cache
cache
cache
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
วิทยานิพนธ<br />
เรื่อง<br />
การใชประโยชนสารเมตาโบไลทที่มีพิษของเชื้อรานํ<br />
าโรค จากอํ าเภอทองผาภูมิ<br />
ในการกํ าจัดหนอนกระทูผัก<br />
Spodoptera litura (Fabricius)<br />
Utilization of Toxic Metabolites of Pathogenic Fungi from Amphoe Thong Pha Phum to<br />
Control the Cutworm, Spodoptera litura (Fabricius)<br />
โดย<br />
นางสาวนวรัตน นุศาสตรเลิศ<br />
เสนอ<br />
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร<br />
เพื่อความสมบูรณแหงปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต<br />
(เกษตรศาสตร)<br />
พ.ศ. 2547<br />
ISBN 974-274-284-7
คํ านิยม<br />
วิทยานิพนธฉบับนี้สํ<br />
าเร็จลงไดดวยดี โดยความกรุณาจาก ศาสตราจารย ดร. อังศุมาลย<br />
จันทราปตย ประธานกรรมการที่ปรึกษา<br />
รองศาสตราจารย ดร. ประภารัจ หอมจันทน กรรมการ<br />
สาขาวิชาเอก ผู ชวยศาสตราจารย พูนพิไล สุวรรณฤทธิ์<br />
กรรมการสาขาวิชารอง ซึ่งกรุณาใหคํ<br />
า<br />
แนะนํ าเพิ่มเติมซึ่งเปนประโยชนแกผูวิจัยและตรวจแกไขวิทยานิพนธจนเปนที่เรียบรอย<br />
ตลอดจน<br />
ผู ชวยศาสตราจารย ดร. เลิศลักษณ เงินศิริ ผู แทนบัณฑิตวิทยาลัย ที่ชวยแกไขขอบกพรอง<br />
ทํ าให<br />
วิทยานิพนธเลมนี้สมบูรณยิ่งขึ้น<br />
ขอขอบพระคุณ คุณนุชนาถ วารีสมบูรณ ที่กรุณาชวยเหลือในดานตางๆ<br />
และใหคํ าแนะ<br />
นํ าผูวิจัยดวยดี<br />
ผลงานวิจัยนี้ไดรับทุนสนับสนุนจากโครงการพัฒนาองคความรูและศึกษานโยบายการจัด<br />
การทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทย ซึ่งรวมจัดตั้งโดยสํ<br />
านักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และ<br />
ศูนยพันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแหงชาติ รหัสโครงการ BRT R_644004<br />
ทายสุดนี้ผูวิจัยขอกราบขอบพระคุณ<br />
คุณพอ คุณแม และขอบคุณ พี่<br />
นอง และเพื่อนที่<br />
ใหกํ าลังใจในการเรียนและสนับสนุนในการศึกษาจนประสบความสํ าเร็จ และผูวิจัยหวังเปนอยาง<br />
ยิ่งวางานวิจัยในครั้งนี้จะเปนประโยชนแกหนวยงานที่เกี่ยวของ<br />
และขอมอบคุณความดีของการ<br />
วิจัยในครั้งนี้ใหแกคุณพอ<br />
คุณแม คุณครูบาอาจารย และขอใหเปนวิทยาทานเพื่อการศึกษาตอไป<br />
นวรัตน นุศาสตรเลิศ<br />
พฤษภาคม 2547
สารบัญ<br />
์<br />
สารบัญ (1)<br />
สารบัญตาราง (4)<br />
สารบัญภาพ (7)<br />
คํ านํ า 1<br />
วัตถุประสงค 4<br />
การตรวจเอกสาร 5<br />
แมลงศัตรูพืช 5<br />
ไรศัตรูพืช 7<br />
การควบคุมแมลงและไรศัตรูพืช 9<br />
เชื้อราทํ<br />
าลายแมลงและไรศัตรูพืช 11<br />
เชื้อรากับการกอใหเกิดโรค<br />
11<br />
เชื้อรา<br />
Hirsutella thompsonii 14<br />
ประวัติและความสํ าคัญ 14<br />
อนุกรมวิธานของเชื้อรา<br />
Hirsutella thompsonii 15<br />
สัณฐานภายนอกของเชื้อรา<br />
Hirsutella thompsonii 15<br />
สัณฐานภายในของเชื้อรา<br />
Hirsutella thompsonii 16<br />
การเจริญเติบโตของเชื้อราบนอาหารเลี้ยงเชื้อ<br />
17<br />
ปจจัยที่มีผลตอการเจริญเติบโตของเชื้อรา<br />
18<br />
ลักษณะการทํ าลายไรศัตรูพืช 19<br />
การผลิตสารพิษของเชื้อรา<br />
21<br />
ความปลอดภัยของเชื้อราตอสัตวเลือดอุน<br />
22<br />
อุปกรณและวิธีการ 24<br />
การสํ ารวจและเก็บตัวอยางเชื้อราที่ทํ<br />
าลายไรศัตรูพืช 24<br />
การเก็บตัวอยางเชื้อรา<br />
24<br />
การแยกเชื้อราใหบริสุทธิ<br />
24<br />
การเตรียมตัวอยางไรศัตรูพืชเพื่อวิเคราะหชนิดของไร<br />
27<br />
การเก็บตัวอยางพืชอาศัยของไร 29<br />
(1)<br />
หนา
สารบัญ (ตอ)<br />
การเจริญเติบโตและลักษณะโครงสรางของเชื้อรา<br />
30<br />
การเจริญเติบโตของเชื้อราบนวุนอาหาร<br />
การศึกษาปริมาณ conidia โดยวิธี direct count<br />
30<br />
และ viable plate count 30<br />
การศึกษาโครงสรางของเสนใยและ conidia 31<br />
การเจริญเติบโตของเชื้อราในอาหารเหลว<br />
32<br />
การศึกษาประสิทธิภาพของสารพิษของเชื้อราในอาหารเหลว<br />
34<br />
ประสิทธิภาพของ crude filtrate 34<br />
ประสิทธิภาพของ crude filtrate เขมขน 37<br />
ผลการทดลองและวิจารณ 39<br />
การสํ ารวจและเก็บตัวอยางเชื้อราที่ทํ<br />
าลายไรศัตรูพืช 39<br />
การเก็บตัวอยางเชื้อรา<br />
39<br />
การแยกและวิเคราะหชนิดของเชื้อรา<br />
42<br />
การวิเคราะหชนิดของไรศัตรูพืช 44<br />
การวิเคราะหชนิดของพืชอาศัย 46<br />
การเจริญเติบโตและลักษณะโครงสรางของเชื้อรา<br />
54<br />
การเจริญเติบโตของเชื้อราบนวุนอาหาร<br />
การศึกษาปริมาณ conidia โดยวิธี direct count<br />
54<br />
และ viable plate count 70<br />
การศึกษาโครงสรางของเสนใยและ conidia 74<br />
การเจริญเติบโตของเชื้อราในอาหารเหลว<br />
82<br />
การศึกษาประสิทธิภาพของสารพิษของเชื้อราในอาหารเหลว<br />
85<br />
ประสิทธิภาพของ crude filtrate 85<br />
ประสิทธิภาพของ crude filtrate เขมขน 98<br />
สรุปผลการทดลอง 101<br />
เอกสารและสิ่งอางอิง<br />
103<br />
(2)<br />
หนา
สารบัญ (ตอ)<br />
ภาคผนวก 123<br />
ภาคผนวก ก 124<br />
ภาคผนวก ข 146<br />
ภาคผนวก ค 151<br />
ภาคผนวก ง 159<br />
(3)<br />
หนา
สารบัญตาราง<br />
(4)<br />
ตารางที่<br />
หนา<br />
1 Trade names of commercial or experimental preparations of fungi<br />
formulated as microbial insecticides 13<br />
2 Number of dead mite samples collected at Amphoe Thong Pha Phum,<br />
Kanchanaburi Province during November 2001-November 2002 41<br />
3 Mites and host plants collected at Amphoe Thong Pha Phum,<br />
Kanchanaburi Province during November 2001-November 2002 47<br />
4 Colony diameters of H. thompsonii (114 isolates)<br />
cultured on malt extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 7 days 56<br />
5 Colony diameters of H. thompsonii (114 isolates)<br />
cultured on malt extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 14 days 56<br />
6 Colony diameters of H. thompsonii (114 isolates)<br />
cultured on malt extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 21 days 57<br />
7 Colony diameters of H. thompsonii (114 isolates)<br />
cultured on malt extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 28 days 57<br />
8 Growth rate overall periods of H. thompsonii colony (114 isolates)<br />
cultured on malt extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 28 days 58<br />
9 Formation of H. thompsonii colony (114 isolates)<br />
cultured on malt extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 28 days 68<br />
10 Special characteristics of H. thompsonii (114 isolates)<br />
cultured on malt extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 28 days 68<br />
11 Color of H. thompsonii colony (114 isolates)<br />
cultured on malt extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 28 days 69<br />
12 Number of conidia (direct count) from 1 cm 2 of H. thompsonii (114 isolates)<br />
cultured on malt extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 10 days 73<br />
13 Number of conidia (plate count) from 1 cm 2 of H. thompsonii (114 isolates)<br />
cultured on malt extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 10 days 73<br />
14 Conidia of H. thompsonii (114 isolates)<br />
cultured on 0.5x0.5 cm malt extract agar placed on<br />
microscopic slide and incubated at 27±1 o C, 65±3% RH for 6 days 80
สารบัญตาราง (ตอ)<br />
ตารางที่<br />
หนา<br />
(5)<br />
15 Length of phialide of H. thompsonii (114 isolates)<br />
cultured on 0.5x0.5 cm malt extract agar placed on<br />
microscopic slide and incubated at 27±1 o C, 65±3% RH for 6 days 80<br />
16 Distance between phialides of H. thompsonii (114 isolates)<br />
cultured on 0.5x0.5 cm malt extract agar placed on<br />
microscopic slide and incubated at 27±1 o C, 65±3% RH for 6 days 81<br />
17 Dry weight of H. thompsonii (114 isolates)<br />
cultured on malt extract broth at 27±1 o C, 65±3% RH for 4 days 84<br />
18 pH of H. thompsonii (114 isolates)<br />
cultured on malt extract broth at 27±1 o C, 65±3% RH for 4 days 84<br />
19 Symptoms of Spodoptera litura (Fabricius) larvae<br />
after treated with 20 µl crude extracts of H. thompsonii 93<br />
20 Symptoms of Spodoptera litura (Fabricius) larvae<br />
after treated with 20 µl crude extracts and concentrated<br />
crude extracts of H. thompsonii 100<br />
ตารางผนวกที่<br />
ก1 Colony diameters of H. thompsonii (114 isolates)<br />
cultured on malt extract agar plates at 27±1 o C, 65±3% RH for 4 weeks 125<br />
ก2 Characteristics of H. thompsonii (114 isolates)<br />
cultured on malt extract agar plates at 27±1 o C, 65±3% RH for 4 weeks 129<br />
ก3 Area of colony, number of conidia from direct count and<br />
plate count of H. thompsonii (114 isolates) cultured on malt<br />
extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 10 days 133<br />
ก4 Parameters (mean±SD) of H. thompsonii (114 isolates)<br />
cultured on malt extract agar plates at 27±1 o C, 65±3% RH for 6 days 138
สารบัญตาราง (ตอ)<br />
(6)<br />
ตารางผนวกที่<br />
หนา<br />
ก5 Dry weight of fungal biomass and pH of malt extract broth<br />
after each H. thompsonii (114 isolates) was cultured at<br />
27±1 o C, 65±3% RH for 4 days 143
สารบัญภาพ<br />
(7)<br />
ภาพที่<br />
หนา<br />
์<br />
1 การเก็บตัวอยางไรศัตรูพืช 25<br />
2 การแยกไรศัตรูพืชออกจากใบพืช 25<br />
3 การแยกเชื้อราใหบริสุทธิ<br />
26<br />
4 การทํ าสไลดไรสี่ขา<br />
28<br />
5 การจัดเรียงชิ้นสวนของพืชเพื่อเก็บแหง<br />
29<br />
6 การเก็บตัวอยางแหงของพืชใน Herbarium 29<br />
7 การทํ า slide culture เพื่อศึกษาโครงสรางของเสนใยและ<br />
conidia 32<br />
8 การเลี้ยงเชื้อราบนตูเขยา<br />
(rotary shaker) 33<br />
9 การกรองมวลชีวภาพออกจากอาหารเหลวโดยใชกรวยกรอง (Buchner funnel) 33<br />
10 การกรอง crude filtrate ผานกระดาษกรองชนิดพิเศษ 34<br />
11 การทดสอบประสิทธิภาพของสารพิษของเชื้อรา<br />
35<br />
12 การเลี้ยงหนอนที่ไดรับสารทดสอบในอาหารเทียม<br />
36<br />
13 สภาพการเลี้ยงหนอนที่ไดรับสารทดสอบในหองทดลอง<br />
36<br />
14 การเพิ่มความเขมขนของ<br />
crude filtrate 37<br />
15 การเก็บเชื้อราแบบ<br />
subculture ในหลอดอาหารผิวลาดเอียง 43<br />
16 การเก็บเชื้อราดวยวิธีการตางๆ<br />
43<br />
17 ไรสี่ขาในวงศ<br />
Eriophyidae และ Diptiomiopidae 45<br />
18 โคโลนีของเชื้อรา<br />
H. thompsonii บนอาหาร MEA อายุ 28 วัน 59<br />
19 ลักษณะโคโลนีของเชื้อรา<br />
H. thompsonii 67<br />
20 ลักษณะพิเศษที่เชื้อรา<br />
H. thompsonii สรางขึ้นเมื่อเลี้ยงบนอาหาร<br />
MEA 67<br />
21 ลักษณะโครงสรางของเชื้อรา<br />
76<br />
22 ลักษณะของ phialide ที่มีการแตกเปนวงรอบเสนใย<br />
77<br />
23 ลักษณะการเกิด polyblastic conidiogenous cell (holoblastic) 78<br />
24 ระยะหางระหวาง phialide ที่ยาวและสั้น<br />
79<br />
25 การสราง chlamydospore ภายในเสนใยของเชื้อรา<br />
79<br />
26 ลักษณะการตายของหนอนหลังจากไดรับการฉีดสารพิษ 88<br />
27 ภาพขยายเปรียบเทียบหนอนปกติและหนอนที่ไดรับสารพิษ<br />
89
สารบัญภาพ (ตอ)<br />
(8)<br />
ภาพที่<br />
หนา<br />
28 เปรียบเทียบหนอนปกติและหนอนที่ไดรับสารพิษซึ่งมีขนาด<br />
ลํ าตัวเล็กเนื่องจากไมกินอาหาร<br />
89<br />
29 ลักษณะการเขาดักแดไมสมบูรณของหนอนกระทูผัก<br />
90<br />
30 ตัวเต็มวัยปกติและตัวเต็มวัยผิดปกติเนื่องจากไดรับสารพิษ<br />
91<br />
31 ดักแดซึ่งมีอายุ<br />
1 เดือนไมสามารถออกเปนตัวเต็มวัยได 92
การใชประโยชนสารเมตาโบไลทที่มีพิษของเชื้อรานํ<br />
าโรค จากอํ าเภอทองผาภูมิ<br />
ในการกํ าจัดหนอนกระทูผัก<br />
Spodoptera litura (Fabricius)<br />
Utilization of Toxic Metabolites of Pathogenic Fungi from Amphoe Thong Pha<br />
Phum to Control the Cutworm, Spodoptera litura (Fabricius)<br />
คํ านํ า<br />
ประเทศไทยเปนประเทศที่ตั้งอยูในเขตรอนชื้น<br />
ลักษณะภูมิอากาศแบบนี้เหมาะสมตอ<br />
การทํ าเกษตรกรรมเปนอยางยิ่ง<br />
เพราะสามารถปลูกพืชไดตลอดทั้งป<br />
ประเทศไทยจึงอุดมไปดวย<br />
พืช ผัก ผลไมนานาชนิด ขณะเดียวกันสภาพแวดลอมดังกลาวก็เหมาะกับการแพรระบาดของศัตรู<br />
พืชเชนกัน การระบาดของศัตรูพืชมักเปนไปอยางตอเนื่อง<br />
เพราะผลผลิตทางการเกษตรมีติดตอ<br />
กันเกือบตลอดทั้งป<br />
แมลงและไรนับเปนศัตรูพืชที่สํ<br />
าคัญและสามารถทํ าความเสียหายแกพืชได<br />
อยางรวดเร็ว โดยเฉพาะการทํ าการเกษตรในเชิงธุรกิจมักไดรับความเสียหายจากศัตรูพืชเปนอยาง<br />
มาก<br />
ในการแกปญหาการระบาดของแมลงและไรที่เปนศัตรูพืชที่สํ<br />
าคัญนั้น<br />
ก็คงจะหนีไมพน<br />
การใชสารเคมี เพราะสามารถแกปญหาการระบาดไดอยางรวดเร็วและทันทวงที การใชสารเคมีใน<br />
ปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ<br />
ทํ าใหเกิดผลเสีย และกอใหเกิดปญหาตางๆ ตามมามากมาย เชน แมลง<br />
สรางความตานทาน เกิดปญหาสารพิษตกคางในผลผลิต ซึ่งกอใหเกิดอันตรายแกเกษตรกรและ<br />
ผู บริโภค รวมทั้งสงผลกระทบตอการสงออกผลิตผลเกษตร<br />
เกิดการปนเปอนของสารพิษในสภาพ<br />
แวดลอม ดิน นํ้<br />
า อากาศ และทํ าใหเกิดการระบาดของแมลงศัตรูพืชชนิดใหมขึ้นได<br />
(Meyer,<br />
1981; Howarth, 1992; Kogan, 1998) นอกจากนั้นสารเคมียังทํ<br />
าลายศัตรูธรรมชาติ เชน แมลง<br />
ชางปกใส ดวงปกแข็ง เพลี้ยไฟ<br />
ไสเดือนฝอย รวมทั้งไรตัวหํ้<br />
า ตลอดทั้งเชื้อจุลินทรียตางๆ<br />
เชน<br />
ไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา<br />
ซึ่งทํ<br />
าหนาที่ควบคุมปริมาณประชากรของแมลงและไรศัตรูพืชใหอยูใน<br />
ภาวะสมดุลอีกดวย (Jeppson et al., 1975; Perkins, 1982; McCoy, 1985; Howarth, 1991;<br />
Lockwood, 2000)<br />
เชื้อจุลินทรียทํ<br />
าลายแมลงและไร นับวาเปนทรัพยากรธรรมชาติและวัตถุดิบที่สํ<br />
าคัญทาง<br />
เทคโนโลยีชีวภาพ และเปนอีกทางเลือกหนึ่งที่จะชวยลดประชากรแมลงและไรศัตรูพืช<br />
ทั้งที่เกิดขึ้น<br />
เองตามธรรมชาติและในระบบนิเวศที่มนุษยสรางขึ้น<br />
จุลินทรียที่สามารถนํ<br />
ามาใชกํ าจัดศัตรูพืชได<br />
มีอยู หลายชนิด แตก็ยังไมแพรหลายเทากับการใชสารเคมี เชื้อจุลินทรียที่ทํ<br />
าใหเกิดโรคกับแมลง
สวนใหญไมเปนอันตรายตอสิ่งมีชีวิตอื่นๆ<br />
ที่ไมตองการควบคุม<br />
และไมกอใหเกิดความเปนพิษตอ<br />
สิ่งแวดลอม<br />
(Harris, 1990; Howarth, 1991; van Halteren, 1997; van Lenteren, 1997<br />
Wagge, 1997; Goldson et al., 1998) เชื้อจุลินทรียสวนใหญสามารถนํ<br />
ามาใชและเขากันไดกับ<br />
ศัตรูธรรมชาติอื่นๆ<br />
รวมทั้งชวยสงเสริมประสิทธิภาพของศัตรูธรรมชาติใหสูงขึ้น<br />
โดยเฉพาะในชวง<br />
เวลาที่แมลงศัตรูธรรมชาติมีจํ<br />
านวนนอย เชื้อจุลินทรียก็อาจมีบทบาทแทนได<br />
ปจจุบันไดมีการแยก<br />
เชื้อจุลินทรียจากแมลงชนิดตางๆ<br />
และไรศัตรูพืชมากกวา 1,000 ชนิด ในจํ านวนนี้เปนเชื้อ<br />
ไวรัส<br />
หลายรอยชนิด เชื้อราเปนจุลินทรียที่พบรองลงมา<br />
นอกจากนั้นเปนเชื้อโปรโตซัว<br />
แบคทีเรีย และริก<br />
เคทเซีย ตามลํ าดับ (Poinar and Thomas, 1978)<br />
การนํ าเชื้อรามาใชควบคุมแมลงศัตรูพืชนั้น<br />
เปนหนึ่งในวิธีการควบคุมศัตรูพืชโดยชีววิธี<br />
เชื้อราหลายชนิดสามารถควบคุมระดับประชากรของแมลงและไรศัตรูพืชใหอยูในระดับสมดุลได<br />
โดยเชื้อราที่กอโรคจะมีความเปนอยูแบบปรสิต<br />
(parasite) อาศัยอยูภายในลํ<br />
าตัวของสัตวอาศัย ใช<br />
เนื้อเยื่อภายในรางกายเพื่อการดํ<br />
ารงชีวิตและขยายพันธุ<br />
(Carner, 1976; Hajek and Leger,<br />
1994) เชื้อราที่เปนสาเหตุทํ<br />
าใหแมลงและไรศัตรูพืชตายมีหลายสกุล (genus) เชน<br />
Entomophthora, Verticillium, Beauveria, Hirsutella, Metarhizium, Cordyceps,<br />
Culicinomyces และ Paecilomyces เปนตน (Lewis et al., 1981; Samson et al., 1988; Ferron<br />
et al., 1991; Vey et al., 1993; Humber, 1997; Fuka, 1998; Inglis et al., 2001) นอกจาก<br />
นี้เชื้อราบางชนิดสามารถสรางสารพิษ<br />
(toxic metabolite) ที่มีฤทธิ์รุนแรงและใชฆาแมลงได<br />
เชน<br />
Beauveria bassiana (Balsamo) Vuillemin, Metarhizium anisophiae (Metschnikoff),<br />
Verticillium lecanii (Zimmerman) Viegas และ Hirsutella thompsonii Fisher เปนตน<br />
(Roberts, 1996; Boucias and Pendlan, 1998; Vey et al., 2001) จึงไดมีการศึกษาและวิจัย<br />
เพื่อนํ<br />
าสารพิษจากเชื้อราเหลานี้มาใชในการควบคุมแมลงดวย<br />
พื้นที่ปาโครงการทองผาภูมิ<br />
72 พรรษามหาราช ยังคงสภาพปาที่มีความสมบูรณเปน<br />
อยางมาก มีปริมาณนํ้<br />
าฝนตั้งแต<br />
1,000–4,000 มิลลิลิตรตอป เปนแหลงรวมตนไมใหญนอยที่<br />
เปนตนกํ าเนิดของระบบนิเวศทั้งหลาย<br />
มีแหลงนํ้<br />
านอยใหญที่ใหความชุมชื้นแกปาไดตลอดทั้งป<br />
ปาแหงนี้จึงมีความหลากหลายทางชีวภาพมากมาย<br />
มีสิ่งชีวิตหลากชนิดที่อาศัยอยูในผืนปาแหงนี้<br />
รวมถึงแมลงและไรดวย ในธรรมชาติที่อุดมสมบูรณและระบบนิเวศยังไมถูกทํ<br />
าลายนั้น<br />
จะมีศัตรู<br />
ธรรมชาติหลากหลายชนิดที่คอยควบคุมสิ่งมีชีวิตใหอยูในระดับที่สมดุล<br />
รวมทั้งจุลินทรียโดยเฉพาะ<br />
เชื้อราที่ชวยควบคุมประชากรของแมลงและไรเพื่อไมใหมีการแพรพันธุมากจนเกินไป<br />
จากการสํ ารวจพื้นที่ปาทองผาภูมิในเบื้องตนพบวา<br />
พืชหลายชนิดมีไรศัตรูพืชในวงศ<br />
Eriophyidae, Diptilomiopidae และ Tetranychidae ลงทํ าลายอยูมาก<br />
นอกจากนั้นยังพบซากไรที่มี<br />
2
เชื้อราเขาทํ<br />
าลายอีกดวย การวิเคราะหชนิดของเชื้อราที่พบอยูบนซากไร<br />
พบวาเปนเชื้อ<br />
Hirsutella thompsonii ซึ่งมีรายงานวาเปนศัตรูธรรมชาติที่สํ<br />
าคัญของไรศัตรูพืชหลายชนิด และเชื้อ<br />
นี้ก็เคยมีบริษัท<br />
Abbott Laboratories แหงประเทศสหรัฐอเมริกา ผลิตเปนการคาเพื่อใชควบคุมไร<br />
ศัตรูพืชอีกดวย เชื้อราชนิดนี้หลั่งสารพิษลงในอาหารเหลว<br />
สารพิษของเชื้อราชนิดนี้ทํ<br />
าใหแมลง<br />
และไรเจริญเติบโตผิดปกติ จึงไดรับความสนใจนํ ามาใชกํ าจัดศัตรูพืชในปจจุบัน<br />
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงคที่จะรวบรวมสายพันธุของเชื้อราที่พบในธรรมชาติ<br />
เพื่อนํ<br />
า<br />
มาศึกษาประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพในเชื้อรา<br />
สํ าหรับนํ ามาใชกํ าจัดศัตรูพืช ตัวแทน<br />
ของแมลงที่ใชในการศึกษาครั้งนี้คือ<br />
หนอนกระทูผัก<br />
(Spodoptera litura (Fabricius)) ซึ่งถาพบ<br />
เชื้อราที่สรางสารพิษและสามารถนํ<br />
ามาใชกํ าจัดศัตรูพืชไดดี จะกอใหเกิดประโยชนตอเกษตรกร<br />
ไทยเปนอยางยิ่ง<br />
เพราะจะชวยลดปริมาณการใชสารเคมีที่กํ<br />
าลังเปนปญหาอยูในปจจุบัน<br />
และสงผล<br />
ใหผู บริโภคมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น<br />
อีกทั้งยังชวยรักษาสภาพแวดลอมไดอีกดวย<br />
3
วัตถุประสงค<br />
1. เพื่อเก็บรวบรวมชนิดของเชื้อราที่ทํ<br />
าลายไรศัตรูพืช ในพื้นที่ปาเขตอํ<br />
าเภอทองผาภูมิ<br />
จังหวัดกาญจนบุรี<br />
2. เพื่อศึกษาลักษณะทางสัณฐานวิทยาและการเจริญเติบโตของเชื้อราในวุนอาหาร<br />
และในอาหารเหลว<br />
3. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพหรือสารพิษในเชื้อราที่มีตอศัตรู<br />
พืช<br />
4
การตรวจเอกสาร<br />
ศัตรูพืชเปนปญหาสํ าคัญที่ทํ<br />
าใหเกิดความสูญเสียกับผลผลิตทางการเกษตร ทั้งในสภาพ<br />
ไรและโรงเก็บ รวมทั้งทํ<br />
าใหคุณภาพของสินคาลดลง (Kogan, 1998) จากขอมูลการสํ ารวจของ<br />
องคการอาหารและเกษตรแหงสหประชาชาติเมื่อป<br />
ค.ศ. 1982 พบวาประมาณ 34% ของผลผลิต<br />
เกษตรไดรับความเสียหายจากโรค แมลง และวัชพืช เมื่อประเมินความเสียหายที่เกิดจากสาเหตุ<br />
ตางๆ แลว พบวาแมลงและไรทํ าความเสียหายใหผลผลิตเกษตร 12.3% สวนโรคและวัชพืชนั้น<br />
กอใหเกิดความเสียหายตอผลผลิต 11.9% และ 9.8% ตามลํ าดับ (FAO, 1982) สาเหตุที่แมลง<br />
และไรศัตรูพืชทํ าความเสียหายใหแกผลผลิตทางการเกษตรไดมากเนื่องจากมีขนาดลํ<br />
าตัวเล็ก เปน<br />
สัตวที่มีศักยภาพในการขยายพันธุไดอยางมีประสิทธิภาพ<br />
สามารถเพิ่มประชากรไดมากภายใน<br />
ระยะเวลาอันสั้น<br />
มีความสามารถในการปรับตัวไดดี สามารถอาศัยไดทุกแหงทั่วโลก<br />
และมีพืช<br />
อาหารกวาง (Richards and Davies, 1977; Botrell, 1979; New, 1991; Letourneau, 1998)<br />
แมลงศัตรูพืช<br />
แมลงทํ าลายพืชไดเกือบทุกชนิดทั้งโดยการกัดกินสวนตางๆ<br />
ของพืช หรือดูดกินนํ้<br />
าเลี้ยง<br />
และการเปนพาหะนํ าเชื้อโรคตางๆ<br />
เขาสูพืช<br />
ทํ าใหพืชจํ านวนมากลมตายจากการเขาทํ าลายโดย<br />
ตรงและจากเชื้อโรคพืชที่มีแมลงเปนพาหะ<br />
ศานิต (2546); Pedigo (2002) กลาววา การ<br />
ทํ าลายของแมลงเปนสาเหตุใหผลผลิตของพืชทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพลดลง<br />
แมลงหลาย<br />
ชนิดชอบเจาะเขาไปกินอยูภายในใบ<br />
ลํ าตน ราก รวมทั้งผล<br />
เชน แมลงวันหนอนชอนใบ ผีเสื้อ<br />
หนอนชอนใบ ดวงหนวดยาว ผีเสื้อหนอนกอ<br />
ผีเสื้อหนอนเจาะสัก<br />
แมลงวันเจาะโคนกลาถั่ว<br />
ผีเสื้อ<br />
หนอนเจาะผลไม และแมลงวันผลไม (Howse et al., 1998; Landolt and Averill, 1999)<br />
แมลงที่ชอบกัดทํ<br />
าลายใบพืช ไดแก ตั๊กแตน<br />
หนอนผีเสื้อ<br />
หนอนตอฟนเลื่อย<br />
และหนอนดวง<br />
(Samways, 1994) แมลงที่เปนพาหะนํ<br />
าโรคพืชที่สํ<br />
าคัญทางเศรษฐกิจ ไดแก เพลี้ยออนและ<br />
เพลี้ยจักจั่นหลายชนิดรวมทั้งแมลงหวี่ขาว<br />
สวนแมลงที่ทํ<br />
าลายพืชโดยดูดนํ้<br />
าเลี้ยงจากใบ<br />
กิ่งกาน<br />
ลํ า<br />
ตนรวมทั้งผล<br />
เปนเหตุใหพืชเหี่ยวเฉา<br />
แคระแกรน การเจริญเติบโตผิดปกติและอาจตายไดในที่สุด<br />
ไดแก เพลี้ยหอย<br />
เพลี้ยแปง<br />
เพลี้ยออน<br />
เพลี้ยกระโดด<br />
เพลี้ยจักจั่นและมวนหลายชนิด<br />
5
ความเสียหายของพืชที่เกิดจากแมลงนั้น<br />
มีสาเหตุมาจากการกัดกินของหนอนผีเสื้อถึง<br />
80% ผีเสื้อซึ่งเปนศัตรูพืชมีทั้งผีเสื้อกลางวัน<br />
(butterfiles) และผีเสื้อกลางคืน<br />
(moths) โดยผีเสื้อ<br />
กลางวันมีประมาณ 15,000 ชนิด สวนผีเสื้อกลางคืนมีมากถึง<br />
200,000 ชนิด (องุน,<br />
2544)<br />
ผีเสื้อสวนใหญไดรับการวิเคราะหชนิดแลว<br />
และมีเพียง 10% เทานั้นที่ยังไมไดรับการจํ<br />
าแนกชนิด<br />
(Holloway et al., 1987) หนอนผีเสื้อเปนระยะที่ทํ<br />
าลายพืชตางๆ ทั้งพืชไร<br />
พืชสวน ไมดอกไม<br />
ประดับ และพืชผักตางๆ (van Emden, 1990; Barbosa, 1993) โดยเฉพาะพืชผักจะถูกหนอน<br />
ผีเสื้อลงทํ<br />
าลายมาก เชน พืชตระกูลกะหลํ่<br />
า ตระกูลแตง มะเขือเทศ พริก ถั่วฝกยาว<br />
หนอไมฝรั่ง<br />
มันฝรั่ง<br />
และหอมหัวใหญ เปนตน (Kuroko and Lewvanich, 1993) สวนตัวเต็มวัยหรือผีเสื้อนั้น<br />
ไมทํ าลายพืชเนื่องจากไมกินอาหาร<br />
แตจะดูดกินนํ้<br />
า เกลือแรจากดิน หรือนํ้<br />
าหวานจากดอกไมเปน<br />
อาหาร องุน<br />
(2544) กลาววา มีเพียงผีเสื้อมวนหวานเทานั้นที่เปนศัตรูพืชทั้งระยะหนอนและ<br />
ระยะตัวเต็มวัย โดยตัวเต็มวัยจะออกหากินตอนกลางคืน ใชปากซึ่งยาวเปนงวงเจาะกินผลไมสุก<br />
เกิดเปนรอยแผลซึ่งจะเปนทางเขาของเชื้อโรค<br />
ทํ าใหผลเนาและรวงหลนไป<br />
หนอนผีเสื้อซึ่งเปนศัตรูสํ<br />
าคัญของพืชเศรษฐกิจมีหลายชนิด เชน หนอนเจาะสมอฝาย<br />
หนอนกระทูผัก<br />
หนอนกระทูหอม<br />
หนอนคืบกะหลํ่<br />
า และหนอนชอนใบ เปนตน หนอนผีเสื้อ<br />
ทํ าลายพืชไดหลายแบบ เชน กัดกินใบ (วงศ Papilionidae), มวนใบ หอใบหรือพับใบ (วงศ<br />
Tortricidae), ชอนใบ (วงศ Phyllocnistidae), เจาะกิ่งและลํ<br />
าตน (วงศ Cossidae), กินรากหรือ<br />
หัวใตดิน (วงศ Noctuidae), กินดอกหรือชอดอก (วงศ Geometridae) และเจาะผลหรือเมล็ด<br />
(วงศ Pyralidae) (Banziger, 1982; Roesler, 1983; Kawabe, 1989; Kuroko and<br />
Lewvanich, 1993; Bin-Cheng Zhang, 1994)<br />
หนอนกระทูผัก (Common cutworm) มีชื่อวิทยาศาสตรวา<br />
Spodoptera litura<br />
(Fabricius) จัดอยูในวงศ<br />
Noctuidae เปนศัตรูสํ าคัญของพืชผัก ไมดอก ไมประดับ ฝาย และ<br />
ยาสูบ (Kuroko and Lewvanich, 1993; Bin-Cheng Zhang, 1994; Howse et al., 1998)<br />
ดวยเหตุนี้จึงทํ<br />
าใหมีชื่อสามัญไดหลายชื่อ<br />
เชน หนอนกระทูยาสูบ<br />
(Tobacco cutworm), หนอน<br />
กระทูฝาย<br />
(Cotton leafworm) และหนอนรัง (Cluster caterpillar) เปนตน (Kononenko, 1990;<br />
Kuroko and Lewvanich, 1993) หนอนชนิดนี้จะระบาดอยูทั่วทุกภาคของประเทศไทยและ<br />
ระบาดตลอดทั้งป<br />
แมผีเสื้อวางไขเปนกลุมใตใบ<br />
โดยไขแตละกลุมจะมีจํ<br />
านวน 250-350 ฟอง<br />
ตลอดอายุขัยของตัวเมียหนึ่งตัวสามารถวางไขได<br />
1,000-2,000 ฟอง ไขใชเวลาฟก 3-4 วัน<br />
หนอนผีเสื้อซึ่งฟกออกจากไขจะอยูรวมกันเปนกลุมและเริ่มแทะกินใบพืช<br />
เมื่อหนอนโตขึ้นจะแยก<br />
ออกจากกลุ มและทํ าความเสียหายโดยการกัดกินใบ ดอก และฝกออน หนอนกระทูผักมีลํ<br />
าตัวอวน<br />
ผิวเรียบ มีลวดลายสีเทาดํ า บริเวณดานขางของลํ าตัวจะมีแถบสีนํ้<br />
าตาลแดงขนาดคอนขางใหญอยู<br />
ขางละ 1 แถบ หนอนซึ่งโตเต็มที่จะเคลื่อนไหวชาและมีขนาดยาว<br />
3-4 เซนติเมตร หนอนมีการ<br />
6
เจริญเติบโต 5 ระยะ ระยะหนอน 10-14 วัน เมื่อหนอนโตเต็มที่แลวจะเขาดักแดในดิน<br />
ดักแดมี<br />
สีนํ าตาลเขม ้ ยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร ระยะดักแด 7-10 วัน ตัวเต็มวัยเปนผีเสื้อขนาดกลาง<br />
เมื่อกางปกออกจะมีความกวางประมาณ<br />
3-3.5 เซนติเมตร ปกสีนํ้<br />
าตาล ปกคูหนามีเสนสีเหลือง<br />
พาดหลายเสน อายุของตัวเต็มวัยประมาณ 7-10 วัน วงจรชีวิตตั้งแตไขจนเปนตัวเต็มวัยประมาณ<br />
20-28 วัน<br />
ไรศัตรูพืช<br />
ไรหลายชนิดเปนศัตรูพืชที่สํ<br />
าคัญ เพราะนอกจากจะระบาดทํ าความเสียหายแกพืชใน<br />
สภาพไรแลว ไรบางชนิดยังสามารถปนเปอนไปกับผลผลิตทางการเกษตร<br />
ดอก หรือตนของพืชที่<br />
สงออก อันอาจเปนผลทํ าใหเกิดการกีดกันทางการคา และกระทบกระเทือนตอเศรษฐกิจของ<br />
ประเทศโดยรวมได (วัฒนา, 2544ก) นับวันปญหาไรศัตรูพืชจะทวีความสํ าคัญมากขึ้นเปนลํ<br />
าดับ<br />
เนื่องจากไรเปนศัตรูพืชที่มีขนาดเล็ก<br />
จึงยากแกการสังเกตไดดวยตาเปลา นอกจากนั้นไรยังมีความ<br />
สามารถในการขยายพันธุไดอยางรวดเร็วและแพรระบาดไดงาย<br />
(Chazeau, 1985) อาการที่เกิด<br />
จากการทํ าลายของไรในระยะเริ่มแรกมักจะไมปรากฏชัด<br />
เกษตรกรสวนใหญจะรูวามีไรศัตรูพืชลง<br />
ทํ าลาย ก็ตอเมื่อพืชแสดงอาการผิดปกติแลวเทานั้น<br />
(อังศุมาลย, 2530) ผลเสียที่เกิดขึ้นจากการ<br />
ดูดกินของไรศัตรูพืชมีหลายประการ เชน ผลผลิตดอยคุณภาพ ผลผลิตลดลง ใบดาง ใบหงิกงอ<br />
ใบรวง หรือทํ าใหพืชตาย เปนตน<br />
ไรศัตรูพืชที่สํ<br />
าคัญมี 4 วงศ คือ วงศ Tetranychidae ไดแก ไรแดงหรือไรแมงมุม (spider<br />
mite), วงศ Tenuipalpidae ไดแก ไรแดงเทียม (false spider mite), วงศ Tarsonemidae ไดแก<br />
ไรขาว (broad mite) และวงศ Eriophyidae ไดแก ไรสี่ขา<br />
(eriophyoid mites) (อังศุมาลย, 2528;<br />
Manson, 1963; Krantz, 1978; Gillott, 1980) ไรศัตรูพืชทั้ง<br />
4 วงศนี้สวนใหญมีความเฉพาะ<br />
เจาะจงตอชนิดของพืชอาศัย (host specificity) สํ าหรับไรศัตรูพืชในประเทศไทยที่ไดรับการตั้งชื่อ<br />
แลว มีประมาณ 300 กวาชนิด (อังศุมาลย, 2543ก; Baker, 1975; Ehara and Wongsiri,<br />
1975) แตที่ระบาดทํ<br />
าความเสียหายแกพืชเศรษฐกิจมีประมาณ 10% ของจํ านวนชนิดไรที่ไดมีการ<br />
รายงานไวเทานั้น<br />
(เทวินทร และ พิเชษฐ, 2544) ไรศัตรูพืชทํ าความเสียหายใหแกพืชเศรษฐกิจ<br />
หลายชนิด โดยเปนศัตรูของไมผล เชน มะละกอ สมเขียวหวาน สมโอ ขนุน สาเก ศัตรูของพืชไร<br />
เชน ฝาย ถั่วเหลือง<br />
มันสํ าปะหลัง ละหุง<br />
ศัตรูของไมดอกไมประดับ เชน กุหลาบ บานชื่น<br />
เบญจมาศ ลั่นทม<br />
นอกจากนั้นยังเปนศัตรูสํ<br />
าคัญของพืชผักตางๆ อีกดวย (อังศุมาลย, 2528ก;<br />
กองกีฏและสัตววิทยา, 2544; Jeppson et al., 1975; Charanasri et al., 1977) ไรศัตรูพืชบาง<br />
ชนิดนอกจากจะทํ าความเสียหายใหแกพืชแลวยังเปนพาหะนํ าเชื้อโรคของพืช<br />
โดยเฉพาะโรคที่เกิด<br />
จากไวรัสโดยมีไรสี่ขาเปนพาหะที่สํ<br />
าคัญ (Oldfield, 1960; Slykhuis, 1960, 1972)<br />
7
ไรศัตรูพืชที่ระบาดและทํ<br />
าความเสียหายใหกับพืชเศรษฐกิจในประเทศไทยสวนใหญคือ<br />
ไรแมงมุมและไรสี่ขา<br />
ไรแมงมุมเปนไรซึ่งมีขนาดใหญที่สุดในบรรดาไรศัตรูพืชดวยกัน<br />
ไรชนิดนี้<br />
ทํ าลายพืชดวยการดูดกินนํ้<br />
าเลี้ยงที่ใบหรือผล<br />
โดยใชอวัยวะจับอาหาร (chelicerae) ซึ่งดัดแปลง<br />
เปนเข็มแหลม (stylets) แทงเขาไปในเนื้อเยื่อพืชและดูดกินของเหลวที่อยูภายในเซลลทํ<br />
าใหพืช<br />
สูญเสียคลอโรฟลล (Zaher and Osman, 1970; Jeppson et al., 1975; Evans, 1992) บริเวณที่<br />
ถูกไรดูดกินนํ้<br />
าเลี้ยงจะเปนจุดสีขาวซีดและตอมาจะเปลี่ยนเปนสีนํ้<br />
าตาล แหงและรวงหลนจากตน<br />
ไรแมงมุมหลายชนิดชอบดูดกินเฉพาะที่<br />
เชน ดานหนาใบ หลังใบ ยอดออน หรือบนผล การดูด<br />
กินของไรแมงมุมจะทํ าใหพืชชะงักการเจริญเติบโต พืชที่ยังเล็กหรือออนแออาจตายได<br />
ดอกที่ถูก<br />
ทํ าลายจะไมติดผล ใบที่ถูกทํ<br />
าลายจะมีสีซีดเหลืองและรวงหลนไป สวนผลที่ถูกทํ<br />
าลายจะมีขนาด<br />
เล็กลงและดอยคุณภาพ พืชอาศัยที่สํ<br />
าคัญของไรแมงมุม เชน มะละกอ ออย สมเขียวหวาน<br />
มะนาว ทุเรียน มันสํ าปะหลัง มะพราว ถั่วตางๆ<br />
และกุหลาบ เปนตน<br />
ไรแมงมุมสองจุด (two-spotted spider mite) มีชื่อวิทยาศาสตรวา<br />
Tetranychus urticae<br />
Koch เปนไรแมงมุมชนิดหนึ่งซึ่งแพรระบาดมากในทวีปอเมริกา<br />
ยุโรป และแถบอบอุน<br />
ไรชนิดนี้<br />
เปนศัตรูที่สํ<br />
าคัญของพืชเศรษฐกิจหลายชนิด และมีพืชอาศัยกวา 900 ชนิด (Oatman, 1965;<br />
Jeppson et al., 1975; Helle and Sabelis, 1985; Kerban et al., 1987; Messing, 2000) ใน<br />
ประเทศไทยจะพบไรแมงมุมสองจุดระบาดอยูในบริเวณที่มีภูมิอากาศหนาวเย็น<br />
เชน เชียงใหม<br />
และเชียงราย ไรชนิดนี้สามารถทํ<br />
าลายพืชไดหลายชนิด เชน สตรอเบอรี่<br />
พืชตระกูลถั่ว<br />
กุหลาบ<br />
เบญจมาศ ไมดอก ไมประดับและพืชผักเมืองหนาว ตัวออนและตัวเต็มวัยของไรดูดกินนํ้<br />
าเลี้ยง<br />
และชักใยบริเวณใตใบ ทํ าใหผิวใบกราน ใตใบมีสีนํ้<br />
าตาลแดง ดานบนใบเปนจุดดางขาวกระจายทั่ว<br />
ไป ใบสีเหลืองซีด ใบหลุดรวง ในกุหลาบถาการระบาดรุนแรงจะพบวาไรชักใยคลุมและดูดกินนํ้<br />
า<br />
เลี้ยงที่ดอกดวย<br />
ไรทํ าใหสตรอเบอรี่ชะงักการแตกชอดอกและผลชะงักการเจริญเติบโต<br />
(Oatman,<br />
1965) มานิตา และคณะ (2532) กลาววา ไรแมงมุมสองจุดใชเวลาเจริญเติบโตจากไขเปนตัว<br />
เต็มวัยประมาณ 8-9 วัน ตลอดชั่วอายุของไรเพศเมีย<br />
1 ตัว สามารถวางไขได 122.3 ใบ เฉลี่ย<br />
8.6 ใบ/วัน ซึ่งนับวามีอัตราการวางไขคอนขางสูง<br />
ไรสี่ขาเปนไรศัตรูพืชที่มีความสํ<br />
าคัญไมนอยไปกวาไรแมงมุม ไรสี่ขาที่พบบนพืชใน<br />
ประเทศไทยมี 2 วงศดวยกันคือ วงศ Eriophyidae และ Diptilomiopidae ไรเหลานี้มีขนาดเล็กที่<br />
สุดในบรรดาไรศัตรูพืชดวยกัน โดยมีความยาวของลํ าตัวประมาณ 100-270 ไมครอน จึงไม<br />
สามารถมองเห็นไดดวยตาเปลานอกจากจะเปนผูที่คุนเคยกับไรชนิดนี้มากอน<br />
ไรสี่ขาดํ<br />
ารงชีวิตดวย<br />
การดูดกินนํ้<br />
าเลี้ยงจากใบพืช<br />
(Lipa, 1971) ไรในกลุมนี้มีประมาณ<br />
5,000 ชนิดที่ไดรับการตั้งชื่อ<br />
แลว อาศัยอยูในเขตหนาว<br />
เขตรอน และเขตอบอุน<br />
(Amrine et al., 2003) สํ าหรับในประเทศ<br />
ไทยมีไรสี่ขาประมาณ<br />
98 สกุล 217 ชนิด (อังศุมาลย, 2543ก) ไรสี่ขาจัดเปนศัตรูของพืช<br />
8
เศรษฐกิจหลายชนิด เชน ขาวสาลี สม มะพราว มะนาว ทับทิม ปาลมนํ้<br />
ามัน และยังเปนพาหะนํ า<br />
โรคซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสในพืชสํ<br />
าคัญ เชน โรค Peach mosaic virus ในขาวโพด และโรค Wheat<br />
spot mosaic virus ในขาวสาลี เปนตน (Slykhuis, 1960; Jeppson et al., 1975; Keifer et al.,<br />
1982) โดยทั่วไปไรเพศเมียจะวางไขเดี่ยวๆ<br />
หรือเปนกลุมเล็กๆ<br />
2-3 ใบ ตัวเมีย 1 ตัวจะวางไข<br />
ไดประมาณ 1-5 ใบ โดยเฉลี่ย<br />
ระยะเวลาในการเจริญเติบโตตั้งแตไขจนถึงตัวเต็มวัยใชเวลา<br />
ประมาณ 6-21 วันขึ้นอยูกับสภาพภูมิอากาศของแตละประเทศ<br />
(วัฒนา, 2544ข)<br />
อาการของพืชที่เกิดจากไรสี่ขาลงทํ<br />
าลายมีหลากหลาย เชน ทํ าใหเกิดสีสนิม (rust) ตาม<br />
ผิวของใบและผลเนื่องจากเซลลที่ถูกดูดกินแหงตายไป<br />
การเกิดแผงขนอัดแนนเหมือนผากํ ามะหยี่<br />
(erineum) ตามใตใบหรือบนใบพืช เชน ใบลิ้นจี่<br />
และกระทอน การเกิดปม (gall) ซึ่งเกิดจากใบที่<br />
ถูกทํ าลายเจริญเขามารวมกันเปนปุมปม<br />
เชน ปมของชะอม ภายในมีไรสี่ขาอาศัยอยูเปนจํ<br />
านวน<br />
มาก และไรสี่ขาบางชนิดทํ<br />
าใหเกิดอาการใบบิดเบี้ยว<br />
เชน ใบสะเดา นอกจากนั้นยังมีอาการใบบวง<br />
หรือใบพันกัน เชน ใบกระเทียม โดยใบที่ถูกดูดกินจะมีอาการดางขาวและเหลืองเปนหยอมๆ<br />
และ<br />
ปลายใบจะมวนงอลงพับกัน เปนตน (วัฒนา, 2544ข; Jeppson et al., 1975)<br />
การควบคุมแมลงและไรศัตรูพืช<br />
การควบคุมแมลงและไรศัตรูพืชที่ไดผลมีหลายวิธี<br />
เชน การควบคุมโดยวิธีเขตกรรม วิธี<br />
กล ใชกับดักลอแมลง ใชพืชพันธุตานทานแมลง<br />
ใชสารฆาแมลง และการควบคุมโดยชีววิธี เชน<br />
การใชตัวหํ้<br />
า ตัวเบียน หรือเชื้อจุลินทรีย<br />
(McMurtry et al., 1970; Heinz and Nelson, 1996;<br />
Knutson and Coulson, 1997; Hough-Goldstein, 1998; Letourneau, 1998; Duan and<br />
Messing, 2000) โดยอาจจะนํ าวิธีใดวิธีหนึ่งมาใช<br />
หรือใชการควบคุมโดยผสมผสานหลายวิธีเขา<br />
ดวยกัน แตวิธีที่เปนที่นิยมอยางกวางขวางในหมูเกษตรกรก็คือการใชสารเคมี<br />
เนื่องจากใชได<br />
สะดวกและเห็นผลรวดเร็ว ดังจะเห็นไดจากสถิติการนํ าเขาสารเคมีเพื่อใชภายในประเทศซึ่งเพิ่ม<br />
มากขึ้นทุกป<br />
เชนในป พ.ศ. 2500 มีการนํ าเขาสารเคมีเปนมูลคา 25 ลานบาท และเมื่อป<br />
2543 มี<br />
การนํ าเขาสารเคมีเพื่อใชกํ<br />
าจัดแมลงและไรเปนมูลคาสูงถึง 3,605 ลานบาท (อภิญญา, 2543)<br />
จะเห็นไดวาอัตราการนํ าเขาเพิ่มขึ้นอยางมาก<br />
จึงเปนเรื่องที่นาวิตกถึงพิษภัยและอันตรายของสาร<br />
เคมีดังกลาว โดยเฉพาะอยางยิ่งถาหากมีการใชในปริมาณมากและไมถูกตองตามเวลา<br />
จะทํ าใหเกิด<br />
ผลเสียมากกวาผลดี โดยไรและแมลงศัตรูพืชบางชนิดเกิดความตานทานยาในเวลาอันรวดเร็ว นอก<br />
จากนั้นสารเคมียังอาจทํ<br />
าลายศัตรูธรรมชาติของแมลงและไรศัตรูพืชอีกดวย (Helle, 1965;<br />
Cranham and Helle, 1985; Jepson, 1989; Follett, 2000) Meyer (1981) กลาววา สารเคมี<br />
ที่ใชในไรสมจะทํ<br />
าลายศัตรูธรรมชาติของไรแดงสม และทํ าใหไรแดงสมเกิดการระบาดอยางรุนแรง<br />
9
การใชศัตรูธรรมชาติควบคุมศัตรูพืชทางการเกษตร (biological control) เปนวิธีการ<br />
หนึ่งที่ไดรับความสนใจจากนักวิชาการกํ<br />
าจัดศัตรูพืชในหลายประเทศ ศัตรูธรรมชาติประเภทตัวหํ้<br />
า<br />
ไดแก มวนพิฆาต แมลงปอ แมลงชางปกใส แมลงวันหัวบุบ ดวงเตาลาย ดวงดิน ตั๊กแตนตํ<br />
าขาว<br />
และหนอนแมลงวันดอกไม เปนตน (Whitcomb and Godfrey, 1991; Raffa and Dahlsten,<br />
1995; Evans and England, 1996; Yasuda, 1998; Yeargan, 1998) แมลงธรรมชาติอีกกลุมที่<br />
นิยมนํ ามาใชมาก ไดแก แมลงเบียน เชน แมลงวันกนขน ตอเบียน แตนเบียน แตนเบียนไข และ<br />
แตนเบียนฝอย (Greany et al., 1977; Saxena, 1977; Sithananthan and Solayappan, 1980;<br />
Wharton, 1989; Follett et al., 2000)<br />
ในประเทศไทยไดมีการนํ าแมลงตัวหํ้<br />
าและแมลงตัวเบียนมาใชควบคุมแมลงศัตรูพืช เชน<br />
การใชแมลงวันตัวหํ้<br />
าสกุล Coenosia ควบคุมแมลงวันหนอนชอนใบ Liriomyze huidobrensis<br />
(Blanchard) (อัมพร, 2544) การใชตัวออนและตัวเต็มวัยของมวนพิฆาต Eocanthecona<br />
furcellata (Woff) ทํ าลายหนอนกระทูหอมและหนอนกระทูผัก การใชแตนเบียนไข<br />
Trichogramma confusum Viggiani ควบคุมหนอนกอลายเล็กและหนอนกอลายใหญศัตรูออย<br />
และการใชแตนเบียน Diachasmimorpha longicaudata Ashmead ควบคุมแมลงวันผลไม เปนตน<br />
(รัตนา, 2544)<br />
การควบคุมหนอนกระทูผัก<br />
(S. litura) มีหลายวิธี เชน การใชแตนเบียนหนอน Cotesia<br />
sp. หรือใชตัวเต็มวัยของมวนพิฆาต E. furcellata (Martin et al., 1981; Yasuda, 1997) หรือ<br />
การใชเชื้อจุลินทรีย<br />
เชน การใชเชื้อรา<br />
Nomuraea rileyi (Farlow) Samson (Devi, 1995) หรือใช<br />
เชื้อไวรัส<br />
NPV ในอัตรา 30 มิลลิลิตร/นํ้<br />
า 20 ลิตร ฉีดพนในชวงเวลาเย็นทุก 5 วันเมื่อพบวามี<br />
หนอนลงทํ าลายพืช (อุทัย, 2544) นอกจากนี้ยังมีการใชสารระงับการลอกคราบ<br />
เชน คลอรฟูอา<br />
ซูรอน อัตรา 20 มิลลิลิตร/นํ้<br />
า 20 ลิตร ฉีดพนเมื่อแมลงมีการระบาดมากๆ<br />
โดยกํ าหนดชวงพน<br />
5-7 วันติดตอกันจนกวาการระบาดจะลดลง (ปยรัตน, 2542) หรืออาจจะมีการนํ าวิธีกลมาใชรวม<br />
ดวย โดยการเก็บกลุมไขและหนอนนํ<br />
าไปทํ าลาย ซึ่งพบวาไดผลดีและลดการระบาดลงไดอยางมี<br />
ประสิทธิภาพ<br />
การใชไรตัวหํ้<br />
าควบคุมไรศัตรูพืชนั้น<br />
เปนที่นิยมมากในแถบยุโรปและอเมริกา<br />
จนกระทั่ง<br />
มีการผลิตไรตัวหํ้<br />
าหลายชนิดเปนการคา ไรตัวหํ้<br />
าที่มีการผลิตเปนการคา<br />
ไดแก Phytoseiulus<br />
persimilis Athias-Henriot, Amblyseius californicus (McGregor) และ Metaseiulus<br />
occidentalis Nesbitt เปนตน (Oatman, 1969; Oatman et al., 1977; Goodwin and Schicha,<br />
1979; Messing, 2000) ไรตัวหํ้<br />
าจับไรศัตรูพืช เชน ไรแมงมุม ไรขาว และไรสี่ขาเปนอาหาร<br />
นอกจากนั้นยังสามารถกินไขของแมลงเล็กๆ<br />
เชน เพลี้ยหอยและแมลงหางดีดอีกดวย<br />
(อังศุมาลย,<br />
10
2534) ไรตัวหํ้<br />
ามีหลายชนิดแตที่นิยมใชสวนใหญเปนไรตัวหํ้<br />
าในวงศ Phytoseiidae ไรตัวหํ้<br />
าที่พบ<br />
มากในประเทศไทยคือ Amblyseius longispinosus (Evans) ซึ่งสามารถนํ<br />
ามาใชควบคุมไรแมงมุม<br />
สองจุดศัตรูของสตรอเบอรี่ได<br />
โดยไรตัวหํ้<br />
าสามารถควบคุมไรแมงมุมชนิดนี้ไดเปนเวลานาน<br />
10-<br />
12 สัปดาหติดตอกัน (มานิตา, 2544)<br />
นอกจากตัวหํ้<br />
าและตัวเบียนแลว เชื้อจุลินทรียหลายชนิดก็มีประสิทธิภาพในการควบคุม<br />
แมลงและไรศัตรูพืช เชน เชื้อรา<br />
ไวรัส แบคทีเรีย โปรโตซัว และริกเคทเซีย (Hoyt, 1969;<br />
Jeppson et al., 1975; McCoy, 1985; McCoy et al., 1988; Boucias and Pendlan, 1998;<br />
Fuka, 1998) ปจจุบันเชื้อจุลินทรียไดรับความสนใจในการนํ<br />
ามาใชกํ าจัดศัตรูพืชอยางกวางขวาง<br />
เนื่องจากเปนวิธีกํ<br />
าจัดแมลงและไรที่ดีที่สุดอีกวิธีหนึ่ง<br />
จึงไดมีการนํ าเชื้อจุลินทรียเหลานี้มาพัฒนา<br />
ขีดความสามารถ เพื่อนํ<br />
ามาใชควบคุมแมลงและไรศัตรูพืชตอไป นอกจากการใชเชื้อจุลินทรียโดย<br />
ตรงแลว จุลินทรียบางชนิดจะสรางสารพิษซึ่งทํ<br />
าลายแมลงและไรศัตรูพืชไดอีกดวย<br />
เชื้อราทํ<br />
าลายแมลงและไรศัตรูพืช<br />
เชื้อราเปนจุลินทรียที่พบมากในธรรมชาติ<br />
เชื้อราหลายชนิดมีความสัมพันธกับแมลงโดย<br />
ทํ าใหแมลงเกิดโรค หรือสรางสารพิษที่ทํ<br />
าใหแมลงตายได เชื้อราที่นิยมใชในการกํ<br />
าจัดแมลงมี<br />
หลายชนิด เชน B. bassiana กอโรคกับเพลี้ยกระโดดสีนํ้<br />
าตาล เพลี้ยออน<br />
และมีรายงานวาสามารถ<br />
กอโรคกับตัวออนแมลงทุกระยะรวมทั้งตัวเต็มวัยดวย<br />
(Khetan, 2001; Hajek and Butler,<br />
2000) เชื้อ<br />
Verticillium sp. ทํ าใหเพลี้ยออน<br />
เพลี้ยแปง<br />
และเพลี้ยหอยเปนโรคได<br />
(Hall, 1981)<br />
และเชื้อ<br />
Cordyceps sp. กอโรคกับแมลงในอันดับ Hymenoptera, Coleoptera, Lepidoptera,<br />
Hemiptera, Isoptera และ Orthoptera เปนตน ในป ค.ศ. 1978 McCoy and Couch รายงานวา<br />
มีเชื้อราหลายชนิด<br />
เชน Entomophthora spp., Triplosporium tetranychi Lipa, Triplosporium<br />
floridanum Lipa, Paecilomyces eriophytes (Massee) และ H. thompsonii ซึ่งสามารถนํ<br />
ามาใช<br />
กํ าจัดไรศัตรูพืชได โดยเฉพาะไรสี่ขาและไรแมงมุม<br />
เชื้อรากับการกอใหเกิดโรค<br />
การสัมผัสระหวางสปอรของเชื้อรากับสิ่งมีชีวิตที่เชื้อราอาศัยอยู<br />
เปนขั้นตอนเริ่มตนของ<br />
การกอใหเกิดโรค ในกรณีของเชื้อราที่กอโรคกับแมลงสวนใหญ<br />
จะมีลมเปนตัวพัดพาสปอรมาตก<br />
ในที่ตางๆ<br />
การสัมผัสระหวางสปอรของเชื้อรากับผิวแมลงเกิดขึ้นแบบสุม<br />
โอกาสที่เชื้อจะเจริญจน<br />
กอใหเกิดโรคกับแมลงไดขึ้นอยูกับลักษณะของเชื้อ<br />
การแพรกระจาย สภาวะอากาศ จํ านวนสปอรที่<br />
ปลิวมาติดตามผนังลํ าตัว และคุณสมบัติของผนังลํ าตัวของสัตวอาศัย (Locke, 1984; Dillon and<br />
11
Charnley, 1991; Eisemann และ Binnington, 1994) Robert (1970) รายงานวา infective<br />
unit ของเชื้อราที่กอโรคมีทั้งชนิดที่เคลื่อนที่ได<br />
(zoospore) และเคลื่อนที่ไมได<br />
(spore) สปอรของ<br />
เชื้อราบางชนิดที่เคลื่อนได<br />
(motile spore) จะเคลื่อนที่เขาหาตัวสัตวอาศัยไดเอง<br />
เชน zoospore<br />
ของ Ahanomyces หรือ zygote ของ Coelomomyces เชื้อราจะถูกดึงดูดเขาหาสัตวอาศัยโดยการ<br />
เหนี่ยวนํ<br />
าของสารเคมีที่ปลอยออกมาจากลํ<br />
าตัวของสัตวอาศัยโดยตรง<br />
การงอกของสปอรเปนขั้นตอนสํ<br />
าคัญในการกอโรค สปอรจะงอกไดดีเพียงใดขึ้นอยูกับ<br />
ชนิดของเชื้อราและปจจัยภายนอก<br />
เชน ความเปนกรด-ดาง อุณหภูมิ ความชื้น<br />
และแสง เมื่อ<br />
สปอรของเชื้อรางอก<br />
germ tube จะแทงทะลุเขาสูผิวหนังของสัตวอาศัย<br />
(Fuka, 1998) Miller<br />
(1995) รายงานวา สปอรของ Erynia neoaphidis Remaudiere & Hennebert สามารถงอกและทํ า<br />
ใหเพลี้ยไฟตายได<br />
การที่สปอรจะเขาไปภายในรางกายของสัตวอาศัยไดนั้น<br />
ขึ้นอยูกับความสามารถ<br />
ของ germ tube ที่จะแทงทะลุผานผนังลํ<br />
าตัวชั้นนอกสุดเขาไปภายใน<br />
เนื่องจากผนังลํ<br />
าตัวชั้นนอก<br />
สุดจะแข็งและหนา เปนเกราะปองกันการเขาทํ าลายของเชื้อรา<br />
ดังนั้นแมลงที่ไดรับบาดเจ็บหรือมี<br />
บาดแผลจะถูกไรเขาทํ าลายไดงายขึ้น<br />
โดยทั่วไปแมลงจะมีระบบคุมกันการเขาทํ<br />
าลายจากเชื้อจุลินทรียอยูภายในลํ<br />
าตัว แตก็มี<br />
บางสวนบกพรองทํ าใหเชื้อราสามารถเขาไปกอโรคภายในชองวางของลํ<br />
าตัวได เชน หนอนผีเสื้อ<br />
หลายชนิดจะมีปฏิกิริยาปองกันการเขาทํ าลายของเชื้อรากอโรค<br />
(Ignoffo et al., 1973) ดังนั้นเชื้อ<br />
ราจึงตองมีการพัฒนาหลายขั้นตอน<br />
เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาการตอบโตของแมลง<br />
ซึ่งปฏิกิริยาตอบ<br />
โตของแมลงนี้สามารถเกิดขึ้นไดเองจากสวนของโปรโตพลาสซึมในนํ้<br />
าเลือดของแมลง และ<br />
ปฏิกิริยานี้เกิดขึ้นไดทั้งในสิ่งมีชีวิตและในหลอดทดลอง<br />
(Latge et al., 1988)<br />
เชื้อราหลายชนิดสามารถผลิตสารพิษ<br />
ซึ่งเกิดจาก<br />
secondary metabolites และใชทํ าลาย<br />
แมลงได เชื้อราบางสายพันธุสรางสารพิษ<br />
ไดมากกวา 1 ชนิด เชน B. bassiana สรางสารพิษชื่อ<br />
Beauvericin, Bassianolide และ Oosporein (Suzuki et al., 1977; Kanaoka et al., 1978;<br />
Qudri et al., 1989; Zizka and Weiser, 1993; Gupta et al., 1995) เชื้อ<br />
M. anisopliae สราง<br />
สารพิษชื่อ<br />
Destruxins (A-E), Cytochalasins และ Swainsonine (Suzuki et al., 1970; James<br />
et al., 1993; Sloman and Reynolds, 1993; Wahlman and Davidson, 1993) สวนเชื้อ<br />
Verticillium และ Fusarium สรางสารพิษชนิดเดียว คือ Cyclosporin A และเชื้อ<br />
H. thompsonii<br />
สรางสารพิษชื่อ<br />
Hirsutellin A และ Hirsutellin B เปนตน (Mazet and Vey, 1995; Liu et al.,<br />
1995; Omoto and McCoy, 1998)<br />
12
เชื้อราหลายชนิดสามารถกํ<br />
าจัดศัตรูพืชไดผลดี จึงทํ าใหมีผูประกอบการหลายบริษัทผลิต<br />
เชื้อราออกจํ<br />
าหนายในทองตลาด ปจจุบันเชื้อราหลายชนิดยังคงใชกันอยางแพรหลายในหลาย<br />
ประเทศ (ตารางที่<br />
1)<br />
ตารางที่<br />
1 Trade names of commercial or experimental preparations of fungi formulated<br />
as microbial insecticides<br />
Fungal species Trade name Producer<br />
Aschersonia aleyrodis Aseronija All Union Inst. (USSR)<br />
Beauveria bassiana Biotrol FBB Nutrilite Products (US)<br />
Boverin Glavmikrobioprom (USSR)<br />
ABG-6178 Abbott Laboratories (US)<br />
Hirsutella thompsonii Mycar Abbott Laboratories (US)<br />
Metarhizium anisopliae Biotrol FMA Nutrilite Products (US)<br />
Metaquino CODECAP (Brazil)<br />
Verticillium lecanii Vertalec Tate and Lyle (England)<br />
Mycotol Tate and Lyle (England)<br />
ที่มา:<br />
(Falcon, 1985)<br />
13
เชื้อรา<br />
Hirsutella thompsonii<br />
ประวัติและความสํ าคัญ<br />
Speare and Yothers ทํ าการแยกเชื้อราชนิดนี้จากซากของไรสนิมสม<br />
Phyllocoptruta<br />
oleivora (Ashmead) ในมลรัฐ Florida ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อป<br />
ค.ศ. 1924 โดยซากของไร<br />
สนิมสมที่มีเชื้อราเขาทํ<br />
าลายจะมีสีนํ้<br />
าตาลออน แหงติดอยูตามผิวใบและผลสม<br />
เมื่อนํ<br />
ามาศึกษาดวย<br />
กลองจุลทรรศนพบเสนใยของเชื้อราอยูภายในลํ<br />
าตัว เสนใยบางสวนแทงทะลุผนังลํ าตัวออกสูภาย<br />
นอก เชื่อกันวาเชื้อรานี้มีความเปนอยูแบบปรสิต<br />
(parasite) เจริญเติบโตไดโดยรับอาหารจากไร<br />
แลวทํ าใหไรตาย ตอมา Fisher (1950) ไดตั้งชื่อเชื้อราชนิดนี้วา<br />
Hirsutella thompsonii หลังจาก<br />
นั้น<br />
McCoy and Kanavel (1969a); McCoy et al. (1971) สามารถแยกเชื้อราชนิดนี้และทํ<br />
าการ<br />
ขยายพันธุ โดยเลี้ยงบนอาหารเทียมไดสํ<br />
าเร็จ และเมื่อนํ<br />
ากลับมาใชในสภาพธรรมชาติก็สามารถชัก<br />
นํ าใหไรเปนโรคไดอีก<br />
H. thompsonii เปนเชื้อราศัตรูธรรมชาติที่ทํ<br />
าลายไรศัตรูพืช โดยเฉพาะไรในวงศ<br />
Eriophyidae, Diptilomiopidae และ Tetranychidae (Baker and Neunzig, 1968; McCoy and<br />
Selhime, 1977; Gerson et al., 1979; Samson and McCoy, 1982) ไรสี่ขาซึ่งเปนสัตวอาศัย<br />
ของเชื้อรา<br />
H. thompsonii มีหลายชนิด เชน Citrus rust mites (P. oleivora), citrus bud mite<br />
(Eriophyes sheldonii (Ewing)), blueberry bud mite (Acalitus vaccinii (Keifer)) และ<br />
coconut mites (Eriophyes guerreronis (Keifer)) เปนตน (Baker and Neunzig, 1968; McCoy<br />
and Kanavel, 1969b; McCoy and Selhime, 1977; McCoy and Couch, 1978; Hall et al.,<br />
1980) นอกจากเชื้อราจะเปนศัตรูที่สํ<br />
าคัญของไรสี่ขาแลว<br />
ยังทํ าลายไรแมงมุมซึ่งเปนศัตรูที่สํ<br />
าคัญ<br />
ของพืชอีกหลายชนิด เชน Eutetranychus banksi (McGregor), Eutetranychus sexmaculatus<br />
(Riley), Panonychus citri (McGregor), Tetranychus cinnabarinus (Boisduval) และ<br />
Eutetranychus mietolis (Klein) เปนตน (McCoy and Selhime, 1977)<br />
อังศุมาลย (2528ข) พบเชื้อรา<br />
H. thompsonii ในประเทศไทยเปนครั้งแรก<br />
โดยแยก<br />
เชื้อไดจากซากของไรสนิมสมซึ่งระบาดอยูในสวนสมที่ไมไดรับการพนยาปราบศัตรูพืช<br />
ในอํ าเภอลํ า<br />
ลูกกา จังหวัดปทุมธานี เมื่อนํ<br />
าเชื้อรามาแยกใหบริสุทธิ์แลวพบวามีอยู<br />
2 สายพันธุ<br />
คือ H.<br />
thompsonii var. thompsonii และ H. thompsonii var. synnematosa นอกจากนี้ยังพบเชื้อราชนิด<br />
นี้ทํ<br />
าลายไรสี่ขาบนขนุนและมะกอกฝรั่ง<br />
รวมทั้งไรแมงมุมของถั่วเหลืองและถั่วเขียวอีกดวย<br />
เชื้อ<br />
ราชนิดนี้แพรระบาดมากในชวงที่มีอากาศเย็น<br />
(เดือนกันยายน-กุมภาพันธ) การสํ ารวจไรศัตรูพืช<br />
ในบริเวณที่มีการใชสารเคมีกันมาก<br />
พบวาไมมีเชื้อราชนิดนี้ลงทํ<br />
าลายไรเลย<br />
14
อนุกรมวิธานของเชื้อรา<br />
Hirsutella thompsonii<br />
Speare and Yothers (1924); Mains (1951); Hughes (1953); Muller and von<br />
Arx (1973); Minter and Brady (1980); Samson et al. (1980) ไดจัดเชื้อรา<br />
H. thompsonii<br />
ไวในกลุม<br />
fungi Imperfecti โดยมีลํ าดับทางอนุกรมวิธาน ดังนี้<br />
Kingdom Plant<br />
Subdivision Deuteromycetes<br />
Class Hyphomycetes<br />
Order Moniliales (Hyphales)<br />
Family Moniliaceae<br />
Genus Hirsutella<br />
Species thompsonii<br />
Samson et al. (1980) ศึกษาลักษณะทางสัณฐานวิทยาของเชื้อรา<br />
H. thompsonii ซึ่ง<br />
เก็บรวบรวมไดจากสถานที่ตางๆ<br />
หลายแหง พบวาเชื้อรา<br />
H. thompsonii มีอยู<br />
3 สายพันธุดวยกัน<br />
คือ สายพันธุ<br />
thompsonii, vinacea, และ synnematosa โดยสายพันธุ<br />
thompsonii มีถิ่นกํ<br />
าเนิดและ<br />
ระบาดอยูในแถบอบอุนกึ่งรอน<br />
สวนสายพันธุ<br />
vinacea ซึ่งพบอยูในซากของไร<br />
Acalitus vaccinii<br />
(Keifer) ระบาดอยูในมลรัฐ<br />
North Carolina ประเทศสหรัฐอเมริกา และสายพันธุ<br />
synnematosa<br />
พบเฉพาะในเขตรอนเทานั้น<br />
ในป ค ศ. 1981 McCoy สามารถแยกเชื้อราสายพันธุ<br />
synnematosa<br />
ไดจากไรสี่ขา<br />
3 ชนิดคือ E. sheldoni, E. guerreronis และ Colomerus novahebridensis Keifer<br />
อังศุมาลย (2543ข) แยกเชื้อสายพันธุเดียวกันนี้จากซากไรสี่ขาในประเทศไทยไดมากกวา<br />
113 ไอ<br />
โซเลท<br />
สัณฐานภายนอกของเชื้อรา<br />
Hirsutella thompsonii<br />
อังศุมาลย และ อุไรวรรณ (2532); Samson et al. (1980) รายงานสัณฐานภายนอก<br />
ของเชื้อ<br />
H. thompsonii var. synnematosa ไววา โคโลนีมีลักษณะพองฟูเล็กนอย สีเขียวอมเทา<br />
เสนใยมีขนาดเสนผานศูนยกลาง 1.7–3.5 ไมครอน และมีผนังกั้น<br />
บริเวณดานขางมี phialidelike<br />
structure (conidiogeneus cell) ลักษณะของ phialide รูปรางคลายขวดคอคอดงอกตั้งฉากกับ<br />
เสนใยโดยมีสวนฐานเปนรูปกรวยหรือรูปไข ตอนปลายคอดลงเปนคอขวดเล็กๆ และมี sterigma<br />
เปนกานสั้นๆ<br />
ใชเปนที่ยึดเกาะของเซลลสืบพันธุหรือ<br />
conidia phialide มีความยาวโดยเฉลี่ย<br />
7.75<br />
ไมครอน แตละ phialide จะหางกันประมาณ 51.88 ไมครอน โดยทั่วไป<br />
phialide แตละอันจะ<br />
15
ผลิต conidia ที่เรียกวา<br />
primary conidia จํ านวน 1-2 อัน ซึ่งมีรูปรางกลม<br />
และมีผิวเรียบจนถึง<br />
ขรุขระ ขนาดเสนผานศูนยกลาง 2.5-4.5 ไมครอน (van Winkelhoff and McCoy, 1984) นอก<br />
จากนั้นเชื้อราสายพันธุนี้ยังสราง<br />
polyblastic conidiogenous cell ซึ่งผลิต<br />
polyblastic conidia รูป<br />
รางเปนวงรีไดหลายอัน conidia ชนิดนี้มีขนาด<br />
5.0-8.0x2.0-2.5 ไมครอน<br />
เมื่อเชื้อรามีอายุประมาณ<br />
2 อาทิตยจะพบกลุมของเสนใยเกิดการมัดรวมกันเปนจํ<br />
านวน<br />
มากเรียกวา synnemata ซึ่งมีรูปทรงกระบอก<br />
ลักษณะคลายเขาสีชมพูออนหรือสีครีม ยาวประมาณ<br />
7 เซนติเมตร เสนใยบน synnemata จะสราง phiailde และ conidia ไดเชนเดียวกับเสนใยปกติ<br />
แตรูปรางและความหนาแนนของ conidia จะขึ้นอยูกับตํ<br />
าแหนงที่พบ<br />
นอกจากนั้นพื้นผิวของ<br />
conidia ที่เกิดบน<br />
synnemata จะขรุขระเชนเดียวกับ conidia ที่พบทั่วไป<br />
เสนใยที่มีอายุมากจะ<br />
สราง chlamydoconidia ลักษณะเปนกระเปาะๆ อยูภายในเสนใย<br />
ซึ่งมีสาเหตุมาจากอาหารเริ่มขาด<br />
แคลน ดังนั้นการสราง<br />
chlamydoconidia จึงเปนวิธีการหนึ่งที่จะชวยใหเชื้อราอยูรอดในสภาพที่อด<br />
อาหาร และพรอมที่จะขยายพันธุตอไปไดเมื่อสภาวะแวดลอมเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง<br />
เสนใยของเชื้อราที่เลี้ยงในอาหารเหลวจะมีผิวเรียบกวาเสนใยของเชื้อราที่เลี้ยงบนวุน<br />
อาหาร และมีการสราง chlamydoconidia เชนเดียวกับเสนใยที่เลี้ยงบนวุนอาหาร<br />
เชื้อรา<br />
H.<br />
thompsonii สายพันธุ<br />
synnematosa อาจสราง conidia เมื่อเลี้ยงในอาหารเหลวได<br />
คุณสมบัตินี้จะ<br />
แตกตางจากสายพันธุ<br />
thompsonii ที่ไมสามารถสราง<br />
conidia ในอาหารเหลว (McCoy et al.,<br />
1972) conidia ที่เชื้อราสรางในอาหารเหลวจะมีผนังเรียบจนถึงคอนขางขรุขระ<br />
ซึ่งตางกับ<br />
conidia ที่เชื้อราสรางบนอาหารแข็งอยางเห็นไดชัด<br />
conidia ที่ผลิตในอาหารเหลวมีอัตราการงอก<br />
5.2–12.9%<br />
สัณฐานภายในของเชื้อรา<br />
Hirsutella thompsonii<br />
อังศุมาลย และ อุไรวรรณ (2532) ศึกษาลักษณะภายในของเชื้อรา<br />
H. thompsonii var.<br />
synnematosa ภายใตกลอง Transmission electron microscope พบวาภายในเสนใยมีองค<br />
ประกอบที่สํ<br />
าคัญตอการดํ ารงชีวิตของเซลลคือ nucleus, nuclear membrane และ mytochondria<br />
ผนังของ phialide และ conidia จะหนาและมี peg-like structure ซึ่งเกิดจาก<br />
gelatinous layer<br />
ปรากฏอยู ชัดเจน นอกจากนั้นภาพตัดตามยาวและตามขวางของ<br />
synnemata ยังแสดงใหเห็นวา<br />
โครงสรางนี้ประกอบดวยเสนใยที่มีผนังหนาและเรียงตัวกันตามยาวอยางมีระเบียบ<br />
16
การเจริญเติบโตของเชื้อราบนอาหารเลี้ยงเชื้อ<br />
McCoy et al. (1972) ศึกษาสูตรอาหารเหลวสํ าหรับเลี้ยงเชื้อรา<br />
H. thompsonii var.<br />
thompsonii พบวา สูตรอาหารที่เหมาะสมซึ่งจะใหผลดีตอการเจริญเติบโตของเสนใยในอาหาร<br />
เหลวประกอบดวยแหลงของคารบอน คือ dextrose 5 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร หรือ sucrose 10<br />
มิลลิกรัม/มิลลิลิตร และแหลงของไนโตรเจน คือ yeast extract 5 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร และ<br />
peptone 0.5 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร และยังพบอีกวาเชื้อราไมสราง<br />
conidia เมื่อทํ<br />
าการเพาะเลี้ยงใน<br />
อาหารเหลว ตอมาในป ค.ศ. 1978 McCoy et al. ไดศึกษาสูตรอาหารเหลวที่เหมาะกับการผลิต<br />
เชื้อ<br />
H. thompsonii var. thompsonii ในระดับอุตสาหกรรม โดยทดลองใชสูตรอาหารที่ประกอบ<br />
ดวยกากนํ าตาลโมลาสและถั ้ ่วเหลืองในการผลิตเสนใย พบวา อาหารที่ประกอบดวยกากนํ้<br />
าตาลโม<br />
ลาส 2% และถั่วเหลือง<br />
8% เปนแหลงของคารบอนและไนโตรเจน และปรับคาความเปนกรด-ดาง<br />
ของอาหารเหลวที่<br />
7.5 จะใหนํ้<br />
าหนักมวลชีวภาพของเสนใย (fungal biomass) สูงสุด<br />
Samson et al. (1980) เลี้ยงเชื้อราสายพันธุ<br />
synnematosa บน Malt extract agar<br />
(MEA) ที่อุณหภูมิ<br />
25 องศาเซลเซียส เปนเวลา 14 วัน พบวาเชื้อราเจริญเติบโตไดดี<br />
โดยมีเสน<br />
ผานศูนยกลางของโคโลนี 20-25 มิลลิเมตร<br />
อังศุมาลย (2530) ทดลองเลี้ยงเชื้อรา<br />
H. thompsonii 2 สายพันธุคือ<br />
synnematosa<br />
และ thompsonii บนวุนอาหาร<br />
MEA และรายงานวา โคโลนีของสายพันธุ<br />
synnematosa มีลักษณะ<br />
คอนขางฟู สีขาวอมเทา กลุมของเสนใยสีขาวจะเกิดการมัดรวมกันของเสนใยจํ<br />
านวนมากกลายเปน<br />
แทงยาวรูปทรงกระบอก เรียกวา synnemata ซึ่งมีสีชมพูออนหรือสีครีม<br />
synnemata มักขึ้นตาม<br />
ขอบของโคโลนี มีความยาวประมาณ 7 เซนติเมตร และกวาง 0.5-1.5 มิลลิเมตร (Samson et<br />
al., 1980) phialide ที่บริเวณ<br />
synnemata จะเรียวเล็กลง สวนสายพันธุ<br />
thompsonii ลักษณะโค<br />
โลนีจะพองฟู สีเทาเขมจมเกือบดํ า และไมสราง synnemata<br />
synnemata ที่สรางบนวุนอาหารแตละชนิด<br />
จะมีจํ านวน รูปรางลักษณะ และระยะเวลา<br />
การสรางที่แตกตางกัน<br />
เชื้อราจะเริ่มสราง<br />
synnemata ในอาหาร MEA เมื่อโคโลนีมีอายุประมาณ<br />
2 อาทิตย อังศุมาลย และ อุไรวรรณ (2532) กลาววา การสราง synnemata อาจหายไปเมื่อเลี้ยง<br />
เชื้อราบนวุนอาหารเปนเวลานาน<br />
พื้นผิวภายนอกของ<br />
synnemata ประกอบดวยเสนใยที่เรียงตัว<br />
กันตามแนวยาว เบียดชิดกันและคอนขางมีระเบียบตลอดความยาว<br />
17
อังศุมาลย และ อุไรวรรณ (2532) ไดทดลองเลี้ยงเชื้อรา<br />
H. thompsonii var.<br />
synnematosa บนวุ นอาหาร 4 ชนิดพบวา Sabourand dextrose agar (SDA) เปนอาหารที่เหมาะ<br />
สํ าหรับเลี้ยงเชื้อราชนิดนี้มากที่สุด<br />
รองลงมาคือ Malt extract agar (MEA), Potato dextrose<br />
agar (PDA) และ modified V-8 juice agar (V-8) ตามลํ าดับ เมื่อเชื้อรามีอายุมากขึ้นจะเริ่ม<br />
สราง chlamydoconidia ไวสํ าหรับสืบพันธุ<br />
การเลี้ยงเชื้อราในอาหารธรรมชาติ<br />
คือ เมล็ดขาวโพด,<br />
เมล็ดขาวโพด+นํ้<br />
าขาว, เมล็ดขาวโพด+นํ้<br />
าขาว+วิตามิน B-complex, เมล็ดขาวโพดบดหยาบ,<br />
เมล็ดขาวฟาง และขาวเปลือก จะใหจํ านวน conidia มากกวาเมื่อเลี้ยงดวยเมล็ดขาวโพดผสมดิน<br />
รวนอยางมีนัยสํ าคัญทางสถิติ และปริมาณ conidia ที่ไดจากการเลี้ยงในอาหารธรรมชาติจะสูงกวา<br />
เมื่อเลี้ยงดวยวุนอาหาร<br />
MEA, SDA, PDA หรือ V-8<br />
ปจจัยที่มีผลตอการเจริญเติบโตของเชื้อรา<br />
อุณหภูมิและความชื้นเปนปจจัยที่มีผลกระทบตอการเจริญเติบโตของเชื้อราและปริมาณ<br />
การสราง conidia เชื้อรา<br />
H. thompsonii เปนพวกที่ชอบอุณหภูมิระดับกลาง<br />
(mesothermophile)<br />
อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตอยูระหวาง<br />
25-30 องศาเซลเซียส โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ย<br />
27 องศาเซลเซียส Kenneth et al. (1979) พบวา H. thompsonii var. thompsonii จะเจริญเติบ<br />
โตไดในชวงอุณหภูมิระหวาง 5-37 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธในบรรยากาศ<br />
90-100%<br />
Gerson et al. (1979) รายงานวา เชื้อรา<br />
H. thompsonii var. thompsonii สามารถสราง conidia<br />
ไดมากที่สุดที่อุณหภูมิ<br />
27 องศาเซลเซียส สวนเชื้อราที่เลี้ยงในอุณหภูมิ<br />
13 และ 35 องศา<br />
เซลเซียสจะสราง conidia ไดนอย นอกจากนั้นยังพบวา<br />
germ tube สามารถมีชีวิตอยูไดในชวง<br />
ความชื้นระหวาง<br />
5-100% McCoy and Selhime (1977) พบวาปริมาณความชื้นในบรรยากาศ<br />
มีความสํ าคัญตออัตราการงอกของสปอรเมื่อกระทบกับผนังลํ<br />
าตัวไร สปอรจะงอกไดดีที่ระดับ<br />
ความชื้น<br />
90-100%<br />
อังศุมาลย และ อุไรวรรณ (2532) พบวา H. thompsonii var. synematosa ใชเวลา<br />
ประมาณ 2-3 วันในการเจริญเติบโตตั้งแตเริ่มงอก<br />
germ tube จนถึงระยะสราง conidia ขึ้นมาอีก<br />
ครั้งหนึ่ง<br />
เชื้อราสายพันธุนี้เจริญเติบโตไดดีในชวงอุณหภูมิ<br />
18-35 องศาเซลเซียส และหยุดการ<br />
เจริญเติบโตเมื่อเลี้ยงที่อุณหภูมิ<br />
37 องศาเซลเซียส อุณภูมิที่เหมาะสมตอการเลี้ยงเชื้อราแตละสาย<br />
พันธุ จะแตกตางกัน (อังศุมาลย และ อุไรวรรณ, 2532)<br />
18
ลักษณะการทํ าลายไรศัตรูพืช<br />
เชื้อราทํ<br />
าลายไรศัตรูพืชโดย conidia ของเชื้อราจะเกาะติดกับผนังลํ<br />
าตัวสวนใดสวนหนึ่ง<br />
ของไร และงอกเสนใยแทงทะลุผานผนังลํ าตัวเขาไปในชองวางภายในลํ าตัว เมื่อเชื้อราไดรับอาหาร<br />
จากภายในลํ าตัวไร จะเจริญเติบโตแตกกิ่งกานสาขาอยูภายในชองวางของลํ<br />
าตัว และทํ าลายเนื้อเยื่อ<br />
ตางๆ เชื้อราที่ทํ<br />
าลายไรสี่ขานั้นมักจะเขาไปอยูในบริเวณสวนกลางของชองวางลํ<br />
าตัวกอน หลังจาก<br />
นั้นจึงจะเริ่มพัฒนาจากบริเวณสวนกลางลํ<br />
าตัวเขาไปยังสวนหนา คือ ขาและปาก ตอมาจะเจริญไป<br />
ทางสวนทายของลํ าตัวจนถึงทวารหนัก เสนใยของเชื้อราที่เจริญอยูภายในลํ<br />
าตัวไรมีลักษณะเปนขอ<br />
ปลอง ภายในเวลา 2-3 วันเสนใยจะสราง chlamydospore รูปรางกลม เสนผานศูนยกลาง 13-<br />
22 ไมครอนอยูภายในลํ<br />
าตัวไร หลังจากที่ไรตายแลวเชื้อราจะงอกเสนใยออกสูภายนอกตามชอง<br />
เปดตางๆ หรือแทงทะลุผนังลํ าตัวออกมาเพื่อสราง<br />
conidia ตอไป conidia ที่ติดอยูกับซากไรจะมี<br />
เพียง primary conidia เทานั้น<br />
(McCoy, 1981)<br />
primary conidia มีพื้นผิวขรุขระและมี<br />
gelatinous mixture ซึ่งเปนองคประกอบสํ<br />
าคัญใน<br />
การเกาะติดผนังลํ าตัวไร และเมื่อสภาพแวดลอมมีความชื้นเพียงพอจะทํ<br />
าใหสภาพการยึดเกาะกับ<br />
ผนังลํ าตัวไรเกิดขึ้นไดดีขึ้น<br />
โดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อความชื้นสัมพัทธในอากาศสูงหรือมีนํ้<br />
าอยูบนผิว<br />
ใบ เนื่องจาก<br />
conidia จะเริ่มงอก<br />
germ tube ไดอยางรวดเร็ว (McCoy, 1985) เชื้อราจะเขา<br />
ทํ าลายไรไดสูงสุดเมื่อ<br />
conidia สัมผัสกับผนังลํ าตัวไรในสภาวะที่มีนํ้<br />
าอิสระ (free water) และใน<br />
สภาพธรรมชาติเชื้อราจะเกิดการระบาดไดมากขึ้นเมื่อมีความชื้นในรูปของนํ้<br />
าคางประมาณ 10-12<br />
ชั่วโมงตอวัน<br />
(McCoy et al., 1971; McCoy, 1978a)<br />
ไรศัตรูพืชเปนสัตวที่เคลื่อนที่ชาเมื่อเทียบกับแมลง<br />
นอกจากนั้นไรหลายชนิดโดยเฉพาะ<br />
ไรแมงมุมยังมีเสนขนตามลํ าตัวและระยางคเปนจํ านวนมาก ทํ าใหโอกาสที่<br />
conidia จะเขาไปเกาะ<br />
ติดตามผนังลํ าตัวมีคอนขางนอย ไรสี่ขามีลํ<br />
าตัวเกลี้ยง<br />
เสนขนนอย เคลื่อนไหวชากวาไรชนิดอื่นๆ<br />
และสวนมากจะจมอยูใตนํ้<br />
าคางเปนเวลานานพอที่<br />
conidia ของเชื้อราจะลอยไปเกาะกับผนังลํ<br />
าตัว<br />
ของไรไดสะดวก McCoy and Couch (1978) กลาววาผนังลํ าตัวของไรไมเปนอุปสรรคตอการ<br />
งอกของ conidia ของเชื้อรา<br />
Hirsutella แตอยางใด โดยทั่วไป<br />
conidia จะใชเวลาประมาณ 30<br />
นาทีตั้งแตเริ่มเกาะที่ผนังลํ<br />
าตัวของไรจนกระทั่งงอก<br />
germ tube McCoy et al. (1972) รายงานวา<br />
conidia จะใชเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงหลังจากสัมผัสและแทงทะลุผานผนังลํ<br />
าตัวไร และใชเวลา<br />
เฉลี่ย<br />
72 ชั่วโมง<br />
นับแตการเขาทํ าลายจนกระทั่งเสนใยสราง<br />
conidia ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง<br />
และเมื่อ<br />
เชื้อราเขาสูภายในลํ<br />
าตัวไรแลว เชื้อราสามารถทํ<br />
าลายเนื้อเยื่อภายในลํ<br />
าตัวโดยไมเลือกชนิด สวน<br />
ใหญจะใชเวลาเพียง 2-3 วันที่จะเจริญจนเต็มลํ<br />
าตัวและทํ าใหไรตาย จากนั้นจึงแทงทะลุออกสูภาย<br />
19
นอกทางชองเปดตางๆ เชน ทวารหนัก อวัยวะสืบพันธุ<br />
หรือแมแตแทงทะลุผานผนังลํ าตัวไรออก<br />
มาโดยตรง<br />
ลักษณะอาการของไรซึ่งถูกเชื้อรา<br />
H. thompsonii เขาทํ าลายในระยะแรกจะสังเกตไดยาก<br />
เนื่องจากขนาดลํ<br />
าตัวของไรเล็กมาก ไรบางชนิดจะมีสีของลํ าตัวเขมขึ้นเมื่อถูกเชื้อราชนิดนี้เขา<br />
ทํ าลาย เชน ไรสนิมสม (P. oleivora) มักมีการเปลี่ยนสีของลํ<br />
าตัวจากสีเหลืองไปเปนสีเหลืองเขม<br />
จนถึงสีนํ้<br />
าตาล (Muma et al., 1961) และไรที่ตาของบลูเบอรี่<br />
(blueberry bud mite) จะเปลี่ยนสี<br />
ลํ าตัวจากสีขาวเปนสีคลํ้<br />
าลง (Baker and Neunzig, 1968) อยางไรก็ตามการเปลี่ยนสีของผนังลํ<br />
า<br />
ตัวเพียงอยางเดียวไมเพียงพอสํ าหรับการวินิจฉัยโรค เนื่องจากไรสี่ขาหลายชนิดจะมีสีคลํ้<br />
าเมื่ออายุ<br />
มากขึ้น<br />
(McCoy, 1981)<br />
McCoy (1981) พบวา H. thompsonii var. thompsonii เปนเชื้อราที่มีประสิทธิภาพ<br />
และเปนปจจัยสํ าคัญในการลดปริมาณการทํ าลายของไรสนิมสม ในบริเวณที่มีประชากรของไรหนา<br />
แนนจนถึงระดับเศรษฐกิจ<br />
Gerson et al. (1979) พบวาเชื้อรา<br />
H. thompsonii สามารถทํ าใหไรแมงมุม<br />
Tetranychus cinnabarinus Boisduval และ Eutetranychus orientalis (Klein) เปนโรคได โดยเมื่อ<br />
ปลอยใหไรแมงมุมเดินบนกลุมของเสนใยเชื้อราเปนเวลา<br />
30-60 นาที กอนที่จะนํ<br />
าไปเลี้ยงที่<br />
อุณหภูมิ 26 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ<br />
100% จะทํ าใหไรเปนโรคถึง 84%<br />
ในป 1976 บริษัท Abbott Laboratories ประเทศสหรัฐอเมริกา ไดคัดเลือกสายพันธุ<br />
H.<br />
thompsonii var. thompsonii นํ ามาผลิตในรูปผง conidia แหง เพื่อใชกํ<br />
าจัดไรศัตรูพืชชนิดตางๆ<br />
จนกระทั่งป<br />
ค.ศ. 1981 จึงไดนํ าออกสูตลาดโดยใชชื่อผลิตภัณฑวา<br />
‘Mycar’ (McCoy, 1978b;<br />
McCoy and Couch, 1982) ผลิตภัณฑนี้เปนที่นิยมใชอยางแพรหลายอยูชวงระยะเวลาหนึ่งกอนที่<br />
จะยกเลิกการผลิตไปในป ค.ศ.1985 เนื่องจากปญหาดานการเก็บรักษาเชื้อรา<br />
ซึ่งจะตองเก็บภาย<br />
ในตู เย็นที่อุณหภูมิ<br />
4 องศาเซลเซียส ตอมาในป ค.ศ.1989 เชื้อราชนิดนี้ก็ไดรับความสนใจจาก<br />
บริษัทที่ผลิต<br />
“Mycoacaricide” อีกครั้ง<br />
โดยมีบริษัทในประเทศจีนและสหรัฐอเมริกา ทํ าการ<br />
ทดสอบประสิทธิภาพของเชื้อรา<br />
ตลอดจนหา formulation ที่เหมาะสมสํ<br />
าหรับใชกํ าจัดไรศัตรูพืชใน<br />
สภาพไร<br />
ในประเทศไทยอังศุมาลย และคณะ (2540) ไดพัฒนารูปแบบของเชื้อรา<br />
H.<br />
thompsonii var. synnematosa ที่เหมาะสมสํ<br />
าหรับนํ าไปใชในสภาพไรคือรูปแบบผง โดยพบวา<br />
อัตราความเขมขนของผงเชื้อที่เหมาะสมคือ<br />
2-4% และพัฒนารูปแบบการหมักเชื้อราในอาหาร<br />
20
ธรรมชาติ เชน ขาว ปลายขาว ขาวโพดบดหยาบและขาวซอมมือ และรายงานวาปลายขาวเปน<br />
อาหารที่เหมาะสมที่สุด<br />
เมื่อนํ<br />
าไปทดสอบในสภาพไรโดยใชมวลชีวภาพเขมขน 2-4% พบวา ไร<br />
สนิมสมแสดงอาการเปนโรค 30-35% ภายหลังการฉีดพน 10 วัน และอัตราการเกิดโรคจะสูงขึ้น<br />
ถึง 83-86% ในเวลา 30 วันหลังจากฉีดพน การเติมรํ าหยาบ ปุยหมักและวิตามิน<br />
ลงในปลาย<br />
ขาวที่ใชเลี้ยงเชื้อรา<br />
จะชวยใหปริมาณ CFU ของมวลชีวภาพสูงขึ้นดวย<br />
การผลิตสารพิษของเชื้อรา<br />
เชื้อรา<br />
H. thompsonii สามารถผลิตสารพิษไดเมื่อเลี้ยงดวยอาหารเหลว<br />
และสารพิษนี้<br />
สามารถเกิดพิษกับแมลงและไรศัตรูพืชได Vey et al. (1989) ศึกษาการสรางสารพิษของเชื้อรา<br />
Hirsutella 3 species (7 pathotypes) โดยเลี้ยงเชื้อราในอาหารเหลวสูตรตางๆ<br />
เปนเวลา 10 วัน<br />
จากนั้นนํ<br />
า crude filtrate ไปทดสอบอาการเกิดพิษกับหนอนผีเสื้อกินไขผึ้งวัยสุดทาย<br />
(Galleria<br />
mellonella (Linnaeus)) พบวาใน crude filtrate มีสารพิษที่จัดเปน<br />
toxic exocellular metabolite<br />
ซึ่งทํ<br />
าใหหนอนไมสามารถเจริญเติบโตไดตามปกติ นอกจากนั้นยังมี<br />
cytotoxic effect ตอเนื้อเยื่อ<br />
และเซลลของแมลงอีกดวย อยางไรก็ตามยังไมมีรายงานที่แนนอนเกี่ยวกับสารพิษที่เชื้อราชนิดนี้<br />
สรางขึ้นในชวงนั้น<br />
แตพบวาเปนสารประกอบโปรตีนโมเลกุลใหญ ซึ่งแตกตางจากสารพิษที่ผลิต<br />
โดย entomopathogenic fungi อื่นๆ<br />
ที่เปนสารประกอบโปรตีนโมเลกุลเล็ก<br />
Vey et al. (1989)<br />
รายงานวา H. thompsonii ทั้ง<br />
7 pathotypes มีความสามารถในการทํ าใหเกิดอาการเปนพิษขึ้นใน<br />
แมลงที่ใชทดสอบไดใกลเคียงกัน<br />
โดยทํ าใหเกิดการตายในระยะหนอน ผนังลํ าตัวของหนอนที่<br />
ตายจะมีจุดสีนํ้<br />
าตาลดํ าเปนจุดๆ กระจายอยูทั่วไป<br />
ในป ค.ศ. 1993 McCoy et al. ศึกษาการสรางสารพิษของเชื้อรา<br />
H. thompsonii โดย<br />
การหาสูตรอาหารเหลวที่เหมาะสม<br />
พรอมทั้งศึกษาชวงเวลาที่เชื้อราปลดปลอยสารพิษออกมามาก<br />
ที่สุด<br />
นอกจากนั้นยังไดทํ<br />
าการศึกษาประสิทธิภาพของสารพิษซึ่งอยูในอาหารเหลวดวยการฉีด<br />
crude filtrate จํ านวน 8 ไมโครลิตรเขาไปในหนอนผีเสื้อกินไขผึ้งวัยสุดทาย<br />
โดยใชความเขมขน<br />
25, 50 และ 100 ไมโครกรัม/ไมโครลิตร พบวา crude filtrate ทุกความเขมขนทํ าใหหนอนตาย<br />
100% ในขณะที่ไมมีหนอนตายในชุดควบคุมซึ่งไดรับ<br />
tris buffer solution ในปริมาตรที่เทากัน<br />
นอกจากนั้นยังไดทดสอบพิษกับแมลงหวี่<br />
(Drosophila melanogaster (Meigen)) โดยการใหกิน<br />
อีกดวย ผลการทดสอบประสิทธิภาพของสารพิษพบวาการเลี้ยงเชื้อราในอาหารเหลวที่มี<br />
glucose<br />
20 กรัม/ลิตร และ yeast extract 40 กรัม/ลิตร บนเครื่องเขยาที่ความเร็ว<br />
100 รอบ/นาที เปน<br />
เวลา 10 วัน ทํ าใหตัวเต็มวัยของแมลงหวี่ตาย<br />
67.6% อาหารที่มี<br />
glucose 30 กรัม/ลิตร และ<br />
yeast extract 30 กรัม/ลิตร ทํ าใหแมลงหวี่ตายเพิ่มขึ้นถึง<br />
78.8% สวนอาหารเลี้ยงเชื้อที่มี<br />
21
glucose 40 กรัม/ลิตร และ yeast extract 20 กรัม/ลิตร ทํ าใหแมลงหวี่ตายเพียง<br />
6.0% ในขณะ<br />
ที่แมลงหวี่ในชุดควบคุมซึ่งไดรับอาหารเลี้ยงเชื้อที่ไมมีเชื้อรามีอัตราการตายเพียง<br />
2.0%<br />
Mazet (1992) แยกสารพิษที่ผลิตโดย<br />
H. thompsonii สายพันธุ<br />
HTF-87 ได 2 ชนิด<br />
และตั้งชื่อวา<br />
Hirsutellin A (HtA) และ Hirsutellin B (HtB) Mazet and Vey (1995) ทํ าการ<br />
ทดสอบประสิทธิภาพของสาร Hirsutellin A พบวาสามารถทํ าใหหนอนกินไขผึ้งวัยสุดทายตาย<br />
100% ที่ระดับความเขมขน<br />
25, 50 และ 100 ไมโครกรัม/ไมโครลิตร หลังไดรับการฉีดสารพิษ<br />
เขาภายในลํ าตัวหนอนเปนเวลา 30, 25 และ 15 ชั่วโมง<br />
ตามลํ าดับ สวนลูกนํ้<br />
ายุง Aedes aegypti<br />
Linneaus ที่ไดรับสาร<br />
Hirsutellin A ที่ระดับความเขมขน<br />
20 ไมโครกรัม/ไมโครลิตร จะตาย<br />
100% ภายหลังการทดสอบ 72 ชั่วโมง<br />
Liu et al. (1996) กลาววา Hirsutellin A ยังยั้งการเจริญเติบโตของเซลลแมลง<br />
โดยจะ<br />
ยังยั้งการสังเคราะหโปรตีนและควบคุมเอ็นไซม<br />
RNase ซึ่งเปนเอ็นไซมยับยั้งการสรางโปรตีน<br />
Liu<br />
et al. (1996) ทํ าการทดสอบประสิทธิภาพของสารพิษ HtA โดยฉีด HtA จํ านวน 50 นาโนกรัม<br />
เขาไปภายในลํ าตัวของหนอนกินไขผึ้งวัยสุดทาย<br />
และรายงานวา HtA ทํ าใหหนอนตาย 80% นอก<br />
จากนั้นยังไดรายงานวา<br />
HtA ที่ระดับความเขมขน<br />
5 ไมโครโมล จะเกิดพิษสูงกับเซลลแมลงโดยจะ<br />
ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลลอีกดวย<br />
ความปลอดภัยของเชื้อราตอสัตวเลือดอุน<br />
เชื้อรา<br />
H. thompsonii มีความปลอดภัยตอสัตวเลือดอุนมาก<br />
McCoy and Heimpel<br />
(1980) ทํ าการทดสอบความเปนพิษของ H. thompsonii ตามขอบังคับของ EPA<br />
(Environmental Protection Agency) โดยทดสอบการกอใหเกิดการระคายเคืองกับตา (eye<br />
irritation) ในกระตาย และพบวาเชื้อราชนิดนี้ไมกอใหเกิดการระคายเคืองในสวนของแกวตาหรือ<br />
อันตรายใดๆ เกี่ยวกับดวงตา<br />
การทดสอบความเปนพิษตอระบบหายใจ (acute inhalation) โดย<br />
ใชหนูเปนสัตวทดลอง พบวาในชวง 14 วันหลังการทดลองหนูยังมีพฤติกรรมปกติ ไมพบการตาย<br />
และไมพบการกอโรคในปอด แตจะมีนํ าหนักตัวลดลงเล็กนอย ้ การทดสอบการระคายเคืองตอผิว<br />
หนัง (primary skin test), การเปนพิษตอผิวหนัง (acute dermal test) และการเปนพิษโดยการกิน<br />
(acute oral test) โดยใชหนูและกระตายเปนสัตวทดลอง พบวาหนูไมมีอาการระคายเคืองและไม<br />
แสดงอาการเปนพิษอันเนื่องมาจากการกินหรือจากการสัมผัสทางผิวหนัง<br />
Ignoffo et al. (1973)<br />
รายงานวาเชื้อรา<br />
H. thompsonii มีความปลอดภัยตอสัตวเลี้ยงลูกดวยนม<br />
ในป ค.ศ. 1989 Mier<br />
et al. ยืนยันผลของความปลอดภัยตอสัตวเลี้ยงลูกดวยนมโดยทํ<br />
าการทดลองกับหนูและหนูตะเภา<br />
22
นอกจากนั้นยังมีรายงานวาคณะผูทํ<br />
างานวิจัยเกี่ยวกับเชื้อรา<br />
H. thompsonii เปนเวลาติดตอกัน 3 ป<br />
ไมมีความเจ็บปวยใดๆ ที่มีสาเหตุมาจากเชื้อราชนิดนี้<br />
(McCoy et al., 1975)<br />
23
อุปกรณและวิธีการ<br />
1. การสํ ารวจและเก็บตัวอยางเชื้อราที่ทํ<br />
าลายไรศัตรูพืช<br />
1.1 การเก็บตัวอยางเชื้อรา<br />
ออกสํ ารวจและเก็บตัวอยางเชื้อราที่ทํ<br />
าลายไรศัตรูพืชในอํ าเภอทองผาภูมิ จังหวัด<br />
กาญจนบุรี โดยแบงพื้นที่สํ<br />
ารวจออกเปนเขตปา บริเวณภูเขา หมูบานที่อยูติดภูเขา<br />
และในเขตที่<br />
อยู อาศัย จุดที่เก็บตัวอยางในแตละจุดจะทํ<br />
าการวัดพิกัด UTM โดยใชเครื่อง<br />
GPS การเก็บตัว<br />
อยางกระทํ าเดือนละ 1 ครั้งเปนเวลา<br />
12 เดือน เริ่มตั้งแตเดือนพฤศจิกายน<br />
2544-พฤศจิกายน<br />
2545 เนนที่ไรแมงมุมและไรสี่ขาซึ่งเปนศัตรูสํ<br />
าคัญของพืชเศรษฐกิจหลายชนิด วิธีการเก็บตัว<br />
อยางกระทํ าโดยใชแวนขยาย (hand lens) ที่มีกํ<br />
าลังขยาย 15-20 เทา ตรวจดูตามสวนตางๆ ของ<br />
พืชที่คาดวามีไรอาศัยอยู<br />
(ภาพที่<br />
1) เมื่อพบไรหรือคราบของไรอยูบนใบพืชจะทํ<br />
าการรวบรวมใบ<br />
พืชหรือสวนของพืชที่มีไรใสในถุงพลาสติก<br />
รัดปากถุง และใชกรรไกรตัดถุงพลาสติกใหเปนรูเล็กๆ<br />
รอบถุง เพื่อใหอากาศผานเขาออกได<br />
พรอมทั้งเขียนชื่อพืช<br />
สถานที่เก็บ<br />
และวันที่เก็บบนถุงตัว<br />
อยางใหชัดเจน นํ าไปเก็บไวในถังนํ้<br />
าแข็งแหง หลังจากนั้นจึงนํ<br />
าใบที่มีไรมาตรวจหาเชื้อราที่เขา<br />
ทํ าลายไรภายใตกลองจุลทรรศน (stereo microscope) ที่กํ<br />
าลังขยาย 40 เทา (ภาพที่<br />
2) และนํ า<br />
ตัวอยางไรไปแยกเชื้อราสาเหตุที่ทํ<br />
าใหไรตายในหองปฏิบัติการตอไป<br />
1.2 การแยกเชื้อราใหบริสุทธิ์<br />
นํ าซากไรสี่ขาและไรแมงมุมที่มีเสนใยของเชื้อรางอกออกมาจากผนังลํ<br />
าตัว มาวางลงบน<br />
จานเลี้ยงเชื้อที่มีอาหาร<br />
Potato dextrose agar (PDA) บรรจุอยู<br />
โดยใชเข็มเขี่ยตัวไรวางบนจาน<br />
เลี้ยงเชื้อจานละ<br />
3-4 จุด จุดละ 1 ตัว นํ าจานเลี้ยงเชื้อไปบมในตูควบคุมอุณหภูมิ<br />
(incubator) ที่<br />
27-28 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ<br />
63-65% เปนเวลา 1-2 วัน เมื่อเสนใยของเชื้อราเริ่ม<br />
เจริญยืดยาวออกมาที่ผิวอาหาร<br />
จึงใชเข็มขนาดเล็ก (minuten pin) ติดกับปลายไมตัดสวนของเสน<br />
ใยเพื่อนํ<br />
ามาวางลงในจานลี้ยงเชื้อบรรจุอาหาร<br />
PDA และนํ าไปบมเชื้อตอในตูควบคุมอุณหภูมิอีก<br />
3 วัน จากนั้นทํ<br />
าการแยกเชื้อราที่ไดโดยการ<br />
streak ลงบนจานวุนอาหาร<br />
จนไดสายพันธุที่บริสุทธิ์<br />
(ภาพที่<br />
3) นํ าสายพันธุของเชื้อราที่แยกไดเก็บรักษาไวในหลอดอาหารผิวลาดเอียง<br />
(slant<br />
culture), เก็บภายใต paraffin oil และเก็บโดยวิธี lyophilization เพื่อทํ<br />
าการศึกษาตอไป<br />
24
ภาพที่<br />
1 การเก็บตัวอยางไรศัตรูพืช<br />
ภาพที่<br />
2 การแยกไรศัตรูพืชออกจากใบพืช<br />
25
ก<br />
ค<br />
ภาพที่<br />
3 การแยกเชื้อราใหบริสุทธิ์<br />
ก) ซากไรสี่ขาวางอยูบน<br />
PDA อายุ 2 วัน ข) ตัดสวนของเสนใยมาเลี้ยงใหม<br />
ค) โคโลนีที่ไดจากการยายเสนใยมาเลี้ยง<br />
อายุ 7 วัน และ ง) streak เชื้อจน<br />
บริสุทธิ์<br />
ข<br />
ง<br />
26
1.3 การเตรียมตัวอยางไรศัตรูพืชเพื่อวิเคราะหชนิดของไร<br />
การทํ าสไลดไรสี่ขากระทํ<br />
าโดยนํ าไรสี่ขาที่พบบนสวนตางๆ<br />
ของพืชมาทํ าสไลด โดยหยด<br />
นํ ายา ้ Heinze ลงตรงกลางแผนสไลด 1 หยด จากนั้นจึงใชขนตาติดปลายไมเขี่ยไรสี่ขาเพศเมียมา<br />
วางลงในหยดนํ้<br />
ายา พรอม ทั้งจัดตัวอยางใหอยูในทาทางที่ตองการ<br />
จากนั้นจึงใชกระจกปดสไลด<br />
(cover glass) ปดทับลงบนหยดนํ้<br />
ายา และนํ าสไลดไปวางบน hot plate ที่อุณหภูมิ<br />
60 องศา<br />
เซลเซียส จนกระทั่งสไลดแหงสนิทจึงทํ<br />
าการผนึกขอบสไลดดวยนํ้<br />
ายา Glyptal ® และตากสไลดให<br />
แหงที่อุณหภูมิหอง<br />
เมื่อสไลดแหงสนิทแลวจึงทํ<br />
าการติดหมายเลขสไลด วันที่เก็บ<br />
สถานที่เก็บ<br />
ชื่อ<br />
ผู เก็บ ไวบริเวณดานขางของแผนสไลด กอนที่จะนํ<br />
าเขาเก็บไวในตูเก็บสไลดเพื่อรอการวิเคราะห<br />
ชนิดของไรตอไป (ภาพที่<br />
4)<br />
ตัวอยางไรที่เหลือจากการทํ<br />
าสไลด จะนํ ามาเก็บรักษาไวในขวดเก็บตัวอยางบรรจุนํ้<br />
ายา<br />
sorbitol syrup ซึ่งเปนนํ้<br />
ายาที่เหมาะกับการเก็บรักษาไรในกลุม<br />
eriophyoid โดยไมตองผานการ<br />
ดองใน alcohol 70% และสามารถเก็บรักษาไรไวไดเปนเวลานานหลายป<br />
การทํ าสไลดไรแมงมุมกระทํ าโดยเขี่ยไรแมงมุมทั้งเพศเมียและเพศผูใสในถวยแกวขนาด<br />
เล็ก (syracuse dish) บรรจุ lactophenol และนํ าไปวางบน hot plate ที่อุณหภูมิ<br />
60 องศา<br />
เซลเซียสเปนเวลา 7-14 วันหรือจนกวาอวัยวะภายในของไรจะใส จากนั้นจึงนํ<br />
าไรมาวางบนแผน<br />
สไลดที่มีนํ้<br />
ายา Hoyer , s อยู ตรงกลางแผนสไลด 1 หยด ใชเข็มเขี่ยปลายแหลมจัดวางไรใหอยูใน<br />
ทาทางที่ตองการ<br />
จากนั้นจึงใชกระจกปดสไลดปดทับลงบนหยดนํ้<br />
ายานั้น<br />
และนํ าแผนสไลดไปอบ<br />
บนเครื่องอุนสไลด<br />
(slide warmer) ที่อุณหภูมิ<br />
50-60 องศาเซลเซียส เปนเวลา 7 วันหรือจน<br />
กวาสไลดจะแหงสนิทกอนที่จะทํ<br />
าการผนึกขอบสไลดดวยนํ้<br />
ายา Glyptal ® และตากสไลดใหแหง<br />
ประมาณ 7-10 วัน ทํ าการติดหมายเลขสไลด วันที่เก็บ<br />
สถานที่เก็บ<br />
ชื่อผูเก็บ<br />
ไวบริเวณดานขาง<br />
ของแผนสไลด และเก็บสไลดไวในตูเก็บสไลดเพื่อทํ<br />
าการวิเคราะหชนิดของไรตอไป<br />
27
ก ข<br />
ค<br />
จ<br />
ภาพที่<br />
4 การทํ าสไลดไรสี่ขา<br />
ก) อุปกรณสํ าหรับทํ าสไลด ข) hot plate ค) ตากสไลดบนแผนตากสไลด<br />
ง) แผนสไลดไรที่บันทึกขอมูลตางๆ<br />
จ) ถาดเก็บสไลด และ ฉ) ตูเก็บสไลด<br />
28<br />
ง<br />
ฉ
1.4 การเก็บตัวอยางพืชอาศัยของไร<br />
ไรศัตรูพืชสวนใหญโดยเฉพาะไรในวงศ Eriophyidae และ Diptilomiopidae มีความ<br />
เฉพาะเจาะจง (host specificity) กับพืชอาศัยมาก ดังนั้นการวิเคราะหชนิดของไรจึงตองทราบ<br />
ชนิดของพืชอาศัยดวยเสมอ เมื่อเก็บตัวอยางไรจึงตองนํ<br />
าสวนตางๆ ของพืชอาศัย ไดแก ใบ ดอก<br />
ผล มาเก็บแหงใน herbarium ดวย (ภาพที่<br />
5 และ 6) รวมทั้งทํ<br />
าการบันทึกวัน-เดือน-ป ที่เก็บ<br />
และใหรหัสพืชอาศัย โดยรหัสที่ใหนี้จะตรงกับรหัสของเชื้อราที่เก็บได<br />
และตรงกับไรซึ่งเปนสัตว<br />
อาศัยของเชื้อราดวย<br />
พืชที่ทํ<br />
าแหงเรียบรอยแลวจะเก็บรักษาไวในพิพิทธภัณฑเพื่อรอการวิเคราะห<br />
ชนิดของพืชตอไป<br />
ภาพที่<br />
5 การจัดเรียงชิ้นสวนของพืชเพื่อเก็บแหง<br />
ภาพที่<br />
6 การเก็บตัวอยางแหงของพืชใน Herbarium<br />
29
2. การเจริญเติบโตและลักษณะโครงสรางของเชื้อรา<br />
2.1 การเจริญเติบโตของเชื้อราบนวุนอาหาร<br />
ทํ าการเลี้ยงเชื้อราที่รวบรวมได<br />
ในจานเลี้ยงเชื้อบรรจุอาหาร<br />
MEA ผสมสารปฏิชีวนะกัน<br />
แบคทีเรีย (ภาคผนวก ง) ในอัตรา 10 มิลลิลิตร/อาหาร 400 มิลลิลิตร เปนเวลา 7 วัน จากนั้น<br />
จึงขูดเสนใยเชื้อราใสลงในนํ้<br />
ากลั่นซึ่งฆาเชื้อแลวจํ<br />
านวน 3 มิลลิลิตร และนํ าไปเขยาบนเครื่องเขยา<br />
(Vortex mixer) เปนเวลา 2 นาที กอนทํ าการนับจํ านวน conidia โดยใช Haemacytometer นับ<br />
ภายใตกลองจุลทรรศน (phase contrast microscope) ที่กํ<br />
าลังขยาย 400 เทา และปรับระดับ<br />
ความเขมขนของนํ้<br />
า conidia ใหได 1.0x10 7 conidia/ลูกบาศกมิลลิลิตร กอนที่จะใช<br />
micropipette ดูดนํ้<br />
า conidia จํ านวน 100 ไมโครลิตรลงบนจานเลี้ยงเชื้อบรรจุอาหาร<br />
MEA และ<br />
เกลี่ยใหทั่ว<br />
นํ าจานเลี้ยงเชื้อไปบมในตูควบคุมอุณหภูมิที่<br />
27±1 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ<br />
65±3% เปนเวลา 7 วัน เมื่อครบกํ<br />
าหนดจึงใช cork borer ขนาดเสนผานศูนยกลาง 1 เซนติเมตร<br />
เจาะชิ้นวุ<br />
น และนํ าชิ้นวุนซึ่งมีเสนใยเชื้อราเจริญเต็มแผนมาควํ่<br />
าลงบริเวณกึ่งกลางของจานเลี้ยงเชื้อ<br />
ที่บรรจุอาหาร<br />
MEA จํ านวน 30 มิลลิลิตร จานละ 1 แผน และนํ าจานเลี้ยงเชื้อไปบมในตูควบคุม<br />
อุณหภูมิที่<br />
27±1 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ<br />
65±3% (ทํ าการทดลอง 15 จาน/สายพันธุ)<br />
วัดขนาดเสนผานศูนยกลางของโคโลนีเมื่อครบกํ<br />
าหนด 7, 14, 21 และ 28 วัน พรอมทั้งจด<br />
บันทึกขอมูลเกี่ยวกับลักษณะของเชื้อ<br />
เชน สีของโคโลนี, รูปรางลักษณะของโคโลนี, การเกิด clear<br />
zone, การเกิดหยดนํ้<br />
าบนโคโลนี, และการสราง synnemata เปนตน นํ าขอมูลที่ไดมาจัดกลุมเสน<br />
ผานศูนยกลางของโคโลนีเพื่อหาความสัมพันธ<br />
ตามคา Quantiles โดยใชโปรแกรม SAS<br />
2.2 การศึกษาปริมาณ conidia โดยวิธี direct count และ viable plate count<br />
ศึกษาปริมาณ conidia โดยวิธี direct count และ viable plate count ของเชื้อราที่รวบ<br />
รวมได โดยทํ าการเลี้ยงเชื้อราเหมือนขอ<br />
2.1 เปนเวลา 7 วัน จากนั้นจึงใช<br />
cork borer เจาะชิ้นวุน<br />
ขนาดเสนผานศูนยกลาง 1 เซนติเมตร นํ าไปวางควํ่<br />
าหนาลงบนจานเลี้ยงเชื้อที่มีอาหาร<br />
MEA<br />
จํ านวน 30 มิลลิลิตร และนํ าไปบมในตูที่อุณหภูมิ<br />
27±1 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ<br />
65±3%<br />
เปนเวลา 10 วัน (ทํ าการทดลอง 3 จาน/สายพันธุ)<br />
เมื่อครบกํ<br />
าหนด 10 วัน ทํ าการวัดขนาดเสน<br />
ผานศูนยกลางเพื่อหาพื้นที่โคโลนี<br />
และศึกษาจํ านวน conidia โดยนํ าโคโลนีจากแตละจานเลี้ยงเชื้อ<br />
มาแยกใสในหลอดทดสอบพลาสติกขนาดเสนผานศูนยกลาง 3 เซนติเมตร ยาว 11.5 เซนติเมตร<br />
บรรจุนํ ากลั ้ ่นบริสุทธิ์ซึ่งผานการฆาเชื้อแลวจํ<br />
านวน 5 มิลลิลิตร ผสม 0.05% Tween 80 ในอัตรา<br />
6 หยด/นํ้<br />
า 100 มิลลิลิตร และนํ าไปเขยาบนเครื่องเขยาเปนเวลา<br />
2 นาที กอนที่จะทํ<br />
าการนับ<br />
จํ านวน conidia โดยใช Haemacytometer นับภายใตกลองจุลทรรศนชนิด phase contrast ที่กํ<br />
าลัง<br />
30
ขยาย 400 เทา (direct count) และบันทึกจํ านวน conidia เริ่มตน<br />
จากนั้นทํ<br />
าการเจือจางนํ้<br />
า<br />
conidia ลงเปนลํ าดับ (serial dilution) ทํ าการทดสอบการงอกของ conidia โดยใชนํ้<br />
า conidia ที่<br />
ทราบลํ าดับของการเจือจางที่แนนอน<br />
จํ านวน 100 ไมโครลิตร เกลี่ยบนจานเลี้ยงเชื้อที่บรรจุ<br />
อาหาร MEA และนํ าไปบมในตูที่อุณหภูมิ<br />
27±1 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ<br />
65±3% เปน<br />
เวลา 3 วัน (ทํ าการทดลอง 6 จาน/สายพันธุ)<br />
ตรวจนับจํ านวนโคโลนีที่ขึ้นบนจานเลี้ยงเชื้อ<br />
(viable plate count) โดยใชปากกานับโคโลนี (Manostat ® colony counter) รุน<br />
81-520-000<br />
นับภายใตกลองจุลทรรศน (stereo microscope) และคํ า นวนจํ านวนโคโลนีตอหนวยพื้นที่<br />
1 ตา<br />
รางเซนติเมตร เพื่อเปรียบเทียบกับจํ<br />
านวน conidia เริ่มตน<br />
ซึ่งนับโดยใช<br />
Haemacytometer และ<br />
นับจากโคโลนีที่สามารถเจริญในอาหาร<br />
MEB อายุ 3 วัน นํ าขอมูลมาทํ าการจัดกลุมเพื่อหาความ<br />
สัมพันธของพื้นที่โคโลนี,<br />
จํ านวน conidia ที่ไดจากทั้งสองวิธี<br />
ตามคา Quantiles โดยใชโปรแกรม<br />
SAS<br />
2.3 การศึกษาโครงสรางของเสนใยและ conidia<br />
นํ าเชื้อราที่รวบรวมไดมาเลี้ยงบนแผนสไลด<br />
(slide culture) เพื่อศึกษาลักษณะโครง<br />
สรางของเสนใยและ conidia โดยเตรียมวุนอาหาร<br />
MEA ใหมีความหนาไมเกิน 1 มิลลิเมตร ตัด<br />
ใหไดขนาด 0.5x0.5 เซนติเมตร วางบนกึ่งกลางของแผนสไลด<br />
จากนั้นใชเข็มเขี่ยเชื้อสะกิดเอา<br />
เสนใยมาวางบริเวณกึ่งกลางแผนวุนแตละดานจนครบทั้ง<br />
4 ดาน กอนที่จะนํ<br />
าแผนกระจกปดสไลด<br />
มาวางทับลงบนแผนวุนอาหาร<br />
นํ าแผนสไลดไปวางในจานเลี้ยงเชื้อซึ่งมีกระดาษฟางชุมนํ้<br />
ารองอยู<br />
กนจาน โดยมีไมจิ้มฟนที่ผานการฆาเชื้อแลวรองใตแผนสไลดเพื่อปองกันไมใหนํ้<br />
าในจานเลี้ยงเชื้อ<br />
ทวมแผนสไลด (ภาพที่<br />
7) นํ าจานดังกลาวไปบมในตูเลี้ยงเชื้อที่อุณหภูมิ<br />
27±1 องศาเซลเซียส<br />
ความชื้นสัมพัทธ<br />
65±3% และทํ าการเก็บเสนใยของเชื้อราในวันที่<br />
4 และ 7 โดยนํ าแผนกระจก<br />
ปดสไลดมาวางควํ่<br />
าลงบนแผน สไลดสะอาดซึ่งมี<br />
lactophenol ผสม methylene blue 0.1% เปน<br />
mounting media จากนั้นนํ<br />
าแผนสไลดใสถาดไปตากไวที่อุณหภูมิหอง<br />
เมื่อตัวอยางแหงดีแลวจึง<br />
นํ าเชื้อราที่ไดมาศึกษาลักษณะโครงสรางของเสนใยภายใตกลองจุลทรรศนชนิด<br />
phase contrast ที่<br />
กํ าลังขยาย 400 เทา ทํ าการวัดระยะหางระหวาง phialide, ความยาวของ phialide และขนาดของ<br />
conidia โดยใชโปรแกรม Scion Image และนํ าขอมูลที่ไดมาทํ<br />
าการจัดกลุมเพื่อหาความสัมพันธ<br />
ตามคา Quantiles โดยใชโปรแกรม SAS ในการวิเคราะห<br />
31
ภาพที่<br />
7 การทํ า slide culture เพื่อศึกษาโครงสรางของเสนใยและ<br />
conidia<br />
3. การเจริญเติบโตของเชื้อราในอาหารเหลว<br />
นํ าเชื้อราที่รวบรวมไดมาเลี้ยงในจานเลี้ยงเชื้อโดยเกลี่ยใหทั่วจาน<br />
ตามวิธีการในขอ 2.1<br />
เปนเวลา 7 วัน (เชื้อละ<br />
3 จาน) จากนั้นจึงขูดเอาสวนของเสนใยจากทั้ง<br />
3 จานเลี้ยงเชื้อ<br />
ใสลงใน<br />
หลอดทดสอบพลาสติกขนาดเสนผานศูนยกลาง 3 เชนติเมตร ยาว 11.5 เซนติเมตร บรรจุนํ้<br />
า<br />
กลั่นบริสุทธิ์ซึ่งผานการฆาเชื้อแลวจํ<br />
านวน 10 มิลลิลิตร ผสม 0.05% Tween 80 ในอัตรา 6<br />
หยด/นํ า ้ 100 มิลลิลิตร เขยาบนเครื่องเขยาเปนเวลา<br />
1 นาที จากนั้นจึงดูดนํ้<br />
า conidia ผสมเสน<br />
ใยจํ านวน 5 มิลลิลิตรใสลงในขวดกนชมพู<br />
(erlenmeyer flask) ขนาด 250 มิลลิลิตร ซึ่งบรรจุ<br />
อาหาร Malt extract broth (MEB) จํ านวน 50 มิลลิลิตร ปรับคาความเปนกรด-ดาง (pH) ของ<br />
อาหารเหลวเทากับ 6.5 กอนที่จะนํ<br />
าไปนึ่งฆาเชื้อในหมอนึ่งความดันดวยความดันไอนํ้<br />
าที่<br />
15<br />
ปอนด/ตารางนิ้ว<br />
อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซียส เปนเวลา 15 นาที และนํ าไปบมบนตูเขยา<br />
(rotary shaker) ซึ่งควบคุมอุณหภูมิไวที่<br />
27±1 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ<br />
65±3% เขยา<br />
ดวยความเร็ว 150 รอบตอนาทีเปนเวลา 4 วัน (ภาพที่<br />
8) เมื่อครบกํ<br />
าหนดจึงทํ าการกรองมวล<br />
ชีวภาพ (fungal biomass) ออกจากอาหารเหลวโดยใชกรวยกรอง (Buchner funnel) ซึ่งมี<br />
กระดาษกรอง Whatman ® เบอร 1 ที่ชั่งนํ้<br />
าหนักแลวรองรับมวลชีวภาพ (ภาพที่<br />
9) กอนที่จะนํ<br />
าไป<br />
อบในตูอบแหง<br />
(hot air oven) ที่อุณหภูมิ<br />
40 องศาเซลเซียส เปนเวลา 24 ชั่วโมง<br />
เพื่อนํ<br />
ามาชั่ง<br />
นํ าหนักแหง ้ และทํ าการวัดความเปนกรด-ดางของอาหารเหลวภายหลังการเลี้ยงเชื้อรา<br />
32
ภาพที่<br />
8 การเลี้ยงเชื้อราบนตูเขยา<br />
(rotary shaker)<br />
ภาพที่<br />
9 การกรองมวลชีวภาพออกจากอาหารเหลวโดยใชกรวยกรอง (Buchner funnel)<br />
33
4. การศึกษาประสิทธิภาพของสารพิษของเชื้อราในอาหารเหลว<br />
4.1 ประสิทธิภาพของ crude filtrate<br />
นํ า crude filtrate ที่ไดจากการเลี้ยงเชื้อราในอาหารเหลวและผานการกรองเอามวลชีว<br />
ภาพออกหมดแลว ซึ่งเก็บไวในตูแชแข็งที่อุณหภูมิ<br />
–20 องศาเซลเซียส (ขอ 3) มากรองอีกรอบ<br />
ดวยกระดาษกรองชนิดพิเศษ (cellulose acetate) ขนาด 0.45 ไมครอน เสนผานศูนยกลาง 2.5<br />
เซนติเมตร เพื่อปองกันไมใหมีเสนใยและ<br />
conidia ปะปนอยูใน<br />
crude filtrate (ภาพที่<br />
10) จาก<br />
นั้นจึงนํ<br />
า crude filtrate ที่ผานการกรองละเอียดแลวจํ<br />
านวน 20 ไมโครลิตร ฉีดเขาไปบริเวณขา<br />
เทียมคูแรกของหนอนกระทูผัก (Spodoptera litura (Fabricius)) วัย 4 โดยใชเครื่อง<br />
Microapplicator รุน<br />
ISCO (ภาพที่<br />
11) (ทํ าการทดลอง 10 ตัว/สายพันธุ)<br />
หนอนในชุดควบคุม<br />
จะไดรับการฉีดอาหารเหลวตัวละ 20 ไมโครลิตร จากนั้นนํ<br />
าหนอนที่ไดรับสารทดสอบแลวไปเลี้ยง<br />
ในอาหารเทียม (ภาคผนวก) ที่อุณหภูมิหอง<br />
ทํ าการบันทึกการเปลี่ยนแปลงของหนอนทุก<br />
2 วันจน<br />
กระทั่งเปนตัวเต็มวัย<br />
(ภาพที่<br />
12 และ 13) ทํ าการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของสารพิษแตละไอ<br />
โซเลทโดยคํ านวณจากเปอรเซนตการตายของหนอน, ดักแดผิดปกติ, ตัวเต็มวัยผิดปกติ และ<br />
ดักแดที่ไมสามารถออกเปนตัวเต็มวัยได<br />
ภาพที่<br />
10 การกรอง crude filtrate ผานกระดาษกรองชนิดพิเศษ<br />
34
ภาพที่<br />
11 การทดสอบประสิทธิภาพของสารพิษของเชื้อรา<br />
ก) เครื่อง<br />
Microapplicator ข) วิธีการฉีดหนอน และ<br />
ค) ภาพขยายการฉีด crude filtrate เขาบริเวณขาเทียมคูแรกของหนอน<br />
ก<br />
ข<br />
ค<br />
35
ภาพที่<br />
12 การเลี้ยงหนอนที่ไดรับสารทดสอบในอาหารเทียม<br />
ภาพที่<br />
13 สภาพการเลี้ยงหนอนที่ไดรับสารทดสอบในหองทดลอง<br />
36
4.2 ประสิทธิภาพของ crude filtrate เขมขน<br />
สุ มเลือกเชื้อรา<br />
จํ านวน 4 ไอโซเลทมาทํ าการเพิ่มความเขมขนของสารพิษ<br />
โดยเลี้ยงเชื้อ<br />
ราแตละสายพันธุในอาหารเหลวตามวิธีที่กลาวในขอ<br />
3 (ทํ าการทดลองสายพันธุละ<br />
3 ขวด) จาก<br />
นั้นทํ<br />
าการกรองเอาเฉพาะสวนของ crude filtrate มารวมกัน เมื่อจดบันทึกปริมาตรของ<br />
crude<br />
filtrate ของเชื้อราแตละไอโซเลทแลว<br />
จึงนํ า crude filtrate ไปทํ าการตกตะกอนโปรตีนโดยแชใน<br />
เกลือ ammonium sulphate เขมขน 90% (ภาพที่<br />
14ก) จนกระทั่งเกลือ<br />
ammonium sulphate<br />
ละลายหมดจึงนํ าไปปนดวยเครื่อง<br />
centrifuge ที่ความเร็ว<br />
15,000 รอบ/นาที อุณหภูมิ 4 องศา<br />
เซลเซียส เปนเวลา 15 นาที จากนั้นจึงเท<br />
crude filtrate ออกใหเหลือเฉพาะตะกอนโปรตีน ทํ าการ<br />
ละลายตะกอนโปรตีนดวยนํ้<br />
ากลั่น<br />
โดยจะใสนํ้<br />
ากลั่นในปริมาณที่ตะกอนโปรตีนละลายไดเทานั้น<br />
และนํ าตะกอนโปรตีนที่ละลายอยูในนํ้<br />
ากลั่นไปทํ<br />
าการแยกเกลือออก (desalted) โดยวิธี dialysis<br />
เปนเวลา 2 วันเพื่อใหมั่นใจวาไมมีเกลือเหลืออยู<br />
(ภาพที่<br />
14ข) จากนั้นจึงนํ<br />
าสารละลายของ<br />
โปรตีนและนํ ากลั ้ ่นไปกรองดวยกระดาษกรองชนิดพิเศษขนาด 0.45 ไมครอน เสนผานศูนยกลาง<br />
2.5 เซนติเมตร และนํ าไปทํ าการทดสอบกับหนอนกระทูผัก<br />
วัย 4 ตามวิธีการในขอ 4.1 ทํ าการ<br />
เปรียบเทียบประสิทธิภาพของสารพิษใน crude filtrate และ crude filtrate เขมขนในแตละไอโซ<br />
เลทโดยคํ านวณจากเปอรเซนตการตายของหนอน, ดักแดผิดปกติ, ตัวเต็มวัยผิดปกติ และดักแดที่<br />
ไมสามารถออกเปนตัวเต็มวัยได<br />
ก ข<br />
ภาพที่<br />
14 การเพิ่มความเขมขนของ<br />
crude filtrate<br />
ก) การตกตะกอนโปรตีนดวยเกลือ ammonium sulphate 90%<br />
ข) การแยกเกลือออกจากตะกอนโปรตีน (desalted) โดยวิธี dialysis<br />
37
5. สถานที่ทํ<br />
าการทดลอง<br />
6. ระยะเวลาในการทดลอง<br />
สถานที่และระยะเวลาทํ<br />
าการศึกษา<br />
1. อํ าเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี<br />
2. ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร<br />
เริ่มทดลอง<br />
เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2544<br />
สิ้นสุดการทดลอง<br />
เดือน มีนาคม พ.ศ. 2547<br />
38
ผลการทดลองและวิจารณ<br />
1. การสํ ารวจและเก็บตัวอยางเชื้อราที่ทํ<br />
าลายไรศัตรูพืช<br />
1.1 การเก็บตัวอยางเชื้อรา<br />
จากการสํ ารวจและเก็บตัวอยางเชื้อราตั้งแตเดือนพฤศจิกายน<br />
2544 - พฤศจิกายน<br />
2545 โดยใชแวนขยายขนาด 15-20 เทาสองดูบนใบพืช สวนมากจะพบไรสี่ขาอยูรวมกันเปน<br />
กลุ มๆ และมีซากไรปะปนอยูกับไรที่มีชีวิตดวย<br />
ซากของไรสี่ขามีขนาดเล็กมาก<br />
จึงยากที่จะมองเห็น<br />
ไดดวยตาเปลา ซากไรบางซากมีเสนใยแทงทะลุผนังลํ าตัวออกมาเปนเสนยาวๆ ซากไรสี่ขาที่มีเชื้อ<br />
ราเขาทํ าลายมักมีสีเหลืองเขมจนถึงสีนํ้<br />
าตาล ซึ่งตรงกับการรายงานของ<br />
Muma et al. (1961);<br />
Baker and Neunzig (1968) ที่พบวาไรสี่ขาจะมีสีเขมขึ้นเมื่อถูกเชื้อราเขาทํ<br />
าลาย ซากไรที่พบมี<br />
ลักษณะแหงติดอยูตามผิวใบพืช<br />
เมื่อนํ<br />
าซากไรสี่ขามาตรวจภายใตกลองจุลทรรศน<br />
จะเห็นวามี<br />
เสนใยของเชื้อราแทงทะลุผนังลํ<br />
าตัวออกทุกทิศทางแตบางซากก็ไมมีเสนใยของเชื้อราปรากฏให<br />
เห็นภายนอกลํ าตัว<br />
จากการเก็บตัวอยางไรศัตรูพืชที่อํ<br />
าเภอทองผาภูมิเปนเวลา 1 ป สามารถเก็บตัวอยาง<br />
ซากไรไดรวมทั้งสิ้น<br />
212 ตัวอยาง แบงออกเปนไรสี่ขา<br />
209 ตัวอยาง และไรแมงมุม 5 ตัวอยาง<br />
(ตารางที่<br />
2) ไรแมงมุมที่ถูกเชื้อราเขาทํ<br />
าลายมีทั้งระยะตัวออนและตัวเต็มวัย<br />
จากตัวอยางไรแมง<br />
มุมที่รวบรวมไดพบวาตัวออนมักถูกเชื้อราเขาทํ<br />
าลายมากกวาตัวเต็มวัย<br />
ผลการสํ ารวจเชื้อราที่ทํ<br />
าลายไร พบเชื้อราทํ<br />
าลายไรสี่ขามากที่สุด<br />
ซึ่งตรงกับการรายงาน<br />
ของ Baker and Neunzig (1968); McCoy and Selhime (1977); Gerson et al. (1979);<br />
Samson and McCoy (1982) ที่รายงานการคนพบเชื้อรา<br />
Hirsutella thompsonii Fisher ทํ าลาย<br />
ไรสี่ขาบนใบพืชหลายชนิดในสภาพธรรมชาติ<br />
สวนรายงานการคนพบเชื้อราทํ<br />
าลายไรแมงมุมใน<br />
ธรรมชาตินั้นมีนอยมาก<br />
ในป ค.ศ. 1977 McCoy and Selhime ไดรายงานการสํ ารวจพบเชื้อรา<br />
H. thompsonii จากไรแมงมุม 3 ชนิดในวงศ Tetranychidae ที่แยกไดจากตนสม<br />
สาเหตุที่พบเชื้อ<br />
รา H. thompsonii ลงทํ าลายไรสี่ขามากกวาไรแมงมุม<br />
อาจเนื่องจากไรสี่ขามีขาอยูทางดานหนาของ<br />
ลํ าตัว เมื่อไรเดินจะใชวิธีลากลํ<br />
าตัวมาตามพื้นผิวใบหรือกิ่งกานพืช<br />
ดังนั้นโอกาสที่ผนังลํ<br />
าตัวของไร<br />
สี่ขาจะสัมผัสกับ<br />
conidia ของเชื้อราซึ่งอยูบนกานชูขนาดสั้นจึงมีมาก<br />
นอกจากนั้นไรสี่ขายังมีผนัง<br />
ลํ าตัวที่บาง<br />
และบริเวณลํ าตัวของไรสี่ขาประกอบดวยปลองจํ<br />
านวนมากเรียงติดตอกัน ระหวาง<br />
ปลองจะเปนผนังลํ าตัวที่ออน<br />
ทํ าให conidia ของเชื้อราสามารถงอก<br />
germ tube แทงผานผนังลํ า<br />
ตัวไดงายขึ้น<br />
McCoy (1985); Veen (1966) กลาววา conidia ของเชื้อราเปนสวนสํ<br />
าคัญในการ<br />
39
กอโรค และการเขาทํ าลายของเชื้อราสวนใหญจะเขาทางผนังลํ<br />
าตัว ดังนั้นเมื่อผนังลํ<br />
าตัวของไรสี่ขา<br />
มีโอกาสสัมผัสกับ conidia ของเชื้อราไดมากกวาไรแมงมุม<br />
จึงมีโอกาสเกิดโรคไดมากกวาไรแมง<br />
มุม<br />
ไรแมงมุมมีขนยาวตามลํ าตัวและมีขายาว เวลาเดินจึงทํ าใหลํ าตัวถูกยกขึ้นสูงจากผิวใบ<br />
ทํ าให conidia ไมมีโอกาสที่จะติดกับผนังลํ<br />
าตัวมากนัก ประกอบกับ conidia ของเชื้อราติดอยูบน<br />
กานชูสั้นๆ<br />
และไมสูงพอที่จะชวยให<br />
conidia เกาะติดผนังลํ าตัวไรแมงมุมไดสะดวก จึงทํ าให<br />
โอกาสที่<br />
conidia จะเกาะติดที่ผนังลํ<br />
าตัวนอยลงดวย นอกจาก conidia จะเกาะติดตามปลองขา<br />
ซึ่งก็มีโอกาสนอย<br />
ดวยเหตุนี้จึงพบเชื้อราที่ทํ<br />
าลายไรแมงมุมในธรรมชาตินอยกวาไรสี่ขา<br />
อํ าเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี มีสภาพอากาศที่แตกตางกันในแตละฤดู<br />
ทํ าให<br />
ปริมาณไรและเชื้อราที่พบแตกตางกัน<br />
ในชวงฤดูรอนอากาศจะรอนมาก อุณหภูมิในชวงกลางวัน<br />
และกลางคืนแตกตางกันมาก โดยเดือนที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดคือเดือนเมษายน<br />
ซึ่งมีอุณหภูมิ<br />
เฉลี่ยสูงสุด<br />
39 องศาเซลเซียส ตํ่<br />
าสุด 21 องศาเซลเซียส และความชื้นสัมพัทธเฉลี่ย<br />
86% จาก<br />
การเก็บตัวอยางในชวงฤดูรอน (เดือนมีนาคม-พฤษภาคม) พบซากไรที่ถูกเชื้อราทํ<br />
าลายจํ านวน<br />
59 ตัวอยาง (ตารางที่<br />
2) ซึ่งจากสภาพอากาศในชวงกลางวันนาจะทํ<br />
าใหพบเชื้อราในปริมาณนอย<br />
แตเนื่องจากชวงกลางคืนมีอุณหภูมิตํ่<br />
าและปริมาณความชื้นสูง<br />
ซึ่งเหมาะสมตอการเจริญเติบโต<br />
ของเชื้อรา<br />
จึงทํ าใหพบเชื้อราทํ<br />
าลายไรในปริมาณมากกวาที่ควร<br />
ในฤดูฝนมีฝนตกชุกมาก ปริมาณนํ้<br />
าฝนที่วัดไดสูงสุดคือ<br />
411 มิลลิเมตร (เดือน<br />
สิงหาคม) ในชวงฤดูฝนนี้จะมีฝนตกตลอดทั้งวัน<br />
ทํ าใหใบไมเปยกชื้น<br />
ตัวไรจะติดอยูตามหยดนํ้<br />
า<br />
จึงไมสามารถมองเห็นไรและเชื้อราได<br />
ถึงแมวาในชวงฤดูฝนจะมีความชื้นในบรรยากาศสูงมาก<br />
(มากกวา 90%) ซึ่งเหมาะตอการเขาทํ<br />
าลายของเชื้อรา<br />
แตการเก็บตัวอยางเปนไปไดยาก จึงทํ าให<br />
พบเชื้อรานอย<br />
ดังจะเห็นไดจากจํ านวนตัวอยางไรที่เก็บไดในเดือนกรกฎาคม,<br />
สิงหาคม และ<br />
กันยายน ซึ่งเก็บตัวอยางไรที่ถูกเชื้อราทํ<br />
าลายไดเพียง 5, 5 และ7 ตัวอยางตามลํ าดับ<br />
อากาศในฤดูหนาวคอนขางเย็นและมีความชื้นสูง<br />
เดือนที่มีอุณหภูมิตํ่<br />
าสุดคือเดือน<br />
มกราคม ซึ่งมีอุณหภูมิเฉลี่ยตํ่<br />
าสุด 16 องศาเซลเซียส และสูงสุด 33 องศาเซลเซียส ความชื้น<br />
สัมพัทธ 92% สภาพอากาศเชนนี้เหมาะสมตอการเจริญเติบโตของเชื้อรา<br />
ทํ าใหการเก็บตัวอยาง<br />
ในชวงฤดูหนาวพบซากไรที่ถูกเชื้อราเขาทํ<br />
าลายมาก โดยเดือนที่พบมากที่สุดคือเดือนกุมภาพันธ<br />
ซึ่งเก็บตัวอยางไรที่มีเชื้อราไดถึง<br />
44 ตัวอยาง<br />
40
ตารางที่<br />
2 Number of dead mite samples collected at Amphoe Thong Pha Phum,<br />
Kanchanaburi Province during November 2001-November 2002<br />
Collecting date No. Dead<br />
mite samples<br />
Mite families<br />
November 2001 8 Eriophyidae, Diptilomiopidae and Tetranychidae<br />
December 2001 17 Eriophyidae and Diptilomiopidae<br />
January 2002 21 Eriophyidae and Diptilomiopidae<br />
February 2002 44 Eriophyidae and Diptilomiopidae<br />
March 2002 21 Eriophyidae and Diptilomiopidae<br />
April 2002 13 Eriophyidae and Diptilomiopidae<br />
May 2002 10 Eriophyidae and Diptilomiopidae<br />
June 2002 15 Eriophyidae และ Diptilomiopidae<br />
July 2002 5 Eriophyidae, Diptilomiopidae and Tetranychidae<br />
August 2002 5 Eriophyidae and Diptilomiopidae<br />
September 2002 7 Eriophyidae and Diptilomiopidae<br />
October 2002 25 Eriophyidae, Diptilomiopidae and Tetranychidae<br />
November 2002 21 Eriophyidae, Diptilomiopidae and Tetranychidae<br />
จากการวิเคราะหปริมาณตัวอยางที่เก็บไดพบวาในชวงเดือนตุลาคม-มีนาคม<br />
มีปริมาณ<br />
ไรที่ถูกทํ<br />
าลายมากที่สุด<br />
ซึ่งตรงกับการรายงานของ<br />
อังศุมาลย (2543ข) ซึ่งทํ<br />
าการสํ ารวจไรในภาค<br />
กลางและภาคตะวันออกของประเทศไทย และพบวาเชื้อราชนิดเดียวกันนี้มีการระบาดมากในชวง<br />
เดือนตุลาคม–มกราคมของทุกปที่ทํ<br />
าการสํ ารวจ แตเนื่องจากพื้นที่ในจังหวัดกาญจนบุรีมีความชื้น<br />
สูงในชวงฤดูหนาวและมีอากาศที่เหมาะสมตอการเจริญเติบโตของเชื้อรา<br />
จึงทํ าใหพบการระบาด<br />
ของเชื้อราในเดือนกุมภาพันธและมีนาคมดวย<br />
41
1.2 การแยกและวิเคราะหชนิดของเชื้อรา<br />
ผลจากการนํ าตัวอยางซากไรที่คาดวาจะมีเชื้อราอยูจํ<br />
านวน 212 ตัวอยาง มาทํ าการแยก<br />
เชื้อราที่ทํ<br />
าใหเกิดโรค สามารถแยกเชื้อใหบริสุทธิ์ไดทั้งหมด<br />
114 ไอโซเลท โดยเปนเชื้อที่แยกได<br />
จากไรสี่ขา<br />
109 ไอโซเลท และจากไรแมงมุม 5 ไอโซเลท เมื่อทํ<br />
าการวิเคราะหชนิดของเชื้อรา<br />
พบ<br />
วาเปนเชื้อ<br />
Hirsutella thompsonii var. synnematosa ซึ่งตรงกับการรายงานของ<br />
Samson et al.<br />
(1980) ที่รายงานวา<br />
มีเฉพาะสายพันธุ<br />
synnematosa เทานั้นที่มีถิ่นกํ<br />
าเนิดอยูในแถบรอนเชื้อรา<br />
พวกนี้เจริญเติบโตคอนขางชาจึงตองใชเวลานานในการที่จะแยกเชื้อใหบริสุทธิ์<br />
การทดลองเก็บรักษาเชื้อราที่บริสุทธิ์ไวในหลอดอาหารผิวลาดเอียง<br />
(slant culture), ใน<br />
paraffin oil และเก็บโดยวิธี lyophilization พบวาเชื้อราสามารถเจริญไดดีเมื่อทํ<br />
าการเก็บรักษา<br />
ดวยวิธีการตางๆ ทั้ง<br />
3 วิธี การเก็บเชื้อราในหลอดอาหารผิวลาดเอียง<br />
(ภาพที่<br />
15) เปนวิธีที่<br />
สะดวกที่สุด<br />
ไมตองใชคาใชจายมากนัก แตจะทํ าใหเสียเวลาในการตอเชื้อบอยๆ<br />
สวนการเก็บเชื้อ<br />
ราใน paraffin oil (ภาพที่<br />
16ก) เปนการลด activity ของเชื้อราซึ่งอาจทํ<br />
าใหเชื้อสูญเสียความ<br />
สามารถในการสราง conidia ได และอัตราการเจริญเติบโตอาจลดลงบาง จากการทดสอบการ<br />
งอกของเชื้อราที่เก็บรักษาใน<br />
paraffin oil พบวาสามารถเก็บรักษาเชื้อรา<br />
H. thompsonii ไวใน<br />
paraffin oil ไดประมาณ 1 ป สวนการเก็บเชื้อราโดยวิธี<br />
lyophilization (ภาพที่<br />
16ข) พบวาเชื้อ<br />
มีอัตราการรอดชีวิตสูงมาก และมีรายงานวาสามารถที่จะเก็บไดเปนระยะเวลานานถึง<br />
10 ป อยาง<br />
ไรก็ดีการเก็บวิธีสุดทายนี้แมจะใหผลดีที่สุดเนื่องจากเชื้อราสามารถอยูรอดไดนานหลายป<br />
ไมตอง<br />
เสียเวลาในการตอเชื้อบอยๆ<br />
แตก็เปนวิธีที่เสียคาใชจายมากที่สุด<br />
และจํ าเปนตองมีเครื่องมือ<br />
เฉพาะในการทํ า lyophilzation ดวย<br />
42
ภาพที่<br />
15 การเก็บเชื้อราแบบ<br />
subculture ในหลอดอาหารผิวลาดเอียง<br />
ก ข<br />
ภาพที่<br />
16 การเก็บเชื้อราดวยวิธีการตางๆ<br />
ก) การเก็บเชื้อราภายใต<br />
paraffin oil<br />
ข) การเก็บเชื้อราในหลอด<br />
ampule ซึ่งเก็บโดยวิธี<br />
lyophilyzation<br />
43
1.3 การวิเคราะหชนิดของไรศัตรูพืช<br />
ผลการวิเคราะหตัวอยางของไรบนแผนสไลดจํ านวน 212 ตัวอยาง พบวาเปนไรสี่ขาที่<br />
อยูในวงศ<br />
Eriophyidae จํ านวน 69 ตัวอยาง และวงศ Diptiomiopidae จํ านวน 40 ตัวอยาง สวน<br />
ไรแมงมุมในวงศ Tetranychidae มีเพียง 5 ตัวอยางเทานั้น<br />
ไรสี่ขาเปนไรที่มีขนาดเล็กมาก<br />
ไมสามารถมองเห็นไดดวยตาเปลา โดยมีลํ าตัวกวาง 50-<br />
70 ไมครอน และยาว 100-270 ไมครอน ลักษณะรูปรางของไรสี่ขาจะแตกตางกัน<br />
เชน คลายตัว<br />
หนอน (worm-like) หรือคลายกระสวย หัวปานทายแหลม (fusiform) และมีอวัยวะในการดูด<br />
อาหาร (chelicerae) สั้นมาก<br />
มีขา 2 คูติดทางสวนหนาของลํ<br />
าตัว บริเวณลํ าตัวของไรสี่ขาประกอบ<br />
ดวยปลองจํ านวนมากเรียงติดตอกัน ไรสี่ขาในวงศ<br />
Eriophyidae มีอวัยวะดูดอาหารสั้นและเหยียด<br />
ตรงไปขางหนา สวนวงศ Diptilomiopidae มีอวัยวะดูดอาหารคอนขางยาว บริเวณโคนหักงอลง<br />
เกือบเปนมุมฉากกับลํ าตัว (ภาพที่<br />
17) ไรสี่ขาที่พบบนพืชแตละชนิดมีสีแตกตางกันไป<br />
เชน ขาว<br />
เหลือง แดงใส มวงเขม ไรสี่ขาบางชนิดมี<br />
wax เกาะเปนแถวตามความยาวของลํ าตัวดวย ตัว<br />
อยางไรที่พบสวนมากจะดูดกินนํ้<br />
าเลี้ยงพืชอยูบริเวณใตใบโดยไมทํ<br />
าใหพืชเกิดอาการผิดปกติ และ<br />
มีเพียงสวนนอยที่ทํ<br />
าใหพืชแสดงอาการผิดปกติโดยทํ าใหเกิดปุมปมที่บริเวณดานหนาและใตใบ<br />
11 ตัวอยาง สวนไรที่กระตุนใหพืชสรางแผงขนกํ<br />
ามะหยี่<br />
(erinia) มีเพียง 5 ตัวอยางและทํ าให<br />
เกิดอาการสีสนิม (rust) ตามบริเวณที่ถูกทํ<br />
าลายมี 18 ตัวอยาง<br />
ไรแมงมุมเปนไรที่มีขนาดใหญกวาไรสี่ขา<br />
และสามารถมองเห็นไดดวยตาเปลา โดยมี<br />
ความยาวของลํ าตัวประมาณ 300-400 ไมครอน ลํ าตัวออนกลมหรือรูปไข สีของลํ าตัวแตกตาง<br />
กันเชน เหลือง เหลืองอมเขียว แดง ในธรรมชาติไมคอยพบการระบาดของไรแมงมุมมากนัก อาจ<br />
เปนไดวาสภาพพื้นที่ที่สํ<br />
ารวจมีความชื้นสัมพัทธคอนขางสูงตลอดเวลา<br />
จึงพบการแพรระบาดนอย<br />
เนื่องจากไรแมงมุมจะแพรกระจายไดดีในที่ที่อุณหภูมิสูงและความชื้นตํ่<br />
า Boudreaux (1963)<br />
รายงานวาอุณหภูมิที่ทํ<br />
าใหไรแมงมุมเจริญเติบโตอยางรวดเร็วคือ 24-29 องศาเซลเซียส นอกจาก<br />
นั้นความชื้นสัมพัทธก็เปนอีกสาเหตุหนึ่งที่ทํ<br />
าใหไรแมงมุมเกิดการระบาดไดโดย Chen et al.<br />
(1996) รายงานวาความชื้นสัมพัทธที่เหมาะสมตอการเจริญเติบโตของไรแมงมุม<br />
Tetranychus<br />
truncatus Ehara คือ 67% และ Nickel (1960) รายงานวาที่ความชื้นสัมพัทธ<br />
20-30% จะทํ าให<br />
ไรแมงมุม Tetranychus urticae (Koch) มีการพัฒนาไดอยางรวดเร็วและผลิตไขไดมากกวาที่<br />
ความชื้นสัมพัทธ<br />
85-90% จากการสํ ารวจตัวอยางพบวาที่อํ<br />
าเภอทองผาภูมิมีความชื้นสัมพัทธ<br />
86-95% ซึ่งไมเหมาะสมตอการเจริญของไรแมงมุม<br />
จึงไมพบการระบาดของไรในกลุมนี้มากนัก<br />
นอกจากนั้นยังพบวามีตัวออนดวงและเพลี้ยไฟซึ่งเปนศัตรูธรรมชาติที่คอยควบคุมปริมาณของไร<br />
แมงมุมแพรกระจายอยูทั่วไปอีกดวย<br />
44
ก ข<br />
ภาพที่<br />
17 ไรสี่ขาในวงศ<br />
Eriophyidae และ Diptiomiopidae<br />
ก) ไรสี่ขาในวงศ<br />
Eriophyidae มีอวัยวะในการดูดอาหารสั้น<br />
(ศรชี้)<br />
และ<br />
ข) ไรสี่ขาในวงศ<br />
Diptiomiopidae มีอวัยวะในการดูดอาหารยาว<br />
45
1.4 การวิเคราะหชนิดของพืชอาศัย<br />
จากการสํ ารวจไรสี่ขาที่ถูกเชื้อราลงทํ<br />
าลาย พบไรสี่ขาแพรกระจายอยูบนพืชแทบทุกชนิด<br />
เชน ไมปา วัชพืช พืชไร พืชสวน และไมดอกไมประดับ รวมทั้งพืชเศรษฐกิจตางๆ<br />
(ตารางที่<br />
3)<br />
ซึ่งตรงกับการรายงานของ<br />
อังศุมาลย (2543ข); Jeppson et al. (1975); Boczek et al.<br />
(1989); Keifer et al. (1982); Amrine et al. (2003) ที่ไดรายงานพืชอาศัยของไรสี่ขาไวเปน<br />
จํ านวนมาก สวนไรแมงมุมพบนอยมากไมวาจะเปนไรที่มีเชื้อราลงทํ<br />
าลายหรือไมก็ตาม<br />
การวิเคราะหตัวอยางพืชที่เก็บไวใน<br />
herbarium พบวามีความหลากชนิดมาก โดยเฉพาะ<br />
พืชปาซึ่งไมสามารถจํ<br />
าแนกชนิดไดเนื่องจากไมมีสวนของดอกและเมล็ด<br />
พืชอาศัยของไรแมงมุมที่<br />
ถูกเชื้อราเขาทํ<br />
าลายมีเพียง 4 ชนิดไดแก ขอย ผักหวาน มะดูก และขี้เหล็ก<br />
สวนพืชอาศัยของไรสี่<br />
ขาที่เก็บไดสวนใหญจะเปนไมผลตางๆ<br />
เชน กระทอน ลํ าไย ลิ้นจี่<br />
ขนุน เงาะ เปนตน (ตารางที่<br />
3)<br />
พืชอาศัยของไรแมงมุมจะแสดงอาการใบจุดสีขาว สวนพืชอาศัยของไรสี่ขาบางชนิดจะ<br />
แสดงอาการผิดปกติ เชนใบลิ้นจี่<br />
และกระทอนจะมีแผงขนกํ ามะหยี่อัดแนนอยูในสวนของใบที่โปง<br />
พอง และตนชะอมจะมีใบกอดกันเปนปม ชะอมบางตนที่มีไรระบาดมากใบจะเหลืองและรวงหลน<br />
ไปในที่สุด<br />
อยางไรก็ตามพืชสวนใหญไมแสดงอาการผิดปกติที่เกิดจากการดูดกินของไรสี่ขา<br />
เชน<br />
ขนุนปา เปลา และมะละกอ เปนตน<br />
46
ตารางที่<br />
3 Mites and host plants collected at Amphoe Thong Pha Phum Kanchanaburi, Province during November 2001-November 2002<br />
Isolates Host plant Common name Plant family Mite family Location Date<br />
2191 Streblus asper Lour. Khoi Moraceae Tetranychidae Jok Gra Din Water Fall 10-Nov-01<br />
2196 Wendlandia sp. Unknown Rubiaceae Eriophyidae Thong Pha Phum Natural Park 9-Nov-01<br />
2198 Crateva adansonii DC. Kum bok Capparaceae Eriophyidae Ban Tha Ma Duea 12-Nov-01<br />
2201 Unknown Unknown Sapindaceae Diptilomiopidae Thong Pha Phum Natural Park 9-Dec-01<br />
2203 Ichnocarpus frutescens (L.) W.T.Aiton Thao wan daeng Apocynaceae Diptilomiopidae Huai Pak Khok 8-Dec-01<br />
2204 Clerodendrum sp. Unknown Labiatae Eriophyidae Huai Pak Khok 8-Dec-01<br />
2205 Unknown Unknown Vitaceae Eriophyidae Huai Pak Khok 8-Dec-01<br />
2206 Unknown Unknown Leguminosae Eriophyidae Huai Pak Khok 8-Dec-01<br />
2208 Clerodendrum sp. Unknown Labiatae Eriophyidae Thong Pha Phum Natural Park 9-Dec-01<br />
2209 Thunbergia laurifolia Lindl. Rang chuet Acanthaceae Diptilomiopidae Ban Huai Khayang 8-Dec-01<br />
2210 Bauhinia acuminata Linn. Kalong Caesalpinioideae Diptilomiopidae Ban Huai Khayang 8-Dec-01<br />
2212 Jasminum sp. Mali pa Oleaceae Eriophyidae Thong Pha Phum Natural Park 9-Dec-01<br />
2214 Streblus asper Lour. Khoi Moraceae Eriophyidae Thong Pha Phum Natural Park 9-Dec-01<br />
2215 Mammea harmandii Kosterm. Saraphi dong Guttiferae Eriophyidae Thong Pha Phum Natural Park 9-Dec-01<br />
2217 Bauhinia purpurea Linn. Chong Kho Caesalpinioideae Eriophyidae Huai Pak Khok 19-Jan-02<br />
2219 Bambusa sp. Phai Gramineae Eriophyidae Huai Pak Khok 19-Jan-02<br />
2220 Thysanolaena maxima K. Ya mai kwat Gramineae Eriophyidae Huai Pak Khok 19-Jan-02<br />
47
ตารางที่<br />
3 (ตอ)<br />
Isolates Host plant Common name Plant family Mite family Location Date<br />
2222 Dimocarpus longan Lour. Lamyai Sapindaceae Eriophyidae Ban Huai Khayang 20-Jan-02<br />
2223 Sandoricum koetjape (Burm.f.) Merr. Krathon Meliaceae Eriophyidae Ban Huai Khayang 21-Jan-02<br />
2229 Unknown Unknown Cucurbitaceae Diptilomiopidae Ban Huai Khayang 20-Jan-02<br />
2230 Croton oblongifolius Roxb Plao yai Euphorbiaceae Eriophyidae Huai Pak Khok 20-Jan-02<br />
2233 Sandoricum koetjape (Burm.f.) Merr. Krathon Meliaceae Diptilomiopidae Ban Huai Khayang 20-Jan-02<br />
2241 Combretum punctatum Blume. Sakae wan Combretaceae Diptilomiopidae Thong Pha Phum Natural Park 4-Feb-02<br />
2242 Unknown Unknown Apocynaceae Eriophyidae Thong Pha Phum Natural Park 4-Feb-02<br />
2246 Acacia concinna (willd) DC. Sompoi Leguminosae Eriophyidae Ban Huai Khayang 5-Feb-02<br />
2247 Unknown Unknown Cucurbitaceae Diptilomiopidae Ban Pak Lum Pilog 5-Feb-02<br />
2259 Dimocarpus longan Lour. Lamyai Sapindaceae Eriophyidae Ban Huai Khayang 5-Feb-02<br />
2262 Quisqualis indica Linn. Lep mue nang Combretaceae Eriophyidae Ban Pak Lum Pilog 5-Feb-02<br />
2271 Artocarpus rigidus Blume. Khanun pa Moraceae Diptilomiopidae Ban Rhi Pa 6-Feb-02<br />
2278 Siphonodon celastrineus Griff. Maduk Celastraceae Diptilomiopidae Ban Huai Khayang 6-Feb-02<br />
2280 Colocasia esculenta (Linn.) Schott. Bon Araceae Eriophyidae Ban Huai Khayang 6-Feb-02<br />
2282 Saccharum officinarum Linn. Oi Gramineae Eriophyidae Ban Phachem Mai 15-Mar-02<br />
2283 Pterocarpus macrocarpus Kurz Pradu Papilionoidae Eriophyidae Ban Phachem Mai 15-Mar-02<br />
2284 Sauropus androgynus (L.) Merr. Phuk waan Euphorbiaceae Eriophyidae Ban Phachem Mai 15-Mar-02<br />
48
ตารางที่<br />
3 (ตอ)<br />
Isolates Host plant Common name Plant family Mite family Location Date<br />
2286 Litsea monopetala (Roxb.) Pers. I men Lauraceae Eriophyidae Ban Phachem Mai 15-Mar-02<br />
2291 Dimocarpus longan Lour. Lamyai Sapindaceae Eriophyidae Ban Rhi Pa 16-Mar-02<br />
2293 Litchi chinensis Sonn. Linchi Sapindaceae Eriophyidae Ban Pak Lum Pilog 16-Mar-02<br />
2294 Sauropus androgynus (L.) Merr. Phuk waan Euphorbiaceae Eriophyidae Ban Pak Lum Pilog 17-Mar-02<br />
2295 Aporosa villosa (Wall. ex Lindl.) Baill. Mueat lot Euphorbiaceae Diptilomiopidae Huai Pak Khok 17-Mar-02<br />
2296 Unknown Unknown Leguminosae Eriophyidae Ban Pak Lum Pilog 17-Mar-02<br />
2300 Saccharum officinarum Linn. Oi Gramineae Eriophyidae Ban Huai Khayang 17-Mar-02<br />
2301 Bambusa sp. Phai Gramineae Eriophyidae Ban Pak Lum Pilog 17-Mar-02<br />
2392 Archidendron jiringa (Jack) I.C.Nielson Cha niang Mimosoideae Eriophyidae Ban Rhi Pa 22-Apr-02<br />
2397 Sauropus androgynus (L.) Merr. Phuk waan Euphorbiaceae Eriophyidae Ban Rhi Pa 22-Apr-02<br />
2398 Croton robustus Kurz. Plao Euphorbiaceae Diptilomiopidae Ban Rhi Pa 22-Apr-02<br />
2399 Sandoricum koetjape (Burm.f.) Merr. Krathon Meliaceae Diptilomiopidae Ban Rhi Pa 22-Apr-02<br />
2405 Ficus racemosa Linn. Ma duea utum phon Moraceae Eriophyidae Ban Phachem Mai 23-Apr-02<br />
2409 Thunbergia laurifolia Lindl. Rang chuet Acanthaceae Diptilomiopidae Ban Phachem Mai 23-Apr-02<br />
2425 Citrus maxima (Burm.f.) Merr Som o Rutaceae Eriophyidae Ban Rhi Pa 24-Apr-02<br />
2428 Archidendron jiringa (Jack) I.C.Nielson Cha niang Mimosoideae Eriophyidae Ban Rhi Pa 27-May-02<br />
2429 Sandoricum koetjape (Burm.f.) Merr. Krathon Meliaceae Diptilomiopidae Ban Rhi Pa 27-May-02<br />
49
ตารางที่<br />
3 (ตอ)<br />
Isolates Host plant Common name Plant family Mite family Location Date<br />
2430 Ficus racemosa Linn. Ma duea utum phon Moraceae Diptilomiopidae Ban Rhi Pa 27-May-02<br />
2436 Sauropus androgynus (L.) Merr. Phuk waan Euphorbiaceae Eriophyidae Ban Pak Lum Pilog 27-May-02<br />
2437 Citrus maxima (Burm.f.) Merr Som o Rutaceae Eriophyidae Ban Pak Lum Pilog 27-May-02<br />
2438 Carica papaya Line. Malako Caricaceae Eriophyidae Ban Pak Lum Pilog 27-May-02<br />
2443 Citrus maxima (Burm.f.) Merr Som o Rutaceae Eriophyidae Ban Pak Lum Pilog 28-May-02<br />
2444 Citrus reticulata Blanco Som khieo wan Rutaceae Eriophyidae Ban Pak Lum Pilog 28-May-02<br />
2450 Citrus maxima (Burm.f.) Merr Som o Rutaceae Eriophyidae Ban Huai Khayang 28-May-02<br />
2455 Sandoricum koetjape (Burm.f.) Merr. Krathon Meliaceae Diptilomiopidae Ban Rhi Pa 16-Jun-02<br />
2456 Archidendron jiringa (Jack) I.C.Nielson Cha niang Mimosoideae Eriophyidae Ban Rhi Pa 16-Jun-02<br />
2457 Glochidion sp. Khrai mot Euphorbiaceae Eriophyidae Thong Pha Phum Natural Park 30-Jun-02<br />
2458 Archidendron jiringa (Jack) I.C.Nielson Cha niang Mimosoideae Eriophyidae Thong Pha Phum Natural Park 30-Jun-02<br />
2459 Litsea sp. Unknown Lanraceae Eriophyidae Thong Pha Phum Natural Park 30-Jun-02<br />
2461 Jasminum sp. Mali pa Oleaceae Eriophyidae Thong Pha Phum Natural Park 30-Jun-02<br />
2462 Unknown Unknown Unknown Diptilomiopidae Thong Pha Phum Natural Park 30-Jun-02<br />
2464 Unknown Unknown Euphorbiaceae Diptilomiopidae Ban Rhi Pa 30-Aug-02<br />
2465 Mammea harmandii Kosterm. Saraphi dong Guttiferae Diptilomiopidae Thong Pha Phum Natural Park 30-Jun-02<br />
2466 Glochidion sp. Khrai mot Euphorbiaceae Diptilomiopidae Thong Pha Phum Natural Park 30-Jun-02<br />
50
ตารางที่<br />
3 (ตอ)<br />
Isolates Host plant Common name Plant family Mite family Location Date<br />
2475 Citrus maxima (Burm.f.) Merr Som o Rutaceae Eriophyidae Ban Huai Khayang 27-Jul-02<br />
2476 Sauropus androgynus (L.) Merr. Phuk waan Euphorbiaceae Tetranychidae Ban Tha Ma Duea 27-Jul-02<br />
2477 Sauropus androgynus (L.) Merr. Phuk waan Euphorbiaceae Tetranychidae Ban Tha Ma Duea 27-Jul-02<br />
2479 Siphonodon celastrineus Griff. Maduk Celastraceae Tetranychidae Ban Rhi Pa 28-Jul-02<br />
2480 Siphonodon celastrineus Griff. Maduk Celastraceae Eriophyidae Ban Rhi Pa 28-Jul-02<br />
2482 Sauropus androgynus (L.) Merr. Phuk waan Euphorbiaceae Eriophyidae Ban Rhi Pa 30-Aug-02<br />
2485 Sandoricum koetjape (Burm.f.) Merr. Krathon Meliaceae Diptilomiopidae Ban Phachem Mai 30-Aug-02<br />
2487 Morinda citrifolia Linn. Yoban Rubiaceae Diptilomiopidae Ban Tha Ma Duea 30-Aug-02<br />
2490 Sauropus androgynus (L.) Merr. Phuk waan Euphorbiaceae Eriophyidae Ban Tha Ma Duea 30-Aug-02<br />
2493 Carica papaya Line. Malako Caricaceae Eriophyidae Ban Phachem Mai 28-Sep-02<br />
2494 Sandoricum koetjape (Burm.f.) Merr. Krathon Meliaceae Diptilomiopidae Ban Huai Khayang 28-Sep-02<br />
2497 Sandoricum koetjape (Burm.f.) Merr. Krathon Meliaceae Diptilomiopidae Ban Phachem Mai 28-Sep-02<br />
2502 Morinda citrifolia Linn. Yoban Rubiaceae Diptilomiopidae Ban Phachem Mai 28-Sep-02<br />
2505 Jasminum sp. Mali pa Oleaceae Eriophyidae Thong Pha Phum Natural Park 24-Oct-02<br />
2507 Pterocarpus macrocarpus Kurz Pradu Papilionoidae Eriophyidae Thong Pha Phum Natural Park 24-Oct-02<br />
2509 Unknown Unknown Euphorbiaceae Eriophyidae Thong Pha Phum Natural Park 24-Oct-02<br />
2510 Connarus sp. Thopthaep Connaraceae Diptilomiopidae Thong Pha Phum Natural Park 24-Oct-02<br />
51
ตารางที่<br />
3 (ตอ)<br />
Isolates Host plant Common name Plant family Mite family Location Date<br />
2513 Pterocarpus macrocarpus Kurz Pradu Papilionoidae Eriophyidae Thong Pha Phum Natural Park 24-Oct-02<br />
2515 Croton robustus Kurz. Plao Euphorbiaceae Eriophyidae Ban Tha Ma Duea 25-Oct-02<br />
2519 Merremia vitifolia (Burm.f.) Hallier f. Chingcho lueang Convolvulaceae Eriophyidae Ban Tha Ma Duea 25-Oct-02<br />
2524 Sandoricum koetjape (Burm.f.) Merr. Krathon Meliaceae Diptilomiopidae Ban Pak Lum Pilog 25-Oct-02<br />
2527 Carica papaya Line. Malako Caricaceae Eriophyidae Ban Phachem Mai 25-Oct-02<br />
2528 Siphonodon celastrineus Griff. Maduk Celastraceae Eriophyidae Ban Phachem Mai 25-Oct-02<br />
2532 Sauropus androgynus (L.) Merr. Phuk waan Euphorbiaceae Eriophyidae Ban Phachem Mai 25-Oct-02<br />
2533 Cassia siamea Lam. Khi lek Caesalpinioideae Diptilomiopidae Ban Pak Lum Pilog 26-Oct-02<br />
2534 Cassia siamea Lam. Khi lek Caesalpinioideae Eriophyidae Ban Pak Lum Pilog 26-Oct-02<br />
2535 Cassia siamea Lam. Khi lek Caesalpinioideae Tetranychidae Ban Pak Lum Pilog 26-Oct-02<br />
2538 Sandoricum koetjape (Burm.f.) Merr. Krathon Meliaceae Diptilomiopidae Ban Pak Lum Pilog 26-Oct-02<br />
2540 Garuga pinnata Roxb. Ta khram Burseraceae Diptilomiopidae Ban Tha Ma Duea 26-Oct-02<br />
2542 Sandoricum koetjape (Burm.f.) Merr. Krathon Meliaceae Diptilomiopidae Ban Tha Ma Duea 26-Oct-02<br />
2544 Morinda citrifolia Linn. Yoban Rubiaceae Diptilomiopidae Ban Tha Ma Duea 26-Oct-02<br />
2545 Thunbergia laurifolia Lindl. Rang chuet Acanthaceae Diptilomiopidae Ban Huai Khayang 23-Nov-02<br />
2551 Sandoricum koetjape (Burm.f.) Merr. Krathon Meliaceae Diptilomiopidae Ban Huai Khayang 23-Nov-02<br />
2555 Nephelium lappaceum Linn. Ngo Sapindaceae Eriophyidae Ban Pak Lum Pilog 23-Nov-02<br />
52
ตารางที่<br />
3 (ตอ)<br />
Isolates Host plant Common name Plant family Mite family Location Date<br />
2557 Syzygium malaccense Linn. Chomphu mamiaw Myrtaceae Diptilomiopidae Ban Pak Lum Pilog 23-Nov-02<br />
2559 Lagerstroemia sp. Salao Lythraceae Eriophyidae Huai Pak Khok 23-Nov-02<br />
2560 Unknown Unknown Unknown Eriophyidae Huai Pak Khok 23-Nov-02<br />
2562 Lagerstroemia cuspidata Wall. Ta bak Lythraceae Diptilomiopidae Suan Pa Thong Pha Phum 24-Nov-02<br />
2563 Sandoricum koetjape (Burm.f.) Merr. Krathon Meliaceae Diptilomiopidae Ban Phachem Mai 24-Nov-02<br />
2565 Aglaia sp. Unknown Meliaceae Eriophyidae Suan Pa Thong Pha Phum 24-Nov-02<br />
2566 Casearia grewiifolia Vent. Kruai pa Flacourtiaceae Diptilomiopidae Suan Pa Thong Pha Phum 24-Nov-02<br />
2568 Acacia pennata (L.) Willd. ssp. Cha om Mimosoideae Eriophyidae Ban Phachem Mai 24-Nov-02<br />
2569 Sauropus androgynus (L.) Merr. Phuk waan Euphorbiaceae Eriophyidae Ban Phachem Mai 24-Nov-02<br />
2573 Carica papaya Line. Malako Caricaceae Eriophyidae Suan Pa Thong Pha Phum 24-Nov-02<br />
2575 Morinda citrifolia Linn. Yoban Rubiaceae Diptilomiopidae Suan Pa Thong Pha Phum 24-Nov-02<br />
2576 Connarus sp. Thopthaep Connaraceae Eriophyidae Huai Pak Khok 24-Nov-02<br />
53
2. การเจริญเติบโตและลักษณะโครงสรางของเชื้อรา<br />
2.1 การเจริญเติบโตของเชื้อราบนวุนอาหาร<br />
ผลการศึกษาการเจริญเติบโตของเชื้อรา<br />
H. thompsonii ที่รวบรวมไดจํ<br />
านวน 114 ไอโซ<br />
เลท บนวุนอาหาร<br />
MEA โดยการวัดขนาดเสนผานศูนยกลางโคโลนีของเชื้อราอายุ<br />
7, 14, 21<br />
และ 28 วัน พบวาโคโลนีอายุ 7 วันมีขนาดเสนผานศูนยกลางตั้งแต<br />
0.07-1.36 เซนติเมตร จาก<br />
การทดลองสามารถแบงกลุมของเสนผานศูนยกลางโคโลนีออกเปน<br />
4 กลุมอยางมีนัยสํ<br />
าคัญทาง<br />
สถิติ โดยโคโลนีของเชื้อราจํ<br />
านวน 32 ไอโซเลทจะมีขนาดเล็ก 0.07-0.47 เซนติเมตร สวนกลุม<br />
โคโลนีที่มีขนาดใหญมีขนาด<br />
0.72-1.36 เซนติเมตรมีจํ านวน 27 ไอโซเลท เชื้อราไอโซเลท<br />
2296 เจริญเติบโตชาที่สุด<br />
(เสนผานศูนยกลาง 0.07 เซนติเมตร) สวนไอโซเลท 2458 เจริญเติบ<br />
โตเร็วกวาไอโซเลทอื่นๆ<br />
โดยมีเสนผานศูนยกลางของโคโลนีถึง 1.36 เซนติเมตร (ตารางที่<br />
4, ตา<br />
รางผนวกที่<br />
ก1)<br />
เมื่อโคโลนีอายุ<br />
14 วันจะมีขนาดเสนผานศูนยกลางตั้งแต<br />
0.64-2.99 เซนติเมตร ใน<br />
จํ านวนไอโซเลทที่ศึกษาพบวา<br />
เชื้อราจํ<br />
านวน 29 ไอโซเลทเปนกลุมที่มีขนาดเสนผานศูนยกลาง<br />
ของโคโลนีเล็กซึ่งมีขนาดเพียง<br />
0.64-1.26 เซนติเมตร และเชื้อราจํ<br />
านวน 28 ไอโซเลทโดยเปน<br />
เชื้อรากลุมที่มีขนาดเสนผานศูนยกลางโคโลนีใหญคือ<br />
1.98-2.99 เซนติเมตร ไอโซเลท 2296<br />
ยังคงมีขนาดเล็กที่สุด<br />
(0.64 เซนติเมตร) และไอโซเลท 2560 มีขนาดใหญที่สุด<br />
(2.99<br />
เซนติเมตร) (ตารางที่<br />
5, ตารางผนวกที่<br />
ก1)<br />
เมื่อเชื้อรามีอายุ<br />
21 วันจะมีการขยายขนาดของโคโลนีมากขึ้น<br />
โดยมีเสนผานศูนยกลาง<br />
ตั้งแต<br />
0.94-4.37 เซนติเมตร เชื้อราจํ<br />
านวน 29 ไอโซเลทมีขนาดเสนผานศูนยกลาง 0.94-<br />
2.21 เซนติเมตรซึ่งเปนกลุมที่มีขนาดโคโลนีเล็ก<br />
สวนกลุมที่มีขนาดโคโลนีใหญมี<br />
28 ไอโซเลท<br />
โดยมีขนาดเสนผานศูนยกลาง 3.22-4.37 เซนติเมตร ไอโซเลท 2296 ยังคงมีขนาดเล็กที่สุด<br />
(0.94 เซนติเมตร) และไอโซเลท 2560 มีขนาดใหญที่สุด<br />
(4.37 เซนติเมตร) (ตารางที่<br />
6, ตา<br />
รางผนวกที่<br />
ก1)<br />
เมื่อโคโลนีอายุ<br />
28 วันจะมีขนาดเสนผานศูนยกลางตั้งแต<br />
1.42-5.39 เซนติเมตร จาก<br />
การแบงกลุ มของโคโลนีที่มีขนาดแตกตางกันเปน<br />
4 กลุมนั้นพบวา<br />
กลุมเชื้อราที่มีขนาดโคโลนีเล็ก<br />
มีจํ านวน 29 ไอโซเลท ซึ่งมีเสนผานศูนยกลาง<br />
1.42-3.07 เซนติเมตร กลุมที่มีขนดใหญมี<br />
จํ านวน 28 ไอโซเลท โดยมีขนาดเสนผานศูนยกลาง 4.22-5.39 เซนติเมตร ไอโซเลท 2296 มี<br />
54
ขนาดเล็กที่สุด<br />
(1.42 เซนติเมตร) และไอโซเลท 2392 มีขนาดใหญที่สุด<br />
(5.39 เซนติเมตร)<br />
(ตารางที่<br />
7, ตารางผนวกที่<br />
ก1)<br />
Samson et al. (1980) เลี้ยงเชื้อราสายพันธุ<br />
synnematosa ดวยอาหาร Malt Extract<br />
agar ที่อุณหภูมิ<br />
25 องศาเซลเซียส เปนเวลา 14 วัน พบวาโคโลนีมีขนาดเสนผานศูนยกลาง 2.0-<br />
2.5 เซนติเมตรซึ่งก็มีหลายไอโซเลทที่มีขนาดของโคโลนีใกลเคียงกับการรายงานของ<br />
Samson et<br />
al. (1980) เชน #2210, 2214, 2215, 2259, 2294, 2392, 2429, 2457 และ 2458<br />
เปนตน Rombach et al. (1986) เลี้ยงเชื้อรา<br />
H. thompsonii สายพันธุ<br />
synnematosa ดวย<br />
อาหาร Sabouraud dextrose agar เปนเวลา 14 วันและวัดเสนผานศูนยกลางโคโลนีได 1-1.5<br />
เซนติเมตร ซึ่งใกลเคียงกับ<br />
ไอโซเลท 2196, 2198, 2201, 2203, 2208, 2209, 2212,<br />
2262, 2278 และ 2280 เปนตน<br />
เมื่อนํ<br />
าผลการวัดขนาดเสนผานศูนยกลางของโคโลนีเชื้อราอายุ<br />
7, 14, 21 และ 28 วัน<br />
มาคํ านวณหาอัตราการเจริญเติบโตของเชื้อเฉลี่ยในชวง<br />
1 วัน (Growth rate overall period) พบ<br />
วาเชื้อรา<br />
H. thompsonii ทั้ง<br />
114 ไอโซเลท มีอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยตอวันตั้งแต<br />
0.06-0.23<br />
เซนติเมตร โดยไอโซเลท 2296 และ 2540 มีอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยตอวันตํ่<br />
าที่สุดคือ<br />
0.06<br />
เซนติเมตร สวนไอโซเลท 2392 มีอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยตอวันสูงที่สุดคือ<br />
0.23 เซนติเมตร<br />
เชื้อราจํ<br />
านวน 38 ไอโซเลทมีอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยตอวัน<br />
0.15-0.17 เซนติเมตรสวนกลุมที่<br />
มีอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ย<br />
0.13-0.14 และ 0.18-0.23 มีจํ านวน 24 ไอโซเลทเทากัน<br />
(ตารางที่<br />
8, ตารางผนวกที่<br />
ก1)<br />
55
ตารางที่<br />
4 Colony diameters of H. thompsonii (114 isolates) cultured on malt extract agar<br />
plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 7 days<br />
Colony diameter (cm) Number of isolates<br />
0.07-0.47 32 (28.07%)<br />
0.48-0.56 26 (22.81%)<br />
0.56-0.72 29 (25.44%)<br />
0.72-1.36 27 (23.68%)<br />
ตารางที่<br />
5 Colony diameters of H. thompsonii (114 isolates) cultured on malt extract agar<br />
plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 14 days<br />
Colony diameter (cm) Number of isolates<br />
0.64-1.26 29 (25.44%)<br />
1.27-1.6 28 (24.56%)<br />
1.61-1.97 29 (25.44%)<br />
1.98-2.99 28 (24.56%)<br />
56
ตารางที่<br />
6 Colony diameters of H. thompsonii (114 isolates) cultured on malt extract agar<br />
plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 21 days<br />
Colony diameter (cm) Number of isolates<br />
0.94-2.21 29 (25.44%)<br />
2.22-2.63 29 (25.44%)<br />
2.64-3.21 28 (24.56%)<br />
3.22-4.37 28 (24.56%)<br />
ตารางที่<br />
7 Colony diameters of H. thompsonii (114 isolates) cultured on malt extract agar<br />
plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 28 days<br />
Colony diameter (cm) Number of isolates<br />
1.42-3.07 29 (25.44%)<br />
3.08-3.62 28 (24.56%)<br />
3.63-4.21 29 (25.44%)<br />
4.22-5.39 28 (24.56%)<br />
57
ตารางที่<br />
8 Growth rate overall periods of H. thompsonii (114 isolates) cultured on malt<br />
extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 28 days<br />
Colony diameter (cm) Number of isolates<br />
0.06-0.12 28 (24.56%)<br />
0.13-0.14 24 (21.05%)<br />
0.15-0.17 38 (33.33 %)<br />
0.18-0.23 24 (21.05%)<br />
58
2191 2196 2198<br />
ภาพที่<br />
18 โคโลนีของเชื้อรา<br />
H. thompsonii บนอาหาร MEA อายุ 28 วัน<br />
2201<br />
2203 2204 2205 2206<br />
2208 2209 2210<br />
2212<br />
2220 2222 2223<br />
2229<br />
2230 2241 2242<br />
2233<br />
59
ภาพที่<br />
18 (ตอ)<br />
2246 2247 2259 2262<br />
2271 2278 2280 2282<br />
2283 2284 2286 2291<br />
2293 2294 2295 2296<br />
2300 2301 2392<br />
2397<br />
60
ภาพที่<br />
18 (ตอ)<br />
2398 2399 2405 2409<br />
2425 2428 2429 2430<br />
2436 2437 2438 2443<br />
2444 2450 2455 2456<br />
2457 2458 2459 2461<br />
61
ภาพที่<br />
18 (ตอ)<br />
2462 2464 2465 2466<br />
2475 2476 2477 2479<br />
2480 2482 2485 2487<br />
2490 2493 2494 2497<br />
2502 2505 2507 2509<br />
62
ภาพที่<br />
18 (ตอ)<br />
2510 2513 2515 2519<br />
2524 2527 2528 2532<br />
2533 2534 2535 2538<br />
2540 2542 2544 2545<br />
2551 2555 2557 2559<br />
63
ภาพที่<br />
18 (ตอ)<br />
2560 2562 2563 2565<br />
2566 2568 2569 2573<br />
2575 2576<br />
64
ลักษณะโคโลนีของเชื้อรา<br />
H. thompsonii ทั้ง<br />
114 ไอโซเลทมีความแตกตางกันดังแสดง<br />
ในภาพที่<br />
18 โดยสามารถเปน 3 แบบตามลักษณะการยกของขอบโคโลนี คือ โคโลนีแบน (flat),<br />
โคโลนีฟูปานกลาง (moderate) และโคโลนีที่มีเสนใยพองฟูทํ<br />
าใหขอบของโคโลนียกสูงขึ้นจากพื้น<br />
ผิวมาก (elevate) (ภาพที่<br />
19) ลักษณะโคโลนีของเชื้อรา<br />
H. thompsonii var. synnematosa<br />
สวนใหญเปนแบบ moderate ซึ่งพบมากถึง<br />
50 ไอโซเลท สวนโคโลนีแบบ flat พบรองลงมาคือ<br />
44 ไอโซเลท และโคโลนีแบบ elevate พบนอยที่สุดคือ<br />
20 ไอโซเลท (ตารางที่<br />
9, ตารางผนวกที่<br />
ก2) McCoy and Kanavel (1969) เลี้ยงเชื้อรา<br />
H. thompsonii ดวยอาหาร Sabouraud<br />
dextrose agar, Potato dextrose agar, V-8 juice agar และ Modified soil fungus medium เปน<br />
เวลา 12 วัน พบวาลักษณะโคโลนีของเชื้อรามีลักษณะเหมือนกันคือ<br />
โคโลนีแบน (fat) แตอาจมี<br />
การยกของโคโลนีเหนืออาหารเล็กนอย ซึ่งตรงกับผลการศึกษาครั้งนี้ที่พบเชื้อราซึ่งมีลักษณะโคโล<br />
นีแบนถึง 40 ไอโซเลท<br />
การเกิดสีของโคโลนีมีความแตกตางกัน ซึ่งสามารถแบงออกไดเปน<br />
7 สี ไดแก ขาว<br />
(White), เทา (Gray), เหลืองอมเทา (Yellowish gray), ขาวอมเหลือง (Yellowish white), เทา<br />
อมเขียว (Greenish gray), ขาวอมเขียว (Greenish white) และ ขาวสม Orange white (ตารางที่<br />
10, ตารางผนวกที่<br />
ก2) McCoy and Kanavel (1969) รายงานวาโคโลนีของเชื้อรา<br />
H.<br />
thompsonii มีสีเทาอมเขียว ซึ่งตรงกับสีของเชื้อราหลายไอโซเลท<br />
เชน 2204, 2222, 2233,<br />
2246, 2282, 2283, 2286, 2300 และ 2398 เปนตน อังศุมาลย และ อุไรวรรณ (2532)<br />
รายงานการเกิดสีของเชื้อรา<br />
H. thompsonii ที่เลี้ยงบนอาหาร<br />
Malt extract agar ไววามีตั้งแตสี<br />
ขาวอมเทาจนถึงสีเทาจนเกือบดํ า ซึ่งในการกํ<br />
าหนดสีจากการมองเห็นดวยตาอาจแตกตางกัน แต<br />
เมื่อนํ<br />
ารูปของโคโลนีมาเทียบสีดูพบวามีหลายไอโซเลทที่มีสีใกลเคียงกับการทดลองของอังศุมาลย<br />
และ อุไรวรรณ (2532)<br />
เมื่อเลี้ยงเชื้อราไดประมาณ<br />
2 อาทิตยจะพบวาเชื้อราบางไอโซเลทเริ่มมีการสราง<br />
synnemata โดยเกิดปุ มนูนสีขาวขึ้นรอบๆ<br />
โคโลนีของเชื้อราและเริ่มยาวขึ้นเรื่อยๆ<br />
เกิดจากการที่<br />
อาหารเริ่มหมด<br />
ซึ่งเปนกลไกอยางหนึ่งในการรักษาตัวเองเพื่อการอยูรอด<br />
โดยการสรางมัดของ<br />
เสนใยที่เรียงตัวกันอยางแนนหนา<br />
และจะอยูในสภาพนี้จนกวาจะมีอาหารใหม<br />
จากการศึกษาพบ<br />
วา synnemata จะปรากฏเดนชัดขึ้นเมื่อเชื้อรามีอายุประมาณ<br />
3 อาทิตย ซึ่งตรงกับการรายงานของ<br />
Rombach et al. (1986) ที่รายงานวา<br />
เชื้อรา<br />
H. thompsonii จะมีการสราง synnemata เมื่อเลี้ยง<br />
ไวประมาณ 3 อาทิตย และตรงกับการรายงานของ อังศุมาลย และ อุไรวรรณ (2532) ที่รายงาน<br />
วาโคโลนีของเชื้อรา<br />
H. thompsonii อายุ 7-14 วันจะเริ่มมีการรวมกันของเสนใยสีขาวเปนตุม<br />
เล็กๆ จนกลายเปน synnemata ลักษณะการเกิด synnemata ของ H. thompsonii แตละไอโซเลท<br />
จะแตกตางกัน เชน เกิดเปนกระจุกๆ เกิดกระจายทุกทิศทาง นอกจากนั้นเชื้อราบาง<br />
ไอโซเลทมี<br />
65
synnemata ยาว ในขณะที่บางไอโซเลทมี<br />
synnemata สั้นมาก<br />
เชื้อราหลายไอโซเลทไมสราง<br />
synnemata แมจะเปนสายพันธุ<br />
H. thompsonii var. synnematosa ดวยกันก็ตาม ซึ่งตรงกับคํ<br />
า<br />
อธิบายของ อังศุมาลย และ อุไรวรรณ (2532) ที่กลาววา<br />
เชื้อราสายพันธุ<br />
synnemata ไมไดสราง<br />
synnemata 100% สวนใหญจะพบประมาณ 60-75% ของโคโลนีที่เลี้ยง<br />
สวน Mains (1951)<br />
กลาววา การสราง synnemata ขึ้นอยูกับสภาพทางสรีรวิทยา<br />
และเมื่อ<br />
subculture หลายครั้งเชื้อจะ<br />
ไมสราง synnemata อีก จากผลการศึกษาครั้งนี้พบวามีเชื้อรา<br />
H. thompsonii จํ านวน 58 ไอโซ<br />
เลท (50.88%) ที่สราง<br />
synnemata จากการสังเกตลักษณะอื่นๆที่ปรากฏบนโคโลนียังพบวาเชื้อ<br />
ราจํ านวน 46 ไอโซเลท (40.35%) มีการสรางหยดนํ้<br />
าบนโคโลนี (water droplet) ซึ่งเกิดจากการ<br />
คายนํ าของเชื ้ ้อรา หยดนํ้<br />
าที่เกิดในแตละไอโซเลทจะมีสีที่ตางกัน<br />
เชน สีเขียว แดง นํ้<br />
าตาล เหลือง<br />
เนื่องจากเสนใยเกิดการคายนํ้<br />
าแลวมารวมกับ pigment ของเสนใยที่ผลิตออกมาจึงทํ<br />
าใหเกิดสี<br />
ตางๆ เปนขบวนการปองกันตัวจากแสงแดด รังสีหรือสิ่งที่เปนอันตรายกับตัวเชื้อรา<br />
Rosas<br />
(2003) ศึกษาความเปนพิษของหยดนํ้<br />
าที่เกิดขึ้นบนโคโลนี<br />
(exudate) ของเชื้อรา<br />
H. thompsonii<br />
(HtM 120i) โดยนํ าหยดนํ้<br />
านั้นไปฉีดในหนอนกินไขผึ้งวัยสุดทาย<br />
(Galleria mellonella<br />
(Linnaeus)) จํ านวน 10 ไมโครลิตร พบวาไมมีผลกับหนอนคือไมทํ าใหหนอนตาย รวมทั้งไมทํ<br />
า<br />
ใหดักแดและตัวเต็มวัยผิดปกติ แตเมื่อนํ<br />
าหยดนํ้<br />
าที่ความเขมขน<br />
100, 50 และ 40% ไปทดสอบ<br />
กับไรแมงมุม Tetranychus urticae (Koch) พบวาหยดนํ้<br />
ามีผลไปยับยั้งการวางไขของไร<br />
โดยทํ าให<br />
ไรวางไขเพียง 45±4.2, 59±4.9 และ 63±4.9 ตามลํ าดับ<br />
เชื้อราจํ<br />
านวน 47 ไอโซเลท (41.23%) มีการสราง clear zone ซึ่งเกิดเปนบริเวณใส<br />
รอบๆ โคโลนี (ตารางที่<br />
11, ภาพที่<br />
20) เนื่องจากเชื้อราทํ<br />
าการผลิตและปลดปลอยเอนไซมที่<br />
เกี่ยวของกับการยอยสลายโปรตีนออกมาภายนอกเซลล<br />
(chitinolytic enzymes) เพื่อทํ<br />
าการสลาย<br />
โปรตีนโมเลกุลใหญใหเปนโมเลกุลเล็กแลวทํ าการดูดซึมเขาสูเซลล<br />
เมื่อโปรตีนในอาหาร<br />
MEA ที่<br />
อยูรอบๆ<br />
โคโลนีมีโมเลกุลเล็กลงจึงทํ าใหเห็นเปนบริเวณใสรอบๆ โคโลนี Chernin et al. (1997)<br />
ศึกษาการปลดปลอยเอ็นไชมที่ยอยโปรตีนในเชื้อรา<br />
H. necatrix, H. kirchneri และเชื้อรา<br />
H.<br />
thompsonii จํ านวน 6 ไอโซเลท พบวาเชื้อรา<br />
H. thompsonii จํ านวน 2 ไอโซเลท และ H.<br />
necatrix สามารถปลดปลอยเอ็นไซมที่ยอยโปรตีนในอาหารเลี้ยงเชื้อได<br />
เมื่อนํ<br />
าลักษณะทาง morphology ของเชื้อราทั้งหมดมาหาความสัมพันธ<br />
คือสีของโคโลนี,<br />
การเกิด synnemata, การยกของขอบโคโลนี, การสราง polyblastic conidiogeneous cell, การเกิด<br />
clear zone และ water droplet พบวา ลักษณะตางๆ มีความสัมพันธกันนอยมากหรือแทบจะไมมี<br />
ความสัมพันธเลย (ภาคผนวก ข1)<br />
66
ก<br />
ภาพที่<br />
19 ลักษณะโคโลนีของเชื้อรา<br />
H. thompsonii<br />
ก) flat ข) moderate และ ค) elevate<br />
ก<br />
ภาพที่<br />
20 ลักษณะพิเศษที่เชื้อรา<br />
H. thompsonii สรางขึ้นเมื่อเลี้ยงบนอาหาร<br />
MEA<br />
ก) synnemata ข) water droplets และ ค) Clear zone<br />
ข<br />
ข<br />
67<br />
ค<br />
ค
ตารางที่<br />
9 Formation of H. thompsonii colony (114 isolates) cultured on malt agar plates<br />
at 27±1 o C, 65±3% RH for 28 days<br />
Colony formation Number of isolates<br />
Flat 44 (38.60%)<br />
Moderate 50 (43.86%)<br />
Elevate 20 (17.54%)<br />
ตารางที่<br />
10 Color of H. thompsonii colony (114 isolates) cultured on malt agar plates at<br />
27±1 o C, 65±3% RH for 28 days<br />
Color of colony Number of isolates<br />
White 22 (19.30%)<br />
Gray 14 (12.28%)<br />
Yellowish gray 17 (14.91%)<br />
Yellowish white 24 (21.05%)<br />
Greenish gray 16 (14.04%)<br />
Greenish white 8 (7.02%)<br />
Orange white 13 (11.40%)<br />
68
ตารางที่<br />
11 Special characteristics of H. thompsonii (114 isolates) cultured on malt agar<br />
plates at 27±1 o C, 65±3% RH for 28 days<br />
Characteristics Number of isolates<br />
Yes No<br />
Synnemata 58 (50.88%) 56 (49.12%)<br />
Water droplets 46 (40.35%) 68 (59.65%)<br />
Clear zone 47 (41.23%) 67 (58.77%)<br />
69
2.2 การศึกษาปริมาณ conidia โดยวิธี direct count และ viable plate count<br />
ผลการศึกษาปริมาณ conidia ของเชื้อรา<br />
H. thompsonii 114 ไอโซเลท โดยการนับ<br />
ปริมาณ conidia จาก Haemacytometer (direct count) และนับจํ านวน conidia ที่สามารถเจริญ<br />
บนวุนอาหาร<br />
MEA (viable plate count) เพื่อเปรียบเทียบจํ<br />
านวน conidia ตอพื้นที่โคโลนี<br />
1 ตา<br />
รางเซนติเมตร พบวา จํ านวน conidia ซึ่งไดจากการนับโดยวิธี<br />
direct count มีปริมาณแตกตางกัน<br />
ตั้งแต<br />
0.44x10 4 -191.68x10 4 conidia/ตารางเซนติเมตร โดยมีเชื้อราเพียง<br />
2 ไอโซเลทที่ผลิต<br />
conidia ไดมากกวา 100x10 4 conidia/ตารางเซนติเมตร เชื้อราที่สราง<br />
conidia ไดมากที่สุดคือ<br />
ไอโซเลท 2220 โดยสามารถสราง conidia ไดถึง 191.68x10 4 conidia/ตารางเซนติเมตร รองลง<br />
มาคือไอโซเลท 2196 ซึ่งผลิต<br />
conidia ได 115.91x10 4 conidia/ตารางเซนติเมตร สวนไอโซเลท<br />
2528 สราง conidia ไดนอยที่สุดคือ<br />
0.44x10 4 conidia/ตารางเซนติเมตร (ตารางผนวกที่<br />
ก3)<br />
การแบงกลุมของเชื้อราตามปริมาณ<br />
conidia ที่นับโดยวิธี<br />
direct count พบวาอัตราการ<br />
สราง conidia สามารถแบงเชื้อราออกไดเปน<br />
4 กลุ มอยางมีนัยสํ าคัญทางสถิติ โดยเชื้อราที่ผลิต<br />
conidia ไดเพียง 0.44x10 4 -8.64x10 4 conidia/ตารางเซนติเมตร มี 28 ไอโซเลท (24.56%)<br />
สวนกลุมที่ผลิต<br />
conidia ไดมากระหวาง 33.11x10 4 -191.68x10 4 conidia/ตารางเซนติเมตรมี<br />
จํ านวนมากถึง 29 ไอโซเลท (25.44%) (ตารางที่<br />
12)<br />
เมื่อนํ<br />
านํ้<br />
า conidia มาเจือจางเพื่อศึกษาความสามารถในการเจริญบนวุนอาหาร<br />
MEA<br />
(viable plate count) ภายหลังการเลี้ยงเปนเวลา<br />
3 วัน ที่อุณหภูมิ<br />
27±1 องศาเซลเซียส พบวาเชื้อ<br />
รามีปริมาณ conidia ที่สามารถเจริญบนวุนอาหารไดตั้งแต<br />
0.66x10 4 -181.70x10 4 CFU/ตา<br />
รางเซนติเมตร ขึ้นอยูกับไอโซเลทของเชื้อรา<br />
ทั้งนี้จํ<br />
านวน conidia ที่นับโดยวิธี<br />
direct count และ<br />
viable plate count มีความสัมพันธกันสูงมากโดยมีคา r=0.956 และมีความสัมพันธไปในทาง<br />
เดียวกัน (ภาคผนวก ข2) จากจํ านวนไอโซเลทที่ศึกษาพบวาเชื้อราจํ<br />
านวน 28 ไอโซเลท<br />
(24.56%) มีปริมาณ conidia ที่นับโดยวิธี<br />
viable plate count ตํ าสุดอยู ่ ระหวาง 0.66x10 4 -<br />
9.01x10 4 CFU/ตารางเซนติเมตร สวนไอโซเลทที่มีจํ<br />
านวน conidia มาก (วิธี viable plate<br />
count) มี 29 ไอโซเลท (25.44%) โดยมีจํ านวนระหวาง 30.73x10 4 -181.70x10 4 CFU/ตา<br />
รางเซนติเมตร (ตารางที่<br />
13 และตารางผนวกที่<br />
ก3)<br />
จากการนับจํ านวน conidia ของเชื้อราแตละไอโซเลท<br />
พบวา โดยทั่วไปจํ<br />
านวน conidia<br />
ที่นับโดยวิธี<br />
viable plate count ที่เจริญบนวุนอาหารมักมีจํ<br />
านวนตํ่<br />
ากวาจํ านวน conidia ที่ไดจาก<br />
การนับโดยวิธี direct count ตอหนวยพื้นที่เดียวกัน<br />
ทั้งนี้อาจเปนเพราะ<br />
conidia ที่ไดจากการนับ<br />
โดยวิธี direct count มีทั้ง<br />
conidia ที่แกหรือออนเกินไปจนไมสามารถงอกได<br />
อยางไรก็ตาม มีเชื้อ<br />
70
ราจํ านวน 49 ไอโซเลท เชน 2229, 2397, 2437, 2476, 2458 และ 2482 ที่ใหจํ<br />
านวน<br />
conidia ที่เจริญบนวุนอาหารมากกวาปริมาณ<br />
conidia ที่ไดจากการนับโดยตรงตอหนวยพื้นที่เดียว<br />
กัน โดยเฉพาะไอโซเลท 2437 มีปริมาณ conidia ที่นับโดยวิธี<br />
direct count 14.19x10 4 conidia/<br />
ตารางเซนติเมตร แตใหปริมาณ conidia ที่นับโดยวิธี<br />
viable plate count สูงถึง 3 เทา (40.35x10 4<br />
CFU/ตารางเซนติเมตร) เปนตน สาเหตุที่ทํ<br />
าใหปริมาณ conidia ที่นับโดยวิธี<br />
viable plate count<br />
มีปริมาณสูงอาจเปนเพราะเชื้อราที่ใชในการศึกษายังเปนชวงที่มีการเจริญอยู<br />
ซึ่งอาจมีการสราง<br />
conidia เพิ่มขึ้นหรือในขั้นตอนการกรองเพื่อแยกเอาเสนใยออกจากนํ้<br />
า conidia อาจมีเสนใยที่ขาด<br />
เปนทอนเล็กๆ ปะปนอยูดวย<br />
ซึ่งเสนใยเหลานี้สามารถเจริญเติบโตเปนโคโลนีเล็กๆ<br />
ที่มีลักษณะ<br />
คลายกับโคโลนีที่ไดจาก<br />
conidia เดี่ยวๆ<br />
จากผลการศึกษาที่พบวาปริมาณการสราง<br />
conidia ของเชื้อราแตละไอโซเลทที่แตกตาง<br />
กันนั้น<br />
อาจมาจากความแตกตางของโครงสรางเสนใยและการสราง conidia ของเชื้อราดวย<br />
เชน<br />
ไอโซเลท 2220 ที่ผลิต<br />
conidia ไดมากที่สุดนั้น<br />
มีลักษณะโคโลนีแบน สีขาวอมเขียว โครงสรางสืบ<br />
พันธุที่เรียกวา<br />
phialide เปนแบบ polyphialidic มีรูเปดออกจาก phialide 3 รูทํ าใหมีจํ านวน<br />
conidia 3 อัน และพบลักษณะโครงสรางพิเศษที่เรียกวา<br />
polyblastic conidogenous cells ที่<br />
สามารถผลิต conidia ไดหลายอัน สวนไอโซเลท 2528 ที่ผลิต<br />
conidia ไดนอยที่สุดมีลักษณะโค<br />
โลนีฟูปานกลาง สีขาว phialide เปนแบบ polyphialidic ที่มีรูเปดออกจาก<br />
phialide 2 รูทํ าใหมี<br />
จํ านวน conidia 2 อัน และไมพบลักษณะโครงสรางพิเศษที่เรียกวา<br />
polyblastic conidogenous<br />
cells จากการที่เชื้อราไอโซเลท<br />
2220 มีการสราง polyblastic conidogenous cells นี้เอง<br />
ทํ าใหเชื้อ<br />
ราสามารถผลิต conidia ไดมากกวาไอโซเลท 2528 ทั้งๆ<br />
ที่โครงสรางสืบพันธุเปนแบบ<br />
polyphialidic เหมือนกัน<br />
conidia ที่เชื้อราสรางขึ้นจะมีปริมาณมากหรือนอยนั้น<br />
อาจไมไดขึ้นอยูกับลักษณะทาง<br />
สัณฐานของเชื้อเพียงอยางเดียว<br />
หากแตมีปจจัยอื่นๆ<br />
ที่สามารถทํ<br />
าใหปริมาณการสราง conidia<br />
มากขึ้นหรือลดลงได<br />
เชน ปริมาณอาหารและชนิดของอาหารที่ใชเลี้ยง<br />
ซึ่ง<br />
McCoy (1978b) ได<br />
รายงานไววา ธาตุอาหารที่จํ<br />
าเปนในการสราง conidia คือ C และ N เชื้อรา<br />
H. thompsonii ทุก<br />
สายพันธุเปนพวกที่สราง<br />
conidia ไดในระดับปานกลาง (moderate sporulater) โดยสราง conidia<br />
ไดประมาณ 10 7 -10 8 conidia/ลูกบาศกมิลลิลิตร conidia เปนสิ่งสํ<br />
าคัญที่ใชในการเขาทํ<br />
าลายไร<br />
McCoy and Selhime (1977) รายงานวา conidia เปน infective unit ที่กอโรคกับไรสี่ขา<br />
McCoy<br />
(1981,1985) กลาววา การกอโรคเกิดขึ้นโดย<br />
conidia เกาะติดกับผนังลํ าตัวสวนใดสวนหนึ่ง<br />
จากนั้น<br />
conidia จะงอก germ tube แทงทะลุผานผนังลํ าตัวไร และใชเนื้อเยื่อภายในลํ<br />
าตัวไรใน<br />
การเจริญเติบโตและแพรกระจายไดอยางรวดเร็ว ดังนั้นถาหาหนทางที่จะทํ<br />
าใหเชื้อราสราง<br />
conidia<br />
ไดมากขึ้น<br />
ก็ยอมจะเปนประโยชนในการนํ าไปใชในการควบคุมไรศัตรูพืช ที่ผานมาไดมีผูทํ<br />
าการ<br />
71
ทดลองฉายรังสี UV เพื่อทํ<br />
าให phialide สามารถจะผลิต conidia ไดมากขึ้นดวย<br />
โดย Tuveson<br />
and McCoy (1982) ไดฉายรังสี Far-ultraviolet (FUV) ที่ความยาวคลื่น<br />
200-300 นาโน<br />
เมตร กับเชื้อรา<br />
H. thompsonii (HTF-72 strain) พบวามีผลทํ าใหจํ านวน conidia เพิ่มขึ้น<br />
การสราง conidia ของเชื้อรา<br />
H. thompsonii ที่นับจากทั้งสองวิธีคือ<br />
direct count และ<br />
viable plate count พบวาสวนใหญ (64% และ 62%) ไมไดขึ้นอยูกับขนาดพื้นที่ของโคโลนี<br />
ซึ่ง<br />
ตรงกับรายงานของ อังศุมาลย และ อุไรวรรณ (2532) ที่พบวาจํ<br />
านวน conidia ของเชื้อรา<br />
H.<br />
thompsonii var. synnematosa ไมไดขึ้นอยูกับขนาดของโคโลนี<br />
กลาวคือไอโซเลทที่มีอัตราการ<br />
สราง conidia มากที่สุดไมไดมีพื้นที่โคโลนีมากที่สุด<br />
และไอโซเลทที่มีพื้นที่โคโลนีมากที่สุดก็ไมได<br />
สราง conidia มากที่สุดเชนกัน<br />
เชน เชื้อราไอโซเลท2220<br />
มีจํ านวน conidia ที่นับโดยวิธี<br />
direct<br />
count และ viable plate count เทากับ 229.83x10 4 conidia/ลูกบาศกมิลลิลิตร และ<br />
218.17x10 4 CFU/ลูกบาศกมิลลิลิตร ตามลํ าดับ แตมีพื้นที่ของโคโลนีเพียง<br />
1.29 ตาราง<br />
เซนติเมตร ในขณะที่เชื้อราซึ่งมีขนาดใหญที่สุดคือไอโซเลท2458<br />
ซึ่งมีพื้นที่โคโลนี<br />
3.46 ตาราง<br />
เซนติเมตร มีจํ านวน conidia ที่นับโดยวิธี<br />
direct count และ viable plate count เพียง<br />
17.83x10 4 conidia/ลูกบาศกมิลลิลิตร และ 37.00x10 4 CFU/ลูกบาศกมิลลิลิตร ตามลํ าดับ<br />
(ตารางภาคผนวกที่<br />
ก3) ผลการวิเคราะหหาคาความสัมพันธระหวางขนาดโคโลนีกับปริมาณ<br />
conidia ที่นับโดยวิธี<br />
direct count และระหวางขนาดของโคโลนีกับปริมาณ conidia ที่นับโดยวิธี<br />
viable plate count พบวามีความสัมพันธกันนอยมากโดยมีคา r=0.36107 และ 0.38745 ตาม<br />
ลํ าดับ (ภาคผนวก ข3)<br />
72
ตารางที่<br />
12 Number of conidia (direct count) from 1 cm 2 of H. thompsonii (114 isolates)<br />
cultured on malt extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 10 days<br />
Number of conidia<br />
(10 4 conidia/cm 2 )<br />
Number of isolates<br />
0.44-8.64 28 (24.56%)<br />
8.65-17.04 30 (26.32%)<br />
17.05-33.10 27 (23.68%)<br />
33.11-191.68 29 ( 25.44%)<br />
ตารางที่<br />
13 Number of conidia (plate count) from 1 cm 2 of H. thompsonii (114 isolates)<br />
cultured on malt extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 10 days<br />
Colony forming units<br />
(10 4 CFU/cm 2 )<br />
Number of isolates<br />
0.66-9.01 28 (24.56%)<br />
9.02-14.96 29 (25.44%)<br />
14.97-30.72 28 (24.56%)<br />
30.73-181.70 29 (25.44%)<br />
73
2.3 การศึกษาโครงสรางของเสนใยและ conidia<br />
ผลการศึกษาโครงสรางของเสนใยและ conidia ของเชื้อราทั้ง<br />
114 ไอโซเลทที่รวบรวมได<br />
พบวาเชื้อราทุกไอโซเลทคือเชื้อ<br />
Hirsutella thompsonii โดยเสนใยมีลักษณะเปนเสนตรง มีเสน<br />
ผานศูนยกลางประมาณ 1.5-3.4 ไมครอนและมีผนังกั้น<br />
(septate hyphae) โครงสรางของเซลล<br />
สืบพันธุ (conidiogeneous cell) เปนแบบ phialide (ภาพที่<br />
21ก) ซึ่งมีทั้งแบบที่เปน<br />
monophialidic (ภาพที่<br />
21ข-ค) คือบริเวณปลายสุดของ phialide จะมีลักษณะเปนรูเปด มองเห็น<br />
เปนกานสั้นๆ<br />
เพียง 1 กาน ใชเปนที่รองรับเซลลสืบพันธุที่เรียกวา<br />
conidia ซึ่ง<br />
phialide แบบนี้จะ<br />
สราง conidia ไดเพียง 1 อันเทานั้น<br />
สวน phialide ที่เปนแบบ<br />
polyphialidic (ภาพที่<br />
21ง-จ) จะ<br />
มีรูเปดออกจาก phialide หลายรูทํ าใหเห็นมีหลายกาน จากการศึกษาพบวามี 2-6 กาน และ<br />
จํ านวน conidia จะขึ้นอยูกับจํ<br />
านวนรูที่เปดออกมาจาก<br />
phialide นั้น<br />
ซึ่งใกลเคียงกับการรายงาน<br />
ของ Baker and Neunzig (1968) ที่พบวาเชื้อรา<br />
H. thompsonii สรางกานชู conidia ไดตั้งแต<br />
1-7 กาน<br />
รูปรางของ phialide มีลักษณะเปน flask-shape คลายขวดคอคอดงอกตั้งฉากกับเสนใย<br />
โดยมีสวนฐานคอนขางกวางเปนรูปกรวยหรือรูปไขและคอดลงตรงปลาย phialide ของเชื้อราบาง<br />
ไอโซเลท เชน #2284, 2286, 2293, 2295, 2398 และ 2456 จะเกิดเปนวงรอบๆ เสนใยเชื้อ<br />
ราอยูเปนจุดๆ<br />
ซึ่งจะพบจุดละ<br />
3-8 phialide (ภาพที่<br />
22) conidia ที่พบบน<br />
phialide เหลานี้จะ<br />
แตกตางจาก conidia ที่เกิดจาก<br />
phialide ที่อยู<br />
เดี่ยวๆ<br />
คือมีลักษณะเปนวงรี คลายรูปไข ขนาด<br />
2.05-3.22x3.93-7.55 ไมครอน ซึ่งใกลเคียงกับ<br />
van Winkelhoff and McCoy (1984) ที่ราย<br />
งานวา conidia ของเชื้อรา<br />
H. thompsonii มีขนาดตั้งแต<br />
2.0-2.5x5.8-8.0 ไมครอน สวน<br />
phialide ที่อยูเดี่ยวๆ<br />
จะมี conidia รูปรางกลม ผิวขรุขระ มีขนาด 2.03-3.89x2.11-4.27<br />
ไมครอน (ตารางที่<br />
14, ตารางผนวกที่<br />
ก4) ซึ่งใกลเคียงกับการรายงานของ<br />
Fisher (1950) ที่พบ<br />
วา conidia ของเชื้อรา<br />
H. thompsonii มีรูปรางแบบ lemon-shaped ขนาด 2.1-3.3x2.1-3.3<br />
ไมครอน สวน Samson et al. (1980) รายงานวา H. thompsonii var. synnematosa มีขนาดของ<br />
conidia 3.0-3.5x6.5-8.5 ไมครอน เมื่อ<br />
conidia แกจะมีเมือกหุมอยูที่ผนังสวนนอกเชนเดียวกับ<br />
รายงานของ อังศุมาลย และ อุไรวรรณ (2532)<br />
เชื้อรา<br />
H. thompsonii var. synnematosa บางไอโซเลทจะมีการสราง polyblastic<br />
conidiogenous cell (holoblastic) โดยใน conidiogenous cell 1 อัน จะสามารถสราง conidia ได<br />
หลายอัน (ภาพที่<br />
23) ซึ่งตรงกับการรายงานของ<br />
อังศุมาลย และ อุไรวรรณ (2532) ที่รายงานวา<br />
พบการสราง polyblastic conidiogenous cell ใน สายพันธุ<br />
synnematosa ดวย<br />
74
phialide มีความยาวเฉลี่ยตั้งแต<br />
8.15-20.20 ไมครอน ผลการจัดกลุมความยาวของ<br />
phialide พบวาเชื้อราที่มี<br />
phialide สั้นเพียง<br />
8.15-8.95 ไมครอน มีจํ านวน 30 ไอโซเลท ในขณะ<br />
ที่เชื้อรา<br />
28 ไอโซเลทมี phialide ยาว 11.36-20.20 ไมครอน (ตารางที่<br />
15, ตารางผนวกที่<br />
ก4)<br />
ความยาวของ phialide สวนใหญจะใกลเคียงกับการรายงานของ อังศุมาลย และ อุไรวรรณ<br />
(2532) ที่รายงานวา<br />
phialide ของเชื้อรา<br />
H. thompsonii var. synnematosa จะมีความยาว<br />
ประมาณ 6.25-8.75 ไมครอน สวนความยาวของ phialide ของเชื้อรา<br />
H. thompsonii var.<br />
thompsonii นั้น<br />
Baker and Neunzig (1968) ไดรายงานไววา phialide มีความยาว 6-10<br />
ไมครอน<br />
การวัดระยะหางระหวาง phialide ของเชื้อราทั้ง<br />
114 ไอโซเลท พบวาแตละ phialide มี<br />
ระยะหางแตกตางกันตั้งแต<br />
16.45-70.32 ไมครอน (ภาพที่<br />
24) ซึ่งสามารถจํ<br />
าแนกออกเปน 4<br />
กลุมใหญๆ<br />
ดวยกัน กลุมที่มีระยะหางระหวาง<br />
phialide นอยที่สุด<br />
(16.45–34.02) มี 29 ไอโซ<br />
เลท และกลุมที่มีระยะหางระหวาง<br />
phialide มากที่สุด<br />
(48.34-70.32) มี 29 ไอโซเลทเชนกัน<br />
(ตารางที่<br />
16, ตารางผนวกที่<br />
ก4) ผลการศึกษานี้ใกลเคียงกับรายงานของ<br />
อังศุมาลย และ อุไร<br />
วรรณ (2532) ที่กลาววา<br />
phialide ของเชื้อรา<br />
H. thompsonii var. synnematosa จะหางกัน<br />
ประมาณ 40-65 ไมครอน สวน Baker and Neunzig (1968) รายงานวาชวงหางระหวาง<br />
phialide ของ H. thompsonii var. thompsonii จะมีระยะหางตั้งแต<br />
10-90 ไมครอน<br />
เชื้อราสวนมากมีการสราง<br />
chlamydospore เปนกระเปาะอยูภายในเสนใย<br />
(ภาพที่<br />
25)<br />
การสราง chlamydospore ในเชื้อรามีสาเหตุมาจากอาหารเริ่มขาดแคลน<br />
พบไดเมื่อเลี้ยงเชื้อราบน<br />
แผนสไลด (slide culture) นาน 6-7 วัน ซึ่งเปนชวงที่อาหารเริ่มหมดเนื่องจากมีอาหารอยูนอย<br />
ทํ าใหพบการสราง chlamydospore เร็ว อังศุมาลย และ อุไรวรรณ (2532) เลี้ยงเชื้อราสายพันธุ<br />
เดียวกันนี้บนวุนอาหาร<br />
Malt extract agar, Potato dextrose agar, Sabouraud dextrose agar และ<br />
Modified V-8 Juice agar จํ านวน 20 มิลลิลิตร และรายงานวาเชื้อราบางไอโซเลทมีการสราง<br />
chlamydospore เมื่อโคโลนีอายุ<br />
20 วันขึ้นไป<br />
ซึ่งตางจากการเลี้ยงบนแผนสไลดมาก<br />
แตเมื่อ<br />
พิจารณาปริมาณอาหารที่ใชเลี้ยงนั้นพบวาตางกัน<br />
โดยการเลี้ยงเชื้อบนแผนสไลดจะใชอาหารเพียง<br />
0.5x0.5 เซนติเมตรและหนาไมเกิน 1 มิลลิเมตร จึงทํ าใหมีการสราง chlamydospore ไดเร็วกวา<br />
ปกติ การสราง chlamydospore เปนวิธีหนึ่งที่จะชวยใหเชื้อราอยูรอดในสภาวะที่อดอาหาร<br />
และ<br />
พรอมที่จะขยายพันธุตอไปไดเมื่อสภาพแวดลอมเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง<br />
75
ข<br />
ง<br />
ภาพที่<br />
21 ลักษณะโครงสรางของเชื้อรา<br />
ก) โครงสรางเซลลสืบพันธุที่เรียกวา<br />
phialide<br />
ข-ค) phialide ที่เปนแบบ<br />
monophialidic<br />
ง-จ) phialide ที่เปนแบบ<br />
polyphialidic<br />
ข<br />
ก<br />
ค<br />
จ<br />
76
ภาพที่<br />
22 ลักษณะของ phialide ที่มีการแตกเปนวงรอบเสนใย<br />
ก) #2515 ข)#2301 ค) #2286 ง) #2398 จ) #2456<br />
ก<br />
ข ค<br />
ง จ<br />
77
ก<br />
ภาพที่<br />
23 ลักษณะการเกิด polyblastic conidiogenous cell (holoblastic)<br />
ก) #2201 ข)#2493 ค) #2557<br />
ข<br />
ค<br />
78
ภาพที่<br />
24 ระยะหางระหวาง phialide ที่ยาวและสั้น<br />
ภาพที่<br />
25 การสราง chlamydospore ภายในเสนใยของเชื้อรา<br />
79
ตารางที่<br />
14 Conidia of H. thompsonii (114 isolates) cultured on 0.5x0.5 cm malt extract<br />
agar placed on microscopic slide and incubated at 27±1 o C, 65±3% RH for 6<br />
days<br />
Width (µm) Number of isolates Length (µm) Number of isolates<br />
2.03-2.52 29 (25.44%) 2.11-2.69 31 (27.19%)<br />
2.53-2.78 29 (25.44%) 2.70-2.92 27 (23.68%)<br />
2.79-2.95 30 (26.32%) 2.93-3.12 30 (26.32%)<br />
2.96-3.89 26 (22.81%) 3.13-4.27 26 (22.81%)<br />
ตารางที่<br />
15 Length of phialide of H. thompsonii (114 isolates) cultured on 0.5x0.5 cm<br />
malt extract agar placed on microscopic slide and incubated at 27±1 o C,<br />
65±3% RH for 6 days<br />
Length of phialide (µm) Number of isolates<br />
8.15-8.95 30 (26.32 %)<br />
8.96-9.80 27 (23.68 %)<br />
9.81-11.35 29 (25.44 %)<br />
11.36-20.20 28 (24.56 %)<br />
80
ตารางที่<br />
16 Distance between phialides of H. thompsonii (114 isolates) cultured on<br />
0.5x0.5 cm malt extract agar placed on microscopic slide and incubated<br />
at 27±1 o C, 65±3% RH for 6 days<br />
Length between phialides (µm) Number of isolates<br />
16.45-34.02 29 (25.44%)<br />
34.03-39.67 28 (24.56%)<br />
39.68-48.33 28 (24.56%)<br />
48.34-70.32 29 (25.44%)<br />
81
3. การเจริญเติบโตของเชื้อราในอาหารเหลว<br />
ผลการศึกษาการเจริญเติบโตของเชื้อราในอาหารเหลว<br />
โดยเลี้ยงเชื้อรา<br />
H. thompsonii<br />
114 ไอโซเลทในอาหาร Malt extract broth (MEB) บนเครื่องเขยาที่อุณหภูมิ<br />
27 องศาเซลเซียส<br />
ความเร็วรอบ 150 รอบ/นาที เปนเวลา 4 วัน และมวลชีวภาพที่ไดไปอบเพื่อหานํ้<br />
าหนักแหง (dry<br />
weight) พบวา เชื้อรามีการเจริญเติบโตแตกตางกันโดยใหนํ้<br />
าหนักของมวลชีวภาพอบแหง 0.38-<br />
0.93 กรัม/MEB 50 มิลลิลิตร ไอโซเลท 2565 เจริญเติบโตชาที่สุดโดยมวลชีวภาพอบแหงมีนํ้<br />
า<br />
หนักเพียง 0.38 กรัม/MEB 50 มิลลิลิตร) สวนไอโซเลท 2459 เจริญเติบโตไดดีที่สุดในอาหาร<br />
เหลวชนิดนี้<br />
โดยมวลชีวภาพของเชื้อรามีนํ้<br />
าหนัก 0.93 กรัม/MEB 50 มิลลิลิตร<br />
จากการแบงกลุมของเชื้อราตามนํ้<br />
าหนักมวลชีวภาพอบแหง พบวา สามารถแบงเชื้อรา<br />
ออกเปน 4 กลุ มอยางมีนัยสํ าคัญทางสถิติ โดยกลุมที่เจริญเติบโตชาและใหนํ้<br />
าหนักมวลชีวภาพอบ<br />
แหงนอย (0.38-0.67 กรัม/MEB 50 มิลลิลิตร) มี 30 ไอโซเลท (26.32%) สวนกลุมที่เจริญ<br />
เติบโตเร็วและมีนํ้<br />
าหนักมวลชีวภาพมาก (0.79-0.93 กรัม/ MEB 50 มิลลิลิตร) มี 26 ไอโซ<br />
เลท (22.81%) (ตารางที่<br />
17, ตารางผนวกที่<br />
ก5)<br />
อังศุมาลย และ อุไรวรรณ (2532) เลี้ยงเชื้อรา<br />
H. thompsonii var. synnematosa<br />
ไอโซเลท 18II ในอาหารเหลว MEB ไดนํ้<br />
าหนักมวลชีวภาพอบแหง 0.268 กรัม/MEB 50<br />
มิลลิลิตร ซึ่งนอยกวาการทดลองครั้งนี้มากเมื่อเทียบกับนํ้<br />
าหนักแหงนอยที่สุดที่ไดจากเชื้อราไอโซ<br />
เลท 2565 (0.38 กรัม/MEB 50 มิลลิลิตร) ทั้งๆ<br />
ที่เปนเชื้อราสายพันธุเดียวกัน<br />
ความแตกตาง<br />
ที่พบอาจเนื่องจากวิธีการทดลองและปริมาณหัวเชื้อเริ่มตนที่ตางกัน<br />
ซึ่งอังศุมาลย<br />
และ อุไรวรรณ<br />
(2532) เลี้ยงเชื้อโดยใช<br />
cork borer ขนาดเสนผานศูนยกลาง 0.3 มิลลิเมตรเจาะโคโลนีของเชื้อ<br />
ราซึ่งมีอายุ<br />
8 วัน จํ านวน 3 แผนใสในอาหารเหลว ซึ่งถาเทียบกับการทดลองในครั้งนี้พบวา<br />
ปริมาณหัวเชื้อเริ่มตนมีปริมาณนอยมาก<br />
ทํ าใหนํ้<br />
าหนักที่ไดมีปริมาณนอยตามไปดวย<br />
ลักษณะมวลชีวภาพของเชื้อราเมื่อเลี้ยงในอาหารเหลว<br />
มีลักษณะเปนกอนกลมเกิดจาก<br />
เสนใยจํ านวนมากพันกันแนน ขนาดของกอนมวลชีวภาพแตกตางกันไปตามแตละไอโซเลท นอก<br />
จากนั้นสีของมวลชีวภาพก็แตกตางกัน<br />
โดยมีตั้งแตสีขาวจนถึงสีเทาอมเขียว<br />
เชื้อราบางไอโซเลทมี<br />
การสราง conidia ในอาหารเหลว ซึ่งตรงกับการรายงานของ<br />
McCoy et al. (1972) ที่รายงานวา<br />
เชื้อรา<br />
H. thompsonii var. synnematosa สามารถสราง conidia ในอาหารเหลวได อังศุมาลย<br />
และ อุไรวรรณ (2532) พบวา เชื้อราสายพันธุนี้มีการสราง<br />
chlamydospore ในอาหารเหลวเมื่อ<br />
เชื้อรามีอายุ<br />
20 วันขึ้นไป<br />
แตจากการทดลองครั้งนี้ไมพบ<br />
chlamydospore ในอาหารเหลวซึ่งอาจ<br />
82
เนื่องมาจากวาใชระยะเวลาในการเลี้ยงเชื้อราเพียง<br />
4 วันเทานั้นจึงไมพบลักษณะของ<br />
chlamydospore ในอาหารเหลว<br />
เมื่อทํ<br />
าการวัดความเปนกรด-ดาง (pH) ของอาหารเหลวหลังการเลี้ยงเชื้อรา<br />
4 วัน และ<br />
กรองมวลชีวภาพออกแลว พบวามีเพียงไอโซเลท 2515 และ 2565 เทานั้น<br />
ที่ไมทํ<br />
าใหคาความ<br />
เปนกรด-ดางของอาหารเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม<br />
(pH=6.5) เชื้อราที่ศึกษาสวนใหญทํ<br />
าใหอาหาร<br />
เหลวมีความเปนดางมากขึ้น<br />
โดยมีเชื้อราจํ<br />
านวน 27 ไอโซเลท (23.68%) ซึ่งทํ<br />
าใหอาหารเหลวมี<br />
ความเปนดางระหวาง 8.11-8.60 สวนกลุมของเชื้อราที่ทํ<br />
าใหอาหารเหลวมีความเปนดางเพียง<br />
เล็กนอย (7.61-7.90) มีเพียง 28 ไอโซเลท (24.56%) เชื้อราที่ทํ<br />
าใหอาหารเหลวมีความเปน<br />
ดางสูงสุด (pH 8.60) คือไอโซเลท 2459 (ตารางที่<br />
18, ตารางผนวกที่<br />
ก5)<br />
ผลการศึกษานี้ใกลเคียงกับรายงานของ<br />
McCoy et al. (1972) ที่พบวา<br />
เชื้อรา<br />
H.<br />
thompsonii var thompsonii เมื่อเลี้ยงในอาหารเหลว<br />
Basal dextrose-salt medium คาความเปน<br />
กรด-ดางเริ่มตน<br />
6.0 เปนเวลา 3 วัน จะทํ าใหอาหารมีความเปนกรด-ดางอยูในชวง<br />
6.0-9.2<br />
นอกจากนั้น<br />
อังศุมาลย และคณะ (2540) พบวา เชื้อรา<br />
H. thompsonii var. synnematosa ไอโซ<br />
เลท 30 และ 18 II ที่เลี้ยงในอาหารเหลว<br />
MEB คาความเปนกรด-ดางเริ่มตน<br />
6.5 เปนเวลา 4<br />
วัน จะทํ าใหอาหารมีความเปนกรด-ดางเปลี่ยนไปเปน<br />
6.80 และ 6.67 ตามลํ าดับ และยังราย<br />
งานอีกวา ระดับความเปนกรด-ดางที่เหมาะสมตอการเจริญเติบโตของเชื้อราอยูในชวง<br />
5.5-7.0<br />
เมื่อพิจารณาความสัมพันธระหวางนํ้<br />
าหนักมวลชีวภาพอบแหงกับคาความเปนกรด-ดาง<br />
ของอาหารเหลวที่ใชเลี้ยงเชื้อราเปนเวลา<br />
4 วันพบวา มีความสัมพันธกันคอนขางนอย โดยมีคา<br />
r=0.382 (ภาคผนวกที่<br />
ข4) ซึ่งคาความสัมพันธที่ไดเปนไปในทางเดียวกัน<br />
คือเชื้อราที่ใหมวล<br />
ชีวภาพอบแหงมาก จะทํ าใหอาหารเหลวมีความเปนดางสูงขึ้นดวย<br />
เชน เชื้อราไอโซเลท<br />
2565 ให<br />
มวลชีวภาพอบแหงนอยที่สุด<br />
และเมื่อนํ<br />
าอาหารเหลวมาวัดคาความเปนกรด-ดางก็พบวามีคานอย<br />
ที่สุด<br />
(pH=6.5) สวนไอโซเลท 2459 ที่มีนํ้<br />
าหนักมวลชีวภาพอบแหงมากที่สุดนั้น<br />
ก็ทํ าใหอาหาร<br />
เหลวมีความเปนดางมากที่สุด<br />
(pH=8.6) เชนกัน<br />
83
ตารางที่<br />
17 Dry weight of H. thompsonii (114 isolates) cultured on malt extract broth<br />
at 27±1 o C, 65±3% RH for 4 days<br />
Dry weight (gm) Number of isolates<br />
0.38-0.67 30 (26.32%)<br />
0.68-0.72 32 (28.07%)<br />
0.73-0.78 26 (22.81%)<br />
0.79-0.93 26 (22.81%)<br />
ตารางที่<br />
18 pH of H. thompsonii (114 isolates) cultured on malt extract broth at 27±1 o C,<br />
65±3% RH for 4 days<br />
pH Number of isolates<br />
6.50-7.60 32 (28.07%)<br />
7.61-7.90 28 (24.56%)<br />
7.91-8.10 27 (23.68%)<br />
8.11-8.60 27 (23.68%)<br />
84
4. การศึกษาประสิทธิภาพของสารพิษของเชื้อราในอาหารเหลว<br />
4.1 ประสิทธิภาพของ crude filtrate<br />
ผลการนํ า crude filtrate ของเชื้อรา<br />
H. thompsonii ที่ไดจากการเลี้ยงในอาหาร<br />
MEB<br />
และผานการกรองดวยกระดาษกรองชนิดพิเศษจํ านวน 20 ไมโครลิตร ฉีดเขาไปบริเวณขาเทียมคู<br />
แรกของหนอนกระทูผัก<br />
(Spodoptera litura (Fabricius)) วัย 4 และบันทึกการเปลี่ยนแปลงของ<br />
หนอนทุก 2 วันจนกระทั่งเปนตัวเต็มวัย<br />
พบวา crude filtrate ที่ไดจากการเลี้ยงเชื้อราทุกไอโซเลท<br />
ยกเวนไอโซเลท 2259 มีผลกระทบตอการเจริญเติบโตของหนอน โดยทํ าใหเกิดความผิดปกติ<br />
หลายประการ เชน หนอนเติบโตผิดปกติหรือหนอนตาย ดักแดไมสมบูรณ หรือไมสามารถออก<br />
เปนตัวเต็มวัยได หรือตัวเต็มวัยที่ออกจากดักแดอาจมีลักษณะผิดปกติ<br />
ไมสมบูรณ และไม<br />
สามารถขยายพันธุตอไปได<br />
เปนตน (ตารางที่<br />
19)<br />
จากผลการศึกษาครั้งนี้พบวาสารพิษที่เชื้อรา<br />
H. thompsonii หลั่งลงในอาหารเหลว<br />
MEB มีผลตอการตายของหนอนกระทูผักไมสูงนัก<br />
โดยเชื้อราไอโซเลท<br />
#2301 ทํ าใหหนอนตาย<br />
มากที่สุด<br />
50% รองลงมาคือไอโซเลท #2480 ซึ่งทํ<br />
าใหหนอนตาย 40% ในขณะที่สารพิษของเชื้อ<br />
ราหลายไอโซเลท เชน 2201, 2203, 2204, 2209, 2210, 2259, 2262, 2278 และ 2282 ที่<br />
ไมทํ าใหหนอนตาย (ตารางที่<br />
19) หนอนที่ตายเนื่องจากสารพิษสวนมากจะตายภายใน<br />
1-2 วัน<br />
ตามผนังลํ าตัวของหนอนที่ตายจะมีจุดสีดํ<br />
าเปนจุดๆ ซึ่งเห็นไดชัดทางดานทอง<br />
หากทิ้งหนอนที่ตาย<br />
ไวหลายวันจะพบวาผนังลํ าตัวของหนอนมีสีดํ าทั้งตัว<br />
(ภาพที่<br />
26 และ 27) หนอนที่ไดรับสารพิษ<br />
จากเชื้อราบางไอโซเลท<br />
เชน 2242, 2300, 2497 และ 2507 มีระยะหนอนยาวนานกวาชุดควบ<br />
คุมถึง 4-5 วัน เนื่องจากหนอนกินอาหารไดนอยในวันแรกที่ไดรับสารพิษ<br />
ตอมาจะไมกินอาหาร<br />
ทํ าใหขนาดลํ าตัวเล็กลงเรื่อยๆ<br />
ไมเจริญเติบโต ไมลอกคราบเพื่อเขาสูวัยที่<br />
5 และตายไปในที่สุด<br />
(ภาพที่<br />
28) ลักษณะอาการที่พบในหนอนกระทูผักตรงกับการรายงานของ<br />
Vey et al. (1989) ที่<br />
กลาววาหนอนผีเสื้อกินไขผึ้งวัยสุดทาย<br />
(Galleria mellonella (Linnaeus)) ที่ตายเนื่องจากการได<br />
รับสารพิษจากเชื้อรา<br />
H. thompsonii var. thompsonii จะมีจุดสีนํ้<br />
าตาลดํ าเปนจุดๆ กระจายอยูทั่ว<br />
ไปตามผนังลํ าตัว สวน Maimala et al. (2002) รายงานวา หลังจากฉีด crude filtrate ที่มีสารพิษ<br />
ของเชื้อรา<br />
H. thompsonii ในหนอนผีเสื้อกินไขผึ้ง<br />
4-5 วันจะทํ าใหหนอนไมกินอาหาร และเริ่ม<br />
ออนแอ และตายในที่สุด<br />
หนอนที่อยู<br />
รอดจะหดตัวและเขาดักแด แตในระหวางการหดตัวของหนอนวัย 5 เพื่อจะ<br />
เขาดักแดนั้นพบวา<br />
หนอนที่ไดรับสารพิษจากเชื้อราไอโซเลท<br />
2283, 2392, 2443, 2480,<br />
2535, 2557, 2559 และ 2568 ตายในระยะที่มีการหดตัวกอนจะเขาดักแด<br />
(ภาพที่<br />
26จ-ฌ)<br />
85
หนอนที่ไดรับสารพิษจากเชื้อรา<br />
86 ไอโซเลท เขาดักแดไมสมบูรณ โดยไอโซเลท 2212 ทํ าให<br />
หนอนเขาดักแดไมสมบูรณถึง 70% รองลงมาคือไอโซเลท 2444 ซึ่งทํ<br />
าใหหนอนเขาดักแดไม<br />
สมบูรณ 60% สวนสารพิษของเชื้อราอีก<br />
28 ไอโซเลทไมมีผลตอการเขาดักแดของหนอนเลย เชน<br />
ไอโซเลท 2191, 2209, 2259, 2271, 2293, 2301, 2428 และ 2429 เปนตน (ตารางที่<br />
19)<br />
ลักษณะของการเขาดักแดที่ไมสมบูรณนั้น<br />
พบวามีการลอกคราบเปนดักแดไดเพียงครึ่งตัว<br />
ซึ่งพบ<br />
บอยครั้งในการทดลองครั้งนี้<br />
ลักษณะความผิดปกติอื่นๆ<br />
ที่พบไดแก<br />
ดักแดลอกคราบออกมาแลว<br />
ตาย มีสีดํ าทั้งตัว<br />
หรือผนังลํ าตัวตรงสวนทองของดักแดเปนสีขาวและไมแข็งแรงเหมือนดักแดปกติ<br />
และพบลักษณะของหนอนกํ าลังจะลอกคราบเปนดักแดแตตายกอนซึ่งเห็นเปนดักแดตรงสวนหัว<br />
(ภาพที่<br />
29)<br />
ดักแดในชุดควบคุมใชเวลาลอกคราบเปนตัวเต็มวัย 7-8 วัน ในขณะที่ดักแดในชุด<br />
ทดสอบใชเวลานานกวาชุดควบคุม 1-3 วัน โดยใชเวลาประมาณ 9-11 วันในการออกจากดักแด<br />
ตัวเต็มวัยที่ไดจากหนอนซึ่งไดรับสารพิษจํ<br />
านวน 60 ไอโซเลทแสดงอาการผิดปกติ โดยไอโซเลท<br />
#2209 และ 2538 ทํ าใหตัวเต็มวัยผิดปกติมากที่สุด<br />
30% สวนไอโซเลท 2198, 2217, 2241<br />
2208, 2397, 2438, 2459, 2482 และ 2533 ทํ าใหตัวเต็มวัยผิดปกติ 20% ตัวเต็มวัยที่ผิด<br />
ปกติมีหลายลักษณะ เชน ปกหงิกงอ (2191, 2206, 2397, 2455, 2533 และ 2555) บางตัว<br />
ปกหดสั้นไมสามารถบินได<br />
(2198, 2217, 2438, 2466, 2475 และ 2524) (ตารางที่<br />
19)<br />
และบางตัวออกจากดักแดไดเพียงครึ่งตัวโดยสวนหัวและปกออกมาได<br />
แตสวนทองไมสามารถ<br />
ออกจากดักแดได (2443, 2476, 2535, 2538, 2557 และ 2559) เปนตน (ภาพที่<br />
30)<br />
ดักแดบางสวนไมสามารถออกเปนตัวเต็มวัยได โดยตัวเต็มวัยที่ออกจากดักแดสวนใหญ<br />
จะออกมาในชวงที่ดักแดมีอายุ<br />
9-11 วัน สวนดักแดที่ไมออกเปนตัวเต็มวัยนั้น<br />
เมื่อสังเกตดูจาก<br />
รูปรางภายนอกจะมีลักษณะเหมือนดักแดปกติ คือสีของดักแดมีสีนํ้<br />
าตาล มีขนาดเทากับดักแด<br />
ปกติ แตเมื่อทิ้งไวประมาณ<br />
1 เดือนเพื่อรอการออกจากดักแดพบวาดักแดไมสามารถพัฒนาเปน<br />
ตัวเต็มวัยไดตามปกติถึง 89 ไอโซเลท ดักแดกลุมนี้จะมีลักษณะแหงเหี่ยว<br />
สีของดักแดเปลี่ยนเปน<br />
นํ้<br />
าตาลเขมถึงสีดํ า และเมื่อทํ<br />
าการผาดักแดดูพบวาภายในเปลือกของดักแดนั้นจะมีกลวงหรือวาง<br />
เปลา หรือเมื่อแกะดูพบวาตัวเต็มวัยตายอยูในดักแด<br />
(ภาพที่<br />
31) สารพิษของเชื้อรา<br />
H.<br />
thompsonii ที่ทํ<br />
าใหดักแดของหนอนกระทูผักไมสามารถออกเปนตัวเต็มวัยไดมากที่สุดคือ<br />
ไอโซ<br />
เลท 2429 ซึ่งทํ<br />
าใหดักแดไมสามารถออกเปนตัวเต็มวัยได 60% สวนไอโซเลท 2223, 2464,<br />
2494 และ 2542 ทํ าใหดักแดไมสามารถออกเปนตัวเต็มวัยได 50% และมีเชื้อราจํ<br />
านวน 25<br />
ไอโซเลท ที่ตัวเต็มวัยสามารถออกจากดักแดไดหมด<br />
เชนไอโซเลท 2214, 2217, 2233, 2242,<br />
2259, 2280, 2283 และ 2301 เปนตน (ตารางที่<br />
19)<br />
86
เมื่อจํ<br />
าแนกเชื้อราออกเปนกลุมตามผลที่เกิดขึ้นกับหนอนกระทูผักเมื่อไดรับสารพิษจาก<br />
เชื้อรา<br />
H. thompsonii เชน หนอนตาย เขาดักแดไมสมบูรณ ตัวเต็มวัยผิดปกติ และดักแดไม<br />
สามารถออกเปนตัวเต็มวัย โดยแยกออกเปน 2 กลุ มคือ กลุมที่ทํ<br />
าใหหนอนแสดงอาการผิดปกติ<br />
โดยรวมนอยกวา 50% และมากกวา 50% พบวา มีเชื้อราจํ<br />
านวน 63 ไอโซเลทซึ่งหลั่งสารพิษที่ทํ<br />
า<br />
ใหหนอนแสดงอาการผิดปกติโดยรวมมากกวา 50% สวนอีก 51 ไอโซเลททํ าใหหนอนเกิดอาการ<br />
ผิดปกติโดยรวมนอยกวา 50% โดยไอโซเลท 2444 ทํ าใหหนอนทุกตัวที่ไดรับสารพิษแสดงอาการ<br />
ผิดปกติทั้งหมด<br />
(100%) และไอโซเลท 2212, 2294, 2429, 2507 และ 2535 ทํ าใหหนอน<br />
แสดงอาการผิดปกติ 90 % (ตารางที่<br />
19)<br />
สารพิษจากเชื้อรา<br />
H. thompsonii มีผลตอทุกระยะของหนอนตั้งแตทํ<br />
าใหหนอนตาย<br />
หรือหนอนไมกินอาหาร ไมเจริญเติบโตและตายในที่สุด<br />
และบางตัวตายในระยะหดตัวกอนเขา<br />
ดักแด สวนหนอนที่รอดจากการตายก็พบวาบางตัวเขาดักแดไมสมบูรณ<br />
สวนหนอนที่เขาดักแดได<br />
ตามปกตินั้นตัวเต็มวัยที่ออกมากลับมีอาการผิดปกติ<br />
เชน ปกหัก ปกหดสั้นบินไมได<br />
ไมสามารถที่<br />
จะผสมพันธุออกลูกออกหลานตอไปได นอกจากนั้นดักแดที่รูปรางเหมือนดักแดปกติอาจไม<br />
สามารถลอกคราบเปนตัวเต็มวัยไดเลย<br />
งานวิจัยที่เกี่ยวกับการทดสอบประสิทธิภาพของสารพิษจากเชื้อรา<br />
H. thompsonii ที่หลั่ง<br />
ลงในอาหารเหลวนั้น<br />
สวนมากมีการนํ าไปทดสอบกับแมลงหลายชนิด เชน หนอนกินไขผึ้ง<br />
แมลง<br />
หวี่<br />
ยุง แตปจจุบันก็ยังไมมีรายการการนํ าหนอนกระทูผัก<br />
(S. litura) มาทํ าการทดสอบเลย มีแต<br />
เพียง Lui et al. (1996) ที่นํ<br />
าเซลลของหนอนกระทู<br />
Spodoptera frugiperda (Sf-9) มาทํ าการ<br />
ทดลองกับสารพิษ Hirsutellin A บริสุทธิ์ที่สกัดไดจากเชื้อ<br />
H. thompsonii โดยพบวาสาร<br />
Hirsutellin A ที่ระดับความเขมขน<br />
0.5 และ 5 ไมโครลิตรมีผลยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลลได<br />
ทั้งหมดภายใน<br />
4 วัน Marzet and Vey (1995) สกัดสารพิษ Hirsutellin A จากเชื้อรา<br />
H.<br />
thompsonii และทดสอบกับลูกนํ้<br />
ายุง Aedes aegypti Linneaus พบวาลูกนํ้<br />
ายุงที่ไดรับสาร<br />
Hirsutellin A ที่ระดับความเขมขน<br />
20 ไมโครกรัม/ไมโครลิตร จะตาย 100% ภายหลังการ<br />
ทดสอบ 72 ชั่วโมง<br />
87
ก<br />
ข ค<br />
ง จ ฉ<br />
ช ซ<br />
ฌ<br />
ภาพที่<br />
26 ลักษณะการตายของหนอนหลังจากไดรับการฉีดสารพิษ<br />
ก) หนอนวัย 5 ปกติ ข-ค) หนอนวัย 5 ตายเนื่องจากไดรับสารพิษ<br />
ง) หนอนปกติที่มีการหดตัวกอนเขาดักแด<br />
จ-ฌ) หนอนตายในระยะที่มีการหดตัวกอนเขาดักแดเนื่องจากไดรับสารพิษ<br />
88
ภาพที่<br />
27 ภาพขยายเปรียบเทียบหนอนปกติและหนอนที่ไดรับสารพิษ<br />
ก) ผนังลํ าตัวของหนอนปกติ<br />
ข) ผนังลํ าตัวของหนอนที่ไดรับสารพิษ<br />
จะมีจุดสีดํ าเปนจุดๆ<br />
ภาพที่<br />
28 เปรียบเทียบหนอนปกติและหนอนที่ไดรับสารพิษซึ่งมีขนาดลํ<br />
าตัวเล็กเนื่อง<br />
จากไมกินอาหาร<br />
ก<br />
ข<br />
89
ก ข ค<br />
ง<br />
ภาพที่<br />
29 ลักษณะการเขาดักแดไมสมบูรณของหนอนกระทูผัก<br />
ก) ดักแดปกติ ข) การลอกคราบเปนดักแดไดเพียงครึ่งตัว<br />
ค) ดักแดลอกคราบออกมาแลวตาย มีสีดํ าทั้งตัว<br />
ง) ผนังลํ าตัวตรงสวนทองของดักแดเปนสีขาวและไมแข็งแรงเหมือนดักแดปกติ<br />
จ-ฉ) หนอนกํ าลังจะลอกคราบเปนดักแดแตตายกอนซึ่งเห็นเปนดักแดตรงสวนหัว<br />
จ<br />
ฉ<br />
90
ก ข<br />
ง จ<br />
ช<br />
ซ ฌ<br />
ภาพที่<br />
30 ตัวเต็มวัยปกติและตัวเต็มวัยผิดปกติเนื่องจากไดรับสารพิษ<br />
ก) ตัวเต็มวัยปกติ ข) ปกของตัวเต็มวัยมีลักษณะหงิกงอ<br />
ค-จ) ตัวเต็มวัยมีปกสั้นไมสามารถบินได<br />
ฉ-ฌ) ตัวเต็มวัยออกจากดักแดไดเพียงครึ่งตัว<br />
91<br />
ค<br />
ฉ
ก<br />
ง<br />
ช ซ<br />
ฌ<br />
ภาพที่<br />
31 ดักแดซึ่งมีอายุ<br />
1 เดือนไมสามารถออกเปนตัวเต็มวัยได<br />
ก-ข) ดักแดมีสีนํ้<br />
าตาลเขมจนถึงสีดํ า<br />
ค-ฉ) ดักแดที่มีลักษณะแหงเหี่ยว<br />
ช-ซ) มีตัวเต็มวัยตายอยูภายในดักแด<br />
ฌ) ดักแดที่มีลักษณะปกติ<br />
เมื่อผาดูจะพบวามีลักษณะกลวงหรือวางเปลา<br />
ข<br />
จ ฉ<br />
ค<br />
92
ตารางที่<br />
19 Symptoms of Spodoptera litura (Fabricius) larvae after treated with 20 µl<br />
crude extracts of Hirsutella thompsonii var. synnematosa<br />
Treatments % Larval % Incomplete %Abnormal % Unmolt % Total<br />
mortality pupation adult pupae abnormality<br />
control 0 0 0 0 0<br />
Water injection 0 0 0 0 0<br />
2191 0 0 10 10 20<br />
2196 10 10 0 30 50<br />
2198 10 0 20 30 60<br />
2201 0 20 0 20 40<br />
2203 0 30 0 10 40<br />
2204 0 10 10 40 60<br />
2205 10 20 0 20 50<br />
2206 0 20 10 30 60<br />
2208 10 30 0 20 60<br />
2209 0 0 30 30 60<br />
2210 0 40 0 10 50<br />
2212 10 70 0 10 90<br />
2214 10 30 0 0 40<br />
2215 10 20 0 20 50<br />
2217 20 10 20 0 50<br />
2219 10 20 0 10 40<br />
2220 20 30 10 10 70<br />
2222 20 30 10 0 60<br />
2223 0 0 0 50 50<br />
2229 20 10 0 20 50<br />
2230 0 20 0 20 40<br />
2233 20 20 10 0 50<br />
2241 20 10 20 10 60<br />
2242 30 20 0 0 50<br />
93
ตารางที่<br />
19 (ตอ)<br />
Treatments % Larval % Incomplete %Abnormal % Unmolt % Total<br />
mortality pupation adult pupae abnormality<br />
2246 30 10 0 10 50<br />
2247 0 20 10 30 60<br />
2259 0 0 0 0 0<br />
2262 0 10 0 30 40<br />
2271 20 0 10 30 60<br />
2278 0 10 0 30 40<br />
2280 10 10 20 0 40<br />
2282 0 20 10 30 60<br />
2283 20 10 0 0 30<br />
2284 10 20 0 40 70<br />
2286 10 20 0 30 60<br />
2291 0 30 0 30 60<br />
2293 0 0 10 10 20<br />
2294 20 50 20 0 90<br />
2295 10 40 10 10 70<br />
2296 20 20 0 10 50<br />
2300 20 10 20 10 60<br />
2301 50 0 10 0 60<br />
2392 10 20 0 30 60<br />
2397 0 10 20 0 30<br />
2398 20 20 0 30 70<br />
2399 20 30 10 10 70<br />
2405 30 10 10 0 50<br />
2409 0 20 0 30 50<br />
2425 10 10 10 20 50<br />
2428 30 0 10 20 60<br />
2429 30 0 0 60 90<br />
94
ตารางที่<br />
19 (ตอ)<br />
Treatments % Larval % Incomplete %Abnormal % Unmolt % Total<br />
mortality pupation adult pupae abnormality<br />
2430 0 10 10 10 30<br />
2436 10 10 20 0 40<br />
2437 10 40 0 0 50<br />
2438 0 10 20 30 60<br />
2443 20 0 20 10 50<br />
2444 30 60 0 10 100<br />
2450 30 30 0 10 70<br />
2455 20 10 20 0 50<br />
2456 0 20 0 40 60<br />
2457 30 10 10 10 60<br />
2458 0 10 0 30 40<br />
2459 20 0 20 10 50<br />
2461 10 10 0 0 20<br />
2462 10 0 10 20 40<br />
2464 10 0 0 50 60<br />
2465 0 10 10 20 40<br />
2466 0 0 10 30 40<br />
2475 20 20 10 20 70<br />
2476 0 20 10 40 70<br />
2477 30 0 10 20 60<br />
2479 0 10 10 0 20<br />
2480 40 0 10 0 50<br />
2482 0 30 20 20 70<br />
2485 0 40 0 20 60<br />
2487 10 0 0 20 30<br />
2490 30 20 10 20 80<br />
2493 10 20 0 30 60<br />
95
ตารางที่<br />
19 (ตอ)<br />
Treatments % Larval % Incomplete %Abnormal % Unmolt % Total<br />
mortality pupation adult pupae abnormality<br />
2494 10 10 0 50 70<br />
2497 10 0 0 40 50<br />
2502 20 30 0 20 70<br />
2505 0 20 0 20 40<br />
2507 40 20 10 20 90<br />
2509 20 10 0 40 70<br />
2510 0 0 0 40 40<br />
2513 20 0 0 30 50<br />
2515 10 0 0 40 50<br />
2519 30 20 10 20 80<br />
2524 10 0 10 10 30<br />
2527 10 10 0 0 20<br />
2528 0 0 20 20 40<br />
2532 30 0 0 10 40<br />
2533 0 10 20 10 40<br />
2534 20 0 20 0 40<br />
2535 40 10 20 20 90<br />
2538 0 0 30 10 40<br />
2540 20 10 10 10 50<br />
2542 0 10 0 50 60<br />
2544 0 20 0 20 40<br />
2545 0 10 10 30 50<br />
2551 0 20 0 10 30<br />
2555 0 20 10 30 60<br />
2557 20 20 10 0 50<br />
2559 20 10 10 20 60<br />
2560 0 10 10 20 40<br />
96
ตารางที่<br />
19 (ตอ)<br />
Treatments % Larval % Incomplete %Abnormal % Unmolt % Total<br />
mortality pupation adult pupae abnormality<br />
2562 0 20 20 0 40<br />
2563 20 30 10 0 60<br />
2565 30 20 0 0 50<br />
2566 10 10 10 10 40<br />
2568 20 10 0 30 60<br />
2569 30 10 0 20 60<br />
2573 10 20 10 10 50<br />
2575 10 30 10 10 60<br />
2576 0 0 10 0 10<br />
97
4.2 ประสิทธิภาพของ crude filtrate เขมขน<br />
จากการสุมเลือกเชื้อรา<br />
H. thompsonii จํ านวน 4 ไอโซเลท มาเพิ่มความเขมขนของสาร<br />
พิษ โดยนํ า crude filtrate ที่ไดจากการเลี้ยงในอาหาร<br />
MEB มาตกตะกอนโปรตีนดวยเกลือ<br />
amonium sulphate เขมขน 90% และนํ าตะกอนโปรตีนที่ไดไปกรองดวยกระดาษกรองชนิดพิเศษ<br />
กอนที่จะนํ<br />
าไปฉีดเขาบริเวณขาเทียมคูแรกของหนอนกระทูผัก<br />
(Spodoptera litura (Fabricius))<br />
วัย 4 (20 ไมโครลิตร/ตัว, 10 ตัว/ทรีทเมนต) เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพกับ<br />
crude filtrate<br />
ปกติซึ่งไมไดเพิ่มความเขมของสารพิษ<br />
(ขอ 4.1) พบวาการเพิ่มความเขมขนของสารพิษมีผลทํ<br />
า<br />
ใหหนอนแสดงอาการผิดปกติเพิ่มจากเดิมทุกทรีทเมนต<br />
(ตารางที่<br />
20)<br />
หนอนที่ไดรับสารพิษเขมขนจากเชื้อราไอโซเลท<br />
#2233 ทํ าใหหนอนแสดงความผิด<br />
ปกติโดยรวม 90% (ตารางที่<br />
20) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการฉีดดวยสารพิษที่ไมไดเพิ่มความเขมขนถึง<br />
40% ความผิดปกติที่เพิ่มขึ้นจากเดิม<br />
ไดแก การเขาดักแดไมสมบูรณเพิ่มจาก<br />
20% เปน 30%,<br />
ตัวเต็มวัยผิดปกติเพิ่มจาก<br />
10% เปน 20% และตัวเต็มวัยไมสามารถออกจากดักแดได 20%<br />
crude filtrate ของเชื้อราไอโซเลท<br />
#2278 ที่ไมไดเพิ่มความเขมขน<br />
จะไมทํ าใหหนอน<br />
ตาย และไมทํ าใหตัวเต็มวัยผิดปกติ แตเมื่อนํ<br />
า crude filtrate ดังกลาวมาทํ าการเพิ่มความเขมขน<br />
ของสารพิษแลวนํ าไปฉีดหนอนวัยเดียวกัน พบวา crude filtrate เขมขนมีผลกระทบตอความผิด<br />
ปกติของหนอนถึง 80% (ตารางที่<br />
20) โดยทํ าใหหนอนตายและตัวเต็มวัยผิดปกติ 20% หนอน<br />
เขาดักแดไมสมบูรณเพิ่มจาก<br />
10% เปน 20% และตัวเต็มวัยไมออกจากดักแด 20%<br />
crude filtrate ของเชื้อราไอโซเลท<br />
#2485 เมื่อนํ<br />
ามาทํ าการเพิ่มความเขมขนของสารพิษ<br />
พบวามีผลกระทบตอการเจริญเติบโตของหนอน 100% ซึ่งแตกตางจากการใช<br />
crude filtrate<br />
ปกติซึ่งไมทํ<br />
าใหหนอนตายและไมมีผลทํ าใหตัวเต็มวัยผิดปกติ โดยการเพิ่มความเขมขนของสาร<br />
พิษใน crude filtrate นี้ทํ<br />
าใหหนอนตาย 10% หนอนเขาดักแดไมสมบูรณ 30% ตัวเต็มวัยไม<br />
ออกจากดักแดเพิ่มขึ้นจาก<br />
20% เปน 30% และตัวเต็มวัยผิดปกติ 20% (ตารางที่<br />
20)<br />
การเพิ่มความเขมขนของสารพิษใน<br />
crude filtrate ของเชื้อรา<br />
H. thompsonii ไอโซเลท<br />
#2513 พบวา หนอนแสดงอาการผิดปกติโดยรวม 90% โดยทํ าใหหนอนตายเพิ่มขึ้นจาก<br />
20%<br />
เปน 40%, แตไมมีผลตอการเขาดักแดของหนอน นอกจากนั้นยังทํ<br />
าใหตัวเต็มวัยไมออกจาก<br />
ดักแดเพิ่มขึ้นจาก<br />
30% เปน 40% และมีผลทํ าใหตัวเต็มวัยผิดปกติ 10% (ตารางที่<br />
20)<br />
98
ผลการทดลองครั้งนี้ทํ<br />
าใหทราบวา การเพิ่มความเขมขนของสารพิษมีผลทํ<br />
าใหประสิทธิ<br />
ภาพของสารพิษ ในการทํ าลายแมลงเพิ่มขึ้นทั้งในระยะหนอน<br />
ดักแด และตัวเต็มวัย การเพิ่ม<br />
ความเขมขนของสารพิษใน crude filtrate ไมไดทํ าใหแมลงตายในระยะหนอนทั้งหมดซึ่งแตกตาง<br />
จากรายงานของ Mazet and Vey (1995) ที่ทดสอบประสิทธิภาพของสารพิษบริสุทธิ์<br />
(Hirsutellin A) ซึ่งสะกัดจากเชื้อรา<br />
H. thompsonii var. thompsonii และกลาววา สาร<br />
Hirsutellin A ที่ระดับความเขมขน<br />
25, 50 และ 100 ไมโครกรัม/ไมโครลิตร ทํ าใหหนอนกินไข<br />
ผึ้งวัยสุดทาย<br />
(Galleria mellonella (Linnaeus)) ตายในระยะหนอน 100% หลังไดรับการฉีดสาร<br />
พิษเขาภายในลํ าตัวหนอนเปนเวลา 30, 25 และ 15 ชั่วโมง<br />
ตามลํ าดับ<br />
McCoy et al. (1993) ทํ าการทดสอบความเปนพิษของเชื้อรา<br />
H. thompsonii กับ<br />
แมลงหวี่<br />
โดยเลี้ยงเชื้อราในอาหารเหลวสูตรตางๆ<br />
ซึ่งประกอบดวย<br />
glucose และ yeast extract ใน<br />
ปริมาณตางๆ กัน จากนั้นนํ<br />
า crude filtrate ไปเพิ่มความเขมขนของสารพิษ<br />
5 เทา เมื่อนํ<br />
ามา<br />
ทดสอบกับแมลงหวี่พบวาสูตรอาหารที่ทํ<br />
าใหแมลงหวี่ตายมากที่สุดคือ<br />
สูตรอาหารที่มี<br />
glucose 30<br />
กรัม และ yeast extract 30 กรัม ทํ าใหแมลงหวี่ตาย<br />
78.8%<br />
การศึกษาครั้งนี้ไมไดทํ<br />
าการสกัดสารพิษบริสุทธิ์ออกจาก<br />
crude filtrate เพียงแตเปนการ<br />
ตกตะกอนโปรตีนซึ่งมีสวนของสารพิษที่ทํ<br />
าลายหนอนรวมอยูดวยเทานั้น<br />
การตกตะกอนโปรตีน<br />
อาศัยหลักการในการแยงกันละลายระหวางเกลือกับโมเลกุลของโปรตีน โดยใชเกลือแอมโมเนียม<br />
ซัลเฟตเขาไปแยงโปรตีนในการละลายนํ้<br />
าของ crude filtrate เกลือมีขนาดโมเลกุลที่เล็กกวาโปรตีน<br />
จึงละลายไดดีกวาโปรตีน หรือกลาวอีกนัยหนึ่งก็คือไอออนของเกลือจะแยงโมเลกุลนํ้<br />
าจากโปรตีน<br />
เมื่อถึงสภาวะที่ปฏิกิริยาระหวางโปรตีนกับนํ้<br />
าเหลือนอยกวาปฎิกิริยาระหวางโปรตีนกับโปรตีน จะ<br />
ทํ าใหโปรตีนตกตะกอนออกมา ซึ่งโปรตีนที่เปนสารพิษทํ<br />
าลายหนอนจะอิ่มตัวที่เกลือแอมโมเนียม<br />
ซัลเฟต 90% เมื่อนํ<br />
าตะกอนโปรตีนที่ไดจากการ<br />
centrifuge ไปละลายอยูในนํ้<br />
ากลั่นเพื่อทํ<br />
าการแยก<br />
เกลือออก (desalted) โดยวิธี dialysis ใหเกลือที่อาจจะปะปนอยูในโปรตีนออกใหหมด<br />
จะไดสาร<br />
พิษที่เขมขนขึ้น<br />
และผลที่ไดจากการทดสอบกับหนอนกระทูผักพบวา<br />
เมื่อสารพิษมีความเขมขน<br />
มากขึ้น<br />
จะทํ าใหหนอนกระทูผักแสดงอาการผิดปกติเพิ่มมากขึ้นดวย<br />
ซึ่งถือวาไดผลเปนที่นาพอใจ<br />
โดยสารพิษสามารถขัดขวางการเจริญเติบโตของหนอนในทุกระยะ ทํ าใหโอกาสที่จะเหลือรอดเปน<br />
ตัวเต็มวัยออกสูธรรมชาติแทบไมมีหรือมีนอยมาก<br />
99
ตารางที่<br />
20 Symptoms of Spodoptera litura (Fabricius) larvae after treated with 20 µl crude extracts and concentrated of H. thompsonii<br />
Treatments % Larval mortality % Incomplete pupation %Abnormal adult % Unmolt pupae % Total abnormality<br />
Increasing crude Increasing crude Increasing crude Increasing crude Increasing crude<br />
concentration filtrate concentration filtrate concentration filtrate concentration filtrate concentration filtrate<br />
control 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0<br />
Water injection 0 0 0 0 0 0 10 0 10 0<br />
MEB injection 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0<br />
2233 20 20 30 20 20 10 20 0 90 50<br />
2278 20 0 20 10 20 0 20 30 80 40<br />
2485 20 0 30 40 20 0 30 20 100 60<br />
2513 40 20 0 0 10 0 40 30 90 50<br />
100
สรุปผลการทดลอง<br />
101<br />
จากการเก็บตัวอยางเชื้อราทํ<br />
าลายไรศัตรูพืช ในเขตอํ าเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี<br />
ระหวางเดือน พฤศจิกายน 2544-พฤศจิกายน 2545 พบซากไรสี่ขาในวงศ<br />
Eriophyidae และ<br />
Diptilomiopidae 69 และ 40 ตัวอยาง ตามลํ าดับ และไรแมงมุมในวงศ Tetranychidae จํ านวน 5<br />
ตัวอยาง ชวงที่พบซากไรที่มีเชื้อรามากที่สุดคือเดือนตุลาคม-มีนาคม<br />
เมื่อนํ<br />
าเชื้อราที่รวบรวมได<br />
มาแยกเชื้อใหบริสุทธิ์ไดทั้งหมด<br />
114 ไอโซเลท และทํ าการวิเคราะหชนิดแลวพบวาเปนเชื้อ<br />
Hirsutella thompsonii สวนใหญคือ var. synnematosa ซึ่งเปนสายพันธุที่มีถิ่นกํ<br />
าเนิดอยูในแถบ<br />
รอน เชื้อราเหลานี้สามารถที่จะนํ<br />
ามาขยายพันธุใหไดปริมาณมากบนวุนอาหารและในอาหารเหลว<br />
จากการศึกษาการเจริญเติบโตและลักษณะโครงสรางของเชื้อราทํ<br />
าใหทราบวา เชื้อรา<br />
Hirsutella thompsonii var. synnematosa มีลักษณะเดนที่ทํ<br />
าใหแยกออกจากสายพันธุอื่นคือ<br />
มี<br />
ความสามารถในการสราง synnemata บนอาหาร MEA การสราง synnemata นี้ยังไมพบในธรรม<br />
ชาติ เชื้อรานี้มีโครงสรางสืบพันธุ<br />
(conidiogenous cell) เรียกวา phialide ซึ่งมีทั้งแบบ<br />
monophialidic และ polyphialidic กานชูที่รองรับ<br />
conidia มีลักษณะเปนทอเปดออกมาจาก<br />
phialide เรียกวา conidiophore ซึ่งพบไดตั้งแต<br />
1-6 กาน เชื้อราจํ<br />
านวน 59 ไอโซเลท มีการสราง<br />
polyblastic conidiogenous cell (holoblastic) ดวย เมื่อปริมาณอาหารลดนอยลงเชื้อราเริ่มขาด<br />
แคลนอาหาร และจะสราง chlamydospore เพื่อรอใหมีอาหารเพียงพอจึงจะขยายพันธุตอไปได<br />
จะ<br />
เห็นไดวาเชื้อราชนิดนี้มีกลไกในการรักษาตัวเองใหอยูรอดในธรรมชาติไดหลายแบบซึ่งจะเปนผล<br />
ดีในแงการใชเชื้อรามาควบคุมศัตรูพืชในธรรมชาติ<br />
การศึกษาปริมาณ conidia โดยวิธี direct count และ viable plate count พบวาเชื้อรา<br />
ไอโซเลท 2220 สามารถผลิต conidia ไดมากที่สุดโดยใหปริมาณ<br />
conidia 191.68x10 4<br />
conidia/ตารางเซนติเมตร และ 181.70x10 4 CFU/ตารางเซนติเมตร ตามลํ าดับ conidia เปนสิ่ง<br />
สํ าคัญที่เขาทํ<br />
าลายไรศัตรูพืช ดังนั้นเชื้อราไอโซเลท<br />
2220 ซึ่งใหปริมาณ<br />
conidia มากกวาเชื้อราไอ<br />
โซเลทอื่นๆ<br />
จึงเหมาะสมที่จะนํ<br />
าไปพัฒนาเพื่อใชในการควบคุมศัตรูพืชตอไป<br />
เนื่องจาก<br />
conidia<br />
เปน infective unit ที่สํ<br />
าคัญในการกอโรคกับแมลงและไร โดย conidia จะเกาะติดผนังลํ าตัวสวน<br />
ใดสวนหนึ่ง<br />
จากนั้นจะงอก<br />
germ tube แทงทะลุผนังลํ าตัวไร และใชเนื้อเยื่อในลํ<br />
าตัวแมลงและไร<br />
เพื่อเจริญเติบโตและแพรกระจายอยางรวดเร็ว<br />
การเลี้ยงเชื้อราในอาหารเหลว<br />
MEB เปนเวลา 4 วันไดนํ้<br />
าหนักมวลชีวภาพอบแหงของ<br />
เชื้อราแตกตางกันโดย<br />
เชื้อราไอโซเลท<br />
2459 ใหนํ้<br />
าหนักมวลชีวภาพอบแหงมากที่สุดคือ<br />
0.93<br />
กรัม/MEB 50 มิลลิลิตร และทํ าใหอาหารเหลวมีคาความเปนกรด-ดางเทากับ 8.6 ในอนาคต
102<br />
สามารถนํ าเชื้อราไอโซเลท<br />
2459 มาพัฒนารูปแบบการหมักเชื้อราใหไดปริมาณมากขึ้น<br />
สํ าหรับนํ า<br />
ไปใชทดสอบในสภาพไรได<br />
การศึกษาประสิทธิภาพของสารพิษที่เชื้อรา<br />
H. thompsonii สรางขึ้นในอาหาร<br />
MEA<br />
พบวา สารพิษมีผลตอทุกระยะการเจริญเติบโตของหนอนตั้งแตทํ<br />
าใหหนอนตาย หรือหนอนไมกิน<br />
อาหาร ไมเจริญเติบโตและตายในที่สุด<br />
และบางตัวตายในระยะหดตัวกอนเขาดักแด หนอนที่รอด<br />
จากการตายบางตัวเขาดักแดไมสมบูรณ หนอนที่เขาดักแดสมบูรณนั้นตัวเต็มวัยที่ออกมากลับมี<br />
อาการผิดปกติ เชน ปกหัก ปกหดสั้น<br />
บินไมได ไมสามารถที่จะผสมพันธุออกลูกออกหลานตอไป<br />
ได และดักแดที่รูปรางเหมือนดักแดปกติอาจไมสามารถลอกคราบเปนตัวเต็มวัยไดเลย<br />
ซึ่งเกิด<br />
เนื่องมาจากสารพิษไปยับยั้งขบวนการสรางโปรตีนของหนอน<br />
และมีผลตอระบบขับถายโดยตรง<br />
คือจะไปยับยั้งการขับถายของเสียพวกไนโตรเจน<br />
สารพิษจากเชื้อราไอโซเลท<br />
2444 มีผลกระทบ<br />
ตอการเจริญเติบโตของหนอนกระทูผัก<br />
100% และจากการเพิ่มปริมาณความเขมขนของ<br />
crude<br />
filtrate ของเฃื้อราไอโซเลท<br />
2233, 2278, 2485 และ 2513 ทํ าใหอัตราการเจริญเติบโตผิดปกติ<br />
ของหนอนกระทูผักเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง<br />
40% โดยเชื้อราไอโซเลท<br />
2485 ทํ าใหหนอนตาย 100%<br />
ซึ่งหากมีการนํ<br />
าเชื้อราไอโซเลท<br />
2485 มาศึกษาคนควาและแยกสารบริสุทธิ์เพื่อใชในการกํ<br />
าจัด<br />
ศัตรูพืชตอไป จะกอใหเกิดประโยชนอยางยิ่งแกเกษตรกรไทย<br />
และจะชวยลดปริมาณการใชสาร<br />
เคมีไดเปนอยางดี
เอกสารและสิ่งอางอิง<br />
กองกีฏและสัตววิทยา. 2544. คู มือตรวจแมลง ไร และสัตวศัตรูพืชเศรษฐกิจ. โรงพิมพคุรุ<br />
สภาลาดพราว, กรุงเทพฯ. 275 น.<br />
103<br />
เทวินทร กุลปยะวัฒน และ พิเชฐ เชาวนวัฒนวงศ. 2544. หลักการปองกันกํ าจัดไรศัตรูพืช,<br />
น. 146-165. ใน ไรศัตรูพืชและการปองกันกํ าจัด. กลุมงานวิจัยไรและแมงมุม,<br />
กองกีฏ<br />
และสัตววิทยา, กรมวิชาการเกษตร. โรงพิมพชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย,<br />
กรุงเทพฯ.<br />
ปยรัตน เขียนมีสุข. 2542. แมลงศัตรูผัก. โรงพิมพชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศ<br />
ไทย,กรุงเทพฯ. 97 น.<br />
มานิตา คงชื่นสิน.<br />
2544. การควบคุมไรศัตรูพืชโดยใชไรตัวหํ า, ้ น. 200-207. ใน สุวัฒน รวยอารี,<br />
บรรณาธิการ. เทคโนโลยีทางเลือกสํ าหรับ “ไอ พี เอ็ม”. กองกีฏวิทยา กรมวิชาการเกษตร,<br />
กรุงเทพฯ.<br />
มานิตา คงชื่นสิน,<br />
วัฒนา จารณศรี, ฉัตรชัย ศฤงฆไพบูลย และ เทวินทร กุลปยะวัฒน. 2532.<br />
ชีววิทยาของไรสองจุด Tetranychus urticae Koch ศัตรูสตรอเบอรี่และไรตัวหํ้<br />
า Amblyseius<br />
longispinosus (Evan). ว.กีฏ.สัตว. 11(4): 195-204.<br />
รัตนา นชะพงษ. 2544. การใชแตนเบียนไข Trichogramma confusum Viggiani ควบคุมหนอนกอลาย<br />
เล็กและหนอนกอลายใหญทํ าลายออย, น. 212-215. ใน สุวัฒน รวยอารี, บรรณาธิการ.<br />
เทคโนโลยีทางเลือกสํ าหรับ “ไอ พี เอ็ม”. กองกีฏวิทยา กรมวิชาการเกษตร, กรุงเทพฯ.<br />
วัฒนา จารณศรี. 2544ก. ความรูทั่วไปเกี่ยวกับไร,<br />
น. 1-16. ใน ไรศัตรูพืชและการปองกัน<br />
กํ าจัด. กลุ มงานวิจัยไรและแมงมุม, กองกีฏและสัตววิทยา, กรมวิชาการเกษตร. โรงพิมพ<br />
ชุมนุม สหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, กรุงเทพฯ.<br />
วัฒนา จารณศรี. 2544ข. ไรศัตรูพืชที่สํ<br />
าคัญในประเทศไทย, น. 17-134. ใน ไรศัตรูพืชและ<br />
การปองกันกํ าจัด. กลุมงานวิจัยไรและแมงมุม,<br />
กองกีฏและสัตววิทยา, กรมวิชาการ<br />
เกษตร. โรงพิมพชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, กรุงเทพฯ.
ศานิต รัตนภุมมะ. 2546. กีฏวิทยาแมบท. สิรินาฎการพิมพ, เชียงใหม. 497 น.<br />
องุน<br />
ลิ่ววานิช.<br />
2544. ผีเสื้อและหนอน.<br />
กองกีฏและสัตววิทยา, กรมวิชาการเกษตร,<br />
กรุงเทพฯ. 230 น.<br />
อังศุมาลย จันทราปตย. 2528ก. ไรศัตรูพืช, น. 170-191. ใน เรื่องนารู<br />
สํ าหรับประชาชนเลมที่<br />
11.<br />
ชมรมนักเรียนทุนมูลนิธิ “อานันทมหิดล”. หางหุ นสวนจํ ากัด ป. สัมพันธพานิชย, กรุงเทพๆ.<br />
. 2528ข. รายงานการวิจัยเรื่องไรสนิมสมในประเทศไทย<br />
(Prostigmata:<br />
Eriophyidae) (เอกสารอัดสํ าเนา). 23 น.<br />
. 2530. ชีววิทยาและนิเวศวิทยาบางประการของไรสนิมสม, น. 109-<br />
127. ใน ปญหาแมลงปากดูดและไรที่สํ<br />
าคัญของพืชเศรษฐกิจในประเทศไทย. การ<br />
ประชุมทางวิชาการในโอกาสประชุมใหญสามัญประจํ าป 2530. สมาคมกีฏและสัตววิทยา<br />
แหงประเทศไทย, กรุงเทพฯ.<br />
. 2534. ไรตัวหํ า, ้ น. 170-191. ใน เรื่องนารู<br />
สํ าหรับประชาชนเลมที่<br />
17.<br />
ชมรมนักเรียนทุนมูลนิธิ “อานันทมหิดล”. หางหุ นสวนจํ ากัด ป. สัมพันธพานิชย, กรุงเทพๆ.<br />
. 2543ก. รายงานสถานภาพของงานดานอนุกรมวิธานของไรสี่ขาในประเทศ<br />
ไทย เสนอตอโครงการพัฒนาองคความรู และศึกษานโยบายการจัดการทรัพยากรชีวภาพใน<br />
ประเทศไทย. ภาควิชากีฏวิทยา, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ. 69 น.<br />
. 2543ข. รายงานการศึกษาชนิด ชีววิทยาและการแพรกระจายของไรสี่ขาใน<br />
ภาคกลางและภาคตะวันออกของประเทศไทย เสนอตอโครงการพัฒนาองคความรู และศึกษา<br />
นโยบายการจัดการทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทย. ภาควิชากีฏวิทยา, มหาวิทยาลัยเกษตร<br />
ศาสตร, กรุงเทพฯ. 108 น.<br />
อังศุมาลย จันทราปตย และ อุไรวรรณ ดิลกคุณานันท. 2532. รายงานการวิจัยการใชเชื<br />
้อรา<br />
Hirsutella thompsonii (Fissher) กับไรสนิมสม Phyllocoptruta oleivora (Ashmead)<br />
(เอกสารอัดสํ าเนา). 48 น.<br />
104
อังศุมาลย จันทราปตย, จิระเดช แจมสวาง และ ปราโมทย ศิริโรจน. 2540. การพัฒนา<br />
เทคโนโลยีการหมักและรูปแบบของเชื้อรา<br />
Hirsutella thompsonii var. synnematosa<br />
เพื่อใชควบคุมไรศัตรูพืชในประเทศไทย.<br />
รายงานการวิจัย โครงการวิจัย พัฒนาและ<br />
วิศวกรรม. 133 น.<br />
อุทัย เกตุนุติ. 2544. การควบคุมแมลงศัตรูพืชดวยเชื้อ<br />
Bacillus thuringiensis และไวรัส Nuclear<br />
Polyhedrosis Virus, น. 178-184. ใน สุวัฒน รวยอารี, บรรณาธิการ. เทคโนโลยีทางเลือก<br />
สํ าหรับ “ไอ พี เอ็ม”. กองกีฏวิทยา กรมวิชาการเกษตร, กรุงเทพฯ.<br />
อภิญญา รุจิธารณวงศ. 2543. ความสํ าคัญของสารกํ าจัดศัตรูพืชและปญหาจากการใช, น. 1-<br />
8. ใน คู มือผูควบคุมการขายวัตถุอันตรายทางการเกษตร.<br />
ฝายสารวัตรเกษตร, กอง<br />
ควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร, กรมวิชาการเกษตร, กรุงเทพฯ.<br />
อัมพร วิโนทัย. 2544. การควบคุมหนอนชอนใบสกุล Liriomyza โดยแมลงวันตัวหํ า ้ Coenosia,<br />
น. 216-223. ใน สุวัฒน รวยอารี, บรรณาธิการ. เทคโนโลยีทางเลือกสํ าหรับ “ไอ พี เอ็ม”.<br />
กองกีฏวิทยา กรมวิชาการเกษตร, กรุงเทพฯ.<br />
105<br />
Amrine, J.W. Jr., T.A.H. Stasny and C.H.W. Flechtmann. 2003. Revised Keys to World<br />
Genera of Eriophyoidea (Acari: Prostigmata). Indira Publishing House, USA. 244<br />
p.<br />
Baker, E.W. 1975. Plant feeding mites of Thailand (Tetranychidae, Tenuipalpidae, and<br />
Tuckerellidae.) Plant Protect. Service Technical Bulletin. No. 35. Department of<br />
Agricuture, Ministry of Agriculture and Cooperatives, Bangkok. UNDP/FAO THA<br />
68/526. 43 p.<br />
Baker, J.R. and H.H. Neunzig. 1968. Hirsutella thompsonii as a fungus parasite of the<br />
blueberry bud mite. J. Econ. Entomol. 61: 1117-1118.<br />
Banziger, H. 1982. Fruit-piercing moths (Lep., Noctuidae) in Thailand: A general<br />
survey and some new perspectives. Bull. Soc. Ent. Swisse. 55: 213-240.
Barbosa, P. 1993. Lepidoptera foraging on plants in agroecosystems: Constrainst and<br />
consequences, pp. 523-566. In N. Stamp and T. Casey, eds. Ecological and<br />
Evolutionary Constraints of Caterpillars. Chapman & Hall, New York.<br />
Bin-Cheng Zhang. 1994. Index of Economically Important Lepidoptera. CAB<br />
international, UK. 599 p.<br />
Boczek, J.H., V.G. Shevtchevtchenko and R. Davis. 1989. Generic Key to World Fauna<br />
of Eriophyid Mites (Acarida: Eriophyoidea). Warsaw Agri. Univ. Press, Warsaw,<br />
Poland. 192 p.<br />
Botrell, D.R. 1979. Integrated Pest Management. Government Printing Office,<br />
Washington, D.C. 120 p.<br />
Boucias, D.G., and J.C. Penland. 1998. Principles of Insect Pathology. Kluwer<br />
Academic Publishers, USA. 537 p.<br />
Boudreaux, H.B. 1963. Biological aspects of some phytophagous mites. Annu. Rev.<br />
Entomol. 8: 137-154.<br />
Carner, G.R. 1976. A description of the life cycle of Entomophthora sp. in the twospotted<br />
spider mite. J. Invertebr. Pathol. 28: 245-254.<br />
Charanasri, V., A. Bhandhufalck and C. Saringkaphaibul. 1977. Mites associated with<br />
economic crops of Thailand. Thai. J. Agr. Sci. 10(2): 81-89.<br />
106<br />
Chazeau, J. 1985. Predaceous Insects, pp. 211-246. In W. Hell and M.W. Sabelis, eds.<br />
World Crop Pests, Spider Mites: Their Biology, Natural Enemies and Control.<br />
Elsevier Science Publishing Company Inc., New York.<br />
Chen, X.Y., Z.Y. Zhang and J.H. Li. 1996. Study on the bionomics and control of<br />
Tetranychus truncatus Ehara. Scaintia Silvae Sinicae 32:144-149.
107<br />
Chernin, L., A. Gafni, R. Mozes-Koch, U. Gerson and A. Sztejnberg. 1997. Chitinolytic<br />
activity of the acaropathogenic fungi Hirsutella thompsonii and Hirsutella necatrix.<br />
Can. J. Microbiol. 43: 440-446.<br />
Cranham, J.E. and W. Helle. 1985. Pesticide Resistance in Tetranychidae, pp. 405-421.<br />
In W. Helle and M.W. Sabelis, eds. Spider Mite, Their Biology, Natural Enemies<br />
and Control. Elsevier Science Publishing Company Inc., New York.<br />
Devi, P.S.V. 1995. Soil treatment with Nomuraea rileyi: a promising technique for<br />
control of Spodotera litura on groundnut. Bio. Sci. Tech. 5: 361-364.<br />
Dillon, R.J. and C. Charnley. 1991. The fate of fungal spores in the insect gut, pp. 129-<br />
156. In G.T. Cole and H.C. Hoch, eds. The Fungal Spore and Disease Initiation in<br />
Plants and Animals. Plenum Press, New York.<br />
Duan, J.J., R. H. Messing. 2000. Evaluating nontarget effects of classical biological<br />
control: fruit fly parasitoids in Hawaii as a case study, pp. 97-109. In P.A. Follett<br />
and J.J. Duan, eds. Nontarget Effects of Biological Control. Kluwer Academic<br />
Publishers, USA.<br />
Ehara, S. and T. Wongsiri. 1975. The spider mites of Thailand (Acarina: Tetranychidae)<br />
Mushi. 13: 149-185.<br />
Eisemann, C.H. and K.C. Binnington. 1994. The peritrophic membrane: its formation,<br />
structure, chemical composition and permeability in relation to vaccination against<br />
ectoparasitic arthropods. Int. J. Parasitol. 24(1): 15-26.<br />
Evans, E.W. and S. England 1996. Indirect interactions in biological control of insect:<br />
pests and natural enemies in alfalfa. Ecological Applications 6: 920-930.<br />
Evans, G.O. 1992. Principles of Acarology. University Press, Cambridge. 563 p.
Falcon, L.A. 1985. Development and use of microbial insecticides, pp. 229-242. In<br />
M.A. Hoy and D.C. Herzog, eds. Biological Control in Agricultural IPM System.<br />
Academic Press, New York.<br />
Ferron, P., J. Fargues and G. Riba. 1991. Fungi as microbial insecticides against pests,<br />
pp. 665-706. In D.K. Arora, L. Ajello and Mukerji, eds. Handbook of Applied<br />
Mycology. Marcel Dekker, New York.<br />
Fisher, F.E. 1950. Two new species of Hirsutella Patouillard. Mycologia 42: 290-297.<br />
108<br />
Follett, P.A. 2000. Parasitoid driff in hawaiian pentatomoids, pp. 76-93. In P.A. Follett<br />
and J.J. Duan, eds. Nontarget Effects of Biological Control. Kluwer Academic<br />
Publishers, USA.<br />
Food and Agriculture Organization (FAO). 1982. Production Yearbook, F.A.O. Rome,<br />
Italy. 482 p.<br />
Fuka, J.R. 1998. Enviromental manipulation for microbial control of insects, pp. 255-<br />
267. In P. Barbosa, ed. Conservation Bioligical Control. Academic press, USA.<br />
Gerson, U., R. Kenneth and T.I. Muttath. 1979. Hirsutella thompsonii, a fungal pathogen<br />
of mites. II Host- pathogen interactions. Ann. Appl. Biol. 91: 29-40.<br />
Gillott, C. 1980. Entomology. Plenum press, London. 729 p.<br />
Goldson, S.L., B.I.P. Barratt, N.D. Barlow and C.B. Phillips. 1998. What is a safe<br />
biological control agent?, pp. 530-538. In M. Zalucki, R. Drew, and G. White eds.<br />
The Cooperative Research Centre for Tropical Pest Management. Brisbane,<br />
Australia.<br />
Goodwin, S. and E. Schicha. 1979. Discovery of the predatory mite Phytoseiulus<br />
persimilis Athias-Henriot (Acarina: Phytoseiidae) in Australia. J. Aust. Entomol.<br />
Soc. 18: 304-308.
Greany, P.D., J.H. Tumlinson, D.L. Chambers, and G.M. Boush. 1997. Chemically<br />
mediated host finding by Fopius (Opius) longicaudatus, a parsitoid of tephritid friut<br />
fly larvae. J. Chem. Ecol. 3: 189-195.<br />
Gupta, S., C. Montillor and Y.S. Hwang. 1995. Isolation of novel beauvericin analogues<br />
from the fungus Beauveria bassiana. J. Nat. Prod. 58: 733-738.<br />
Hajek, A.E. and L. Butler. 2000. Predicting the host range of entomopathogenic fungi,<br />
pp. 263-276. In P.A. Follett and J.J. Duan, eds. Nontarget Effects of Biological<br />
Control. Kluwer Academic Publishers, USA.<br />
Hajek, A.E. and R.J. St. Leger. 1994. Interaction between fungal pathogens and insect<br />
hosts. Annu. Rev. Entomol. 39: 293-322.<br />
Hall, R.A. 1981. The fungus Verticillium lecacii as a microbial insecticide of aphid and<br />
scales, pp. 483-498. In H.D. Burges, Ed. Microbial Control of Pest and Plant<br />
Diseases 1970-80. Acad. Press, London.<br />
Hall, R.A., N.W. Hussey and D. Mariau. 1980. Result of a survey of biological control<br />
agents of the coconut mite, eriophyes guereronis. Oleagineux 35 (8-9): 395-400.<br />
Harris, O. 1990. Environmental impact of introduced biological control agents, pp. 289-<br />
299. In M. Mackauer, L. E. Ehler and J.Roland, eds. Critical Issues in Biological<br />
Control. Intercept Ltm., Andover, UK.<br />
Heinz, K.M., and J.M. Nelson. 1996. Interspecific interactions among natural enemies of<br />
Bemisia in an inundative biological control program. Biol. Control. 6: 384-394.<br />
Helle, W. 1965. Resistance in the Acarina : Mites, pp. 71-89. In J.A. Naegele, ed.<br />
Advances in Acarology. Cornell Univ., Ithaca, New York.<br />
Helle, W. and M.W. Sabelis. 1985. Spider Mites, Their Biology: Natural Enemies and<br />
Control (World Crop Pests: 1B). Amsterdam, Elsevier. 458 p.<br />
109
Hendrich, M.A. and J. Hendrichs. 1998. Perfumed to be killed: interception of<br />
Mediteranean fruit fly (Diptera: Tephritidae) sexual signaling by predatory foraging<br />
wasps (Hymenoptera: Vespidae). Ann. Ent. Soc. Amer. 91: 228-234.<br />
Holloway, J.D., J.D. Bradley and D.J. Carter. 1987. C.I.E Guides to Insects of<br />
Importance to Man 1. Lepidoptera. C.A.B International Institute of Entomology,<br />
British Museum Natural, London. 262 p.<br />
110<br />
Hough-Goldstein, J. 1998. Use of predatory pentatomids in integrated management of the<br />
Colorado potato beetle (Coleoptera: Chrysomelidae), pp. 209-223. In M. Coll and<br />
J.R. Ruberson, eds. Predatory Heteroptera: Their Ecology and Use in Biological<br />
Control. Lanham, Maryland.<br />
Howarth, F.G. 1991. Environmental impacts of classical biological control. Annu. Rev.<br />
Entomol. 36: 485-509.<br />
. 1992. Environmental impacts of species purposefully introduced for<br />
biological control of pests. Pacific Sci. 46: 388-389.<br />
Howse, P.E., I.D.R. Stevens and O.T. Jones. 1998. Insect Pheromones and their Use in<br />
Pest Management. Chapman&Hall, London. 369 p.<br />
Hoyt, S.C. 1969. Integrated chemical control of insect and biological control of mite on<br />
apple in Washington. J. Econ. Entomol. 62: 74-86.<br />
Hughes, S.J. 1953. Conidiophores, conidia and classification. Can. J. Bot. 31: 577-<br />
659.<br />
Humber, R.A. 1997. Fungi: identification, pp. 153-185. In L.A. Lacey, ed. Manual of<br />
Techniques in Insect Pathology. Academic Press, London.
Ignoffo, C.M., W.M. Baker and C.W. McCoy. 1973. Lack of per os toxicity or<br />
pathogenicity in rats fed the fungus Hirsutella thompsonii. Entomophaga 18 : 333-<br />
335.<br />
Inglis, G.D., M.S. Goettel, T.M. Butt and H. Strasser. 2001. Use of Hyphomycetous<br />
fungi for managing insect pest, pp. 23-29. In T.M. Butt, C.W. Jackson and N.<br />
Magan, eds. Fungi as Biocontrol Agents Progress, Problems and Potential. CABI<br />
Publishing, UK.<br />
James, P.J., M.J. Kershaw, S.E. Reynolds and A.K. Charnley. 1993. Inhibition of desert<br />
locust (Shistocerca gregaria) Malpighian tubule fluid secretion by destruxins, cyclic<br />
peptide toxins from the insect pathogenic fungus Metarhizium anisopliae. J. Insect<br />
Physiol. 39: 797-804.<br />
Jeppson, L.R., H.H. Keifer and E.W. Baker. 1975. Mites Injurious to Economic Plants.<br />
University of Califonia Press, Berkeley, USA. 614 p.<br />
Jepson, P.C. 1989. “Pesticides and Non-target Invertebrates.” Intercept. Andover<br />
Hants, U.K.<br />
Kanaoka, M., A. Isogai, S. Murakoshi, M. Ichione, A. Suzuki and S. Tamura. 1978.<br />
Bassianolide, a new insecticidal cylcodepsipeptide from Beauveria bassiana and<br />
Verticillium lecanii. Agri. Biol. Chem. 42: 629-635.<br />
Kawabe, A. 1989. Records and description of the Subfamily Olethreutinae (Lepidoptera:<br />
Tortricidae) from Thailand. Microlep. of Thai. 2: 23-82.<br />
Keifer, H.H., E.W. Baker, T. Kono, Delfinado and W.E. Styer. 1982. An Illustrated<br />
Guide to Plant Abnormalities Caused by Eriophyoid Mites in North America.<br />
USDA Agric. Handbook. 178 p.<br />
Kenneth, R., T.I. Muttath and U. Gerson. 1979. Hirsutella thompsonii, a fungal pathogen<br />
of mite. I. Biology of the fungus in vitro. Ann. Appl. Biol. 91: 21-28.<br />
111
Kerban, R., R. Adamchak and W.C. Schnathorst. 1987. Induced resistance and<br />
interspecific competition between spider mites and a vascular wilt fungus. Science<br />
235: 678-680.<br />
112<br />
Khetan, S.K. 2001. Microbial Pest Control. Marcel Dekker, Inc., New york, USA. 300<br />
p.<br />
Knutson, L. and J.R. Coulson. 1997. Procedures and policies in the USA regarding<br />
precautions in the introduction of classical biological control agents, pp. 133-142.<br />
In I.M. Smith, ed. EPPO/CABI Workshop on Safety and Efficacy of Biological<br />
Control in Europe. Blackwell Science Ltd., Oxford, UK.<br />
Kogan, M. 1998. Integrated pest management: historical perspectives and contemporary<br />
development. Annu. Rev. Entomol. 43: 243-270.<br />
Kononenko, V.S. 1990. Synonymic check list of the Noctuidae of the Primorye Territory<br />
the far east of U.S.S.R. Tinea 13: 1-40.<br />
Krantz, G.W. 1978. A Manual of Acarology. 2 nd ed. O.S.U. Book Stores Inc.,<br />
Corvallis, Oregon. 509 p.<br />
Kuroko, H. and A. Lewvanich. 1993. Lepidopterous Pests of Tropical Fruit Trees in<br />
Thailand. Japan International Cooperation Agency. Japan. 132 p.<br />
Landolt, P.J. and A.L. Averill. 1999. Fruit flies, pp. 3-25. In J. Hardie and A.K.<br />
Minks, eds. Pheromones of Non-Lepidopteran Insects Associated with Agricultural<br />
Plants. CABI Publishing, UK.<br />
Latge, J.P., R.L.C. Cabrera and M.C. Pre’ vost. 1988. Microcycle conidiation in<br />
Hirsutella thomsonii. Can. J. Microbiol. 34: 625-630.<br />
Letourneau, D.K. 1998. Conservation biology: lessons for conserving natural enemies, pp.<br />
9-38. In P. Barbosa, ed. Conservation Biological Control. Academic press, USA.
113<br />
Lewis, G.C., A.J. Heard, B.L. Bredy and D.W. Minter. 1981. Fungal parasitism of the<br />
eriophyid mite vector of ryegrass mosaic virus, pp. 101-111. In Proceedings 1981<br />
British crop Protection Conference-Pests and Diseases.<br />
Lipa, J.J. 1971. Microbial Control of Mites and Ticks. Academic Press, Inc., London.<br />
Liu, J.C., D.G. Boucias, J.C. Pendland, W.Z. Liu and J. Maruniak. 1996. The mode of<br />
action of hirsutellin A on eukaryotic cells. J. Invertebr. Pathol. 67: 24-228.<br />
Liu, W. Z., D.G. Boucias and C.W. McCoy. 1995. Extraction and characterization of the<br />
insecticidal toxin Hirsutellin A produced by Hirsutella thompsonii var. thompsonii<br />
Exp. Mycol. 19: 254-262.<br />
Locke, M. 1984. The structure of the insect cuticle, pp. 38-53. In D.W. Roberts and<br />
J.R. Aist, eds. Infection Processes of Fungi. CABI Publishing, UK.<br />
Lockwood, J.A. 2000. Nontarget effects of biogical control: what are we trying to miss?,<br />
pp. 14-30. In P.A. Follett and J.J. Duan, eds. Notarget effects of Biological<br />
Control. Kluwer Academic Publishers, USA.<br />
Maimala, S., A. Tartar, D. Boucias and A. Chandrapatya. Detection of the toxin Hirsutellin<br />
A from Hirsutella thompsonii. J. Invertebr. Pathol. 80: 112-126.<br />
Main, E.B. 1951. Entomogenous species of Hirsutella, Tilachlidium and Synematium.<br />
Mycologia 43: 691-717.<br />
Manson, D.C.M. 1963. Mites of the families Tetranychidae and Tenuipalpidae associated<br />
with citrus in South East Asia. Acarologia 5: 351-364.<br />
Martin, P.B., P.D. Lingren, G.L. Greene and E.E. Grissell. 1981. The parasitoid complex<br />
of three noctuids in a northern Florida cropping system: seasonal occurrence,<br />
parasitization, alternate hosts, and influence of host habitat. Entomophaga 26: 401-<br />
419.
114<br />
Mazet, I. 1992. Recherches sur les hirsutellines, toxines proteiques produites par<br />
Hirsutella thompsonii Fisher, champignon parasite d’acariens phytophages. Doctoral<br />
dissertation, University of Montpellier, France. 135 p.<br />
Mazet, I. and A. Vey. 1995. Hirsutelin A, a toxin protein produced in vitro by Hirsutella<br />
thompsonii. Microbiol. 141: 1343-1348.<br />
McCoy, C.W. 1978a. Entomopathogens in arthropod pest control programs for citrus, pp.<br />
211-224. In G.E. Allen, C.M. Ignoffo, R.P. Jaques, eds. Microbiobial Control of<br />
Insect Pests: Future Strategies in Pest Management Systems. NSF-USDA, Univ. of<br />
Florida, Gainesville, USA.<br />
. 1978b. Studies on the development of Hirsutella thompsonii: as a fungal<br />
microbial miticide, pp. 84-101. In Proc. US/USSR Conf. Microbiol. Cont. Pest<br />
Agric.<br />
. 1981. Pest control by the fungus Hirsutella thompsonii, pp. 499-512.<br />
In H.D. Burges, ed. Microbial Control of Insects and Mites. Vol. 2. Academic<br />
Press, London, England.<br />
. 1985. Citrus: Current Status of Biological control in Florida, pp. 481-<br />
499. In M.A. Hoy and D.C. Herzog, eds. Biological Control in Agricultural IPM<br />
System. Acad. Press, Inc., Orlando, Florida.<br />
McCoy, C.W. and T.L. Couch. 1978. Hirsutella thompsonii: A Potential Mycoacaricide.<br />
Developments Industrial Microbiol. 20: 89-96.<br />
. 1982. Microbial control of the citrus rust mite with the<br />
mycoacaricide, Mycar ® . Fla. Entomol. 65(1): 116-126.<br />
McCoy, C.W. and A.M. Heimpel. 1980. Safety of the potential mycoacaricide, Hirsutella<br />
thomsonii to vertebrates. Env. Entomol. 9: 47-49.
115<br />
McCoy, C.W. and R.F. Kanavel. 1969a. Isolation of Hirsutella thompsonii from the citrus<br />
rust mite, Phyllocoptruta oleivora, and its cultivation on various sythetic media. J.<br />
Invertebr. Pathol. 14(3): 386-390.<br />
. 1969b. Isolation of Hirsutella tompsonii and its potential<br />
use for control of the citrus rust mite in Florida. Proc. Inter. Citrus. Congr. 2: 521-<br />
527.<br />
McCoy, C.W. and A.G. Selhime. 1977. The fungus pathogen, Hirsutella thompsonii and<br />
its potential use for control of citrus rust mite in Florida. Proc. Inter. Citrus. Congr.<br />
2: 521-527.<br />
McCoy, C.W., T.L. Couch and R. Weatherwax. 1978. A simplified medium for the<br />
production of Hirsutella thompsonii. J. Invertebr. Pathol. 31: 137-139.<br />
McCoy, C.W., A.J. Hill and R.F. Kanavel. 1972. A liquid medium of the large scale<br />
production of Hirsutella thompsonii in submerged culture. J. Invertebr. Pathol. 19:<br />
370-374.<br />
McCoy, C.W., A.J. Hill and R.F. Kanavel. 1975. Large-scale production of the fungal<br />
pathogen Hirsutella thompsonii in submerged culture and its formulation for<br />
application in the field. Entomophaga. 20: 229-240.<br />
McCoy, C.W., R.A. Samson and D.G. Boucias. 1988. Entomogenous fungi, pp. 151-<br />
236. In C.M. Ignoffo, ed. CRC Handbook of Natural Pesticide, Vol. 5 Microbial<br />
insecticide, Part A, Entomogenous Protozoa and Fungi. CRC Press, Boca Raton,<br />
Florida.<br />
McCoy, C.W., A. Vey and I. Mazet. 1993. Metabolic toxin of the fungus, Hirsutella<br />
thompsonii var. thompsonii . J. Invertebr. Pathol. 61(2): 131-137.
McCoy, C.W., A.G. Selhime., R.F. Kanavel and A.J. Hill. 1971. Suppression of citrus<br />
rust mite poppulations with application of fragmented mycelia of Hirsutella<br />
thompsonii. J. Invertevr. Pathol. 17: 270-276.<br />
116<br />
McMurtry, J.A., C.B. Huffaker and M. Van de Vrie. 1970. Ecology of Tetranychid Mites<br />
and Their Natural Enemies: A Review; Ι. Tetranychid Enemies: Their Biological<br />
Characters and the Impact of Spray Practices. Hilgardia. 40(11): 331-390.<br />
Messing, R.H. 2000. The impact of nontarget concerns on the practice of biological<br />
control, pp. 45-55. In P.A. Follett and J.J. Duan, eds. Notarget Effects of<br />
Biological Control. Kluwer Academic Publishers, USA.<br />
Meyer, M.K.P. 1981. Mite pest of crops in Southern Africa. Sci. Bull. Dept. Agric. Fish.<br />
Repub. S. Afr. No. 397: 1-92.<br />
Mier, T., J. Carrilli-Farga and Toriello. 1989. Study on the innocuity of Hirsutella<br />
thompsonii. I. Infectivity in mice and guinea pigs. Entomophaga 334: 105-110.<br />
Miller, D.W. 1995. Commercial development of entomopathogenic fungi: formulation and<br />
delivery, pp. 213-220. In F.R. Hall and J.W. Barry, eds. Biorational Pest Control<br />
Agents: Formulation and Delivery. American Chemical Society, Washington, DC.<br />
Minter, D.W. and B.L. Brady. 1980. Mononematous species of Hirsutella. Trans. Br.<br />
Mycol. Soc. 74(2): 271-282.<br />
Muller, E. and J.A. von Arx. 1973. Pyrenomycetes: Meliolales, Coronophorales,<br />
Sphaeriales, pp. 87-132. In G.C. Ainsworth, F.K. Sparrow and A.S. Sussman, eds.<br />
The Fungi. Academic Press, London.<br />
Muma, M.H., A.G. Selhime and H.A. Denmark. 1961. An annotated list of predator and<br />
parasites associated with insect and mite in Florida. Agric. Sta. Tech. Bull. 634: 1-<br />
39.
New, T.R. 1991. Insects as Predators. New South Wales University Press, Australia.<br />
Nickel, J.L. 1960. Temperature and humidity relationships of Tetranychus desertorum<br />
Banks with special reference to distribution. Hilgardia. 30:41-100.<br />
Oatman, E.R. 1965. Predacious mite controls two-spotted spider mite on strawberry.<br />
Calif. Agric. 19: 6-7.<br />
. 1969. Integration of Phytoseiulus persimilis with native predators for<br />
control of the two-spotted spider mite on rhubarb. J. Econ. Entomol. 63: 1177-<br />
1180.<br />
Oatman, E.R., J.A. McMurty, F.E. Gilstrap and V. Voth. 1977. Effect of releases of<br />
Amblyseius californicus on the two-spotted spider mite on strawberry in southern<br />
California. J. Econ. Entomol. 70: 638-640.<br />
Oldfield, G.N. 1960. Mite transmission of plant virus. Ann. Rev. 15: 343-380.<br />
Omoto, C. and C.W. McCoy. 1998. Toxicity of purified fungal toxin hirsutellin A to the<br />
citrus rust mite Phyllocoptruta oleivora (Ash.). J. Invertebr. Pathol. 72: 319-322.<br />
Pedigo, L. P. 2002. Entomology and Pest Management. 4 th ed. Pentice-Hall, Inc.,<br />
Upper Saddle River, New Jersey.<br />
Perkins, J.A. 1982. Insects Experts and the Insecticide Crisis: the Quest Fornew Pest<br />
Management Strategies. Plenum Press, New York. 320 p.<br />
117<br />
Poinar, G.O. and G.M. Thomas. 1978. Diagnostic Manual for the Identification of Insect<br />
Pathogens. Plenum Press. New York. 218 p.<br />
Qadri, S., S. Mohiuddin, N. Anwar, Y.M. Rizki, S.A. Qureshi and M. anwarullah. 1989.<br />
Larvicidal activity of B-exotoxin and beauvericin against two dipterous species.<br />
Pakistan J. Sci. Industrial Res. 32: 467-470.
Raffa, K.F. and D.L. Dahlsten. 1995. Differential responese among natural enemies and<br />
prey to bark beetle pheromones. Oecologia 102: 17-23.<br />
Richards, O.W. and R.G. Davies. 1977. Imm’s General Textbook of Etomology. 10 th<br />
ed. Chapman and Hall, London. 418 p.<br />
Roberts, D.W. 1966. Toxins from the entomogenous fungus Metarhizium anisopliae.<br />
II.Symptoms and detection in moribund hosts. J. Invertebr. Pathol. 8: 222-227.<br />
. 1970. Infection Process of Fungi, 14 th Intern. Congr. Entomol.<br />
Abstract (Pathology) Kyoto, Japan. 3-9 August 1970.<br />
Roesler, U. 1983. Die Phycitinae von Sumatra (Lepidoptera: Pyralidae). Heteroc.<br />
Sumatr. 3: 5-136.<br />
Rombach, M.C., D.W. Roberth and B.M. Shepard. 1986. Hirsutella thomsonii Fisher<br />
infecting phytophagous mites in the Philippines. Philipp. Ent. 6: 620-622.<br />
Rosas, J.L. 2003. Exudate from Sporulating Cultures of Hirsutella thomsonii Fisher<br />
Inhibit Oviposition by the Two-spotted Spider Mite Tetranychus urticae KOCH.<br />
Ph.D. thesis, Colima University, Mexico. (in Spain)<br />
Samson R.A., H.C. Evans and J.P. Latge. 1988. Atlas of Entomopathogenic Fungi.<br />
Springer-Verlag, Berlin. 187 p.<br />
Samson R.A. and C.W. McCoy. 1982. A new fungal pathogen of the scavenger mite,<br />
Tydeus gloveri. J. Invertebr. Pathol. 40: 216-220.<br />
Samson R.A., C.W. McCoy. and K.L. O’ Donnell. 1980. Taxonomy of the acarine<br />
parasite Hirsutella thomsonii. Mycologia. 72(2): 359-377.<br />
Samways, M.J. 1994. Insect Conservation Biology. Chap & Hall, London. 358 p.<br />
118
Saxena, A.P. 1977. Role of egg-parasites in the control of sugarcane borers<br />
(Lepidoptera). Z. Ang. Entomol. 84: 299-305.<br />
Sithananthan, S. and A.R. Solayappan. 1980. Biological Control of Sugarcane Tests of<br />
India. The INSDOC Regional Press, Bangalore. 84 p.<br />
119<br />
Sloman, I.S. and S.E. Reynolds 1993. Inhibition of ecdysteroid secretion from Manduca<br />
sexta prothoracic glands in vitro by destruxins-cyclic depsipeptide toxins from the<br />
insect pathogenic fungi Metarrhizium anisopliae. Insect Biochem. Mol. Biol. 23: 43-<br />
46.<br />
Slykhuis, J.T. 1960. Current status of mite transmitted of plant virus. Proc. Ent. Soc.<br />
Ont. 90: 22-30.<br />
. 1972. Transmitted of plant virus by eriophyid mite, pp. 204-225. In<br />
Kado and Agarwal, eds. Principal and Techniques in Plant Virology. Van Nostrand,<br />
Reinhold, Co., Princeton, New Jersey.<br />
Speare, A.T. and W.W. Yothers. 1924. Is there an entomgenous fungus attacking the<br />
citrus rust mite in Florida?. Science 60: 41-42.<br />
Suzuki, A., H. Taguchi and S. Tamura 1970. Isolation and structure elucidation of three<br />
new insecticidal cyclodepsipeptides, destruxins C and D and desmethyldestruxin B<br />
produced by Metarhizium anisopliae. Agri. Biol. Chem. 34: 813-816.<br />
Suzuki, A., M. Kanaoka, A. Isogai, S. Murakoshi, M. Ichinoe and S. Tamura 1977.<br />
Bassianolide, a new insecticidal cyclodepsipeptide from Beauveria bassiana and<br />
Verticillium lecanii. Tetrahedron Letters 25: 2167-2170.<br />
Tuveson, R.W. and C.W. McCoy. Far-ultraviolet sensitivity and photoreactivation of<br />
Hirsutella thomsoni. Ann. Appl. Biol. 101: 13-18.
van Emden, H.F. 1990. Plant diversity and natural enemy efficiency in agroecosystems,<br />
pp. 63-80. In M. Mackauer, L.E. Ehler and J. Roland, eds. Critical Issues in<br />
Biological Control. Intercept. Andover, Hants, UK.<br />
120<br />
van Halteren. P. 1997. A code of conduct for the import and release of exotic biological<br />
control agents for Europe?, pp. 45-48. In I. M. Smith, ed. EPPO/CABI Workshop<br />
on Safety and Efficacy of Biological Control in Europe. Blackwell Science Ltd.,<br />
Oxford, UK.<br />
van Lenteren, J.C. 1997. Benefits and risks of introducing exotic macro-biological<br />
control agents into Europe, p. 15-27. In I.M. Smith, ed. EPPO/CABI Workshop<br />
on Safety and Efficacy of Biological Control in Europe. Blackwell Science Ltd.,<br />
Oxford, UK.<br />
van Winkelhoff, A.J. and C.W. McCoy. 1984. Conidiation of Hirsutella thompsonii var.<br />
synnematosa in submerged culture. J. Invertebr. Pathol. 43:59-68.<br />
Veen, K.H. 1966. Oral infection of 2 nd instar nymphs of Schistocerca gregaria by<br />
Metarhizium anisopliae. J. Invertebr. Pathol. 8:254-256.<br />
Vey, A., R.E. Hoagland and T.M. Butt. 2001. Toxic metabolites of fungal biocontrol<br />
agents, pp. 311-346. In T.M. Butt, C. Jackson and N. Magan, eds. Fungi as<br />
Biocontrol Agents Progress, Problems and Potential. CABI publishing, UK.<br />
Vey, A., J.M. Quiot, I Mazet and C.W. McCoy. 1989. Toxicity and pathology of a<br />
macromolecule metabolite produced by Hirsutella thomsonii. J. Invertebr. Pathol.<br />
61: 131-137.<br />
. 1993. Toxicity and pathology of crude<br />
broth filtrate produced by Hirsutella thompsonii var thompsonii in shake culture. J.<br />
Invertebr. Pathol. 61: 131-137.
Waage, J. 1997. Global developments in biological control and the implications of<br />
Europe, pp. 5-13. In I. M. Smith, ed. EPPO/CABI Workshop on Safety and<br />
Efficacy of Biological Control in Europe. Blackwell Science Ltd., Oxford, UK.<br />
Wahlman, M. and B.S. Davidson. 1993. New destruxins from the entomopathogenic<br />
fungus Metarrhizium anisopliae. J. Nat. Prod. 56: 643-647.<br />
Wharton, R.A. 1989. Classical biological control of fruit infesting Tephritidae, pp. 303-<br />
313. In A.S. Robinson and G.Hooper, eds. World Crop Pests: Fruit Flies, Their<br />
Biology, Natural Enemies and Control. Elsevier Science, Amsterdam, Netherlands.<br />
Whitcomb, W.H. and K.E. Godfrey. 1991. The use of predators in insect control, pp.<br />
215-241. In D. Pimentel and A.A. Hanson, eds. CRC Handbook of Pest<br />
Management in Agriculture. CRC Press, Boca Raton, Florida.<br />
Yasuda, T. 1997. Chemical cues from Spodoptera litura larvae elicit prey-locating<br />
behavior by the predatory stink bug, Eocanthecona furcellata. Entomol. Exp. Appl.<br />
82: 349-354.<br />
121<br />
. 1998. Role of chlorophyll content of prey diets in prey-locating behavior of<br />
a generalist predatory stink bug, Eocanthecona furcellata. Entomol. Exp. Appl. 86:<br />
119-124.<br />
Yeargan, K.V. 1998. Overview and the prevalence of heteropteran predators in<br />
agroecosystems, pp. 7-19. In M. Coll and J.R. Ruberson, eds. Predatory<br />
Heteroptera: Their Ecology and Use in Biological Control. Entomological Society of<br />
America, Lanham, Maryland.<br />
Zaher, M.A. and A.A. Osman. 1970. Population studies on mites associated with mango<br />
trees in Egypt. Bull. Soc. Ent. Egypte. 54: 141-148.
122<br />
Zizka, J. and J. Weiser. 1993. Effect of beauvericin, a toxic metabolite of Beauveria<br />
bassiana, on the ultrastructure of Culex pipiens autogenicus larvae. Cytobios 75: 13-<br />
19.
ภาคผนวก<br />
123
ภาคผนวก ก<br />
124
ตารางผนวกที่<br />
ก1 Colony diameters of H. thompsonii (114 isolates) cultured on malt<br />
extract agar plates at 27±1 o C, 65±3% RH for 4 weeks<br />
Isolates Colony diameter (Mean±SD) Growth rate<br />
7 Days 14 Days 21 Days 28 Days Overall period<br />
2191 0.45±0.06 0.96±0.07 1.95±0.09 2.66±0.16 0.1088±0.003<br />
2196 0.37±0.05 1.22±0.13 1.92±0.22 2.73±0.28 0.1109±0.004<br />
2198 0.49±0.06 1.21±0.15 1.99±0.12 2.90±0.15 0.1141±0.003<br />
2201 0.36±0.08 1.27±0.17 2.45±0.34 3.92±0.33 0.1697±0.006<br />
2203 0.44±0.06 1.16±0.09 2.25±0.20 3.36±0.14 0.1408±0.003<br />
2204 0.73±0.04 1.69±0.12 2.75±0.11 3.74±0.14 0.1441±0.002<br />
2205 0.18±0.06 1.06±0.11 1.55±0.12 2.01±0.08 0.0852±0.003<br />
2206 0.69±0.14 1.83±0.21 2.71±0.22 3.66±0.27 0.1399±0.004<br />
2208 0.48±0.07 1.29±0.08 2.08±0.09 3.13±0.28 0.1249±0.003<br />
2209 0.36±0.11 1.97±0.16 3.39±0.15 5.11±0.19 0.2238±0.003<br />
2210 0.50±0.10 2.00±0.15 3.62±0.20 5.13±0.21 0.2215±0.003<br />
2212 0.65±0.05 1.58±0.09 2.60±0.25 3.50±0.12 0.1366±0.003<br />
2214 0.69±0.05 2.23±0.12 2.96±0.26 4.07±0.29 0.1551±0.005<br />
2215 0.82±0.10 2.18±0.11 3.33±0.17 4.15±0.16 0.1592±0.004<br />
2217 0.72±0.10 1.80±0.32 3.05±0.41 4.21±0.42 0.1675±0.007<br />
2219 0.32±0.06 1.40±0.14 2.29±0.11 3.22±0.09 0.1369±0.002<br />
2220 0.91±0.06 1.93±0.08 3.23±0.14 4.05±0.15 0.1533±0.003<br />
2222 0.71±0.08 1.66±0.13 2.66±0.17 3.79±0.31 0.1465±0.004<br />
2223 0.54±0.15 1.75±0.22 2.72±0.23 3.75±0.28 0.1514±0.005<br />
2229 0.58±0.04 1.81±0.07 3.02±0.09 3.63±0.35 0.1481±0.005<br />
2230 0.32±0.07 1.20±0.13 2.23±0.27 3.08±0.34 0.1330±0.005<br />
2233 0.56±0.08 1.18±0.09 1.74±0.09 2.31±0.16 0.0832±0.002<br />
2241 0.67±0.06 1.55±0.10 2.55±0.16 3.25±0.20 0.1247±0.003<br />
2242 0.54±0.07 1.47±0.08 2.38±0.09 3.12±0.14 0.1235±0.002<br />
2246 0.71±0.10 1.86±0.15 3.24±0.27 4.62±0.52 0.1875±0.006<br />
2247 0.55±0.07 1.83±0.17 2.80±0.25 3.95±0.34 0.1593±0.005<br />
2259 0.80±0.05 2.00±0.11 3.12±0.11 4.11±0.12 0.1576±0.002<br />
2262 0.41±0.11 1.23±0.08 2.31±0.13 3.18±0.14 0.1342±0.003<br />
125
ตารางผนวกที่<br />
ก1 (ตอ)<br />
Isolates Colony diameter (Mean±SD) Growth rate<br />
7 Days 14 Days 21 Days 28 Days Overall period<br />
2271 0.70±0.06 1.94±0.13 3.00±0.19 4.33±0.13 0.1705±0.003<br />
2278 0.43±0.11 1.42±0.17 2.54±0.13 3.47±0.20 0.1462±0.003<br />
2280 0.52±0.05 1.49±0.23 2.73±0.06 3.83±0.09 0.1595±0.003<br />
2282 0.56±0.07 1.24±0.05 1.95±0.11 2.85±0.23 0.1082±0.003<br />
2283 0.38±0.05 0.93±0.08 1.78±0.17 2.44±0.31 0.1002±0.004<br />
2284 0.71±0.07 1.94±0.06 3.75±0.16 4.94±0.15 0.2073±0.004<br />
2286 0.30±0.06 1.02±0.09 1.81±0.12 2.57±0.13 0.1085±0.002<br />
2291 0.68±0.08 1.71±0.10 2.63±0.07 3.00±0.27 0.1122±0.005<br />
2293 0.20±0.10 0.76±0.15 1.52±0.13 1.78±0.13 0.0785±0.003<br />
2294 0.94±0.07 2.42±0.11 3.83±0.08 5.05±0.14 0.1962±0.002<br />
2295 0.44±0.06 1.28±0.10 2.06±0.13 2.95±0.10 0.1187±0.002<br />
2296 0.07±0.07 0.64±0.16 0.94±0.21 1.42±0.16 0.0620±0.003<br />
2300 0.81±0.06 1.27±0.07 2.45±0.06 3.14±0.12 0.1165±0.004<br />
2301 0.57±0.10 1.76±0.20 2.80±0.25 3.50±0.27 0.1404±0.005<br />
2392 0.67±0.09 2.30±0.13 3.95±0.15 5.39±0.15 0.2257±0.003<br />
2397 0.84±0.08 1.91±0.12 2.98±0.16 3.81±0.08 0.1425±0.003<br />
2398 0.42±0.10 1.51±0.11 2.61±0.09 2.88±0.28 0.1209±0.006<br />
2399 0.69±0.06 1.98±0.10 3.21±0.11 3.99±0.27 0.1590±0.004<br />
2405 0.70±0.06 1.69±0.12 2.80±0.29 4.07±0.33 0.1600±0.005<br />
2409 0.36±0.07 1.31±0.18 2.19±0.27 3.17±0.30 0.1328±0.004<br />
2425 0.42±0.20 0.92±0.07 1.54±0.06 1.87±0.07 0.0710±0.003<br />
2428 0.47±0.05 1.94±0.12 3.43±0.23 5.09±0.18 0.2192±0.003<br />
2429 0.78±0.07 2.12±0.09 3.03±0.15 4.49±0.30 0.1721±0.004<br />
2430 0.73±0.03 1.96±0.09 3.23±0.20 4.38±0.26 0.1744±0.003<br />
2436 0.60±0.08 1.74±0.13 2.93±0.13 3.97±0.14 0.1614±0.003<br />
2437 0.61±0.22 1.64±0.37 2.54±0.21 3.10±0.19 0.1196±0.006<br />
2438 0.41±0.05 1.25±0.08 2.12±0.11 2.97±0.11 0.1219±0.002<br />
2443 0.43±0.05 1.54±0.06 2.76±0.06 3.53±0.23 0.1500±0.003<br />
2444 0.47±0.06 1.62±0.15 2.67±0.18 3.86±0.19 0.1600±0.003<br />
126
ตารางผนวกที่<br />
ก1 (ตอ)<br />
Isolates Colony diameter (Mean±SD) Growth rate<br />
7 Days 14 Days 21 Days 28 Days Overall period<br />
2450 0.65±0.08 1.77±0.09 2.94±0.16 3.91±0.20 0.1564±0.003<br />
2455 0.55±0.06 1.28±0.13 2.29±0.12 3.31±0.13 0.1329±0.003<br />
2456 0.94±0.08 2.00±0.08 3.48±0.45 4.87±0.62 0.1898±0.008<br />
2457 0.95±0.12 2.24±0.30 3.63±0.41 4.87±0.59 0.1877±0.008<br />
2458 1.36±0.05 2.68±0.10 3.91±0.15 4.86±0.12 0.1677±0.003<br />
2459 0.38±0.04 1.03±0.10 1.73±0.10 2.28±0.15 0.0915±0.002<br />
2461 0.55±0.04 1.44±0.07 2.21±0.16 3.00±0.15 0.1162±0.002<br />
2462 1.19±0.07 2.81±0.06 3.92±0.09 5.17±0.11 0.1866±0.003<br />
2464 0.48±0.04 1.36±0.07 2.59±0.09 3.73±0.11 0.1567±0.002<br />
2465 0.55±0.09 1.68±0.18 2.75±0.11 3.91±0.20 0.1592±0.003<br />
2466 0.91±0.04 2.15±0.05 3.28±0.22 4.13±0.26 0.1541±0.004<br />
2475 0.48±0.08 1.48±0.09 2.62±0.10 3.44±0.29 0.1431±0.004<br />
2476 0.65±0.08 1.84±0.09 2.83±0.16 3.67±0.43 0.1435±0.005<br />
2477 0.68±0.04 2.04±0.09 3.38±0.10 4.41±0.20 0.1789±0.003<br />
2479 1.17±0.06 2.62±0.07 3.58±0.05 4.80±0.11 0.1695±0.003<br />
2480 0.51±0.07 1.35±0.12 3.03±0.15 4.15±0.15 0.1800±0.004<br />
2482 0.48±0.06 1.36±0.11 2.45±0.32 3.72±0.36 0.1542±0.005<br />
2485 0.91±0.08 2.25±0.12 3.19±0.10 4.58±0.15 0.1707±0.003<br />
2487 0.51±0.04 1.10±0.05 2.22±0.07 2.73±0.07 0.1112±0.003<br />
2490 0.61±0.09 1.65±0.29 2.43±0.31 3.61±0.38 0.1399±0.006<br />
2493 0.49±0.05 1.13±0.09 1.90±0.21 2.68±0.34 0.1046±0.004<br />
2494 0.79±0.07 2.04±0.13 3.31±0.17 4.20±0.20 0.1642±0.005<br />
2497 0.82±0.05 2.16±0.14 3.56±0.19 4.91±0.25 0.1955±0.003<br />
2502 0.55±0.13 1.35±0.12 1.94±0.13 2.58±0.23 0.0954±0.003<br />
2505 0.62±0.04 1.51±0.04 2.50±0.06 3.11±0.11 0.1208±0.002<br />
2507 0.60±0.08 1.81±0.07 3.04±0.12 4.42±0.14 0.1812±0.002<br />
2509 0.47±0.06 1.39±0.12 2.20±0.16 3.07±0.22 0.1230±0.003<br />
2510 0.77±0.06 2.09±0.09 3.08±0.10 4.32±0.31 0.1660±0.004<br />
2513 0.68±0.06 2.16±0.10 3.29±0.12 4.49±0.16 0.1793±0.003<br />
127
ตารางผนวกที่<br />
ก1 (ตอ)<br />
Isolates Colony diameter (Mean±SD) Growth rate<br />
7 Days 14 Days 21 Days 28 Days Overall period<br />
2515 0.53±0.17 1.27±0.12 2.22±0.12 2.67±0.18 0.1050±0.004<br />
2519 0.24±0.06 0.97±0.05 1.68±0.09 2.17±0.08 0.0929±0.002<br />
2524 0.81±0.12 1.89±0.23 3.11±0.17 3.90±0.18 0.1500±0.004<br />
2527 0.43±0.06 1.35±0.07 2.56±0.17 3.35±0.09 0.1424±0.003<br />
2528 0.61±0.09 1.46±0.13 2.55±0.16 3.40±0.14 0.1354±0.003<br />
2532 0.72±0.03 2.03±0.06 3.41±0.06 4.35±0.11 0.1751±0.003<br />
2533 0.50±0.05 1.24±0.10 2.03±0.19 3.10±0.26 0.1226±0.004<br />
2534 0.24±0.06 0.91±0.07 1.52±0.11 1.90±0.11 0.0798±0.002<br />
2535 0.67±0.07 1.72±0.12 2.35±0.13 3.29±0.18 0.1212±0.003<br />
2538 0.50±0.05 1.22±0.12 2.04±0.19 3.10±0.26 0.1231±0.004<br />
2540 0.13±0.05 0.69±0.06 1.11±0.03 1.43±0.08 0.0619±0.002<br />
2542 0.48±0.06 1.34±0.16 2.59±0.39 3.87±0.53 0.1632±0.007<br />
2544 0.54±0.07 1.17±0.11 1.97±0.09 2.49±0.15 0.0950±0.002<br />
2545 0.59±0.09 1.49±0.06 2.53±0.08 3.45±0.11 0.1376±0.002<br />
2551 0.17±0.05 0.81±0.06 1.47±0.07 2.24±0.09 0.0981±0.002<br />
2555 0.58±0.05 1.19±0.11 2.22±0.17 2.77±0.21 0.1087±0.004<br />
2557 0.95±0.06 2.19±0.12 3.37±0.13 4.47±0.15 0.1674±0.003<br />
2559 0.47±0.05 1.10±0.06 1.70±0.10 2.36±0.13 0.0898±0.002<br />
2560 1.27±0.08 2.99±0.08 4.37±0.14 4.91±0.27 0.1756±0.007<br />
2562 0.85±0.07 2.34±0.08 3.45±0.13 4.12±0.34 0.1557±0.006<br />
2563 0.43±0.05 1.67±0.12 2.85±0.15 3.25±0.29 0.1377±0.006<br />
2565 0.48±0.09 1.26±0.13 2.31±0.16 3.16±0.38 0.1296±0.004<br />
2566 0.78±0.08 2.10±0.14 3.72±0.20 5.32±0.26 0.2176±0.004<br />
2568 1.06±0.08 2.24±0.07 3.24±0.13 4.43±0.16 0.1585±0.002<br />
2569 0.53±0.03 1.42±0.11 2.37±0.19 3.46±0.16 0.1390±0.003<br />
2573 0.86±0.04 2.19±0.11 3.36±0.09 4.71±0.15 0.1819±0.002<br />
2575 0.31±0.06 1.18±0.14 2.20±0.17 3.14±0.22 0.1356±0.003<br />
2576 0.76±0.07 2.13±0.09 3.42±0.11 5.21±0.15 0.2091±0.003<br />
128
ตารางผนวกที่<br />
ก2 Characteristics of H. thompsonii (114 isolates) cultured on malt extract<br />
agar plates at 27±1 o C, 65±3% RH for 4 weeks<br />
Isolates Color of colony Synnemata Colony Holoblastic Clear zone Water drop<br />
2191 gray No moderate No Yes Yes<br />
2196 gray No moderate Yes No Yes<br />
2198 yellowish gray No elevate No Yes Yes<br />
2201 yellowish white No flat Yes No Yes<br />
2203 yellowish white No moderate Yes Yes Yes<br />
2204 greenish gray No moderate Yes No Yes<br />
2205 yellowish gray No moderate Yes No No<br />
2206 yellowish white No flat Yes No No<br />
2208 yellowish gray No elevate No Yes Yes<br />
2209 white No flat No No No<br />
2210 yellowish white No flat Yes No No<br />
2212 yellowish gray No flat No No Yes<br />
2214 white Yes moderate Yes No Yes<br />
2215 Orange white No elevate Yes No No<br />
2217 Orange white Yes flat No Yes Yes<br />
2219 white No elevate Yes Yes Yes<br />
2220 greenish white No flat Yes No No<br />
2222 greenish gray No moderate No Yes No<br />
2223 greenish gray No moderate Yes No Yes<br />
2229 white No flat Yes No No<br />
2230 greenish white No moderate Yes No Yes<br />
2233 greenish gray No moderate Yes No No<br />
2241 yellowish gray Yes moderate No Yes No<br />
2242 yellowish gray Yes elevate No Yes No<br />
2246 greenish gray Yes flat Yes No No<br />
2247 yellowish gray No flat No Yes Yes<br />
2259 gray No moderate Yes Yes Yes<br />
2262 yellowish white Yes elevate Yes No No<br />
2271 yellowish white Yes flat No Yes Yes<br />
2278 gray No moderate No Yes No<br />
129
ตารางผนวกที่<br />
ก2 (ตอ)<br />
Isolates Color of colony Synnemata Colony Holoblastic Clear zone Water drop<br />
2280 yellowish gray No moderate No Yes Yes<br />
2282 greenish gray No moderate No No Yes<br />
2283 greenish gray No moderate No Yes Yes<br />
2284 yellowish white No moderate Yes Yes No<br />
2286 greenish gray Yes moderate Yes No Yes<br />
2291 greenish white No moderate No No Yes<br />
2293 Orange white No moderate Yes Yes No<br />
2294 white Yes flat Yes No No<br />
2295 yellowish gray No elevate Yes Yes No<br />
2296 gray Yes moderate No Yes No<br />
2300 greenish gray No moderate No Yes Yes<br />
2301 white No flat Yes No Yes<br />
2392 white No flat Yes No No<br />
2397 yellowish white Yes flat Yes No Yes<br />
2398 greenish gray No flat Yes No Yes<br />
2399 yellowish white No flat No No No<br />
2405 yellowish white Yes flat No No No<br />
2409 yellowish white No moderate Yes No Yes<br />
2425 white No elevate Yes No No<br />
2428 white No flat No No No<br />
2429 greenish gray Yes moderate No No Yes<br />
2430 gray Yes flat No No No<br />
2436 yellowish white Yes moderate Yes Yes Yes<br />
2437 Orange white Yes elevate Yes No No<br />
2438 gray No elevate No No No<br />
2443 Orange white No flat Yes No No<br />
2444 white No flat No No No<br />
2450 Orange white No flat No No No<br />
2455 yellowish gray Yes moderate No Yes Yes<br />
2456 white Yes flat Yes No No<br />
2457 Orange white Yes moderate No No No<br />
130
ตารางผนวกที่<br />
ก2 (ตอ)<br />
Isolates Color of colony Synnemata Colony Holoblastic Clear zone Water drop<br />
2458 Orange white Yes flat Yes Yes No<br />
2459 greenish white No elevate No No No<br />
2461 yellowish gray Yes moderate Yes Yes No<br />
2462 yellowish white Yes flat No Yes No<br />
2464 yellowish white No elevate Yes Yes Yes<br />
2465 white No flat Yes No No<br />
2466 yellowish white Yes flat Yes Yes No<br />
2475 Orange white No flat Yes No No<br />
2476 Orange white No flat No No No<br />
2477 yellowish white No flat No No No<br />
2479 yellowish gray Yes moderate No Yes Yes<br />
2480 yellowish white No moderate No No Yes<br />
2482 yellowish white No moderate Yes Yes Yes<br />
2485 gray No moderate No Yes No<br />
2487 greenish gray No moderate No No No<br />
2490 white No flat No No Yes<br />
2493 greenish gray No elevate Yes No Yes<br />
2494 yellowish white Yes moderate No Yes No<br />
2497 yellowish white No flat No No No<br />
2502 greenish gray No elevate No No No<br />
2505 yellowish gray Yes elevate No Yes No<br />
2507 yellowish white Yes flat No Yes Yes<br />
2509 gray Yes elevate No Yes No<br />
2510 greenish gray Yes moderate Yes Yes Yes<br />
2513 white Yes moderate No No No<br />
2515 white No elevate Yes No No<br />
2519 white Yes elevate Yes Yes Yes<br />
2524 yellowish gray No flat No No No<br />
2527 yellowish gray No moderate No Yes Yes<br />
2528 white No moderate No No No<br />
2532 Orange white No flat Yes No No<br />
131
ตารางผนวกที่<br />
ก2 (ตอ)<br />
Isolates Color of colony Synnemata Colony Holoblastic Clear zone Water drop<br />
2533 greenish white No moderate No No Yes<br />
2534 white No moderate Yes No No<br />
2535 white Yes moderate No No No<br />
2538 gray No elevate No Yes Yes<br />
2540 yellowish gray Yes elevate Yes No No<br />
2542 white No flat No No No<br />
2544 gray No moderate No No Yes<br />
2545 Orange white No moderate Yes Yes No<br />
2551 greenish white No moderate Yes Yes Yes<br />
2555 gray No moderate No No No<br />
2557 yellowish white Yes flat Yes Yes No<br />
2559 gray No moderate No No Yes<br />
2560 gray No flat No Yes No<br />
2562 white No moderate Yes No No<br />
2563 white No moderate Yes No No<br />
2565 greenish white No flat Yes No Yes<br />
2566 yellowish white Yes flat Yes Yes No<br />
2568 yellowish white Yes flat Yes Yes No<br />
2569 greenish white Yes moderate Yes Yes Yes<br />
2573 Orange white Yes flat Yes Yes No<br />
2575 greenish gray Yes moderate Yes No No<br />
2576 yellowish gray No flat Yes Yes No<br />
132
ตารางผนวกที่<br />
ก3 Area of colony, number of conidia from direct count and plate count of<br />
H. thompsonii (114 isolates) cultured on malt extract agar plate at<br />
27±1 o C, 65±3% RH for 10 days<br />
Isolates Area of colony Direct count Viable plate count<br />
(Mean±SD) 104 conidia/ml 104 conidia/1cm2 104 CFU/ml 104 CFU/1cm2 2191 0.43±0.09 19.17±16.07 41.84±28.53 6.67±4.56 16.21±10.46<br />
2196 0.45±0.11 56.67±48.76 115.91±73.17 49.17±36.38 102.55±52.14<br />
2198 0.45±0.10 10.83±3.82 24.12±5.14 7.83±3.74 16.85±5.40<br />
2201 0.48±0.09 9.17±2.89 18.82±3.60 10.43±6.96 21.22±11.74<br />
2203 0.33±0.05 20.83±12.33 60.51±27.37 19.67±8.52 57.65±17.16<br />
2204 1.07±0.14 57.50±48.69 50.45±36.64 45.37±45.71 39.28±35.29<br />
2205 0.21±0.02 0.67±0.29 3.10±0.96 0.90±0.40 4.20±1.50<br />
2206 0.87±0.08 4.67±3.40 5.18±3.35 5.83±2.90 6.56±2.85<br />
2208 0.59±0.08 10.83±4.16 18.08±5.45 11.50±3.18 19.28±3.59<br />
2209 0.62±0.15 10.83±5.20 17.03±6.30 6.13±3.65 9.41±4.06<br />
2210 0.84±0.05 1.83±0.76 2.16±0.82 1.73±0.29 2.06±0.24<br />
2212 1.11±0.20 13.33±10.21 11.27±6.66 7.33±6.60 6.11±4.48<br />
2214 1.40±0.06 7.00±1.32 5.00±0.81 12.87±6.55 9.13±4.41<br />
2215 1.69±0.18 26.00±3.04 15.37±1.12 15.67±4.57 9.18±2.17<br />
2217 1.36±0.12 112.50±47.85 81.19±29.82 90.67±32.08 65.68±19.22<br />
2219 0.26±0.07 1.17±0.76 4.26±1.74 1.83±1.19 6.74±2.53<br />
2220 1.29±0.49 229.83±37.12 191.68±60.15 218.17±30.17 181.70±53.15<br />
2222 0.87±0.08 8.83±2.57 10.20±2.85 7.83±1.59 9.01±1.35<br />
2223 0.53±0.10 5.83±1.44 11.02±0.96 6.07±2.01 11.46±2.69<br />
2229 1.10±0.05 17.00±8.67 15.22±7.35 36.70±26.98 32.63±23.57<br />
2230 0.22±0.08 5.50±3.97 22.50±12.60 7.03±7.13 27.52±22.90<br />
2233 0.81±0.12 35.83±9.57 43.48±5.17 36.67±9.07 44.61±4.21<br />
2241 0.79±0.08 12.17±7.01 14.97±7.49 12.90±7.65 15.93±7.92<br />
2242 0.84±0.17 22.83±7.42 26.63±3.29 12.60±8.10 16.39±11.35<br />
2246 0.87±0.08 18.50±13.61 20.51±14.50 18.17±13.35 20.10±13.52<br />
133
ตารางผนวกที่<br />
ก3 (ตอ)<br />
Isolates Area of colony Direct count Viable plate count<br />
(Mean±SD) 10 4 conidia/ml 10 4 conidia/1cm 2 10 4 CFU/ml 10 4 CFU/1cm 2<br />
2247 0.61±0.08 8.33±3.82 13.22±4.41 9.07±5.82 14.14±7.14<br />
2259 1.33±0.18 25.00±10.90 18.31±5.34 17.73±10.76 12.83±6.17<br />
2262 0.66±0.08 3.67±3.40 5.29±4.67 4.10±2.65 6.00±3.48<br />
2271 1.17±0.15 33.17±12.58 27.87±7.17 34.17±9.36 28.96±4.50<br />
2278 0.79±0.08 3.83±4.48 4.57±5.05 4.30±5.15 5.11±5.83<br />
2280 1.30±0.96 16.67±9.46 13.82±2.26 24.50±13.81 20.58±7.54<br />
2282 0.46±0.04 8.33±5.77 17.50±10.70 7.70±3.25 16.43±5.89<br />
2283 0.28±0.05 12.50±2.50 43.84±1.59 13.97±5.74 47.93±14.67<br />
2284 1.69±0.24 9.00±4.27 5.14±1.88 8.27±7.15 4.75±3.95<br />
2286 0.43±0.13 6.00±3.77 12.97±5.91 6.47±3.08 14.42±3.58<br />
2291 0.84±0.10 1.17±0.76 1.34±0.74 1.87±1.42 2.12±1.37<br />
2293 0.28±0.05 2.17±1.76 7.08±4.98 2.87±2.67 9.24±7.76<br />
2294 1.69±0.07 3.33±0.58 1.97±0.26 2.73±1.64 1.59±0.89<br />
2295 0.43±0.09 12.83±1.53 30.60±3.53 11.43±2.15 27.02±2.16<br />
2296 0.13±0.05 1.67±1.04 11.79±4.38 2.40±1.15 18.24±3.33<br />
2300 0.95±0.09 8.33±1.44 8.73±0.87 7.00±6.54 7.07±6.05<br />
2301 1.08±0.26 5.67±4.54 4.69±3.57 5.33±4.17 4.47±3.20<br />
2392 1.47±0.17 78.83±81.19 50.25±46.99 64.23±77.55 40.31±45.87<br />
2397 1.27±0.20 103.83±46.47 80.33±25.58 106.67±42.44 82.59±21.68<br />
2398 0.87±0.42 7.00±5.77 7.02±3.58 12.33±11.02 12.57±5.46<br />
2399 1.34±0.28 46.33±37.67 31.96±20.01 44.20±41.52 29.96±22.62<br />
2405 1.04±0.09 12.00±4.50 11.35±3.35 7.97±3.35 7.53±2.52<br />
2409 0.33±0.05 1.00±0.50 2.90±1.06 1.40±0.66 4.08±1.41<br />
2425 0.62±0.15 0.67±0.58 0.94±0.81 0.87±0.55 1.31±0.65<br />
2428 0.74±0.12 35.17±28.15 44.59±29.51 32.83±31.43 40.93±34.17<br />
2429 1.20±0.24 20.00±10.90 16.03±5.80 16.67±5.51 13.72±2.33<br />
2430 1.02±0.22 11.67±8.28 10.58±6.17 9.83±5.30 9.20±3.27<br />
134
ตารางผนวกที่<br />
ก3 (ตอ)<br />
Isolates Area of colony Direct count Viable plate count<br />
(Mean±SD) 10 4 conidia/ml 10 4 conidia/1cm 2 10 4 CFU/ml 10 4 CFU/1cm 2<br />
2436 1.04±0.18 16.67±6.66 15.59±4.62 14.17±6.47 13.12±4.30<br />
2437 0.74±0.19 11.17±6.60 14.19±6.19 31.67±18.23 40.35±16.64<br />
2438 0.39±0.11 12.67±2.36 33.10±3.69 7.30±2.52 18.46±1.95<br />
2443 0.76±0.12 24.33±10.68 30.98±10.64 26.73±18.42 33.03±20.88<br />
2444 0.52±0.04 5.33±2.02 10.04±3.13 4.07±1.81 7.64±2.90<br />
2450 1.17±0.24 14.67±8.81 11.85±4.97 14.07±9.85 11.22±5.73<br />
2455 0.84±0.17 30.33±17.75 34.23±14.84 22.93±16.19 25.43±14.02<br />
2456 1.09±0.36 15.83±8.62 13.69±3.94 23.87±20.66 19.64±11.68<br />
2457 1.78±0.79 63.67±67.51 29.98±19.83 67.33±74.33 31.28±22.47<br />
2458 3.46±0.16 17.83±5.03 5.11±1.22 37.00±5.09 10.65±0.96<br />
2459 0.34±0.10 3.00±1.32 8.64±2.15 2.90±1.77 8.01±3.31<br />
2461 0.72±0.20 5.50±1.73 7.63±0.48 2.70±0.40 3.88±0.78<br />
2462 2.99±0.15 12.83±2.02 4.29±0.56 12.27±4.14 4.08±1.19<br />
2464 0.69±0.18 27.00±21.93 37.76±30.00 27.97±25.98 39.09±36.11<br />
2465 0.69±0.09 0.67±0.29 0.95±0.28 0.90±0.53 1.27±0.58<br />
2466 1.73±0.07 18.33±9.65 10.48±5.29 19.20±12.25 10.95±6.80<br />
2475 0.84±0.17 15.00±4.33 17.75±4.16 8.10±1.05 9.81±2.01<br />
2476 0.95±0.09 60.17±31.15 61.69±26.57 76.33±35.08 78.42±30.14<br />
2477 1.34±0.31 41.67±22.55 29.59±10.07 38.07±15.71 27.69±5.17<br />
2479 2.23±0.08 11.00±3.50 4.91±1.43 8.40±4.42 3.73±1.90<br />
2480 0.62±0.17 10.00±7.50 14.56±8.37 11.47±7.06 17.69±6.55<br />
2482 0.51±0.11 10.00±2.50 19.76±2.83 16.07±7.49 30.72±7.71<br />
2485 1.81±0.14 12.17±4.25 6.65±1.97 22.30±9.11 12.15±4.33<br />
2487 0.55±0.08 37.33±6.81 68.02±3.81 36.67±7.29 66.70±4.04<br />
2490 0.64±0.07 18.33±3.82 28.57±2.81 8.83±4.77 13.47±5.83<br />
2493 0.42±0.03 9.33±2.75 22.02±5.76 10.27±7.25 24.24±16.22<br />
2494 1.19±0.06 41.00±7.40 34.17±4.74 40.97±5.67 34.25±3.98<br />
135
ตารางผนวกที่<br />
ก3 (ตอ)<br />
Isolates Area of colony Direct count Viable plate count<br />
(Mean±SD) 10 4 conidia/ml 10 4 conidia/1cm 2 10 4 CFU/ml 10 4 CFU/1cm 2<br />
2497 1.23±0.10 23.33±13.60 18.55±9.39 17.50±12.32 13.82±8.72<br />
2502 0.50±0.06 37.50±19.05 72.53±28.24 20.90±8.17 40.91±11.83<br />
2505 0.69±0.09 18.83±8.89 26.72±9.06 15.03±8.55 21.16±9.16<br />
2507 0.82±0.16 12.50±2.50 15.32±0.76 11.23±7.35 13.00±6.54<br />
2509 0.48±0.09 24.00±3.91 49.96±6.06 14.90±4.08 30.55±3.76<br />
2510 1.01±0.10 13.33±1.44 13.19±0.06 11.63±4.87 11.29±3.58<br />
2513 1.20±0.15 22.33±9.25 18.20±5.61 19.67±9.68 15.91±6.30<br />
2515 0.67±0.15 37.33±21.99 53.43±21.96 39.67±25.32 56.18±26.41<br />
2519 0.26±0.07 0.67±0.29 2.56±0.45 0.90±0.46 3.47±1.18<br />
2524 1.23±0.10 25.00±14.08 19.84±10.17 17.77±12.89 13.96±9.49<br />
2527 0.62±0.10 8.33±3.82 13.13±4.01 8.00±1.80 12.95±1.16<br />
2528 1.07±0.10 0.50±0.50 0.44±0.44 0.73±0.50 0.66±0.43<br />
2532 1.39±0.45 26.17±28.62 17.04±16.19 25.77±23.44 16.87±12.77<br />
2533 0.62±0.10 4.83±3.33 7.36±4.66 5.13±2.06 8.10±2.19<br />
2534 0.76±0.09 1.17±0.29 1.52±0.19 1.03±0.21 1.36±0.21<br />
2535 0.88±0.25 10.67±5.13 11.66±3.31 10.33±5.51 11.23±4.48<br />
2538 0.52±0.04 11.50±10.48 21.14±18.00 8.43±7.41 15.50±12.57<br />
2540 0.24±0.04 1.50±1.00 5.90±3.17 2.17±0.85 8.83±2.03<br />
2542 0.57±0.12 7.17±2.25 12.43±2.16 8.10±1.77 14.25±2.24<br />
2544 0.55±0.16 22.50±19.84 36.48±23.66 14.50±13.99 23.27±17.18<br />
2545 0.90±0.17 81.83±41.39 86.92±32.71 53.33±30.50 56.37±24.22<br />
2551 0.09±0.01 5.67±2.25 63.29±17.63 3.70±1.67 41.22±13.98<br />
2555 0.57±0.13 22.50±10.90 38.06±9.93 19.60±9.92 32.81±9.27<br />
2557 1.81±0.07 32.83±13.38 18.04±6.86 23.33±9.22 12.81±4.57<br />
2559 0.41±0.09 14.17±13.77 31.77±24.66 8.50±8.41 19.20±15.48<br />
2560 3.52±0.26 163.50±61.86 45.76±13.88 139.40±49.35 39.07±10.86<br />
2562 1.77±0.12 1.00±1.00 0.54±0.53 5.90±4.99 3.32±2.82<br />
136
ตารางผนวกที่<br />
ก3 (ตอ)<br />
Isolates Area of colony Direct count Viable plate count<br />
(Mean±SD) 10 4 conidia/ml 10 4 conidia/1cm 2 10 4 CFU/ml 10 4 CFU/1cm 2<br />
2563 0.66±0.04 22.33±7.29 33.47±8.73 23.20±8.67 34.69±10.54<br />
2565 0.32±0.11 12.17±2.57 38.91±4.35 10.43±1.69 33.70±5.23<br />
2566 1.07±0.14 28.33±9.07 26.01±4.96 29.60±13.88 26.82±9.15<br />
2568 2.23±0.08 15.50±6.14 6.91±2.58 17.33±7.32 7.73±3.09<br />
2569 0.96±0.17 91.33±29.41 93.94±16.29 79.33±51.73 78.54±38.27<br />
2573 1.62±0.17 78.50±23.57 48.07±10.14 72.40±35.65 44.02±17.91<br />
2575 0.49±0.15 9.00±3.50 18.32±2.97 6.90±4.78 13.30±5.51<br />
2576 1.19±0.06 20.00±2.50 16.70±1.47 15.70±2.46 13.11±1.64<br />
137
ตารางผนวกที่<br />
ก4 Parameters (mean±SD) of H. thompsonii (114 isolates) cultured on slide<br />
at 27±1 o C, 65±3% RH for 6 days<br />
Isolates Length between phialide Phialide length Conidia (µm)<br />
(µm) (µm) Width Length<br />
2191 33.21±10.75 8.90±0.85 2.49±0.37 2.69±0.33<br />
2196 31.89±19.09 11.15±1.46 2.90±0.11 3.12±0.20<br />
2198 27.99±11.66 9.20±0.83 2.81±0.36 3.00±0.34<br />
2201 60.10±17.85 9.00±0.79 2.78±0.22 2.93±0.22<br />
2203 32.44±13.36 8.90±0.97 2.83±0.26 3.02±0.18<br />
2204 31.24±14.98 9.85±0.99 2.69±0.39 2.69±0.39<br />
2205 38.40±26.00 20.05±4.73 2.48±0.35 2.67±0.33<br />
2206 37.37±12.83 9.75±1.94 2.67±0.32 2.90±0.26<br />
2208 61.61±20.21 10.00±1.30 2.51±0.44 2.63±0.46<br />
2209 54.19±10.65 8.25±0.97 2.31±0.30 2.39±0.36<br />
2210 35.06±16.42 11.05±1.88 2.49±0.49 2.71±0.33<br />
2212 38.80±13.88 10.35±2.28 3.46±0.35 3.54±0.30<br />
2214 43.09±20.52 16.95±4.44 2.77±0.24 2.75±0.57<br />
2215 36.59±19.58 15.95±2.63 2.29±0.25 2.38±0.29<br />
2217 36.55±22.64 8.80±0.77 2.28±0.25 2.34±0.28<br />
2219 45.04±20.21 10.60±2.09 2.51±0.30 2.85±0.32<br />
2220 34.60±11.54 8.80±1.20 2.34±0.40 2.63±0.43<br />
2222 38.87±17.54 9.95±0.83 2.69±0.33 2.73±0.32<br />
2223 37.32±11.97 9.50±1.24 2.90±0.26 2.94±0.63<br />
2229 38.33±22.85 12.25±2.05 2.86±0.25 2.96±0.62<br />
2230 48.27±27.21 9.45±1.39 2.49±0.32 2.57±0.39<br />
2233 39.03±24.09 12.85±3.56 3.26±0.22 3.30±0.23<br />
2241 58.97±17.40 10.60±2.11 2.57±0.54 2.70±0.54<br />
2242 39.03±19.46 9.85±1.27 2.72±0.31 2.94±0.33<br />
2246 48.45±17.28 8.30±1.13 2.15±0.22 2.27±0.22<br />
2247 54.73±13.36 8.80±0.95 3.62±0.40 3.73±0.36<br />
138
ตารางผนวกที่<br />
ก4 (ตอ)<br />
Isolates Length between phialide Phialide length Conidia (µm)<br />
(µm) (µm) Width Length<br />
2259 43.76±25.03 14.20±2.59 2.30±0.25 2.38±0.27<br />
2262 29.92±16.17 12.50±1.67 2.79±0.37 2.88±0.34<br />
2271 30.33±13.88 10.40±1.47 2.16±0.24 2.27±0.30<br />
2278 45.61±16.92 9.30±1.17 3.04±0.21 3.12±0.21<br />
2280 68.13±17.87 8.70±1.30 3.01±0.17 3.13±0.21<br />
2282 31.08±16.55 9.10±1.12 2.76±0.29 2.87±0.25<br />
2283 47.15±24.56 8.60±1.19 2.84±0.26 3.01±0.29<br />
2284 32.40±17.90 9.25±2.55 3.79±0.19 3.88±0.21<br />
2286 68.19±23.73 13.60±3.28 2.83±0.40 2.91±0.32<br />
2291 53.45±14.50 13.60±2.66 2.88±0.30 3.06±0.28<br />
2293 22.73±10.43 8.95±1.23 3.05±0.48 3.22±0.50<br />
2294 36.45±24.86 14.00±3.45 3.89±0.56 4.27±0.41<br />
2295 39.34±19.88 8.95±1.19 3.26±0.28 3.36±0.32<br />
2296 51.49±17.50 8.80±0.77 2.95±0.29 3.12±0.24<br />
2300 62.35±17.54 9.65±1.50 2.19±0.40 2.30±0.46<br />
2301 30.66±18.71 14.30±2.74 2.60±0.36 2.67±0.60<br />
2392 40.01±14.96 10.45±1.67 3.60±0.39 3.74±0.33<br />
2397 39.91±15.22 11.65±2.35 3.05±0.29 3.15±0.36<br />
2398 62.53±26.18 13.55±2.70 2.95±0.18 3.06±0.17<br />
2399 35.58±21.78 9.55±1.05 3.41±0.41 3.73±0.34<br />
2405 32.31±14.44 8.70±0.80 2.74±0.32 2.90±0.26<br />
2409 30.80±19.34 10.85±1.39 2.55±0.35 2.62±0.61<br />
2425 62.99±27.68 11.60±1.43 2.36±0.24 2.40±0.25<br />
2428 34.02±15.97 9.25±1.29 2.55±0.34 2.82±0.39<br />
2429 49.58±16.55 8.80±1.47 2.32±0.30 2.54±0.37<br />
2430 34.98±13.03 10.00±1.12 2.24±0.24 2.31±0.30<br />
2436 49.57±16.23 10.60±2.68 2.82±0.24 2.90±0.25<br />
139
ตารางผนวกที่<br />
ก4 (ตอ)<br />
Isolates Length between phialide Phialide length Conidia (µm)<br />
(µm) (µm) Width Length<br />
2437 45.38±18.18 9.40±1.85 2.58±0.40 2.74±0.42<br />
2438 44.27±15.28 9.95±1.64 2.83±0.44 2.95±0.50<br />
2443 37.52±17.25 10.25±1.89 2.48±0.28 2.69±0.32<br />
2444 43.44±19.14 11.65±2.94 3.25±0.43 3.35±0.46<br />
2450 40.50±14.95 9.45±1.36 3.21±0.63 3.40±0.59<br />
2455 40.09±14.28 8.95±0.83 2.20±0.24 2.33±0.26<br />
2456 21.53±8.01 8.90±0.91 3.15±0.39 3.40±0.43<br />
2457 22.07±7.93 8.43±1.37 2.83±0.40 3.12±0.44<br />
2458 35.53 ±18.46 11.05±1.43 2.97±0.18 3.03±0.63<br />
2459 40.49±20.12 8.35±1.04 2.86±0.22 2.91±0.19<br />
2461 56.32±13.35 9.25±1.16 3.59±0.36 3.65±0.38<br />
2462 36.20±18.77 10.80±1.28 2.87±0.25 3.07±0.20<br />
2464 24.44±10.98 11.60±3.14 3.30±0.33 3.47±0.33<br />
2465 36.79±11.80 8.35±1.23 3.42±0.43 3.69±0.39<br />
2466 37.34±23.13 11.35±2.48 2.80±0.45 3.03±0.43<br />
2475 48.33±21.95 9.90±1.83 2.90±0.44 3.12±0.42<br />
2476 35.90±12.90 10.50±1.79 2.67±0.29 2.88±0.31<br />
2477 46.84±16.38 12.00±1.97 3.51±0.35 3.68±0.24<br />
2479 42.28±18.87 13.15±1.81 3.59±0.38 3.74±0.50<br />
2480 54.86±10.83 9.20±1.15 2.91±0.35 3.07±0.34<br />
2482 33.88±16.66 8.60±0.99 2.91±0.30 3.21±0.31<br />
2485 50.99±18.18 9.10±2.65 2.57±0.30 2.68±0.31<br />
2487 39.45±13.54 8.45±1.19 2.80±0.41 2.99±0.38<br />
2490 45.25±15.91 8.35±1.42 2.87±0.61 3.67±0.59<br />
2493 16.45±7.74 9.68±1.10 2.65±0.28 2.96±0.33<br />
2494 38.27±14.96 10.40±1.64 2.95±0.28 2.97±0.56<br />
2497 35.38±16.05 8.70±0.85 2.21±0.31 2.41±0.28<br />
2502 43.54±14.34 8.70±1.45 2.71±0.34 2.81±0.28<br />
140
ตารางผนวกที่<br />
ก4 (ตอ)<br />
Isolates Length between phialide Phialide length Conidia (µm)<br />
(µm) (µm) Width Length<br />
2505 56.10±17.37 10.45±2.86 2.60±0.37 2.67±0.66<br />
2507 36.32±15.11 8.85±0.81 2.80±0.21 2.91±0.30<br />
2509 47.58±11.86 8.40±0.99 2.61±0.23 2.76±0.28<br />
2510 31.91±13.70 8.15±0.81 2.65±0.29 2.78±0.24<br />
2513 31.67±12.41 9.05±1.36 3.18±0.40 3.35±0.41<br />
2515 22.10±8.39 11.30±2.00 2.21±0.19 2.39±0.24<br />
2519 70.32±27.46 9.45±1.19 2.03±0.16 2.11±0.20<br />
2524 30.45±13.01 9.45±1.19 2.52±0.34 2.82±0.27<br />
2527 58.94±11.61 11.80±2.21 2.81±0.33 3.12±0.43<br />
2528 43.73±19.86 11.85±3.99 2.70±0.23 2.80±0.26<br />
2532 39.96±17.37 10.15±1.66 2.44±0.32 2.70±0.42<br />
2533 53.86±14.76 9.95±1.64 2.29±0.27 2.39±0.31<br />
2534 37.64±20.85 11.90±2.31 2.21±0.21 2.27±0.24<br />
2535 33.42±8.54 9.60±1.10 2.63±0.33 2.82±0.29<br />
2538 43.34±14.28 9.45±0.89 2.85±0.20 3.05±0.22<br />
2540 47.77±20.55 16.75±2.61 2.96±0.33 3.16±0.29<br />
2542 30.93±13.20 9.05±1.39 2.81±0.21 3.01±0.23<br />
2544 37.92±12.71 9.50±1.93 2.97±0.54 3.12±0.55<br />
2545 43.82±19.19 8.20±1.15 2.91±0.30 3.04±0.32<br />
2551 26.05±10.34 13.35±2.76 2.69±0.28 2.79±0.55<br />
2555 51.68±15.36 8.70±0.98 2.64±0.36 2.76±0.31<br />
2557 48.14±29.28 12.80±2.38 2.67±0.21 2.92±0.26<br />
2559 30.85±13.63 9.85±1.50 2.76±0.20 3.01±0.14<br />
2560 49.19±19.20 9.50±1.05 2.45±0.42 2.56±0.46<br />
2562 49.82±12.14 12.00±3.11 2.25±0.45 2.26±0.33<br />
2563 30.31±13.93 14.25±2.02 3.88±0.43 4.18±0.42<br />
2565 55.34±23.30 10.60±1.70 2.24±0.32 2.42±0.34<br />
2566 55.01±30.40 14.80±3.05 2.88±0.48 3.14±0.57<br />
141
ตารางผนวกที่<br />
ก4 (ตอ)<br />
Isolates Length between phialide Phialide length Conidia (µm)<br />
(µm) (µm) Width Length<br />
2568 43.34±15.14 8.90±0.79 3.08±0.26 3.18±0.27<br />
2569 59.69±32.83 9.00±0.92 2.75±0.32 2.95±0.17<br />
2573 31.00±13.59 10.70±1.87 2.86±0.30 3.10±0.24<br />
2575 43.94±22.26 20.20±10.98 2.73±0.28 2.83±0.26<br />
2576 47.74±17.84 9.05±0.76 2.58±0.37 2.69±0.35<br />
142
ตารางผนวกที่<br />
ก5 Dry weight of fungal biomass and pH of malt extract broth after each<br />
H. thompsonii (114 isolates) was cultured at 27±1 o C, 65±3% RH for<br />
4 days<br />
Isolates Dry weight pH Isolates Dry weight pH<br />
2191 0.61 8.00 2259 0.60 7.70<br />
2196 0.74 8.40 2262 0.84 8.50<br />
2198 0.59 8.40 2271 0.78 7.60<br />
2201 0.58 8.10 2278 0.76 7.70<br />
2203 0.75 8.00 2280 0.74 7.50<br />
2204 0.71 7.90 2282 0.64 7.90<br />
2205 0.76 8.00 2283 0.66 8.30<br />
2206 0.66 7.50 2284 0.73 8.50<br />
2208 0.75 7.90 2286 0.77 7.80<br />
2209 0.72 8.30 2291 0.83 8.50<br />
2210 0.69 7.60 2293 0.62 7.50<br />
2212 0.69 8.30 2294 0.61 7.40<br />
2214 0.77 8.50 2295 0.66 7.30<br />
2215 0.82 8.10 2296 0.72 7.60<br />
2217 0.70 8.10 2300 0.74 8.00<br />
2219 0.71 7.20 2301 0.79 8.10<br />
2220 0.92 7.80 2392 0.81 8.50<br />
2222 0.74 7.60 2397 0.65 8.10<br />
2223 0.74 8.10 2398 0.61 6.80<br />
2229 0.66 8.10 2399 0.67 7.10<br />
2230 0.72 8.00 2405 0.72 8.30<br />
2233 0.74 7.20 2409 0.82 8.20<br />
2241 0.64 7.80 2425 0.54 7.10<br />
2242 0.90 7.90 2428 0.67 8.10<br />
2246 0.69 8.10 2429 0.69 7.90<br />
2247 0.69 7.80 2430 0.70 8.50<br />
143
ตารางผนวกที่<br />
ก5 (ตอ)<br />
Isolates Dry weight pH Isolates Dry weight pH<br />
2436 0.71 7.80 2502 0.63 7.40<br />
2437 0.68 8.00 2505 0.71 7.80<br />
2438 0.79 8.50 2507 0.79 8.20<br />
2443 0.80 8.40 2509 0.66 7.60<br />
2444 0.61 7.40 2510 0.80 7.70<br />
2450 0.70 8.50 2513 0.73 7.10<br />
2455 0.63 8.10 2515 0.64 6.50<br />
2456 0.78 8.50 2519 0.64 7.80<br />
2457 0.77 6.90 2524 0.71 7.90<br />
2458 0.79 7.70 2527 0.82 8.40<br />
2459 0.93 8.60 2528 0.64 7.90<br />
2461 0.67 7.70 2532 0.67 8.00<br />
2462 0.70 7.40 2533 0.78 7.70<br />
2464 0.61 8.10 2534 0.80 7.50<br />
2465 0.72 6.80 2535 0.66 8.20<br />
2466 0.75 7.80 2538 0.80 7.30<br />
2475 0.72 7.50 2540 0.70 7.90<br />
2476 0.78 8.50 2542 0.67 7.80<br />
2477 0.74 7.70 2544 0.69 7.40<br />
2479 0.79 7.20 2545 0.69 8.00<br />
2480 0.85 8.10 2551 0.71 7.40<br />
2482 0.72 7.50 2555 0.75 8.00<br />
2485 0.63 7.70 2557 0.68 8.10<br />
2487 0.74 8.00 2559 0.86 8.50<br />
2490 0.67 7.70 2560 0.68 8.00<br />
2493 0.88 8.50 2562 0.69 7.30<br />
2494 0.76 8.00 2563 0.78 8.20<br />
2497 0.70 7.80 2565 0.38 6.50<br />
144
ตารางผนวกที่<br />
ก5 (ตอ)<br />
Isolates Dry weight pH Isolates Dry weight pH<br />
2566 0.84 7.80 2573 0.81 8.00<br />
2568 0.62 8.10 2575 0.81 8.60<br />
2569 0.82 7.60 2576 0.64 8.20<br />
145
ภาคผนวก ข<br />
146
1. Correlation between special chalacteristics of H. thompsonii (114 isolates) cultured on<br />
malt extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 28 days<br />
Correlation Analysis<br />
6 'VAR' Variables: COLOR SYN COLONY POLYBL CLEARZ WATERDR<br />
Simple Statistics<br />
Variable N Mean Std Dev Sum Minimum Maximum<br />
COLOR 114 3.649123 1.932409 416.000000 1.000000 7.000000<br />
SYN 114 1.342105 0.476509 153.000000 1.000000 2.000000<br />
COLONY 114 1.789474 0.722259 204.000000 1.000000 3.000000<br />
POLYBL 114 1.535088 0.567245 175.000000 1.000000 4.000000<br />
CLEARZ 114 1.421053 0.495908 162.000000 1.000000 2.000000<br />
WATERDR 114 1.403509 0.492767 60.000000 1.000000 2.000000<br />
Pearson Correlation Coefficients / Prob > |R| under Ho: Rho=0 / N = 114<br />
147<br />
COLOR SYN COLONY POLYBL CLEARZ WATERDR<br />
COLOR 1.00000 0.04502 -0.09144 0.15665 0.05395 0.08495<br />
0.0 0.6344 0.3333 0.0960 0.5686 0.3689<br />
SYN 0.04502 1.00000 -0.02030 0.03705 0.24638 -0.10315<br />
0.6344 0.0 0.8303 0.6955 0.0082 0.2748<br />
COLONY -0.09144 -0.02030 1.00000 -0.04661 0.20026 0.14134<br />
0.3333 0.8303 0.0 0.6224 0.0327 0.1336<br />
POLYBL 0.15665 0.03705 -0.04661 1.00000 -0.14736 0.04388<br />
0.0960 0.6955 0.6224 0.0 0.1177 0.6430<br />
CLEARZ 0.05395 0.24638 0.20026 -0.14736 1.00000 0.16773<br />
0.5686 0.0082 0.0327 0.1177 0.0 0.0745<br />
WATERDR 0.08495 -0.10315 0.14134 0.04388 0.16773 1.00000<br />
0.3689 0.2748 0.1336 0.6430 0.0745 0.0<br />
COLOR = Color of colony POLYBL = Polyblastic conidiogenous cell<br />
SYN = Synnemata CLEARZ = Clear zone<br />
COLONY = Colony formation WATERDR = Water droplets
2. Correlation between number of conidia from direct count and plant count of<br />
H. thompsonii (114 isolates) cultured on malt extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH<br />
for 10 days<br />
Correlation Analysis<br />
2 'VAR' Variables: CONIDIA/1cm 2 CFU/1cm 2<br />
Simple Statistics<br />
Variable N Mean Std Dev Sum Minimum Maximum<br />
CONIDIA/1cm2 114 25.2236 27.0333 2875.5 0.4400 191.7<br />
CFU/1cm2 114 22.9957 24.3427 2621.5 0.6600 181.7<br />
Pearson Correlation Coefficients / Prob > |R| under Ho: Rho=0 / N = 114<br />
CONIDIA/1cm 2 CFU/1cm 2<br />
CONIDIA/1cm 2 1.00000 0.95669<br />
0.0 0.0001<br />
CFU /1cm 2 0.95669 1.00000<br />
0.0001 0.0<br />
148
3. Correlation between area of colony, number of conidia from direct count and plate count<br />
of H. thompsonii (114 isolates) cultured on malt extract agar plate 27±1 o C, 65±3%<br />
RH for 10 days<br />
Correlation Analysis<br />
3 'VAR' Variables: AREA CONI DIA CFU<br />
Simple Statistics<br />
Variable N Mean Std Dev Sum Minimum Maximum<br />
AREA 114 0.9339 0.6015 106.5 0.0900 3.5200<br />
CONIDIA 114 23.2556 32.0496 2651.1 0.5000 229.8<br />
CFU 114 21.6250 29.3908 2465.3 0.7300 218.2<br />
Pearson Correlation Coefficients / Prob > |R| under Ho: Rho=0 / N = 114<br />
AREA CONIDIA CFU<br />
AREA 1.00000 0.36107 0.38745<br />
0.0 0.0001 0.0001<br />
CONIDIA 0.36107 1.00000 0.97723<br />
0.0001 0.0 0.0001<br />
CFU 0.38745 0.97723 1.00000<br />
0.0001 0.0001 0.0<br />
149
4. Correlation between dry weight and pH of H. thompsonii (114 isolates) cultured on<br />
malt extract broth plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 4 days<br />
Correlation Analysis<br />
2 'VAR' Variables: WEIGHT PH<br />
Simple Statistics<br />
Variable N Mean Std Dev Sum Minimum Maximum<br />
WEIGHT 114 0.719123 0.082532 81.980000 0.380000 0.930000<br />
PH 114 7.859649 0.452861 896.000000 6.500000 8.600000<br />
Pearson Correlation Coefficients / Prob > |R| under Ho: Rho=0 / N = 114<br />
WEIGHT PH<br />
WEIGHT 1.00000 0.38238<br />
0.0 0.0001<br />
PH 0.38238 1.00000<br />
0.0001 0.0<br />
150
ภาคผนวก ค<br />
151
1. Group of colony diameters of H. thompsonii (114 isolates) cultured on malt extract<br />
agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 7 days<br />
Variable=Days7<br />
Moments Quantiles(Def=5)<br />
N 114 Sum Wgts 114 100% Max 1.36 99% 1.27<br />
Mean 0.598684 Sum 68.25 75% Q3 0.72 95% 0.95<br />
Std Dev 0.229654 Variance 0.052741 50% Med 0.56 90% 0.91<br />
Skewness 0.614957 Kurtosis 1.060461 25% Q1 0.47 10% 0.36<br />
USS 46.8199 CSS 5.959703 0% Min 0.07 5% 0.24<br />
CV 38.35971 Std Mean 0.021509 1% 0.13<br />
T:Mean=0 27.8341 Pr>|T| 0.0001 Range 1.29<br />
Num ^= 0 114 Num > 0 114 Q3-Q1 0.25<br />
M(Sign) 57 Pr>=|M| 0.0001 Mode 0.48<br />
Sgn Rank 3277.5 Pr>=|S| 0.0001<br />
W:Normal 0.968987 Pr|T| 0.0001 Range 2.35<br />
Num ^= 0 114 Num > 0 114 Q3-Q1 0.71<br />
M(Sign) 57 Pr>=|M| 0.0001 Mode 1.27<br />
Sgn Rank 3277.5 Pr>=|S| 0.0001<br />
W:Normal 0.9736 Pr
3. Group of colony diameters of H. thompsonii (114 isolate) cultured on malt extract<br />
agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 21 days<br />
Variable=Days21<br />
Moments Quantiles(Def=5)<br />
N 114 Sum Wgts 114 100% Max 4.37 99% 3.95<br />
Mean 2.663772 Sum 303.67 75% Q3 3.21 95% 3.75<br />
Std Dev 0.669477 Variance 0.448199 50% Med 2.63 90% 3.48<br />
Skewness -0.03288 Kurtosis -0.35541 25% Q1 2.21 10% 1.78<br />
USS 859.5541 CSS 50.64648 0% Min 0.94 5% 1.54<br />
CV 25.13265 Std Mean 0.062702 1% 1.11<br />
T:Mean=0 42.48289 Pr>|T| 0.0001 Range 3.43<br />
Num ^= 0 114 Num > 0 114 Q3-Q1 1<br />
M(Sign) 57 Pr>=|M| 0.0001 Mode 2.22<br />
Sgn Rank 3277.5 Pr>=|S| 0.0001<br />
W:Normal 0.985872 Pr|T| 0.0001 Range 3.97<br />
Num ^= 0 114 Num > 0 114 Q3-Q1 1.14<br />
M(Sign) 57 Pr>=|M| 0.0001 Mode 3.1<br />
Sgn Rank 3277.5 Pr>=|S| 0.0001<br />
W:Normal 0.97215 Pr
5. Group of growth rate overall period of colony diameter of H. thompsonii (114<br />
isolates) cultured on malt extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 28 days<br />
Variable= growth rate overall period<br />
Moments Quantiles(Def=5)<br />
N 114 Sum Wgts 114 100% Max 0.23 99% 0.22<br />
Mean 0.143947 Sum 16.41 75% Q3 0.17 95% 0.21<br />
Std Dev 0.036083 Variance 0.001302 50% Med 0.14 90% 0.19<br />
Skewness 0.05862 Kurtosis -0.16003 25% Q1 0.12 10% 0.10<br />
USS 2.5093 CSS 0.147124 0% Min 0.06 5% 0.08<br />
CV 25.06677 Std Mean 0.003379 1% 0.06<br />
T:Mean=0 42.59455 Pr>|T| 0.0001 Range 0.17<br />
Num ^= 0 114 Num > 0 114 Q3-Q1 0.05<br />
M(Sign) 57 Pr>=|M| 0.0001 Mode 0.14<br />
Sgn Rank 3277.5 Pr>=|S| 0.0001<br />
W:Normal 0.97215 Pr|T| 0.0001 Range 191.24<br />
Num ^= 0 114 Num > 0 114 Q3-Q1 24.46<br />
M(Sign) 57 Pr>=|M| 0.0001 Mode 0.44<br />
Sgn Rank 3277.5 Pr>=|S| 0.0001<br />
W:Normal 0.95386 Pr
7. Group of conidia (plate count) from 1 cm 2 of H. thompsonii (114 isolates) cultured<br />
on malt extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 10 days<br />
Variable=CFU<br />
Moments Quantiles(Def=5)<br />
N 114 Sum Wgts 114 100% Max 181.7 99% 102.55<br />
Mean 22.9957 Sum 2621.51 75% Q3 30.72 95% 66.7<br />
Std Dev 24.34272 Variance 592.5683 50% Med 14.96 90% 44.61<br />
Skewness 3.240745 Kurtosis 16.11944 25% Q1 9.01 10% 4.08<br />
USS 127243.7 CSS 66960.21 0% Min 0.66 5% 2.06<br />
CV 105.8577 Std Mean 2.279905 1% 1.27<br />
T:Mean=0 10.08625 Pr>|T| 0.0001 Range 181.04<br />
Num ^= 0 114 Num > 0 114 Q3-Q1 21.71<br />
M(Sign) 57 Pr>=|M| 0.0001 Mode 4.08<br />
Sgn Rank 3277.5 Pr>=|S| 0.0001<br />
W:Normal 0.90254 Pr|T| 0.0001 Range 53.8771<br />
Num ^= 0 114 Num > 0 114 Q3-Q1 14.3184<br />
M(Sign) 57 Pr>=|M| 0.0001 Mode 16.4465<br />
Sgn Rank 3277.5 Pr>=|S| 0.0001<br />
155
9. Group of length of phialide of H. thompsonii (114 isolate) cultured on malt<br />
extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 6 days<br />
Variable=PHIA<br />
Moments Quantiles(Def=5)<br />
N 114 Sum Wgts 114 100% Max 23.2 99% 20.05<br />
Mean 10.54781 Sum 1202.45 75% Q3 11.35 95% 14.8<br />
Std Dev 2.419022 Variance 5.851666 50% Med 9.8 90% 13.6<br />
Skewness 2.365646 Kurtosis 7.764066 25% Q1 8.95 10% 8.6<br />
USS 13344.45 CSS 661.2382 0% Min 8.15 5% 8.35<br />
CV 22.93388 Std Mean 0.226562 1% 8.2<br />
T:Mean=0 46.55591 Pr>|T| 0.0001 Range 15.05<br />
Num ^= 0 114 Num > 0 114 Q3-Q1 2.4<br />
M(Sign) 57 Pr>=|M| 0.0001 Mode 8.7<br />
Sgn Rank 3277.5 Pr>=|S| 0.0001<br />
10. Group of conidia (width) of H. thompsonii (114 isolate) cultured on malt<br />
extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 6 days<br />
Variable=Conidia Width<br />
Moments Quantiles(Def=5)<br />
N 114 Sum Wgts 114 100% Max 3.89 99% 3.88<br />
Mean 2.780965 Sum 317.03 75% Q3 2.95 95% 3.59<br />
Std Dev 0.389399 Variance 0.151632 50% Med 2.775 90% 3.3<br />
Skewness 0.670607 Kurtosis 0.527393 25% Q1 2.52 10% 2.28<br />
USS 898.7837 CSS 17.13439 0% Min 2.03 5% 2.21<br />
CV 14.00231 Std Mean 0.036471 1% 2.15<br />
T:Mean=0 76.25227 Pr>|T| 0.0001 Range 1.86<br />
Num ^= 0 114 Num > 0 114 Q3-Q1 0.43<br />
M(Sign) 57 Pr>=|M| 0.0001 Mode 2.83<br />
Sgn Rank 3277.5 Pr>=|S| 0.0001<br />
W:Normal 0.945853 Pr
11. Group of conidia (length) of H. thompsonii (114 isolate) cultured on malt<br />
extract agar plate at 27±1 o C, 65±3% RH for 6 days<br />
Variable= Conidia Length<br />
Moments Quantiles(Def=5)<br />
N 114 Sum Wgts 114 100% Max 4.27 99% 4.18<br />
Mean 2.939298 Sum 335.08 75% Q3 3.12 95% 3.73<br />
Std Dev 0.415828 Variance 0.172913 50% Med 2.915 90% 3.54<br />
Skewness 0.644374 Kurtosis 0.732482 25% Q1 2.69 10% 2.39<br />
USS 1004.439 CSS 19.53914 0% Min 2.11 5% 2.3<br />
CV 14.14718 Std Mean 0.038946 1% 2.26<br />
T:Mean=0 75.47142 Pr>|T| 0.0001 Range 2.16<br />
Num ^= 0 114 Num > 0 114 Q3-Q1 0.43<br />
M(Sign) 57 Pr>=|M| 0.0001 Mode 3.12<br />
Sgn Rank 3277.5 Pr>=|S| 0.0001<br />
W:Normal 0.954328 Pr|T| 0.0001 Range 0.55<br />
Num ^= 0 114 Num > 0 114 Q3-Q1 0.11<br />
M(Sign) 57 Pr>=|M| 0.0001 Mode 0.69<br />
Sgn Rank 3277.5 Pr>=|S| 0.0001<br />
157
13. Group of pH of H. thompsonii (114 isolates) cultured on malt extract broth<br />
at 27±1 o C, 65±3% RH for 4 days<br />
Variable=pH<br />
Moments Quantiles(Def=5)<br />
N 114 Sum Wgts 114 100% Max 8.60 99% 8.6<br />
Mean 7.859649 Sum 896 75% Q3 8.1 95% 8.5<br />
Std Dev 0.452861 Variance 0.205083 50% Med 7.9 90% 8.5<br />
Skewness -0.64353 Kurtosis 0.40143 25% Q1 7.6 10% 7.3<br />
USS 7065.42 CSS 23.17439 0% Min 6.5 5% 7.1<br />
CV 5.761847 Std Mean 0.042414 1% 6.5<br />
T:Mean=0 185.3065 Pr>|T| 0.0001 Range 2.1<br />
Num ^= 0 114 Num > 0 114 Q3-Q1 0.5<br />
M(Sign) 57 Pr>=|M| 0.0001 Mode 8.1<br />
Sgn Rank 3277.5 Pr>=|S| 0.0001<br />
158
ภาคผนวก ง<br />
159
1. Potato dextrose agar (PDA)<br />
สูตรอาหารเลี้ยงเชื้อจุลินทรียและวิธีการเตรียม<br />
้<br />
้<br />
นํา<br />
1000 มิลลิลิตร<br />
มันฝรั่ง<br />
200 กรัม<br />
นํ าตาล 20 กรัม<br />
วุน(agar)<br />
13 กรัม<br />
160<br />
นํ ามันฝรั่งที่ปอกเปลือกมาลางใหสะอาด<br />
หั่นเปนชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆ<br />
ชั่งใหได<br />
200 กรัม<br />
นํ ามันฝรั่งไปตมใหสุก<br />
กรองเอาแตนํ้<br />
า ปรับปริมาตรใหได 1000 มิลลิลิตร ใสนํ าตาล ้ 20 กรัม คน<br />
ใหละลาย ปรับ pH 5.7 นํ านํ ามันฝรั ้ ่งที่ไดไปตั้งไฟ<br />
ใสวุน<br />
13 กรัม เคี่ยวจนละลาย<br />
จากนั้นนํ<br />
าไป<br />
นึ่งในหมอความดันที่<br />
120 ปอนด เปนเวลา 15 นาทีเมื่ออาหารอุนพอควรจึงใสยาปฏิชีวนะกัน<br />
แบคทีเรีย คือ streptomycin ในอัตรา 0.25 g/1000 มิลิลิตร<br />
2. Malt extract agar (MEA)<br />
้ นํา<br />
1000 มิลลิลิตร<br />
Balanced peptone 5 กรัม<br />
Yeast extract powder 3 กรัม<br />
Malt extract power 3 กรัม<br />
D+ glucose 10 กรัม<br />
Agar powder 30 กรัม<br />
นํ านํ้<br />
า ประมาณ 800 มิลลิลิตร ไปตมใหเดือด จากนั้นใสอาหารทุกอยางลงไป<br />
ตามสูตร<br />
เมื่ออาหารละลายหมด<br />
ทํ าการปรับปริมาตรใหได 1000 มิลลิลิตร
3. Malt extract broth (MEB)<br />
้ นํา<br />
1000 มิลลิลิตร<br />
Balanced peptone 5 กรัม<br />
Yeast extract powder 3 กรัม<br />
Malt extract power 3 กรัม<br />
D+ glucose 10 กรัม<br />
Agar powder 30 กรัม<br />
161<br />
นํ านํ้<br />
า ประมาณ 800 มิลลิลิตร ไปตมใหเดือด จากนั้นใสอาหารทุกอยางลงไป<br />
ตามสูตร<br />
เมื่ออาหารละลายหมด<br />
ทํ าการปรับปริมาตรใหได 1000 มิลลิลิตร นํ าไปนึ่งในหมอนึ่งไฟฟา<br />
ที่ความดัน<br />
121 ปอนดตอตารางนิ้ว<br />
เปนเวลา 15 นาที<br />
การเตรียมยาปฎิชีวนะกัน bacteria<br />
้ นํา<br />
500 มิลลิลิตร<br />
Chloram 0.5 กรัม<br />
Rifam 0.5 กรัม<br />
Streptomycin 0.5 กรัม<br />
1. นํ านํ้<br />
า 500 มิลลิลิตรใส flask และนํ าไปนึ่งในหมอนึ่งไฟฟา<br />
ที่ความดัน<br />
120 ปอนด 15 นาที<br />
ทิ้งไวใหเย็น<br />
2. นํ ายาปฏิชีวนะทั้ง<br />
3 ชนิดที่ชั่งไวแลว<br />
ละลายลงในนํ้<br />
าที่ผานการฆาเชื้อแลวโดยนํ<br />
าไปเขยาดวย<br />
เครื่องเขยา<br />
(vertex mixture) จนกวาจะละลายหมด<br />
3. ใชกระดาษอะลูมิเนียม (aluminum foil) หุม<br />
flask แลวเก็บไวในตูเย็น
Heinze<br />
Sorbital syrup<br />
Mounting media สํ าหรับไรสี่ขา<br />
Polyvinyl alcohol 10 g.<br />
Chloral hydrate 100 g.<br />
85-92% lactic acid 35 ml<br />
10% aqueous solution of phenol 25 ml<br />
glyceral 10 ml<br />
distilled water 40-60 ml<br />
1. 25% isopropyl alcohol<br />
2. Sorbitol<br />
นํ ายารักษาตัวอยางไรสี<br />
้ ่ขา<br />
เตรียมโดยใส sorbitol ลงใน 25% isopropyl alcohol จนรู สึกวามีความหนืดเล็กนอย<br />
หลังจากนั้นเต็มเกล็ดไอโอดีน<br />
1-2 เกล็ดเพื่อปองกันเชื้อรา<br />
162
สูตรอาหารเทียมเลี้ยงหนอน<br />
Spodoptera litura<br />
soked mungbean 150 g<br />
Dried brewer’s yest 10 g<br />
Agar 15 g<br />
Methyl parahydroxybenzoate 3 g<br />
Sobic acid 2 g<br />
Casein 3 g<br />
Choline Chloride 0.5 g<br />
Ascobic acid 3 g<br />
Vitamin stock 10 ml<br />
Formadehyde (40%) 2 ml<br />
Distilled water 700 ml<br />
163<br />
ชั่งสวนผสมทุกอยางยกเวน<br />
Agar และ Vitamin stock ป นใหเขากัน จากนั้นจึงใส<br />
Agar ที่<br />
ตมจนละลายดีแลว และ Vitamin stock ป นรวมใหเขากันอีกครั้งแลวเทใสภาชนะใหมีความหนา<br />
1<br />
เซนติเมตรทิ้งไวใหเย็น<br />
การเตรียม Vitamin stock<br />
Niacin (Nicotinic acid) 6 g<br />
D-Pentathenic acid 6 g<br />
Thiamine (B1) 3 g<br />
Riboflavin (B2) 3 g<br />
Pyridoxin monohydrochloride 1.5 g<br />
Folic acid 1.5 g<br />
Biotin 0.12 g<br />
Vitamin (B12) 0.012 g<br />
Distilled water 1000 ml<br />
**ผสมทุกสวนใหเขากันแลวใสขวดสีชาเพื่อปองกันแสงสวางและเก็บรักษาในตูเย็น**