชื้อแข็งตัว<br />
18. นําไปบมที่Incubator ณ อุณหภูมิ 25 o C โดยใหหงายจานเพาะเชื้อขึ้น เปนเวลา 3-5 วัน<br />
19. จากนั้นนับจํานวนโคโลนีบนอาหารเลี้ยงเชื้อ โดยนับบนจานอาหารเลี้ยงเชื้อที่มีโคโลนีอยูระหวาง 10-<br />
300 โคโลนี<br />
20. คํานวณปริมาณเชื้อ และรายงานผล<br />
แผนภาพแสดงวิธีการปฏิบัติงาน<br />
ใสตัวอยางในสารละลาย MRD 90 ml<br />
ใสในเครื่องตีตัวอยาง (Stomacher) 1 นาที<br />
นําตัวอยางที่ไดมาทําการเจือจางใน MRD ดวยวิธี 10-fold dilution
1 ml<br />
67<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
1 ml transfer<br />
เท YDC Agar, mix<br />
นําไปบมที่อุณหภูมิ 25 o C นาน 3-5 วัน<br />
อานผลที่ได จาก Typical colony และนํามาคํานวณ cfu/g หรือ ml<br />
การคํานวณและแปรผล<br />
การนับจํานวนโคโลนีจากสวนที่มีจํานวนโคโลนีตามแตละเทคนิคที่เลือกใช<br />
Pour plate technique นับจํานวนโคโลนีในจานเลี้ยงเชื้อที่มีจํานวนระหวาง 10 - 300 โคโลนี<br />
Cfu/g คํานวณจากสูตร N = ∑C<br />
V[( n1*1) + (n2 * 0.1)] * d<br />
โดยที่ N คือ ปริมาณเชื้อ cfu/ml หรือ cfu/g<br />
∑C คือ ผลรวมของจํานวนโคโลนีที่เลือกมาคํานวณ<br />
V คือ ปริมาตรของสารละลายเชื้อที่นํามาทดสอบ (1 ml)<br />
n 1 คือ จํานวนของ plate ที่เลือกมา ของ ความเขมขนแรก<br />
n 2 คือ จํานวนของ plate ที่เลือกมา ของ ความเขมขนที่ 2 (เจือจางกวา)<br />
d คือ Dilution ที่สูงที่สุดที่เลือก โดยเปน dilution ที่จํานวนโคโลนีอยูในชวงที่นับได
68<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
120 โคโลนี<br />
การคํานวณตัวอยาง Pour plate<br />
78 โคโลนี<br />
4 โคโลนี<br />
136 โคโลนี<br />
65 โคโลนี<br />
7 โคโลนี<br />
ความเขมขน 10 -1 ความเขมขน 10 -2 ความเขมขน 10 -3<br />
แทนคาในสูตร N = 78+65+120+136<br />
1[2*1+(0.1x2)]x10 -1<br />
= 399 x10 1<br />
= 4.0 x10 3 cfu/g (ml)<br />
ดังนั้นในตัวอยางนี้จะพบเชื้อแบคทีเรียทั้งหมด จํานวน 4.0x10 3 ตอกรัม หรือ มิลลิลิตร<br />
คาที่คํานวณไดควรปดเปนทศนิยม 1 ตําแหนง โดยที่ถาทศนิยม ตําแหนงที่ 2 มีคาตั้งแต 5 ขึ้นไปใหปด<br />
ตัวเลขทศนิยมตําแหนงที่ 1 ขึ้น แตถาตัวเลขทศนิยมตําแหนงที่ 2 มีคานอยกวา 5 ลงมาใหคงตัวเลขทศนิยมตําแหนงที่<br />
1 ไว หลังจากไดปริมาณเชื้อออกมาแลว จึงนําผลที่ไดไปเทียบกับคามาตรฐานที่กําหนดไววามาก หรือนอยกวาที่<br />
มาตรฐานกําหนดหรือไม<br />
1. หากไมมีโคโลนีเจริญบนจานเลย หรือมีจํานวนโคโลนีนอยกวา 10 โคโลนี ใหรายงานผลเปน นอยกวา<br />
1.0 X ระดับการเจือจางนอยที่สุดที่ทํา<br />
2. ในกรณีที่ทุกจานมีการเจริญของเชื้อมาก จนไมสามารถนับได ใหรายงานผลเปน TNTC (Too Numerous<br />
To Count ) นําตัวอยางที่ตัดสํารองไวมาทําซ้ําเพื่อยืนยันผลอีกครั้งหนึ่ง<br />
12. วิธีการนับจํานวน Coliform (Coliform count)<br />
เครื่องมือ<br />
- อางควบคุมอุณหภูมิ (Water bath) ตั้งอุณหภูมิไวที่ 45±2 o C<br />
- หมอนึ่งความดัน (Autoclave) ตั้งอุณหภูมิไวที่ 121 o C 15 นาที<br />
- ตูบมเพาะ (Incubator) ตั้งอุณหภูมิไวที่ 37 ±1 o C<br />
- เครื่องชั่งดิจิตัล ทศนิยม 2 ตําแหนง<br />
- เครื่องตีตัวอยาง (Stomacher)<br />
- เครื่องเขยา (Vortex mixer)<br />
อุปกรณ<br />
- หลอดทดลองขนาด 16 mm x 150 mm และฝาปดหลอดทดลอง ที่ผานการฆาเชื้อแลว
69<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
- ขวดเก็บอาหารเลี้ยงเชื้อ หรือสารละลายขนาด 250 ml มีฝาปดแบบเกลียว ที่ฆาเชื้อแลว<br />
- ปเปตแกวขนาด 1 และ10 ml ที่ผานการฆาเชื้อแลว<br />
- ลูกยางสําหรับดูดสาร<br />
- ถุงใสตัวอยาง (Stomacher bag) ขนาด 5 นิ้ว x 8 นิ้ว<br />
- ถุงใสตัวอยางและอาหารเลี้ยงเชื้อ ขนาด 12 นิ้ว x 24 นิ้ว<br />
- กรรไกร และปากคีบที่ฆาเชื้อแลวสําหรับตัดแบงตัวอยาง<br />
- ยางรัด<br />
- ตะเกียงแอลกอฮอล หรือชุดตะเกียงบุนเซนพรอมถังแกส<br />
- ปากกาเขียนเครื่องแกว<br />
- กระบอกตวงขนาด 100 ml ที่ผานการฆาเชื้อแลว<br />
- เทอรโมมิเตอรสําหรับวัดอุณหภูมิในชวง 0-100 o C<br />
- จานเพาะเลี้ยงเชื้อ ที่ผานการฆาเชื้อแลว ขนาดเสนผานศูนยกลาง 100 mm<br />
- ถังใสน้ํายาฆาเชื้อสําหรับใสปเปตที่ใชแลว<br />
- แทนวางหลอดทดลอง (Test tube rack)<br />
สารเคมี<br />
- สารละลาย Maximum Recovery Diluent (MRD)<br />
- อาหารเลี้ยงเชื้อ VRB agar<br />
วิธีปฏิบัติงาน<br />
ใชวิธี Aseptic technique ในการปฏิบัติทุกขั้นตอน อาหารเลี้ยงเชื้อ น้ํายาเจือจาง เครื่องแกวและเครื่องใชทุก<br />
ชนิดที่สัมผัสกับตัวอยาง ตองผานการอบหรือนึ่งฆาเชื้อกอน<br />
21. ตัวอยางที่เปนของแข็งทําการตัดโดยวิธีปลอดเชื้อ จํานวน 10 กรัม สวนตัวอยางที่เปนของเหลว นํามา<br />
10 ml แลวนําตัวอยางใสลงใน sterile plastic bag เติม Maximum Recovery Diluent (MRD) 90 ml. ผสมใหเขากัน<br />
กับตัวอยาง จะไดความเขมขน 10 -1 แลวหลังจากนั้นใชนิ้วมือคอย ๆ ไลอากาศออกจากถุงพลาสติกเพื่อใหอากาศ<br />
ออกแลว นําไปใสในเครื่องตีตัวอยาง (Stomacher) เปนเวลา 1 นาที แลวนํา stomacher bag ออกจากเครื่อง<br />
stomacher แลวทําใหตัวอยางเจือจางลงลําดับละ 10 เทา โดยจับปเปตที่ฆาเชื้อแลวในแนวดิ่ง จุมปลายปเปตใหต่ํา<br />
กวาผิวของสารละลายในถุงที่เตรียมไว ประมาณ 1 นิ้ว แลวดูดสารละลายนี้จํานวน 1 มล. มาแตะปลายปเปตกับ<br />
stomacher bag หลังจากนั้นนําไปใสลงใน 9 ml ของ Maximum Recovery Diluent (MRD) (สารละลายสําหรับเจือ<br />
จาง) ที่เตรียมไวในหลอดทดลอง โดยแตะปลาย ปเปตที่มีสารละลายที่ต่ํากวาผิวระดับสารละลายที่อยูในหลอด<br />
ประมาณ 1 นิ้ว แลวปลอยสารละลายลงไปในหลอดทดลอง ยกปเปตขึ้นเหนือระดับของ MRD แตะปลายของปเปต<br />
ที่ขางหลอดเปนเวลา 3 วินาที หลังจากนั้นนําปเปตที่ใชแลวใสในภาชนะที่มีสารละลายฆาเชื้อ<br />
22. เขียนตัวเลขกํากับขางหลอดนี้เปน 10 -2 แลวเขยาหลอดดวยเครื่องเขยาสาร เขยาหลอดประมาณ 15<br />
วินาที (ตัวอยางในขั้นตอนนี้จะมีความเจือจางเปน 1:10 = 10 -2 )<br />
23. ใชปเปตดูดสารละลายที่มีความเขมขน 10 -2 มาปริมาณ 1 ml ใสลงใน 9 ml ของ Maximum Recovery<br />
Diluent (MRD) ซึ่งตัวอยางในขั้นตอนนี้จะมีความเจือจางเปน 10 -3 ทําซ้ําเชนนี้จนไดสารละลายที่มีความเจือจาง<br />
สูงสุดตามที่ตองการ ตั้งแต 10 -1 จนถึง 10 -6 โดยเปลี่ยน ปเปตใหมทุกๆ ระดับความเจือจางที่เตรียม และผสมใหเขา<br />
กันดวย vortex mixer
70<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
24. ใชปเปตขนาด 1 ml ที่ฆาเชื้อแลว ดูดสารละลายจากหลอดที่มีความเขมขนต่ําที่สุด คือ 10 -6 จํานวน 1<br />
ml ลงในจานเพาะเชื้อที่ผานการนึ่งฆาเชื้อแลว และเขียนวันที่ ความเขมขนของสารละลาย และรหัสของตัวอยางไวที่<br />
กนจานอาหารเลี้ยงเชื้อทุกใบแลว) จํานวน 2 จานตอ 1 ความเขมขน<br />
25. ใชปเปตอันเดิมดูดสารละลาย 1 ml ที่มีความเขมขนเพิ่มขึ้นอันดับถัดไป คือ 10 -5 ลงใน จานเพาะเชื้อ<br />
ที่ผานการนึ่งฆาเชื้อแลว จํานวน 2 จานตอ 1 ความเขมขน เชนกัน และทําเชนนี้จนถึงระดับความเขมขนสูงสุด<br />
26. เทอาหารเลี้ยงเชื้อ VRB agar ที่ไดฆาเชื้อและหลอมเหลวแลวประมาณ 15-20 มิลลิลิตร ลงในจานเพาะ<br />
เชื้อที่หยอดตัวอยางไวแลวดวยเทคนิคปลอดเชื้อ โดยที่อุณหภูมิอาหารเลี้ยงเชื้อตองอยูระหวาง 45±2<br />
o C จากนั้นผสมสารละลายของเชื้อและอาหารเลี้ยงเชื้อใหกระจายเขากันดี โดย<br />
a. เขยาตามแนวราบของโตะไปขางหนาและหลัง 5 ครั้ง<br />
b. เขยาตามแนวราบของโตะไปดานซายและขวา 5 ครั้ง<br />
c. วนจานใหหมุนตามเข็มนาฬิกา 5 ครั้ง<br />
d. วนจานใหหมุนทวนเข็มนาฬิกา 5 ครั้ง<br />
หมายเหตุ ในขณะที่เขยาควรระมัดระวังไมใหอาหารเลอะติดฝาจานเลี้ยงเชื้อ<br />
27. ปลอยใหอาหารเลี้ยงเชื้อแข็งตัว แลวเทอาหารเลี้ยงเชื้อ VRB agar ทับใหทั่วอาหารเลี้ยงเชื้ออีกชั้นหนึ่ง<br />
ปลอยใหอาหารเลี้ยงเชื้อแข็งตัว แลวกลับจานเลี้ยงเชื้อใหคว่ําลง<br />
28. นําไปบมที่Incubator ณ อุณหภูมิ 37±1 o C เปนเวลา 24±2 ชั่วโมง<br />
29. จากนั้นนับจํานวนโคโลนีบนอาหารเลี้ยงเชื้อที่มีโคโลนีสีมวงแดง ขนาดเสนผานศูนยกลางประมาณ<br />
0.5 mm หรือมากกวานั้น โดยนับบนจานอาหารเลี้ยงเชื้อที่มีโคโลนีอยูระหวาง 10-300 โคโลนี<br />
30. คํานวณปริมาณเชื้อ และรายงานผล<br />
แผนภาพแสดงวิธีการปฏิบัติงาน<br />
ใสตัวอยางในสารละลาย MRD 90 ml
71<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
ใสในเครื่องตีตัวอยาง (Stomacher) 1 นาที<br />
นําตัวอยางที่ไดมาทําการเจือจางใน MRD ดวยวิธี 10-fold dilution<br />
1 ml<br />
1 ml transfer<br />
เท VRB Agar , mix<br />
นําไปบมที่อุณหภูมิ 37±1 o C นาน 24 ±2 ชั่วโมง<br />
อานผลที่ได จาก Typical colony และนํามาคํานวณ cfu/g หรือ ml<br />
การคํานวณและแปรผล<br />
การนับจํานวนโคโลนีจากสวนที่มีจํานวนโคโลนีตามแตละเทคนิคที่เลือกใช<br />
Pour plate technique นับจํานวนโคโลนีในจานเลี้ยงเชื้อที่มีจํานวนระหวาง 10 - 300 โคโลนี<br />
Cfu/g คํานวณจากสูตร N = ∑C<br />
V[( n1*1) + (n2 * 0.1)] * d
72<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
โดยที่ N คือ ปริมาณเชื้อ cfu/ml หรือ cfu/g<br />
∑C คือ ผลรวมของจํานวนโคโลนีที่เลือกมาคํานวณ<br />
V คือ ปริมาตรของสารละลายเชื้อที่นํามาทดสอบ (1 ml)<br />
n 1 คือ จํานวนของ plate ที่เลือกมา ของ ความเขมขนแรก<br />
n 2 คือ จํานวนของ plate ที่เลือกมา ของ ความเขมขนที่ 2 (เจือจางกวา)<br />
d คือ Dilution ที่สูงที่สุดที่เลือก โดยเปน dilution ที่จํานวนโคโลนีอยูในชวงที่นับได<br />
การคํานวณตัวอยาง Pour plate<br />
120 โคโลนี<br />
78 โคโลนี<br />
5 โคโลนี<br />
136 โคโลนี<br />
65 โคโลนี<br />
7 โคโลนี<br />
ความเขมขน 10 -1 ความเขมขน 10 -2 ความเขมขน 10 -3<br />
แทนคาในสูตร N = 78+65+54+57<br />
1[2*1+(0.1x2)]x10 -1<br />
= 399 x10 1<br />
= 4.0 x10 3 cfu/g (ml)<br />
ดังนั้นในตัวอยางนี้จะพบเชื้อแบคทีเรียทั้งหมด จํานวน 4.0x10 3 ตอกรัม หรือ มิลลิลิตร<br />
คาที่คํานวณไดควรปดเปนทศนิยม 1 ตําแหนง โดยที่ถาทศนิยม ตําแหนงที่ 2 มีคาตั้งแต 5 ขึ้นไปใหปด<br />
ตัวเลขทศนิยมตําแหนงที่ 1 ขึ้น แตถาตัวเลขทศนิยมตําแหนงที่ 2 มีคานอยกวา 5 ลงมาใหคงตัวเลขทศนิยมตําแหนงที่<br />
1 ไว หลังจากไดปริมาณเชื้อออกมาแลว จึงนําผลที่ไดไปเทียบกับคามาตรฐานที่กําหนดไววามาก หรือนอยกวาที่<br />
มาตรฐานกําหนดหรือไม<br />
1. หากไมมีโคโลนีเจริญบนจานเลย หรือมีจํานวนโคโลนีนอยกวา 10 โคโลนี ใหรายงานผลเปน นอยกวา<br />
1.0 X ระดับการเจือจางนอยที่สุดที่ทํา<br />
2. ในกรณีที่ทุกจานมีการเจริญของเชื้อมาก จนไมสามารถนับได ใหรายงานผลเปน TNTC ( Too<br />
Numerous To Count ) นําตัวอยางที่ตัดสํารองไวมาทําซ้ําเพื่อยืนยันผลอีกครั้งหนึ่ง
13. วิธีการตรวจเชื้อซัลโมเนลลา ในตัวอยางอาหาร (Salmonella spp.)<br />
73<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
อุปกรณและสารเคมีสําหรับการตรวจหาเชื้อซัลโมเนลลา<br />
1. อาหารเลี้ยงเชื้อ Pre enrichment media<br />
• Buffered peptone water<br />
2. อาหารเลี้ยงเชื้อ Selective Enrichment Media<br />
• Tetrathionate Broth • Rappaport-Vassiliadis broth<br />
3. อาหารเลี้ยงเชื้อ Selective Plating Media<br />
• BPLS agar<br />
• XLD agar<br />
4. อาหารเลี้ยงเชื้อที่ใชในขั้นตอน Biochemical confirmation<br />
• Simmon citrate agar • TSI agar<br />
• Urea Agar<br />
• MIL medium<br />
5. ตัวอยางอาหาร<br />
6. ตูบม (Incubator) สําหรับใชบมที่อุณหภูมิ 37 ±1 องศาเซลเซียส และ 41.5 ±1 องศาเซลเซียส<br />
7. หวงเขี่ยเชื้อ เสนผาศูนยกลาง 3 มิลลิเมตร<br />
8. เข็มเขี่ยเชื้อ<br />
9. หลอดทดลอง ขนาด 16 mm x 150 mm ชนิดแบบมีฝาปด ผานการฆาเชื้อ<br />
หลอดทดลอง ขนาด 13 mm x 100 mm ชนิดแบบมีฝาปด ผานการฆาเชื้อ<br />
10. ปเปต ชนิด Graduated pipettes ขนาด 1 และ 10 มิลลิลิตร<br />
11. Salmonella polyvalent O antiserum (A-67)<br />
12. สารละลาย Kovac’s reagent<br />
13. ตะเกียงแอลกอฮอล หรือชุดตะเกียงบุนเซนพรอมถังแกส<br />
14. ตะแกรงวางหลอดทดลอง<br />
15. ปากกาเขียนแกว<br />
16. stomacher<br />
17.อางควบคุมอุณหภูมิ (Water bath) ตั้งอุณหภูมิไวที่ 44-47 o C<br />
18.เครื่องชั่งดิจิตัล ทศนิยม 2 ตําแหนง<br />
19.เครื่องเขยาสาร (Vortex mixer)<br />
20.ลูกยางสําหรับดูดสาร<br />
21.ถุงใสตัวอยาง (Stomacher bag) ขนาด 5 นิ้ว x 8 นิ้ว<br />
22. กรรไกร และปากคีบสําหรับตัดแบงตัวอยางที่ฆาเชื้อแลว<br />
23.กระบอกตวงขนาด 250 ml ที่ผานการฆาเชื้อแลว<br />
24. เทอรโมมิเตอรสําหรับวัดอุณหภูมิในชวง 0-100 o C<br />
25.จานพาะเลี้ยงเชื้อ ที่ผานการฆาเชื้อแลว ขนาดเสนผานศูนยกลาง 90 mm<br />
26.ยางรัด<br />
27. ถังใสน้ํายาฆาเชื้อสําหรับใสปเปตที่ใชแลว<br />
28. แอลกอฮอล 70 %<br />
29. แอลกอฮอล 95 %<br />
30.อาหารเลี้ยงเชื้อ Nutrient agar (อาหารและจานเพาะเชื้อผานการฆาเชื้อแลว)
74<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
31.ถุงใสตัวอยาง หรืออาหารเลี้ยงเชื้อสําหรับนําไปฆาเชื้อ ขนาด 12 นิ้ว x 24 นิ้ว<br />
วิธีปฏิบัติงาน<br />
ถาตัวอยางอาหารที่เก็บมาเพื่อตรวจหาซัลโมเนลลามีปริมาณนอยกวาหรือมากวา 25 กรัมหรือ 25มิลลิลิตร<br />
จะใช pre-enrichment medium ในอัตราสวน ตัวอยาง 1 กรัมหรือมิลลิลิตร ตอ สารละลายอาหารเลี้ยงเชื้อ 9 มิลลิลิตร<br />
ขั้นตอนการปฏิบัติงาน<br />
1. นําตัวอยางอาหารที่เก็บมาเพื่อทําการการตรวจ ชั่งน้ําหนัก 25 กรัม แลวใสในถุงพลาสติกที่มีสารละลาย<br />
buffered peptone water (BPW) 225 มิลลิลิตร หลังจากนั้นใชนิ้วมือคอยๆ ไลอากาศออกจากถุงพลาสติก แลวนําเขา<br />
เครื่อง stomacher นาน 60 วินาที ( ในกรณีที่ตัวอยางอาหารเปนจําพวกเครื่องเทศ เชน กระเทียม กานพลู ไมตอง<br />
นําเขา stomacher เนื่องจากอาหารกลุมนี้เปนสมุนไพรที่มีสารยับยั้งเชื้อจุลินทรียอยูภายใน ) จากนั้นนําไปบมในตูบม<br />
ที่อุณหภูมิ 37 ±1 องศาเซลเซียส เปนเวลา 18± 2 ชั่วโมง<br />
2. ทําการถายเชื้อจากสารละลายอาหารเลี้ยงเชื้อ BPW โดยใชปเปต (pipette) ดูดสารละลายอาหารเลี้ยงเชื้อ<br />
มาจํานวน 0.1 มิลลิลิตร โดยนําปลายปเปตที่มีสารละลายตัวอยางจุมต่ํากวาระดับสารละลายอาหารเลี้ยงเชื้อ<br />
Rappaport-Vassiliadis Broth (RVB) ( Selective Enrichment Media 10 มิลลิลิตร)ที่อยูในหลอดประมาณ 2<br />
เซนติเมตร แลวปลอยสารละลายลงไปในหลอดทดลอง ยกปเปตขึ้นเหนือระดับของสารละลาย RVB แตะปลาย<br />
ของปเปตที่ขางหลอดเปนเวลา 3 วินาที แลวยกปเปตขึ้น หลังจากนั้นทําการปดฝาหลอดแลวนําไปทําใหสารละลาย<br />
ผสมเขากันโดยใชเครื่องผสมสาร (vortex mixer) เปนเวลา 15 วินาที แลวบมเชื้อที่ 41.5±1 องศาเซลเซียส เปน<br />
เวลา 24±3 ชั่วโมง ปเปตที่ใชแลวใสในภาชนะที่มีน้ํายาฆาเชื้อ และถายเชื้อจากสารละลายอาหารเลี้ยงเชื้อ BPW<br />
โดยใชปเปตดูดสารละลายอาหารเลี้ยงเชื้อ จํานวน 1 มิลลิลิตร โดยนําปลายปเปตที่มีสารละลายตัวอยางจุมต่ํากวา<br />
ระดับสารละลายอาหารเลี้ยงเชื้อ Tetrathionate Broth (TTB10 มิลลิลิตร) ที่อยูในหลอดประมาณ 2 เซนติเมตร แลว<br />
ปลอยสารละลายลงไปในหลอดทดลอง ยกปเปตขึ้นเหนือระดับของสารละลาย แตะปลายของปเปตที่ขางหลอดเปน<br />
เวลา 3 วินาที แลวยกปเปตขึ้น หลังจากนั้นทําการปดฝาหลอดแลวนําไปทําใหสารละลายผสมเขากันโดยใชเครื่อง<br />
ผสมสาร (vortex mixer) เปนเวลา 15 วินาที แลวนําไปบมในตูบมเชื้อที่อุณหภูมิ 37 ±1 องศาเซลเซียส เปนเวลา 24±3<br />
ชั่วโมง นําปเปตที่ใชแลวใสในภาชนะที่มีน้ํายาฆาเชื้อ<br />
3. ถายเชื้อจากอาหาร RVB และ TTB ลงในอาหารเลี้ยงเชื้อ BPLS agar และ XLD agar โดยวิธี streak<br />
plate technique กอนที่จะถายเชื้อออกมา ใหนําหลอดอาหารเลี้ยงเชื้อไปผสมดวยเครื่องเขยาสาร เปนเวลา 15 วินาที แลวใช<br />
หวงเขี่ยเชื้อ ที่ผานการฆาเชื้อดวยการเผาไฟกอนถายเชื้อมาขีดบนอาหารเลี้ยงเชื้อทั้งสองชนิด<br />
• BPLS จํานวน 1 จาน บมที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส เปนเวลา 24 ±3 ชั่วโมง<br />
ลักษณะโคโลนีของเชื้อซัลโมเนลลา ที่เจริญบนอาหาร BPLS จะเปนโคโลนีสีแดง บนอาหารเลี้ยงเชื้อที่ไมเปลี่ยนสี<br />
(สีแดง) หรือโคโลนีสีเหลืองบนอาหารเลี้ยงเชื้อสีเหลือง<br />
• XLD จํานวน 1 จาน บมที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส เปนเวลา 24 ±3 ชั่วโมง ลักษณะ โคโลนีของเชื้อซัล<br />
โมเนลลา ที่เจริญบนอาหาร XLD จะเปนสีแดงใส ตรงกลางเปนสีดําหรือไมก็ได<br />
4. การเลือกโคโลนีเพื่อยืนยันผลเชื้อ เลือกจากโคโลนีเดียวที่เปนลักษณะเฉพาะของเชื้อซัลโมเนลลาที่เจริญ<br />
บนอาหารแตละชนิด โดยเลือกมาอยางนอย 2 โคโลนีสําหรับโคโลนีที่มีลักษณะเฉพาะตอเชื้อซัลโมเนลลา หรือ<br />
2 โคโลนีจากโคโลนีที่คาดวาจะเปนเชื้อซัลโมเนลลา ถายเชื้อจากอาหารที่ใชแยกเชื้อ ขีดลงในอาหารเลี้ยงเชื้อ<br />
Nutrient agar ตามลําดับแลวนําไป บมที่อุณหภูมิ 37±1 องศาเซลเซียส เปนเวลา 24 ±3 ชั่วโมง เพื่อเลือกโคโลนี<br />
ที่บริสุทธิ์ นําไปทดสอบคุณสมบัติทางชีวเคมีของอาหารเลี้ยงเชื้อตอไปนี้
75<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
1. Simmon citrate agar โดยการขีดใหทั่วหนาเอียงของอาหารเลี้ยงเชื้อจํานวน 1 หลอด เหลืออีกหนึ่งหลอดไว<br />
เปนหลอดควบคุม บมที่อุณหภูมิ 37±1 องศาเซลเซียส นาน 24 ±3 ชั่วโมง จากนั้นจึงใชเข็มเขี่ยเชื้ออันเดิม ถาย<br />
เชื้อลงในอาหารชนิดตอไป โดยไมตองเผาเข็มเขี่ยเชื้อ<br />
2. Urea Agar โดยขีดเชื้อบนผิวหนาของอาหารเลี้ยงเชื้อ จํานวน 1 หลอด เหลืออีกหนึ่งหลอดไวเปนหลอด<br />
ควบคุม บมที่อุณหภูมิ 37 ±1 องศาเซลเซียส นาน 24 ±3 ชั่วโมง<br />
3. TSI agar โดยการแทง ( stab) ลึกลงไปประมาณ 2 ใน 3 สวนของอาหารเลี้ยงเชื้อ และขีดเชื้อที่ผิวเอียงของอาหาร<br />
เลี้ยงเชื้อ จํานวน 1 หลอด เหลืออีกหนึ่งหลอดไวเปนหลอดควบคุม บมที่อุณหภูมิ 37±1 องศาเซลเซียส นาน<br />
24±3 ชั่วโมง<br />
4. MIL medium ใชเข็มเขี่ยเชื้อแทงลงไปในอาหาร MIL medium ตรงๆ ลึกลงไปประมาณ 2 ใน 3 สวนของอาหาร<br />
เลี้ยงเชื้อ จํานวน 1 หลอด เหลืออีกหนึ่งหลอดไวเปนหลอดควบคุม บมที่อุณหภูมิ 37 ±1 องศาเซลเซียส นาน 24 ±3<br />
ชั่วโมง<br />
แผนผังการตรวจหาเชื้อซัลโมเนลลาในอาหาร<br />
BPW บมที่ 37 องศาเซลเซียส นาน 16-20 ชั่วโมง<br />
<br />
RVB<br />
TTB<br />
บมที่ 41.5 ±1 องศาเซลเซียส นาน 24 ชั่วโมง บมที่ 37±1 องศาเซลเซียส นาน 24 ชั่วโมง<br />
<br />
streak plate technique บน Selective Plating Media อยางละ 2 plate<br />
BPLS<br />
XLD<br />
บมที่ 37 ±1 องศาเซลเซียส นาน 24 ชั่วโมง<br />
<br />
ถายเชื้อจากลักษณะโคโลนีที่เจริญบนอาหารวุนเลี้ยงเชื้อทั้งสองชนิด<br />
ที่คาดวาจะเปนโคโลนีของเชื้อซัลโมเนลลา ขีดลงในอาหารเลี้ยงเชื้อ Nutrient agar ตามลําดับแลวนําไป<br />
บมที่อุณหภูมิ 37±1 องศาเซลเซียส เปนเวลา 24 ±3 ชั่วโมง<br />
<br />
ทดสอบคุณสมบัติทางชีวเคมี<br />
ทําการขีดเชื้อ (streak) ลงบนอาหาร simmon citrate agar และ Urea agar<br />
ทําการขีดและแทงเชื้อ (streak & stab) ในอาหาร TSI<br />
ทําการแทงเชื้อ (stab) ในอาหาร MIL<br />
บมที่ 37 องศาเซลเซียส นาน 24 ชั่วโมง
76<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
<br />
1. Simmon citrate 2. Urea 3. TSI 4.MIL<br />
การยืนยันผลทางปฏิกิริยาชีวเคมี<br />
ทําการถายเชื้อจากโคโลนีที่ไดจากขั้นตอนขางตนลงในอาหารที่ใชทดลอบ โดยใชเข็มเขี่ยเชื้อเขี่ยเชื้อจาก<br />
โคโลนีทีเลือกไว แลวนําไปใสในอาหารเลี้ยงเชื้อที่ใชทดสอบคุณสมบัติทางชีวเคมีของเชื้อซัลโมเนลลาตามลําดับ<br />
ดังนี้ เริ่มจากขีดบน simmon citrate agar แลวมาขีดบน Urea agar จากนั้นมาขีดและแทงใน TSI agar และสุดทาย<br />
แทงลงไปใน MIL medium โดยขั้นตอนทั้งหมดทําการเขี่ยเชื้อมาครั้งเดียวและใหเข็มเขี่ยเชื้ออันเดียว<br />
อาหารเลี้ยงเชื้อ simmon citrate agar<br />
หลังจากนําไปบมที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียสเปนเวลา 24 ชั่วโมง จากนั้นนํามาอานผลถาไดผลบวกจะมี<br />
การใช citrate มีการเปลี่ยนสีของอาหารเลี้ยงเชื้อจากสีเขียวกลายเปนสีน้ําเงิน กรณีอานไดผลลบ จะไมมีการใช<br />
citrate อาหารเลี้ยงเชื้อจะไมเปลี่ยนเปนสีน้ําเงิน เชื้อซัลโมเนลลาจะใหผลทดสอบเปนบวก เนื่องจากสามารถใช<br />
citrateได<br />
อาหารเลี้ยงเชื้อ Urea agar<br />
หลังจากนําไปบมที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียสเปนเวลา 24 ชั่วโมง จากนั้นนํามาอานผลถาไดผลบวกจะมี<br />
การสรางแอมโมเนีย โดยจะมีการเปลี่ยนสีของอาหารเลี้ยงเชื้อจากสีฟนอลเรด (Phenol red) กลายเปนสีชมพู กรณี<br />
อานไดผลลบ จะไมมีการสรางแอมโมเนีย อาหารเลี้ยงเชื้อจะไมเปลี่ยนเปนสีชมพู เชื้อซัลโมเนลลาจะใหผลทดสอบ<br />
เปนลบ เนื่องจากไมมีการสรางแอมโมเนีย<br />
อาหารเลี้ยงเชื้อ TSI Agar<br />
หลงัจากนําไปบมที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส เปนเวลา 24 ชั่วโมง<br />
ลักษณะสีของกนหลอดอาหารเลี้ยงเชื้อ (Butt) เมื่อบมเปนเวลา 24 ชั่วโมง<br />
• สีเหลือง มีการใชกลูโคส<br />
• สีแดงหรือไมเปลี่ยนแปลง ไมมีการใชกลูโคส<br />
• สีดํา มีการสรางกาซไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
• มีฟองอากาศ หรือ รอยแยก มีการสรางกาซจากกลูโคส<br />
ลักษณะสีของผิวหนาอาหารเลี้ยงเชื้อ (Slant surface) เมื่อบมเปนเวลา 24 ชั่วโมง<br />
• สีเหลือง มีการใชแลคโตสหรือซูโครส<br />
• สีแดงหรือไมเปลี่ยนแปลง ไมมีการใชแลคโตสหรือซูโครส<br />
ลักษณะเฉพาะของเชื้อซัลโมเนลลา คือ มีคุณสมบัติเปนเบส หรือเปลี่ยนเปนสีแดงที่ผิวหนาของอาหาร<br />
เลี้ยงเชื้อ และมีคุณสมบัติเปนกรด หรือเปลี่ยนเปนสีเหลืองที่กนหลอดอาหารเลี้ยงเชื้อ และมีการสรางกาซ<br />
ไฮโดรเจนซัลไฟด หรือเกิดสีดําที่กนหลอดอาหารเลี้ยงเชื้อ<br />
อาหารเลี้ยงเชื้อ MIL medium<br />
หลังจากนําไปบมที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียสเปนเวลา 24 ชั่วโมง จากนั้นนํามาอานผล การเคลื่อนที่ถาไดผลบวก<br />
จะพบวาอาหารเลี้ยงเชื้อขุนทั่วทั้งหลอด กรณีอานไดผลลบ จะพบการเจริญของเชื้อเฉพาะบริเวณที่แทงเข็มเขี่ยเชื้อลง<br />
ไปเทานั้น การสรางอินโดล หลังจากหยดน้ํายา kovac อานผลภายใน 5 วินาที ผลบวก สารละลาย kovac ที่หยดลงไป
77<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
จะเปนสีชมพูแดง ผลลบสารละลาย kovac จะไมเปลี่ยนสี การทดสอบ lysine decarboxylase ผลบวก อาหารเลี้ยงเชื้อ<br />
จะไมเปลี่ยนสี ยังคงเปนสีมวงเหมือนตั้งตน ผลลบอาหารเลี้ยงเชื้อจะเปลี่ยนเปนสีเหลือง เชื้อซัลโมเนลลาจะให<br />
ผลทดสอบเปนลบในการทดสอบอินโดล ใหผลบวกในการทดสอบการเคลื่อนที่เปนสวนใหญและใหผลบวกเปน<br />
สวนใหญกับการทดสอบ lysine decarboylase<br />
การแปลผลการทดสอบทางปฏิกิริยาชีวเคมีของเชื้อซัลโมเนลลา<br />
Test<br />
Salmonella strains<br />
S.typhi S.paratyphi A S.paratyphi B S.paratyphi C Other strains<br />
Reaction Reaction Reaction Reaction Reaction<br />
TSI acid from glucose + VE + + VE + VE + VE<br />
TSI gas from glucose - NE + + VE + VE + VE<br />
TSI acid from lactose - NE - NE - NE - NE - NE<br />
TSI acid from sucrose - NE - NE - NE - NE - NE<br />
TSI H 2 S produce + VE - NE + VE + VE + VE<br />
Urea hydrolysis - NE - NE - NE - NE - NE<br />
Lysine decarboxylase + VE - NE + VE + VE + VE<br />
Production of indole - NE - NE - NE - NE - NE<br />
14. วิธีการตรวจนับปริมาณ coliform bacteria โดยวิธี Most Probable Number (MPN)<br />
อุปกรณและเครื่องมือ<br />
1. ตะเกียงบุนเสน หรือตะเกียงแอลกอฮอล<br />
2. ลูกยางสามทาง หรือ Pipette aid<br />
3. อางน้ําควบคุมอุณหภูมิ (Water bath) อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส<br />
4. หลอดดักกาซ (Durham tube)<br />
5. ตูบมเชื้อ อุณหภูมิ 30+1 องศาเซลเซียส<br />
6. ที่ใสหลอดทดลอง<br />
7. ปเปต ปริมาตร 10 ml.<br />
8. ปเปต ปริมาตร 1 ml.<br />
9. หลอดทดลอง ขนาด 16 x 150 มม. พรอมฝาปดหลอดทดลอง<br />
10. หลอดทดลอง ขนาด 18 x 150 มม. พรอมฝาปดหลอดทดลอง<br />
อาหารเลี้ยงเชื้อ<br />
1. Double strength lauryl sulfate broth (D-TSB) ปริมาตร 10 ml. พรอมหลอดดักกาซ<br />
2. Single strength lauryl sulfate broth (S-TSB) ปริมาตร 10 ml. พรอมหลอดดักกาซ<br />
3. Brilliant green lactose bile broth (BGLBB) ปริมาตร 10 ml. พรอมหลอดดักกาซ
78<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
วิธีการปฏิบัติงาน<br />
1 เตรียมตัวอยางตาม SOP การเตรียมตัวอยางอาหารเพื่อการตรวจคุณภาพทางจุลชีววิทยา<br />
2 เจือจางเชื้อตาม SOP การเจือจางตัวอยาง<br />
3 ใช Pipette ดูดตัวอยางเริ่มตนปริมาตร 10 ml. ใสลงใน D-LSB จํานวน 3 หลอด<br />
4 ใช Pipette ดูดตัวอยางเริ่มตนปริมาตร 1 ml. ใสลงใน S-LSB จํานวน 3 หลอด<br />
5 ใช Pipette ดูดตัวอยางที่มีความเขมขนลดลง 10 เทา ปริมาตร 1 ml. ใสลงใน S-LSB จํานวน 3 หลอด<br />
6 ใช Pipette ดูดตัวอยางที่มีความเขมขนลดลง 100 เทา ปริมาตร 1 ml. ใสลงใน S-LSB จํานวน 3 หลอด<br />
7 ใช Pipette ดูดตัวอยางที่มีความเขมขนลดลง 1,000 เทา ปริมาตร 1 ml. ใสลงใน S-LSB จํานวน 3 หลอด<br />
8 บมเชื้อที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส นาน 48 ชั่วโมง<br />
9 อานผลโดยนับจํานวนหลอดที่ใหผลบวก คือ หลอดที่เกิดกาซในหลอดดักกาซของแตละความเขมขน<br />
10 ทดสอบเชื้อขั้นยืนยันโดยใชหวงเขี่ยเชื้อถายเชื้อจากหลอดที่ใหผลบวกทุกหลอดลงสู BGLBB หลอดตอ<br />
หลอด<br />
11 บมเชื้อที่อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส นาน 48 ชั่วโมง ในอางน้ําควบคุมอุณหภูมิ<br />
12 อานผลโดยนับจํานวนหลอดที่ใหผลบวก คือ หลอดที่เกิดกาซในหลอดดักกาซของแตละความเขมขน<br />
13 อานคา MPN coliform จากตาราง MPN<br />
15. วิธีการตรวจนับปริมาณ Fecal coliform bacteria และ E. coli โดยวิธี Most Probable Number<br />
(MPN)<br />
อุปกรณเครื่องมือ<br />
1. ตะเกียงบุนเสน หรือตะเกียงแอลกอฮอล<br />
2. ลูกยางสามทาง หรือ Pipette aid<br />
3. อางน้ําควบคุมอุณหภูมิ (Water bath) อุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียส<br />
4. ตูบมเชื้อ (Incubator) อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส<br />
5. หลอดดักกาซ (Durham tube)<br />
6. ที่ใสหลอดทดลอง<br />
7. ปเปต ปริมาตร 10 ml.<br />
8. ปเปต ปริมาตร 1 ml.<br />
9. หลอดทดลองขนาด 16 x 150 มม.พรอมฝาปดหลอดทดลอง<br />
10. หลอดทดลองขนาด18 x 150 มม.พรอมฝาปดหลอดทดลอง<br />
11. เครื่องผสมสารในหลอดทดลอง<br />
อาหารเลี้ยงเชื้อและสารเคมี<br />
1. Single strength lauryl sulfate broth (S-TSB) ปริมาตร 10 ml. พรอมหลอดดักกาซ<br />
2. Double strength lauryl sulfate broth (D-TSB) ปริมาตร 10 ml. พรอมหลอดดักกาซ<br />
3. EC broth (EC) ปริมาตร 10 มล. พรอมหลอดดักกาซ<br />
4. Eosin methylene blue agar (EMB)<br />
5. Tryptone water (TW) ปริมาตร 10 มล.<br />
6. Kovac’s reagent
79<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
วิธีการปฏิบัติงาน<br />
1. เตรียมตัวอยางตาม SOP การเตรียมตัวอยางอาหารเพื่อการตรวจคุณภาพทางจุลชีววิทยา<br />
2. เจือจางเชื้อตาม SOP การเจือจางตัวอยาง<br />
3. ใช Pipette ขนาด 10 มล. ดูดตัวอยางเริ่มตนปริมาตร 10 ml. ใสลงใน D-LSB จํานวน 3 หลอด<br />
4. ใช Pipette ขนาด 1 มล. ดูดตัวอยางเริ่มตนปริมาตร 1 ml. ใสลงใน S-LSB จํานวน 3 หลอด<br />
5. ใช Pipette ขนาด 1 มล. ดูดตัวอยางที ่มีความเขมขนลดลง 10 เทา ปริมาตร 1 ml. ใสลงใน S-LSB จํานวน 3<br />
หลอด<br />
6. ใช Pipette ขนาด 1 มล. ดูดตัวอยางที่มีความเขมขนลดลง 100 เทา ปริมาตร 1 ml. ใสลงใน S-LSB จํานวน<br />
3 หลอด<br />
7. ใช Pipette ขนาด 1 มล. ดูดตัวอยางที่มีความเขมขนลดลง 1,000 เทา ปริมาตร 1 ml. ใสลงใน S-LSB<br />
จํานวน 3 หลอด<br />
8. บมเชื้อที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส นาน 48+6 ชั่วโมง<br />
9. อานผลโดยนับจํานวนหลอดที่ใหผลบวก คือ หลอดที่เกิดกาซในหลอดดักกาซของแตละความเขมขน<br />
10. ทดสอบเชื้อขั้นยืนยันผลโดยใชหวงเขี่ยเชื้อถายเชื้อจากหลอดที่ใหผลบวกลงสู EC หลอดตอหลอด<br />
11. บมเชื้อที่อุณหภูมิ 44.5+1 องศาเซลเซียส นาน 48+6 ชั่วโมง ในอางน้ําควบคุมอุณหภูมิ<br />
12. อานผลโดยนับจํานวนหลอดที่ใหผลบวก คือ หลอดที่เกิดกาซในหลอดดักกาซของแตละความเขมขน<br />
13. อานคา MPN Fecal coliform จากตาราง MPN<br />
14. ถายเชื้อจากหลอดที่ใหผลบวกใน EC ลงใน EMB agar โดยใชหวงเขี่ยเชื้อ โดยเขี่ยใหเปนโคโลนีเดี่ยว<br />
(Streak for isolation)<br />
15. บมเชื้อที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส นาน 24+6 ชั่วโมง ในตูบมเชื้อ<br />
16. ทดสอบเชื้อขั้นยืนยันผล โดยเขี่ยเชื้อจากโคโลนีสีเขียววาวเหมือนโลหะ (Green metallic sheen) ลงใน TW<br />
17. บมเชื้อที่อุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียส นาน 24+6 ชั่วโมง ในอางน้ําควบคุมอุณหภูมิ<br />
18. หยด Kovac’s reagent ลงใน TW ถาเกิดวงแหวนสีแดงขึ้นที่ดานบน อานเปนผลบวก<br />
19. อานผลโดยนับจํานวนหลอดที่ใหผลบวก ในแตละความเขมขน<br />
20. อานคา MPN E. coli จากตาราง MPN
80<br />
การใชครุภัณฑ<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
1. กลองจุลทรรศน<br />
1. เสียบปลั๊กไฟฟาใหเรียบรอย<br />
2. วางสไลดที่ตองการตรวจบน stage หมุนหัว Objective lens กําลังขยาย 10 เทา (X10) ใหตรงกับวัตถุที่จะ<br />
ตรวจ เลื่อน stage ขึ้นชาๆ โดยการหมุน coarse adjustment จนมองเห็นวัตถุที่จะตรวจ<br />
3. ปรับ fine adjustment เพื่อใหมองเห็นวัตถุที่จะตรวจชัดเจนขึ้น<br />
4. เปด iris diaphragm ใหกวางที่สุด แลวคอยๆปดเพื่อใหแสงสวางลดลงและเห็นวัตถุชัด จึงเริ่มทําการตรวจ<br />
และทําอยางนี้ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนหัว objective lens<br />
5. ถาตองการจะตรวจดูดวย objective lens ที่มีกําลังขยายมาก (X 40) จะตองดูดวย Objective lens (X10) กอน<br />
เสมอ และเลื่อนจุดที่ตองการขยายใหมาอยูตรงกลาง แลวหมุน Objective lens (X40) มาแทนที่ และปรับ<br />
ภาพใหชัดดวยการปรับ fine adjustment เทานั้น<br />
6. ถาตองการดูดวย Objective lens ที่มีกําลังขยายมากที่สุด (X 100) จะตองดูดวย Objective lens (X10) กอน<br />
แลวหยดน้ํามัน (Oil immersion) ลงไปหนึ่งหยด ตอจากนั้นจึงหมุนหัว Objective lens (X100) ลงมา<br />
แทนที่ และปรับภาพดวยปุม fine adjustment ก็จะเห็นภาพวัตถุที่ตองการตรวจชัดเจน และตองใช<br />
กระดาษเช็ดเลนส เช็ด Oil immersion ออกหลังใชงานเสร็จแลว<br />
2. ตูแชสารเคมี<br />
1. ตูแชนี้ใชไฟ 220 V และไมควรเสียบปลั๊กรวมกับปลั๊กของเครื่องใชไฟฟาอื่นๆ ในเตาเสียบเดียวกัน<br />
2. เขียน ชื่อสารเคมี วันเดือนป ผูเตรียมสารเคมีชนิดนั้นหรือเจาของ ติดไวขางขวดทุกขวด<br />
3. ของที่มีกลิ่นควรคลุมดวยถุงพลาสติกหรือกลองเสียกอนที่จะนําไปแช<br />
4. ไมควรใสของในตูแชมากเกินไป และควรใหมีชองวางเพื่อใหความเย็นกระจายไดทั่วถึง<br />
5. เวลาใสหรือนําของออกจากตูแช ไมควรเปดฝาทิ้งเปนเวลานาน<br />
3. การใชงานเครื่อง centrifuge EBA 12<br />
1. เสียบปลั๊ก แลวเปด switch ที่บริเวณฐานของเครื่อง Centrifuge EBA 12<br />
2. รอใหมีสัญญาณเสียงดังเตือน 1 ครั้ง และไฟแสดงสัญลักษณเปดฝาเครื่องติดกอน แลวจึงสามารถเปดฝา<br />
เครื่องได<br />
3. เปดฝาเครื่อง แลวใสหลอดทดลองลงไป โดยดานตรงขามของแตละแขนของเครื่องจะตองมีน้ําหนักเทากัน<br />
(Balance) แลวปดฝาเครื่อง<br />
4. ตั้งเวลาในการปนโดยการกด > < แลวจะมีตัวเลขแสดงเวลา จากนั้นกด หรือ<br />
จนไดเวลาที่ตองการ<br />
5. ตั้งความเร็วในการปน โดยการกด > < แลวจะมีตัวเลขแสดงความเร็ว จากนั้นกด<br />
หรือ จนไดความเร็วที่ตองการ<br />
6. กด ST OP เพื่อตั้งโปรแกรมการทํางาน
81<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
7. กด START เพื่อเริ่มการทํางานตามโปรแกรมที่ตั้งไว รอจนกวาเครื่องทํางานเสร็จ จะมีเสียงดัง 1 ครั้ง และ<br />
มีไฟที่แสดงสัญลักษณเปดฝาเครื่องติดกอน แลวจึงเปดฝาเครื่องได<br />
8. หากตองการหยุดการทํางานของเครื่องกอนหมดเวลาที่ตั้งโปรแกรมไว ใหกด STOP เครื่องจะหยุดการ<br />
ทํางาน แลวรอใหสัญญาณเสียงดัง 1 ครั้ง และมีไฟที่แสดงสัญลักษณเปดฝาเครื่องติดกอน แลวจึงเปดฝา<br />
เครื่องได<br />
9. เมื่อเลิกใชงาน ใหปด switch ที่บริเวณฐานของเครื่อง และถอดปลั๊กออกทุกครั้งหลังการใชงานเสร็จ<br />
4. Hematocrit centrifuge<br />
1. เสียบปลั๊กแลว เปดฝาเครื่อง<br />
2. เปดฝาครอบจานออก<br />
3. ใส capillary tube ลงไปโดยการวางหลอดเลือดควรวางดานที่มีดินน้ํามันชิดขอบจานและควรวางหลอดโดย<br />
ใหมีอีกอันอยูดานตรงขามเพื่อใหเกิดการสมดุลย (Balance)<br />
4. ปดฝาครอบจานใหแนน และปดฝาเครื่อง<br />
5. ตั้งเวลาในการปน โดยการหมุนปุมปรับเวลา 5 นาที สัญญาณไฟที่ pilot lamp จะติด มอเตอรจะเริ่มทํางาน<br />
6. เมื่อครบเวลาเครื่องจะหยุดการทํางานเองโดยอัตโนมัติ รอใหเครื่องหยุดสนิทแลวจึงสามารถเปดฝาเครื่องได<br />
7. เปดฝาครอบเครื่อง<br />
8. เปดฝาครอบจาน นําหลอดเลือดที่ปนไดมาอานคา % hematocrit จาก Scale ทันที<br />
9. เมื่อเลิกใชงานใหถอดปลั๊กออกทุกครั้งหลังการใชงานเสร็จ<br />
10. หากตองการหยุดการทํางานของเครื่องกอนหมดเวลาที่ตั้งโปรแกรมไว ใหปรับปุมหมุนตั้งเวลามาที่ 0<br />
เครื่องจะหยุดการทํางาน แลวรอใหเครื่องหยุดสนิทกอนแลวจึงสามารถเปดฝาเครื่องได<br />
ปุมตั้งเวลา (นาที) pilot lamp<br />
รูปแสดงปุมการทํางานของเครื่อง Hematocrit centrifuge<br />
5. Autopipette<br />
1. กอนใชงานทุกครั้งใหศึกษาการทํางานของ Autopipette ที่เลือกใชงาน เพราะบางชนิดอาจทํางานได 2<br />
จังหวะ ซึ่งกําหนดปริมาตรไว แตบางชนิดมี overshoot หรือจังหวะที่ 3<br />
2. การใช overshoot มีวิธีการใช สองวิธีคือ forward mode และ reverse mode<br />
3. forward mode คือการกดลูกสูบลง(จังหวะที่ 1) แลวปลอยลูกสูบดูดของเหลวขึ้นมา(จังหวะที่ 2) แตตอน<br />
เอาของเหลวออก ตองกดลูกสูบชวง overshoot (จังหวะที่ 3) เพื่อไลของเหลวออกใหหมด
82<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
4. reverse mode คือกดลูกสูบชวง overshoot (จังหวะที่ 3)แลวปลอยลูกสูบดูดของเหลวจนสุด เมื่อเอา<br />
ของเหลวออกก็กดลูกสูบลง (จังหวะที่ 1) จะเห็นวาจะมีของเหลวเหลืออยูที่ Tip<br />
5. ตรวจดูความสะอาดของตัว pipette ตลอดจนสวนปลายซึ่งใชสวม Tip อยาใหมีซีรั่ม หรือน้ํายาติดอยู<br />
6. พรอมของ Autopipette ที่จะใชทํางาน คือหลังจากดูดของเหลวเขาไปใน Tip แลว ใหยกขึ้นดูในอากาศ<br />
ประมาณ 1 นาที ถาหากของเหลวนั้นไมหยดออกมาที่ปลาย Tip แสดงวาพรอมที่จะใชงาน<br />
7. การใช Autopipette ในการดูดและปลอยของเหลว<br />
8. ปรับปริมาตร Autopipette ตามตองการ ใส tip ที่ปลาย Autopipette ใหแนบสนิทพอดี ใหสังเกต Tip ดวยวา<br />
สะอาดและไมมีรอยบุเยิน<br />
9. จับ Autopipette ตั้งตรงเวลาดูดของเหลว ดูดของเหลวโดยใหปลาย Tip แตะที่ผิวของของเหลว ไมควรจุม<br />
ลงในของเหลวที่ลึกจนเกินไป เพราะจะทําใหเกิดการติด ที่ภายนอกของตัว Tip และไมควรใชกระดาษซับ<br />
ที่ปลาย Tip ภายหลังดูดของเหลวแลว<br />
10. เมื่อดูดของเหลวเขาไปใน Tip แลว หามวาง Autopipette ในแนวนอน เพราะจะทําใหของเหลวไหลยอน<br />
เขาไปในตัว Autopipette ได<br />
11. การปลอยของเหลว ใหใชปลาย tip แตะขางภาชนะ แลวปลอยของเหลวลงอยางชาๆ<br />
12. เปลี่ยน Tip ใหมทุกครั้ง เมื่อจะทําการดูดของเหลวชนิดอื่น<br />
6. Autoclave<br />
1. เติมน้ําลงในกรวย หมายเลข 15 โดยเปดวาลวหมายเลข 4 และวาลวหมายเลข 1 สังเกตดูระดับน้ําที่เติมได<br />
จากหลอดแกวดูระดับน้ําหมายเลข 17 ใหเติมประมาณ 24 ลิตร ใชน้ํากรองเติม เมื่อเติมไดระดับแลวใหปด<br />
วาลวหมายเลข 1 และ 4<br />
2. ใสของที่ตองการนึ่งเขาในหองนึ่ง แลวปดประตูเครื่องนึ่งใหสนิท โดยผลักคันล็อกหมายเลข 7 ไปทางขวา<br />
มือใหสุด (ซึ่งจะอยูที่ตําแหนง 12 นาฬิกา) แลวหมุนพวงมาลัยล็อกหมายเลข 8 ไปทางขวามือเชนกันให<br />
แนน<br />
3. ตรวจดูวาลวทุกตัวตั้งแตหมายเลข 1 ถึง 6 ใหอยูในตําแหนงปด<br />
4. ปรับอุณหภูมินึ่ง (Sterilizing temperature) ที่เครื่องควบคุมอุณหภูมิหมายเลข 29 (Termostat) ใหอยู<br />
ตําแหนงที่ตองการ ปรับไดตั้งแต 110-130 องศาเซลเซียส<br />
5. ตั้งเวลานึ่ง (Sterilize timer) ที่นาฬิกาตั้งเวลาหมายเลข 28 ใหอยูในตําแหนงที่ตองการ (หามปรับตั้งเวลาใน<br />
ขณะที่เครื่องกําลังทํางานอยู)<br />
6. เปดสวิทชไฟ (Main) ใหอยูในตําแหนง ON เครื่องนึ่งจะเริ่มทํางาน สังเกตที่หลอดไฟสีเขียว (Power)<br />
หมายเลข 24 และหลอดไฟสีแดง (Heater) หมายเลข 25<br />
7. พอแรงดันไอน้ําขึ้นถึง 28 ปอนด/ตารางนิ้ว สังเกตที่มาตรวัดแรงดันหมายเลข 9 ซึ่งเปนมาตรวัดแรงดันไอ<br />
น้ําของผนังชั้นนอก จึงคอยเปดวาลวหมายเลข 3 และ 4 เพื่อทําระบบสุญญากาศ โดยสังเกตจากมาตรวัด<br />
แรงดันหมายเลข 10 เข็มชี้จะคอยๆลดต่ําลงมาจนถึงขีด -10 นิ้วปรอท จากนั้นใหปดวาลวหมายเลข 3 และ 4<br />
ตามลําดับ<br />
8. เปดวาลวหมายเลข 2 เพื่อใหไอน้ําในผนังชั้นนอกเขาในหองนึ่ง โดยคอยๆเปด สังเกตที่มาตรวัดความดัน<br />
หมายเลข 10 เข็มที่ชี้จะคอยๆขยับขึ้น แลวกดปุม Drying time เพื่อจับเวลา
83<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
9. จากนั้นเครื่องนึ่งจะทํางานเองโดยอัตโนมัติจนถึงเวลาที่ตั้งไว เมื่อทําการนึ่งเสร็จแลวสัญญาณออดก็จะดัง<br />
เตือนและจะหยุดเองโดยอัตโนมัติ<br />
10. คอยๆเปดวาลวหมายเลข 2 และหมายเลข 3 ชาๆ เพื่อปลอยไอน้ําในหองนึ่งทิ้ง จนเข็มของมาตรวัดแรงดัน<br />
หมายเลข 10 ลดลงจนถึง 0<br />
11. การเปดประตูเครื่องนึ่งใหเปดวาลวหมายเลข 6 เพื่อใหอากาศเขาไปแทนที่สุญญากาศภายในหองนึ่ง จึงจะ<br />
เปดประตูเครื่องนึ่งได<br />
7. Larminar flow<br />
1. เสียบปลั๊กเขากับเตาเสียบไฟฟา จะมีไฟสีแดงที่ timer ของ UVH ติดสวาง 2 จุด (ปกติจะเสียบปลั๊กทิ้งไวอยู<br />
แลว)<br />
2. เช็ดดานในของ working chamber ดวยแอลกอฮอล 70%<br />
3. เลื่อนบานกระจกดานหนา chamber ลงมาใหปดสนิท<br />
4. เปดแสง UV ที่สวิทช UVC เพื่อฆาเชื้อที่ตกคางอยูใน working chamber ใชเวลา 15-20 นาที<br />
5. ปดแสง UV เมื่อครบเวลา ลงบันทึกการเปดแสง UV ทุกครั้งที่แบบฟอรมขางตู<br />
6. 6. เปดสวิทช blower ทํางาน (ดันสวิทชขึ้น ไฟสีแดงดานบนสวิทชจะติดสวาง มีเสียงพัดลมของเครื่องกําลัง<br />
ทํางาน) เช็คดูที่ปุม speed control ควรชี้ที่ตําแหนงเลข 1 และเช็คดูที่ magnehelic gauge เข็มควรชี้ที่<br />
ประมาณ 0.5 inch of water<br />
7. เปด blower ทิ้งไวประมาณ 5 – 10 นาที เพื่อใหความเร็วลมใน chamber คงที่ที่ประมาณ 100 ฟุตตอ<br />
นาที หรือ 0.5 เมตรตอวินาที และดูดเอาอากาศที่มีฝุนและ particle อื่นๆซึ่งตกคางอยูออกไปจาก clean<br />
working chamber<br />
8. นําอุปกรณที่จะใชในการทํางานเขาไปไวใน chamber โดยเลื่อนประตูกระจกดานหนาขึ้นควรวางอุปกรณ<br />
ใหลึกเขาไปโดยหางจากชองลมอยางนอย 4 นิ้ว<br />
9. เลื่อนประตูกระจกปดลงมา ทิ้งไวให blower ทํางานอีก 5 – 10 นาที<br />
10. 10. เปดสวิทช light ของหลอด fluorescent ใหแสงสวางในการทํางาน<br />
11. ผูปฏิบัติงาน ควรสวมเสื้อกาวนที่สะอาด สวม mask ปดปาก ลางมือและแขนใหสะอาด สวมถุงมือยาง<br />
และพนแอลกอฮอล 70% ฆาเชื้อบริเวณมือและแขน กอนปฏิบัติงาน<br />
12. ผูปฏิบัติงาน ควรนั่งใหมีระดับความสูงพอเหมาะคือระดับคางจะตองอยูสูงจากขอบลางของประตูกระจก<br />
ไมต่ํากวา 2 นิ้ว<br />
13. ควรระวังอยาใหของเหลวหก ตก กระเด็น ในบริเวณ working chamber โดยเฉพาะดานบนที่เปนสวน<br />
หลังของ hepa filter และชองลมซึ่งมี prefilter รองอยูดานลาง<br />
14. เมื่อเสร็จงานแลวนําอุปกรณออกจาก chamber เปด blower ทิ้งไวอีก 5 – 10 นาที<br />
15. เช็ดทําความสะอาด ดานใน chamber ดวย แอลกอฮอล 70%<br />
16. ปดประตูกระจกใหสนิท<br />
17. ตั้งเวลาการทํางานของ U V H เพื่อใชแสง U V ฆาเชื้อที่ตกคางอยูภายใน hepa filter ซึ่งจะหยุดการ<br />
ทํางานโดยอัตโนมัติเมื่อครบเวลาที่ตั้งไว โดยหมุนปุมตั้งเวลาไวที่ 2 ชั่วโมง สําหรับการทํางานตลอดทั้ง<br />
วัน และ 1 ชั่วโมงสําหรับการทํางานครึ่งวัน<br />
18. กดปุม reset สีแดงดานบน timer ของ U V H ไฟสีแดงดานซายจะดับลง
8. อางน้ําควบคุมอุณหภูมิ<br />
84<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
1. ใหเติมน้ํากรองจนถึงขีดที่กําหนดในอาง<br />
2. เสียบปลั๊ก<br />
3. เปด main switch<br />
4. ตั้งคาอุณหภูมิที่ตองการใช โดยกดปุม set คางไวแลวหมุนปุมปรับอุณหภูมิตามที่ตองการ<br />
5. รอจนคาอุณหภูมิถึงจุดที่กําหนดแลวถึงนําของที่ตองการอุนมาอุนในอางน้ําควบคุมอุณหภูมิ<br />
6. ถาอุณหภูมิไมถึงจุดที่กําหนดและไฟที่ตําแหนง alarm ติดใหกดปุม reset เครื่องใหม (ปุม reset อยูดานหลัง<br />
เครื่อง)<br />
7. เมื่อใชเสร็จใหปดฝาเครื่องและ main switch<br />
9. เครื่องเขยาผสมสารละลายรุน G-560E<br />
1. วางเครื่องบนพื้นโตะพื้นราบเรียบสม่ําเสมอ เสียบปลั๊ก<br />
2. สําหรับการใชงานที่ตองการใหมีการผสมสารตลอดเวลา ใหปรับสวิทชไปที่ตําแหนง “ON”<br />
3. สําหรับการใชงานที่ตองการใหมีการผสมสารเปนชวงๆ ใหปรับสวิทชไปที่ตําแหนง “ TOUCH ”<br />
4. นําสิ่งที่ตองการเขยาผสมสารวางตรงแทนเขยาที่อยูดานบนเครื่อง<br />
5. ปรับความเร็วของการเขยาตามความตองการโดยใชปุมที่กําหนดความแรงของ Mixer<br />
6. เมื่อใชงานเสร็จใหปรับสวิทชกลับไปที่ตําแหนง “ OFF “<br />
7. ถอดปลั๊ก<br />
10. ตูบมเพาะเชื้อ (Incubator)<br />
1. เสียบปลั๊ก<br />
2. เปดเครื่อง โดยหมุนปุม main switch ไปที่ตําแหนง I ไฟสีเขียวที่ตําแหนง Power และไฟสีเหลืองที่<br />
ตําแหนง heat จะติด<br />
3. ปรับอุณหภูมิที่ตองการโดยกดปุม set คางไวแลวหมุนปรับอุณหภูมิโดยใชปุมปรับที่อยูขางปุม set<br />
4. รอใหอุณหภูมิถึงจุดที่กําหนดไวไฟสีเหลืองที่ตําแหนง heat จะดับลง ถึงจะนําของที่จะบมเขาเก็บในตู ปด<br />
ฝาตูใหสนิททั้ง 2 ชั้น<br />
5. เมื่อใชงานเสร็จแลวใหปดเครื่องโดยหมุนปุม main switch ไปที่ตําแหนง O ไฟสีเขียวจะที่ตําแหนง Power<br />
จะดับลง
85<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
11. เครื่องกวนสารละลายโดยพรอมแผนแมเหล็กใหความรอน (Hot plate stirrer)<br />
1. เสียบปลั๊ก<br />
2. เปด main switch ดานหนาเครื่อง<br />
3. ถาตองการกวนสารใหเปดปุมควมคุมหมวด stirrer ปรับตามความแรงตามที่ตองการ ไฟแสดงการทํางาน<br />
จะติด<br />
4. ถาตองการความรอนใหเปดปุมควมคุมหมวด heater ปรับตามความรอนตามที่ตองการ ไฟแสดงการ<br />
ทํางานจะติด<br />
5. เมื่อใชงานเสร็จใหหมุนปุมควบคุมทั้ง 2 อยางลงมาในตําแหนง off แลวปด main switch<br />
6. ถอดปลั๊ก<br />
12. ตูอบฆาเชื้อโดยใชความรอน (Hot air oven)<br />
1. นําของที่ตองการอบเขาวางในตู<br />
2. เปดเครื่อง โดยหมุนปุม main switch ไปที่ตําแหนง ไฟสีเขียวที่ตําแหนง Power และไฟสีเหลืองที่<br />
ตําแหนง heat จะติด<br />
3. หมุนปุมปรับเวลาตั้งเวลาตามที่ตองการจะใช<br />
4. หมุนปุมปรับอุณหภูมิปรับอุณหภูมิที่ตองการจะใช<br />
5. ถาอุณหภูมิถึงจุดที่กําหนดไฟสีเหลืองที่ตําแหนง heat จะดับลง<br />
6. เมื่อใชงานเสร็จแลวใหปดเครื่องโดยหมุนปุม main switch ไปที่ตําแหนง O ไฟสีเขียวที่ตําแหนง Power<br />
จะดับลง<br />
13. เครื่องชั่ง OHAUS<br />
1. เปดเครื่องทิ้งไว เพื่อปรับการทํางานของเครื่องใหเขากับสภาวะแวดลอม 30 นาที จอแสดง 0.00 g (หรือ<br />
0.000 g หรือ 0.0 g)<br />
2. หากจอแสดงคาน้ําหนักใดๆอยูสามารถปรับใหเปน 0.00 g (หรือ 0.000 g หรือ 0.0 g) โดยกดปุม TARE<br />
3. วางภาชนะบนจาน จอแสดงน้ําหนักของภาชนะ<br />
4. กดปุม TARE จอที่แสดงน้ําหนักจะเปลี่ยนเปน 0.00 g (หรือ 0.000 g หรือ 0.0 g)<br />
5. นําสารหรือวัสดุที่ตองการชั่งใสลงไปในภาชนะ คาที่แสดงบนจอหนาปดจะเปนคาของน้ําหนักสารหรือ<br />
วัสดุนั้นๆ โดยไมรวมน้ําหนักภาชนะ<br />
6. รอจนคาน้ําหนักคงที่ ซึ่งสังเกตไดจากเครื่องหมาย * บนมุมดานซายของจอหนาปด<br />
7. ถาเอาภาชนะออกจากจานตราชั่ง จอแสดงคาของภาชนะที่ติดเครื่องหมายลบใหกดปุม TARE คาน้ําหนัก<br />
ของภาชนะที่ติดเครื่องหมายลบจะเปลี่ยนเปน 0.00 g (หรือ 0.000 g หรือ 0.0 g)<br />
8. เมื่อใชงานเสร็จกดปุม OFF ตัวเลขบนจอจะหายไป
14. เครื่องตีผสมสารตัวอยาง<br />
86<br />
หองปฏิบัติการแบคทีเรียและ<br />
หองปฏิบัติการตรวจคุณภาพอาหารและน้ําทางจุลชีววิทยา<br />
1. เสียบปลั๊ก เปด main switch<br />
2. ตั้งเวลาในการใชตีผสมตัวอยาง ปกติจะใชเวลาประมาณ 30 วินาที<br />
3. ใสตัวอยางและสวนผสมลงในถุงสําหรับใชตีผสม (ไมควรใสเกิน 400 มิลลิลิตร)<br />
4. ใสถุงตัวอยางลงไปในตําแหนงตีผสม ใหปากถุงพาดกับขอบฝาเครื่อง<br />
5. ปดฝาเครื่อง ขอบถุงตัวอยางจะถูกปดโดยฝาเครื่องจะหนีบไวกับตัวเครื่อง<br />
6. ปดล็อกฝาเครื่องโดยคันโยกปดดานขาง เครื่องจะเริ่มตีผสมตัวอยางหลังจากปดฝาเครื่องใหมิดชิดแลว<br />
7. พอครบเวลาตามที่กําหนดเครื่องจะปดเองอัตโนมัติ ใหเปดล็อกแลวเอาถุงตัวอยางออก<br />
8. ถอดปลั๊ก ปด main switch<br />
15. เครื่องนับโคโลนี<br />
การดูโคโลนี<br />
1. วางจาน petri dish ที่จะใชกอนเสียบสายไฟ<br />
2. ปรับระดับความเอียงของเครื่องใหไดตามตองการ<br />
3. เปดไฟโดยกดปุมเปด-ปด<br />
วิธีการนับ ทําได 2 วิธี คือ<br />
1. วิธีการใชปากกา<br />
1. เสียบปากกาเขากับชองสําหรับตอปากกา<br />
2. หากตองการเสียงขณะนับใหเปดปุมเสียง หากไมตองการใหปด<br />
3. หากเสียบปากกาแลวจะไมสามารถนับดวยการกดปุมบนตัวเครื่อง<br />
4. กดปุม reset กอนเริ่มการนับ<br />
5. จิ้มปากกาลงไปบนฝาจานเพื่อนับโคโลนี<br />
2. วิธีการใชปุมบนตัวเครื่อง<br />
1. หากเสียบปากกาอยูใหถอดออก<br />
2. หากตองการเสียงขณะนับใหเปดปุมเสียง หากไมตองการใหปด<br />
3. กดปุม reset กอนเริ่มการนับ<br />
4. กดปุมบนตัวเครื่องเพื่อนับ
87<br />
หองปฏิบัติการคุณภาพอาหารสัตว<br />
ชื่อหองปฏิบัติการ : หองปฏิบัติการคุณภาพอาหารสัตว (E405, D402)<br />
นักวิทยาศาสตรประจําหองปฏิบัติการ : นางสาวเสาวรัชรี รินอุตย<br />
แผนผังหองปฏิบัติการคุณภาพอาหารสัตว<br />
E402<br />
E404<br />
E405<br />
ทางเดิน<br />
E411<br />
E412<br />
ทางเดิน<br />
E401<br />
E403<br />
E406<br />
E407<br />
E410<br />
Work Instruction<br />
1. การวิเคราะหเยื่อใยโดยรวม (Crude Fiber)<br />
FIBERTEC<br />
warm เครื่อง fibertec โดยการตมน้ํา กดปุม H 2 O รอจนไฟเขียวติด พรอมใชงาน ประมาณ 1 ชั่วโมง<br />
เมื่อไฟเขียวติดที่ H 2 O ใหทําการ warm R1 รอไดเลย โดยกดที่ปุม R1 รอจนไฟเขียวติดที่ R1 พรอมใชงาน<br />
วิเคราะหไดครั้งละ 6 ตัวอยาง ถานอยกวานั้นใหใส crucible เปลา<br />
ชั่งตัวอยาง 1 กรัม และ celite 1 กรัม ลงใน crucible (celite ชวยในการกรอง)<br />
label ตัวอยาง ใหตรงกับตัวเลขที่ crucible<br />
นํา crucible บรรจุลงเครื่อง filter unit ปรับคันโยกใหญเพื่อกด crucible ลง จากนั้นปรับคันบังคับอันเล็ก<br />
จาก rest มายัง close จนครบทุกอัน<br />
เติม acetone 25 c.c. ประมาณตัวเลขขาง crucible (acetone ชวย defat บรรจุในขวดพลาสติกสีแดง)<br />
ทิ้งไว 5 นาที กรองออก โดยปรับคันบังคับเล็กมายัง vac ทีละอันจนครบ (แรงดูดสุญญากาศ จะแบงกันทุก<br />
หลอด ดังนั้น ถาตัวอยางไหนกรองเสร็จแลว ควรปดมาที่ close จะทําใหแรงสุญญากาศเพิ่มขึ้น ตัวอยางที่เหลือจะ<br />
กรองเร็วขึ้น)<br />
เมื่อไมใช filter unit แลวใหปรับคันบังคับเล็กมาที่ rest ทุกครั้ง<br />
ยก crucible มาใสเครื่อง fibertec โยกคันบังคับใหญดานซายลง เพื่อล็อค crucible ใหติดกับเครื่อง<br />
เปดปมน้ํา กดปุม H2O จากนั้นสังเกตปุม R! ถาไฟติดแลว พรอมใชงาน โยกคันบังคับดานบนในแตละ<br />
column มาที่ R1 และเติม R1 จํานวน 150 c.c. (ประมาณขีดกลางของ column) เมื่อครบตามปริมาณตองการปรับคัน<br />
บังคับกลับที่เดิม<br />
เติม octanol 3 – 5 หยด ลงในแตละ column (octanol เปน antifoaming) โดยเปดฝาดานบน
88<br />
หองปฏิบัติการคุณภาพอาหารสัตว<br />
เปดน้ําหลอเย็นดานหลังเครื่อง (ทอ PVC)<br />
ปรับปุมความรอนมาที่ระดับสูงสุด (10)<br />
ปด reflector ใหสนิท โดยดูรูปสามเหลี่ยมใหตรงกัน<br />
รอจนเดือดพรอมกันทุก column แลวปรับปุมความรอนลงมาที่ระดับ 7 – 8 จากนั้นกดปุม timer เครื่องจะ<br />
count down ให 30 min.<br />
ระหวางนี้ ให warm R2 รอไว โดยกดปุม R2 รอจนไฟเขียวติด<br />
ครบ 30 min. ปดปุมความรอนมาที่ระดับต่ําสุด (0)<br />
กดปุม V และปรับคันบังคับดานลาง มาที่ V เพื่อดูดกรอง reagent ทิ้งไป จนครบทุก column (แรงดูด<br />
สุญญากาศ จะแบงกันทุกหลอด ดังนั้น ถาตัวอยางไหนกรองเสร็จแลว ควรปด จะทําใหแรงสุญญากาศเพิ่มขึ้น<br />
ตัวอยางที่เหลือจะกรองเร็วขึ้น)<br />
ถาพบวามีตัวอยางใด มีการอุดตันกรองผานไมได ใหทําการ pressure เพื่อไลตัวอยางไมใหอัดกันแนน โดย<br />
กดปุม P และปรับคันบังคับดานลาง มาที่ P<br />
เติมน้ําลาง โดยการกดปุม H2O เพื่อเปดปมน้ํา จากนั้นใหกดที่ปุมจายน้ํา ดานบนสุดของ column ปุมจายน้ํา<br />
สามารถโยกไปมา ซาย-ขวา เพื่อเติมน้ําไดทุก column ปริมาณน้ําสูงประมาณตัวเลข ขาง crucible แชไวสักครู<br />
เมื่อเติมน้ําลางแลว ใหกดปุม V พรอมกับปรับคันบังคับลางมาที่ V เพื่อดูดกรองน้ําออกไป<br />
จากนั้นปรับคันบังคับมาที่ตําแหนงปกติ ทําการลางดวยน้ําทั้งหมด 3 รอบ (เปนการลางกรดที่เหลือ)<br />
ถาระหวางการเติมน้ํา มีเสียงปมน้ําดัง พรอมไฟสีแดงติดที่ REF ใหหยุดเติมน้ําชั่วคราว เพราะเครื่องกําลัง<br />
refill น้ําเขาหมอตมน้ําอยู<br />
อยาลืมปรับคันบังคับมายังตําแหนงปกติ กอนเติมน้ํา หรือ reagent ทุกครั้ง<br />
หลังจากลางน้ําแลว 3 รอบ และ warm R2 จนไฟเขียวติดแลวใหทําการเติม R2 โดยขั้นตอนเหมือน R1 ทุก<br />
ประการแตใหปรับคันบังคับดานบนมาที่ R2<br />
เมื่อยอยดวย R2 เสร็จแลวใหยกชุด crucible ออก โดยปลดล็อกคันบังคับใหญดานซายขึ้น แลวนํามาใสที่<br />
filter unit<br />
ลางดวย acetone อีกครั้งหนึ่ง (เปนการ dehydration) โดยขั้นตอนเหมือนการลางขั้นตอนแรกทุกประการ<br />
นํา crucible เขาเตาอบที่ 150 องศา เปนเวลา 3 ชั่วโมง<br />
เขาพักใน desiccator<br />
นําออกมาชั่งน้ําหนัก ทั้ง crucible พรอมทั้งจดน้ําหนักที่ได<br />
นํา crucible เขาเตาเผาที่ 525 องศา เปนเวลา 5 ชั่วโมง รอจนเย็นลง<br />
เขาพักใน desiccator<br />
นําออกมาชั่งน้ําหนัก ทั้ง crucible พรอมทั้งจดน้ําหนักที่ได<br />
หลังใชงาน fibertec แลว ใหทําการลาง column โดยใหใส crucible เปลาเขาไป<br />
กดปุม H 2 O เพื่อเปดปมน้ํา จากนั้นใหกดที่ปุมจายน้ําดานบนของ column ประมาณ150 c.c. (ประมาณขีด<br />
กลางของ column) ตมใหเดือดโดยการปรับปุมความรอนมาที่ระดับสูงสุด (10) พรอมกับปด reflector ปลอยใหเดือด<br />
สักครู<br />
ปรับปุมความรอนมาที่ระดับต่ําสุด (0) ถอด reflector ออก กดปุม V พรอมทั้งปรับคันบังคับดานลางมายัง<br />
V เพื่อดูดกรองออก<br />
ปรับดันบังคับมายังระดับปกติ<br />
อยาลืมปดน้ําหลอเย็นดานหลังเครื่อง (ทอ PVC) และถอดปลั๊ก เมื่อใชงานเสร็จ
89<br />
หองปฏิบัติการคุณภาพอาหารสัตว<br />
Maintenance<br />
ใชผาชุบน้ําหมาด เช็ดทําความสะอาดตัวเครื่อง<br />
ใชน้ําลางคราบ acetone<br />
มีถาดดานลางสุด สามารถชักออกมาลางทําความสะอาดได<br />
2. การวิเคราะหไขมัน (Crude Fat)<br />
SOXTEC<br />
ควรสวมถุงมือทุกครั้งกอนวิเคราะหไขมัน และ thimble หามจับดวยมือเปลา<br />
อบ aluminum cups และ thimble ในตูอบ 105 องศา ขามคืนกอน ทําการวิเคราะห<br />
นําออกมาพักรอ ใน desiccator<br />
ทําการ warm hot plate โดยกดปุม warm ที่สวน control unit มีรูป * ขึ้น รอใหอุณหภูมิขึ้นถึง 135 องศา<br />
และรูป * กระพริบ พรอมใชงาน<br />
นํา thimble มาใส adaptor และ tube support<br />
นํามาชั่งใสตัวอยาง 1 กรัม และ celite 1 กรัม<br />
วิเคราะหไดครั้งละ 6 ตัวอยาง ถานอยกวานั้นใหใสแต aluminum cups<br />
นํา aluminum cups เปลา มาชั่งน้ําหนักทีละอัน label พรอมจดบันทึกแตละอัน ระมัดระวังเรื่องฝุน ใหมาก<br />
เพราะทําใหน้ําหนักผิดพลาด<br />
ที่สวน extraction unit มีคันบังคับทางดานซายเปนตัวบังคับสวน thimble และคันบังคับทางดานขวาจะเปน<br />
ตัวบังคับสวน aluminum cups ตําแหนงปกติจะอยูที่ระดับสูงสุด<br />
นํา thimble ที่ใส ตัวอยาง และ celite แลว เขาสวนextraction unit ที่สวน extraction unit จะมีแมเหล็กไวดูด<br />
adaptor ไว แลวถอดเอา tube support ออกมา<br />
ใส aluminum cups สวมทับดานลางของ thimble จากนั้นโยกคันบังคับดานขวาลง ในระดับกลาง เพื่อล็อค<br />
aluminum cups เอาไว<br />
โยกคันบังคับคานซายลง ในระดับกลาง ใหแกนของ extraction unit เปดเพื่อเติม solvent<br />
เติม petroleum benzene / ether 70 – 90 c.c. (80 c.c.) ในทุกตัวอยาง โดยใช dispenser เติมลงในแตละ<br />
ตัวอยาง จากทางดานบน (มีฝาปดอยู)<br />
เปดน้ําหลอเย็น อยูดานขางสวน control unit (ทอ PVC)<br />
กดคันบังคับทั้งสองขางลง เพื่อกดปด extraction unit และ ให aluminum cups แนบติดกับ hot plate<br />
ดูที่หนาจอของ control unit อุณหภูมิไดที่ 135 องศา และ * หยุดกระพริบ<br />
กดปุม start จะมีตัว R ขึ้นที่มุมซายบน เริ่ม reaction<br />
กด timerใหเครื่องเริ่มการ count down ใน step 1 เวลาจะเริ่มเดินถอยหลัง<br />
เมื่อเสร็จสิ้นในแตละขั้นตอน จะมีเสียงดังเตือนขึ้น ใหปรับคันบังคับในแตละขั้นตอน ตามตาราง จากนั้น<br />
กดปุม timer เพื่อเริ่มการทํางานแตละขั้น และ count down ให
90<br />
หองปฏิบัติการคุณภาพอาหารสัตว<br />
ขั้นตอนในการวิเคราะหไขมัน<br />
Step processing min. ตําแหนงคันบังคับ<br />
Step 1 Boiling 15 ซาย-ขวา ลาง<br />
Step 2 Rinsing 30 ซาย-กลาง ขวา-ลาง<br />
Step 3 Recovery 10 ซาย-บน ขวา-ลาง<br />
Step 4 Pre-drying 5 ซาย-บน ขวา-กลาง<br />
เมื่อเสร็จขั้นตอนสุดทาย ใหนํา aluminum cups เขาเตาอบที่ 105 องศาเซลเซียส อีก 1 ชั่วโมง<br />
นํามารอชั่งน้ําหนักใน desiccator<br />
ชั่งน้ําหนัก aluminum cups จดบันทึกไว แลวนําไปหักลบกับน้ําหนัก aluminum cups เปลา<br />
เลื่อนคันโยกซายลงเพื่อนําเอา thimble ออก จากนั้นแยกสวน adaptor ออก เทเศษอาหารที่เหลือทิ้ง และลาง<br />
ทําความสะอาดโดย solvent (petroleum benzene / ether) หามลางดวยน้ํา<br />
โดยการลางใหทําในตูดูดควัน สุดทายกอนนําไปใชใหอบไลความชื้นอีกครั้ง<br />
ภายหลังใชสวน extraction unit เสร็จ ใหถาย solvent (petroleum benzene / ether) เก็บใสในขวดสีชา เพื่อ<br />
นํากลับไป recycle ในสัดสวน 1 : 1 กับ solvent ใหม<br />
3. การวิเคราะหโปรตีนโดยรวม (Crude Protein)<br />
Kjeltec<br />
digestion unit<br />
Warm เครื่องสวน digestion unit ใหไดอุณหภูมิ 420 องศาเซลเซียส<br />
ชั่ง ตัวอยาง โดยใชเทคนิค negative weight จากนั้นนําตัวอยางใสใน digestion tube<br />
ชุด digestion unit มีทั้งหมด 8 tubes ตองทําหลอด blank (ไมใสตัวอยาง) อยางนอย 1 หลอด ตอหนึ่งชุด<br />
และ digestion tube 1 หลอดตอตัวอยาง<br />
ใส copper catalyst หลอดละ 2 เม็ด<br />
เติม conc. Sulfuric (H2SO4) หลอดละ 12 c.c. โดยทําการเติมภายใน hood เทานั้น<br />
scrabble unit<br />
เช็คระดับน้ําในขวดน้ําลนดานขาง ไมใหมีน้ําคางอยู และเช็คดูวาขวดปดสนิทแนน<br />
เปดสวน scrabble unit ในระดับแรงสุดในชวง 10 นาทีแรก โดยกดปุมเรงปมดายบนสุด<br />
หลังจากนั้นใหเบาปมลง โดยทําการกดปุมรูปมือ และกดรูปลูกศรลง ใหสัมพันธกับขั้นตอนการ digestion<br />
สังเกตจากปริมาณไอที่ digestion tube<br />
ยก digestion tube ลง กดปุมสตารท เริ่มปฏิกิริยา ใชเวลา 1 ชั่วโมง<br />
ถาการยอยสมบูรณภายในหลอดจะเปนสีเขียว ถาปลอยทิ้งใหเย็นจะเปนสีฟา<br />
distillation unit
91<br />
หองปฏิบัติการคุณภาพอาหารสัตว<br />
เปดน้ําหลอเย็นดานขางของเครื่อง<br />
เปดเครื่อง แลวใชโปรแกรมที่ 2 ทําการ stream น้ํารอนกอนใช 3 ครั้ง ดวยการใชหลอดเปลา<br />
เปลี่ยน flash อันใหมเขาเครื่อง<br />
นําหลอด blank เขาเครื่องกอน<br />
ปรับใชโปรแกรมที่ 3 พรอมกับเปลี่ยน flash เปลี่ยนทุกตัวอยาง ตัวอยางละ flash<br />
จากนั้นนําหลอดที่เปนตัวอยางเขาทีละหลอด โดยเปลี่ยนหลอด และยกฝาครอบขึ้นลงเทานั้น โดยไมตอง<br />
ปรับคาใด ๆ อีก<br />
นํา flash ที่เปน blank ที่ไดมา titrate ดวย HCl จนกระทั่งเปลี่ยนเปนสีชมพูออน เปนจุด end point จด<br />
บันทึกปริมาตรที่ใชไว<br />
นํา flash ที่เปนตัวอยางมา titrate ตอ โดยเทียบสีที่จุด end point กับสี blank และจดบันทึกปริมาตรที่ใชไว<br />
สีน้ําเงินเปนสีชมพู<br />
นําปริมาตรไปแทนคาในสูตรเพื่อหาคาไนโตรเจน และโปรตีนตามลําดับ<br />
การลางทําความสะอาด ใหใชโปรแกรมที่ 2 เหมือนเดิม<br />
เปดเครื่อง แลวใชโปรแกรมที่ 2 ทําการ stream น้ํารอนลางอีก 3 ครั้ง ดวยการใชหลอดเปลา<br />
ใชผาชุบน้ําเช็ดทําความสะอาด บริเวณถาดรองใหสะอาด<br />
ปดน้ําหลอเย็น ปดเครื่อง และถอดปลั๊กใหเรียบรอย<br />
หยด<br />
HCl Standardization / Normality<br />
อบสาร Na 2 CO 3 ในตูอบ 200 องศาเซลเซียส<br />
นําใสใน desiccator เก็บโดยใชแผน paraffin ปดทับปากขวด<br />
นําออกมาชั่งใส flash 0.13 กรัม ทํา duplscation 3 flash<br />
ละลายดวยน้ํากลั่น flash ละ 20 ml<br />
ใส mixed indicators (0.1 gm of methyl red + 0.1 gm of bromocresol diluted in 100 ml. of ethanol) 5-6<br />
ไดสีของสารละลาย ออกสีเขียว ซึ่งภายหลังการ titrate แลวจะออกสีชมพู<br />
นําไป titrate กับ HCl เพื่อหา end point 2 จุด<br />
End point จุดแรกใหสีเขียวจางหายไป บันทึกเปน volume 1<br />
นําสารละลายไป heat จนเดือด ทิ้งไวใหเย็นเล็กนอย จะไดสีกลับมาเขียวเหมือนเดิม<br />
นํามา titrate กับ HCl อีกครั้ง<br />
End point จุดที่สอง จะไดสารละลายสีอมชมพู บันทึกเปน volume 2<br />
ถาเกิน end point จะเปนสีสม ถึงแดง<br />
แทนคาในสูตร<br />
Conc. HCl (N) = 2,000 x weight of Na2CO3<br />
MW of Na2CO3 x (volume 1 - volume 2)<br />
= 2,000 x 0.13_ _<br />
105.9 x (volume 1 - volume 2)
92<br />
หองปฏิบัติการคุณภาพอาหารสัตว<br />
Maintenance<br />
เครื่อง scrabble unit<br />
ดูความขุนของสารที่ใช ถาขุนใหเปลี่ยนใหม<br />
ชอง NaOH เติมสารละลาย NaOH 1 สวน ตอ H 2 O 2 สวน ใสพอทวมแผน<br />
ชอง H 2 O ใหใสน้ํากอกธรรมดา<br />
การทําความสะอาดหมอน้ําสีฟา ดานบน<br />
ใช acetic acid 25 ml + H 2 O 25 ml<br />
เลือกเขาสู manual mode และทําการ stream ลางเครื่อง ประมาณ 4-5 รอบ<br />
การทําความสะอาดหมอน้ํา Stream<br />
เปดกอก ดานหลังเครื่อง เพื่อถายน้ําเกาทิ้งไป<br />
ใช citric acid 100 gm + H 2 O 800 ml<br />
กรอกยอนเขาทางสายยาง จากนั้นปดกอกไวอยางเดิม<br />
Stream กรดใหเดือด<br />
ระบายกรดทิ้ง โดยการเปดกอก<br />
เติมน้ําใหม พรอมกับ stream อีก 3 รอบ<br />
การดูแลรายสัปดาห<br />
ตรวจสอบระดับน้ํายาที่อยูในถัง หมด หรือลน<br />
ตรวจสอบอุปกรณเครื่องแกว มีรอยแตกหรือบิ่น ความดันในเครื่องอาจทําใหหลอดเสียหายได<br />
ลาง Safety door<br />
การดูแลรายเดือน<br />
ทําการลางถัง และปมทุกตัว<br />
ตมน้ําอุน อุณหภูมิที่ 50 – 60 องศาเซลเซียสใสในทุกถัง<br />
เปดเครื่อง ไปที่ manual mode<br />
กด add ดูดน้ําไลตามปมทีละถัง<br />
เช็คปริมาณการ feed น้ําของปมทีละครั้ง วาไดที่ 10 ml หรือไม<br />
สารเคมีในถังทั้งหมด 4 ถัง ประกอบดวย<br />
Alkali ใช 40 % NaOH<br />
Receiver solution ใช 4 % boric acid + indicator<br />
Waste ถังบรรจุของเสีย<br />
Water ใช H 2 O + NaCl<br />
ทั้งหมดสามารถเตรียมไวใชได ไมเกิน 1 – 2 เดือน
93<br />
หองปฏิบัติการคุณภาพอาหารสัตว<br />
4. การวิเคราะหความชื้น (Moisture content)<br />
การวิเคราะหความชื้นตัวอยางแหง<br />
ตัวอยางที่มีวัตถุแหงมากกวา 85% สามารถนํามาบดผานตะแกรงละเอียด และนํามาหาคาวัตถุแหงที่แทจริงได<br />
โดยใชวิธีการแบบขั้นตอนเดียว คืออบในตูอบแบบ forced air oven โดยอาจใชอุณหภูมิสูง 135 องศาเซลเซียส ใน<br />
ระยะเวลา 2 ชม. ความชื้นจะระเหยไปในระหวางการอบแหง การหาคาวัตถุแหงทําโดยชั่งสารที่เหลือแลวนํามาหัก<br />
ลบกับน้ําหนักเริ่มตน<br />
วิธีการ<br />
1. อบถวยแกวพรอมฝาที่อุณหภูมิ 105 องศาเซลเซียล เปนเวลา 1 ชั่วโมง<br />
2. ปดฝาถวย นํามาใสในโถดูดความชื้น ปดฝาโถทันที ทิ้งใหเย็นที่อุณหภูมิหองไมเกิน 2-3 ชม.<br />
3. ชั่งน้ําหนักถวยพรอมฝา(W1) โดยเอาออกทีละใบ และตองปดโถทุกครั้งที่เอาถวยออก<br />
4. ใสตัวอยางอาหารประมาณ 2 กรัม ลงในถวย บันทึกน้ําหนักถวยพรอมฝา และตัวอยาง (W2)<br />
5. เขยาถวยเล็กนอยเพื่อใหอาหารกระจาย อยางสม่ําเสมอ และกระจายเต็มพื้นถวย<br />
6. นําถวยพรอมตัวอยางเขาตูอบที่ไดเตรียมใหมีอุณหภูมิ 105 องศาเซลเซียลแลว วางฝาไวขางๆถวย อบเปน<br />
เวลา 12 ชม.นับจาก อุณหภูมิ 105 องศาเซลเซียล<br />
7. เอาตัวอยางออกจากตูโดยปดฝาถวยใหสนิททุกใบ ใสในโถดูดความชื้น ปดฝาโถใหสนิท ทิ้งใหเย็นที่<br />
อุณหภูมิหองไมเกิน 2-3 ชม.<br />
8. ชั่งน้ําหนักถวยพรอมฝาและตัวอยางแหง (W3)<br />
การคํานวณ<br />
%วัตถุแหง (total DM) = น้ําหนักถวยพรอมตัวอยางหลังอบ (W3) – น้ําหนักถวยเปลา (W1) X 100<br />
น้ําหนักถวยพรอมตัวอยางกอนอบ(W2) – น้ําหนักถวยเปลา (W1)<br />
% ความชื้น(Moisture) = 100 - %วัตถุแหง<br />
การวิเคราะหความชื้นตัวอยางเปยก<br />
ตัวอยางที่มีความชื้นสูงกวา 15%หรือวัตถุแหงต่ํากวา 85 % การวิเคราะหหาความชื้นทําในตูอบแหงโดยใช<br />
อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส เพื่อใหกระทบตอองคประกอบทางเคมีนอยที่สุด เวลาที่ใชอบขึ้นอยูกับชนิดของตัวอยาง<br />
อยูในชวง 24-48 ชั่วโมง.<br />
วิธีการ
94<br />
หองปฏิบัติการคุณภาพอาหารสัตว<br />
1. ชั่งภาชนะที่ใชบรรจุเชน ถุงผา ถุงตาขาย หรือถาด (W1)<br />
2. ใสตัวอยางลงในภาชนะที่ใชบรรจุ บันทึกน้ําหนักภาชนะ และตัวอยาง (W2)<br />
3. ใสตูอบที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส เปนเวลา 24-48 ชม.<br />
4. ปลอยทิ้งใหเย็นที่อุณหภูมิหองเปนเวลา 2-4 ชม. เพื่อปรับความชื้นใหเปนไปตามสภาพหอง<br />
5. ชั่งน้ําหนักภาชนะและตัวอยางแหง (W3)<br />
ขอควรระวัง<br />
• อยากองตัวอยางสุมกัน หรืออัดแนนในตูอบ มิฉะนั้นอากาศจะผานไมสะดวก<br />
• อุณหภูมิตูอบตองไมเกิน 60 องศาเซลเซียส มิฉะนั้นจะเกิดการแข็งตัวของภายนอกตัวอยางแตภายในยังมี<br />
ความชื้นอยู<br />
การคํานวณ<br />
%วัตถุแหง (total DM) = น้ําหนักถวยพรอมตัวอยางหลังอบ (W3) – น้ําหนักถวยเปลา (W1) X 100<br />
น้ําหนักถวยพรอมตัวอยางกอนอบ(W2) – น้ําหนักถวยเปลา (W1)<br />
ขั้นตอนการเตรียมสาร<br />
Kjeltec<br />
1. Alkali 40 % NaOH w / w<br />
2. Reciver solution Boric acid sol. 4 % w / v<br />
400 gm boric acid in hot deionized water 5 liters<br />
add more hot deionized water until 9 liters<br />
cool down<br />
100 ml. bromocresol green sol. (100 mg + 100 ml methanol)<br />
70 ml. methyl red sol. (100 mg + 100 ml methanol)<br />
make final volume until 10 liters<br />
adjust end point<br />
25 ml. Boric acid + 100 ml. H 2 O<br />
titrate 0.1 M NaOH (มวง เปน เทาอมเขียว)<br />
จดปริมาณที่ได X 40 = ปริมาณที่เติม 1 M NaOH คืนลงใน receiver sol.<br />
40 % NaOH diluted 10 X = 1 M<br />
1M diluted 10 X = 0.1 M<br />
3. Titrate HCl 0.1 N conc. HCl = 8.2 ml + 1,000 ml H2O<br />
4. Scrubber unit<br />
40 % NaOH 1/3 : H 2 O 2/3 (พอทวมแผน)<br />
H2O = tap water (พอทวมแผน)
95<br />
หองปฏิบัติการคุณภาพอาหารสัตว<br />
Fibertec<br />
R1<br />
R2<br />
1.25 % H 2 SO 4 (sulphuric acid) = conc. sulphuric acid 7.27 ml + 1,000 ml H 2 O<br />
1.25% NaOH (sodium hydroxide) = 12.5 gm NaOH + 1,000 ml H 2 O<br />
Prepare 2 liter for each R1 and R2
96<br />
หองปฏิบัติการอณูชีวโมเลกุล<br />
ชื่อหองปฏิบัติการ : หองปฏิบัติการอณูชีวโมเลกุล (E406, E407, E410, E411, E412)<br />
นักวิทยาศาสตรประจําหองปฏิบัติการ : นายพัลลพ ตันแกว<br />
แผนผังหองปฏิบัติการอณูชีวโมเลกุล<br />
E402<br />
E404<br />
E405<br />
ทางเดิน<br />
E411<br />
E411<br />
E412<br />
E412<br />
ทางเดิน<br />
E401<br />
E403<br />
E406 E407 E410<br />
E406<br />
E407<br />
E410<br />
Work Instruction<br />
1. การสกัดสารพันธุกรรม (DNA) ดวยวิธี CTAB<br />
1.1 เติม TE buffer pH 8.0 570 µl<br />
1.2 เติม 10% SDS 30 µl<br />
1.3 เติม 20 mg/ml Proteinase K 3 µl ผสมสารละลายดวยเครื่อง vortex<br />
1.4 นําไป Incubate ใน waterbath ที่อุณหภูมิ 37 ๐ c เปนเวลา 1 ชั่วโมง<br />
1.5 เติม 5M NaCl 100 µl, ผสมสารละลายดวยเครื่อง vortex<br />
1.6 เติมสารละลาย CTAB/NaCl 80 µl, ผสมสารละลายดวยเครื่อง vortex<br />
1.7 นําไป Incubate ใน waterbath ที่อุณหภูมิ 65 ๐ c เปนเวลา 10 นาที<br />
1.8 เติม Chloroform/isoamyl alcohol (24:1) 700 µl, ผสมสารละลายดวยเครื่อง vortex<br />
1.9 นําไปปนที่ 13,000 rpm 5 นาที<br />
1.10 ดูด supernatant ใส Microcentrifuge tube ใหม<br />
1.11 เติม Phenol/Choloform/isoamyl alcohol (25:24:1) ในปริมาณที่เทากัน<br />
1.12 ผสมสารละลายดวยเครื่อง vortex แลวปนที่ 13,000 rpm 5 นาที<br />
1.13 ดูด supernatant ใส Microcentrifuge tube ใหม<br />
1.14 เติม isopropanol ปริมาณ 0.6 เทา, ผสมสารละลายดวยการ invert<br />
1.15 นําไปปนที่ 13,000 rpm 5 นาที<br />
1.16 เท supernatant ทิ้ง แลวเติม 70% EtOH 500 µl<br />
1.17 นําไปปนที่ 13,000 rpm 5 นาที<br />
1.18 เท supernatant ทิ้ง แลวตากใหแหง<br />
1.19 เติม TE buffer pH 8.0 75 µl ลงใน DNA ที่สกัดไว, ผสมสารละลายดวยเครื่อง vortex<br />
1.20 เก็บที่อุณหภูมิ 4 ๐ c
97<br />
หองปฏิบัติการอณูชีวโมเลกุล<br />
2. เทคนิคการเพิ่มปริมาณ DNA ดวยปฏิกิริยาลูกโซโพลีเมอเรส (PCR)<br />
2.1 เตรียม master mix โดยเติมสารตางๆ ลงใน microcentrifuge tube ดังตาราง<br />
สวนประกอบ หนวย<br />
Taq DNA polymerase<br />
Unit<br />
Buffer<br />
X<br />
MgCl 2<br />
mM<br />
dNTPs<br />
mM<br />
Primer<br />
mM<br />
Distill water µl<br />
ตารางแสดงสวนประกอบที่ใชในปฏิกิริยาลูกโซโพลีเมอเรส<br />
แตละการทดสอบจะใชปริมาณของสารแตละตัวแตกตางกันไป เนื่องจากการทดสอบชนิดใดชนิดหนึ่งนั้น<br />
จะตองมีการปรับสภาพที่เหมาะสมสําหรับงาน PCR นั้นๆ เพื่อใหเกิดประสิทธิภาพสูงสุด<br />
2.2 ดูด master mix ใส PCR tube จากนั้นเติม DNA template ที่เตรียมไวลงใน PCR tube<br />
2.3 นํา PCR tube ใสลงในเครื่องเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรม (Thermocycle) จากนั้นทําการตั้งอุณหภูมิและ<br />
เวลาที่ใชในขั้นตอน Primer annealing, Primer extension และ Denaturation โดยตั้งอุณหภูมิและเวลาที่เหมาะสม<br />
ที่สุดสําหรับงาน PCR นั้นๆ<br />
2.4 เมื่อครบเวลานํา PCR tube ออกจากเครื่อง เก็บที่อุณหภูมิ 4 ๐ c<br />
3. วิธี Gel electrophoresis<br />
3.1 เตรียมเจลที่ใชในการทํา electrophoresis<br />
สําหรับเจลที่ใชกันทั่วไปสําหรับการแยก DNA ที่มีขนาด > 500-1000 base pairs คือ Agarose gel ที่มีความ<br />
เขมขนต่ํา โดยเตรียมใหมีความเขมขนประมาณ 1-2% มีวิธีการเตรียมดังนี้<br />
-ชั่งผง agarose แลวนําไปละลายใน electrophoresis buffer โดยทั่วไปนิยมใช 1x TBE buffer<br />
-ทําการตมโดยใชความรอนจากไมโครเวฟประมาณ 2-3 นาที (ตองผสมผง agarose กับ bufferใหเขากันดี<br />
กอนนําไปละลายในความรอน)<br />
-เมื่อตมใหละลายดีแลวนํา agarose ไปอุนที่อุณหภูมิประมาณ 45-60 ๐ c แลวเติม ethidium bromide ลงไป<br />
-เทเจลลงบนชุดเตรียมเจลที่ทําการปรับสมดุลไวแลวและมีแผน comb เสียบอยู แลวปลอยใหเจลแข็งตัว<br />
3.2 วางแผนเจลลงใน electrophoresis chamber แลวเท 1x electrophoresis buffer (ตองเปนชนิดเดียวกับที่<br />
ใชเตรียมเจล) ลงไปใน chamber ใหทวมแผนเจล<br />
3.3 ตอ chamber เขากับเครื่องจายกระแสไฟฟา (power supply) ดวยสายไฟฟา โดยใหชองใสเจลอยู<br />
ทางดานขั้วลบ ขณะนี้ยังไมเปด power supply<br />
3.4 กอนนํา DNA ไปทํา gel electrophoresis จะตองผสม DNA sample กับ loading dye กอนดวยอัตราสวน<br />
ที่เหมาะสมสําหรับวิธีการตรวจนั้นๆ<br />
3.5 หยอด DNA sample (ที่เติม loading dye แลว) ลงในชองเจล โดยใช micropipet ในปริมาณที่พอเหมาะ<br />
และทําดวยความระมัดระวัง เพื่อไมใหเกิดการฟุงกระจาย บันทึกการหยอด DNA sample ลงในชอง เจลตามลําดับ
98<br />
หองปฏิบัติการอณูชีวโมเลกุล<br />
3.6 ปดฝา chamber แลวเปด power supply ตั้งคาตางๆที่ตองการทั้งปริมาณกระแสไฟฟาและเวลาที่ใช แลว<br />
กดปุม RUN เพื่อเริ่มทํางาน<br />
3.6 เมื่อจบการทํา gel electrophoresis ปด power supply ถอดสายไฟฟา แลวนําแผนเจลไปตรวจดู DNA<br />
band ดวยเครื่องวิเคราะหคุณภาพเจล<br />
การใชงานครุภัณฑ<br />
1. เครื่องปนเหวี่ยง Spectrafuge 16 M<br />
1. เสียบปลั๊กเขากับเตาเสียบที่มีกําลังไฟฟาขนาด 220 โวลต<br />
2. กดปุม Lid ดานขางเพื่อเปดฝาเครื่องและดึงเปดฝาดานใน<br />
3. ใสหลอดทดลองขนาด 1-2 มล.โดยตองใหมีปริมาตรหรือน้ําหนักสมดุลกันทั้ง 2 ดาน<br />
4. ตั้งโปรแกรมการทํางานของเครื่อง โดยใชปุมปรับระดับความเร็วของการปนเหวี่ยง (round per minute)<br />
และเลือกระยะเวลาของการปนโดยใชปุมปรับระดับเวลา (Timer)<br />
5. ปดฝาหัวปนและฝาเครื่องใหเรียบรอย เมื่อปดฝาดานนอกเครื่องจะเริ่มทํางานทันที<br />
6. เมื่อครบเวลาที่กําหนดเครื่องจะหยุดเองโดยอัตโนมัติ<br />
7. เมื่อสัญญาณไฟสีเขียวดานหนาดับลงและฝาเครื่องเปด ใหเปดฝาเครื่องได<br />
8. เปดฝาหัวปน นําหลอดที่ปนออกมา แลวปดฝาเครื่อง<br />
9. ถอดปลั๊ก<br />
2. เครื่องเขยาผสมสารละลาย (VORTEX MIXER Genie -2)<br />
1. วางเครื่องบนพื้นโตะพื้นราบเรียบสม่ําเสมอ<br />
2. เสียบปลั๊กกับเตาเสียบที่มีกําลังไฟฟา 220 โวลต เทานั้น<br />
3. สําหรับการใชงานที่ตองการใหมีการผสมสารตลอดเวลา ใหปรับสวิทชไปที่ตําแหนง ON (I)<br />
4. สําหรับการใชงานที่ตองการใหมีการผสมสารเปนชวงๆ ใหปรับสวิทชไปที่ตําแหนง TOUCH<br />
5. นําสิ่งที่ตองการเขยาผสมสารวางตรงแทนเขยาที่อยูดานบนเครื่อง ปรับความเร็วของการเขยาตาม<br />
ความตองการโดยใชปุมที่กําหนดความแรงของ Mixer เมื่อใชงานเสร็จ ใหปรับสวิทชกลับไปที่<br />
ตําแหนง OFF (O)<br />
6. ถอดปลั๊ก<br />
3. เครื่องดูดจายสารละลายอัตโนมัติ (Autopipette)<br />
1. เลือกขนาดของ Autopipette ใหเหมาะสมกับปริมาณสารที่ตองการดูด โดยพิจารณาที่ขนาดของ<br />
Autopipette แตละอัน ซึ่งจะมีปายขนาดปริมาตรบอกไวดานขาง<br />
2. เลือก tip ใหเหมาะสมกับ Autopipette ที่ใช
99<br />
หองปฏิบัติการอณูชีวโมเลกุล<br />
3. ปรับปริมาตรที่ตองการดูดโดยหมุนปุมปรับปริมาตรของ Autopipette และหามปรับปริมาตรสูงกวา<br />
ปริมาตรที่กําหนดไวบนตัว Autopipette<br />
4. เสียบ tip ใหแนนพอดีกับปลาย Autopipette แลวกดปุมเพื่อดูดสารละลายพรอมจะใชงาน<br />
5. จุมปลาย tip ลงไปในสารละลาย ใหแตะสารละลายระดับที่จะดูดได อยาใหโคน Autopipette จุมลงใน<br />
สารละลายดวย<br />
6. ดูดสารละลายขึ้นมาแลวปลอยลงในภาชนะที่เตรียมไว ใหปลาย tip แตะกับภาชนะนั้น<br />
7. กดปุมดานขางเพื่อปลอย tip ทิ้ง<br />
8. เมื่อใชงานเสร็จใหเก็บในที่แขวน Autopipette<br />
4. เครื่องเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรม รุน PTC-200<br />
1. ใส PCR tube ลงใน block ที่ตองการ ปดฝาสีดําลงมา แลวหมุนตัวล็อคสีฟาไปทาง tight ใหพอดี<br />
2. เปดเครื่อง UPS รอใหกระแสไฟคงที่ กดสวิสซหลังเครื่อง หลังจากนั้นประมาณ 1 นาที หนาจอจะ<br />
แสดงเมนูหลัก<br />
3. ใชปุม Selection key เพื่อเลื่อน CURSOR ไปที่เมนู RUN กดปุมProceed<br />
4. เลือกโปรแกรมและ test ที่ตองการ ดวยปุม Proceed<br />
5. หนาจอแสดงสถานะวาทํางานที่ Block ใด เลือก block ที่ใสหลอด PCR tube โดยใชปุม block key<br />
(กด A ซาย, B ขวา) กด Proceed<br />
6. หนาจอจะถามวาใหเลือกใช tubes หรือ plate ใหเลือก tube, กด Proceed<br />
7. หนาจอจะถามปริมาณ Volume ใหปอนจํานวน Volume ตอ 1 Reaction เชน 25 µl, 50 µl, กด Proceed<br />
8. หนาจอจะถามวาใช heated lid หรือไม ใหเลือก Yes, กด Proceed<br />
9. ขณะที่โปรแกรมกําลังทํางาน จอจะแสดงดังนี้<br />
Run: 2-STEP<br />
1 = 92.0 ๐ for 0:05<br />
Block: 62.1<br />
Calc: 68.0 ๐<br />
ถากดปุม เครื่องจะแสดงเวลาที่ใชไป (Total time….) และเวลาที่เหลือกอนโปรแกรมจะเสร็จ<br />
(Est remain……..)<br />
10. หลังจากเครื่องทํางานเสร็จ บรรทัดสุดทายที่หนาจอจะแสดงอุณหภูมิ 4 ๐ C, กด Cancel เพื่อ stop<br />
program , ปดสวิสซหลังเครื่อง, ปด UPS<br />
11. เปดฝาเครื่องทิ้งไว<br />
5. เครื่องเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรม รุน PTC-200<br />
การถายรูปเจล<br />
1. เปดสวิทซปลั๊กไฟ<br />
2. เปดสวิทซดานหลังเครื่อง
100<br />
หองปฏิบัติการอณูชีวโมเลกุล<br />
3. เปด drawer/วางเจลลงบน UV illuminator โดยไมใหมีฟอง<br />
4. ปด drawer โดยดันใหสุด แลวบิดตัวล็อกตามเข็มนาฬิกาแลวพับลง<br />
5. เปดคอมพิวเตอร/เลือกโปรแกรม Quantity One/เขาเมนู file/เลือก chemi Doc<br />
6. เปด Epi-White/ เปดฝาดานหนาเพื่อเลื่อนเจลใหอยูในตําแหนงที่ตองการ<br />
7. ปรับภาพโดยใช function Zoom และ Focus จากเมนูคอมพิวเตอร<br />
8. เมื่อไดขนาดและตําแหนง gel ที่ตองการ ปดฝาดานหนา โดยบิดตัวล็อกตามเข็มนาฬิกาแลวพับลง<br />
9. ปดปุม Epiwhite และเปด trans UV<br />
10. ปรับความเขมของแสงโดยใช iris และปรับความชัดของภาพโดยใช Zoom และ Focus<br />
11. เมื่อไดภาพที่ตองการ กดเมนู Freeze<br />
12. ปด Trans UV/save ภาพที่ได และสามารถ Print ภาพ โดย Video Print<br />
13. ปด Printer, ปดคอมพิวเตอร<br />
14. เปด Drawer เพื่อเก็บ gel ไปทิ้งในถังใตซิงคน้ํา แลวเช็ด UV illuminatorโดยใช 70% alcohol<br />
15. เปด drawer ทิ้งไว จากนั้นปดสวิทซและปดปลั๊ก<br />
6. ตูเพาะเชื้อแบบเขยา HT MINITRON<br />
1. เสียบปลั๊ก/เปด MAIN SWITCH ดานขางตัวเครื่อง<br />
2. ตั้งคา RPM ที่ตองการโดยกดปุม จนเครื่องหมาย RPM ปรากฏ/กดปุม<br />
3. ตั้งอุณหภูมิที่ตองการโดยกดปุม จนเครื่องหมาย ๐ C ปรากฏ/กดปุม<br />
4. ตั้งเวลาที่ตองการโดยกดปุม จนเครื่องหมาย ปรากฏ/กดปุม<br />
5. หลังใชงานเสร็จปด MAIN SWITCH /ถอดปลั๊ก<br />
7. เครื่องวัดการดูดกลืนแสง (Spectrophotometer : Spectronic Genesys 8)<br />
F<br />
F<br />
F<br />
1. เปดเครื่อง ทิ้งไว 30 นาที<br />
2. ใชปุมลูกศรทางซายหรือขวา เพื่อเลือก xxx nm กดปุม Enter<br />
3. ปอนคาความยาวคลื่นแสง กดปุม Enter<br />
4. กดปุมลูกศรซายหรือขวา เพื่อเลือก “Abs”<br />
5. วาง “Blank” ในชองใสตัวอยาง/ปดฝา<br />
6. กดปุม ZERO จอแสดงคาจะแสดง“dAr” แลวเปลี่ยนเปน “ZEro” ในขณะที่กําลังวัดคา<br />
7. วาง cuvette ที่บรรจุสารละลายตัวอยางในชองใสตัวอยาง/ปดฝา คาการดูดกลืนแสงของสารละลาย<br />
ตัวอยางเทียบกับสารละลาย Blank จะแสดงทางจอ LCD
101<br />
หองปฏิบัติการอณูชีวโมเลกุล<br />
8. เครื่องอุลตราโซนิค UP100H<br />
1. เสียบปลั๊ก, ไฟสีแดงขึ้น<br />
2. ตั้งคาความแรงเริ่มตนที่ 20%<br />
3. จุมหัว Sonotode ลงในของเหลว (ระวังไมใหระดับของเหลวสูงเกินระดับที่กําหนด)<br />
4. กดปุม start ไฟสีเขียวจะปรากฏตลอดเวลาที่เครื่องทํางาน<br />
5. ปลอยมือจากปุม start เมื่อตองการหยุดการทํางาน (เมื่อตองการเปลี่ยนเปนการทํางานแบบตอเนื่อง ให<br />
กดปุม locking ในระหวางที่ทํางาน)<br />
9. เครื่องจายกระแสไฟฟา (Power Pac 300/200)<br />
1. ตอเครื่อง Power Pac 300/200 เขากับชุดแยกวิเคราะหสารพันธุกรรม (Electrophoresis)<br />
2. เสียบปลั๊กและเปดสวิทซดานขางตัวเครื่อง Power Pac 300/200<br />
3. หนาจอจะแสดง 0 Volt และสัญญาณไฟตรงกับ V ตั้ง Voltage ที่ตองการโดยปุม Scroll key (ปุม<br />
ลูกศร)<br />
4. กดปุม Parameter key ใหสัญญาณไฟตรงกับ mA (Power Pac 300) หรือ A (Power Pac 200)เพื่อตั้งคา<br />
กระแสไฟฟา, ใชปุม Scroll key (ปุมลูกศร) เพื่อปอนคาที่ตองการ<br />
5. กดปุม Parameter ใหสัญญาณไฟตรงกับสัญลักษณรูปนาฬิกาเพื่อตั้งเวลา, ใชปุม Scroll key (ปุม<br />
ลูกศร) เพื่อตั้งเวลาเปนนาที สามารถตั้งเวลาไดสูงสุด 999 นาที (ในขณะกําลัง RUN เครื่องจะแสดง<br />
เวลาที่เหลือ)<br />
6. กดปุม RUN เพื่อเริ่มการทํางาน<br />
7. เมื่อครบเวลาเครื่องจะหยุดการทํางานโดยอัตโนมัติและหนาจอแสดง OFF (กรณีที่ตองการหยุดการ<br />
ทํางานของเครื่องกอนครบเวลาใหกดปุม RUN เพื่อหยุดการทํางาน)<br />
8. ปดสวิทซ/ถอดปลั๊ก<br />
10. ตูแชแข็ง - 80°C<br />
1. การปรับแตงอุณหภูมิการใชงาน<br />
- กดปุม Mode ใหไฟสีเขียวติดที่หนา setting<br />
- กดปุมลูกศรชี้ของ จนกระทั่งหนาจอแสดงคําวา SET PT = -XX<br />
- กดปุมชี้ขึ้น σ หรือลง<br />
τ<br />
หรือตั้งอุณหภูมิที่ตองการใชงาน<br />
- กดปุม Enter เมื่อไดคาอุณหภูมิตามที่ตองการแลว
102<br />
หองปฏิบัติการอณูชีวโมเลกุล<br />
- กดปุม Mode จนกระทั่งไฟสีเขียวติดที่หนาคําวา “ RUN” หนาจอจะแสดง<br />
คําวา System OK<br />
2. การปรับแตงคา High Temperature Alarm และ Low TemperatureAlarm Limit เพื่อเปนการเตือนวาอุณหภูมิ<br />
ภายในตูสูง หรือต่ํากวาที่กําหนดไว โดยปกติจะตั้งที่ +/- 10°C จากอุณหภูมิใชงานโดย<br />
-กดปุม ใหไฟสีเขียวติดที่หนาคําวา Setting<br />
-กดปุมลูกศรชี้ขวา Mode จนคําวา HI ALM = -XX ขึ้นที่หนาจอ หรือขึ้น<br />
LO ALM = -XX<br />
ถาตองการตั้งคา Low Alarm<br />
-กดปุมชี้ขึ้น σ หรือลง τ เพื่อตั้งคาอุณหภูมิ High Alarm หรือ<br />
Low Alarm ที่ตองการ<br />
-กดปุม Enter เพื่อยอมรับคาอุณหภูมิที่ตั้ง<br />
-กดปุม Mode จนกระทั่งไฟสีเขียวติดที่หนาคําวา RUN หนาจอจะแสดง<br />
คําวา System OK<br />
11. ตูแชสารเคมี<br />
1. ตูแชนี้ใชไฟ 220 V และไมควรเสียบปลั๊กรวมกับปลั๊กของเครื่องใชไฟฟาอื่นๆ ในเตาเสียบเดียวกัน<br />
2. เขียน ชื่อสารเคมี วันเดือนป ผูเตรียมสารเคมีชนิดนั้นหรือเจาของ ติดไว<br />
ขางขวดทุกขวด<br />
3. ของที่มีกลิ่นควรคลุมดวยถุงพลาสติกหรือกลองเสียกอนที่จะนําไปแช<br />
4. ไมควรใสของในตูแชมากเกินไป และควรใหมีชองวางเพื่อใหความเย็น<br />
กระจายไดทั่วถึง<br />
5. เวลาใสหรือนําของออกจากตูแช ไมควรเปดฝาทิ้งเปนเวลานาน<br />
12. เครื่องกวนสารละลายโดยพรอมแผนแมเหล็กใหความรอน (Hot plate stirrer)<br />
1. เสียบปลั๊ก<br />
2. เปด main switch ดานหนาเครื่อง<br />
3. ถาตองการกวนสารใหเปดปุมควบคุมหมวด stirrer ปรับตามความแรงตามที่ตองการไฟแสดงการ<br />
ทํางานจะติด<br />
4. ถาตองการความรอนใหเปดปุมควบคุมหมวด heater ปรับตามความรอนตามที่ตองการ ไฟแสดงการ<br />
ทํางานจะติด<br />
5. เมื่อใชงานเสร็จใหหมุนปุมควบคุมทั้ง 2 อยางลงมาในตําแหนง off แลวปด main switch<br />
6. ถอดปลั๊ก
103<br />
หองปฏิบัติการฮอรโมน<br />
ชื่อหองปฏิบัติการ : หองปฏิบัติการฮอรโมน (E401, D410)<br />
นักวิทยาศาสตรประจําหองปฏิบัติการ : นายพัลลพ ตันแกว<br />
แผนผังหองปฏิบัติการฮอรโมน<br />
E402<br />
E404<br />
E405<br />
ทางเดิน<br />
E411<br />
E412<br />
ทางเดิน<br />
E401<br />
E403<br />
E406<br />
E407<br />
E410<br />
Work Instruction<br />
1. การตรวจหา Creatinine<br />
1. วัตถุประสงค<br />
เพื่อตรวจหา Creatinine จาก Urine<br />
2. ขอบขาย<br />
-<br />
3. ความรับผิดชอบ<br />
นักวิทยาศาสตรประจําหองปฏิบัติการฮอรโมน มีหนาที่ จัดเก็บตัวอยางเพื่อทําการ ตรวจวิเคราะห ตอบ<br />
ผลการตรวจวิเคราะห จัดเตรียมสารเคมี อุปกรณและลางอุปกรณ ของงานหองปฏิบัติการฮอรโมน<br />
4. อุปกรณและเครื่องมือ<br />
1. Nung plate<br />
2. plate sealer<br />
3. เครื่อง ELISA reader<br />
4. Repeater Pipette<br />
5. Repeater tips<br />
6. Micro pipette<br />
7. Beaker<br />
8. Tips (200,1000 ul)
104<br />
หองปฏิบัติการฮอรโมน<br />
9. pipette boy<br />
10. กระดาษทิชชู<br />
11. กระบอกฉีดสารเคมี<br />
12. ซองซิป<br />
13. คอมพิวเตอรและโปรแกรมประเมินผล<br />
5. วิธีการปฏิบัติงาน<br />
5.1 การตรวจ Creatinine จาก urine<br />
5.1.1 เตรียม creatinine standard โดย นํา stock creatinine มา dilute แบบ 2-fold dilution ใหได<br />
ความเขมขนที่ 100, 50, 25, 12.5 และ 6.25 ul/ml<br />
5.1.2 ใช Microplate Dynatech (flat bottom) 96 หลุม<br />
5.1.3 หยอด standard หลุมละ 50 ul ตาม plate map<br />
5.1.4 หยอด sample หลุมละ 50 ul ตาม plate map<br />
5.1.5 เมื่อหยอด standard และ sample หมดแลว เติมน้ํากลั่นหลุมละ 50 ul<br />
5.1.6 หยอด 0.75 NaOH หลุมละ 50 ul<br />
5.1.7 หยอด 0.4 M Picric acid หลุมละ 50 ul<br />
5.1.8 เคาะ plate เบา ๆ ตั้งทิ้งไวที่อุณหภูมิหองเปนเวลา 30 นาที<br />
5.1.9 นําไปอานผลดวยเครื่อง ELISA reader ที่ความยาวคลื่นแสง 490 nm<br />
5.2 วิธีการเตรียม neat สําหรับการทํา parallelism<br />
5.2.1 เลือกปสสาวะของชางที่ทราบวาอยูในชวงของการตั้งทองมา 5 ตัวอยาง<br />
5.2.2 เลือกปสสาวะของชางที่ทราบวาไมตั้งทองมา 5 ตัวอยาง<br />
5.2.3 และสุมเลือกปสสาวะจากชางหลาย ๆ ตัวมาอีก 10 ตัวอยาง ตัวอยางละ 50 ul<br />
5.2.4 นําตัวอยางมารวมกันใน tube และ vortex ใหเขากัน<br />
6. บันทึกและเอกสารประกอบ<br />
2. การตรวจ Luteinizing hormone<br />
1. วัตถุประสงค<br />
1.1 เพื่อตรวจวัดระดับ Luteinizing hormone ในซีรั่มของชาง<br />
1.2 เพื่อนําคาฮอรโมนที่ไดไปคํานวณวันตกไขของชางเพศเมีย<br />
2. ขอบขาย<br />
ตรวจวัดระดับ Luteinizing hormone ของชางในโครงการวิจัยการตรวจวงรอบการเปนสัดและการตรวจ<br />
ทองของชางเอเชียเพศเมียเพื่อจัดทําแผนพัฒนาระบบผสมพันธุ<br />
3. ความรับผิดชอบ<br />
นายสัตวแพทยและนักวิทยาศาสตรประจําโครงการวิจัย<br />
4. อุปกรณและเครื่องมือ
105<br />
หองปฏิบัติการฮอรโมน<br />
1. Microtitre plate<br />
2. Microtitre plate sealer<br />
3. Automatic micro-pipette<br />
4. Automatic micro-pipette tip<br />
5. Repeater pipette<br />
6. Repeater pipette tip<br />
7. กระบอกฉีดสารเคมี<br />
8. ซองซิป<br />
9. เครื่อง ELISA reader<br />
10. Pipette<br />
11. Vortex<br />
12. เครื่องดูดสารละลาย (pipette boy)<br />
13. คอมพิวเตอรและโปรแกรมประเมินผล<br />
5. วิธีการปฏิบัติงาน<br />
5.1 การพัฒนากราฟมาตรฐาน<br />
โดยการเคลือบแอนติบอดี้ทุติยภูมิ (second antibody,anti-mouse IgG) อัตราเจือจางที่เลือกไวแลว ปริมาณ<br />
250 ไมโครลิตร ลงในไมโครเพลท ชนิด 96 หลุม ทิ้งไวที่อุณหภูมิหองขามคืน วันที่ 2 ใหเทและสลัดสารละลายใน<br />
ไมโครเพลททิ้ง จากนั้นจึงเติมสารละลายที่จะไปอุดชองวาของเพลท ปริมาณ 300 ไมโครลิตรในแตละหลุม ทิ้งไวที่<br />
อุณหภูมิหองขามคืน วันที่ 3 ใหลางดวยสารละลายสําหรับลางเพลท จํานวน 3 ครั้ง หลังจากนั้นเติมสารละลาย<br />
มาตรฐานที่มี Luteinizing hormone 0.156, 0.312, 0.625, 1.25, 2.5, 5 และ 10 นาโนกรัม/มล. หลุมละ 50 ไมโครลิตร<br />
หลังจากนั้นใสแอนติบอดี้ปฐมภูมิในอัตราเจือจางที่เลือกไวแลว หลุมละ 100 ไมโครลิตร ทิ้งไวที่อุณหภูมิหอง<br />
ขามคืน วันที่ 4 เติม Biotinylate label ภูมิในอัตราเจือจางที่เลือกไวหลุมละ 50 ไมโครลิตร ทิ้งไวที่อุณหภูมิหอง 4<br />
ชั่วโมง เทและสลัดสารละลายในไมโครเพลททิ้ง ลางดวยสารละลาย<br />
สําหรับลางเพลท จํานวน 4 ครั้ง หลังจากนั้นเปนการเติมสาร Strepatividin-peroxidase 200 ไมโครลิตร ทิ้ง<br />
ไวที่อุณหภูมิหอง 40 นาที เทและสลัดสารละลายในไมโครเพลททิ้ง ลางดวยสารละลายสําหรับลางเพลท จํานวน 4<br />
ครั้ง จากนั้นเปนการเติมสารละลาย TMB 200 ไมโครลิตร ทิ้งไวประมาณ 10-15 นาที จากนั้นจึงเติมสารละลายเพื่อ<br />
หยุดปฏิกิริยา 50 ไมโครลิตร อานคาการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 450 นาโนเมตร นําผลไปสรางกราฟมาตรฐาน<br />
5.2 ขั้นตอนการวิเคราะหระดับฮอรโมนโปรเจสเตอโรน<br />
โดยการเคลือบแอนติบอดีทุติยภูมิ (second antibody, anti-mouse IgG) อัตราเจือจางที่เลือกไวแลว ปริมาณ<br />
250 ไมโครลิตร ลงในไมโครเพลทชนิด 96 หลุม ทิ้งไวที่อุณหภูมิหองขามคืน วันที่ 2 ใหเทและสลัดสารละลายในไม<br />
โครเพลททิ้ง จากนั้นจึงเติมสารละลายที่จะไปอุดชองวาของเพลท ปริมาณ 300 ไมโครลิตรในแตละหลุม ทิ้งไวที่<br />
อุณหภูมิหองขามคืน วันที่ 3 ใหลางดวยสารละลายสําหรับลางเพลท จํานวน 3 ครั้ง หลังจากนั้นเติมสารละลาย<br />
มาตรฐานที่มี Luteinizing hormone 0.156, 0.312, 0.625, 1.25, 2.5, 5 และ 10 นาโนกรัม/มล. สารละลายควบคุม<br />
(Control) และสารตัวอยาง (Sample) หลุมละ 50 ไมโครลิตร หลังจากนั้นใส แอนติบอดี้ปฐมภูมิในอัตราเจือจางที่<br />
เลือกไวแลว หลุมละ 100 ไมโครลิตร ทิ้งไวที่อุณหภูมิหองขามคืน วันที่ 4 เติม Biotinylate label ภูมิในอัตราเจือจางที่<br />
เลือกไวหลุมละ 50 ไมโครลิตร ทิ้งไวที่อุณหภูมิหอง 4 ชั่วโมง เทและสลัดสารละลายในไมโครเพลททิ้ง ลางดวย<br />
สารละลายสําหรับลางเพลท จํานวน 4 ครั้ง หลังจากนั้นเปนการเติมสาร Strepatividin-peroxidase 200 ไมโครลิตร
106<br />
หองปฏิบัติการฮอรโมน<br />
ทิ้งไวที่อุณหภูมิหอง 40 นาที เทและสลัดสารละลายในไมโครเพลททิ้ง ลางดวยสารละลายสําหรับลางเพลท จํานวน<br />
4 ครั้ง จากนั้นเปนการเติมสารละลาย TMB 200 ไมโครลิตร ทิ้งไวประมาณ 10-15 นาที จากนั้นจึงเติมสารละลาย<br />
เพื่อหยุดปฏิกิริยา 50 ไมโครลิตร อานคาการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 450 นาโนเมตร นําผลที่ไดเปรียบเทียบกับ<br />
กราฟมาตรฐาน เพื่อหาระดับความเขมขนในระดับ นาโนกรัม/มล.ของตัวอยาง<br />
5.3 ขั้นตอนการแปลผล<br />
ระดับของ Luteinizing hormone ที่สูงขึ้นกวา Baseline ถือวาจะสูงขึ้นทันทีภายใน 1 วันและตกลงทันที<br />
(LH surge) โดยจะพบ 2 ครั้งในชวงที่ฟอลลิเคิลมีการทํางาน หรือ Follicular phase<br />
6. บันทึกและเอกสารประกอบ<br />
6.1 เอกสารอางอิง<br />
Brown JL, Walker S and Steinman K. Endocrine manual for reproductive assessment of domestic and nondomestic<br />
species. Conservation and Research Center, Smithsonian’s National Zoological Park.<br />
Endocrine workshop on reproductive assessment of domestic and non-domestic species. January 13-17,<br />
2003. Faculty of Veterinary Medicine, Chiang Mai University.<br />
3. การตรวจวัด Cortisal<br />
1.วัตถุประสงค<br />
เพื่อตรวจหาฮอรโมน cortisal จากมูลชาง<br />
2. ขอบขาย<br />
นํามูลชางมาสกัดแลวตรวจหาฮอรโมน cortisal ในชางที่เราตองการทราบผล<br />
3. ความรับผิดชอบ<br />
3.1 นายสัตวแพทย<br />
3.2 นักวิทยาศาสตร<br />
4. อุปกรณและเครื่องมือ<br />
1. Microtitre plate<br />
2. Microtitre plate sealer<br />
3. Automatic micro-pipette<br />
4. Automatic micro-pipette tip<br />
5. Repeater pipette<br />
6. Repeater pipette tip<br />
7. กระบอกฉีดสารเคมี<br />
8. ซองซิป<br />
9. เครื่อง ELISA reader
107<br />
หองปฏิบัติการฮอรโมน<br />
10. Pipette<br />
11. Vortex<br />
12. เครื่องดูดสารละลาย (pipette boy)<br />
13. คอมพิวเตอรและโปรแกรมประเมินผล<br />
5. วิธีการปฏิบัติงาน<br />
5.1 สกัดมูล ( Fecal extraction )<br />
5.1.1 ชั่งมูลชาง 0.2 กรัม ผสมกับ 90% Ethanol ( ก ) 5 มล.<br />
5.1.2 เขยาใหเขากันโดย vortex<br />
5.1.3 ตมใน water bath 90 องศาเซลเซียสนาน 20 นาที โดยมีการเติม Ethanol เพื่อไมใหแหง<br />
5.1.4 ปนเหวี่ยง ( Centrifuge ) 1500 rpm นาน 20 นาที<br />
5.1.5 ดูด supernatant จาก หลอด 1 ไปหลอด 2<br />
5.1.6 เติม 90% Ethanol 5 มล. ในหลอดแรก<br />
5.1.7 Vortex นาน 30 วินาที<br />
5.1.8 ปนเหวี่ยง 1500 rpm นาน15 นาที<br />
5.1.9 ดูด supernatant จากหลอด 1 ไปหลอด 2 อีกครั้ง<br />
5.1.10 นําไปทําใหแหง โดยใชเครื่องมือ หรือตม<br />
5.1.11 เติม Methanol 1 มล. ลงไปแลวเขยา ( Vortex ) 15วินาที<br />
5.1.12 ดูดสารใสใน Eppendorf 1มล. เก็บไวที่ –20 องศาเซลเซียส<br />
5.2<br />
5.2.1 ทํา Parallism โดยใชชางที่ทอง , ไมทอง , เปนสัด ผสมกัน เรียกวา neat ตัวอยางละ 50 ul<br />
จํานวน 30 ตัวอยาง<br />
5.2.2 dilute neat โดยทํา Two fold 11 หลอด คือ 1:2,1:4,1:8,1:16,1:32,1:64,1:128, จนถึง 1:1024<br />
นําตัวอยางแตละความเจือจางไปวัดวิเคราะหหาระดับฮอรโมน cortisal<br />
นําผลที่ไดไปสรางกราฟเปรียบเทียบกับกราฟมาตรฐาน โดยจะใชคาที่มี% binding เทากับ 50%<br />
5.2.3 นํามูลที่เตรียมตรวจมาเจือจางตามคาที่เราทํา parellism<br />
5.2.4 เตรียม Plate coating โดยใช 50ul antibody stock ( 1:85 ) ผสมกับ 5ml coating buffer แลว<br />
หยอดใส plate ( NUNC Maxisorb plates ) หลุมละ 50 ul ไมหยอดหลุม A1,B1 ปดดวย acetate<br />
plate sealer แลวเก็บไวที่4องศาเซลเซียส 1คืน<br />
5.2.5 เตรียม Standards 1000,500,250,125,62.5,31.2,15.6,7.8,3.9pg cortisol/ well โดยวิธี Two fold<br />
จะใช200ul stock ผสมกับ 200 ul assay buffer<br />
5.2.6 ลาง plate 5 ครั้ง โดยใช Wash solution ( ข ) ตบบนผาใหแหง<br />
5.2.7 เตรียม HRP label โดยใช25ul stock ( 1: 100 ,4 องศาเซลเซียส ) ผสมกับ 5ml EIA buffer<br />
5.2.8 หยอด Standards, Samples, controls ( ค ) ,HRP หลุมละ50ul ภายใน10 นาที<br />
5.2.9 นําไปไวที่ 25 องศาเซลเซียส นาน1 ชั่วโมง<br />
5.2.10 ลาง plate 5 ครั้ง หยอด Substrate ( ง ) นําไปไวที่มืด นาน10-60 นาที<br />
5.2.11 นําไปอานที่ 405 nm ( Measuring Filter ) , 620 nm ( Reference Filter )<br />
หมายเหตุ
108<br />
หองปฏิบัติการฮอรโมน<br />
( ก ) หมายถึง Absolute Ethanol 950 ml ผสม น้ํากลั่น 50ml<br />
( ข ) “ NaCl 43.83 g ผสมกับ Tween 20 2.5 ml ผสมกับ น้ํากลั่น 500 มล.ล.<br />
( ค ) “ dilute controls to the appropriate dilution, if necessary<br />
( ง ) “ เตรียม 40ul 0.5 ไฮโดรเยนเปอรออกไซด , 125 ul 40 mM ABTS และ<br />
12.5 ml citrate buffer<br />
4. การตรวจวัดฮอรโมนโปรเจสเตอโรน ดวยวิธี direct, single antibody competitive EIA<br />
1. วัตถุประสงค<br />
1. เพื่อตรวจวัดระดับฮอรโมนโปรเจสเตอโรน ในซีรั่มของชาง<br />
2. เพื่อนําคาฮอรโมนที่ไดไปคํานวณระยะเปนสัดของชางเพศเมีย<br />
2. ขอบขาย<br />
ตรวจวัดระดับฮอรโมนโปรเจสเตอโรน ของชางในโครงการวิจัยการตรวจวงรอบการเปนสัดและการตรวจ<br />
ทองของชางเอเชียเพศเมียเพื่อจัดทําแผนพัฒนาระบบผสมพันธุ<br />
3. หนาที่ความรับผิดชอบ<br />
นายสัตวแพทยและนักวิทยาศาสตรประจําโครงการวิจัย<br />
4. อุปกรณและเครื่องมือ<br />
1. Microtitre plate<br />
2. Microtitre plate sealer<br />
3. Automatic micro-pipette<br />
4. Automatic micro-pipette tip<br />
5. Repeater pipette<br />
6. Repeater pipette tip<br />
7. กระบอกฉีดสารเคมี<br />
8. ซองซิป<br />
9. เครื่อง ELISA reader<br />
10. Pipette<br />
11. Vortex<br />
12. เครื่องดูดสารละลาย (pipette boy)<br />
13. คอมพิวเตอรและโปรแกรมประเมินผล<br />
5. วิธีปฏิบัติการ
109<br />
หองปฏิบัติการฮอรโมน<br />
1) ขั้นตอนการหาปริมาณแอนติบอดีและปริมาณเอนไซมที่เหมาะสม<br />
โดยการเคลือบแอนติบอดีตอตานฮอรโมนโปรเจสเตอโรน อัตราเจือจางแตกตางกัน ปริมาณ 50<br />
ไมโครลิตร ลงในไมโครเพลทชนิด 96 หลุม ทิ้งไวที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสขามคืน เทและสลัดสารละลายในไม<br />
โครเพลททิ้ง ลางดวยสารละลายสําหรับลางเพลท จํานวน 5 ครั้ง หลังจากนั้น เติมสารตัวอยางที่มีปริมาณฮอรโมนโป<br />
รเจสเตอโรนต่ํา หรือนอยกวา 0.1 นาโนกรัม/มล. หลุมละ 50 ไมโครลิตร หลุมละ 50 ไมโครลิตร หลังจากนั้นใสสาร<br />
HRP-labeled progesterone ในอัตราเจือจางที่เลือกไวแลว หลุมละ 50 ไมโครลิตร ทิ้งไวในอุณหภูมิหอง นาน 2<br />
ชั่วโมง ลางดวยสารละลายสารละลายสําหรับลางเพลท จํานวน 5 ครั้ง หลังจากนั้นเปนการเติมสาร ABTs 100<br />
ไมโครลิตร ทิ้งไวประมาณ 30–60 นาที อานคาการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 405 นาโนเมตร นําผลไปสรางกราฟ<br />
คัดเลือกอัตราการเจือจางแอนติบอดีและเอนไซมที่ใหคาการดูดกลืนแสงที่ประมาณ 1.0<br />
2) การพัฒนากราฟมาตรฐาน<br />
โดยการเคลือบแอนติบอดีตอตานฮอรโมนโปรเจสเตอโรน อัตราเจือจางที่เลือกไวแลว ปริมาณ 50<br />
ไมโครลิตร ลงในไมโครเพลทชนิด 96 หลุม ทิ้งไวที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสขามคืน เทและสลัดสารละลายในไม<br />
โครเพลททิ้ง ลางดวยสารละลายสําหรับลางเพลท จํานวน 5 ครั้ง หลังจากนั้น เติมสารละลายมาตรฐานที่มีฮอรโมน<br />
โปรเจสเตอโรน 0.78, 1.56, 3.12, 6.25, 12.5, 25,50,100 และ 200 พิโคกรัม/มล. หลุมละ 50 ไมโครลิตร หลังจากนั้น<br />
ใสสาร HRP-labeled progesterone ในอัตราเจือจางที่เลือกไวแลว หลุมละ 50 ไมโครลิตร ทิ้งไวในอุณหภูมิหอง นาน<br />
2 ชั่วโมง ลางดวยสารละลายสารละลายสําหรับลางเพลท จํานวน 5 ครั้ง หลังจากนั้นเปนการเติมสาร ABTs 100<br />
ไมโครลิตร ทิ้งไวประมาณ 30–60 นาที อานคาการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 405 นาโนเมตร นําผลไปสรางกราฟ<br />
มาตรฐาน<br />
3) ขั้นตอนการทดสอบวิธีวิเคราะห (assay validation)<br />
Parallelism<br />
เปนการตรวจหาความสอดคลองของคาที่วัดไดกับคาปกติตามชวงของวงจรการเปนสัดและการตั้งทอง<br />
ตลอดจนตรวจสอบอัตราความเขมขนที่ควรใชในการตรวจวัดจากตัวอยาง นําตัวอยาง ปริมาตร 100 ไมโครลิตร มา<br />
รวมกัน หลังจากนั้นนําไปเจือจาง เปน 1:2, 1:4, 1:8, 1:16, 1:32, 1:64, 1:128, 1:256, 1:512, 1:1024, 1:2048, 1:4096,<br />
1:8192 โดยการใสสารละลายบัฟเฟอร 200 ไมโครลิตรลงไปกอนในแตละหลอด หลังจากนั้นนําตัวอยางที่รวมกัน<br />
แลว 200 ไมโครลิตร ใสลงไปในหลอดที่ 1:2 ปนใหเขากันดี แลวดูดสารละลายที่ได 200 ไมโครลิตร ไปใสในหลอด<br />
1:4 ทําเหมือนเดิมจนครบทุกหลอด นําตัวอยางแตละความเจือจางไปวัดวิเคราะหหาระดับฮอรโมนโปรเจสเตอโรน<br />
แลวนําคาที่ไดไปสรางกราฟเปรียบเทียบกับกราฟมาตรฐาน คาเจือจางที่ใชในการวัดวิเคราะหตัวอยางสกัด คือ คาที่มี<br />
เปอรเซ็นต binding เทากับ 50 เปอรเซ็นต<br />
Recovery or Accuracy check<br />
เปนการตรวจสอบผลที่อาจจะผิดพลาดเนื่องจากปจจัยอื่น พรอมทั้งตรวจดูชวงของระดับสารที่ตองการวัด<br />
โดยการนําตัวอยางปริมาตร 100 ไมโครลิตร (เปนตัวอยางที่อยูในชวงที่มีระดับฮอรโมนโปรเจสเตอโรนต่ํา เชน<br />
ในชวงที่เปนสัด) มารวมกันเปนตัวอยางรวม หลังจากนั้น นําฮอรโมนโปรเจสเตอโรนมาตรฐานแตละคา 100<br />
ไมโครลิตร มาใสลงไปตัวอยางรวม ปริมาตร 100 ไมโครลิตร นําไปวิเคราะหหาระดับฮอรโมนโปรเจสเตอโรน แลว<br />
นําไปคํานวณหาคาเปอรเซ็นตความถูกตองจากสูตร<br />
เปอรเซ็นตความถูกตอง = (ปริมาณฮอรโมนที่วัดได/ปริมาณฮอรโมนที่ควรจะเปน) x 100<br />
ปริมาณฮอรโมนที่วัดได = ปริมาณที่วัดไดจากการวิเคราะห – คาเฉลี่ยของคาที่แตกตางจาก
110<br />
หองปฏิบัติการฮอรโมน<br />
ปริมาณฮอรโมนที่ควรจะเปน<br />
ปริมาณฮอรโมนที่ควรจะเปน = ปริมาณของฮอรโมนมาตรฐาน/2<br />
4) ขั้นตอนการวิเคราะหระดับฮอรโมนโปรเจสเตอโรน<br />
โดยการเคลือบแอนติบอดีตอตานฮอรโมนโปรเจสเตอโรน อัตราเจือจางที่เลือกไวแลว ปริมาณ 50<br />
ไมโครลิตร ลงในไมโครเพลทชนิด 96 หลุม ทิ้งไวที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสขามคืน เทและสลัดสารละลายในไม<br />
โครเพลททิ้ง ลางดวยสารละลายสําหรับลางเพลท จํานวน 5 ครั้ง หลังจากนั้น เติมสารละลายมาตรฐานที่มีฮอรโมน<br />
โปรเจสเตอโรน 0.78, 1.56, 3.12, 6.25, 12.5, 25, 50,100 และ 200 พิโคกรัม/มล. สารละลายควบคุม (Control) และ<br />
สารตัวอยาง (Sample) หลุมละ 50 ไมโครลิตร หลังจากนั้นใสสาร HRP-labeled progesterone ในอัตราเจือจางที่เลือก<br />
ไวแลว หลุมละ 50 ไมโครลิตร ทิ้งไวในอุณหภูมิหอง นาน 2 ชั่วโมง ลางดวยสารละลายสารละลายสําหรับลางเพลท<br />
จํานวน 5 ครั้ง หลังจากนั้นเปนการเติมสาร ABTs 100 ไมโครลิตร ทิ้งไวประมาณ 30–60 นาที อานคาการดูดกลืน<br />
แสงที่ความยาวคลื่น 405 นาโนเมตร นําผลที่ไดเปรียบเทียบกับกราฟมาตรฐาน เพื่อหาระดับความเขมขนในระดับ<br />
นาโนกรัม/มล.ของตัวอยาง<br />
ในกรณีการตรวจระดับของฮอรโมนในปสสาวะใหทําเปรียบเทียบกับคา Creatinine ในปสสาวะ โดยการ<br />
ทําสารละลาย Creatinine มาตรฐานที่ 6.25, 12.5, 25, 50 และ 100 ไมโครกรัมตอมิลลิลิตร จากนั้นเจือจางตัวอยาง<br />
แลวใสสารมาตรฐานและตัวอยางลงไปในหลุม หลุมละ 50 ไมโครลิตร เติมน้ํา 0.75 N NaOH 0.4 N picric acid อยาง<br />
ละ 50 ไมโครลิตรตามลําดับ ทิ้งไวในอุณหภูมิหอง นาน 30 นาที อานคาการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 490 นาโน<br />
เมตร<br />
5) ขั้นตอนการแปลผล<br />
ระดับของฮอรโมนโปรเจสเตอโรนของชางในกระแสเลือดที่สูงกวา 0.1 นาโนกรัม/มล.ของตัวอยาง ถือวา<br />
คอรปสลูเทียมมีการทํางาน (active corpus luteum) โดยอยูในชวง Luteal phase หรือตั้งทอง โดยที่ถาระดับฮอรโมน<br />
โปรเจสเตอโรนสูงกวา 0.1 นาโนกรัม/มล. เปนเวลานานมากกวา 20 สัปดาห และไมมีการตกลงถือวาอยูในชวงการ<br />
ตั้งทอง สวนถาระดับของฮอรโมนโปรเจสเตอโรนของชางในกระแสเลือดที่ต่ํากวา 0.1 นาโนกรัม/มล.ของตัวอยาง<br />
ถือวาอยูในชวงที่ฟอลลิเคิลมีการทํางาน โดยจะอยูในชวง Follicular phase<br />
ในกรณีการตรวจระดับของฮอรโมนในปสสาวะใหทําเปรียบเทียบกับคา Creatinine ในปสสาวะ โดยมี<br />
หนวยเปน ตอ มิลลิกรัม Creatinine<br />
6. เอกสารอางอิง<br />
Brown JL, Walker S and Steinman K. Endocrine manual for reproductive assessment of domestic and nondomestic<br />
species. Conservation and Research Center, Smithsonian’s National Zoological Park. Endocrine<br />
workshop on reproductive assessment of domestic and non-domestic species. January 13-17, 2003. Faculty of<br />
Veterinary Medicine, Chiang Mai University.
111<br />
หองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
ชื่อหองปฏิบัติการ : หองปฏิบัติการสัตวน้ํา (F109, F110, F111)<br />
นักวิทยาศาสตรประจําหองปฏิบัติการ : นายธีระพงศ โปธา<br />
แผนผังหองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
ทางเดิน<br />
ทางเดิน F109 F110<br />
ประตู<br />
ประตู<br />
F111<br />
F109 หองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
F110 หองเก็บของ<br />
F111 หองตรวจวิเคราะหคุณภาพน้ํา<br />
ระเบียบการใชหองปฏิบัติการ<br />
1. การขอใชหองปฏิบัติการสัตวน้ําใหเปนไปตามระเบียบการขอใชหองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
2. แตงกายใหสุภาพเรียบรอยทุกครั้งที่เขาปฏิบัติงานในหองปฏิบัติการ<br />
3. นักศึกษาตองทําความเขาใจกับวิธีการทดลองกอนเขาหองปฏิบัติการทุกครั้ง<br />
4. เขาหองปฏิบัติการใหตรงตอเวลา<br />
5. การเขา – ออก นักศึกษาใหใชประตูหอง F109<br />
6. การเปด – ปดหองจะเปดเปนเวลา ไมอนุญาตใหปฏิบัติงานนอกเหนือเวลาที่กําหนด<br />
7. หามนําหรือเคลื่อนยายอุปกรณ ยา สารเคมี และวัสดุอื่นๆ ภายในหองปฏิบัติการไปโดยไมไดรับอนุญาต<br />
8. การเบิกอุปกรณ นักศึกษาตัวแทนแตละกลุมเบิกรับและตรวจสอบอุปกรณกอนปฏิบัติการทุกครั้งหากมีความ<br />
เสียหายใหแจงเจาหนาที่ประจําหอง<br />
9. หามนําอาหารและเครื่องดื่มเขามารับประทานในหองปฏิบัติการ โดยเด็ดขาด<br />
10. ชวยกันรักษาความสะอาด ดูแลเครื่องมือ อุปกรณ และไมสงเสียงดังในหองปฏิบัติการ<br />
11. หากพบอุปกรณหรือครุภัณฑใดๆ ชํารุดใหแจงเจาหนาที่ประจําหองปฏิบัติการทันที<br />
12. อุปกรณในการเลี้ยงปลา หาม ใชรวมกัน<br />
13. ในขณะปฏิบัติงานใหนักศึกษาตระหนักถึงความสําคัญของการทําการทดลองอยางจริงจัง<br />
14. การใชอุปกรณและเครื่องมือในหองปฏิบัติการตองแจงใหเจาหนาที่ทราบทุกครั้ง
112<br />
หองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
15. ทุกครั้งที่ปฏิบัติงานเสร็จสิ้นลงแลว นักศึกษาแตละกลุมจะตองรับผิดชอบความเปนระเบียบของโตะและ<br />
บริเวณที่ตนใชหองปฏิบัติการ<br />
16. หลังจากเสร็จสิ้นจากการปฏิบัติงานแลว ตองคืนอุปกรณที่เบิกไปทุกชิ้นในสภาพที่สะอาด เรียบรอย<br />
17. หากปลาปวยหรือตาย ใหรีบแจงเจาหนาที่หรืออาจารยผูควบคุม<br />
18. ซากสัตวที่ตายและอวัยวะใหเก็บใสถุงพลาสติกแชตูเย็นไว เพื่อรอการทําลายซาก หาม ทิ้งลงในถัง<br />
ขยะหรืออางน้ําโดยเด็ดขาด<br />
19. การปฏิบัติอื่นๆ ขึ้นอยูกับการควบคุมและสั่งการของอาจารยผูควบคุมการปฏิบัติการ<br />
20. ปฏิบัติตามขอปฏิบัติการใชหองปฏิบัติการสัตวน้ําอยางเครงครัด<br />
21. ทรัพยสินมีคาสวนตัวใหเก็บรักษาไวกับตัวนักศึกษา หรือเก็บไวในตูล็อกเกอรที่หองปฏิบัติการจัดให ขอ<br />
เบิกกุญแจไดที่เจาหนาที่ประจําหองปฏิบัติการ หากเกิดการเสียหายหรือสูญหายใดๆ ทางหองปฏิบัติการไม<br />
รับผิดชอบกรณีใดทั้งสิ้น<br />
Work Instruction<br />
1. การทําความสะอาดอุปกรณ<br />
การทําความสะอาด – ฆาเชื้อ ตูปลาและอุปกรณเลี้ยงปลา<br />
กรณีที่ใชแบบฉีดพน<br />
1. ทําความสะอาดตูปลาหรือภาชนะพลาสติกดวยน้ําเปลา ดูดเอาตะกอนออก แลวเช็ดดวยผาขนหนูใหแหง<br />
2. ฉีด 40% Formaldehyde ใหทั่วตูปลาเพื่อฆาเชื้อ ทิ้งไวนาน 24 ชั่วโมง<br />
3. ฉีดน้ําลางใหทั่วแลวปลอยน้ําทิ้ง<br />
4. เปดน้ําใหเต็มตูปลา ทิ้งไวนาน 24 ชั่วโมง แลวปลอยน้ําทิ้ง<br />
5. เปดน้ําพักสําหรับการใชงานครั้งตอไป<br />
กรณีที่ใชแบบผสมลงในตูปลา<br />
1. ทําความสะอาดตูปลาหรือภาชนะพลาสติกดวยน้ําเปลา ดูดเอาตะกอนออก แลวเช็ดดวยผาขนหนูใหแหง<br />
2. เปดน้ําใหเต็มตู ผสม 40% Formaldehyde ลงไปในตูปลาความเขมขนที่ใช คือ 100 ppm เพื่อฆาเชื้อ ทิ้งไว<br />
นาน 24 ชั่วโมง<br />
3. ปลอยน้ําทิ้ง ฉีดน้ําลางใหทั่ว<br />
4. เปดน้ําใหเต็มตูปลา ทิ้งไวนาน 24 ชั่วโมง แลวปลอยน้ําทิ้ง<br />
5. เปดน้ําพักสําหรับการใชงานครั้งตอไป<br />
• สายยางอากาศ และหัวทรายตองเปลี่ยนทุกครั้งที่ทําความสะอาด<br />
• ผูที่ฉีด Formaldehyde ตองใสถุงมือและหนากากปดจมูกทุกครั้ง<br />
การทําความสะอาดอุปกรณเลี้ยงปลา (กระชอนตักปลา,สายยาง, หัวทราย)<br />
1. ลางดวยน้ําเปลา และขัดทําความสะอาด<br />
2. แชอุปกรณดวยน้ํายาฆาเชื้อที่เขมขน ทิ้งไว 24 ชั่วโมง<br />
3. ลางดวยน้ําเปลาใหสะอาดตากใหแหงแลวนําเก็บเขาที่ใหเรียบรอย
113<br />
หองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
การลาง ทําความสะอาดอุปกรณ และการกําจัดขยะ<br />
1. นักศึกษาตองรับผิดชอบอุปกรณในสวนที่ตนเองไดปฏิบัติงาน<br />
2. ภาชนะพลาสติก และเครื่องแกว ลางทําความสะอาด และตากที่ชั้นตากอุปกรณ<br />
3. โตะปฏิบัติการ หลังจากเสร็จสิ้นการปฏิบัติงาน ลางและเช็ดใหเรียบรอย<br />
4. อุปกรณผาตัดและอุปกรณสแตนเลส ลางแลวเช็ดใหแหง แลวตากที่ชั้นตากอุปกรณ<br />
5. อุปกรณเลี้ยงปลาใหแชน้ํายาฆาเชื้อ 24 ชั่วโมงแลวจึงลางทําความสะอาด<br />
6. สไลดและแผนปดสไลด ลางใหสะอาดและตากที่ชั้นตากอุปกรณ<br />
7. อุปกรณที่ประจําหอง F109 หรือ F111 หลังจากใชงานเสร็จแลวลาง ทําความสะอาด และจัดเก็บใหตรงกับ<br />
ตําแหนงเดิม (หยิบจากหองไหนเก็บไวที่หองนั้น)<br />
8. การกําจัดขยะ ใหแยกขยะตามชนิด ขยะ คือ ขยะทั่วไป ขยะติดเชื้อ และ ซากสัตว<br />
- ขยะทั่วไป ทิ้งลงในถังขยะทั่วไป<br />
- ขยะติดเชื้อ ทิ้งลงในถังขยะติดเชื้อ สวนเข็ม และใบมีด ทิ้งลงในภาชนะที่จัดให<br />
- ซากสัตว เก็บไวในชองแชแข็ง “ตูแชซาก” หามทิ้งลงในถังขยะหรืออางน้ํา<br />
โดยเด็ดขาด<br />
2. เทคนิคการใชปเปต<br />
1. การใชปเปตดูดสารละลายนั้น ตองใชลูกยางชวยในการดูด ดังรูป 1-3 ไมควรใชปากดูด<br />
2. เสียบลูกยางที่ปลายเปดของปเปตดานบน แลวไลอากาศออก ดังรูป 1
114<br />
หองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
3. จุมปลายปเปตลงในสารละลายโดยใหปลายปเปตอยูต่ํากวาผิวของสารละลายเสมอ<br />
4. คอยๆ ผอนแรงบีบลูกยางเพื่อใหสารละลายเขาไปในปเปต ดังรูป 2<br />
5. เมื่อระดับสารละลายในปเปตสูงเลยขีดบอกปริมาตรแลวใหเอาลูกยางออกจากปลายปเปต พรอมกับใชนิ้วชี้ปด<br />
ปลายปเปตดานบนทันที ดังรูป 3 นิ้วและปลายปเปตตองแหงมิเชนนั้นจะทําใหการขยับนิ้วลําบาก<br />
6. ในการปรับระดับของสารละลายใหขยับนิ้วชี้เล็กนอย ดังรูป 4 เพื่อใหสารละลายไหลลงอยางชาๆ จนถึงขีดบอก<br />
ระดับปริมาตรของปเปต ใหสวนเวาลางอยูตรงขีดเครื่องหมายบอกปริมาตรพอดี และในการดูขีดของปริมาตร<br />
ควร ใหอยูตรงระดับสายตา<br />
7. ปลอยสารละลายลงในภาชนะที่ตองการ ควรใหสารละลายไหลออกจนหมด ไมควรใชปากหรือลูกยางเปา<br />
สวนบนของปเปต เพราะจะทําใหปริมาตรที่แทจริงคลาดเคลื่อนได<br />
8. เมื่อสารละลายไหลออกจนหมดแลว จึงแตะปลายปเปตกับกนหรือดานขางภาชนะ ตรงสวนที่ไมมีสารละลาย<br />
ดังรูป 5 ก็จะไดปริมาตรของสารละลายที่ถูกตองตามตองการ<br />
3. เทคนิคการไทเทรต<br />
1. จัดตั้งเครื่องมือดังรูปที่ 1 ในขณะที่ไทเทรต ควรจะนั่งทํา โดยปรับระยะใหนั่งไทเทรตไดถนัดไมใกลหรือ<br />
ไกลตัวเกินไป<br />
2. ในการไทเทรตทุกครั้งควรจะหากระดาษสีขาวมารองไวที่กนขวดรูปกรวย จะทําใหเห็นการเปลี่ยนแปลงสี<br />
ของจุดยุติไดชัดเจน<br />
3. สําหรับการจับบิวเรต และขวดรูปกรวยในขณะไทเทรตนั้นให จับบิวเรตดวยมือซาย โดยใชนิ้วหัวแมมือและ<br />
นิ้วชี้บังคับกอกบิวเรตหรือที่ปด-เปดบิวเรตใหสารละลายไหลเร็วหรือชาตามตองการ ขณะเดียวกันให จับ<br />
ขวดรูปกรวยดวยมือขวา และเขยาสารละลายในขวดรูปกรวยในลักษณะที่หมุนเปนวงกลมทุกครั้งที่หยด<br />
สารละลายจากบิเรต ดังรูปที่ 2<br />
4. ถามีสารละลายติดอยูที่ปากหรือขางๆ ขวดรูปกรวย ใหใชน้ํากลั่นชะลางสารละลายนั้นลงไปทําปฏิกิริยากัน<br />
ใหหมด ดังรูปที่3
115<br />
หองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
5. การไทเทรต ทั่วไปจะตองทําอยางนอย 2 ครั้ง ถาปริมาตรของทั้ง 2 ครั้ง ใกลเคียงกันมากก็นําไปเฉลี่ยแลวนํา<br />
ปริมาตรเฉลี่ยไปคํานวณ แตถาผลทั้ง 2 ครั้ง ตางกันมาก (มากกวา 0.2 cm 3 )ใหไทเทรตครั้งที่ 3 แลวนํา<br />
ปริมาตร 2 ครั้ง ที่ใกลเคียงกันมาเฉลี่ยแลวนําปริมาตรเฉลี่ยไปคํานวณ<br />
6. เมื่อหยุดพักการทดลองควรจะมีภาชนะมารองไวที่ปลายบิวเรตเพื่อปองกันการหยดของสารละลาย<br />
7. เมื่อไทเทรตเสร็จเรียบรอยแลว สารละลายที่เหลืออยูในบิวเรตใหไขทิ้งไป ไมควรเทกลับคืนในขวด<br />
8. ไมควรทิ้งสารละลายคางไวในบิวเรตหลายๆ วันโดยเฉพาะถาเปนสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด (NaOH)<br />
จะทําใหจุกติดแนน<br />
9. ทุกครั้งที่เสร็จสิ้นการทดลองควรลางและทําความสะอาดบิวเรตใหเรียบรอย โดยเฉพาะจุกแกว<br />
4. เทคนิคการใชบิวเรต<br />
1. กอนนําบิวเรตมาใชตองทําความสะอาดกอนโดยลางดวยน้ํายาลางแกวแลวลางดวยน้ําสะอาดจากนั้นตามดวยน้ํา<br />
กลั่น สําหรับจุกปด-เปด ก็ตองทําความสะอาดและทาดวยกรีส เพื่อใหหมุนไดคลอง<br />
2. กอนนําไปใชงานตองทดสอบกอนวาบิวเรตไมรั่ว โดยใชน้ํากลั่นใสลงไปในบิวเรตและปลอยสารออก<br />
3. บิวเรตควรจะลางดวยสารละลายที่จะบรรจุในบิวเรตกอนทุกครั้ง โดยใสสารละลายลงไปประมาณ 5-6 cm 3 แลว<br />
เอียงบิวเรตพรอมกับหมุนไปมา เพื่อทําใหสารละลายเปยกผิวแกวจนทั่วแลวไขทิ้ง<br />
4. เทสารละลายลงในบิวเรตใหเกินขีดศูนยเล็กนอย แลวไขจุกใหสารละลายไหลออกอยางรวดเร็วเพื่อใหไลอากาศ<br />
ที่อยูปลายบิวเรตออกใหหมด<br />
5. เมื่อไมมีฟองอากาศแลวปดจุกทิ้งไวสักครู เพื่อใหสารละลายที่ติดอยูขางแกวไหลลงใหหมดแลวจึงปรับระดับ<br />
สารละลายในบิวเรตใหไดตามตองการ บันทึกปริมาตรสารละลายเริ่มตนไว<br />
6. เมื่อทําการทดลองเสร็จใหอานระดับปริมาตรของสารละลายอีกครั้งแลวบันทึกไว ปริมาตรของสารละลายที่ใช<br />
ในการทดลองคือ ผลตางของระดับปริมาตรเริ่มตนกับปริมาตรสุดทาย<br />
7. การตั้งบิวเรตเพื่อการไทเทรตควรตั้งใหตรงและการอานปริมาตรควรอยูในระดับสายตา<br />
5. เทคนิคการยอมสีโดยวิธี WRIGHT STAIN<br />
อางอิงวิธีการยอมจากเอกสารที่แนบมาพรอมกับสียอม<br />
สารเคมี<br />
Fixative Solution (Absolute Methyl Alcohol)<br />
Wright Stain A<br />
Wright Stain B<br />
วิธีการยอม<br />
1. ทํา Smear และทําใหแหงโดยการผึ่งลม<br />
2. จุม Slide ลงใน Fixative Solution ที่ใสใน Coplin jar 5 ครั้งๆ ละ 1 วินาที<br />
3. จุม Slide ลงใน Wright Stain A ที่ใสใน Coplin jar 5 ครั้งๆ ละ 1 วินาที<br />
4. จุม Slide ลงใน Wright Stain B ที่ใสใน Coplin jar 5 ครั้งๆ ละ 1 วินาที
116<br />
หองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
5. ลาง Slide ดวยน้ํากลั่น แลวทิ้งไวใหแหง หรือซับใหแหงดวยกระดาษซับ<br />
6. นําไปสองดูดวยกลองจุลทรรศน<br />
ผลการยอมสี<br />
ERYTHOCYTES<br />
ติดสีชมพู หรือแดงเหลือง<br />
PLATELETS<br />
ติดสีมวง หรือมวงแดง<br />
POLYMORPHONUCLEAR NEUTROPHILS<br />
Nucleus ติดสีน้ําเงินเขม<br />
Cytoplasm ติดสีชมพูออน<br />
Glanules<br />
ติดสีแดงออน<br />
EOSINOPHILS<br />
Nucleus ติดสีน้ําเงิน<br />
Cytoplasm ติดสีน้ําเงิน<br />
Glanules<br />
ติดสีแดง หรือแดงสม<br />
BASOPHILS<br />
Nucleus ติดสีมวงแดง หรือ น้ําเงินเขม<br />
Glanules<br />
ติดสีมวงเขม<br />
MONOCYTES<br />
Nucleus<br />
ติดสีมวง<br />
Cytoplasm ติดสีฟาเขม<br />
BACTERIA ติดสีน้ําเงิน<br />
6. เทคนิคการยอมสีโดยวิธี GIEMSA STAIN<br />
อางอิงวิธีการยอมจากเอกสารที่แนบมาพรอมกับสียอม<br />
สารเคมี<br />
Wright Giemsa<br />
Phosphate Buffer<br />
วิธีการยอม<br />
1. ทํา smear และทําใหแหงโดยการผึ่งลม<br />
2. หยดสีลงบนสไลด ใหทั่วรอย smear ทิ้งไว 3 นาที<br />
3. คอยๆ หยด Buffer ในปริมาณเดียวกับสี ผสมใหเขากันเบาๆ ทิ้งไว 5 นาที<br />
4. ลางออกดวยน้ํากลั่น แลวทิ้งใหแหง หรือซับใหแหงดวยกระดาษซับ<br />
5. นําไปสองดูดวยกลองจุลทรรศน
117<br />
หองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
7. เทคนิคการยอมสีโดยวิธี GRAM’S STAIN<br />
สารเคมี<br />
Crystal violet<br />
Iodine solution<br />
Decolourizer<br />
Safranin<br />
วิธีการยอม<br />
1. เขี่ยเชื้อลงบนแผนสไลด smear ทิ้งใหแหงในอากาศ (Air dry) แลวผานเปลวไฟออนๆ (Heat Fix)<br />
เพื่อตรึงเชื้อ<br />
2. ยอมดวยสี Crystal violet ใหทวมรอย smear นาน 1-2 นาที หลังจากนั้นเทสีทิ้ง<br />
3. หยด Iodine solution ใหทวมรอย smear ทิ้งไวนาน 1 นาที<br />
4. เท Iodine solution ทิ้งแลวลางดวยกระแสน้ําเบาๆ แลวใช Decolourizer หยดใหไหลผานสไลด จน<br />
น้ํายาที่หยดไมมีสีติดออกมา ใชเวลาประมาณ 3-10 วินาที<br />
5. ลางออกดวยน้ําอยางรวดเร็ว สลัดน้ําออกจากสไลดจนหมด<br />
6. ยอมดวยสี Safranin โดยหยดสีใหทวมรอย smear ทิ้งไวนาน 30-60 วินาที<br />
7. ลางออกดวยกระแสน้ําเบาๆ แลวซับน้ําออกดวยกระดาษทิชชู แลวปลอยใหสไลดแหงสนิท<br />
8. นําไปตรวจดูดวยกลองจุลทรรศน<br />
ผลการยอมสี<br />
ติดสีมวง : Gram positive bacteria<br />
ติดสีแดง : Gram negative bacteria<br />
การใชงานครุภัณฑ<br />
1. การใชงานกลองจุลทรรศน (ALPHAPHOT-2 YS2)<br />
1. ทําการศึกษาสวนประกอบตางๆ ของกลองจุลทรรศนเพื่อจะไดใชสวนประกอบตางๆ ใหเกิดประโยชนรวมกัน<br />
และใชงานไดอยางถูกตอง<br />
2. ปรับเลนสใกลวัตถุ (Objective lens) ไปที่กําลังขยายต่ําสุด (4X) แลวเลื่อนแทนวางสไลดลงจนสุด<br />
3. เช็ดสไลดที่ตองการดูใหแหงเพราะอาจเกิดความเสียหายแกตัวกลองได จากนั้นวางสไลดลงบนแทนวางสไลด<br />
เลื่อนแทนวางสไลดขึ้นจนสุด มองในกลองโดยพยายามลืมตาทั้ง 2 ขาง ปรับเลนสใกลตาใหเหมาะสมกับชวงตา<br />
ของผูใช คอยๆ ปรับเลื่อนปุมปรับหยาบ ( Course Focus Knob) แทนวางสไลดจะเลื่อนลง จนมองเห็นภาพใน<br />
กลองจุลทรรศนไดชัดเจน อาจปรับปุมปรับละเอียด (Fine Focus Knob) เพื่อใหภาพชัดเจนขึ้น
118<br />
หองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
4. การเพิ่มกําลังขยาย ใหเปลี่ยนจากกําลังขยายต่ําไปยังกําลังขยายสูงขึ้นตามลําดับ คือ (4X) ไปเปน (10X), (40X)<br />
และ (100X) ตามลําดับ โดยจะปรับภาพใหชัดเจนขึ้นดวยปุมปรับละเอียดเทานั้น จะไมมีการใชปุมปรับหยาบ<br />
อีกเปนอันขาด เพราะปองกันไมใหเลนสกระทบกับสไลดจนอาจเกิดความเสียหายได<br />
หาม เปลี่ยนกําลังขยายจาก (4X) ไปเปน (100X) เลย โดยเด็ดขาด เพราะเลนสอาจชนสไลด แลวเกิดความ<br />
เสียหายได<br />
5. เมื่อใชกําลังขยาย (100X) ตองใช Immersion oil เพื่อชวยในการหักเหของแสง โดยหยด Immersion oil ลงบน<br />
สไลดที่ตองการดู แลวหมุน Objective lens กําลังขยายสูงสุด (100X) ใหเขาที่ มองดูภาพ ปรับภาพใหชัดเจนขึ้น<br />
ดวยปุมปรับละเอียด<br />
6. ตองปด Cover slide ทุกครั้ง เมื่อสองตรวจตัวอยางที่เปนของเหลว<br />
7. หาม ใชกําลังขยาย (100X) สงดูตัวอยางที่ปด Cover slide เพราะเลนสจะชนกับ Cover slide<br />
8. เมื่อใชกลองจุลทรรศนเสร็จ ใหปรับกําลังขยายไปที่กําลังขยายต่ําสุด (4X) แลวเลื่อนแทนวางสไลดลงจนสุด เอา<br />
สไลดออก เลื่อนเลนสใกลตาใหมาชิดกัน เช็ดตัวกลองใหสะอาดเมื่อเห็นวาสกปรก<br />
กรณีที่ใชกําลังขยายสูงสุด ตองทําความสะอาดเลนส โดยใชกระดาษเช็ดเลนสชุบ Xylene เช็ด oil ออกให<br />
สะอาดกอนแลวใชกระดาษเช็ดเลนสที่สะอาดเช็ดตามใหแหง<br />
9. พันสายไฟและคลุมกลองดวยผาคลุมกลองจุลทรรศน<br />
10. ลงบันทึกการใชกลองจุลทรรศนทุกครั้งเมื่อมีการใชกลองจุลทรรศน<br />
11. หากเกิดปญหาหรือสงสัยเกี่ยวกับการใชงานกรุณาเรียกเจาหนาที่หองปฏิบัติการ อยาพยายามแกไขดวยตัวเอง<br />
2. การใชงานเครื่องวัดความเปนกรด – ดาง (pH meter : Cyber Scan pH 500)<br />
1. การเปดเครื่อง<br />
กดปุม ON/OFF เครื่องจะปรับเปน MODE การวัด pH โดยอัตโนมัติ ที่หนาจอบรรทัดบนสุดจะแสดง<br />
ขอความ “MEAS” ควรอุนเครื่องกอนการใชงานประมาณ 15 นาที<br />
2. การ Calibration<br />
เมื่อเปดเครื่องทํางานใหม จะตองทําการคาลิเบรทคา pH กับ standard buffer กอนใชวัดคา pH ของตัวอยางทุก<br />
ครั้ง โดยทําการคาลิเบรทคา standard pH 3 จุด (4.01, 7.00 และ 10.01) โดยทําตามขั้นตอนดังนี้<br />
1. ลาง electrode ดวยน้ํากลั่น แลวใชทิชชูซับน้ําบริเวณพลาสติกที่ครอบดานนอกเทานั้น หามเช็ดที่<br />
electrode โดยตรง<br />
2. จุม electrode ลงใน standard buffer solution pH 7.00<br />
3. กดปุม CAL/MEAS ใหหนาจอแสดงขอความ “CAL” ที ่บรรทัดบนสุด (เปลี่ยน Mode เปนการคาลิ<br />
เบรท) และคา standard pH 7.00 จะเปนคาแรกที่แสดงบนหนาจอ<br />
4. รอจนกระทั่งคา pH ที่วัดไดคงที่ (ปรากฏขอความ “READY” แสดงบนมุมซาย)<br />
5. กดปุม CON เพื่อยืนยันการคาลิเบรท หนาจอจะแสดงขอความ “CON” 1 วินาทีจากนั้นหนาจอจะ<br />
แสดงคา standard pH คาตอไปโดยอัตโนมัติ
119<br />
หองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
6. ถาคา standard pH ที่แสดงอยูไมใชคาที่ตองการใหกดปุม หรือ เพื่อเลือกคา standard pH ที่<br />
จะคาริเบรท คาถัดไป<br />
7. จากนั้นทําซ้ําขอ 2, 4และ5 โดยใช standard buffer solution 4.01 และ 10.00 ตามลําดับ<br />
ตองลาง electrode ดวยน้ํากลั่นทุกครั้งที่เปลี่ยนสารละลาย<br />
3. การวัดคา pH ของตัวอยาง<br />
1. ลาง electrode ดวยน้ํากลั่นจาก โดยฉีดลางบริเวณที่จะตองสัมผัสกับสารละลายตัวอยางใหสะอาดมาก<br />
ที่สุด แลวใชกระดาษทิชชูซับใหแหง หามเช็ดตัว electrode โดยตรง<br />
2. กดปุม CAL/MEAS ใหเครื่องเปลี่ยน MODE การทํางานเปนการวัด pH ที่หนาจอจะ แสดงขอความ<br />
“MEAS” ที่บรรทัดบนสุด<br />
3. จุม electrode ลงในสารละลายตัวอยาง ใหสารละลายทวมตัว electrode กวนสารละลายเบาๆ เพื่อให<br />
ความเขมขนของสารละลายตัวอยางเปนเนื้อเดียวกัน<br />
4. รอจนกระทั่งเครื่องอานคา pH ไดคงที่ แลวปรากฏขอความ “READY” แสดงบนมุมซายของหนาจอ<br />
5. เมื่อเสร็จสิ้นการวัดคา pH ของตัวอยางแตละครั้ง ควรลาง electrode ดวยน้ํากลั่น แลวแช electrode<br />
ลงในสารละลายที่เตรียมไวให หาม ปลอยใหสัมผัสอากาศจนแหงโดยเด็ดขาด<br />
3. การใชงานเครื่องวัดการดูดกลืนแสง (Spectrophotometer : Spectro 23)<br />
*** กอนใชงาน ใหปรับสวิตซเลือกกระแสไฟ (อยูดานหลังของเครื่อง) ใหตรงกับกระแสไฟที่เขาเครื่อง<br />
เปน 220V หรือ 110V เพื่อปองกันความเสียหายกับตัวเครื่อง ซึ่งทางหองปฏิบัติการไดปรับเรียบรอยแลว<br />
*** เปดสวิตซเครื่อง (อยูดานหลังของเครื่อง) หลอดไฟจะสวางขึ้น ใหอุนเครื่องกอนใชงานประมาณ 20<br />
นาที<br />
*** สามารถใสเซลล (Cuvette) ได 4 เซลลพรอมกัน<br />
*** หมายเลข 1 จอแสดงตัวเลข<br />
หมายเลข 2 ปุมเลือกโหมดการวัดคา<br />
หมายเลข 3 ปุมลดคาแฟคเตอรของความเขมขน<br />
หมายเลข 4 ปุม 100%,0Abs. และปุมเพิ่มคาแฟคเตอรของความเขมขน<br />
หมายเลข 5 จอแสดงคาความยาวคลื่น<br />
หมายเลข 6 ปุมปรับคาความยาวคลื่น<br />
1. การวัดคาแสงที่ผาน (TRANSMISSION)<br />
1. กดปุมเลือกโหมดการวัด ใหไฟบนหนาจออยูในตําแหนง T (TRANSMISSION) เมื่อปดฝาชองใส<br />
ตัวอยางคาที่อานไดควรเปน 100%T ในกรณีคาที่อานไดไมเปนไปตามที่กลาวขางตนใหกดปุม<br />
100%,0Abs<br />
2. ใสเซลล (Cuvette) ที่บรรจุสารอางอิง (Blank) และสารตัวอยางลงในชองใสตัวอยาง<br />
3. ปรับคาความยาวคลื่นที่ตองการใช
120<br />
หองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
4. เลือกโหมดการวัดเปนโหมด 100% T แลวปดฝาชองใสตัวอยาง เลื่อนตําแหนงเซลลใหแสงสองผาน<br />
สารอางอิงและกดปุม 100% T คอยคาที่อานไดแสดง 100.00<br />
5. เลื่อนดามจับใหแสงสองผานสารตัวอยางที่ตองการวัด แลวอานคาแสงสองผาน (Transmission) ของ<br />
ตัวอยางนั้นๆ บันทึกคาที่อานได<br />
2. การวัดคาการดูดกลืนแสง (ABSORPTION)<br />
1. กดปุมเลือกโหมดการวัดใหไฟบนหนาจออยูในตําแหนง Abs. (ABSORPTION)<br />
2. ปรับคาความยาวคลื่นที่ตองการใช<br />
3. ใสเซลล (Cuvette) ที่บรรจุสารอางอิง (Blank) และสารตัวอยางลงในชองใสตัวอยางโดยจับเซลลดาน<br />
ที่ขุนและหันดานใสเขาหาแหลงกําเนิดแสง<br />
4. เลื่อนตําแหนงเซลลใหแสงสองผานสารอางอิง และกดปุม 0Abs. (หมายเลข 4)<br />
5. รอคาที่อานไดแสดงเปน 0.000<br />
6. เลื่อนดามจับใหแสงสองผานสารตัวอยางที่ตองการวัด อานคาการดูดกลืนแสง บันทึกคาที่อานได<br />
3. การวัดความเขมขน (CONCENTRATION)<br />
*** กอนทําการวัดใหเลือกความยาวคลื่นที่เหมาะสมกับการวัดคาสารมาตรฐานและเช็คคา 0.000 และ<br />
100%T กอนทุกครั้ง<br />
1. กดปุมเลือกโหมดการวัดใหอยูในโหมด C (CONCENTRATION)<br />
2. ใสเซลลที่บรรจุสารละลายที่ทราบคาความเขมขนและสารละลายตัวอยาง ลงในชองใสตัวอยาง<br />
3. เลือกโหมดการวัดใหอยูในโหมด F (FACTOR) และกดปุมเพิ่ม-ลด คาแฟคเตอร (หมายเลข 3,4) ให<br />
ไดคาความเขมขนเทากับคาความเขมขนที่ทราบคา<br />
4. เลื่อนสารละลายตัวอยางใหอยูในตําแหนงทางเดินแสงแลวเลือกโหมดการวัดเปน C คาความเขมขน<br />
ของสารตัวอยางจะแสดงบนหนาจอตัวเลข บันทึกคาที่อานได<br />
*** เมื่อมีการเปลี่ยนคาความยาวคลื่นจะตองรอประมาณ 2-3 นาที กอนที่จะทําการวัด<br />
4. การใชงานเครื่องวัดการดูดกลืนแสง (Spectrophotometer : Genesys 10 VIS)<br />
*** เปดอุนเครื่องกอนการใชงาน 15- 20 นาที<br />
1. เปดเครื่อง สวิตซ อยูทางดานหลังของเครื่อง<br />
2. เลือกฟงกชันที่ตองการใชงาน โดยกดปุม Change Mode (ปุม D) หนาจอจะแสดงฟงกชันทางมุมซาย ดานบน<br />
(Absorption, Transmission, Concentration)<br />
3. เลือกความยาวคลื่นที่ตองการวัด โดยกดปุม Set Mode (ปุม C) แลวปอนตัวเลขตามความยาวคลื่นที่ตองการ<br />
จากนั้นกดปุม Enter เพื่อยืนยัน<br />
4. ใสเซลล (Cuvette) ที่บรรจุสารอางอิง (Blank) ลงในชองใสตัวอยาง โดยจับเซลลดานที่ขุนและหันดานที่ใสเขา<br />
หาแหลงกําเนิดแสง<br />
5. กดปุม Measure Blank (ปุม A) เพื่อตั้งคาเปน 0.000 A<br />
6. ใสเซลล (Cuvette) ที่บรรจุสารตัวอยางลงในชองใสตัวอยาง คาที่อานไดจะแสดงที่หนาจอ จดบันทึกคาที่อานได<br />
7. ควรใชความระมัดระวังในการเทสารลงในเซลล ควรเช็ดเซลลใหแหงกอนที่จะใสเซลลลงในชองใสตัวอยาง
121<br />
หองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
8. เมื่อเสร็จสิ้นการทํางาน ปดสวิตซดานหลังเครื่อง<br />
*** เมื่อตองการเปลี่ยนความยาวคลื่นทําตามขอ 3.<br />
5. การใชงานเครื่องวัดความเค็ม (Refractometer)<br />
การปรับสเกล (Scale Adjustment)<br />
*** กอนการใชงานตองตรวจเช็คกอน เพราะดัชนีหักเหจะแปรผันกับอุณหภูมิเสมอ โดยพื้นฐานแลว<br />
เครื่องมือออกแบบมาเพื่อใชงานที่อุณหภูมิ 20 o C ดังนั้นถาการใชงานที่อุณหภูมิสูงหรือต่ํากวานี้ตองมีการปรับสเกล<br />
ซึ่งสามารถปฏิบัติไดดังนี้<br />
1. มองผาน eyepiece lens และปรับโฟกัสใหชัดเจน โดยหันเครื่องมือไปทางดานที่มีแสงสวาง<br />
2. เปดฝาปดปริซึมออกและหยดน้ํากลั่น 2-3 หยด ลงบนผิวหนาปริซึมดานบน แลวปดฝาปดปริซึมให<br />
สนิท พยามอยาใหเกิดฟองอากาศ<br />
3. มองผาน eyepiece lens จะเห็นเสนแบงเขตระหวางสวนที่เปนสีฟากับสวนที่เปนสีขาวถาเสนแบงเขต<br />
นั้นอยูที่สเกล 0% แสดงวาสเกลอยูในตําแหนงที่เหมาะสมแลว<br />
4. ถาเสนแบงเขตนั้นไมไดอยูที่ 0% ใหหมุนปุมปรับสเกล (Scale Adjust Screw) จะเห็นเสนแบงนั้นขยับ<br />
ขึ้น-ลง จากนั้นปรับใหอยูในระดับสเกล 0%<br />
5. สามารถนําไปใชงานวัดคาความเค็มตอไป<br />
การวัดคาความเค็ม (Measurement)<br />
1. เปดฝาปดปริซึมออกและหยดสารตัวอยางที่ตองการวัด 2-3 หยด ลงบนผิวหนาปริซึมดานบน แลวปด<br />
ฝาปดปริซึมใหสนิท พยายามอยาใหเกิดฟองอากาศ<br />
2. มองผาน eyepiece lens อานและจดบันทึกคาที่วัดได<br />
3. ถาเปลี่ยนสารตัวอยางที่วัดตองทําความสะอาดปริซึมและฝาปดปริซึมดวยน้ํากลั่นทุกครั้ง โดยฉีดน้ํา<br />
กลั่นจากกระบอกน้ํากลั่นลางสารตัวอยางออกใหหมด แลวเช็ดปริซึมและฝาปดปริซึมดวยกระดาษ<br />
ชําระหรือผานุมๆ ใหแหง พยายามอยาใหปริซึมมีรอยขีดขวน<br />
4. หลังจากใชงานเสร็จสิ้นแลว ลางทําความสะอาดและเก็บเครื่องมือใหเรียบรอย<br />
6. การใชงานเครื่องวัดคาการนําไฟฟา (Conductivity : Cyber Scan CON100)<br />
*** ตอพวงอุปกรณตางๆ เขากับเครื่องมือใหเรียบรอยกอนการใชงาน<br />
การคาลิเบรทเครื่อง (Calibration)<br />
1. เตรียมสารละลายบัพเฟอร (Conductivity Solution) ที่ใชในการคาลิเบรท ใสในบีกเกอร 2 อัน<br />
สารละลายนี้ควรเก็บไวที่อุณหภูมิหอง (25 o C)<br />
*** เลือกใช Conductivity Solution ที่ครอบคลุมคาการนําไฟฟาของสารละลายตัวอยางที่จะวัด<br />
2. จุม probe ลงไปใน Conductivity Solution ที่บรรจุในบีกเกอรอันแรก เพื่อกําจัดสิ่ง สกปรกที่อาจติด<br />
อยูที่ probe ซึ่งจะมีผลตอการคาลิเบรท
122<br />
หองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
3. จุม probe ลงไปใน Conductivity Solution บีกเกอรที่สอง จากนั้นเปดเครื่องโดยกดปุม<br />
ON/OFF หนาจอจะแสดงสถานของเครื่อง<br />
4. เลือกสถานะของเครื่องใหอยูในฟงกชัน COND โดยกดปุม MODE หนาจอจะแสดงคาการนํา<br />
ไฟฟา (µS) และอุณหภูมิของ Conductivity Solution บันทึกคาอุณหภูมินี้ไว<br />
5. กดปุม CAL/MEAS เพื่อเขาสูฟงกชันการคาลิเบรท หนาจอจะแสดง CAL<br />
6. ทําการคาลิเบรทเครื่องโดยใชปุม MI/ หรือ MR/ เพื่อเพิ่มหรือลดคา µS ตามลําดับ ปรับ<br />
เพิ่ม-ลด คา µS ใหไดคาตรงตามคาของ Conductivity Solution ที่ใช<br />
*** หากอุณหภูมิของ Conductivity Solution มีคาไมเทากับ 25 o C ใหปรับคา µS ใหตรงกับคา ณ อุณหภูมิ<br />
ของ Conductivity Solution นั้น (รายละเอียดระบุขางขวดสารละลาย)<br />
7 กดปุม ENTER/RANGE เพื่อยืนยันการคาลิเบรท จากนั้นเครื่องจะกลับเขาสูฟงกชัน COND เอง<br />
โดยอัตโนมัติ<br />
การวัดคาการนําไฟฟา (Measurement)<br />
1. ลาง probe ดวยน้ํากลั่นกอนการใชงานทุกครั้ง โดยจุม probe ลงในบีกเกอรที่บรรจุน้ํากลั่นและคน<br />
เบาๆ<br />
2. เปดเครื่องโดยกดปุม ON/OFF<br />
3. เช็คหนาจอเครื่องใหแนใจวาเครื่องอยูในฟงกชัน COND<br />
4. จุม probe ลงไปในสารละลายตัวอยางที่ตองการวัด และคนเบาๆ ใหเนื้อสารเขากัน<br />
5. ตองแนใจวา probe ที่จุมลงไปนั้นไมมีฟองอากาศเขาไปติดอยูขางใน probe<br />
6. อานคาบนหนาจอและจดบันทึกคาเมื่อบนหนาจอปรากฏคําวา READY<br />
7. ทุกครั้งที่เปลี่ยนสารตัวอยางที่วัดตองลาง probe ดวยน้ํากลั่นทุกครั้ง<br />
8. หลังจากเสร็จสิ้นการใชงานลาง probe ดวยน้ํากลั่นทุกครั้งและเช็ดดวยกระดาษชําระใหแหง<br />
9. ปดเครื่องโดยกดปุม ON/OFF หรือเครื่องจะปดเองโดยอัตโนมัติหลังจากที่ไมมีการใชงานเปนเวลา<br />
10 นาที<br />
10. ถอดเก็บอุปกรณไวในกลองเครื่องมือใหเรียบรอย<br />
7. การใชงานเครื่องวัดปริมาณแอมโมเนียในน้ํา (HI 93715)<br />
1. เปดเครื่องโดยกดปุมสวิตซ ON เมื่อหนาจอแสดงเครื่องหมาย “ - - - ” แสดงวาเครื่องพรอมใชงาน<br />
2. เติมสารละลายตัวอยางที่ยังไมไดใสน้ํายาลงไปใน cuvette 10 มิลลิลิตร ซึ่งตําแหนงจะอยูที่ระดับขีด โดยระดับ<br />
ขีดนี้จะอยูต่ํากวาขอบของ cuvette 1.5 ซม. จากนั้นจึงปดฝา cuvette<br />
3. วาง cuvette ลงไปในชองใส cuvette แลวปดใหตรงชอง<br />
4. กด ZERO แลวหนาจอจะแสดงเครื่องหมาย “ SIP ” รอประมาณ 2-3 วินาที หนาจอจะแสดง “ -0.0- ” แสดงวา<br />
เครื่องพรอมที่จะใชงาน<br />
5. ถอด cuvette แลวเติมน้ํายา (First reagent) ลงไปใน cuvette 4 หยด (6 หยด ในกรณีวิเคราะหน้ําทะเล)<br />
6. ปดฝาแลวแกวง/กวน cuvette ใหสารละลายกับน้ํายาเขากัน<br />
7. เติมน้ํายา (Second reagent) ลงไปใน cuvette 4 หยด (6 หยดในกรณีวิเคราะหน้ําทะเล)<br />
8. ปดฝาแลวแกวง/กวน cuvette ใหสารละลายกับน้ํายาเขากัน
123<br />
หองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
9. ใส cuvette เขาไปยังชองอีกครั้ง<br />
10. กดปุม READ TIMED แลวเครื่องจะเริ่มนับถอยหลังจนกระทั่งแสดงคา หรือรอประมาณ 3.30 นาที แลวกดปุม<br />
READ DIRECT (ทั้งสองวิธีหนาจอจะแสดงเครื่องหมาย “ SIP ” ระหวางทําการวัด)<br />
11. เครื่องจะแสดงคาความเขมขนของแอมโมเนียไนโตรเจน ในหนวยเปน mg/l<br />
12. ในการอานคาเปน mg/l ของแอมโมเนีย ใหคูณตัวเลขที่แสดงบนหนาจอดวย 1.214<br />
8. การใชงานเครื่องวัดปริมาณคลอรีน, ความกระดางในน้ํา (HI 93745)<br />
1. เปดเครื่องโดยกดปุมสวิตซ ON เมื่อหนาจอแสดงเครื่องหมาย “ C101 ” กดปุม SET คางไวจนกระทั่ง<br />
Parameter ที่ตองการปรากฏ<br />
Parameters<br />
• Total chlorine measurement : Cl t<br />
• Hardness measurement : Hrd<br />
2. ปลอยปุม หนาจอจะแสดงเครื่องหมาย “ - - - ” แสดงวาเครื่องพรอมใชงาน<br />
3. Total chlorine measurement<br />
3.1 เติมสารละลายตัวอยางที่ยังไมไดใสน้ํายาลงไปใน cuvette 10 มิลลิลิตร ซึ่งตําแหนงจะอยูที่ระดับขีด<br />
โดยระดับขีดนี้จะอยูต่ํากวาขอบของ cuvette 1.5 ซม. จากนั้นจึงปดฝา cuvette<br />
3.2 วาง cuvette ลงไปในชองใส cuvette แลวบิดใหตรงชอง<br />
3.3 กด ZERO แลวหนาจอจะแสดงเครื่องหมาย “ SIP ” รอประมาณ 2-3 วินาที หนาจอจะแสดง “ -<br />
0.0- ” แสดงวาเครื่องพรอมที่จะใชงาน<br />
3.4 เติมน้ํายา HI 93711 จํานวน 1 ซอง ลงใน cuvette ปดฝาแลวเขยาเบาๆ<br />
3.5 ใส cuvette ลงไปยังเครื่อง รอประมาณ 2 นาทีครึ่ง<br />
3.6 กดปุม READ หนาจอจะแสดงเครื่องหมาย “ SIP ” ระหวางที่กําลังวัดคา<br />
3.7 เครื่องจะแสดงคาความเขมขนของคลอรีนรวมบนหนาจอ ในหนวย mg/l<br />
4. Hardness measurement<br />
4.1 เติมสารละลายที่ยังไมไดใสน้ํายาลงไป 50 มิลลิลิตร ในบีกเกอร<br />
4.2 เติมสารละลาย HI 93719 A ลงในบีกเกอร 0.5 มิลลิลิตร แลวผสมใหเขากัน<br />
4.3 เติมสารละลาย HI 93719 B ลงในบีกเกอร 0.5 มิลลิลิตร แลวผสมใหเขากัน<br />
4.4 เติมสารละลายที่ผสมลงใน cuvette 3 อัน อันละ 10 มิลลิลิตร<br />
4.5 หยดสารละลาย HI 93719 C 1 หยด ลงใน cuvette 1 อัน ปดฝาแลวเขยา จะไดสารตัวอยาง ZERO 1<br />
4.6 หยดสารละลาย HI 93719 D 1 หยด ลงใน cuvette ที่ 2 ปดฝาแลวเขยา จะไดสารตัวอยาง ZERO 2<br />
4.7 สําหรับ cuvette ที่ 3 ไมตองเติมน้ํายา<br />
4.8 วางสารตัวอยาง ZERO 1 ลงในชองใส cuvette แลวบิดใหตรงชอง<br />
4.9 กด ZERO แลวหนาจอจะแสดงเครื่องหมาย “ SIP ” ในระหวางการวัด รอจนกระทั่งหนาจอแสดง<br />
เครื่องหมาย ZERO 2<br />
4.10 เอาสารตัวอยาง ZERO 1 ออก แลวใสสารตัวอยาง ZERO 2 ลงในชองใส cuvette แลวบิดใหตรง<br />
ชอง
124<br />
หองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
4.11 กด ZERO แลวหนาจอจะแสดงเครื่องหมาย “ SIP ” ในระหวางการวัด จากนั้นหนาจอเครื่องจะ<br />
แสดงระดับของความกระดางของแมกนีเซียมในหนวยเปน ppm CaCO 3 (ลงทายดวยสัญลักษณ<br />
“n”)<br />
4.12 เอาสารตัวอยาง ZERO 2 ออกแลวใส cuvette ที่ 3 ลงในชองใส cuvette แลวบิดใหตรงชอง<br />
4.13 กด READ แลวหนาจอจะขึ้นเครื่องหมาย “ SIP ” ในระหวางการวัด เครื่องจะแสดงความเขมขน<br />
ของ Calcium ในหนวย ppm CaCO 3 (ลงทายดวย “ C ”)<br />
4.14 กด READ อีกครั้ง แลวหนาจอจะขึ้นเครื่องหมาย “ SIP ” ในระหวางการวัด เครื่องจะแสดงความ<br />
เขมขนของ ความกระดาง ในหนวย ppm CaCO 3 (ลงทายดวย “ t ”)<br />
4.15 กด READ ครั้งสุดทาย เครื่องจะแสดงคาของความเขมขนของความกระดางในหนอย mg/l (ppm)<br />
โดยคาแรกจะแสดงคาของ magnesium (n) แลวเปนคา calcium (C) จากนั้นเปนคารวมทั้งหมด (t)<br />
4.16 โดยการกด ZERO เครื่องจะ reset แลวพรอมที่จะทําการทดสอบการกระดางของสารตัวอยางอื่น<br />
ตอไป<br />
9. การใชงานเครื่องวัดปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ํา (ภาคสนาม) (YSI#550A)<br />
1. ตรวจสอบหัววัดใหอยูในชองเก็บหัววัด และมีฟองน้ําเปยกหมาดๆ อยูภายในชองเก็บวัดดวย<br />
2. กดปุม ON/OFF เพื่อ เปดเครื่องไวประมาณ 10 นาที ใหคาที่แสดงบนหนาจอนิ่ง (Stable)<br />
3. กดปุม MODE จนกระทั่งหนาจอแสดงผลการวัดเปน %<br />
การปรับมาตรฐาน (Calibration)<br />
1. กดปุมลูกศรขึ้นและลงพรอมกัน เพื่อปรับมาตรฐานเครื่อง กดปุม ENTER เพื่อยืนยัน<br />
คาความสูงเปน 0 หนาจอจะแสดงดังรูป<br />
ALTx100 ft.<br />
0<br />
2. กดปุม ENTER เพื่อยืนยันการ CAL ที่ 100%<br />
3. กดปุม ENTER เพื่อยืนยันคาความเค็มเปน 0 หนาจอจะแสดงดังรูปขางลาง<br />
SAL PPT<br />
0.0<br />
4. วัดเปน mg/l กดปุม MODE จนหนาจอแสดง mg/l<br />
กรณีนําไปวัดแหลงน้ําที่ไมมีความเค็ม Salinity = 0 ppt<br />
- นําหัววัดไปวัดตามแหลงน้ําหรือตัวอยางที่ตองการทราบคาออกซิเจนที่ละลายน้ําไดเลย กรณี<br />
นําไปแหลงน้ําที่มีความเค็ม<br />
- กดปุม MODE ใหหนาจอแสดงหนวยของความเค็ม คือ ppt กดลูกศรขึ้นหรือลง เพื่อใสคาความ<br />
เค็มแลวกด ENTER จากนั้นนําหัววัดไปวัดไดเลย
125<br />
หองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
- ตองการทราบความเค็มของน้ํา ใชเครื่องมือสําหรับวัดความเค็มกอนใสคาความเค็มในเครื่อง<br />
การดูแลรักษาหัววัดและตัวเครื่อง<br />
- หมั่นดูแลและสังเกตที่ชองเก็บหัววัดใหมีฟองน้ําที่เปยกชุมดวยน้ําเสมอ<br />
- กรณีวัดในบอหรือแหลงน้ําทั่วไป ตองกวนหัววัดใหความเร็วสม่ําเสมอ<br />
- กรณีในบอหรือที่ที่มีการหมุนเวียนของน้ําตลอดเวลานําหัววัดผูกติดกับไมหรือแทงเหล็ก แตให<br />
หัววัดชี้เขาหาตัวเอง แลวหยอนวัดตามปกติ<br />
หมายเหตุ : แถบสีบอกถึงระดับความยาวของสายเคเบิลถึงปลาย probe<br />
สีเหลือง = 50 เซนติเมตร<br />
สีสม = 100 เซนติเมตร<br />
สีแดง = 150 เซนติเมตร<br />
สีน้ําเงิน = 200 เซนติเมตร<br />
10. การใชงานเครื่องวัดปริมาณออกซิเจนในน้ํา inoLab Oxi level 2 (แบบตั้งโตะ)<br />
*** เปดอุนเครื่องกอนการใชงาน 10-15 นาที<br />
การเปรียบเทียบการวัดคาออกซิเจนที่เจือปนในน้ํา (Calibration)<br />
ตองทําการคาลิเบรททุกครั้งที่เปดเครื่อง สัญลักษณของหัววัด (Probe) จะแสดงกระพริบบนหนาจอ เมื่อยัง<br />
ไมไดคาลิเบรท<br />
1. ใสหัววัด (Probe) ลงใน Oxical – SL<br />
2. กดปุม CAL เพื่อเขาไปในโหมดการเปรียบเทียบดวยอากาศ<br />
3. กดปุม RUN/ENTER จะปรากฏอักษร AR กระพริบ ที่จอแสดงผล<br />
4. รอจนกวาอักษร AR จะหยุดกระพริบ แลวเครื่องมือวัดจะแสดงคา Relative Slope เพื่อตรวจสอบใช<br />
แสดงภาวะของสายวัด วายังอยูในสภาพที่ใชงานไดอยูหรือไมเทียบไดกับคูมือการใชงาน<br />
ขั้นตอนการวัดคาออกซิเจนที่เจือปนในน้ํา<br />
1. กดปุม M เพื่อเขาสูโหมดการวัด<br />
2. นําหัววัด (Probe) ไปจุมในตัวอยางที่ตองการวัด<br />
3. กดปุม M เพื่อวัดปริมาณออกซิเจน (mg/l)<br />
4. กดปุม M เพื่อวัดเปอรเซ็นตออกซิเจน (%)<br />
5. กดปุม M เพื่อวัดความดันออกซิเจนในบรรยากาศ (mbar)<br />
6. กดปุม AR เพื่อเขาสูฟงกชันการอานคาอัตโนมัติ<br />
7. กดปุม RUN/ENTER เพื่อเริ่มทําการวัด<br />
8. รอจนกวาอักษร AR จะหยุดกระพริบ เครื่องมือวัดจะแสดงคาที่อานได<br />
9. วัดตัวอยางตอไปโดยการลางหัววัด (Probe) ดวยน้ํากลั่นแลวนําไปจุมในตัวอยางที่ตองการวัด ทําซ้ํา<br />
ตามขอ 7-8<br />
10. เมื่อเสร็จสิ้นการใชงานลางหัววัด (Probe) ดวยน้ํากลั่น เช็ดใหแหง แลวเก็บเขาที่ใหเรียบรอย<br />
11. ขอควรระวังในขณะปฏิบัติงาน พยายามอยาใหมีลมพัด เพราะจะทําใหคาที่อานไดไมคงที่
126<br />
หองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
การชดเชยคาความเค็มของการวัดคาออกซิเจนที่เจือปนในน้ํา (Salinity)<br />
เนื่องจากความเค็มของน้ําในระดับที่มีสวนของเกลือมากกวา 1 กรัม / ลิตร จะมีผลตอการวัดคาออกซิเจนที่<br />
เจือปนในน้ํา ดังนั้นจึงตองมีการชดเชยคาความเค็มของน้ํา เพื่อใหเครื่องวัดสามารถอานคาออกซิเจนที่เจือปนในน้ํา<br />
ไดอยางถูกตอง<br />
1. กดปุม CAL จนกวาจะมีคําวา Sal ปรากฏขึ้น<br />
2. กดปุมลูกศรขึ้น - ลง เพื่อเลือกคาการชดเชยคาความเค็ม<br />
3. กดปุม M เพื่อเขาสูโหมดของการวัด<br />
11. การใชงานเครื่องชั่งดิจิตอลทศนิยม 2 และ 4 ตําแหนง<br />
*** ขณะใชงานเครื่องชั่ง ควรปดพัดลม เครื่องปรับอากาศ และแหลงกําเนิดลม เพราะลมจะทําให<br />
คาที่ชั่งนั้นไมคงที่<br />
*** เครื่องชั่งทศนิยม 2 ตําแหนงสามารถรับน้ําหนักไดสูงสุด 1020 กรัม<br />
*** เครื่องชั่งทศนิยม 4 ตําแหนง (เครื่องที่มีฝากระจกครอบ) สามารถรับน้ําหนักไดสูงสุด 220 กรัม<br />
*** หามเคลื่อนยายเครื่องชั่งโดยเด็ดขาด<br />
1. ตรวจเช็คระดับของลูกน้ํา ใหอยูในวงกลมตรงกลาง โดยปรับไดจากฐานดานหลังของเครื่อง<br />
(ซาย-ขวา)<br />
2. เปดเครื่อง กดปุม “ON/OFF” เปดอุนเครื่องกอนการใชงาน 10-15 นาที<br />
3. วางภาชนะลงบนแทนชั่ง และกดปุม “T” เพื่อปรับน้ําหนักเปน 0.00 กรัม<br />
4. ใชความระมัดระวังในการชั่ง พยายามอยาใหสารที่ชั่ง หกลงบนเครื่องชั่ง<br />
5. เมื่อใชงานเสร็จแลวทําความสะอาดเครื่องชั่งใหเรียบรอย<br />
6. หากยังมีการใชงานตอ ยังไมตองปดเครื่อง โดยกดปุม “T” ใหหนาจอแสดง “0.00 g”<br />
7. หามวางภาชนะหรือสิ่งของใดๆ คางไวที่แทนชั่ง โดยเด็ดขาด<br />
8. ปดเครื่อง กดปุม “ON/OFF” ถอดปลั๊กและจัดเก็บเครื่องใหเรียบรอยทุกครั้งหลังใชงานเสร็จ<br />
9. มีปญหาการใชงานหรือเครื่องเกิดการชํารุดรีบแจงเจาหนาที่ทันที<br />
12. การใชงานเครื่องกวนสารละลายพรอมแผนใหความรอน (Hotplate stirrer : SLR)<br />
*** กอนใชงานควรอานวิธีการใชงานใหละเอียด และใชงานใหถูกตอง<br />
• ปุมซายมือ ควบคุมการทํางาน การกวน (Stirrer)<br />
• ปุมขวามือ ควบคุมการทํางานการใหความรอน (Heater)<br />
เครื่องหมาย การกวน แสดงวา Stirrer พรอมทํางาน<br />
เครื่องหมาย ความรอน แสดงวา Heater พรอมทํางาน<br />
เครื่องหมาย ความรอนคาง แสดงวาเครื่องยังรอนอยู หามสัมผัสแผนใหความรอน
127<br />
หองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
กราฟรูปโคง<br />
แสดงการควบคุมการทํางานของ Heater และ Stirrer<br />
การใชงานเครื่องกวนสารละลาย (Stirrer)<br />
1. เตรียมอุปกรณที่จะใชงานใหพรอม<br />
2. กดปุมซายมือคางไวประมาณ 2 วินาที จนกระทั่งสัญลักษณตางๆ ปรากฏขึ้นบนหนาจอ ระดับ<br />
ความเร็วรอบเมื่อเปดเครื่องจะอยูที่ระดับ 0 (ศูนย)<br />
3. หมุนปุมซายมือตามเข็มนาฬิกาเพื่อเลือกระดับความเร็วรอบที่ตองการ ไมควรปรับระดับความเร็วรอบ<br />
มากเกินไป อาจทําความเสียหายใหกับเครื่องได<br />
4. หนาจอจะแสดงการเพิ่มขึ้นของระดับความเร็วรอบจนถึงระดับที่ตองการ ระดับความเร็วรอบสามารถ<br />
ปรับไดทีละ 10 และสามารถปรับไดที่ระดับความเร็วรอบ 100 ถึง 1100 รอบตอนาที<br />
5. การปดเครื่อง เมื่อเสร็จสิ้นการทํางาน กดปุมซายมือคางไวประมาณ 2 วินาที สัญลักษณบนหนาจอจะ<br />
หายไป<br />
6. กรณีทํางานพรอมกับเครื่องใหความรอน หามถอดปลั๊กออกทันที เพราะวาเครื่องยังทํางาน ระบาย<br />
ความรอนใหกับตัวเครื่อง สังเกตสัญลักษณ “HOT” ยังแสดง<br />
7. เมื่อสัญลักษณ “HOT” หายไป สามารถถอดปลั๊กออกได และทําความสะอาดเครื่องกรณีเกิดความ<br />
สกปรก<br />
8. หากมีปญหาการใชงานหรือเกิดการชํารุดรีบแจงเจาหนาที่หองปฏิบัติการทันที<br />
การใชงานเครื่องทําความรอน (Heater)<br />
1. เตรียมอุปกรณที่จะใชงานใหพรอม<br />
2. กดปุมขวามือคางไวประมาณ 2 วินาที จนกระทั่งสัญลักษณตางๆ ปรากฏขึ้นบนหนาจอ ระดับความ<br />
รอนเมื่อเปดเครื่องจะอยูที่ระดับ 0 (ศูนย)<br />
3. หมุนปุมขวามือตามเข็มนาฬิกาเพื่อเลือกระดับความรอนที่ตองการภายใน 30 วินาที มิฉะนั้นเครื่องจะ<br />
ปดโดยอัตโนมัติ<br />
4. หนาจอจะแสดงการเพิ่มขึ้นของระดับอุณหภูมิจนถึงระดับที่ตองการ มี 24 ระดับ และแสดงสัญลักษณ<br />
“HOT” ซึ่งแสดงวาเครื่องเริ่มทํางาน และยังคงแสดงไปตลอดระยะเวลาที่แผนใหความรอนยังรอนอยู<br />
5. หลังจากเปดเครื่อง และใชระดับความรอนที่ระดับ 24 นานติดตอกัน 3 ชั่วโมง เครื่องจะปรับลดระดับ<br />
เปน 18 โดยอัตโนมัติเพื่อปองกันอันตรายจากความรอนสูง<br />
6. การปดเครื่อง เมื่อเสร็จสิ้นการทํางาน กดปุมขวามือคางไวประมาณ 2 วินาที สัญลักษณบนหนาจอจะ<br />
หายไป<br />
7. หามถอดปลั๊กออกทันที เพราะวาเครื่องยังทํางาน ระบายความรอนใหกับตัวเครื่อง สังเกตสัญลักษณ<br />
“HOT” ยังแสดง<br />
8. เมื่อสัญลักษณ “HOT” หายไป สามารถถอดปลั๊กได และทําความสะอาดเครื่องกรณีเกิดความสกปรก<br />
9. หากมีปญหาการใชงานหรือเกิดการชํารุดรีบแจงเจาหนาที่หองปฏิบัติการทันที
128<br />
หองปฏิบัติการสัตวน้ํา<br />
ตารางแสดงความสัมพันธระหวางระดับความรอนกับอุณหภูมิของแผนใหความรอนโดยประมาณ<br />
ระดับความ<br />
รอน<br />
อุณหภูมิ<br />
C<br />
ระดับความ<br />
รอน<br />
อุณหภูมิ<br />
C<br />
ระดับความ<br />
รอน<br />
อุณหภูมิ<br />
C<br />
ระดับความ<br />
รอน<br />
อุณหภูมิ<br />
C<br />
1 65 7 230 13 400 19 487<br />
2 93 8 255 14 415 20 505<br />
3 130 9 287 15 430 21 520<br />
4 160 10 330 16 444 22 533<br />
5 186 11 360 17 456 23 544<br />
6 207 12 380 18 473 24 555<br />
13. การใชงานเครื่องปมสุญญากาศ (Vacuum pump : ME 2)<br />
1. เสียบปลั๊กและติดตั้งอุปกรณใหเรียบรอย<br />
2. วางกระดาษกรองลงบนกรวยกรอง ฉีดน้ํากลั่นเล็กนอยเพื่อใหกระดาษกรองสัมผัสกับพื้นผิวกรวยกรอง<br />
3. เปดสวิตซ อยูดานขาง คอยๆ เทสารผานกรวยกรอง<br />
4. สามารถกรองสารไดครั้งละประมาณ 200 มิลลิลิตร<br />
5. ขอควรระวัง ถาสารที่กรองมีตะกอนมาก คอยๆ เทสารทีละนอยๆ เพื่อใหสารคอยๆ ผานกระดาษกรอง หากใส<br />
ลงไปครั้งเดียวเต็มกรวยกรอง จะทําใหกระดาษกรองอุดตัน ทําใหการกรองหยุดชะงัก<br />
6. ขอควรระวัง โปรดใชความระมัดระวังในการใชงาน อยาใหสารที่กรองไหลผานเขาไปยังเครื่องกรอง<br />
7. อยาเปดเครื่องนานติดตอกันเกิน 1 นาที ควรปดและเปดใหมเปนระยะๆ<br />
8. เปลี่ยนกระดาษกรองเมื่อเห็นวาการกรองไมมีประสิทธิภาพ<br />
9. ทุกครั้งที่เปลี่ยนสารตัวอยางในการกรอง ตองลางชุดกรอง ดวยทุกครั้ง<br />
10. เมื่อใชงานเสร็จแลวลางอุปกรณใหสะอาด และถอดปลั๊กเก็บใหเรียบรอย<br />
11. มีปญหาการใชงานหรือเครื่องเกิดการชํารุดรีบแจงเจาหนาที่ทันที
129<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
ชื่อหองปฏิบัติการ : หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
นักวิทยาศาสตรประจําหอง : นางสาวกนกกาญจน แกวพรม<br />
แผนผังหองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
ประตูทางเขา<br />
Dx 4 Dx 6<br />
Dx 1<br />
ทางเดิน<br />
Dx 12 Dx 13 Dx 14 หองน้ํา Dx 5 Dx3<br />
Dx 2<br />
ลําดับ หองปฏิบัติการ หมายเลขหอง นักวิทยาศาสตรผูรับผิดชอบ<br />
1 หอง autoclave Dx 1<br />
2 หองลางและเตรียมเครื่องแกว Dx 2<br />
3 หองปฏิบัติการระบบสืบพันธุ Dx 3<br />
นางสาวกนกกาญจน แกว<br />
พรม<br />
นายณภัทร ไกรฤกษ<br />
4 หองรวมเครื่องมือและหองเตรียมตัวอยาง Dx 4<br />
5 หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา 1 Dx 5<br />
6 หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา 2 Dx 6<br />
6 หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา 2 Dx 6<br />
7 หองเครื่อง Lamina flow Dx 14<br />
8 หองเครื่องกรองน้ํา Dx 13<br />
9 หองเครื่องแชแข็ง Dx 12
130<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
ระเบียบการใชหองปฏิบัติการ<br />
อาคารชันสูตรโรคสัตว<br />
1. แตงกายใหสุภาพเรียบรอยทุกครั้งที่เขาปฏิบัติงาน<br />
2. ลางมือทุกครั้งทั้งกอนและหลังปฏิบัติงาน<br />
3. สวมเสื้อกาวน ถุงมือทุกครั้งที่ปฏิบัติงาน<br />
4. หามกิน ดื่ม สูบบุหรี่ แตงหนา ถอด/ใสคอนแทคเลนส และเก็บอาหารไวในหองที่อนุญาตใหเก็บเทานั้น<br />
5. หามรับโทรศัพทขณะปฏิบัติงาน<br />
6. เช็ดพื้นผิวที่ทํางานดวยน้ํายาฆาเชื้อทันที หลังสิ่งติดเชื้อหกและหลังปฏิบัติงานทุกครั้ง<br />
7. ทิ้งของมีคมในภาชนะที่จัดไวใหเทานั้น<br />
8. หามเคลื่อนยายหรือนําอุปกรณ สารเคมี และวัสดุอื่นๆ ภายในหองปฏิบัติการไปโดยไมไดรับอนุญาต<br />
9. ชวยกันรักษาความสะอาด ดูแลเครื่องมือ อุปกรณ และไมสงเสียงดังในหองปฏิบัติการ<br />
10. การใชอุปกรณและเครื่องมือในหองปฏิบัติการตองแจงใหเจาหนาที่ทราบทุกครั้ง<br />
11. หากพบอุปกรณหรือครุภัณฑใดๆชํารุด มีความเสียหายใหแจงเจาหนาที่ประจําหองปฏิบัติการทันที<br />
12. ทิ้งขยะในที่ที่จัดไวเทานั้น (แยกขยะกอนทิ้ง ขยะติดเชื้อตองนําไปนึ่งฆาเชื้อกอนทิ้ง)<br />
13. หลังจากเสร็จสิ้นจากการปฏิบัติงานแลว ตองคืนอุปกรณที่เบิกไปทุกชิ้นในสภาพที่สะอาด เรียบรอย<br />
14. ปฏิบัติตามขอปฏิบัติการใชหองปฏิบัติการอยางเครงครัด<br />
ระเบียบการเรียกเก็บคาเสียหายกรณีทําของชํารุดเสียหาย<br />
1. กรณีของที่ชํารุดเสียหายเปนครุภัณฑ นักวิทยาศาสตรประจําหองทําบันทึกชี้แจงรายการที่ชํารุดเสียหาย<br />
ตอรองผูอํานวยการสถานบริการสุขภาพสัตว ทําเรื่องขออนุมัติซอม ถาคาความเสียหายเปนจํานวนเงิน จะเรียกเก็บ<br />
จากผูที่ทําชํารุดเสียหาย<br />
2. กรณีของที่ชํารุดเสียหายเปนวัสดุ นักวิทยาศาสตรประจําหองจะคิดคาความเสียหายเปนจํานวนเงิน จะ<br />
เรียกเก็บจากผูที่ทําชํารุดเสียหาย
131<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
Work Instruction<br />
1. การตรวจ ADV (Aujeszky Disease Virus or Pseudorabies Virus) โดยวิธี ELISA<br />
1.1 นําซีรั่มที่ตองการตรวจและชุดตรวจ ของ IDEXX PRV-g1 ELISA Kit ออกมาจากตูเย็นวางไวที่<br />
อุณหภูมิหองใหอุณหภูมิเทากับอุณหภูมิหอง และทําบันทึกตําแหนงของตัวอยางที่จะทําการทดสอบ<br />
1.2 ทําการเจือจางซีรั่มตัวอยางที่ตองการทดสอบ รวมทั้ง Positive Control และ Negative Control<br />
อัตราสวน 1:2 โดยเติม Sample Diluent Buffer 100 ul ลงใน Uncoated 96-wells microtiter plate แต<br />
ละหลุมใหเทากับจํานวนตัวอยางทดสอบที่ตองการตรวจ รวมถึง Positive Control 2 หลุม และ<br />
Negative Control 3 หลุม ในการเติม Sample Diluent Buffer ลงไปควรหลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ<br />
1.3 เติมซีรั่ม 100 ul ของแตละตัวอยางทดสอบลงใน Uncoated 96-wells microtiter plate แตละหลุม ใน<br />
การเติมซีรั่มของตัวอยางลงไปตองเปลี่ยนทิป ทุกครั้ง<br />
1.4 เติม Positive Control และ Negative Control 100 ul ลงใน Uncoated 96-wells microtiter plate โดยเติม<br />
Negative Control หลุม A1,A2,A3 และเติม Positive Control หลุม A4,A5 ในการเติม Positive Control<br />
และ Negative Control ลงไปตองเปลี่ยนทิปทุกครั้ง<br />
1.5 ดูดปลอย Sample Diluent ที่ผสมกับซีรั่มของแตละตัวอยาง และที่ผสมกับ Positive Control, Negative<br />
Control ใน Uncoated 96 well microtiter plate ผสมใหเขากัน ประมาณ 10-15 ครั้ง แลวดูดไปเติมลง<br />
ใน IDEXX ADV Elisa Plate 100 ul โดยหลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ ตองเปลี่ยนทิป ทุกตัวอยาง<br />
1.6 Incubate ณ อุณหภูมิ 20 - 27 o C เปนเวลา 60 นาที หรืออุณหภูมิ 2 - 7 o C ทั้งคืน<br />
1.7 เทสวนที่เปนน้ําใน IDEXX ADV Elisa Plate ทิ้ง แลวลางดวย Wash solution (เตรียมจาก 10X Wash<br />
concentrate เจือจางดวยน้ํากลั่นในอัตราสวน 1 : 10 ใน Cylinder 500 ml เชน ใชน้ํากลั่น 450 ml<br />
ตอ 10X Wash Concentrate 50 ml) จํานวน 150 ul เติมลงในแตละหลุมๆ ละ 2 ครั้ง (รวมปริมาตร<br />
ทั้งสิ้น 300 ul ตอหลุม) หลังจากนั้นเท Wash solution ทิ้ง และตบ IDEXX ADV Elisa Plate ลงบน<br />
ผาสะอาด หลายๆ ครั้งจนแหง ไมมีหยดน้ําติดอยูขางใน กอนจะเติม Wash solution ใหมตามขั้นตอน<br />
เดิม โดยทําการลาง 3 - 5 ครั้ง<br />
1.8 เติม Anti–PRV-gpΙ: HRPO conjugate จํานวน 100 ul ลงใน IDEXX PRRSV ELISA Plate แตละ<br />
หลุม หลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ และตองเปลี่ยนทิปทุกครั้ง<br />
1.9 Incubate ณ อุณหภูมิ 20 - 27 o C เปนเวลา 20 นาที<br />
1.10 ทําการลาง IDEXX ADV Elisa Plate ตามขั้นตอนที่ 1.7<br />
1.11 เติม TMB Substrate จํานวน 100 ul เติมลงใน IDEXX ADV Elisa Plate โดยหลีกเลี่ยงการเกิด<br />
ฟองอากาศ ตองเปลี่ยนทิปทุกครั้ง<br />
1.12 Incubate ณ อุณหภูมิ 20 - 27 o C เปนเวลา 15 นาที<br />
1.13 เติม Stop solution จํานวน 50 ul ลงใน IDEXX ADV Elisa Plate โดยหลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ<br />
ตองเปลี่ยนทิป ทุกครั้ง<br />
1.14 อานคา Optical Density (OD) ของ IDEXX ADV ELISA Plate แตละหลุม ดวยเครื่อง Tecan<br />
Spectra Classic ELISA Plate Reader โดยใช Filter ที่มีความยาวคลื่น 650 nm
132<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
2. การตรวจ PRRS (Porcine Reproductive and Respiratory Syndrome) โดยวิธี ELISA<br />
2.1 นําซีรั่มที่ตองการตรวจและชุดตรวจ ของ IDEXX PRRSV ELISA Test Kit ออกมาจากตูเย็นวางไวที่<br />
อุณหภูมิหองใหมีอุณหภูมิเทากับอุณหภูมิหอง (20 - 27 o C) และทําบันทึกตําแหนงของตัวอยางที่จะทํา<br />
การทดสอบ<br />
2.2 ทําการเจือจางซีรั่มตัวอยางที่ตองการทดสอบ อัตราสวน 1:40 โดยเติม Sample Diluent Buffer 273 ul<br />
โดยดูด Sample Diluent Buffer เติมลงใน Uncoated 96 well microptiter plate แตละหลุมใหเทากับ<br />
จํานวนตัวอยางทดสอบ ทิ้ง tip ที่ใชแลวลงในกระปองทิ้ง tip ที่มีน้ําประปาผสมน้ํายาไฮเตอร<br />
2.3 เติม ซีรั่ม 7.0 ul ของแตละตัวอยางเติมลงใน Uncoated 96 well microptiter plate แตละหลุมตาม<br />
ตําแหนง ในการเติมซีรั่มของตัวอยางลงไปตองเปลี่ยนทิปทุกครั้ง<br />
2.4 เติม Positive Control และ Negative Control ลงไปใน IDEXX PRRSV ELISA Plate ลงในหลุม<br />
PRRSV และ หลุม Normal Host Cell (NHC) จํานวนหลุมละ 100 ul โดยเติม Positive Control ลงใน<br />
หลุม A1,A2,B1,B2 และเติม Negative Control ลงในหลุม C1,C2,D1,D2 หลีกเลี่ยงการเกิด<br />
ฟองอากาศ ในการเติม Positive Control และ Negative Control ลงไปตองเปลี่ยนทิปทุกครั้ง<br />
2.5 ดูดปลอย Sample Diluent ที่ผสมกับซีรั่มของแตละตัวอยาง ใน Uncoated 96 well microtiter plate<br />
ผสมใหเปนเขากัน ประมาณ 10-15 ครั้ง แลวจึงดูดไปเติมลงใน IDEXX PRRSV ELISA Plate ลงใน<br />
หลุม PRRSV และ หลุม Normal Host Cell (NHC) หลุมละ 100 ul โดยหลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ<br />
และตองเปลี่ยนทิปทุกครั้ง สวนทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปองทิ้งทิป<br />
2.6 Incubate ณ อุณหภูมิ 20 - 27 o C เปนเวลา 30 นาที<br />
2.7 เทสวนที่เปนน้ําใน IDEXX PRRSV Elisa Plate ทิ้ง แลวลางดวย Wash solution (เตรียมจาก 10X<br />
Wash concentrate เจือจางดวยน้ํากลั่นในอัตราสวน 1 : 10 ใน Cylinder 500 ml เชน ใชน้ํากลั่น 450<br />
ml ตอ 10X Wash Concentrate 50 ml) จํานวน 150 ul เติมลงในแตละหลุมๆ ละ 2 ครั้ง (รวม<br />
ปริมาตรทั้งสิ้น 300 ul ตอหลุม) หลังจากนั้นเท Wash solution ทิ้ง และตบ IDEXX PRRSV Elisa<br />
Plate ลงบนผาสะอาด หลายๆ ครั้งจนแหง ไมมีหยดน้ําติดอยูขางใน กอนจะเติม Wash solution ใหม<br />
ตามขั้นตอนเดิม โดยทําการลาง 3 - 5 ครั้ง และหลีกเลี่ยงไมให IDEXX ADV Elisa Plate แหง<br />
ระหวางรอขั้นตอนตอไป<br />
2.8 เติม Anti–Porcine: HRPO conjugate จํานวน 100 ul ลงใน IDEXX PRRSV ELISA Plate หลีกเลี่ยง<br />
การเกิดฟองอากาศ และตองเปลี่ยนทิปทุกครั้ง<br />
2.9 Incubate ณ อุณหภูมิ 20 - 27 o C เปนเวลา 30 นาที<br />
2.10 ทําการลาง IDEXX PRRSV Elisa Plate ตามขั้นตอนที่ 1.7<br />
2.11 เติม TMB Substrateจํานวน 100 ul ลงใน IDEXX PRRSV ELISA Plate หลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ<br />
และตองเปลี่ยนทิปทุกครั้ง<br />
2.12 Incubate ณ อุณหภูมิ 20 - 27 o C เปนเวลา 15 นาที<br />
2.13 เติม Stop solution จํานวน 100 ul ลงใน IDEXX PRRSV ELISA Plate หลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ<br />
และตองเปลี่ยนทิปทุกครั้ง สวนทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปองทิ้งทิป<br />
2.14 อานคา Optical Density (OD) ของ IDEXX PRRSV ELISA Plate แตละหลุม ดวยเครื่อง Tecan<br />
Spectra Classic ELISA Plate Reader โดยใช Filter ที่มีความยาวคลื่น 650 nm
133<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
3. การตรวจ M.hyo (Mycoplasma hyopneumoniae) โดยวิธี ELISA<br />
3.1 นําซีรั่มที่ตองการตรวจและชุดตรวจ ของ IDEXX M.hyo ELISA Test Kit ออกมาจากตูเย็นวางไวที่<br />
อุณหภูมิหอง (20 - 27 o C) ) และทําบันทึกตําแหนงของตัวอยางที่จะทําการทดสอบ<br />
3.2 ทําการเจือจางซีรั่มตัวอยางที่ตองการทดสอบ อัตราสวน 1:40 โดยเติม Sample Diluent Buffer 234 ul<br />
ลงใน Uncoated 96 well microptiter plate แตละหลุมใหเทากับจํานวนตัวอยางทดสอบ ทิ้ง tip ที่ใช<br />
แลวลงในกระปองทิ้ง tip ที่มีน้ําประปาผสมน้ํายาไฮเตอร<br />
3.3 เติม ซีรั่ม 6.0 ul ของแตละตัวอยางลงแตละหลุมตามตําแหนง ในการเติมซีรั่มของตัวอยางลงไปตอง<br />
เปลี่ยนทิปทุกครั้ง<br />
3.4 เติม Negative Control และ Positive Control ลงไปใน IDEXX M.hyo ELISA Test Kit หลุม A1, B1<br />
และ C1, D1 จํานวน 100 ul หลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ ในการเติม Positive Control และ Negative<br />
Control ลงไปตองเปลี่ยนทิปทุกครั้งในแตละหลุม<br />
3.5 ดูดปลอย Sample Diluent ที่ผสมกับซีรั่มของแตละตัวอยาง ใน Uncoated 96 well microtiter plate<br />
ผสมใหเปนเขากัน ประมาณ 10-15 แลวจึงดูดไปเติมลงใน IDEXX M.hyo ELISA Test Kit ละ 100<br />
ul โดยหลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ และตองเปลี่ยนทิปทุกครั้ง<br />
3.6 Incubate ณ อุณหภูมิ 20 - 27 o C เปนเวลา 30 นาที<br />
3.7 เทสวนที่เปนน้ําใน IDEXX M.hyo ELISA Test Kit ทิ้ง แลวลางดวย Wash solution (เตรียมจาก 10X<br />
Wash concentrate เจือจางดวยน้ํากลั่นในอัตราสวน 1 : 10 ใน Cylinder 500 ml เชน ใชน้ํากลั่น 450<br />
ml ตอ 10X Wash Concentrate 50 ml) จํานวน 150 ul เติมลงในแตละหลุมๆ ละ 2 ครั้ง (รวม<br />
ปริมาตรทั้งสิ้น 300 ul ตอหลุม) หลังจากนั้นเท Wash solution ทิ้ง และตบ IDEXX M.hyo ELISA<br />
Plate ลงบนผาสะอาด หลายๆ ครั้งจนแหง ไมมีหยดน้ําติดอยูขางใน กอนจะเติม Wash solution ใหม<br />
ตามขั้นตอนเดิม โดยทําการลาง 3 - 5 ครั้ง และหลีกเลี่ยงไมให IDEXX M.hyo ELISA Test Kit แหง<br />
ระหวางรอขั้นตอนตอไป<br />
3.8 เติม Anti–Porcine: HRPO conjugate โดยใช Multichannel Autopipette ขนาด 25 – 200 ul พรอม<br />
ทิป ขนาด 10 – 250 ul จํานวน 100 ul จาก Reagent reservior ไปปลอยลงใน IDEXX M.hyo ELISA<br />
Test Kit หลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ และตองเปลี่ยนทิปทุกครั้ง สวนทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปอง<br />
ทิ้งทิป<br />
3.9 Incubate ณ อุณหภูมิ 20 - 27 o C เปนเวลา 30 นาที<br />
3.10 ทําการลาง IDEXX M.hyo Elisa Plate ตามขั้นตอนที่ 3.7<br />
3.11 เติม TMB Substrate จํานวน 100 ul ลงใน IDEXX M.hyo ELISA Test Kit หลีกเลี่ยงการเกิด<br />
ฟองอากาศ และตองเปลี่ยนทิปทุกครั้ง<br />
3.12 Incubate ณ อุณหภูมิ 20 - 27 o C เปนเวลา 15 นาที<br />
3.13 เติม Stop solution จํานวน 100 ul ลงใน IDEXX M.hyo ELISA Test Kit หลีกเลี่ยงการเกิด<br />
ฟองอากาศ และตองเปลี่ยนทิปทุกครั้ง สวนทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปองทิ้งทิป<br />
2.15 อานคา Optical Density (OD) ของ IDEXX M.hyo ELISA Test Kit แตละหลุม ดวยเครื่อง Tecan<br />
Spectra Classic ELISA Plate Reader โดยใช Filter ที่มีความยาวคลื่น 650 nm
134<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
4. การตรวจ APP (Actinobacillus pseudopneumoniae) โดยวิธี ELISA<br />
4.1 นําตัวอยางซีรั่มที่ตองการตรวจและชุดตรวจ CHECKIT-APP-ApxIV EIA Kit ออกมาจากตูเย็นวางไวที่<br />
อุณหภูมิหอง และทําบันทึกตําแหนงของตัวอยางที่จะทําการทดสอบ<br />
4.2 เจือจางตัวอยางซีรั่มที่ตองการทดสอบ อัตราสวน 1:10 โดยเติม sample diluent 90 ul ลงใน APP-<br />
ApxIv Microtiter plate แตละหลุมใหเทากับจํานวนตัวอยางทดสอบ และทิ้ง tip ที่ใชแลวลงใน<br />
กระปองทิ้ง tip ที่มีน้ําประปาผสมน้ํายาไฮเตอร<br />
4.3 เติม APP-ApxIV-Control-Serum(Positive และ Negative) จํานวน 10 ul โดยเติม Negative Control ลง<br />
ในหลุม A1,B1 และเติม Positive Control ลงในหลุม C1,D1 และตัวอยางซีรั่ม 10 ulลงในแตละหลุม<br />
ตามตําแหนง ในการเติมซีรั่มของตัวอยางลงไปตองเปลี่ยนทิปทุกครั้ง<br />
4.4 Incubate ในสภาวะชื้น ณ อุณหภูมิ 37 o C (+ 2 o C) เปนเวลา 60 นาที ( + 5 นาที) หรืออาจสามารถ<br />
incubate ในชวงอุณหภูมิ 2- 8 o C เปนเวลา 14 -18 ชั่วโมง<br />
4.5 เทสวนที่เปนของเหลวใน APP-ApxIV Microtiter plate ทิ้ง แลวลางดวย Washing solution (เตรียม<br />
จาก 10X concentrate เจือจางดวยน้ํากลั่นในอัตราสวน 1 : 10 เชน ใชน้ํากลั่น 180 ml ตอ 10X<br />
Concentrate 20 ml ) จํานวน 150 ul เติมลงในแตละหลุมๆ ละ 2 ครั้ง (รวมปริมาตรทั้งสิ้น 300 ul ตอ<br />
หลุม) แลวเทออก ในการเติมแตละหลุม หลีกเลี่ยงไมใหปลายทิปสัมผัสกนหลุม รวมทั้งการเกิด<br />
ฟองอากาศ และทิ้งทิปที่ใชแลวลงในกระปองทิ้งทิป ทําการลาง 3 - 5 ครั้ง ตามขั้นตอนเดิม โดยครั้ง<br />
สุดทายตบ APP-ApxIV Microtiter plate หลายๆ ครั้งกับผาสะอาด จนแหง ไมมีหยดน้ําติดอยูขางใน<br />
4.6 เติม Anti-Swine-IgG-PO-Conjugate จํานวน 100 ul ลงใน APP-ApxIV Microtiter plate หลีกเลี่ยง<br />
การเกิดฟองอากาศ และ ทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปองทิ้งทิป<br />
4.7 Incubateในสภาวะชื้น ณ อุณหภูมิ 37 o C (+ 2 o C ) เปนเวลา 60 นาที ( + 5 นาที)<br />
4.8 ทําการลาง APP-ApxIV Microtiter plate ตามขั้นตอนขอ 4.5<br />
4.9 เติม TMB-Substrate solution จํานวน 100 ul ลงใน APP-ApxIV Microtiter plate หลีกเลี่ยงการเกิด<br />
ฟองอากาศ และ ทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปองทิ้งทิป<br />
4.10 Incubate ณ อุณหภูมิ 25 o C เปนเวลา 15 นาที ( + 5 นาที)<br />
4.11 เติม Stop TMB solution จํานวน 100 ul ลงใน APP-ApxIV Microtiter plate หลีกเลี่ยงการเกิด<br />
ฟองอากาศ และทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปองทิ้งทิป<br />
4.12 อานคาดวยเครื่อง Tecan Spectra Classic Elisa Reader ที่ Optical Density 450 nm
135<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
5. การตรวจ IBV (Infectious Bronchitis Virus) โดยวิธี ELISA<br />
5.1 นําซีรั่มที่ตองการตรวจและชุดตรวจ CHECKIT-APP-ApxIV EIA Kit IBV antigen coated plate,<br />
IBV positive control serum, Normal control serum และ Dilution buffer ออกมาจากตูเย็นวางไวที่<br />
อุณหภูมิหองใหมีอุณหภูมิเทากับอุณหภูมิหอง หากในการตรวจวิเคราะหมีจํานวนตัวอยางรวมทั้ง<br />
control serum ไมครบ 96 หลุม ใหใชกระดาษกาวปดทับหลุมที่ไมไดใชงานเพื่อไมใหของเหลว หรือ<br />
เกิดความชื้นภายในหลุมนั้น<br />
5.2 ทําการเจือจางซีรั่มตัวอยางที่ตองการทดสอบ และ control serum ( Normal serum, positive control)<br />
อัตราสวน 1:50 โดยเติม Dilution Buffer 300 ul โดยใช Autopipette ขนาด 100 -1,000 ul และ tip<br />
ขนาด 100 – 1,000 ul ดูด Dilution buffer ที่เทลง ใน Reagent reservior ตามปริมาตรที่จะใชงาน<br />
ปลอยลงใน Uncoated 96 well plate แตละหลุมใหเทากับจํานวนตัวอยางทดสอบ และทิ้ง tip ที่ใชแลว<br />
ลงในกระปองทิ้ง tip ที่มีน้ําประปา ถาเกิดการผิดพลาดในขั้นตอนนี้ หรือขั้นตอนใดๆ ตอจากนี้ การ<br />
แกไขโดยตองไปเริ่มทําที่ขั้นตอน ขอ 5.2 ใหม<br />
ตัวอยางความผิดพลาด เชน มีฟองอากาศใน Pipette tip, ระยะเวลาในการ Incubate Plate มากกวาหรือ<br />
นอยกวา, อุณหภูมิในการ Incubate Plate สูงกวาหรือต่ํากวา, สับสนกับจํานวนตัวอยางซีรั่มหรือ<br />
จํานวนหลุมตัวอยาง เปนตน<br />
5.3 เติม ซีรั่ม 6.0 ul ของแตละตัวอยางลงแตละหลุมของ Uncoated 96 well microtiter plate โดยใช<br />
Autopipette ขนาด 0.5 – 10.0 ul พรอมทิป ขนาด 1.0 -10.0 ul ในการเติมซีรั่มของตัวอยางลงไปตอง<br />
เปลี่ยนทิปทุกครั้ง และทิ้งทิปที่ใชแลวลงในกระปองทิ้งทิป ที่มีน้ําประปา<br />
ซีรั่มตัวอยางที่เจือจางไวตามขั้นตอนนี้ ควรรอทิ้งไวไมต่ํากวา 5 นาทีกอนจะเติมลงใน IBV antigen<br />
coated plate ตามขั้นตอนที่ 5.5 โดยสามารถใชตรวจวิเคราะหตามวิธีการนี้ ภายใน 24 ชั่วโมง<br />
ตัวอยางซีรั่มที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห จะนําไปเก็บที่ตูเย็น –20 o C ประมาณ 1 ป<br />
5.4 เติม Dilution buffer 50 ul ลงใน IBV antigen coated plate ในแตละหลุมที่จะตรวจวิเคราะห โดยใช<br />
Multichannel autopipette ขนาด 50 -200 ul และ tip ขนาด 10 – 250 ul ดูด Dilution buffer ที่เทลง<br />
ใน Reagent reservior ตามปริมาตรที่จะใชงาน และทิ้ง tip ที่ใชแลวลงในกระปองทิ้ง tip ที่มีน้ําประปา<br />
5.5 เติม Positive control serum ที่เจือจางแลว ลงไปใน IBV antigen coated plate ลงในหลุม A1, A3, H11<br />
และ เติม Normal control serum ลงในหลุม A2, H10, H12 จํานวนหลุมละ 50 ul โดยใช Autopipette<br />
ขนาด 10 - 100 ul พรอมทิป ขนาด 10 - 250 ul หลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ ในการเติม Positive<br />
Control และ Negative Control serum ลงไปตองเปลี่ยนทิปทุกครั้ง และทิ้งทิปที่ใชแลวลงในกระปอง<br />
ทิ้งทิป<br />
ตําแหนงหลุมการเติม Positive control และ Normal control serum ที่ไดระบุตามขั้นตอนที่ 5.5 นี้ อาจ<br />
เปลี่ยนแปลงไดตามความเหมาะสม หากมีจํานวนซีรั่มตัวอยางไมครบทั้งเพลท<br />
5.5 ดูด-ปลอยซีรั่มแตละตัวอยาง ใน Uncoated 96 well microtiter plate ที่เจือจางแลว ประมาณ 10-15 ครั้ง<br />
โดยใช Multichannel Autopipette ขนาด 25 - 200 ul พรอมทิป ขนาด 10 - 250 ml แลวจึงดูดยายไป<br />
ปลอยลงใน MG antigen coated plate หลุมละ 50 ul โดยหลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ และตองเปลี่ยน<br />
ทิปทุกครั้ง สวนทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปองทิ้งทิปที่มีน้ําประปา ในขั้นตอนนี้ควรกระทําโดยใชเวลา<br />
ใหนอยที่สุด
136<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
5.6 Incubate ณ อุณหภูมิ 21 - 24 o C เปนเวลา 30 นาที<br />
5.7 เคาะเทสวนที่เปนน้ําใน IBV antigen coated plate ทิ้ง แลวลางดวย Wash solution (เตรียมจาก 20X<br />
Wash concentrate เจือจางดวยน้ํากลั่นในอัตราสวน 1 : 20 ใน Cylinder 500 ml เชน ใชน้ํากลั่น 380<br />
ml ตอ 20X Wash Concentrate 20 ml ซึ่งเปนปริมาตรเพียงพอสําหรับ 96 well test plate 1 เพลท) โดย<br />
ใช Multichannel autopipette ขนาด 50 – 250 ul พรอมทิป ขนาด 10 – 250 ul ดูด Wash solution<br />
จํานวน 150 ul เติมลงในแตละหลุมๆ ละ 2 ครั้ง (รวมปริมาตรทั้งสิ้น 300 ul ตอหลุม) ให Wash<br />
solution แชใน IBV antigen coated plate แตละหลุมเปนเวลา 3 นาที หลังจากนั้นเท Wash solution<br />
ทิ้ง และตบ IBV antigen coated plate ลงบนผาสะอาด หลายๆ ครั้งจนแหง ไมมีหยดน้ําติดอยูขางใน<br />
กอนจะเติม Wash solution ใหมตามขั้นตอนเดิม โดยทําการลาง 3 - 5 ครั้ง<br />
5.8 เติม Diluted Goat anti-Chicken IgG PO conjugate solution โดยใช Multichannel Autopipette ขนาด<br />
25 – 200 ul พรอม ทิป ขนาด 10 – 250 ul จํานวน 100 ul ไปปลอยลงใน IBV antigen coated plate<br />
(Diluted Goat anti-Chicken IgG PO conjugate solution เตรียมจาก Goat anti-Chicken IgG PO<br />
conjugate solution (stock) 100 ul เจือจางดวย Dilution Buffer 10 ml ใน Reagent reservior ซึ่งเปน<br />
ปริมาตรที่เพียงพอใชสําหรับ 96 well test plate 1 เพลท)<br />
5.9 Incubate ณ อุณหภูมิ 21 - 24 o C เปนเวลา 30 นาที<br />
5.10 เคาะเทสวนที่เปนน้ําใน IBV antigen coated plate ทิ้ง แลวทําการลางเพลทตามขั้นตอนขอที่ 5.7<br />
5.11 เติม ABTS Hydrogen PO substrate solution จํานวน 100 ul โดยใช Multichannel Autopipette ขนาด<br />
25 – 200 ul พรอมทิป ขนาด 10 – 250 ul ดูด ABTS Hydrogen PO substrate solution จาก Reagent<br />
reservior ไปปลอยลงใน IBV antigen coated plate แตละหลุม หลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ และทิปที่<br />
ใชแลวทิ้งลงในกระปองทิ้งทิปที่มีน้ําประปา<br />
5.12 Incubate ณ อุณหภูมิ 21 - 24 o C เปนเวลา 15 นาที<br />
5.13 เติม Diluted Stop solution จํานวน 100 ul โดยใช Multichannel Autopipette ขนาด 50 – 250 ul<br />
พรอมทิป ขนาด 10 – 250 ul ดูด Stop solution จาก Reagent reservior ไปปลอยลงใน IBV antigen<br />
coated plate แตละหลุม (Diluted Stop solution เตรียมจาก 5X Stop solution 2.5 ml ผสมดวย RO<br />
water 10 ml ใน Reagent reservior ซึ่งเปนปริมาตรที่เพียงพอใชสําหรับ 96 well test plate 1 เพลท)<br />
หลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ และทิ้งทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปองทิ้งทิป<br />
อนึ่ง 5X Stop solution ควรนํามาวาง ณ อุณหภูมิหอง หรือ ที่ 37C กอนนําไปเจือจาง<br />
5.14 อานคา Optical Density (OD) ของ IBV antigen coated plate แตละหลุม ดวยเครื่อง Tecan Spectra<br />
Classic ELISA Plate Reader โดยใช Filter ที่มีความยาวคลื่น 405 – 410 nm
137<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
6. การตรวจ IBD (Infectious Bursal Disease) โดยวิธี ELISA<br />
6.1 นําซีรั่มที่ตองการตรวจ IBD antigen coated plate, IBD positive control serum, Normal control<br />
serum และ Dilution buffer ออกมาจากตูเย็นวางไวที่อุณหภูมิหองใหมีอุณหภูมิเทากับอุณหภูมิหอง<br />
หากในการตรวจวิเคราะหมีจํานวนตัวอยางรวมทั้ง control serum ไมครบ 96 หลุม ใหใชกระดาษกาว<br />
ปดทับหลุมที่ไมไดใชงานเพื่อไมใหของเหลว หรือเกิดความชื้นภายในหลุมนั้น<br />
6.2 ทําการเจือจางซีรั่มตัวอยางที่ตองการทดสอบ และ control serum ( Normal serum, positive control)<br />
อัตราสวน 1:50 โดยเติม Dilution Buffer 300 ul โดยใช Autopipette ขนาด 100 -1,000 ul และ tip<br />
ขนาด 100 – 1,000 ul ดูด Dilution buffer ที่เทลง ใน Reagent reservior ตามปริมาตรที่จะใชงาน<br />
ปลอยลงใน Uncoated 96 well microtiter plate แตละหลุมใหเทากับจํานวนตัวอยางทดสอบ และทิ้ง<br />
tip ที่ใชแลวลงในกระปองทิ้ง tip ที่มีน้ําประปา ถาเกิดการผิดพลาดในขั้นตอนนี้ หรือขั้นตอนใดๆ ตอ<br />
จากนี้ การแกไขโดยตองไปเริ่มทําที่ขั้นตอน ขอ 5.2 ใหม<br />
ตัวอยางความผิดพลาด เชน มีฟองอากาศใน Pipette tip, ระยะเวลาในการ Incubate Plate มากกวาหรือ<br />
นอยกวา, อุณหภูมิในการ Incubate Plate สูงกวาหรือต่ํากวา, สับสนกับจํานวนตัวอยางซีรั่มหรือ<br />
จํานวนหลุมตัวอยาง เปนตน<br />
6.3 เติม ซีรั่ม 6.0 ul ของแตละตัวอยางลงแตละหลุมของ Uncoated 96 well microtiter plate โดยใช<br />
Autopipette ขนาด 0.5 – 10.0 ul พรอมทิป ขนาด 1.0 -10.0 ul ในการเติมซีรั่มของตัวอยางลงไปตอง<br />
เปลี่ยนทิปทุกครั้ง และทิ้งทิปที่ใชแลวลงในกระปองทิ้งทิป ที่มีน้ําประปา<br />
ซีรั่มตัวอยางที่เจือจางไวตามขั้นตอนนี้ ควรรอทิ้งไวไมต่ํากวา 5 นาทีกอนจะเติมลงใน IBD antigen<br />
coated plate ตามขั้นตอนที่ 6.5 โดยสามารถใชตรวจวิเคราะหตามวิธีการนี้ ภายใน 24 ชั่วโมง<br />
ตัวอยางซีรั่มที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห จะนําไปเก็บที่ตูเย็น –20 o C ประมาณ 1 ป<br />
6.4 เติม Dilution buf fer 50 ul ลงใน IBD antigen coated plate ในแตละหลุมที่จะตรวจวิเคราะห โดยใช<br />
Multichannel autopipette ขนาด 25 -200 ul และ tip ขนาด 10 – 250 ul ดูด Dilution buffer ที่เทลง<br />
ใน Reagent reservior ตามปริมาตรที่จะใชงาน และทิ้ง tip ที่ใชแลวลงในกระปองทิ้ง tip ที่มีน้ําประปา<br />
ถาเกิดการผิดพลาดในขั้นตอนนี้ หรือขั้นตอนใดๆ ตอจากนี้ การแกไขโดยตองไปเริ่มทําที่ขั้นตอน ขอ<br />
5.1 และ 5.4 ใหม<br />
6.5 เติม Positive control ที่เจือจางแลว ลงไปใน IBD antigen coated plate ลงในหลุม A1, A3, H11 และ<br />
เติม Normal control serum ลงในหลุม A2, H10, H12 จํานวนหลุมละ 50 ul โดยใช Autopipette<br />
ขนาด 10 - 100 ul พรอมทิป ขนาด 10 - 250 ul หลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ ในการเติม Positive<br />
Control และ Negative Control ลงไปตองเปลี่ยนทิปทุกครั้ง และทิ้งทิปที่ใชแลวลงในกระปองทิ้งทิป<br />
6.6 ดูด-ปลอยซีรั่มแตละตัวอยาง ใน Uncoated 96 well microtiter plate ที่เจือจางแลว ประมาณ 10-15 ครั้ง<br />
โดยใช Multichannel Autopipette ขนาด 25 - 200 ul พรอมทิป ขนาด 10 - 250 ml แลวจึงดูดยายไป<br />
ปลอยลงใน IBD antigen coated plate หลุมละ 50 ul โดยหลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ และตองเปลี่ยน<br />
ทิปทุกครั้ง สวนทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปองทิ้งทิปที่มีน้ําประปา ในขั้นตอนนี้ควรกระทําโดยใชเวลา<br />
ใหนอยที่สุด<br />
ถาเกิดการผิดพลาดในขั้นตอนนี้ การแกไขโดยตองไปเริ่มทําที่ขั้นตอน ขอ 5.1 ใหม<br />
6.7 Incubate ณ อุณหภูมิ 21- 24 o C เปนเวลา 30 นาที
138<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
6.8 เคาะเทสวนที่เปนน้ําใน IBD antigen coated plate ทิ้ง แลวลางดวย Wash solution (เตรียมจาก 20X<br />
Wash concentrate เจือจางดวยน้ํากลั่นในอัตราสวน 1 : 20 ใน Cylinder 500 ml เชน ใชน้ํากลั่น 380<br />
ml ตอ 20X Wash Concentrate 20 ml ซึ่งเปนปริมาตรเพียงพอสําหรับ 96 well test plate 1 เพลท) โดย<br />
ใช Multichannel autopipette ขนาด 50 – 250 ul พรอมทิป ขนาด 10 – 250 ul ดูด Wash solution<br />
จํานวน 150 ul เติมลงในแตละหลุมๆ ละ 2 ครั้ง (รวมปริมาตรทั้งสิ้น 300 ul ตอหลุม) ให Wash<br />
solution แชใน IBD antigen coated plate แตละหลุมเปนเวลา 3 นาที หลังจากนั้นเท Wash solution<br />
ทิ้ง และตบ IBD antigen coated plate ลงบนผาสะอาด หลายๆ ครั้งจนแหง ไมมีหยดน้ําติดอยูขางใน<br />
กอนจะเติม Wash solution ใหมตามขั้นตอนเดิม โดยทําการลาง 3 - 5 ครั้ง ทิปที่ใชแลวทิ้งลงใน<br />
กระปองที่ใสน้ําประปาไว<br />
6.9 เติม Diluted Goat anti-Chicken IgG PO conjugate solution โดยใช Multichannel Autopipette ขนาด<br />
50 – 250 ul พรอม ทิป ขนาด 10 – 250 ul จํานวน 100 ul ไปปลอยลงใน IBD antigen coated plate<br />
(Diluted Goat anti-Chicken IgG PO conjugate solution เตรียมจาก Goat anti-Chicken IgG PO<br />
conjugate solution (stock) 100 ul เจือจางดวย Dilution Buffer 10 ml ใน Reagent reservior ซึ่งเปน<br />
ปริมาตรที่เพียงพอใชสําหรับ 96 well test plate 1 เพลท) ในการเติมฯ หลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ<br />
และ สวนทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปองทิ้งทิปที่มีน้ําประปา<br />
6.10 Incubate ณ อุณหภูมิ 21 - 24 o C เปนเวลา 30 นาที<br />
6.11 เคาะเทสวนที่เปนน้ําใน IBD antigen coated plate ทิ้ง แลวทําการลางเพลทตามขั้นตอนขอที่ 6.8 โดย<br />
ทําการลาง 3 - 5 ครั้ง ทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปองที่ใสน้ําประปาไว<br />
6. 12 เติม ABTS Hydrogen PO substrate solution จํานวน 100 ul โดยใช Multichannel Autopipette<br />
ขนาด 50 – 200 ul พรอมทิป ขนาด 10 – 250 ul ดูด ABTS Hydrogen PO substrate solution จาก<br />
Reagent reservior ไปปลอยลงใน IBD antigen coated plate แตละหลุม หลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ<br />
และทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปองทิ้งทิปที่มีน้ําประปา<br />
6.13 Incubate ณ อุณหภูมิ 21 - 24 o C เปนเวลา 15 นาที<br />
6.14 เติม Diluted Stop solution จํานวน 100 ul โดยใช Multichannel Autopipette ขนาด 50 – 250 ul<br />
พรอมทิป ขนาด 10 – 250 ul ดูด Stop solutionจาก Reagent reservior ไปปลอยลงใน MG antigen<br />
coated plate แตละหลุม (Diluted Stop solution เตรียมจาก 5X Stop solution 2.5 ml ผสมดวย RO<br />
water 10 ml ใน Reagent reservior ซึ่งเปนปริมาตรที่เพียงพอใชสําหรับ 96 well test plate 1 เพลท)<br />
หลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ และทิ้งทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปองทิ้งทิป<br />
อนึ่ง 5X Stop solution ควรนํามาวาง ณ อุณหภูมิหอง หรือ ที่ 37 o C กอนเจือจาง<br />
6.15 อานคา Optical Density (OD) ของ IBV antigen coated plate แตละหลุม ดวยเครื่อง Tecan Spectra<br />
Classic ELISA Plate Reader โดยใช Filter ที่มีความยาวคลื่น 405 – 410 nm
139<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
7. การตรวจ MG (Mycoplasma gallisepticum) โดยวิธี ELISA<br />
7.1 นําซีรั่มที่ตองการตรวจ MG antigen coated plate, MG positive control serum, Normal control<br />
serum และ Dilution buffer ออกมาจากตูเย็นวางไวที่อุณหภูมิหองใหมีอุณหภูมิเทากับอุณหภูมิหอง<br />
หากในการตรวจวิเคราะหมีจํานวนตัวอยางรวมทั้ง control serum ไมครบ 96 หลุม ใหใชกระดาษกาว<br />
ปดทับหลุมที่ไมไดใชงานเพื่อไมใหของเหลว หรือเกิดความชื้นภายในหลุมนั้น<br />
7.2 ทําการเจือจางซีรั่มตัวอยางที่ตองการทดสอบ และ control serum ( Normal serum, positive control)<br />
อัตราสวน 1:50 โดยเติม Dilution Buffer 300 ul โดยใช Autopipette ขนาด 100 -1,000 ul และ tip<br />
ขนาด 100 – 1,000 ul ดูด Dilution buffer ที่เทลง ใน Reagent reservior ตามปริมาตรที่จะใชงาน<br />
ปลอยลงใน Uncoated 96 well plate แตละหลุมใหเทากับจํานวนตัวอยางทดสอบ และทิ้ง tip ที่ใชแลว<br />
ลงในกระปองทิ้ง tip ที่มีน้ําประปา ถาเกิดการผิดพลาดในขั้นตอนนี้ หรือขั้นตอนใดๆ ตอจากนี้ การ<br />
แกไขโดยตองไปเริ่มทําที่ขั้นตอน ขอ 5.2 ใหม<br />
ตัวอยางความผิดพลาด เชน มีฟองอากาศใน Pipette tip, ระยะเวลาในการ Incubate Plate มากกวาหรือ<br />
นอยกวา, อุณหภูมิในการ Incubate Plate สูงกวาหรือต่ํากวา, สับสนกับจํานวนตัวอยางซีรั่มหรือ<br />
จํานวนหลุมตัวอยาง เปนตน<br />
7.3 เติม ซีรั่ม 6.0 ul ของแตละตัวอยางลงแตละหลุมของ Uncoated 96 well plate โดยใช Autopipette<br />
ขนาด 0.5 – 10.0 ul พรอมทิป ขนาด 1.0 -10.0 ul ในการเติมซีรั่มของตัวอยางลงไปตองเปลี่ยนทิปทุก<br />
ครั้ง และทิ้งทิปที่ใชแลวลงในกระปองทิ้งทิป ที่มีน้ําประปา ซีรั่มตัวอยางที่เจือจางไวตามขั้นตอนนี้<br />
ควรรอทิ้งไวไมต่ํากวา 5 นาทีกอนจะเติมลงใน MG antigen coated plate ตามขั้นตอนที่ 7.5 โดย<br />
สามารถใชตรวจวิเคราะหตามวิธีการนี้ ภายใน 24 ชั่วโมง<br />
ตัวอยางซีรั่มที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห จะนําไปเก็บที่ตูเย็น –20 องศาเซลเซียส ประมาณ 1 ป<br />
7.4 เติม Dilution buffer 50 ul ลงใน MG antigen coated plate ในแตละหลุมที่จะตรวจวิเคราะห โดยใช<br />
Multichannel autopipette ขนาด 50 -200 ul และ tip ขนาด 10 – 250 ul ดูด Dilution buffer ที่เทลง<br />
ใน Reagent reservior ตามปริมาตรที่จะใชงาน และทิ้ง tip ที่ใชแลวลงในกระปองทิ้ง tip ที่มีน้ําประปา<br />
ถาเกิดการผิดพลาดในขั้นตอนนี้ หรือขั้นตอนใดๆ ตอจากนี้ การแกไขโดยตองไปเริ่มทําที่ขั้นตอน ขอ<br />
5.1 และ 5.4 ใหม<br />
7.5 เติม Positive control ที่เจือจางแลว ลงไปใน MG antigen coated plate ลงในหลุม A1, A3, H11 และ<br />
เติม Normal control serum ลงในหลุม A2, H10, H12 จํานวนหลุมละ 50 ul โดยใช Autopipette<br />
ขนาด 10 - 100 ul พรอมทิป ขนาด 10 - 250 ul หลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ ในการเติม Positive<br />
Control และ Negative Control ลงไปตองเปลี่ยนทิปทุกครั้ง และทิ้งทิปที่ใชแลวลงในกระปองทิ้งทิป<br />
7.6 ดูด-ปลอยซีรั่มแตละตัวอยาง ใน Uncoated 96 well microtiter plate ที่เจือจางแลว ประมาณ 10-15 ครั้ง<br />
โดยใช Multichannel Autopipette ขนาด 50 - 200 ul พรอมทิป ขนาด 10 - 250 ml แลวจึงดูดยายไป<br />
ปลอยลงใน MG antigen coated plate หลุมละ 50 ul โดยหลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ และตองเปลี่ยน<br />
ทิปทุกครั้ง สวนทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปองทิ้งทิปที ่มีน้ําประปา ในขั้นตอนนี้ควรกระทําโดยใชเวลา<br />
ใหนอยที่สุด<br />
ถาเกิดการผิดพลาดในขั้นตอนนี้ การแกไขโดยตองไปเริ่มทําที่ขั้นตอน ขอ 5.1 ใหม<br />
7.7 Incubate ณ อุณหภูมิ 18 - 25 o C เปนเวลา 30 นาที
140<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
7.8 เทสวนที่เปนน้ําใน MG antigen coated plate ทิ้ง แลวลางดวย Wash solution (เตรียมจาก 20X Wash<br />
concentrate เจือจางดวยน้ํากลั่นในอัตราสวน 1 : 20 ใน Cylinder 500 ml เชน ใชน้ํากลั่น 380 ml ตอ<br />
20X Wash Concentrate 20 ml ซึ่งเปนปริมาตรเพียงพอสําหรับ 96 well test plate 1 เพลท) โดยใช<br />
Multichannel autopipette ขนาด 25 – 200 ul พรอมทิป ขนาด 10 – 250 ul ดูด Wash solution<br />
จํานวน 150 ul เติมลงในแตละหลุมๆ ละ 2 ครั้ง (รวมปริมาตรทั้งสิ้น 300 ul ตอหลุม) และทิ้งทิปที่<br />
ใชแลวลงในกระปองทิ้งทิป ทําการลาง 3 - 5 ครั้ง ตามขั้นตอนเดิม ครั้งสุดทายตบ MG antigen<br />
coated plate หลายๆ ครั้งกับผาสะอาด จนแหง ไมมีหยดน้ําติดอยูขางใน<br />
7.9 เติม Diluted Goat anti-Chicken IgG PO conjugate solution โดยใช Multichannel Autopipette ขนาด<br />
50 – 250 ul พรอม ทิป ขนาด 10 – 250 ul จํานวน 100 ul ไปปลอยลงใน MG antigen coated plate<br />
(Diluted Goat anti-Chicken IgG PO conjugate solution เตรียมจาก Goat anti-Chicken IgG PO<br />
conjugate solution (stock) 100 ul เจือจางดวย Dilution Buffer 10 ml ใน Reagent reservior ซึ่งเปน<br />
ปริมาตรที่เพียงพอใชสําหรับ 96 well test plate 1 เพลท) ในการเติมฯ หลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ<br />
และ สวนทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปองทิ้งทิปที่มีน้ําประปา<br />
7.10 Incubate ณ อุณหภูมิ 18 - 25 o C เปนเวลา 30 นาที<br />
7.11 เทสวนที่เปนน้ําใน MG antigen coated plate ทิ้ง แลวทําการลางเพลทตามขั้นตอนขอ 7.8<br />
7.12 เติม ABTS Hydrogen PO substrate solution จํานวน 100 ul โดยใช Multichannel Autopipette<br />
ขนาด 50 – 200 ul พรอมทิป ขนาด 10 – 250 ul ดูด ABTS Hydrogen PO substrate solution จาก<br />
Reagent reservior ไปปลอยลงใน MG antigen coated plate แตละหลุม หลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ<br />
และทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปองทิ้งทิปที่มีน้ําประปา<br />
7.13 Incubate ณ อุณหภูมิ 18 - 25 o C เปนเวลา 15 นาที<br />
7.14 เติม Diluted Stop solution จํานวน 100 ul โดยใช Multichannel Autopipette ขนาด 50 – 250 ul<br />
พรอมทิป ขนาด 10 – 250 ul ดูด Stop solutionจาก Reagent reservior ไปปลอยลงใน MG antigen<br />
coated plate แตละหลุม (Diluted Stop solution เตรียมจาก 5X Stop solution 2.5 ml ผสมดวย RO<br />
water 10 ml ใน Reagent reservior ซึ่งเปนปริมาตรที่เพียงพอใชสําหรับ 96 well test plate 1 เพลท)<br />
หลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ และทิ้งทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปองทิ้งทิป<br />
อนึ่ง 5X Stop solution ควรนํามาวาง ณ อุณหภูมิหอง หรือ ที่ 37 o C กอนเจือจาง<br />
7.15 อานคา Optical Density (OD) ของ IBV antigen coated plate แตละหลุม ดวยเครื่อง Tecan Spectra<br />
Classic ELISA Plate Reader โดยใช Filter ที่มีความยาวคลื่น 405 – 410 nm
141<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
8. การตรวจ CSFV (Classical Swine Fever Virus) โดยวิธี ELISA<br />
8.1 นําตัวอยางซีรั่มที่ตองการตรวจและชุดตรวจ CSF-SERO EIA Kit ออกมาจากตูเย็นวางไวที่<br />
อุณหภูมิหองใหมีอุณหภูมิเทากับอุณหภูมิหอง( 18 – 25 o C)<br />
8.2 เจือจางตัวอยางซีรั่มที่ตองการทดสอบ อัตราสวน 1:2 โดยเติม sample diluent 50 ul โดยใช<br />
Multichannel autopipette ขนาด 25 -200 ul และ tip ขนาด 10 – 250 ul ดูด sample diluent จาก<br />
Reagent Reservior ลงใน CSF-SERO-Microtiter plate แตละหลุมใหเทากับจํานวนตัวอยางทดสอบ<br />
และทิ้ง tip ที่ใชแลวลงในกระปองทิ้ง tip ที่มีน้ําประปา ถาเกิดการผิดพลาดในขั้นตอนนี้ การแกไข<br />
โดยตองไปเริ่มทําที่ขั้นตอน ขอ 5.2 ใหม<br />
ตัวอยางความผิดพลาด เชน มีฟองอากาศใน Pipette tip, ระยะเวลาในการ Incubate Plate มากกวาหรือ<br />
นอยกวา, อุณหภูมิในการ Incubate Plate สูงกวาหรือต่ํากวา, สับสนกับจํานวนตัวอยางซีรั่มหรือ<br />
จํานวนหลุมตัวอยาง เปนตน<br />
8.3 เติม CSF-SERO-Control-Serum (Positive และ Negative) และตัวอยางซีรั่ม 50 ul ลงแตละหลุม โดย<br />
ใช Autopipette ขนาด 10 - 100 ul พรอมทิป ขนาด 10 - 250 ul ในการเติมซีรั่มของตัวอยางลงไปตอง<br />
เปลี่ยนทิปทุกครั้ง หลีกเลี่ยงการเกิดฟองอากาศ และทิ้งทิปที่ใชแลวลงในกระปองทิ้งทิปที่มีน้ําประปา<br />
8.4 Incubate ในสภาวะชื้น ณ อุณหภูมิ 18 – 25 o C เปนเวลา 120 นาที ( + 5 นาที) หรืออาจสามารถ<br />
incubate ในชวงอุณหภูมิ 2- 8 o C เปนเวลา 14 -18 ชั่วโมง<br />
8.5 เคาะเทสวนที่เปนของเหลวใน CSF-SERO-microtiter plate ทิ้ง แลวลางดวย Washing solution<br />
(เตรียมจาก 10X concentrate เจือจางดวยน้ํากลั่นในอัตราสวน 1 : 10 ( เชน ใชน้ํากลั่น 450 ml ตอ<br />
10X Concentrate 50 ml) โดยใช Multichannel autopipette ขนาด 25 – 200 ul พรอมทิป ขนาด 10 –<br />
250 ul ดูด Washing solution จํานวน 150 ul เติมลงในแตละหลุมๆ ละ 2 ครั้ง (รวมปริมาตรทั้งสิ้น<br />
300 ul ตอหลุม) แลว Washing solution เทออก ในการเติมแตละหลุม หลีกเลี่ยงไมใหปลายทิปสัมผัส<br />
กนหลุม รวมทั้งการเกิดฟองอากาศ และทิ้งทิปที่ใชแลวลงในกระปองทิ้งทิปที่มีน้ําประปา<br />
ทําการลาง 3 - 5 ครั้ง ตามขั้นตอนเดิม โดยครั้งสุดทายตบ CSF-SERO-microtiter plate หลายๆ ครั้ง<br />
กับผาสะอาด จนแหง ไมมีหยดน้ําติดอยูขางใน<br />
8.6 เติม Anti-CSF-SERO-PO-Conjugate โดยใช Multichannel Autopipette ขนาด 25 – 200 ul พรอม ทิป<br />
ขนาด 10 – 250 ul จํานวน 100 ul ไปปลอยลงใน CSF-SERO-microtiter plate หลีกเลี่ยงการเกิด<br />
ฟองอากาศ และ ทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปองทิ้งทิปที่มีน้ําประปา<br />
ถาเกิดการผิดพลาดในขั้นตอนนี้ หรือขั้นตอนใดๆ ตอจากนี้ การแกไขโดยตองไปเริ่มทําที่ขั้นตอน ขอ<br />
5.2 ใหม<br />
8.7 Incubateในสภาวะชื้น ณ อุณหภูมิ 18 – 25 o C เปนเวลา 20 นาที<br />
8.8 เทสวนที่เปนของเหลวใน CSF-SERO-microtiter plate ทิ้ง แลวทําการลางเพลทตามขั้นตอนที่ 8.5<br />
8.9 เติม TMB-Substrate solution โดยใช Multichannel Autopipette ขนาด 25 – 200 ul พรอมทิป ขนาด 10<br />
– 250 ul ดูด TMB Substrate จํานวน 100 ul ไปปลอยลงใน CSF-SERO-microtiter plate หลีกเลี่ยง<br />
การเกิดฟองอากาศ และ ทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปองทิ้งทิปที่มีน้ําประปา<br />
8.10 Incubate ณ อุณหภูมิ 18 – 25 o C เปนเวลา 10 นาที ในที่มืด
142<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
8.11 เติม Stopping solution จํานวน 50 ul โดยใช Multichannel Autopipette ขนาด 25 – 200 ul พรอมทิป<br />
ขนาด 10 – 250 ul ดูด Stop solution ไปปลอยลงใน CSF-SERO-microtiter plate หลีกเลี่ยงการเกิด<br />
ฟองอากาศ และทิปที่ใชแลวทิ้งลงในกระปองทิ้งทิป<br />
8.12 อานคา Optical Density ดวยเครื่อง Tecan Spectra Classic ELISA Plate Reader ที่ความยาวคลื่น<br />
450 nm<br />
9. การตรวจ EIA (Equine Infectious Anemia) โดยวิธี Agar Gel Immunodiffusion<br />
สารเคมีประกอบดวย<br />
Idexx Equine Infectious Anemia Antigen<br />
Idexx Equine Infectious Anemia Positive control<br />
Noble agar (Difgo)<br />
Buffer (Boric acid + Sodium Hydroxide)<br />
Boric acid (H 3 BO 3 )<br />
Sodium Hydroxide (NaOH)<br />
การเตรียม Buffer<br />
1. ผสม Sodium Hydroxide (NaOH) 2 g และ Boric acid (H 3 BO 3 ) 9 g ในน้ํากลั่น 1 Litre<br />
2. ปรับคาความเปนกรดดาง ใหมี pH 8.5 - 8.7<br />
การเตรียม AGID plate (1% Nobel agar)<br />
1. ชั่ง Nobel Agar 0.5 g บนเครื่องชั่ง 2 ตําแหนงขึ้นไป โดยตักลงบนกระดาษสะอาด แลวเทสารลงใน<br />
Erlernmayer Flask ขนาด 100 ml<br />
2. เท Buffer ลงใน cylinder 100 ml ในปริมาตร 50 ml แลวเทลงใน Erlernmayer Flask ที่มี Nobel agar<br />
3. อุน Nobel Agar บน Hot plate Stirrer โดยใส magnetic stirrer 1 อัน ตั้งอุนประมาณ 7 นาที หรือ<br />
จนกระทั่งสารละลายใส<br />
4. เทสารละลายลงใน100 mm diameter petri dish 15 ml โดยใช glass pipette 20-25 ml และ pipette<br />
controller<br />
5. ทิ้ง Petri dish ที่เทสารละลายแลวใหเย็นในอุณหภูมิหอง จากนั้นเก็บไวที่ 2-8 o C ในสภาวะมีความชื้น<br />
สูง จนกวาจะใชงาน (เก็บไวใชงาน ไมเกิน 2 สัปดาหหลังจากเตรียม)<br />
การตรวจตัวอยาง<br />
1. นํา AGID plate ออกมา จากนั้นเจาะรูกลมที่เนื้อ AGID Plate ตามผัง โดยใชสวนกนของ Pasteur<br />
Pipette แลวดูดเนื้อ agar ออกดวย เครื่องดูดสุญญากาศ รูกลมที่ไดตองมีเสนผานศูนยกลาง 5.3 mm<br />
และควรเจาะรูขณะที่ยังเย็นจาก 2- 8 o C การเจาะรูใหเจาะเปนวงดังแผนผัง โดยใน 1 จาน สามารถเจาะ<br />
ไดทั้งหมด 4 วงๆ ละ 7 รู คือ ตรงกลาง 1 รู และโดยรอบ 6 รู<br />
2. นํา Idexx EIA Antigen, Idexx EIA Positive Control และซีรั่มตัวอยาง ออกมาทิ้งไวใหมีอุณหภูมิ<br />
เทากับอุณหภูมิหอง
143<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
3. เขียนวัน เวลาที่จะเริ่มทําการตรวจลงดานขางของจานเพาะเลี้ยง และเขียนหมายเลข หรือชื่อของ<br />
ตัวอยาง / EIA Positive Control โดยที่ 1 วงที่เจาะ รูตรงกลางวงจะใชหยอด EIA Antigen และรู<br />
โดยรอบสามารถลงตัวอยางตรวจไดจํานวน 3 รู และที่เหลือ 3 รูจะหยอด EIA Positive Control ซึ่งจะ<br />
มีการหยดสลับกันระหวางรูของตัวอยางและ EIA Positive Control<br />
4. ดูด EIA Positive Control จํานวน 50 ul โดยใช Autopipette ขนาด 10-100 ul และ Pipette tip ขนาด 10<br />
- 250 ul ลงในรูโดยรอบในแตละวง จํานวน 3 รู สลับกัน ดังแผนผัง Pipette Tip ใชแลวทิ้งลงใน<br />
กระปองที่บรรจุน้ําผสมกับน้ํายาลางจานและไฮเตอร<br />
5. ดูดซีรั่มตัวอยาง จํานวน 50 ul โดยใช Autopipette ขนาด 10-100 ul และ Pipette tip ขนาด 10 - 250 ul<br />
ลงในรูโดยรอบในแตละวง จํานวน 3 รู ที่เหลือดังแผนผัง Pipette Tip ใชแลวทิ้งลงในกระปองที่บรรจุ<br />
น้ําผสมกับน้ํายาลางจานและไฮเตอร<br />
6. ดูด EIA Antigen จํานวน 50 ul โดย Autopipette ขนาด 10-100 ul และ Pipette tip ขนาด 10 - 250 ul<br />
ลงในรูตรงกลางแตละวง Pipette Tip ใชแลวทิ้งลงในกระปองที่บรรจุน้ําผสมกับน้ํายาลางจานและไฮ<br />
เตอร<br />
7. ตั้ง AGID plate ทิ้งไว โดยไมเคลื่อนยาย เปนเวลา 24 ชม. จากนั้นเก็บไวในกลองที่มีความชื้นโดยใช<br />
กระดาษชําระชุบน้ําและปดฝาสนิท เปนเวลา 18 – 24 ชม.<br />
8. อานผล โดยการสังเกตเสนสีขาว (Precipitin Line) ที่เกิดบริเวณเนื้อวุนระหวางรูที่หยอด EIA Antigen<br />
และ EIA Positive Control<br />
หากพบวาเสนสีขาวที่เกิดบริเวณเนื้อวุนระหวางรูที่หยอด EIA Antigen และรูที่หยอด EIA<br />
Positive Control สวนปลายเกิดการหักโคงตามวง ไปทางดานหนาของรูซีรั่ม ถือวา รูนั้นใหผลเปน Weak<br />
Positive<br />
หากเกิดเสนสีขาวบริเวณเนื้อวุนระหวางรูที่หยอด EIA Antigen และรูที่หยอดซีรั่มตัวอยาง โดย<br />
เสนสีขาวนั้นโคงเชื่อมตอกับเสนสีขาวที่เกิดบริเวณเนื้อวุนระหวางรู EIA Antigen และ EIA Positive ใหผล<br />
เปน Positive<br />
หากพบเสนสีขาวบริเวณเนื้อวุนระหวางรูที่หยอด EIA Antigen และ EIA Positive Control โดยที่<br />
ไมเกิดการหักโคงสวนปลายใดๆ ใหผลเปน Negative<br />
หากไมพบเสนสีขาวบริเวณเนื้อวุนระหวางรูที่หยอด EIA Antigen และ EIA Positive Control จะ<br />
ไมสามารถรายงานได ใหทําการตรวจวิเคราะหใหม<br />
10. การตรวจ Brucellosis โดยวิธี Rose Bengal Plate Agglutination<br />
อุปกรณในการตรวจ<br />
1. แผนกระจกที่ตีตารางไวเปนชองๆ หรือกระเบื้องเคลือบสีขาว<br />
2. autopipette ขนาด 10 - 250 ul และ tip ขนาด 10 – 250 ul<br />
3. ซีรั่ม และแอนติเจน Rose Bengal Plate Test<br />
4. Timer<br />
5. ไมจิ้มฟน
144<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
วิธีการตรวจ<br />
1. นําซีรั่มและแอนติเจนมาตั้งทิ้งไวที่อุณหภูมิหอง<br />
2. หยอดแอนติเจนลงบนแผนกระจก 30 ul โดยใช autopipette ขนาด 10 - 250 ul และ tip ขนาด 10 – 250 ul<br />
3. หยอดซีรั่มลงบนแผนกระจก 30 ul โดยหยอดหางจากแอนติเจนเล็กนอย<br />
4. ใชไมจิ้มฟนคนใหเปนรูปวงกลม ใหมีเสนผานศูนยกลางประมาณ 2 ซม.<br />
5. ยกกระจกเอียงไปมา ( rotating movement ) เพื่อใหสวนผสมเขาเปนเนื้อเดียวกัน<br />
6. ครบ 4 นาที อานผลทันที<br />
7. วิธีการอานผล ถา ไมมีการจับกลุมเลย ถือวา Negative (-) และถาเกิดการจับกลุมแมแตเพียงเล็กนอยขึ้นไป<br />
ถือวา Positive (+)<br />
11. การตรวจ MG (Mycoplasma gallisepticum) โดยวิธี Plate Agglutination<br />
อุปกรณในการตรวจ<br />
1. แผนกระจกที่ตีตารางไวเปนชองๆ หรือกระเบื้องเคลือบสีขาว<br />
2. autopipette ขนาด 10 - 250 ul และ tip ขนาด 10 – 250 ul<br />
3. ซีรั่ม และแอนติเจน<br />
4. Timer<br />
5. ไมจิ้มฟน<br />
วิธีการตรวจ<br />
1. นําซีรั่มและแอนติเจนมาตั้งทิ้งไวที่อุณหภูมิหอง<br />
2. หยอดแอนติเจนลงบนแผนกระจก 50 ul โดยใช autopipette ขนาด 10 - 250 ul และ tip ขนาด 10 – 250 ul<br />
3. หยอดซีรั่มลงบนแผนกระจก 50 ul โดยหยอดหางจากแอนติเจนเล็กนอย<br />
4. ใชไมจิ้มฟนคนใหเปนรูปวงกลม ใหมีเสนผานศูนยกลางประมาณ 2 ซม.<br />
5. ยกกระจกเอียงไปมา ( rotating movement ) เพื่อใหสวนผสมเขาเปนเนื้อเดียวกัน ประมาณ 30 วินาที<br />
6. วางทิ้งไวครบ 2 นาที อานผลทันที<br />
7. วิธีการอานผล ถา ไมมีการจับกลุมเลย ถือวา Negative (-)และถาเกิดการจับกลุมแมแตเพียงเล็กนอยขึ้นไป<br />
ถือวา Positive (+)
145<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
12. การตรวจ NDV (New Cassle Disease Virus)โดยวิธี Hemaglutination<br />
วิธีการตรวจประกอบดวยขั้นตอน ดังตอไปนี้<br />
1.การกําจัดปจจัยไมจําเพาะในซีรั่ม ( Serum treatment )<br />
2.การเตรียมเม็ดเลือดแดง<br />
3.การเตรียม Virus – Suspension<br />
4. การทดสอบกลับ (Back titration)<br />
5.การทดสอบโดยวิธี Hemagglutination inhibition test และประเมินผล<br />
1. การกําจัดปจจัยไมจําเพาะในซีรั่ม ( Serum treatment )<br />
1. ถาไมสามารถนําตัวอยางมาทดสอบไดทันที ตองนําตัวอยางนั้นมาแชเย็นที่ 4 O C<br />
2. Inactivated ที่ 56 องศาเซลเซียส นาน 30 นาที<br />
2. การเตรียมเม็ดเลือดแดง ( Erythrocyte Suspension )<br />
1. เจาะเลือดจากไก ที่ตําแหนง wing vein แลวผสมกับ Alsever’s solution ในอัตราสวน 1:1 ระหวาง<br />
เดินทาง หรือเก็บรักษาหลังเจาะเก็บ ใหแชในกระติกน้ําแข็ง อุณหภูมิ 2 – 8 O C<br />
2. ลางเม็ดเลือดแดงดวย PBS โดยใช Glass pipette ขนาด 10 ml รวมกับ Pipette controller โดยการเติม<br />
เม็ดเลือดแดงใน centrifuge tube และใส PBS ใหครบตามขนาดของ centrifuge tube เชน เลือด 3 ml<br />
เติมลงใน centrifuge tube ขนาด 15 ml ดังนั้นตองเติม PBS ลงใน centrifuge tube 12 ml หลังจากนั้น<br />
ใชวิธีการดูดเม็ดเลือดแดงที่ผสม PBS ขึ้น-ลงอยางชาๆ ประมาณ 15 ครั้ง หรือจนเม็ดเลือดแดง<br />
กระจายทั่ว centrifuge tube สวน Glass pipette ที่ใชแลวใหแชในกระปองที่มีน้ําประปาผสมกับ Dettol<br />
ในอัตราสวน 1 : 10 อยู<br />
3. ปนเม็ดเลือดแดงดวยเครื่อง centrifuge ใชรอบปน 2000 รอบตอนาที (RPM) นาน 5 นาที<br />
4. ดูดสวน supernatant ทิ้งไป โดยใช Glass pipette ขนาด 10 ml รวมกับ Pipette controller และลางเม็ด<br />
เลือดแดงตามวิธี ขอ 2<br />
5. ปนเม็ดเลือดแดงดวยเครื่อง centrifuge ใชรอบปน 2000 RPM นาน 5 นาที<br />
6. ดูดสวน supernatant ทิ้งไป และลางเม็ดเลือดแดงตามวิธี ขอ 2<br />
7. ปนเม็ดเลือดแดงดวยเครื่อง centrifuge ใชรอบปน 2000 RPM นาน 15 นาที<br />
8. ดูดสวน supernatant ทิ้งไป หาปริมาตรของเม็ดเลือดแดงที่ได โดยใช Glass pipette หรือ Autopipette<br />
9. เตรียมเม็ดเลือดแดงเปน 10% stock suspension โดยเจือจางดวย PBS และเก็บที่ 4 O C จนกระทั่งใชแต<br />
ไมควรเก็บนานเกินกวา 1 สัปดาห<br />
เมื่อจะนําไปทดสอบ HA test และ HI test ตองเตรียมเม็ดเลือดแดงเปน 1%<br />
3. การไตเตรท Hemagglutinin ( Virus-Suspension ) ซึ่งก็คือ Hemagglutination test<br />
1. เติม PBS 25 ul โดยใช Multichannel Micropipette และทิป ขนาด 10 – 100 ul ลงในหลุมของไมโครเพลท<br />
ตั้งแตแถว A-D ( ใน plate มีแถว A-H ) หลุม 1-12 ( 1 แถว เติม 12 หลุม ) โดยทั่วไปสําหรับไวรัส 1
146<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
ตัวอยาง ( หากตองการคาที่แนนอนอาจใช ไมโครเพลท 2 แถว หรือมากกวา ) และทิ้งทิป ที่ใชแลวลงใน<br />
กระปองทิ้งทิป ที่มีน้ําประปาผสม Dettol ในอัตราสวน 1 : 10<br />
2. เติมไวรัส 25 ul ลงในหลุม 1 ของแถว A-D จะไดความเจือจางของไวรัสเปน 1:2<br />
3. ทํา 2 fold serial dilution โดยใช Multichannel Micropipette และทิป ขนาด 10 – 100 ul ปริมาตร 25 ul<br />
ตั้งแตแถว A-D หลุม 1-11 แลวทิ้งไป 25 ul สวนหลุม 12 ทําเปน diluent control และทิ้งทิป ที่ใชแลวลงใน<br />
กระปองทิ้งทิป ที่มีน้ําประปาผสม Dettol ในอัตราสวน 1 : 10<br />
4. เติม 1% เม็ดเลือดแดง 25 ul ในหลุมของไมโครเพลท ตั้งแตแถว A-D หลุม 1-12 ควรเติมเม็ดเลือดแดงจาก<br />
หลุม 12 มาหลุม 11 และเติมมาเรื่อยๆ จนถึง 1 ตามลําดับโดยใช Multichannel Micropipette 20 – 250 ul<br />
และทิป ขนาด 10 – 100 ul จากนั้นเขยาใหเม็ดเลือดแดงกระจายทั่วกัน โดยการใชมือเคาะตามดานทั้ง 4<br />
ของไมโครเพลท หรือใช Microplate shaker และตั้งไวบนพื้นระนาบที่อุณหภูมิหองนาน 35 นาที และทิ้ง<br />
ทิป ที่ใชแลวลงในกระปองทิ้งทิป ที่มีน้ําประปาผสม Dettol ในอัตราสวน 1 : 10<br />
5. การอานผลไตเตอรโดยดูจากความเจือจางสูงของไวรัสที่แสดง complete hemagglutination โดยนับเปน 1<br />
hemagglutination unit ( 1 HAU )= HA - titer<br />
หลุมที่มีการจับกลุมตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง เนื่องจากมองเห็นเปนเม็ดเล็กๆ สีแดงกระจายที่กนหลุม<br />
อยางสม่ําเสมอ สวนหลุมที่ไมมีการจับกลุมตกตะกอนของเม็ดเลือดแดงรวมทั้งหลุม control จะเห็นเม็ด<br />
เลือดแดงตกตะกอนดวยแรงโนมถวงของโลกรวมกันที่กนหลุมเปนวงกลมขอบเรียบสีแดงเขมอยางชัดเจน<br />
การเตรียมไวรัสที่ใชในการทดสอบ<br />
สมมุติวาตองการใชไวรัส 4 HA units ตอ 25 ul นั้นคือ จากไวรัสมีคาไตเตอร 1 : 256 ( ไวรัสมีปริมาณ<br />
ความเขมขน 256 HA units ตอ 25 ul ) ของ stock virus แลวทําใหเจือจางลงเปน 4 HA units เพื่อใชทดสอบโดยหาร<br />
256 ดวย 4 คือ 64 ดังนั้นทํา stock virus ใหเจือจางลงเปน 1:64 โดยใช stock virus 1 สวน ผสมใน PBS 63 สวน<br />
4. การทดสอบกลับ ( Back titration )<br />
เพื่อพิสูจนวาไวรัสมีความเขมขน 4 HA units รวมถึงควบคุมความผิดพลาดในการทํา dilution หรือความ<br />
แตกตางเนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตละชุด<br />
1. เติม PBS 25 ul โดยใช Multichannel Micropipette 20 – 250 ul และทิป ขนาด 10 – 100 ul ใสในไม<br />
โครเพลท 96 well V shape ตั้งแตแถว E- H หลุม 2-12 โดยใช Multichannel Micropipette 20 – 250 ul<br />
และทิป ขนาด 10 – 100 ul<br />
2. หลุม 1 และหลุมที่ 2 เติม 25 ul ของ test dilution ที่มี 4 HA-units<br />
3. ทํา 2 fold serial dilution โดยใช Multichannel Micropipette 20 – 250 ul และทิป ขนาด 10 – 100 ul<br />
ปริมาตร 25 ul ตั้งแตแถว E-H หลุม 2-7 และทิ้งไป 25 ul สวนหลุม 8-12 ใชเปน dilution control ใช<br />
เพื่อดูผลของตัวเจือจางคือ PBS ที่มีตอเม็ดเลือดแดงซึ่งเปนเครื่องชี้ในระบบนี้ และเพื่อประมาณเวลา<br />
การตกตะกอน ( sedimentation ) ของเม็ดเลือดแดง<br />
4. เติม PBS 25 ul โดยใช Multichannel Micropipette 20 – 250 ul และทิป ขนาด 10 – 100 ul ใสในไม<br />
โครเพลท 96 well U shape ตั้งแตแถว E- H หลุม 1-12 ทําใหสารละลายแตละหลุมมีจํานวน 50 ul<br />
สวนนี้ เติมเพื่อทดแทนปริมาตรของซีรั่มที่ใชใน HI test เพื่อใหรูปแบบการทดสอบเหมือนกัน
147<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
5. เติม 1% เม็ดเลือดแดง 25 ul ในหลุมไมโครเพลท โดยใช Multichannel Micropipette 20 – 250 ul และ<br />
ทิป ขนาด 10 – 100 ul ควรเติมเม็ดเลือดแดงจากหลุม 12 มาหลุม 11 เติมมาเรื่อยๆ จนถึงหลุมที่ 1<br />
ตามลําดับ<br />
6. เขยาใหเม็ดเลือดแดงกระจายทั่วกัน โดยการใชมือเคาะตามดานทั้ง 4 ของไมโครเพลท หรือใช<br />
Microplate shaker และตั้งไวบนพื้นระนาบที่อุณหภูมิหองนาน 35 นาที<br />
7. ควรเกิด hemagglutination เฉพาะ 3 หลุมแรก ซึ่งหมายถึงไวรัสที่ใชในการทดสอบมี 4 HA units ตอ<br />
25 ul จริง<br />
8. ถาเกิด hemagglutination มากกวาหลุมที่ตองการ ควรปรับความเขมขนของไวรัสใหนอยลง และถา<br />
เกิด hemagglutination นอยกวาหลุมที่ตองการ ควรปรับความเขมขนของไวรัสใหเขมขนขึ้น<br />
5. Hemagglutination inhibition test<br />
1. เติม PBS 25 ul ลงในหลุมของไมโครเพลท 1 แถว หลุม 1-12 สําหรับซีรั่ม 1 ตัวอยาง โดยใช<br />
Multichannel Micropipette 20 – 250 ul และทิป ขนาด 10 – 100 ul<br />
2. เติมซีรั่ม 25 ul ลงในหลุม 1 ของแถวและหลุมสุดทาย ( หลุมที่ 12 ซึ่งจะเปน serum control ) โดยใช<br />
Multichannel Micropipette 20 – 250 ul และทิป ขนาด 10 – 100 ul<br />
3. ทํา 2 fold serial dilution ปริมาตร 25 ul โดยใช Multichannel Micropipette ขนาด 10 – 100 ul และทิป<br />
ขนาด 10 – 100 ul ตั้งแตหลุม 1-11 แลวทิ้งไป 25 ul โดยในการผสมซีรั่มกับ PBS ในแตละ diluent ควรดูด<br />
ปลอย 15 ครั้งตอ dilution<br />
4. เติมไวรัสที่มี 4 HA units 25 ul ในหลุมของไมโครเพลท จากหลุม 11 มาหลุม 10 และเติมมาเรื่อยๆ จนถึง<br />
หลุม 1 ตามลําดับ โดยใช Multichannel Micropipette 20 – 250 ul และทิป ขนาด 10 – 100 ul ผสมไวรัส<br />
และซีรั่มใหเขากัน ดวยการใชมือเคาะตามดานทั้ง 4 ของไมโครเพลท หรือใช Microplate shaker และตั้งไว<br />
บนพื้นระนาบที่อุณหภูมิหองนาน 35 นาที<br />
5. เติม 1% เม็ดเลือดแดง 25 ul ในหลุมของไมโครเพลททั้งหมด โดยใช Multichannel Micropipette 20 – 250<br />
ul และทิป ขนาด 10 – 100 ul ควรเติมเม็ดเลือดแดงจาก หลุม 12 มาหลุม 11 และเติมมาเรื่อยๆ จนถึงหลุมที่<br />
1 ตามลําดับ และเขยาใหเม็ดเลือดแดงกระจายทั ่วกัน โดยการใชมือเคาะตามดานทั้ง 4 ของไมโครเพลท<br />
หรือใช Microplate shaker และตั้งไวบนพื้นระนาบที่อุณหภูมิหองนาน 35 นาที<br />
6. การอานผลซีรั่ม คือ สวนกลับของความเจือจางสูงสุดของซีรั่มที่ยับยั้งการเกิด Hemagglutination ของไวรัส<br />
การประเมินผล<br />
การอานผลเพื่อหาสวนกลับของความเจือจางสูงสุดของซีรั่มที่ยับยั้งการเกิด Hemagglutination ของ NDV<br />
โดยถือเอาคาการเจือจางของซีรั่มตัวอยาง ณ หลุมสุดทายในแตละแถวที่เม็ดเลือดแดงจะตกตะกอนดวยแรงโนม<br />
ถวงของโลกรวมกันที่กนหลุมเปนวงกลมขอบเรียบสีแดงเขม ไมมีการจับกลุมตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง หรือ<br />
มีการจับกลุมฯเล็กนอย และเมื่อเอียงเพลททํามุมตั้งฉากกับพื้นโลก กลุมเม็ดเลือดแดงจะไหลลงเกิดรูปรางคลาย<br />
หยดน้ ํา (Tear-shaped steaming)<br />
คํานวณสวนกลับของคาความเจือจาง ณ หลุมนั้น เปนคาระดับภูมิคุมกัน หรือคา Titer ตอ NDV ของ<br />
ตัวอยางนั้น โดยตาม OIE manual 2000 ไดระบุวา กรณีที่ใช ไวรัส 4 HA units หากตัวอยางซีรั่มนั้นมีคาความ
148<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
เจือจางสูงสุดที่สามารถยับยั้งการเกิด hemagglutination ตั้งแต 1/16 หรือ 2 4 ขึ้นไป อาจพิจารณาแปลผลเปน<br />
positive ได<br />
การตรวจวิเคราะห NDV นี้จะกระทําเปนระดับกลุม ฝูง หรือฟารม การรายงานผลเปนสวนใหญนิยมอาน<br />
คาเลขยกกําลังของเลขฐาน ตาง ๆ เชน 128 หรือ 7 [ log 2 ] หมายถึง Serum นี้สามารถยับยั้ง Antigen<br />
(NDV)ได 128 HA units คํานวณหาคา Geometric Mean Titer(GMT), คา SD, คา %CV และคาสูงสุด คา<br />
ต่ําสุด ของ Titer ในรูป [ log 2 ] ในกลุมตัวอยางที่สงตรวจมาพรอมกัน แจงในการรายงานผล<br />
การใชงานครุภัณฑ<br />
1. เครื่องนึ่งฆาเชื้อ (Autimatic Autoclave sterilizer) ยี่หอ STURDY<br />
1. ปรับตั้งเวลาการ sterilize 20 นาที<br />
2. ปรับตั้งเวลาการ dry 15 นาที<br />
3. เปดประตูเครื่องนิ่งฆาเชื้อและใสของที่ตองการ sterilize เขาไปในตัวตูแลวปดประตูโดยหมุน door hand<br />
จนสุด<br />
4. เปดสวิทต ON<br />
5. เปดทางน้ําเขาโดยผานเครื่องกรองนาตัวที่ 1 , 2 ,3<br />
6. พอน้ําเต็ม boiler สวิทตจะตัดไปเปนการเริ่มนึ่งฆาเชื้อ<br />
7. ปดทางน้ําเขาเครื่อง<br />
8. เครื่องจะเริ่มทํางานตามขั้นตอน<br />
9. หลังจากเสร็จทุกขั้นตอน buzzer จะดังขึ้นเพื่อบอกวาเครื่องจบการทํางาน<br />
10. ปดสวิทต OFF<br />
11. ใหนําของที่ sterilize ออกจากตู<br />
กําหนดการนึ่งฆาเชื้อวัสดุอุปกรณ ของหนวยชันสูตรโรคสัตว สถานบริการสุขภาพสัตว<br />
รายการ วันและเวลา สงของ นึ่งฆาเชื้อ รับของ<br />
ของใช บาย วันจันทร<br />
บาย วันพฤหัสบดี<br />
กอน 14.00 น. 14.30 น. หลังเวลา 09.00 น.<br />
ของวันถัดไป<br />
ของทิ้ง เชา วันอังคาร<br />
เชา วันศุกร<br />
กอน 09.30 น. 10.00น. หลังเวลา 15.00 น.<br />
หมายเหตุ<br />
1. อุปกรณทุกชิ้นที่จะทําการนึ่งฆาเชื้อ ผูสงตองบรรจุในภาชนะที่เหมาะสม ระบุชื่อใหเรียบรอย<br />
2. ลงบันทึก การสง-รับอุปกรณ ในสมุดบันทึกการนึ่งฆาเชื้อทุกครั้ง<br />
3. หากไมมีรายการใดลงบันทึกในสมุด เจาหนาที่จะไมทําการนึ่งฆาเชื้อ<br />
4. ถาสงหลังเวลาที่กําหนด ใหถือเปนการสงฆาเชื้อในรอบถัดไป
149<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
2. ตูอบเครื่องแกวยี่หอ Memmert<br />
1 นําของที่ตองการอบเขาวางในตู<br />
2 เปดเครื่อง โดยหมุนปุม main switch ไปที่ตําแหนง ไฟสีเขียวที่ตําแหนง Power และไฟสีเหลืองที่<br />
ตําแหนง heat จะติด<br />
3 หมุนปุมปรับเวลาตั้งเวลาตามที่ตองการจะใช<br />
4 หมุนปุมปรับอุณหภูมิปรับอุณหภูมิที่ตองการจะใช<br />
5 ถาอุณหภูมิถึงจุดที่กําหนดไฟสีเหลืองที่ตําแหนง heat จะดับลง<br />
6 เมื่อใชงานเสร็จแลวใหปดเครื่องโดยหมุนปุม main switch ไปที่ตําแหนง O ไฟสีเขียวจะที่ตําแหนง Power<br />
จะดับลง<br />
3. เครื่องชั่งไฟฟาความละเอียดทศนิยม 3 ตําแหนงยี่หอ OHAUS<br />
1. เปดเครื่อง จอแสดง 0.000 g (หรือ 0.00 g หรือ 0.0 g)<br />
2. หากจอแสดงคาน้ําหนักใดๆอยูสามารถปรับใหเปน 0.000 g (หรือ 0.00 g หรือ 0.0 g) โดยกดปุม TARE<br />
3. วางภาชนะบนจาน จอแสดงน้ําหนักของภาชนะ<br />
4. กดปุม TARE จอที่แสดงน้ําหนักจะเปลี่ยนเปน 0.000 g (หรือ 0.00 g หรือ 0.0 g)<br />
5. นําสารหรือวัสดุที่ตองการชั่งใสลงไปในภาชนะ คาที่แสดงบนจอหนาปดจะเปนคาของน้ําหนักสารหรือ<br />
วัสดุนั้นๆ โดยไมรวมน้ําหนักภาชนะ<br />
6. รอจนคาน้ําหนักคงที่ ซึ่งสังเกตไดจากเครื่องหมาย * บนมุมดานซายของจอหนาปด<br />
7. ถาเอาภาชนะออกจากจานตราชั่ง จอแสดงคาของภาชนะที่ติดเครื่องหมายลบใหกดปุม TARE คาน้ําหนัก<br />
ของภาชนะที่ติดเครื่องหมายลบจะเปลี่ยนเปน 0.0 g (หรือ 0.00 g หรือ 0.0 g)<br />
8. เมื่อใชงานเสร็จกดปุม OFF ตัวเลขบนจอจะหายไป<br />
4. เครื่องปนแยกซีรั่ม Centrifuge UNIVERSAL 320<br />
Display screen<br />
RCF<br />
SELECT<br />
START<br />
IMPULS<br />
STOP<br />
OPEN<br />
E<br />
A B C D<br />
1. เปดสวิตชปด/เปดที่ดานหลังเครื่อง<br />
2. รอจนสัญญาณไฟที่ปุม STOP/OPEN (D) ติด จึงสามารถเปดฝาเครื่องได โดยกดปุม D<br />
3. เลือกโปรแกรมที่ตองการใชงาน โดยกดปุม SELECT (B) คางไว แลวหมุนปุม E ทวน/ตามเข็มนาฬิกาไป<br />
ยังโปรแกรมที่ตองการ แลวกดปุม START/IMPULS (C) เพื่อเลือกโปรแกรม
150<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
4. ใสหลอดใสตัวอยางลงไปโดยปรับสมดุลซาย/ขวาใหใกลเคียงกัน<br />
5. ปดฝาเครื่องแลวกดเบาๆ จากนั้นกดปุม C เครื่องจะทํางานตามโปรแกรมที่ตั้งไว<br />
6. รอจนเครื่องหยุดทํางานและไฟติดที่ปุม D จึงสามารถเปดฝาเครื่องแลวนําเอาหลอดใสตัวอยางออกมาได<br />
7. เช็ดทําความสะอาดเครื่อง ปดฝาเครื่องหลัง และปดสวิตชที่ดานหลังของตัวเครื่องทุกครั้งหลังใชงาน<br />
8. ลงบันทึกการใชงานทุกครั้งที่ใชงาน<br />
การตั้งโปรแกรม<br />
1. กดปุม B แลวหมุนปุม E ไปยังโปรแกรมที่ตองการตั้งคา แลวกดปุม B อีกครั้ง เพื่อเขาสู mode การตั้งคา<br />
2. ตั้งเวลา (min) โดยหมุนปุม E จนไดเวลาที่ตองการ แลวกดปุม B เพื่อเขาสู mode ตอไป<br />
3. ตั้งเวลา (sec) โดยหมุนปุม E จนไดเวลาที่ตองการ แลวกดปุม B เพื่อเขาสู mode ตอไป<br />
4. ตั้งความเร็วรอบ (RPM) โดยหมุนปุม E จนไดความเร็วรอบที่ตองการ (คาสูงสุดเปน 4000 rpm) แลวกดปุม<br />
B เพื่อเขาสู mode ตอไป<br />
5. ตั้งความเร็วที่เพิ่มขึ้น โดยหมุนปุม E จนไดความเร็วที่ตองการ (คาสูงสุดเปน 9) แลวกดปุม B เพื่อเขาสู<br />
mode ตอไป<br />
6. ตั้งความเร็วที่ลดลง โดยหมุนปุม E จนไดความเร็วที่ตองการ (คาสูงสุดเปน 9)<br />
7. กดปุม C เครื่องจะจําโปรแกรมที่ตั้งคาไว แลวใชงานไดตามวิธีการใชงาน<br />
5. อางน้ําควบคุมอุณหภูมิยี่หอ Memmert<br />
1. การใชงานอางน้ําควบคุมอุณหภูมิ<br />
2. เติมน้ําใหอยูระหวางขีดที่กําหนดทางผนังดานขวาของอาง (ควรเปนน้ํา demineral)<br />
3. เสียบปลั๊ก<br />
4. กดปุม on/off<br />
5. ตั้งคาอุณหภูมิที่ตองการใช โดยกดปุม set คางไวแลวหมุนปุมปรับอุณหภูมิตามที่ตองการโดยหมุนไปทางขวาเพื่อ<br />
เพิ่ม6. 6. อุณหภูมิ หรือหมุนไปทางซายเพื่อลดอุณหภูมิ<br />
7. รอจนคาอุณหภูมิถึงจุดที่กําหนดแลวถึงนําของที่ตองการอุนมาอุนในอางน้ําควบคุมอุณหภูมิ<br />
8. ถาอุณหภูมิไมถึงจุดที่กําหนดและไฟที่ตําแหนง alarm ติดใหกดปุม reset เครื่องใหม (ปุม reset อยูดานหลังเครื่อง)<br />
9. เมื่อใชเสร็จใหปดฝาเครื่องและ กดปุม on/off<br />
6. ตูแชสารเคมียี่หอ SANYO<br />
1. เสียบปลั๊กไฟ(ปกติเครื่องจะเปดไวอยูแลว)<br />
2. ตูแชนี้ใชไฟ 220 V และไมควรเสียบปลั๊กรวมกับปลั๊กของเครื่องใชไฟฟาอื่นๆ ในเตาเสียบเดียวกัน<br />
3. เขียน ชื่อสารเคมี วันเดือนป ผูเตรียมสารเคมีชนิดนั้นหรือเจาของ ติดไวขางขวดทุกขวด<br />
4. ของที่มีกลิ่นควรคลุมดวยถุงพลาสติกหรือกลองเสียกอนที่จะนําไปแช<br />
5. ไมควรใสของในตูแชมากเกินไป และควรใหมีชองวางเพื่อใหความเย็นกระจายไดทั่วถึง
151<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
6. เวลาใสหรือนําของออกจากตูแช ไมควรเปดฝาทิ้งเปนเวลานาน<br />
7. ตูแชแข็งเย็นจัด (– 70°C) ยี่หอ Harris<br />
1. เสียบปลั๊กไฟ(ปกติเครื่องจะเปดไวอยูแลว และอุณหภูมิของตูจะอยูที่ – 70°C)<br />
2. ไขกุญแจโดยบิดไปที่ตําแหนง Power on เพื่อเปดการทํางานของตู ไฟจะสวางที่ตําแหนง Power on พรอมมีตัวเลข<br />
แสดง3. คาอุณหภูมิปรากฏที่ชอง Digital Temperature Display Window<br />
4. เขียนชื่อตัวอยาง สาขาวิชา โครงการวิจัย ติดไวทุกตัวอยาง<br />
5. ตูแชนี้ใชไฟ 220 V ไมควรเสียบปลั๊กรวมกับปลั๊กของเครื่องใชไฟฟาอื่นๆ ในเตาเสียบเดียวกัน<br />
6. ไมควรใสของในตูแชมากเกินไป และควรใหมีชองวางเพื่อใหความเย็นกระจายไดทั่วถึง<br />
7. เวลาใสหรือนําของออกจากตูแช ไมควรเปดฝาทิ้งเปนเวลานาน<br />
วิธีการ Set อุณหภูมิภายในตู<br />
1. กดปุม Control Set Point คางไว ซึ่งจะปรากฏไฟสวางพรอมกับตัวเลขแสดงคาอุณหภูมิหายไป<br />
2. กดปุม Control Set Point พรอมกับปุม ∗ เพื่อเพิ่มอุณหภูมิ หรือกดปุม + เพื่อลดอุณหภูมิ<br />
3. เมื่อตั้งอุณหภูมิตามที่ตองการแลวจึงปลอยมือจากลูกศรขึ้น- ลง และปุม Control Set Point<br />
วิธีการ Set Cold Alarm<br />
1. เช็คดูวามีการบิดกุญแจไปตําแหนง Power on โดยที่ Set Point ยังไมไดถูกล็อค<br />
2. กดปุม Cold Alarm Set Point จะปรากฏไฟสวางพรอมกับจอภาพแสดงคาอุณหภูมิ Cold Alarm<br />
3. กดปุม Cold Alarm Set Point พรอมกับปุม ∗ หรือปุม + เพื่อ Set ใหไดคาที่ตองการ<br />
วิธีการ Set Warm Alarm<br />
1. เช็คดูวามีการบิดกุญแจไปตําแหนง Power on โดยที่ Set Point ยังไมไดถูกล็อค<br />
2. กดปุม Warm Alarm Set Point จะปรากฏไฟสวางพรอมกับจอภาพแสดงคาอุณหภูมิ Warm Alarm<br />
3. กดปุม Warm Alarm Set Point พรอมกับปุม ∗ หรือปุม + เพื่อ Set ใหไดคาที่ตองการ<br />
4. ทันทีที่อุณหภูมิภายในตูลดลงต่ํากวาคาอุณหภูมิ Warm Alarm ที่ตั้งไว ใหบิดกุญแจไปที่ตําแหนง ALARM ON<br />
หมายเหตุ หากมีเหตุการณไฟดับเกิดขึ้น ไฟที่ตําแหนง Power on จะดับ หลังจากนั้นประมาณ 30 วินาที ไฟจะสวาง<br />
ที่ตําแหนง Power failure พรอมกับจอภาพแสดงอุณหภูมิกระพริบ<br />
ระบบสัญญาณเตือน<br />
จะมีระบบสัญญาณเตือนในกรณีตางๆดังตอไปนี้<br />
ไฟติดที่ Power Failure : เมื่อกรณีไฟดับ<br />
ไฟติดที่ Temperature Failure : เมื่อกรณีที่อุณหภูมิภายในตูสูงกวา หรือต่ํากวาคาที่ไดตั้งเพื่อเตือนการ Alarm ไว<br />
ไฟติดที่ Voltage Low : เมื่อกรณีเกิดกระแสไฟตก<br />
ไฟติดที่ Extreme Alert : เมื่อกรณีที่อุณหภูมิแวดลอมสูงขึ้นเกินกวาที่เครื่องจะทํางานได<br />
หมายเหตุ ระหวางที่มีสัญญาณเตือน ไฟที่ติดเหลานี้จะกระพริบดวยความถี่ประมาณ 90 ครั้ง/นาที เมื่อสภาวะ<br />
ผิดปกติตางๆนี้หายไป และกลับเขาสูสภาวะปกติดังเดิม ไฟที่ติดเหลานี้จะกระพริบดวยความถี่ที่ชาลง เปน 15 ครั้ง/<br />
นาที และแมวาสภาวะนี้จะไมไดเกิดขึ้นอีกแตไฟที่ติดนี้ ก็ยังคงกระพริบดวยความถี่นี้อยู จนกวาผูใชงานจะกดปุม<br />
Alarm Reset
152<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
8. ตูแชแข็ง – 20°C ยี่หอ Whirlpool<br />
1. เสียบปลั๊กไฟ(ปกติเครื่องจะเปดไวอยูแลว)<br />
2. กดสวิทตเปด<br />
3. ตูแชนี้ใชไฟ 220 V ไมควรเสียบปลั๊กรวมกับปลั๊กของเครื่องใชไฟฟาอื่นๆ ในเตาเสียบเดียวกัน<br />
4. ควรตั้งอุณหภูมิที่เลข 3 ขึ้นไป เพื่อใหอุณหภูมิเย็นพอสําหรับการแชโดยทั่วไปและเก็บไดเปนเวลานาน<br />
5. ของที่มีกลิ่นควรคลุมดวยถุงพลาสติกหรือกลองเสียกอนที่จะนําไปแช<br />
6. เลื่อนชั้นตะกราไปชิดผนังดานใดดานหนึ่ง เพราะเปนตําแหนงที่มีความเย็นสูงสุด<br />
7. ไมควรใสของในตูแชมากเกินไป และควรใหมีชองวางเพื่อใหความเย็นกระจายไดทั่วถึง<br />
8. เวลาใสหรือนําของออกจากตูแช ไมควรเปดฝาทิ้งเปนเวลานาน<br />
9. Hot plate stirrer ยี่หอ MyLab<br />
1. เสียบปลั๊ก<br />
2. เปด main switch ดานหนาเครื่อง<br />
3. ถาตองการกวนสารใหเปดปุมควมคุมหมวด stirrer ปรับตามความแรงตามที่ตองการ ไฟแสดงการทํางานจะติด<br />
4. ถาตองการความรอนใหเปดปุมควมคุมหมวด heater ปรับตามความรอนตามที่ตองการ ไฟแสดงการทํางานจะติด<br />
5. เมื่อใชงานเสร็จใหหมุนปุมควบคุมทั้ง 2 อยางลงมาในตําแหนง off แลวปด main switch<br />
6. ถอดปลั๊ก<br />
10. Autopipette<br />
1. เลือกขนาดของ Autopipette ใหเหมาะสมกับปริมาณสารที่ตองการดูด โดยพิจารณาที่ขนาดของ<br />
Autopipette แตละอัน ซึ่งจะมีปายขนาดปริมาตรบอกไวดานขาง<br />
2. เลือกทิปที่จะใชใหเหมาะสมกับ Autopipette<br />
3. การปรับปริมาตรของ Autopipette โดยคอยๆ หมุนปุมปรับปริมาตรที่หัวดานบนของ Autopipette จน<br />
สามารถปรับปริมาตรไดตามที่ตองการ<br />
4. เสียบทิปกับสวนปลายของ Autopipette ใหแนน<br />
5. การดูดของเหลว กดตรงปลายสวนหัวของ Autopipette ลงไป 1 จังหวะ แลวกดคางไว ( Autopipette<br />
สามารถกดได 2 จังหวะ ) จุมปลายทิปลงไปในของเหลวที่ตองการดูดประมาณ 1/4 ของทิป แลวปลอย<br />
ปลายสวนหัวของ Autopipette ที่กดคางไวชาๆ จนสุดและของเหลวถูกดูดขึ้นมาแลว<br />
6. เมื่อไดของเหลวตามปริมาตรที่ตองการแลว<br />
7. การปลอยของเหลว ใชปลายทิปแตะขางภาชนะเอียงทํามุมประมาณ 45 องศา แลวกดตรงปลายสวนหัว<br />
ของ Autopipette ลงไป ( ตําแหนงเดียวกันกับจังหวะการดูด ) จนของเหลวไหลลงจากทิปจนหมด<br />
8. ทิ้งทิปที่ใชแลวลงในกระปองที่มีน้ําประปาผสม Dettol ในอัตราสวนประมาณ 1:10 ( ใช Dettol 1 สวนตอ<br />
น้ําประปา 9 สวน ) โดยกดลงไปที่ดานขางของสวนหัว Autopipette ทิปจะหลุดออก
153<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
9. เปลี่ยนทิปใหมทุกครั้ง เมื่อจะใชดูดของเหลว และทําตามขั้นตอนเดิม<br />
11. เครื่อง Larminar flow<br />
1. เสียบปลั๊กเขากับเตาเสียบไฟฟา จะมีไฟสีแดงที่ timer ของ UVH ติดสวาง 2 จุด (ปกติจะเสียบปลั๊กทิ้งไวอยู<br />
แลว)<br />
2. เช็ดดานในของ working chamber ดวยแอลกอฮอล 70%<br />
3. เลื่อนบานกระจกดานหนา chamber ลงมาใหปดสนิท<br />
4. เปดแสง UV ที่สวิทต UVC เพื่อฆาเชื้อที่ตกคางอยูใน working chamber ใชเวลา 15-20 นาที<br />
5. ปดแสง UV เมื่อครบเวลา ลงบันทึกการเปดแสง UV ทุกครั้งที่แบบฟอรมขางตู<br />
6. เปดสวิทต blower ทํางาน (ดันสวิทตขึ้น ไฟสีแดงดานบนสวิทตจะติดสวาง มีเสียงพัดลมของเครื่องกําลัง<br />
ทํางาน) เช็คดูที่ปุม speed control ควรชี้ที่ตําแหนงเลข 1 และเช็คดูที่ magnehelic gauge เข็มควรชี้ที่ประมาณ 0.5<br />
inch of water<br />
7. เปด blower ทิ้งไวประมาณ 5 – 10 นาที เพื่อใหความเร็วลมใน chamber คงที่ที่ประมาณ 100 ฟุตตอนาที<br />
หรือ 0.5 เมตรตอวินาที และดูดเอาอากาศที่มีฝุนและ particle อื่นๆซึ่งตกคางอยูออกไปจาก clean working<br />
chamber<br />
8. นําอุปกรณที่จะใชในการทํางานเขาไปไวใน chamber โดยเลื่อนประตูกระจกดานหนาขึ้นควรวางอุปกรณ<br />
ใหลึกเขาไปโดยหางจากชองลมอยางนอย 4 นิ้ว<br />
9. เลื่อนประตูกระจกปดลงมา ทิ้งไวให blower ทํางานอีก 5 – 10 นาที<br />
10. เปดสวิทต light ของหลอด fluorescent ใหแสงสวางในการทํางาน<br />
11. ผูปฏิบัติงาน ควรสวมเสื้อกาวนที่สะอาด สวม mask ปดปาก ลางมือและแขนใหสะอาด สวมถุงมือยาง<br />
และพนแอลกอฮอล 70% ฆาเชื้อบริเวณมือและแขน กอนปฏิบัติงาน<br />
12. ผูปฏิบัติงาน ควรนั่งใหมีระดับความสูงพอเหมาะคือระดับคางจะตองอยูสูงจากขอบลางของประตูกระจกไม<br />
ต่ํากวา 2 นิ้ว<br />
13. ควรระวังอยาใหของเหลวหก ตก กระเด็น ในบริเวณ working chamber โดยเฉพาะดานบนที่เปนสวน<br />
หลังของ hepa filter และชองลมซึ่งมี prefilter รองอยูดานลาง<br />
14. เมื่อเสร็จงานแลวนําอุปกรณออกจาก chamber เปด blower ทิ้งไวอีก 5 – 10 นาที<br />
15. เช็ดทําความสะอาด ดานใน chamber ดวย แอลกอฮอล 70%<br />
16. ปดประตูกระจกใหสนิท<br />
17.ตั้งเวลาการทํางานของ U V H เพื่อใชแสง U V ฆาเชื้อที่ตกคางอยูภายใน hepa filter ซึ่งจะหยุดการ<br />
ทํางานโดยอัตโนมัติเมื่อครบเวลาที่ตั้งไว โดยหมุนปุมตั้งเวลาไวที่ 2 ชั่วโมง สําหรับการทํางานตลอดทั้งวัน<br />
และ 1 ชั่วโมงสําหรับการทํางานครึ่งวัน<br />
18. กดปุม reset สีแดงดานบน timer ของ U V H ไฟสีแดงดานซายจะดับลง
154<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
12. เครื่อง Tecan Spectra Classic Elisa Reader<br />
1 การอานผลอีไลซาดวยวิธีปกติ<br />
1.1 กดสวิตซเปดเครื่องทางดานทายเครื่อง เพื่ออุนหลอดกําเนิดแสง กอนอานคา 10 นาที<br />
1.2 อานคา โดยกดปุมตามแผนภาพตอไปนี้<br />
Wed 05.Mar 14:55<br />
< measure ><br />
หนาจอปกติพรอมใชงาน (Standby mode)<br />
Select test 1<br />
< 1 ><br />
Plate ID :<br />
/ ABCD / EFGHI<br />
Plate exists<br />
< overwrite ><br />
กดปุม Enter<br />
กดปุม Enter<br />
กดปุม Enter<br />
กดปุม Enter<br />
Insert plate<br />
Please any key<br />
Printing<br />
Please wait<br />
กดปุมใดๆก็ได<br />
กดปุม Enter<br />
จะมีถาดวางไมโครเพลท ยื่นออกมาแลว ใหวาง ไม<br />
โครเพลทอีไลซาที่ตองการอานบนถาดวาง<br />
ขอมูลจะถูกพิมพออกมาทางเครื่องพิมพ และ ถาด<br />
วางยื่นออกมา เมื่อนําไมโครเพลทอีไลซาออกแลวกด<br />
ปุมลูกศรบน เพื่อเก็บถาดวาง<br />
Wed 05.Mar 14:57<br />
< measure ><br />
เครื่องจะกลับมาอยูใน Standby Mode อีกครั้ง
155<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
2. การอานคาและแปลผลดวยโปรแกรม X-CHECK สําหรับชุดตรวจ ELISA Kitของ บริษัท IDEXX<br />
2.1 เปดโปรแกรม X-CHECK IDEXX ( ลูกศรชี้ )<br />
2.2 ใสชื่อเปนตัวอักษรไมเกิน 4 ตัวอักษรเพื่อเปดโปรแกรม X-CHECK IDEXX<br />
แลว ENTER ( ลูกศรชี้ )<br />
2.3 เลือก TEMPLATE แลว ENTER ( ลูกศรชี้ )<br />
2.4 เลือก การทดสอบที่ทําการตรวจ แลว ( ลูกศรชี้ทางดานซาย )<br />
เลือก NEW แลว ENTER ( ลูกศรชี้ทางดานขวา )
156<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
2.5 ลง CASE NUMBER แลว( ลูกศรชี้ทางดานซาย )<br />
จํานวนตัวอยางของ CASE แลว ENTER( ลูกศรชี้ทางดานขวา )<br />
2.6 เลือก DONE แลว Enter ( ลูกศรชี้ )<br />
2.7 เลือก READ PLATE แลว ENTER ( ลูกศรชี้ )<br />
2.8 เลือก C แลว ENTER ( ลูกศรชี้ )
157<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
2.9 เลือกขอมูลที่ตองการ( ลูกศรชี้ )<br />
2.10 สั่งพิมพขอมูลที่ตองการทางเครื่องพิมพ ( ลูกศรชี้ )<br />
2.11 ปดกรอบขอมูล ( ลูกศรชี้ทางดานซายกอน )<br />
กดปดกรอบโปรแกรม ( ลูกศรชี้ทางดานขวา )<br />
ถาเกิดการผิดพลาดในขั้นตอนนี้ ตองไปติดตอกับทางตัวแทนจําหนาย บริษัท CHAKMARTIN<br />
INTERVIRONTECH จํากัด เลขที่ 211/195 ซอย 25 เมืองทอง 2/2 ถ.พัฒนาการ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10205 โทร<br />
0-2714-9161-2 โทรสาร 0-2714-9963
158<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
3. การเปลี่ยนความยาวคลื่นในการอานคา เครื่องอานคา ELISA Plate Reader TECAN Spectra นี้ มี<br />
ความสามารถอานคา Optical Density ไดทั้งหมด 4 ความยาวคลื่น คือ 405, 450, 650 nm สามารถทําการปรับเปลี่ยน<br />
ความยาวคลื่นไดโดย<br />
Wed 05.Mar 14:55<br />
< measure ><br />
กดปุม 2 ครั้ง<br />
Wed 05.Mar 14:55<br />
< Test data ><br />
กดปุม Enter<br />
test data<br />
< Define ><br />
กดปุม Enter<br />
select test 1<br />
< 1 ><br />
กดปุม Enter<br />
define test<br />
< test name ><br />
กดปุม Enter<br />
Name : 1<br />
/ ABCD .. /.. EFGHI<br />
กดปุม Enter<br />
define test<br />
< filter ><br />
Meas. Flt.<br />
< A: 405 ><br />
กดปุม Enter<br />
กดปุมลูกศรซาย หรือขวาเปลี่ยนความยาวคลื่นที่ตองการใช แลวกดปุม Enter
159<br />
หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา<br />
Ref. Flt.<br />
< none ><br />
define test<br />
< 3wave ><br />
กดปุมลูกศรซายหรือขวา เปลี่ยนความยาวคลื่นอางอิงที่ตองการใช แลวกด<br />
ปุม Enter (หากไมใช ปรับเปน none แลวกดปุม Enter)<br />
กดปุมลูกศรซายหรือขวาเพื่อปรับเปลี่ยนความยาวคลื่นที่ 3 หรือการเขยา แลวกด<br />
ปุม Enter (หากไมใช กดปุมลูกศรซายหรือขวาหา < EXIT> )<br />
define test<br />
< EXIT ><br />
กดปุม Enter<br />
Test data<br />
< define ><br />
กดปุมลูกศรซาย 1 ครั้ง จนพบ < EXI T ><br />
Test data<br />
< EXIT ><br />
กดปุม Enter<br />
Wed 05.Mar 14:55<br />
< Test data ><br />
กดปุมลูกศรซาย 2 ครั้ง จนพบ < measure ><br />
Wed 05.Mar 14:55<br />
< measure ><br />
4. จากนั้นจึงทําการอานผลอีไลซาตามวิธีในขอที่ 1
160<br />
หองปฏิบัติการไวรัสวิทยา<br />
ชื่อหองปฏิบัติการ : หองปฏิบัติการไวรัสวิทยา<br />
นักวิทยาศาสตรประจําหอง : นางสาวธัญปถย จารุปาลี<br />
แผนผังหองปฏิบัติการไวรัสวิทยา<br />
ประตู<br />
Dx 10<br />
Dx9<br />
ประตู<br />
Dx6 Dx4 Dx7 Dx8<br />
ลําดับ หองปฏิบัติการ หมายเลขหอง นักวิทยาศาสตรผูรับผิดชอบ<br />
1 หอง autoclave Dx 1 นางสาวกนกกาญจน พรมแกว<br />
2 หองลางและเตรียมเครื่องแกว Dx 2 นางสาวกนกกาญจน พรมแกว<br />
3 หองรวมเครื่องมือและหองเตรียมตัวอยาง Dx 4 นางสาวกนกกาญจน พรมแกว<br />
4 หองปฏิบัติการซีรั่มวิทยา 2 Dx 6 นางสาวกนกกาญจน พรมแกว<br />
5 หอง PCRและ Real time PCR Dx 7 นางสาวนิภา จารุปาลี<br />
6 หองอุปกรณและวิเคราะหขอมูล Dx 8 นางสาวนิภา จารุปาลี<br />
7 หองฟกไข Dx 9 นางสาวนิภา จารุปาลี<br />
8 หองP2+ (เชื้อรุนแรง) Dx 10 นางสาวนิภา จารุปาลี
161<br />
หองปฏิบัติการไวรัสวิทยา<br />
ระเบียบการใชหองปฏิบัติการหองP2+ (เชื้อรุนแรง)<br />
1. การขอใชหองปฏิบัติการหองP2+ (เชื้อรุนแรง) ใหเปนไปตามระเบียบการขอใชหองปฏิบัติการ คณะสัตว<br />
แพทยศาสตร<br />
2. แตงกายใหสุภาพเรียบรอยทุกครั้งที่เขาปฏิบัติงานในหองปฏิบัติการ<br />
3. ตองทําความเขาใจกับวิธีการทดลองกอนเขาหองปฏิบัติการทุกครั้ง<br />
4. ศึกษาวิธีการใชหอง ใหเขาใจกอนเขาหองปฏิบัติการ<br />
5. การเปด – ปดหองจะเปดเปนเวลา ไมอนุญาตใหปฏิบัติงานนอกเหนือเวลาที่กําหนด<br />
6. หามนําหรือเคลื่อนยายอุปกรณ ยา สารเคมี และวัสดุอื่นๆ ภายในหองปฏิบัติการไปโดยไมไดรับอนุญาต<br />
7. หามนําอาหารและเครื่องดื่มเขามารับประทานในหองปฏิบัติการ โดยเด็ดขาด<br />
8. ชวยกันรักษาความสะอาด ดูแลเครื่องมือ อุปกรณ และไมสงเสียงดังในหองปฏิบัติการ<br />
9. หากพบอุปกรณหรือครุภัณฑใดๆ ชํารุดใหแจงเจาหนาที่ประจําหองปฏิบัติการทันที<br />
10. ลางมือทุกครั้งทั้งกอนและหลังปฏิบัติงาน<br />
11. สวมเสื้อกาวน, ถุงมือ และหมวกทุกครั้งที่ทํางาน<br />
12. เปลี่ยนรองเทาทุกครั้งกอนเขาหองปฏิบัติการ<br />
13. สวม mask และถุงมือเมื่อตองสัมผัสตัวอยาง<br />
14. ปดฝาภาชนะและมัดปากถุงทุกครั้งกอนเอาออกจาก Hood<br />
15. ทิ้งขยะในที่ที่จัดไวใหเทานั้น (แยกขยะกอนทิ้ง ขยะที่ติดเชื้อตองนําไปนึ่งฆาเชื้อกอนทิ้ง)<br />
Work Instruction<br />
1. ขั้นตอนการรับและเก็บตัวอยางเพื่อสงตรวจตัวอยาง ไขหวัดนก (Avain influenza virus)<br />
ขั้นตอนการรับตัวอยาง<br />
1. เจาหนาที่ผูรับผิดชอบทําการรับตัวอยางจากผูที่สงตรวจ<br />
2. ลงขอมูล/รายละเอียดของตัวอยางลงในแฟมขอมูล<br />
3. เขียน CODE ของตัวอยางที่ไดรับที่หลอดตัวอยางเพื่อรอการตรวจตอไป<br />
ขั้นตอนการเก็บตัวอยาง<br />
1. การเก็บตัวอยางจากสัตวปกที่มีชีวิต<br />
1.1 สิ่งคัดหลั่ง, อุจจาระ<br />
- ใชไมพันสําลีที่ปลอดเชื้อปายสิ่งคัดหลั่งใหสัมผัสกับเยื่อเมือกของรองเพดานปาก จมูก หลอดลม<br />
หรือทวารรวม<br />
- จุมไมพันสําลีในน้ํายาเก็บรักษาเชื้อปริมาตร 6 ml (PBS+ Antibiotic)<br />
- นําหลอดเก็บตัวอยางมาดึงไมพันสําลีออก (Aseptic technique) แลวนําไปปนดวยเครื่อง<br />
refrigerator centrifuge ที่ความเร็ว 9,000 rpm/10 นาที อุณหภูมิ 4 º c<br />
- ดูดสวนใสดานบน (supernatant) ปริมาตร 1.5 ml ใสใน microcentrifuge 1หลอด/1ตัวอยาง<br />
- นําไปปนอีกครั้งที่ความเร็ว 12,000 rpm/10 นาทีอุณหภูมิ 4 º c<br />
- นําไปเก็บที่ตูเย็น 4 º c (เก็บไมเกิน3 วัน) หากยังไมทําการตรวจนําไปเก็บที่ -20º c
162<br />
หองปฏิบัติการไวรัสวิทยา<br />
2. การเก็บตัวอยางจากซากสัตว<br />
2.1 ตัวอยางอวัยวะภายใน<br />
- ทําการผาซากสัตวที่ไดรับมา โดยสังเกตลักษณะอาการภายนอกกอน อาทิ<br />
• ซากผอมแหง<br />
• มีการบวมน้ําใตผิวหนังที่สวนหัวและคอ<br />
• ตาอักเสบบวมแดง และอาจมีจุดเลือดออก<br />
• หลอดลมอักเสบรุนแรงมีเมือกมาก<br />
• มีจุดเลือดออกที่กระเพาะแท โดยเฉพาะตรงรอยตอกับกึ๋น<br />
• มีการลอกหลุดและจุดเลือดออกที่ผนังของกึ๋น<br />
• ไตบวมแดงและอาจพบยูเรียที่ทอไต<br />
- เก็บอวัยวะภายใน เชน หลอดลม ปอด ตับออน มาม ลําไสสวนปลาย ไต หัวใจและสมอง เปนตน<br />
- นํามาตัดเปนชิ้นเล็กๆ ประมาณ 5-10 mg บดในโกรงที่ฆาเชื้อแลว<br />
- เติม PBS+ Antibiotic 5 ml ผสมใหเขากันกับของเหลวจากชิ้นเนื้อ<br />
- นําของเหลวที่ไดไปปนดวยเครื่อง refrigerator centrifugeที่ความเร็ว 9,000 rpm/10 นาที อุณหภูมิ 4<br />
ºc<br />
- ดูดสวนใสดานบน (supernatant) ปริมาตร 1.5 ml ใสใน micro centrifuge 1หลอด/1ตัวอยาง<br />
- นําไปปนอีกครั้งที่ความเร็ว 12,000 rpm/10 นาทีอุณหภูมิ 4 º c<br />
- นําไปเก็บที่ตูเย็น 4 º c (เก็บไมเกิน3 วัน) หากยังไมทําการตรวจนําไปเก็บที่ -20º c<br />
2. การตรวจตัวอยาง ไขหวัดนก (Avain influenza virus) โดยใชวิธี Cell culture<br />
อุปกรณ/สารเคมี<br />
1. MEM (Hyclone cat no. SH30008.02)<br />
2. Fetal bovine serum<br />
3. MDCK cells ที่-70 º c<br />
4. 96 well TC plate sterile (corning no.3599)<br />
5. Pipette aid<br />
6. ปเปตพลาสติก ขนาด 5 mlและ 10 ml (corning no.4487/4488)<br />
7. Flask T75 (corning no.430720)<br />
8. Freezer box<br />
9. microcentrifuge tube 1.5 ml<br />
10. นาฬิกาจับเวลา<br />
11. reservoir<br />
12. Green cap<br />
13. Glove size S ,M<br />
14. CO 2 incubator<br />
15. เครื่อง refrigerator centrifuge<br />
16. Water bath<br />
17. Inverted Microscope
163<br />
หองปฏิบัติการไวรัสวิทยา<br />
18. Autopipette<br />
19. Blue tip<br />
20. Yellow tip<br />
21. Haemocytometer<br />
22. Trypan blue 0.1%<br />
23. ถุงขยะ<br />
24. Clorox สําหรับฆาเชื้อ<br />
การตรวจวินิจฉัยโรคไขหวัดสัตวปก<br />
2.1 การนําเซลลลง plate<br />
1. นํา MDCK cell ที่ไดเพาะเลี้ยงไวใน flask T 75 จนโตเต็มที่แลว<br />
2. เท media เดิมออกจากขวดเพาะเลี้ยงเซลล ลางดวย PBS 2 ครั้ง ครั้งละ 15 ml<br />
3. ใส 2.5% trypsin-versence solution ลงขวดเพาะเลี้ยงเซลล 5 ml แลวนําไป incubate ที่ 37 º c 5% CO 2<br />
incubator นานประมาณ 10 นาที<br />
4. นํามาสองดูดวยกลอง Inverted Microscope เพื่อดูวาเซลลมีการแยกตัวเปนเซลลเดี่ยวๆหรือมีการหลุดลอก<br />
ออกจากผิวขวดเพาะเลี้ยงเซลลหรือยัง ถายังนําขวดเพาะเลี้ยงเซลลมาเคาะกับฝามือเบาๆ หรือใชปเปตดูด<br />
พนเพื่อใหแยกเปนเซลลเดี่ยวๆ<br />
5. เติม 5 ml ของ MEM ที่ผสม FCS 10% เพื่อเปนการหยุดปฏิกิริยาของ trypsin-versence<br />
6. ใส MEM ที่ผสม FCS 10% และสารละลายเซลลที่ไดจากขอ 5 มาผสมรวมกันใน reservoir โดยปรับ<br />
ปริมาตรใหไดความเขมขนตามที่ตองการ (1 plate ใชประมาณ 10 ml)<br />
7. จากนั้นนํามาใส 96 well plate หลุมละ 100 ul ตั้งแตแถว A-H หลุม 1-12<br />
8. นําไป incubate ที่ 37 º c 5% CO 2 incubator นาน 24 ชั่วโมง (1 plateตรวจได 10 ตัวอยาง)<br />
9. ใช multichanel Pipette ดูดอาหารเลี้ยงเซลลออกทุกหลุม<br />
10. ใส MEM ที่ผสม tripsin 0.05% ลงไปทุกหลุม หลุมละ 100 ul<br />
11. นําไป incubate ที่ 37 º c 5% CO 2 incubator นาน 5 นาที<br />
12. ดูด MEM ที่ผสม tripsin 0.05% ออกทุกหลุม<br />
2.2 การนําตัวอยางลง plate<br />
13. ใสตัวอยาง 50 ul + MEM (ไมตองผสม FCS) 50 ul ในแถว A-D หลุม 1-10<br />
14. ใสตัวอยาง 25 ul + MEM (ไมตองผสม FCS) 75 ul ในแถว E-H หลุม 1-10<br />
15. ใส positive AI ความเขมขน 10 -4 ลงแถวA-H หลุมที่ 11 หลุมละ 100 ul (control positive)<br />
16. ใส MEM ลงแถวA-H หลุมที่ 12 หลุมละ 100 ul (control negative)<br />
17. นําไป incubate ที่ 37 º c 5% CO 2 incubator นาน 1 ชั่วโมง<br />
18. ดูดอาหารเลี้ยงเซลลออกยกเวนแถว A-H หลุมที่11และแถว A-H หลุมที่12<br />
19. ใส MEM (ไมตองผสม FCS) แถว A-H หลุมที่1-10 หลุมละ100 ul<br />
20. นําไป incubate ที่ 37 º c 5% CO 2 incubator นาน 24 ชั่วโมง<br />
21. ดูดอาหารเลี้ยงเซลลแถวA-H หลุมที่ 11ออก<br />
22. ใส MEM (ไมตองผสม FCS) แถว A-H หลุมที่11 หลุมละ100 ul
164<br />
หองปฏิบัติการไวรัสวิทยา<br />
23. นําไป incubate ที่ 37 º c 5% CO 2 incubator นาน 24 ชั่วโมง<br />
2.3 การติดตามดูผล/รายงานผล<br />
24. ตรวจดูการเกิด CPE ทุกวันเปนเวลา 3 วัน<br />
25. ถาตรวจพบวามีการตายของเซลลเกิดขึ้นดูดเก็บตัวอยางจากทุกหลุม (1 ตัวอยาง= 8หลุม)ไวทํา HA เพื่อ<br />
ตรวจดู HA titer ตอไป<br />
26. ถาตรวจไมพบการเกิด CPE ดูเก็บตัวอยางจากทุกหลุม (1 ตัวอยาง= 8หลุม) มาตรวจซ้ําอีกครั้ง (passage 2)<br />
27. ถาตรวจพบวามีการตายของเซลลเกิดขึ้นใหรายงานผลเปนบวก<br />
28. ถาตรวจไมพบการเกิด CPEใหรายงานผลเปนลบ<br />
ภาพแสดง การนําตัวอยางลง plate<br />
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12<br />
A pos neg<br />
sample 50 ul + B pos neg<br />
MEM 50 ul C pos neg<br />
D pos neg<br />
E pos neg<br />
sample 25 ul + F pos neg<br />
MEM 75ul G pos neg<br />
H pos neg<br />
2.4 วิธีการเพาะเลี้ยง MDCK cells (Madin-Darby Canine Kidney Cells)<br />
1. นํา MDCK cells ที่แชแข็ง -70 º c ออกมาแกวงใน Water bath ที่ตั้งไวที่อุณหภูมิ 37 º c แกวงนานประมาณ<br />
30 วินาที พยายามแกวงใหเร็วที่สุดเพื่อปองกันเซลลถูกทําลาย<br />
2. อุนอาหารเลี้ยงเซลล MEM, trypsin-versence 2.5 % solution และ PBS ใน water bath ที่ 37 ºc เวลา<br />
ประมาณ 15 นาที<br />
3. เมื่อเซลลละลายหมดแลว นําไปปนดวยเครื่องปนเหวี่ยงที่ความเร็ว 1,000 รอบ/นาที นาน5 นาที ที่<br />
อุณหภูมิ 4 º c<br />
4. เช็ด cryovial ดวย 70% แอลกอฮอลใหทั่ว<br />
5. ดูดสารละลายสวนใสทิ้ง แลวเติมอาหารเลี้ยงเซลล MEM ที่เย็น (ไมตองผสม FCS) ลงไป 1 ml ในหลอดที่<br />
มีตะกอนเซลลเหลืออยู ใช Autopipette ดูดขึ้นลงเพื่อ ใหสวนผสมรวมเปนเนื้อเดียวกัน<br />
6. นําไปปนดวยเครื่องปนเหวี่ยงที่ความเร็ว 1,000รอบ / นาที นาน 5 นาทีที่อุณหภูมิ 4 º c<br />
7. เช็ด cryovial ดวย 70% แอลกอฮอลใหทั่ว<br />
8. ดูดสารละลายสวนใสทิ้งแลว เติมอาหารเลี้ยงเซลล MEM ที่เย็น (ไมตองผสมFCS) ลงไป 1 ml ดูดขึ้นลง<br />
เพื่อ ใหสวนผสมรวมเปนเนื้อเดียวกัน
165<br />
หองปฏิบัติการไวรัสวิทยา<br />
9. ใช Autopipette ดูดสารละลายเซลลทั้งหมดลงในขวดเพาะเลี้ยงเซลล T75 เติมอาหารเลี้ยงเซลล MEM ที่<br />
ผสมFCS 10% ลงไปในขวดเพาะเลี้ยงเซลล T75 ปริมาตร 15 ml (คลายเกลียวฝาขวดเล็กนอย)<br />
10. นําไปบมที่อุณหภูมิ 37 º c คารบอนไดออกไซด 5% คลายฝาเกลียวเล็กนอย<br />
11. สังเกตการเจริญเติบโตของเซลล<br />
ภาพแสดงลักษณะการเลี้ยง MDCK cells<br />
2.5 วิธีการ Splitting cell cultures<br />
1. นําขวดเพาะเลี้ยงเซลล MDCK มาสองดูดวยกลอง Inverted Microscope เพื่อดูการเจริญเติบโตของเซลล ดู<br />
จากการขุนของอาหารและลักษณะเซลลวามีชีวิตหรือเกิดการปนเปอนหรือไม<br />
2. เท media เดิมออกจากขวดเพาะเลี้ยงเซลล ลางดวย PBS 2 ครั้ง ครั้งละ 15 ml<br />
3. ใส 2.5% trypsin-versence solution ลงขวดเพาะเลี้ยงเซลล 5 ml แลวนําไป incubate ที่ 37% CO 2 incubator<br />
นานประมาณ 10 นาที<br />
4. นํามาสองดูดวยกลอง Inverted Microscope เพื่อดูวาเซลลมีการแยกตัวเปนเซลลเดี่ยวๆหรือมีการหลุดลอก<br />
ออกจากผิวขวดเพาะเลี้ยงเซลลหรือยัง ถายังนําขวดเพาะเลี้ยงเซลลมาเคาะกับฝามือเบาๆหรือใชปเปตดูด<br />
พนเพื่อใหแยกเปนเซลลเดี่ยวๆ<br />
5. เติม 5 ml ของ MEM ที่ผสม FCS 10% เพื่อเปนการหยุดปฏิกิริยาของ trypsin-versence<br />
6. นับเซลลใหไดตามปริมาณตามที่ตองการ ( flask T75 2 x10 7 cell/ml , flask T25 5x10 6 cell/ml )<br />
7. เมื่อนับเซลลไดตามปริมาณที่ตองการแลว แบงเซลลใสขวดเพาะเลี้ยงแลวเติม MEM ที่ผสม FCS 10%<br />
ปรับปริมาตรใน flask T75 ใหได 15 ml<br />
8. นํา flask T75 ที่ splitting cell แลวไป incubate ที่ 37% CO 2 incubator คลายฝาเกลียวเล็กนอย
166<br />
หองปฏิบัติการไวรัสวิทยา<br />
2.6 Cell counting<br />
Accurate numbers in a cell suspension can be calculated by counting the cells in a haemocytometer (e.g. improved<br />
Neubauer); it is important to disperse the cells thoroughly by pipetting up and down. A typical method for<br />
enumerating cell concentration using “improved Neubauer” haemocytometers is given below.<br />
1) Dilute 0.2 ml of the cell suspension in 0.2 ml of trypan blue (N.B. use 0.1% w/v trypan blue in PBS<br />
solution); non-viable cells are stained blue.<br />
2) Immediately mix well with a fine Pasteur pipette and aspirate sufficient volume to fill both sides of the<br />
haemocytometer chamber.<br />
3) Count viable cells in each of the four corner squares bordered by triple lines, omitting cells lying on these<br />
lines (see Figure 4.2). This is repeated for the second side of the chamber. N.B. cell counts of less than fifty<br />
cells are unlikely to be reliable.<br />
4) If a marked degree of cell “clumping” (aggregation) is observed, discard and re-suspend the original cell<br />
suspension.<br />
5) Calculate the mean count of the total viable cells per four corner squares (N.B. viable cells are not stained<br />
by Trypan blue).<br />
6) Count and calculate the mean count of the other half of the counting chamber. For a valid test, the results<br />
of the two counts should be within 20% of the mean value.<br />
7) Calculate the viable cell concentration per ml using the following formula:<br />
calculations:Cells/ml = average cell count per square x dilution factor x 10 4 ;<br />
Total cells = cells/ml x the original volume of fluid from which the cell sample was removed<br />
% Cell viability = total viable cells (unstained)/total cells x 100.<br />
Figure 4.2: Cell counting using a haemocytometer (based on Freshney)
167<br />
หองปฏิบัติการไวรัสวิทยา<br />
Important variables in these counting chambers are:<br />
a) the depth of the chamber. In the example above this is 0.1 mm; in some counting chamber types,<br />
however, this is 0.2 mm.<br />
b) the number of smallest squares per cm 2 . In the example above, there are 25 squares per cm 2 , each 0.2<br />
mm long and 0.2 mm wide; in some counting chambers, however, there are 16 squares per cm 2 , each 0.25 mm<br />
long and 0.25 mm wide.<br />
When counting chambers with different specifications are used, different algorithms have to be followed<br />
for the correct calculation of the number of cells per ml. It is important to check the specifications of the counting<br />
chamber in use and follow the calculation instructions that go with individual counting chambers.<br />
2.7 Freezing cell cultures<br />
1. ขวดเพาะเลี้ยงเซลล MDCK cells ที่มีการเจริญเติบโตมากกวา 90%<br />
2. เท media เดิมออกจากขวดเพาะเลี้ยงเซลล ลางดวย PBS 2 ครั้ง ครั้งละ 15 ml<br />
3. ใส 2.5% trypsin-versence solution ลงขวดเพาะเลี้ยงเซลล 5 ml แลวนําไป incubateที่ 37% CO 2 incubator<br />
นานประมาณ 10 นาที<br />
4. นํามาสองดูดวยกลอง Inverted Microscope เพื่อดูวาเซลลมีการแยกตัวเปนเซลลเดี่ยวๆ หรือมีการหลุดลอก<br />
ออกจากผิวขวดเพาะเลี้ยงเซลลหรือยัง ถายังนําขวดเพาะเลี้ยงเซลลมาเคาะกับฝามือเบาๆ หรือใชปเปตดูด<br />
พนเพื่อใหแยกเปนเซลลเดี่ยวๆ<br />
5. เติม 5 ml ของ MEM ที่ผสม FCS 10% เพื่อเปนการหยุดปฏิกิริยาของ trypsin-versence<br />
6. ดูดเซลลใสใน centrifruge tube ขนาด 15 ml ปริมาตร 10 ml<br />
7. นําไปปนดวยเครื่องปนเหวี่ยงที่ความเร็ว 1,000รอบ / นาที นาน 5 นาทีที่อุณหภูมิ 4 º c<br />
8. คอยๆ ดูดสวนใสทิ้งระวังอยาใหเซลลหลุด<br />
9. เตรียม media ที่ใชเก็บรักษาเซลล โดยใช 90% fetal bovine serum + 10% DMSO
168<br />
หองปฏิบัติการไวรัสวิทยา<br />
10. ดูด media จากขอ 9 ที่เตรียมได ใสในขอ 8 ดูดพนเพื่อใหเซลลมีการกระจายตัว<br />
11. นับเซลลใหไดตามปริมาณตามที่ตองการ<br />
12. ใชปเปตดูดสารละลายเซลลที่ไดใสใน cryovial หลอดละ 1 ml<br />
13. พันดวยพาราฟน เขียนระบุวัน/เดือน/ป, passage, จํานวนเซลล, ชื่อผูทํา ที่ขางหลอด<br />
14. นําไปเก็บที่ ตู -70 º c หรือใน liquid nitrogen -196 º c<br />
2.8 การเตรียมสารเคมีที่ใชในการเพาะเลี้ยงเซลล<br />
การเตรียม PBS 1X (phosphate buffer saline)<br />
1. NaCl 8 g<br />
2. KCL 0.2 g<br />
3. KH 2 PO 4 0.2 g<br />
4. Na 2 HPO 4 1.15 g<br />
ละลายในน้ํากลั่น 1000 ml นําไปนึ่งฆาเชื้อ เก็บที่อุณหภูมิหอง<br />
การเตรียมสารละลาย 2.5% tripsin<br />
1. ละลาย tripsin 2.5 g ใน PBS 100 ml<br />
2. นําไปปน 1800 rpm / 10 นาที ที่ 4 º c<br />
3. กรองดวยหัวกรองมิลลิพอร ขนาด 0.22 ไมครอน<br />
4. ดูดแบงใส tube tubeละ 5 ml<br />
5. เก็บไวในตูเย็นที่ -20 º c<br />
การเตรียมสารละลาย versence (stock versence EDTA 1%)<br />
1. ละลาย EDTA 1 g ในน้ํากลั่น 100 ml<br />
2. นึ่งฆาเชื้อและ เก็บที่อุณหภูมิหองหรือตูเย็น 4 º c<br />
การเตรียมสารละลาย 2.5% tripsin - versence<br />
1. นําสารละลาย 2.5% tripsin 5 ml มาละลายกับสารละลาย versence 2.5 ml<br />
2. ใสลงใน PBS 100 ml ผสมใหเขากัน<br />
3. แบงใสหลอดละ 5 ml<br />
4. เก็บไวในตูเย็นที่ -20 º c<br />
สารเคมี<br />
การเตรียม Modified Eagle’s Medium {MEM (Hyclone cat no. SH30008.02)} สําหรับเลี้ยงเซลล<br />
• MEM 9.5 g<br />
• NaHCO 3 2.2 g<br />
• Pennicilin G sodium salt 100 IU/ml<br />
• Streptomysin 100 mg/ml<br />
• Ciprofloxcin 100 µเ/ml
169<br />
หองปฏิบัติการไวรัสวิทยา<br />
• Amphotericin B 0.25 µl/ml<br />
• น้ํากรอง( reverse osmosisi ) ที่นึ่งฆาเชื้อแลว 1 L<br />
ขั้นตอนการเตรียม<br />
1. ชั่ง MEM 9.5 g และ NaHCO 3 2.2 g<br />
2. ใสลงในน้ํากลั่นที่นึ่งฆาเชื้อแลว 1L (ทําใน Hood )<br />
3. ใส magnetic stirrer bar ลงในขวด<br />
4. นําไปปนเพื่อใหสารละลายเขากันประมาณ 10 นาทีโดยไมตองใหความรอน<br />
5. นําไปเขาเครื่องกรองโดยกรองผานกระดาษกรองขนาด 0.22 ไมครอน<br />
6. แบงใสขวด Duran ขวดละ 90 ml เก็บที่อุณหภูมิ 4 º c ( เก็บไดไมเกิน 3 เดือน )<br />
7. เมื่อนําออกมาใชจึงผสมยาปฏิชีวนะตามความเขมขนที่กําหนด<br />
การเตรียมน้ํายา Swab (เก็บรักษาตัวอยาง)<br />
สารเคมี<br />
• PBS ที่นึ่งฆาเชื้อแลว<br />
• Pennicilin G sodium salt 1000 IU/ml<br />
• Streptomysin 1000 mg/ml<br />
• Ciprofloxcin 1000 µเ/ml<br />
• Amphotericin B 2.5 µเ/ml<br />
ขั้นตอนการเตรียม<br />
ผสมAntibiotic ตามที่กําหนดลงใน PBS 1 L<br />
1. แบงใส transport tube ขนาด 10 ml หลอดละ 6 ml<br />
2. เก็บในตูเย็น 4 º c<br />
3. การตรวจเชื้อไขหวัดสัตวปกโดยวิธีไขไกฟก<br />
อุปกรณ/สารเคมี<br />
1. ไขไกฟกอายุ 9-11 วัน<br />
2. tuberculin ติดเข็มขนาด 1 ml<br />
3. syring ขนาด 3ml<br />
4. เข็มเบอร 18 ขนาด1½ นิ้ว<br />
5. เข็มเจาะไข<br />
6. microcentrifuge tube 1.5 ml<br />
7. เครื่อง refrigerator centrifuge<br />
8. ถาดไขพลาสติก<br />
9. Petri dish<br />
10. สําลี<br />
11. เครื่องสองไข<br />
12. 70% alcohol
170<br />
หองปฏิบัติการไวรัสวิทยา<br />
13. ทิงเจอรไอโอดีน<br />
14. กระดาษกาวใส<br />
15. forcep<br />
16. Micropipette<br />
17. เจนตาไมซินความเขมขน 50 µg / ml<br />
3.1 การเตรียมสารละลายยาปฏิชีวนะความเขมขน 50 µg / ml<br />
1. น้ํากลั่นที่นึ่งฆาเชื้อแลวปริมาตร 100 ml<br />
2. เติมเจนตาไมซิน ความเขมขน 0.05g / ml 100 µl<br />
3. เขียนวันที่เตรียม -ชื่อ<br />
4. เก็บรักษาไวที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส<br />
3.2 การตรวจตัวอยาง ไขหวัดนก (Avain influenza virus) โดยใชวิธี ไขไกฟก<br />
1. คัดเลือกไขไกฟกที่มีอายุ 9 – 11 วัน โดยคัดแยกไขที่เปอนอุจจาระ ดิน ไขแตก ทิ้งไป<br />
2. นําไขไกที่มีอายุ 9 – 11 วัน มาสองโดยการคัดแยกไขลม ไขลาย ไขราวและไขตายทิ้ง แลวทํา<br />
เครื่องหมายบริเวณ Air sac สําหรับไขไกมีชีวิต<br />
3. เช็ดทําความสะอาดไขดวย 70 % Alcohol<br />
4. จัดใสถาดไขพลาสติกที่สะอาด<br />
5. พน Alcohol กอนนําไขเขาตู Laminar flow<br />
6. ใชเข็มเจาะไข เจาะเหนือบริเวณที่ทําเครื่องหมาย Air sac ไวประมาณ 4 mm.<br />
7. ฉีดยาปฏิชีวนะ 0.02 ml. ที่ความเขมขน 50 ug / ml. เขาไปในไขไกฟกเหนือบริเวณ air sac<br />
8. ฉีดของเหลวที่ไดจากการเตรียมตัวอยาง (Antigen) ปริมาตร 0.2 ml. เขาใน Allantoic cavity ของไข<br />
ไกฟกที่มีอายุ 9 – 11 วัน จํานวน 3 – 5 ฟอง ตอตัวอยาง<br />
9. ใชกาวหรือเทปใสแปะบริเวณรูที่เจาะ นําไขที่ฉีดเชื้อแลวไปไวตูฟกไขที่อุณหภูมิ 35 – 39 องศา<br />
เซลเซียส เปนเวลา 5 วัน<br />
10. สองตรวจดูการมีชีวิตของไขไกฟกวันละครั้งเปนเวลา 5 วัน<br />
11. คัดแยกไขที่ตายออกนําเก็บไวที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส<br />
12. เมื่อครบกําหนด 5 วัน ใหนําไขที่มีชีวิตมาเก็บไวที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส ทิ้งไว 1 -24 ชั่วโมง จะ<br />
ทําใหสามารถดูด Allantoic fluid ไดงายขึ้น<br />
13. กะเทาะเปลือกไขดวย forcep เหนือชอง air sac ใช Syringe 3 ml. กับเข็มเบอร 18 ดูด Allantoic fluid<br />
มา 3 ml. แลวแบงใส vial tube (ทําเหมือนกันทั้งไขตายและไขมีชีวิต )<br />
14. นําไปเก็บที่อุณหภูมิ – 20 องศาเซลเซียส<br />
15. ไขที่ตายจะนําไปทดสอบ โดยวิธี hemagglutination test (HA) และ Hemagglutination Inhibition test (<br />
HI )<br />
16. Allantoic fluid จากไขมีชีวิต จะถูกนําไปฉีดเขาไขไกฟกใน Passage ที่ 2 อีกครั้ง
171<br />
หองปฏิบัติการไวรัสวิทยา<br />
4. การตรวจตัวอยาง ไขหวัดนก (Avain influenza virus) โดยใชวิธี Polymerase chain reaction<br />
4.1 ขั้นตอนการสารเคมี<br />
- การเติม carrier RNA ลงไปใน buffer AVL (ชุดสกัด QIAamp viral RNA mini)<br />
1. เติม 310 ul buffer AVE ลงในหลอดฝาสีแดงที่มี 310 ug lyophilized carrier RNA จะทําใหไดปริมาณ<br />
ของ carrier RNA 1 ug/ul<br />
2. พลิกหลอดขึ้นลงจนละลายเปนเนื้อเดียวกัน แบงปริมาณตามความเหมาะสมที่จะใชในแตละครั้ง (*ในแล็ป<br />
ไขหวัดนกแบงใส microcentrifuge tube หลอดละ 22.4 ul หรือ สําหรับ 4 ตัวอยาง )<br />
3. นําไปเก็บไวที่ - 20 องสาเซลเซียส ( ไมควรนํา carrier RNA มา freeze - thaw เกิน 3 ครั้ง )<br />
4. นํา buffer AVL มาเช็คดูวามีการตกตะกอนหรือไม หากมี ใหนําไป incubate ที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส<br />
จนกวาจะละลาย ( ทําการพลิกหลอดไปมาก็ไดเชนกัน )<br />
ตารางที่ใชคํานวณปริมาณที่จะใชในการสกัด RNA แตละครั้ง<br />
Table. Volume of buffer AVL and carrier RNA buffer AVE mix<br />
No<br />
sample<br />
Vol. buffer<br />
AVL ( ml)<br />
Vol. carrier RNA<br />
buffer AVE ( ul )<br />
No.<br />
sample<br />
Vol. buffer<br />
AVL ( ml)<br />
Vol. carrier RNA<br />
buffer AVE ( ul )<br />
1 0.56 5.56 13 7.28 72.8<br />
2 1.12 11.2 14 7.84 78.4<br />
3 1.68 16.8 15 8.40 84.0<br />
4 2.24 22.4 16 8.96 89.6<br />
5 2.80 28.0 17 9.52 95.2<br />
6 3.36 33.6 18 10.08 100.8<br />
7 3.92 39.2 19 10.64 106.4<br />
8 4.48 44.8 20 11.20 112.0<br />
9 5.04 50.4 21 11.76 117.6<br />
10 5.60 56.0 22 12.32 123.2<br />
11 6.16 61.6 23 12.88 128.8<br />
12 6.72 67.2 24 13.44 134.4<br />
Note<br />
buffer AVL + carrier RNA ควรเตรียมใหมทุกครั้ง สามารถเก็บไวในอุณหภูมิ 2 - 8 องศาเซลเซียส<br />
ประมาณ 48 ชั่วโมง สารละลายจะตกตะกอน เมื่อเก็บที่ 2 - 8 องศาเซลเซียสซึ่งสามารถละลายไดที่ 80 องศาเซลเซียส<br />
กอนใช แตไมควรนํามาอุนเกิน 6 ครั้ง และแตละครั้งไมควรเกิน 5 min และการอุนนานเกินไปจะทําให carrier<br />
RNA เกิดการdegradation<br />
- การเตรียม buffer AW1 + buffer AW2<br />
กอนใชครั้งแรกเติม Absolute ethanol (96-100%) เก็บไดประมาณ 1 ป ที่อุณหภูมิหอง เตรียมตามคูมือ<br />
4.2 ขั้นตอนการสกัด RNA<br />
สําหรับการสกัด RNA virus จากตัวอยาง 140 ul (plasma, serum, cell culture media or ของเหลวใน<br />
รางกายตางๆ)
172<br />
หองปฏิบัติการไวรัสวิทยา<br />
สิ่งที่ตองทํากอนการสกัด RNA<br />
- นําตัวอยาง+ buffer AVE มาอุนไวที่อุณหภูมิหอง<br />
1. pipette buffer AVL ( ที่ใส carrier RNA แลว ) มาจํานวน 560 ul ใสลงใน Microcentrifuge tube 1.5 ml<br />
2. เติมตัวอยาง 140 ul ลงไป และmix + vortex 15 sec. ( ถาตัวอยางเกินกวา 140 ul ใหเพิ่มจํานวน buffer<br />
AVL ตามสัดสวน)<br />
3. ทิ้งไวที่อุณหภูมิหอง ประมาณ 10min<br />
4. ปนเหวี่ยงสักครูใหของเหลวที่ติดตามขอบตกมาดานลาง<br />
5. เติม Absolute ethanol 560 ul ลงไปในตัวอยาง และ mix + vortex 15 sec.<br />
6. นําของเหลวจากขอ5 ปริมาณ 630 ul ลงใน QIAamp mini spin column ปดฝาใหแนนและปนเหวี่ยงที่ 8000<br />
rpm 1 min จนของเหลวใน columnลงไปอยูในหลอดดานลางหมด<br />
7. เปลี่ยนหลอดดานลางเปนอันใหมและดูดของเหลวที่เหลือทําซ้ําเหมือนขอ6<br />
8. เปลี่ยนหลอดดานลางและเติม buffer AW1 ลงไปใน spin column 750 ul ปดฝาใหแนนและปนเหวี่ยงที่ 8000<br />
rpm 1 min จนของเหลวใน columnลงไปอยูในหลอดดานลางหมด<br />
9. เปลี่ยนหลอดดานลางและเติม buffer AW2 ลงไปใน spin column 750 ul ปดฝาใหแนนและปนเหวี่ยงที่<br />
14000 rpm 3 min จนของเหลวใน columnลงไปอยูในหลอดดานลางหมด<br />
10. ใส QIAamp mini spin columnลงใน Microcentrifuge tube 1.5 ml เปดฝา column และเติม buffer AVE (ที่<br />
อุณหภูมิหอง) ลงไป 60 ul ทิ้งไวที่อุณหภูมิหอง ประมาณ 1min นําไปปนเหวี่ยงที่ 8000 rpm 1 min<br />
11. หลังจากนั้นปดฝาและเก็บไวที่ -20 หรือ -70 องศาเซลเซียส (เก็บไดประมาณ 1 ป)<br />
4.3 การตรวจวิเคราะห Realtime PCR โดยใช SYBR Green I Dye (ABI 7300)<br />
เปนการทํา PCR ที่สามารถคํานวณหาปริมาณของ PCR product ได โดยวัดปริมาณการเรืองแสงของสาร<br />
fluorescent (SYBR Green I Dye ) ที่ติดอยู ในสายคูของ DNA โดย SYBR Green I Dye เปนสารเรืองแสงที่จับกับ<br />
DNA สายคูซึ่งจะมีการเพิ่มปริมาณตามรอบของการทํา PCR และจะเรืองแสงเมื่อถูกกระตุนดวยแสง UV<br />
Realtime PCR master mix for SYBR green RT-PCR<br />
*single primer<br />
Component stock conc. final conc. Vol / 1 Rxn Vol / Rxn<br />
2 x SYBR buffer<br />
( Qiagen) 10 µl<br />
Rnase free water 2.2 µl<br />
primer H - for 10 mM 10 mM 1 µl<br />
primer H - re 10 mM 10 mM 1 µl<br />
enzyme mix 0.8 µl<br />
mastermix total 15 µl<br />
template 5 µl<br />
total 20 µl
173<br />
หองปฏิบัติการไวรัสวิทยา<br />
Realtime PCR master mix for SYBR green RT-PCR<br />
*multiplex primer<br />
Component stock conc. final conc. Vol / 1 Rxn Vol / Rxn<br />
2x SYBR buffer<br />
( Qiagen) 10 µl<br />
Rnase free water 3 µl<br />
primer H - for 10 mM 10 mM 1 µl<br />
primer H - re 10 mM 10 mM 1 µl<br />
primer N - for 10 mM 10 mM 1 µl<br />
primer N - re 10 mM 10 mM 1 µl<br />
primer M - for 10 mM 10 mM 1 µl<br />
primer M - re 10 mM 10 mM 1 µl<br />
enzyme mix 1 µl<br />
mastermix total 20 µl<br />
template 5 µl<br />
total 25 µl<br />
Realtime PCR master mix for taqman RT-PCR<br />
* single<br />
Component stock conc. final conc. Vol / 1 Rxn Vol / Rxn<br />
2x taqman one step RT-PCR master mix ( ABI ) 10 µl<br />
Rnase free water 1.7 µl<br />
primer - forward 10 mM 0.5 mM 1 µl<br />
primer - reverse 10 mM 0.5 mM 1 µl<br />
probes 6 mM 0.25 mM 0.8 µl<br />
40x Multiscr 1 µl<br />
mastermix total 20 µl<br />
template 5 µl<br />
total 25 µl<br />
Cycling Temperature for SYBR<br />
Reverse transcription 50 ºC 30 min<br />
Initial PCR activation step 95 ºC 15 min<br />
3-step cycling<br />
Denaturation 94 ºC 30 sec<br />
Annealing 50 ºC 30 Sec
174<br />
หองปฏิบัติการไวรัสวิทยา<br />
Extension 72 ºC 1 min<br />
Number of Cycles: 40 Cycles<br />
Final extension 72 ºC 10 min<br />
Cool down at 4 ºC<br />
Cycling Temperature for Taqman<br />
Reverse transcription 48 ºC 45 min<br />
Initial PCR activation step 95 ºC 10 min<br />
3-step cycling<br />
Denaturation 94 ºC 15 sec<br />
Annealing 55 ºC 30 Sec<br />
Extension 72 ºC 40 Sec<br />
การใชงานครุภัณฑ<br />
1. เครื่อง Larminarflow (TELSTAR ® )<br />
1. ตรวจสอบแผงกั้นสีเทาใหอยูในตําแหนงที่ถูกตอง<br />
2. บิด Key switch #1 มาที่ตําแหนง 2 จะสังเกตเห็นคําวา Exhaust flow ขึ้นที่หนาจอ #7<br />
3. กดปุม UV Lamp #6 แลวกดปุม STOP #10 เพื่อปดเสียงสัญญาณเตือน รอใหแสง UV ทําการฆาเชื้อ<br />
ประมาณ 15 นาที จากนั้นกดปุม UV Lamp #6 เพื่อปด UV Lamp<br />
4. บิด Key switch #1 มาที่ตําแหนง 1 แลวกดปุม STOP #10 เพื่อปดเสียงสัญญาณเตือน<br />
5. นําแผงกั้นสีเทาออก แลวรอไฟ #11 เปลี่ยนจากสีแดงเปนสีเขียว จากนั้นกดปุม STOP#10 เพื่อปดเสียง<br />
สัญญาณเตือน<br />
6. ติดตั้งหัว Gas และเปดวาลว Gas จากนั้นกดปุม #3 และ #4 เพื่อเปดหลอดไฟและ Electrical socket<br />
7. ทําความสะอาดพื้นที่ปฏิบัติงานดวยแอลกอฮอล จากนั้นจึงพรอมใชงาน<br />
8. ภายหลังใชงานเสร็จใหปดวาลว Gas และนําหัวGas ออก<br />
9. ทําความสะอาดพื้นที่ปฏิบัติงานดวยแอลกอฮอล จากนั้นกดปุม #3 และ #4 เพื่อปดหลอดไฟและ Electrical<br />
socket<br />
10. ปดแผงกั้นสีเทา จากนั้นกดปุม STOP#10 เพื่อปดเสียงสัญญาณเตือน<br />
11. บิด Key switch #1 มาที่ตําแหนง2 จากนั้นกดปุม UV Lamp #6 แลวกดปุม STOP #10เพื่อปดเสียงสัญญาณ<br />
เตือนรอใหแสง UVทําการฆาเชื้อประมาณ 15 นาที<br />
12. กดปุม UV Lamp #6เพื่อปด UV Lamp แลวบิด Key switch #1 ไปที่ตําแหนง 0 เพื่อเสร็จสิ้นการใชงาน
175<br />
หองปฏิบัติการไวรัสวิทยา<br />
2. เครื่อง Realtime PCR (7300 ABI)<br />
1. กอนการใชงานเปดเครื่องเพื่อเปนการ warm กอน 15 นาที<br />
2. เปด UPS<br />
3. เปดเครื่อง Realtime PCR<br />
4. เปด computer<br />
5. พิมพ CODE 7300 จากนั้นคลิกที่ไอคอน “ 7300 system software”<br />
6. เลือก File กด New จะเขาสูเมนู “ New document wizard “<br />
7. คลิกที่ Instrument (ดานบน) เลือก Function test เลือก All test เพื่อเปนการเช็ควาเครื่องพรอมใช<br />
งานหรือยัง<br />
8. ถาหนาจอปรากฏคําวา “ PASS ” แสดงวาเครื่องสามารถใชงานได คลิก OK<br />
9. คลิก Tool (ดานบน) เลือก Detect manager เพื่อเลือก detector ที่ตองการ<br />
10. คลิกAdd to plate document คลิก OK -----Done<br />
11. ถาไมมี detector ที่เราตองการ คลิก New detector<br />
12. เลือก Tool คลิก Detect ors manager เลือก File---New จากนั้นพิมพรายละเอียดของ detector ที่เรา<br />
ตองการจะสราง เสร็จแลวเลือก OK<br />
13. จากที่ทําขอ 9,10 แลว นั้นกลับมาที่ Tool (ดานบน) มาที่หนาจอ View –well inspector เลือก use<br />
14. จากนั้นตั้งชื่อ sample ที่เราตองการโดยคลิกเลือกไปที่ชองที่เราตองการ (หนาจอจะปรากฏเปนหนา<br />
เพลท 96 well)<br />
15. เลือก Passive ถาใช SYBR เลือก None / Taqman เลือก ROX<br />
16. เสร็จแลวคลิก close จากนั้นคลิกเลือก Instrument (ดานลาง) เพื่อตั้งเวลา, อุณหภูมิ (กรณี ที่ใช SYBR<br />
ตองเลือก Add dissociation stage ดวย), จํานวนรอบที่เราจะใช โดยเราสามารถที่จะเพิ่มหรือลด<br />
ขั้นตอนตางๆ ไดโดยคลิกที่ Add cycle, Add hold, Add step<br />
17. - ตั้งชื่อ profile<br />
- ตั้งคา sample volume ใช 25µl<br />
- ตั้งคา Data collection เปนการตั้งวาจะใหอานคา product ที่ไดที่stepไหน เครื่องจะทําการอานคา<br />
เมื่อดําเนินการมาถึงstep นั้น สวนใหญจะเลือกที่ step extention<br />
18. เสร็จแลวตรวจทานขอมูลที่ไดลงไปทุกอยางวาถูกตองหรือยังจากนั้นคลิก save as ระบบจะทําการ<br />
บันทึกขอมูลใหเปน .SDS files<br />
19. จากนั้นไปทําการเตรียม reaction (ใส master mix กอนแลวคอยตามดวย template อยาใหมี<br />
ฟองอากาศ ถามีใหดีดที่กนหลอดหรือสะบัดหามดูดขึ้นลง)<br />
20. นําแผนฟลมมาแปะทับที่ plateแลวทําการรีดและกรีดทับรอยที่แปะลงไปใหแนนพยายามอยาใหมือ<br />
สัมผัสกับแผนฟลมโดยเด็ดขาด จับไดแคสวนปลายของแผนฟลมเทานั้นเพราะเครื่องจะมีความรอน<br />
สูงถามือที่มีแปงติดอยูไปสัมผัสติดบนแผนฟลมเมื่อแผนฟลมโดนความรอนก็จะละลายทําใหมีการ<br />
อานคาผิดพลาดได<br />
21. นํา plate ที่ไดเตรียมไวใสลงในเครื่อง (วางใหถูกมุม) คลิก start เครื่องจะทําการประมวลผลออกมา<br />
วาจะใชเวลานานเทาไหรในการวิเคราะห
176<br />
หองปฏิบัติการไวรัสวิทยา<br />
22. หากตองการดูผลระหวางการวิเคราะห คลิก Result โดยจะมีผลอยู 4 แบบ คือ plate, spectra,<br />
component, amplification plot<br />
23. ตองการprint ผลการวิเคราะหออกมาเลือก Tool---print --- report setting เลือกรายการที่เราตองการ<br />
คลิก print
177<br />
หองปฏิบัติการระบบสืบพันธุ<br />
ชื่อหองปฏิบัติการ : หองปฏิบัติการระบบสืบพันธุ (Dx3)<br />
นักวิทยาศาสตรประจําหองปฏิบัติการ : นายธีระพงศ โปธา<br />
แผนผังหองปฏิบัติการระบบสืบพันธุ<br />
ประตูทางเขา<br />
Dx4 Dx6 Dx1<br />
ทางเดิน<br />
Dx2<br />
Dx3<br />
Dx12 Dx13 Dx14 หองน้ํา Dx5 Dx3<br />
ระเบียบการใชหองปฏิบัติการ<br />
1. การขอใชหองปฏิบัติการระบบสืบพันธุใหเปนไปตามระเบียบการขอใชหองปฏิบัติการคณะสัตว-<br />
แพทยศาสตร<br />
2. แตงกายใหสุภาพเรียบรอยทุกครั้งที่เขาปฏิบัติงานในหองปฏิบัติการ<br />
3. นักศึกษาตองทําความเขาใจกับวิธีการทดลองกอนเขาเรียนปฏิบัติการทุกครั้ง<br />
4. เขาหองปฏิบัติการใหตรงตอเวลา<br />
5. หามเคลื่อนยายหรือนํา อุปกรณ สารเคมีและครุภัณฑ ภายในหองปฏิบัติการไปโดยไมไดรับอนุญาต<br />
6. หามนําอาหารและเครื่องดื่มเขามารับประทานในหองปฏิบัติการ โดยเด็ดขาด<br />
7. ชวยกันรักษาความสะอาด ดูแลเครื่องมือ อุปกรณ และไมสงเสียงดังในหองปฏิบัติการ<br />
8. หากพบอุปกรณหรือครุภัณฑใดๆ ชํารุดใหแจงเจาหนาที่ประจําหองปฏิบัติการทันที<br />
9. เปลี่ยนรองเทาทุกครั้งกอนเขาใชหองปฏิบัติการ<br />
10. ในขณะปฏิบัติงานใหนักศึกษาตระหนักถึงความสําคัญของการทําการทดลองอยางจริงจัง<br />
11. การใชอุปกรณและเครื่องมือในหองปฏิบัติการตองแจงใหเจาหนาที่ทราบทุกครั้ง<br />
12. ทุกครั้งที่ปฏิบัติงานเสร็จสิ้นลงแลว นักศึกษาตองรับผิดชอบทําความสะอาดของอุปกรณ เครื่องมือ ที่ตนใช<br />
ปฏิบัติการ<br />
13. การปฏิบัติอื่นๆ ขึ้นอยูกับการควบคุมและสั่งการของอาจารยผูควบคุม<br />
14. ปฏิบัติตามขอปฏิบัติการใชหองปฏิบัติการสัตวน้ําอยางเครงครัด<br />
15. ทรัพยสินมีคาสวนตัวใหเก็บรักษาไวกับตัวนักศึกษา หากเกิดการเสียหายหรือสูญหายใดๆ ทาง<br />
หองปฏิบัติการไมรับผิดชอบกรณีใดทั้งสิ้น
178<br />
หองปฏิบัติการระบบสืบพันธุ<br />
Work Instruction<br />
1. เทคนิคการยอมสีเชื้ออสุจิ<br />
1. นําสีที่จะใชยอมมาอุนที่อุณหภูมิ 34 -35 องศาเซลเซียส<br />
2. เตรียมสไลดที่ลางและเช็ดใหสะอาดไว 2 แผน ตองลางใหสะอาดมิเชนนั้นสีที่ยอมจะไมติดหรือจะ<br />
ขาดหายเปนชวงๆ<br />
3. ใชดรอปเปอรดูดสวนผสมของสียอมที่อุนไวแลว หยดลงในหลอดทดลองประมาณ 5-6 หยด<br />
4. ใชดรอปเปอรอีกอันดูดน้ําเชื้อของพอสุกรที่ยังไมไดเจือจางหรือที่รีดมาใหมๆ ใสลงไปในหลอด<br />
ทดลองที่มีสียอมอยูแลว จํานวน 1 หยด แตถาน้ําเชื้อมีความเขมขนนอย หรือสีใสอาจจะใช 3-4 หยด<br />
จะทําใหมีตัวอสุจิมากขึ้น ควรระวังในการหยดน้ําเชื้อลงบนสียอมคือ จะตองใหอุณหภูมิของสี<br />
ยอมเทากับอุณหภูมิของน้ําเชื้อเสมอ<br />
5. เขยาสวนผสมใหเขากันดี อาจจะทิ้งไวประมาณ 1 นาที หรือนํามาใชยอมเลยก็ได<br />
6. ใชดรอปเปอรดูดสวนผสมของสีกับน้ําเชื้อจากหลอดทดลองหยดลงบนแผนสไลดที่เตรียมไว ที่ปลาย<br />
ขางหนึ่ง<br />
7. ใชปลายขางหนึ่งของสไลดอันที่ 2 ปดทับลงบนหยดของสวนผสมของสีและน้ําเชื้อที่อยูบนสไลดอัน<br />
แรก โดยใหทํามุมประมาณ 30-40 องศา แลวลากสไลดอันที่ 2 ไปบนสไลดอันที่ 1 จนไดฟลมสีที่<br />
บางๆ<br />
8. ทําใหฟลมสีบางๆ แหงเร็วที่สุดอาจแกวงใหสัมผัสกับอากาศ เมื่อยอมสีติดสไลดดีแลวก็ทํา<br />
เครื่องหมายไวที่ปลายสไลด โดยเขียนวัน เดือน ป ที่เก็บน้ําเชื้อ เบอรพอสุกรและพันธุลงไป<br />
9. นําไปสองดูดวยกลองจุลทรรศน ที่กําลังขยาย 1,000 เทา ถาหากไดฟลมที่หนาอาจจะเนื่องมาจากหยด<br />
สวนผสมน้ําเชื้อกับสียอมลงไปมากเกินไป จะทําใหการดูภาพลําบากควรจะทําใหม<br />
10. อุปกรณที่ใชในการยอมสี เมื่อใชเสร็จแลวใหรีบลางเลยทันที ถาทิ้งใหแหงจะลางออกลําบาก<br />
2. การเจือจางน้ําเชื้อเพื่อหาความเขมขนของตัวอสุจิโดยใช Red Cell pipette<br />
1. ตรวจสอบไปเปตเม็ดเลือดแดง ซึ่งควรจะสะอาดและแหง<br />
2. ตอทอยางและปากดูดเขากับไปเปตเม็ดเลือดแดง<br />
3. กวนน้ําเชื้อเขากันใหทั่ว<br />
4. สุมดูดน้ําเชื้อตอนกลางของภาชนะที่เขาไปในไปเปตเม็ดเลือดแดง ดูดน้ําเชื้อเขาไปถึงขีด 0.5<br />
5. จุมปลายไปเปตเม็ดเลือดแดงลงในน้ํายาจนถึงขีด 101 ซึ่งจะไดอัตราเจือจาง 1:200<br />
6. พับสายยางรัดหัวและทายไปเปตเม็ดเลือดแดงไวแลวเขยาประมาณ 1 นาที เพื่อใหสวนผสมน้ําเชื้อและ<br />
น้ํายาเจือจางเขากัน
179<br />
หองปฏิบัติการระบบสืบพันธุ<br />
3. การเจือจางน้ําเชื้อเพื่อหาความเขมขนของตัวอสุจิโดยใช Micropipette<br />
1. ใช Micropipette จํานวน 5 ไมโครลิตร ใสลงไปใน Eppendorf<br />
2. ใช Micropipette ดูดน้ํายาเจือจาง จํานวน 1,000 ไมโครลิตร ใสลงใน Eppendrof ในขอ 1 ซึ่งจะได<br />
อัตราสวนการเจือจาง 1:200<br />
3. ทําการปดฝา Eppendrof แลวเขยาใหน้ําเชื้อและน้ํายาเจือจางผสมเขากัน<br />
4. นําสวนผสมนี้ไปหยดลงในตารางสําหรับนับอสุจิ<br />
4. การเตรียมน้ําเชื้อที่จะนับจํานวนอสุจิ<br />
1. วาง cover chamber ปดทับบริเวณตารางสําหรับนับตัวอสุจิ (Counting chamber)<br />
2. เปาน้ําเชื้อที่เจือจางในไปเปตเม็ดเลือดแดงทิ้ง 4 - 5 หยด แลวใหใชปลาย ไปเปตเม็ดเลือดไปแตะที่ cover<br />
chamber เพื่อใหสวนผสมของน้ําเชื้อและน้ํายาเจือจางไหลเขาไปจนเต็มบริเวณตารางที่เราจะนับทั้ง 2 ดาน<br />
3. ถาใชการเจือจางน้ําเชื้อของตัวอสุจิโดยใช Micropipette ก็นําไปแตะที่ cover chamber เพื่อใหสวนผสม<br />
ของน้ําเชื้อและน้ํายาเจือจางไหลเขาไปจนเต็มบริเวณตารางที่เราจะนับทั้ง 2 ดาน เชนเดียวกับขอ 2<br />
4. ทิ้งไว 1 นาที นําไปตรวจดวยกลองจุลทรรศน<br />
5. วิธีนับตัวอสุจิโดยใชกลองจุลทรรศน<br />
1. ปรับที่กรองแสง (Diaphragm) ของกลองจุลทรรศนใหแสงเขานอยที่สุด<br />
2. เปดไฟที่กลองจุลทรรศน<br />
3.นํา Counting chamber ที่เตรียมไวแลวมาวางบนแทนวางสไลดของกลอง จุลทรรศน<br />
4. ปรับแสงสวางใหเขาไปในกลองจนเห็นไดพอดี<br />
5. ใชกําลังขยาย 10x, 20x และ 40x ตามลําดับ<br />
6. จะเห็นตารางทั้งหมด 25 ชอง ซึ่งสี่เหลี่ยมจัตุรัสใหญแตละชองจะมีเสนเล็กๆ 3 ขีดแบงเอาไวและภายใน<br />
สี่เหลี่ยมจัตุรัสใหญจะมีสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็ก 16 ชอง สุมนับสี่เหลี่ยมใหญทั้งหมด 5 ชอง อยาใหซ้ําตาราง<br />
เดิม นับจํานวน 4 ครั้งและหาคาเฉลี่ย<br />
7. การนับอสุจิใหปรับโฟกัสของกลองจุลทรรศนโดยใหเห็นเสนแบงชองสี่เหลี่ยมจัตุรัสใหญใหชัดที่สุด<br />
เริ่มสุมนับชวงแรก หามปรับโฟกัสอีกหลังจากนับชองแรก นับตัวอสุจิที่เห็นชัดเทานั้น นับทั้งตัวที่ปกติ<br />
และผิดปกติ อาจจะเริ่มตนจากสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กมุมซายดานบนแถวแรกกอน แลวไลมาทางขวา<br />
8.โดยจะนับตัวอสุจิที่อยูในชองสี่เหลี่ยมจัตุรัสใหญและตัวอสุจิที่สวนหัวทับอยูบนเสนกลางของเสนแบง<br />
เหลี่ยมจัตุรัสใหญทางดานลางกับดานซาย สวนดานบนและดานขวาจะไมนับรวม
180<br />
หองปฏิบัติการระบบสืบพันธุ<br />
6. วิธีคํานวณความเขมขนของตัวอสุจิ<br />
Neubauer Haemocytometer แบบ Bright line ประกอบดวยสี่เหลี่ยมจัตุรัสใหญ 25 ชอง ซึ่งมีพื้นที่เทากับ 1<br />
ตารางมิลลิเมตร แตละ 1 ชองสี่เหลี่ยมจัตุรัสใหญจะประกอบดวยสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็ก 16 ชอง ดังนั้นในแตละชอง<br />
สี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กจะมีพื้นที่เทากับ 1/400 ตารางมิลลิเมตร (1/16*1/25) เมื่อปด Cover chamber สูง 0.1 มิลลิเมตร<br />
ดังนั้นปริมาตรของแตละตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็ก 1 ชองจะมีคา เทากับ 1/400*0.1 = 1/4,000 ลูกบาศกมิลลิเมตร นับ<br />
ทั้ง 5 ชองสี่เหลี่ยมจัตุรัสใหญ หรือ 80 ชอง สี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็ก ดังนั้นปริมาตรที่นับทั้งหมด 1/4,000*80 เทากับ 1/50<br />
ลูกบาศกมิลลิเมตร<br />
1/50 ลูกบาศกมิลลิเมตร ตัวอสุจิที่นับได = N ตัว<br />
1 ลูกบาศกมิลลิเมตร จะมีอสุจิที่นับได = 50*N ตัว<br />
เจือจางน้ําเชื้อในอัตราสวน = 1:200<br />
จํานวนอสุจิตอ 1 ลูกบาศกมิลลิเมตร = N*50*200 ตัว<br />
ทําใหเปนมิลลิลิตร = N*50*200*1,000<br />
= 10,000,000 N ตัว/มิลลิลิตร<br />
ความเขมขนของตัวอสุจิในพอสุกรโดยทั่วไปจะมีคาประมาณ 200-300 ลานตัว/มิลลิลิตร<br />
7. วิธีเตรียมสียอม Eosin-Nigrosin<br />
สารเคมี<br />
1. สี Eosin<br />
2. สี Nigrosin<br />
3. โซเดียมซิเตรท<br />
วิธีการ<br />
1. ละลายสี Eosin 1 กรัม ในน้ํา 50 มิลลิลิตร<br />
2. ละลายสี Nigrosin 5 กรัม และโซเดียมซิเตรท 3 กรัม ในน้ําอุน 50 มิลลิลิตร พรอมกับคนใหสี Nigrosin<br />
ละลายจนหมด สี Nigrosin นี้ละลายยากในน้ําธรรมดา จึงตองละลายในน้ําอุนหรือน้ํารอน<br />
3. นําสวนผสมในขอ 1 และ 2 มาผสมรวมกัน แลวคนใหเขากัน<br />
4. นําสวนผสมที่ไดไปกรองดวยกระดาษกรองอยางนอย 1 ครั้ง เนื่องจากสวนผสมที่ไดยังมีตะกอนของเม็ด<br />
สี<br />
5. นําสียอมที่ผานการกรองแลวบรรจุขวดเก็บไวในตูเย็นเพื่อเก็บไวใชตอไป สามารถเก็บไวไดนาน<br />
มากกวา 1 ป
181<br />
หองปฏิบัติการระบบสืบพันธุ<br />
การใชงานครุภัณฑ<br />
1. การใชงานเครื่องวัดความเขมขนของน้ําเชื้อ (Spermacue)<br />
1. เปดสวิทซดานบนซายมือ อุนเครื่องเปนเวลา 10 – 15 นาที<br />
2. กรณีที่ใชไฟฟากระแสสลับ ตอหมอแปลงเขากับเครื่อง แลวเสียบปลั๊กไฟฟา จากนั้นจึงเปดสวิทซ<br />
3. ดึงแทนวาง Microcuvette สีดํา ออกจากตัวเครื่องทางดานขวาชาๆ จนลงล็อค<br />
4. บนหนาจอจะปรากฏ “READY” แสดงสถานะของเครื่องที่พรอมใชงาน<br />
5. จับ Microcuvette แตะลงไปในน้ําเชื้อที่ตองการวัดความเขมขนในทิศทางตั้งฉากกับผิวน้ําเชื้อ เพื่อให<br />
น้ําเชื้อถูกดึงดูดขาไปในชองของ Microcuvette จนเต็ม หรือหลีกเลี่ยงการจุมลงไปในน้ําเชื้อโดยตรง ใช Pipette ดูด<br />
น้ําเชื้อแลวหยดลงในชอง Microcuvette หากมีน้ําเชื้อบางสวนติดดานนอกของ Microcuvette ควรใชกระดาษซับเช็ด<br />
ออกใหหมด เพื่อผลลัพธที่ถูกตอง<br />
6. นํา Microcuvette ที่บรรจุน้ําเชื้อวางบนแทนวัดแลวดันเขาหาตัวเครื่องเบาๆ จนเขาล็อค เครื่องจะทํางาน<br />
โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะปรากฏ “MEASURING” บนหนาจอ ผลลัพธจะระบุเปนตัวเลขบนจอมีหนวยเปน 106 (ลานตัว)<br />
ตอซีซี ถาปรากฏ “HHH” บนจอแสดงวาน้ําเชื้อมีความเขมขนสูงเกินกวาที่เครื่องจะวัดได (มากกวา 1,500 x 106 ตัว<br />
ตอ ซีซี) ซึ่งตองเจือจางดวยสารละลายน้ําเชื้อกอนในอัตราสวน 1:2 แลวนํามาวัดอีกครั้ง ผลลัพธที่ไดตองคูณตาม<br />
อัตราสวนการเจือจางกอน จึงเปนผลลัพธที่แทจริง<br />
7. หลังการวัดใหดึงแทนวาง Microcuvette ออกมาทางขวา เครื่องจะเซ็ตตัวเองไปที่คาศูนยในเวลาไมเกิน 6<br />
วินาที ซึ่งจะปรากฏ “READY” ที่หนาจออีกครั้งและพรอมสําหรับการวัดครั้งตอไป<br />
การตรวจสอบเครื่องโดยใชตัวควบคุมมาตรฐาน (CONTROL CUVETTE)<br />
ชวงการใชงานภายใน 1 สัปดาหควรตรวจสอบคามาตรฐานของเครื่อง 1 ครั้งโดยใช Control cuvette สีแดง<br />
ซึ่งใหมาพรอมเครื่องทุกเครื่อง วิธีการใชเหมือน Microcuvette ทุกประการยกเวนไมตองบรรจุน้ําเชื้อ กอนการใช<br />
Control cuvette ใหทําความสะอาดพื้นผิวสวนที่เปนกระจกของ Control cuvette ใหสะอาด ผลลัพธที่ไดควรอยู<br />
ระหวางคาที่กําหนด 583 ±5 ถาปรากฏคานอกเหนือจากนี้ใหงดใชเครื่องแจงใหเจาหนาที่ดูแลเครื่องทราบเพื่อติดตอ<br />
บริษัทผูแทนจําหนาย
182<br />
หองปฏิบัติการระบบสืบพันธุ<br />
รหัส สาเหตุ วิธีแกไข<br />
900 สถานะเครื่องไมแนนอน, cuvette ผิดปกติ เปลี่ยน cuvette ตัวใหม, ใชตัวอยางใหม<br />
902 ความเขมแสงต่ําเกินไป ทําความสะอาดแหลงกําเนิดแสง, ติดตอบริษัทผูแทน<br />
จําหนาย<br />
903 กระแสไฟฟาไมสม่ําเสมอ ใชแบตเตอรี่แทนไฟฟาจากหมอแปลง<br />
905 ความเขมแสงสูงเกินไป ติดตอบริษัทผูแทนจําหนาย<br />
906 คาศูนยเริ่มตนไมแนนอน เครื่องอาจเย็นเกินไปใหปดเครื่องปลอยใหอุณหภูมิ<br />
ลดลงเทากับอุณหภูมิหองแลวเปดอีกครั้ง หรือติดตอ<br />
บริษัทผูแทนจําหนาย<br />
907 แบตเตอรี่ออน ปดเครื่องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม<br />
HHH ความเขมขนน้ําเชื้อสูงกวา 1,500 x 106 ใหเจือจางน้ําเชื้อกอนการวัด<br />
2. การใชงานอางน้ําควบคุมอุณหภูมิ (Water bath รุน WB-22 ยี่หอ MEMMERT)<br />
1. ดูระดับน้ําทุกครั้งกอนเริ่มใชงาน<br />
2. เติมน้ําในอางใหถึงระดับที่กําหนดไว ซึ่งสังเกตไดที่ผนังอางดานใน โดยตองใชน้ํากลั่น หรือน้ํากรอง<br />
เพื่อปองกันการเกิดตะกรัน<br />
3. เสียบปลั๊ก เปดสวิทซ (ON)<br />
4. ตั้งคาอุณหภูมิที่ตองการใช โดยกดปุม set คางไวแลวหมุนปุมปรับอุณหภูมิตามที่ตองการ<br />
5. การตั้งคาตางๆ ในโปรแกรมที่ตองการ โดยกดปุม set คางไวแลวหมุนปุมเปลี่ยนตําแหนงและปรับตาม<br />
คาที่ตองการโดย<br />
Step 1 = การตั้ง h Delay (หนวงเวลา)<br />
2 = การตั้ง h Hold (การตั้งเวลา)<br />
3 = การตั้ง LP. (ทําซ้ํา)<br />
LP.0 ไมทําซ้ํา<br />
LP.1 ทําซ้ํา<br />
4 = การตั้ง SP. (เวลาจะทํางานเมื่อถึงอุณหภูมิที่ SET)<br />
SP.0 เวลาเริ่มนับ หลังจากตั้งเวลาแลว โดยไมคํานึงถึงอุณหภูมิ<br />
SP.1 เวลาเริ่มนับ หลังจากที่อุณหภูมิถึงจุดที่ SET<br />
6. รอจนคาอุณหภูมิถึงจุดที่กําหนดแลวนําของที่ตองการอุนมาอุนในอางน้ําควบคุมอุณหภูมิ<br />
7. ถาอุณหภูมิไมถึงจุดที่กําหนดและมีไฟ Alarm เกิดขึ้น ตองรอใหน้ําเย็นกอนแลวเติมน้ําใหไดระดับ แลว<br />
กดปุม Reset ดานหลังเครื่องใหดัง คลิ๊ก ไฟ Alarm จะหายไป<br />
8. เมื่อเสร็จสิ้นการใชงานให ปดสวิทซ (OFF) กรณีที่ไมใชงานเครื่องเปนเวลานาน ปลอยน้ําทิ้งใหหมด<br />
วาลวอยูทางดานขางของเครื่อง เช็ดใหแหงและปดฝาเครื่อง<br />
9. หากเครื่องมีปญหากรุณาเรียกเจาหนาที่ที่ดูแลเครื่องมือ เพื่อแกไขปญหาในขั้นตน บันทึกการใชงาน<br />
เครื่องทุกครั้ง
183<br />
หองปฏิบัติการระบบสืบพันธุ<br />
3. การใชงานกลองปรับอากาศสําหรับเก็บน้ําเชื้อ<br />
รายละเอียดผลิตภัณฑ<br />
ความจุ 40 ลิตร<br />
ขนาด/ปริมาตรภายใน<br />
44(38) x 30 x 32.5 cm (สูง x กวาง x ยาว)<br />
ขนาด/ปริมาตรภายนอก<br />
54 x 39 x 42 (สูง x กวาง x ยาว)<br />
กระแสไฟ<br />
12 โวลต กระแสตรง<br />
กระแสไฟ<br />
5 แอมแปร<br />
อุณหภูมิสูงสุด<br />
40 องศาเซลเซียส<br />
อุณหภูมิต่ําสุด 10 องศาเซลเซียส<br />
วิธีการใชงาน<br />
1. ติดตั้งอุปกรณใหเรียบรอยและถูกตองดังภาพ<br />
กลองปรับอากาศสําหรับเก็บน้ําเชื้อ<br />
เครื่องแปลงกระแสไฟฟา<br />
ไฟฟา 230 โวลต<br />
(ไฟฟากระแสสลับ)<br />
2. เปดสวิทซ ที่เครื่องแปลงกระแสไฟฟา<br />
3. เช็คอุณหภูมิที่ตองการ โดยดูวาอยูในชวงต่ําสุดและสูงสุดที่เครื่องบันทึกไว (ตั้งไวที่ 17– 18 องศาเซลเซียส) หาก<br />
ตองการปรับอุณหภูมิใหทําการปรับตามหัวขอ การปรับอุณหภูมิเครื่อง<br />
4. พัดลมจะทํางาน แสดงวาระบบถายเทอากาศทํางาน อุณหภูมิของกลองจะปรับไปยังอุณหภูมิที่ไดตั้งไว<br />
5. เมื่อเสร็จสิ้นการทํางาน ปดสวิทซ และทําความสะอาดกลองใหเรียบรอย<br />
6. หากไมมีการใชงานควรเปดฝากลองไว<br />
ขอควรระวัง<br />
- กลองนี้ใชกับไฟฟากําลังขยาย 12 โวลต ถาใชกับไฟฟา 230 โวลต ใหตออุปกรณเขากับเครื่องแปลงกระแสไฟฟา<br />
กอน<br />
- กลองนี้ไมไดมีไวเพื่อเปนอางน้ําอุน<br />
- ควรหลีกเลี่ยงการวางกลองใหสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง<br />
- ไมควรวางกลองในบริเวณที่การถายเทอากาศไมดี<br />
การปรับอุณหภูมิเครื่อง<br />
การปรับอุณหภูมิเครื่องครั้งแรกตองปรับอุณหภูมิต่ําสุดและสูงสุดของเครื่อง อุณหภูมิภายในจะไมต่ํากวา<br />
และสูงกวา อุณหภูมิที่ตั้งไวนี้ การตั้งคาทําไดโดย<br />
1. กดปุม MIN คางไว และ กดปุม Set เพื่อเพื่อทําการตั้งคาอุณหภูมิต่ําสุดตามที่ตองการ
184<br />
หองปฏิบัติการระบบสืบพันธุ<br />
2. กดปุม MAX คางไว และ กดปุม Set เพื่อเพื่อทําการตั้งคาอุณหภูมิสูงสุดตามที่ตองการ<br />
3. จะเห็นตัวอักษร HI และ LO ปรากฏอยูที่มุมดายซาย ซึ่งแสดงใหทราบถึงอุณหภูมิที่ถูกตอง<br />
4. การตั้งคาอุณหภูมิสูงสุดและต่ําสุด ไมสามารถกําหนดเปนตัวเลขเดียวกันได<br />
ตัวอยางเชน<br />
ตองการใหอุณหภูมิภายในอยูในชวงอุณหภูมิ 16 ถึง17 องศาเซลเซียส<br />
ตั้งคาอุณหภูมิสูงสุด 17 องศาเซลเซียส<br />
ตั้งคาอุณหภูมิต่ําสุด 16 องศาเซลเซียส<br />
การตรวจสอบ<br />
กดปุม MIN เครื่องจะแสดงอุณหภูมิต่ําสุดที่หนาจอ<br />
กดปุม MAX เครื่องจะแสดงอุณหภูมิสูงสุดที่หนาจอ<br />
ภายในเวลา 10 – 30 วินาทีที่เปลี่ยนการตั้งคา กลองจะทําการปรับอุณหภูมิเปนอุณหภูมิใหมที่ตั้ง<br />
ปญหาที่อาจเกิดขึ้นพรอมวิธีการแกไขเบื้องตน<br />
ปญหา สาเหตุที่เปนไปได การแกไขเบื้องตน<br />
- เครื่องไมทํางาน อุณหภูมิ<br />
แสดงแตอากาศไมหมุนเวียน<br />
- ความสกปรกของปลั๊ก เมื่อใชภายในรถ<br />
- ความผิดปกติของระบบไฟ<br />
- Fuse on relay board<br />
- ไมไดทําการตั้งคาเครื่อง<br />
- ไฟไมเขาเครื่อง<br />
- ทําความสะอาด<br />
- ปรึกษาชาง<br />
- เปลี่ยนฟวส<br />
- ตั้งคาเครื่อง<br />
- เช็คปลั๊กและสายไฟ เปลี่ยน<br />
ถาจําเปน<br />
- ไมรอนหรือไมเย็นแตระบบ<br />
หมุนเวียนอากาศปกติ<br />
- ความผิดปกติของ Peltier element - ปรึกษาชาง<br />
- ตรวจสอบระบบเชื่อมตอ ถา<br />
จําเปนซอมเปลี่ยนสายเคเบิ้ล<br />
- หนาจอไมแสดงการตั้งคา - แบตเตอรี่หมด หรือ DTC 17 ผิดปกติ - เปลี่ยนแบตเตอรี่<br />
- หนาจอแสดงคาเปน ....C - T –เซนเซอรเสียหาย<br />
- การเชื่อมตอของปลั๊ก DTC 17 กับ<br />
ตัวเซนเซอรมีปญหา<br />
- ปรึกษาชาง<br />
- ตรวจสอบระบบเชื่อมตอถา<br />
จําเปนซอมเปลี่ยนสายเคเบิ้ล<br />
- ระบบถายเทอากาศไมทํางาน - พัดลมมีปญหา - ตรวจสอบวามีการอุดตันหรือไม<br />
- กลองปรับอากาศไมทําความ<br />
รอน<br />
- ตั้งคา LO ผิด - ตั้งคาใหม
185<br />
หองปฏิบัติการระบบสืบพันธุ<br />
4. การใชงานเครื่องวัดความเปนกรด-ดาง (pH meter)<br />
1. การเปดเครื่อง<br />
2. การ Calibration<br />
กดปุม ON/OFF เครื่องจะปรับเปน Mode การวัด pH โดย ควรอุนเครื่องกอนการใชงานประมาณ 15 นาที<br />
เมื่อเปดเครื่องทํางานใหม จะตองทําการคาลิเบรทคา pH กับ standard buffer กอนใชวัดคา pH ของตัวอยางทุก<br />
ครั้ง โดยทําการคาลิเบรทคา standard pH 3 จุด (4.01, 7.00 และ 10.01) โดยทําตามขั้นตอนดังนี้<br />
2.1 เปดเครื่อง ถาเครื่องไมไดอยูใน Mode การวัด pH โดยการกดปุม “EXIT” และกดปุม “>/CAL” เพื่อ<br />
เลือก pH หรือ Temp. ตัวที่ถูกเลือกจะกระพริบ ดังที่แสดงในภาพที่ 1 และกด “ENTER” เพื่อยืนยัน แลวเครื่องจะอยู<br />
ใน Mode การวัด pH ดังแสดงในภาพที่ 2<br />
ภาพที่ 1<br />
ภาพที่ 2<br />
2.2 กลั้ว electrode ดวยน้ํา de-ionized หรือ rinse solution ถาใชฟงกชัน ATC ใหกลั้ว probe ATC ใน<br />
ลักษณะเดียวกัน หามถู electrode และ probe เนื่องจากจะทําใหเกิดไฟฟาสถิต และทําใหการคาลิเบรทและการวัดไม<br />
เสถียรดวย<br />
2.3 เลือกน้ํายาบัฟเฟอร pH และเทใสภาชนะที่สะอาด<br />
2.4 จุม electrode และ probe ในบัฟเฟอรที่เตรียมไวโดยใหอยูในสารละลาย แกวงเบาๆ เพื่อใหสารละลาย<br />
เปนเนื้อเดียวกัน<br />
2.5 กดปุม “>/CAL” เพื่อเขาสู Mode การคาลิเบรท “Cal Mode Activated, Please wait …” จะกระพริบบน<br />
หนาจอ ดังแสดงในภาพที ่ 3 ซึ่งเครื่องจะอยูใน Mode การคาลิเบรท pH<br />
ภาพที่ 3<br />
2.6 เมื่อเขาสู standard pH buffer calibration mode จุดสําหรับการคาลิเบรทจุดแรกคือ 7.00 แถวบนจะ<br />
ปรากฏคาที่อานไดขณะนั้น และบรรทัดลางจะปรากฏ “Auto Buf Scan : 7.00” คา pH จะหยุดกระพริบเมื่อคาคงที่<br />
ดังแสดงในภาพที่ 4 ถาคาบัฟเฟอรที่เลือกไวไมอยูในชวง ± 1 ของคา pH ที่วัดได “Auto pH Scan” จะเปลี่ยนไป<br />
เรื่อยๆ จนกวาคา pH ที่วัดไดจะอยูในชวง ± 1
186<br />
หองปฏิบัติการระบบสืบพันธุ<br />
ภาพที่ 4<br />
2.7 เมื่อคา pH ที่อานไดคงที่แลว กดปุม “ENTER” จะมีประโยค “pH offset Cal Done” กระพริบที่บรรทัด<br />
ลาง ดังแสดงในภาพที่ 5<br />
ภาพที่ 5<br />
2.8 กลั้ว electrode และ probe ดวยน้ํา de-ionized หรือ rinse solution และจุมลงในน้ํายาบัฟเฟอรคาตอไป<br />
แถวลางจะปรากฏคาน้ํายาบัฟเฟอรนั้นโดยอัตโนมัติ<br />
2.9 รอใหคา pH ที่วัดไดคงที่ โดยคา pH ที่แถวบนจะหยุดกระพริบเมื่อคาที่วัดไดคงที่<br />
2.10 เมื่อคาที่อานไดคงที่แลว กดปุม “ENTER” ที่แถวลางจะมีขอความ “2 Point Cal Done” ดังแสดงใน<br />
ภาพที่ 6 ทําตามขอ 8-10 เพื่อทําการคาลิเบรทแตละจุด เมื่อคาลิเบรทเสร็จแลว กดปุม “EXIT” ขอความ “Sys.<br />
Updating… Please wait…” จะกระพริบบนหนาจอ แลวเครื่องจะกลับสู Mode การวัด pH<br />
3. การวัดคา pH ของตัวอยาง<br />
ภาพที่ 6<br />
3.1 ลาง electrode ดวยน้ํา de-ionized หรือ น้ํากลั่น โดยฉีดลางบริเวณที่จะตองสัมผัสกับสารละลายตัวอยาง<br />
ใหสะอาดมากที่สุด เพื่อจะเอาสิ่งปนเปอนตางๆ ออกไป ถา electrode แหงใหทําการแชใน electrode solution หรือ<br />
สารละลาย 2M – 4M KCl แลวใชกระดาษทิชชูซับใหแหง หามเช็ดตัว electrode โดยตรง<br />
3.2 กดปุม “ON” บรรทัดบนจะปรากฏคา pH ที่อานไดและอุณหภูมิขณะนั้น และมีสัญลักษณชี้วาใชการ<br />
ชดเชยอุณหภูมิอัตโนมัติหรือแบบ manual ที่บรรทัดลางจะปรากฏ วัน เดือน ป และเวลา ดังแสดงในภาพที่ 7<br />
ภาพที่ 7<br />
3.3 จุม electrode และ probe ชดเชยอุณหภูมิ ลงในสารละลายตัวอยาง ใหสารละลายทวมตัว electrode และ<br />
probe กวนสารละลายเบาๆ เพื่อใหความเขมขนของสารละลายตัวอยางเปนเนื้อเดียวกัน<br />
3.4 รอจนกระทั่งเครื่องอานคา pH ไดคงที่ สังเกตไดจากสัญลักษณ “pH” จะหยุดกระพริบ<br />
3.5 เมื่อเสร็จสิ้นการวัดคา pH ของตัวอยางแตละครั้ง ควรลาง electrode และ probe ชดเชยอุณหภูมิ ดวยน้ํา<br />
กลั่น แลวแช electrode ลงในขวดสําหรับสวมปลาย electrode หาม ปลอยใหสัมผัสอากาศจนแหงโดยเด็ดขาด
ภาคผนวก 210 แบบฟอรมการขอใชหองปฏิบัติการ/<br />
ครุภัณฑ/วัสดุอุปกรณ
ภาคผนวก ขั้นตอนการขอใชหองปฏิบัติการ/<br />
ครุภัณฑ/วัสดุอุปกรณ<br />
ขั้นตอนการขอใชหองปฏิบัติการ/ครุภัณฑ/วัสดุอุปกรณ<br />
คณะสัตวแพทยศาสตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม<br />
1. ตรวจสอบตารางการใชหองปฏิบัติการจากนักวิทยาศาสตรประจําหองปฏิบัติการ<br />
2. เขียนคําขอใชหองปฏิบัติการลวงหนาอยางนอย 1 สัปดาห เพื่อลงตารางการใชหองปฏิบัติการ โดยจะใหสิทธิ์แกผูที่ยื่นใบขอ<br />
ใชหองกอน – หลังตามลําดับ สามารถขอรับแบบฟอรมการขอใชหองปฏิบัติการไดที่หองปฏิบัติการนั้นๆ หรือที่ธุรการ<br />
สาขาวิชาที่หองปฏิบัติการนั้นสังกัด<br />
3. กรอกรายละเอียดตามที่กําหนดไวในแบบฟอรม แจงรายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ สารเคมี ครุภัณฑ ที่ตองการใช เพื่อให<br />
นักวิทยาศาสตรประจําหองปฏิบัติการไดจัดเตรียมไวให แลวยื่นเอกสารไดที่นักวิทยาศาสตรประจําหองปฏิบัติการ นั้นๆ<br />
4. นักวิทยาศาสตรประจําหองปฏิบัติการนั้นๆ พิจารณาอนุมัติ และแจงผลกลับไปยังผูขอใชหองปฏิบัติการ ภายใน 3 วัน<br />
5. ลงชื่อในบันทึกการใชหองปฏิบัติการทุกครั้ง<br />
6. ทําความสะอาดอุปกรณตางๆ ใหเรียบรอยหลังการใชงาน แลวสงคืนตามกําหนด<br />
7. ปฏิบัติตามขอปฏิบัติการใชหองปฏิบัติการอยางเครงครัด<br />
8. ขั้นตอนการขอใชหองปฏิบัติการ/ครุภัณฑ/วัสดุอุปกรณจะถือวาเสร็จสิ้นสมบูรณเมื่อไดรับการพิจารณาจากนักวิทยาศาสตร<br />
ประจําหองปฏิบัติการนั้น<br />
9. ในกรณีที่นักศึกษาตองการใชหองปฏิบัติการเพื่องานวิจัย ใหอาจารยที่ปรึกษางานวิจัยเปนผูดําเนินการขอใชหองปฏิบัติการ<br />
10. ในกรณีที่นักศึกษาตองการใชหองปฏิบัติการเพื่อกิจกรรมตางๆ ใหติดตองานกิจการนักศึกษาเพื่อชวยประสานงานในการ<br />
ดําเนินการขอใชหองปฏิบัติการ โดยผูขอใชตองเปนอาจารยที่ปรึกษาโครงการ<br />
11. กรณีเกิดความชํารุดเสียหายตอทรัพยสินของทางราชการ ผูขอใชตองเปนผูรับผิดชอบในเบื้องตน ตามระเบียบหรือไดตกลง<br />
ไวในแบบฟอรมการขอใชหองปฏิบัติการ และในกรณีที่อาจารยเปนผูขอใชใหกับนักศึกษา ใหถือวานักศึกษามีสวนในการ<br />
รับผิดชอบดวย<br />
12. ในกรณีที่นักวิทยาศาสตรไมสามารถพิจารณาไดเอง หรือเห็นสมควรจะตองมีการพิจารณาเพิ่มเติม ใหนําเรื่องเสนอหัวหนา<br />
สาขาเปนผูพิจารณา<br />
13. กรณีที่ครุภัณฑมีลักษณะการใชงานภายนอกหองปฏิบัติการและใชงานติดตอกันหลายๆ ครั้ง ใหทําเรื่องเคลื่อนยายในครั้ง<br />
แรก พรอมแนบตารางการใชงาน<br />
หมายเหตุ :<br />
1. กรณียืม ครุภัณฑออกนอกหองปฏิบัติการ ใหใชแบบฟอรม ใบเคลื่อนยาย/ใบยืมครุภัณฑ ของคณะสัตวแพทยศาสตร<br />
มหาวิทยาลัยเชียงใหม<br />
2. กรณียืม วัสดุอุปกรณ ออกนอกหองปฏิบัติการ ใหใชแบบฟอรมการขอใชหองปฏิบัติการ/ครุภัณฑ/วัสดุอุปกรณ คณะสัตว-<br />
แพทยศาสตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม<br />
3. การขอใชหองปฏิบัติการใดๆ สําหรับการวิจัยทั้งปซึ่งอาจตรงกับการเรียนการสอนใหนักวิทยาศาสตรประสานงานกับหัวหนา<br />
สาขาวิชาโดยตรง<br />
บันทึกรายละเอียดเพิ่มเติม (ถามี) :<br />
.....................................................................................................................................................................................<br />
.....................................................................................................................................................................................<br />
.....................................................................................................................................................................................<br />
.....................................................................................................................................................................................<br />
.....................................................................................................................................................................................<br />
.....................................................................................................................................................................................
ภาคผนวก ขั้นตอนการปฏิบัติงานหองปฏิบัติการ
ภาคผนวก ขั้นตอนการปฏิบัติงานหองปฏิบัติการ
ภาคผนวก ขั้นตอนการปฏิบัติงานหองปฏิบัติการ
ภาคผนวก ขั้นตอนการปฏิบัติงานหองปฏิบัติการ
ภาคผนวก ขั้นตอนการปฏิบัติงานหองปฏิบัติการ
ภาคผนวก ขั้นตอนการปฏิบัติงานหองปฏิบัติการ
ภาคผนวก ขั้นตอนการปฏิบัติงานหองปฏิบัติการ
ภาคผนวก ขั้นตอนการปฏิบัติงานหองปฏิบัติการ
ภาคผนวก ขั้นตอนการปฏิบัติงานหองปฏิบัติการ
ภาคผนวก ขั้นตอนการปฏิบัติงานหองปฏิบัติการ
ภาคผนวก ขั้นตอนการปฏิบัติงานหองปฏิบัติการ
ภาคผนวก ขั้นตอนการปฏิบัติงานหองปฏิบัติการ