Thermocouple Inhomogeneity Introduction - สà¸à¸²à¸à¸±à¸à¸¡à¸²à¸à¸£à¸§à¸´à¸à¸¢à¸²à¹à¸«à¹à¸à¸à¸²à¸à¸´
Thermocouple Inhomogeneity Introduction - สà¸à¸²à¸à¸±à¸à¸¡à¸²à¸à¸£à¸§à¸´à¸à¸¢à¸²à¹à¸«à¹à¸à¸à¸²à¸à¸´
Thermocouple Inhomogeneity Introduction - สà¸à¸²à¸à¸±à¸à¸¡à¸²à¸à¸£à¸§à¸´à¸à¸¢à¸²à¹à¸«à¹à¸à¸à¸²à¸à¸´
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
<strong>Introduction</strong><br />
เอกสารทางมาตรวิทยาเรื่อง<br />
<strong>Thermocouple</strong> <strong>Inhomogeneity</strong><br />
โดย ฝายมาตรวิทยาอุณหภูมิ<br />
สําหรับวงการมาตรวิทยาอุณหภูมิในสาขาเทอรโมคับเปลของประเทศไทย <strong>Thermocouple</strong> <strong>Inhomogeneity</strong> นับวาเปนเรื่องที่<br />
ใหมและยังสรางความสับสนอยูมาก ที่จริงแลวในพฤติกรรมนี้เปนสมบัติพื้นฐานของเทอรโมคับเปลที่สําคัญ และยอมรับวามีอยูจริงมา<br />
นานในมาตรวิทยาระดับสากล เพื่อสรางความเขาใจใหตรงกันถึงลักษณะพฤติกรรม <strong>Thermocouple</strong> <strong>Inhomogeneity</strong> ในแนวทางการใช<br />
งานและการสอบเทียบเทอรโมคับเปล ฝายมาตรวิทยาอุณหภูมิ สถาบันมาตรวิทยาแหงชาติ จึงไดจัดทําเอกสารฉบับนี้ขึ้น<br />
เปนที่ทราบกันดีวา เทอรโมคับเปล เปนเครื่องมือวัดอุณหภูมิที่ให out put เปนแรงเคลื่อนไฟฟา (electro motive force, emf)<br />
เทอรโมคับเปลแตละชนิดประกอบดวย วัสดุตัวนําความรอน(thermo element) 2 ชนิดนําปลายมาเชื่อมตอกัน เรียกบริเวณเชื่อมตอที่ใชวัด<br />
อุณหภูมิวา รอยตอวัดหรือรอยตอรอน(Measuring/Hot junction) ปลายสายอีกดานหนึ่งของเทอรโมคับเปลจะเรียกวารอยตออางอิงหรือ<br />
รอยตอเย็น (Reference/Cold junction) ปกติแลวปลายสายรอยตอเย็นจะถูกแชไวที่อุณหภูมิอางอิง วิธีที่งายที่สุดและยอมรับวาถูกตองดี<br />
คือ การจุมรอยตอเย็น ณ อุณหภูมิคงที่ 0 o C ของน้ําแข็งขณะกําลังละลาย (Ice Point) กอนตอเขาสูเครื่องมือวัด สามารถใชอุปกรณทํา<br />
อุณหภูมิอางอิงทั้งแบบอิเล็กทรอนิกสและวงจรชดเชยทางไฟฟามาทําเปนรอยตอเย็น สะดวกตอการใชงานและการประยุกต จึงเปนที่นิยม<br />
ในปจจุบัน<br />
V<br />
<strong>Thermocouple</strong><br />
Voltage, emf<br />
Metal A, S A<br />
Metal B, S B<br />
Reference junction/<br />
Cold junction<br />
Measuring junction/<br />
Hot junction<br />
รูปที่ 1 วงจรเทอรโมคับเปลพื้นฐาน<br />
1
1. <strong>Thermocouple</strong> Output<br />
1<br />
2<br />
3<br />
กลไกที่ใชอธิบายการเกิด out put ของเทอรโมคับเปล นั้น เรียกวา<br />
Seebeck effect กลไกนี้สามารถเขาใจไดงายโดยเปรียบเทียบกับ<br />
ลักษณะการไหลของน้ําในทอจากที่สูงลงที่ต่ํา ซึ่งการเปลี่ยนแปลง<br />
ความดันของเหลวในบริเวณทอแนวระนาบ (1,3) จะมีคานอยกวาใน<br />
บริเวณทอที่มีความสูงแตกตางกัน(2)<br />
รูปที่ 2 Analogy of the Seebeck effect.<br />
ทํานองเดียวกันกับอิเล็กตรอนอิสระที่เกิดขึ้นเมื่อเทอรโมคับเปลรอยตอวัดและรอยตออางอิงอยูในอุณหภูมิแตกตางกัน อิเล็กตรอนใน<br />
เทอรโมคับเปลเมื่อไดรับความรอนจะถูกกระตุนใหเคลื่อนที่ไปสูบริเวณที่เย็นกวา ซึ่งอิเล็กตรอนนี้จะเคลื่อนที่มากสุด ใหแรงเคลื่อนไฟฟา<br />
สูงสุด ในบริเวณอุณหภูมิที่มีความแตกตาง(Temperature gradient) มาก แสดงไดดังสมการ<br />
dT<br />
E = S<br />
(1)<br />
dx<br />
E คือ out put แรงเคลื่อนไฟฟาของเทอรโมคับเปล<br />
dT dT คือ เกิดอุณหภูมิที่แตกตาง (temperature gradient, ) คิดในแตละบริเวณของสาย/probe ยาว dx<br />
dx<br />
dx<br />
S คือ คา Seebeck coefficient ของวัสดุ ที่มาใชทําเปนเทอรโมคับเปล มักมีหนวยเปน μ V<br />
ดังนั้น อาจกลาวไดวา คา Seebeck coefficient คือ อัตราการเปลี่ยนแปลงแรงเคลื่อนไฟฟาตอหนึ่งหนวยอุณหภูมิ หรือ แรงเคลื่อนไฟ<br />
ฟาที่เปลี่ยนแปลงของวัสดุ เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส นั่นเอง คา Seebeck coefficient มีคาแตกตางกันขึ้นกับชนิดของเทอร<br />
โมคับเปลและชวงอุณหภูมิที่ใชงาน เปนตัวแปรสําคัญในการกําหนดคุณลักษณะรวมถึงคุณภาพของเทอรโมคับเปล และเมื่อเกิดการ drift<br />
สงผลอยางมากกับการเกิด <strong>Inhomogeneity</strong><br />
K<br />
2
Furnace<br />
รูปที่ 3 แสดงการกระจายของ อุณหภูมิ(T)ของเตาสอบเทียบที่เทอรโมคับเปลไดรับ และลักษณะของ emf (E) โดยเสนประแสดง<br />
บริเวณที่มีอุณหภูมิที่แตกตาง (temperature gradient) ซึ่งมีคามากที่สุด(บริเวณปากเตา) และไดวา เทอรโมคับเปล ใหคา E มาก<br />
สุดในบริเวณนี้ สวนบริเวณที่มีอุณหภูมิตางกันนอย คือ เทอรโมคับเปลที่วางอยูภายในและภายนอกเตา คา E ที่ไดจะนอย<br />
2. <strong>Thermocouple</strong> sensor<br />
เซนเซอรรับอุณหภูมิของเทอรโมคับเปล แตกตางจากอุปกรณวัดอุณหภูมิประเภทเทอรโมมิเตอรความตานทานซึ่งจะมีขนาด<br />
เซนเซอรจํากัด(ประมาณ 5 cm.) แตขนาดเซนเซอรของเทอรโมคับเปลคือตลอดความยาวของเทอรโมคับเปล ตั้งแตรอยตอวัด ถึงรอยตอ<br />
วัดถึงรอยตออางอิง ดังนั้นลักษณะการวัดอุณหภูมิเปนแบบ average temperature ไมใช point temperature แบบ เทอรโมมิเตอรความตาน<br />
ทาน<br />
<strong>Thermocouple</strong> Temperature Sensor<br />
PRT Temperature sensor<br />
รูปที่ 4 แสดงบริเวณเซนเซอรของ PRT และ เทอรโมคับเปล<br />
3. Drift of Seebeck Coefficient<br />
นอกจากคาแรงเคลื่อนไฟฟาของเทอรโมคับเปลที่เกิดจะขึ้นกับอุณหภูมิแลว เมื่อคา Seebeck coefficient ที่เปลี่ยนแปลงไป<br />
จะสงผลกระทบกับ Out put ของเทอรโมคับเปลที่เปลี่ยนแปลงไปดวย<br />
3
คา Seebeck coefficient หรือที่กลาวมาแลววาเปนอัตราการเปลี่ยนแปลงแรงเคลื่อนไฟฟาตอหนึ่งหนวยอุณหภูมิ เปนสมบัติ<br />
ภายในของเนื้อสายเทอรโมคับเปลแตละชนิด คา Seebeck coefficient ใชบอกความสมบูรณเปนเนื้อเดียวกัน (homogeneous) ในแตละ<br />
สวนของเนื้อความยาวตลอดระยะของเสนวัสดุที่นํามาใชทําเปนเทอรโมคับเปล เมื่อ Seebeck coefficient เลื่อนคา(Drift)ไปจากเดิมทํา<br />
ใหเกิด <strong>Inhomogeneity</strong> ในสายเทอรโมคับเปลได การเลื่อนคาเกิดขึ้น เมื่อมีการรบกวนสมบัติทางเคมีหรือทางกายภาพ ดังตอไปนี้<br />
1. การรวบกวนโดยความรอนเมื่อใชงาน : สายเทอรโมคับเปล บริเวณที่ไดรับความรอน แมใชงานวัดอุณหภูมิเพียงเพียงครั้ง<br />
แรก โมเลกุลภายในจะเกิดการปรับเปลี่ยนรูปหรือเกิดรอยบกพรอง (defect signature) และคา Seebeck coefficient ก็จะ<br />
เปลี่ยนแปลง(Drift) ไปจากเดิมอยางถาวร โดยเทอรโมคับเปลแบบโลหะพื้นฐาน(Type E K J N T )ที่วัสดุเปน alloy<br />
ของโลหะ Ni หรือ Cu จะเกิดการ drift(ที่อุณหภูมิสูงกวา 250 o C) สูงกวาเทอรโมคับเปลแบบโลหะพิเศษ(Type S B R ) ที่<br />
มี Platinum เปนสวนประกอบ<br />
2. ความรอนที่ไมสม่ําเสมอของเตา : รอยบกพรอง (defect signature) ในเนื้อโมเลกุล ที่เกิดมากนอยตามความสม่ําเสมอของ<br />
อุณหภูมิภายในเตา ถึงแมเลือกใชงานในระยะจุมเดียวกัน แตแหลงอุณหภูมิตางชนิดกันหรือใหอุณหภูมิในรูปแบบที่ตางกัน<br />
(difference temperature profile) คา Seebeck coefficient ของเทอรโมคับเปลจะไมเทาเดิม ทําให output ที่วัดไดไมเทากัน<br />
3. การเปลี่ยนแปลงระยะจุม : ในที่นี้ตางจากกรณี Immersion error หรือ Heat conduction error ตามที่คุนเคยกันใน<br />
เทอรโมมิเตอรชนิดอื่น ที่กําจัดไดหากใชระยะจุมเพียงพอ( เชน 15 เทาของ Diameter) สําหรับเทอรโมคับเปลแมระยะจุม<br />
จะเพียงพอแลวก็ตาม การเปลี่ยนแปลงระยะจุม เหมือนการให Temperature gradient กับสายเทอรโมคับเปลตางบริเวณไป<br />
จากเดิม ซึ่งบริเวณนั้นมีคา Seebeck coefficient ไมเทาเดิม ทําให output emf ที่วัดไดตางไปจากเดิม คาความผิดพลาดอัน<br />
เนื่องมาจากกรณีนี้จะควบคุมได หากมีการควบคุมระยะที่จุมใหคงที่เสมอ<br />
นอกจากนี้ การปนเปอนทางเคมี และการรบกวนทางกายภาพอื่นๆ เชน การบิด หักงอของสาย ก็ทําใหเกิด <strong>Thermocouple</strong><br />
<strong>Inhomogeneity</strong> ขึ้นเชนกัน<br />
5.1 การรวบกวนโดยความรอนเมื่อใชงาน(fix position) 5.2 การเปลี่ยนแปลงระยะจุม (Change immersion)<br />
รูปที่ 5 <strong>Inhomogeneity</strong> of TC emf distribution (E) and Seebeck coefficient (S) along wire length(x) at temperature profile T.<br />
4
SPRT<br />
Oil Bath<br />
- การทดสอบหาคา <strong>Inhomogeneity</strong><br />
Test TC<br />
Pulled Scale<br />
วิธีการทดสอบคา <strong>Inhomogeneity</strong> ที่ยอมรับกันคือ การทํา Thermal scan<br />
โดยดึงขึ้นใน fixed point หรือ Uniform temperature source(Uniform<br />
Stability < 0.01 K เชน Oil หรือ Salt Bath ) ที่อุณหภูมิ 150 o C – 250 o C วิธีการคือ<br />
ทําการเก็บคา out put ของเทอรโมคับเปล เมื่อ ทําการจุมเทอรโมคับเปลจนคลุมระยะที่<br />
ตองการทดสอบคา<br />
<strong>Inhomogeneity</strong> จากนั้นคอยๆ ดึง ขึ้นทีละ 1-2 เซนติเมตร รอจนคานิ่งและทําการ<br />
เก็บคา out put ของ TC และ อุณหภูมิไว โดยระยะดึงขึ้นไมเกินระยะจุมที่เหมาะสม<br />
(ประมาณ15 เทาของ diameter) เมื่อครอบคลุมแลวหาคาout put มากที่สุดและนอยที่<br />
สุด (E max ,E min ) และนํามาหาคา <strong>Inhomogeneity</strong>ไดจากสูตร<br />
<strong>Inhomogeneity</strong> = 1 ⎛ E − E ⎞<br />
max min<br />
± ⎜ ⎟×<br />
100%<br />
2<br />
⎝ E ref ⎠<br />
รูป 6 การวัด <strong>Inhomogeneity</strong> โดยการทํา เมื่อ E ref คือคาจาก reference table ที่สอดคลองกับอุณหภูมิที่ทําการทดสอบ<br />
Thermal Scan ใน Oil Bath<br />
ตาราง 1 Example of inhomogeneity values for 4 thermocouples<br />
used range (0-500) o C<br />
<strong>Inhomogeneity</strong> test of probe 1<br />
Probe 1 st used / % 5 th used / %<br />
1 + 0.15 + 0.35<br />
2 + 0.16 + 0.36<br />
3 + 0.15 + 0.41<br />
4 + 0.15 + 0.30<br />
Immersion (cm)<br />
รูปที่ 7 <strong>Inhomogeneity</strong> Scan at 200 o C of TC probe 1<br />
5
การทดสอบหาคา <strong>Inhomogeneity</strong> จะตองใชอุปกรณการวัดที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ มีความชํานาญ ใชเวลาและทําไดไมงายนัก ดังนั้น<br />
จากการทําการวัด คา <strong>Inhomogeneity</strong> โดยสถาบันมาตรวิทยาแหงชาติพบวาปริมาณ <strong>Inhomogeneity</strong> นี้มีอยูจริงและสอดคลองตามเกณฑ<br />
สากล ดังตาราง 2<br />
ตาราง 2 Recommended <strong>Inhomogeneity</strong> value<br />
Source Base Metal (Type E K J N T) Rare Metal Type B R S<br />
APMP<br />
(for new wire TC)<br />
At least +0.1% of emf output or<br />
Temperature used<br />
At least + 0.02% of emf output or<br />
Temperature used<br />
NIMT<br />
0.2% - 0.4 % of emf output or<br />
0.05 % of emf output or Temperature used<br />
(for used wire) Temperature used<br />
EUROMET<br />
At least 20% of the Class 2 tolerance for corresponding type of thermocouple<br />
According to EN IEC 60584-2<br />
• APMP : Asia Pacific Regional Organization of Measurement Standard<br />
• NIMT : National Institute of Metrology Thailand<br />
• EUROMET : Europe Regional Organization of Measurement Standard<br />
ตาราง 3 ตัวอยาง คา <strong>Inhomogeneity</strong> ของเทอรโมคับเปลชนิดตางๆ ที่อุณหภูมิตางๆ ตามเกณฑในตารางที่ 2<br />
<strong>Thermocouple</strong> Tolerance (Class2) <strong>Inhomogeneity</strong> values ( o C)<br />
Type IEC 60584-2 EUROMET APMP NIMT<br />
o C (recommended) (New wire) * (used wire)<br />
Type K J E +20% of Tor. +0.1% of out put +0.3% of output<br />
100 2.5 0.5 0.1 0.3<br />
500 3.75 0.8 0.5 1.5<br />
Type S R B +20% of Tor. +0.02% of out put +0.05% out put<br />
500 1.5 0.3 0.1 0.3<br />
1000 2.5 0.5 0.2 0.5<br />
• การประเมินคา Uncertainty of <strong>Inhomogeneity</strong> ใหประเมินเปน Rectangular Distribution<br />
สําหรับหองปฏิบัติการที่ทําการสอบเทียบหรือใชงานเทอรโมคับเปล(รวมถึงdigital thermometer ที่เปน TC probe) และยังไม<br />
พรอมที่จะทํา การทดสอบหาคา <strong>Inhomogeneity</strong> สามารถ นําคาที่แนะนํานี้ ไปใชได แตตองทราบชนิดของเทอรโมคับเปล ชวงอุณหภูมิ<br />
ใชงาน และสภาพการใชงานวา เทอรโมคับเปลนั้นใหมหรือผานการใชงานมานาน ทั้งนี้การสอบเทียบขึ้นอยูกับความจําเปน โดยเทอร<br />
โมคับประเภทโลหะพื้นฐานนั้น เมื ่อใชงานแลวควรจะเปลี่ยนใหมแทนการสอบเทียบซ้ํา<br />
6
EN IEC 60584-2 Tolerance for corresponding type of thermocouple<br />
เอกสารอางอิง<br />
⋅ American Society for testing and Materials Volume 14.03: ASTM E220-02, Standard test method for calibration<br />
thermocouples by comparison techniques in Appendix X4. Test for thermocouple <strong>Inhomogeneity</strong>, U.S.A., 2006.<br />
⋅ Robin E. Bentley, Monograph 5 : <strong>Thermocouple</strong>s in temperature Measurement, National Measurement Institute, Australia,<br />
2004.<br />
⋅ D.R. White and J.V. Nicholas, Traceable temperatures : An <strong>Introduction</strong> to temperature measurement and calibration , 2nd<br />
ed., John Wiley& Sons Ltd., England, 2001.<br />
⋅ G.W. Burns and M.G. Scroger, The Calibration of thermocouple and <strong>Thermocouple</strong> materials, NIST Special publication 250-<br />
35, Washington, 1989.<br />
⋅ EUROMET Calibration Guide : EA-10/08 - Calibration of <strong>Thermocouple</strong>s.<br />
(http://www.european-accreditation.org)<br />
7