5/85 เรื่อง
5/85 เรื่อง
5/85 เรื่อง
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
220 การประชุมวิชาการงานเกษตรนเรศวร ครั ้งที่<br />
01<br />
การคัดแยกแบคทีเรียกรดแลกติกที่มีคุณสมบัติในการเป็<br />
นโปรไบโอติกจากระบบทางเดินอาหาร<br />
ปลาทะเล<br />
Screening for probiotic properties of lactic acid bacteria isolated from digestive tract<br />
of marine fish<br />
ฐิติรัตน์ รัตนวิวัลย์ 1* และ นงนุช เลาหะวิสุทธิ ์ 1<br />
Thitirat Rattanawiwan 1* and Nongnuch Laohavisuti 1<br />
บทคัดย่อ<br />
การคัดแยกแบคทีเรียกรดแลกติก จากระบบทางเดินอาหารของตัวอย่างปลาทะเล ด้วยอาหารเลี ้ยงเชื ้อ<br />
MRS สามารถคัดแยกเชื ้อแบคทีเรียกรดแลกติกได้ 45 ไอโซเลท คัดแยกได้จากปลากดทะเล 17 ไอโซเลท ปลา<br />
ทรายแดง 16 ไอโซเลท ปลาทู 4 ไอโซเลท และปลากระบอก 8 ไอโซเลท น าเชื ้อที่คัดแยกได้<br />
มาทดสอบ<br />
คุณสมบัติการเป็ นโปรไบโอติกได้ 6 ไอโซเลท ได้แก่ Tb11, Ma9, Mu7, Ba9, Ba1 และ Ba16 พบว่าเชื ้อดังกล่าว<br />
มีความสามารถเจริญได้ที ่ ค่าความเป็ นกรด-ด่าง ระหว่าง 2-10 สามารถเจริญได้ในอาหารที ่มีโซเดียมคลอไรด์<br />
ตั ้งแต่ 1-5% และสามารถเจริญได้ในน ้าดีสังเคราะห์ ที่มีความเข้มข้นสูงถึง<br />
0.9% นอกจากนี ้ยังพบว่า ไอโซเลท<br />
Tb11 จากปลาทรายแดง สามารถยับยั ้งแบคทีเรียทดสอบได้ ได้แก่ Lactobacillus sakei subsp. sakei JCM<br />
1157 T , Lactobacillus sakei TISTR 890, Leuconostoc mesenteroides subsp. mesenteroides JCM 6124 T ,<br />
Leuconostoc mesenteroides TISTR 942, Leuconostoc cremoris, Lactobacillus plantarum TISTR 8104,<br />
Brochotrix camprestris NBRC 11547, Pseudomonas fluorescens JCM 5963 T , Pseudomonas fluorescens<br />
TISTR 358 และความสามารถในการต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ พบว่า ไอโซเลท Tb11 สามารถต้านทานต่อ<br />
Gentamycin, Naldixic acid, Neomycin, Norfloxacin, Oxolinic acid และ Sulfamethoxazole/Trimethoprim<br />
ค าส าคัญ: แบคทีเรียกรดแลกติก โปรไบโอติก ระบบทางเดินอาหารปลาทะเล<br />
Abstract<br />
Lactic acid bacteria was isolated from digestive tract of marine fish using selective media MRS. Forty<br />
five isolates were obtained from sea catfish (Arius maculates), ornate threadfin bream (Nemipterus hexodon),<br />
mackerel (Rastrelliger brachysoma) and mullet (Mugil sunviridis). All isolates were screened for probiotic<br />
properties of lactic acid bacteria. The results showed that six isolates probiotic properties of lactic acid<br />
bacteria were Tb11, Ma9, Mu7, Ba9, Ba1 and Ba16.These strains survival in vitro study were performed in<br />
1 สาขาวิชาเทคโนโลยีการผลิตสัตว์และประมง คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร<br />
ลาดกระบัง กรุงเทพฯ 10520<br />
*Corresponding author : E-mail: milky_gm@hotmail.com
การประชุมวิชาการงานเกษตรนเรศวร ครั ้งที่<br />
01 221<br />
pH range 2-10, concentration of NaCl at 1-5% and concentration of bile salts reached 0.9%. In addition,<br />
Isolate Tb11 from ornate threadfin bream inhibit the indicator strains of Lactobacillus sakei subsp. sakei JCM<br />
1157 T , Lactobacillus sakei TISTR 890, Leuconostoc mesenteroides subsp. mesenteroides JCM 6124 T ,<br />
Leuconostoc mesenteroides TISTR 942, Leuconostoc cremoris, Lactobacillus plantarum TISTR 8104,<br />
Brochotrix camprestris NBRC 11547, Pseudomonas fluorescens JCM 5963 T , Pseudomonas fluorescens<br />
TISTR 358. Moreover, isolate Tb11 was resistant to Gentamycin, Naldixic acid, Neomycin, Norfloxacin,<br />
Oxolinic acid and Sulfamethoxazole/Trimethoprim.<br />
Keywords: Lactic acid bacteria Probiotic Digestive tract of marine fish<br />
บทน า<br />
แบคทีเรียกรดแลกติก (Lactic acid bacteria) เป็ นแบคทีเรียในกลุ่มที ่ได้รับการพิจารณาว่าเป็ นแบคทีเรีย<br />
ที่มีความปลอดภัยสูงต่อคนและสัตว์<br />
GRAS (Generally recognized as safe organisms) ซึ ่งแบคทีเรียในกลุ่มนี ้<br />
พบทั่วไปตามธรรมชาติ<br />
สามารถสร้างสารที่ยับยั<br />
้งและท าลายการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที ่ท าให้อาหารเน่าเสีย<br />
รวมทั ้งจุลินทรีย์ที ่ก่อให้เกิดโรค ที่มาจากการปนเปื<br />
้ อนจากอาหาร จากนั ้นจึงได้มีการศึกษาถึงความหลากหลาย<br />
ทางสายพันธุ์ เพื่อที่จะน<br />
ามาใช้ประโยชน์ จากแบคทีเรียกรดแลกติกสายพันธุ์ต่างๆ ส าหรับในวงการ การ<br />
เพาะเลี ้ยงสัตว์น ้านั ้น พบว่าแบคทีเรียกรดแลกติกได้มีการน ามาประยุกต์ใช้เป็ นโปรไบโอติก เพื่อใช้ส<br />
าหรับ<br />
ยับยั ้งและท าลายจุลินทรีย์ที ่ก่อโรค ในระบบทางเดินอาหาร ท าให้โครงสร้างภายในร่างกายของเจ้าบ้านสมบูรณ์<br />
ดี (Host) และยังช่วยควบคุมสิ ่งแวดล้อมที่ชักน<br />
าให้เกิดโรค โดยแบคทีเรียที่พบส่วนมากในระบบทางเดินอาหาร<br />
ของปลา เช่น Lactobacillus, Carnobacerium, Stretococcus และ Leconostoc เป็ นต้น (Ringo & Gatesoupe,<br />
1998) นอกจากนี ้ยังพบว่าแบคทีเรียกรดแลกติกบางสายพันธุ์สามารถสร้างสารยังยั ้งจุลินทรีย์ (Antimicrobial<br />
agent) ซึ ่ งพบว่าสารที่สร้างออกมาส่วนใหญ่นั<br />
้น จะเป็ นสารพวกกรดแลกติกและกรดอะซิติก โดยในปัจจุบัน<br />
แบคทีเรียกรดแลกติกได้รับความสนใจและมีการศึกษากันอย่างกว้างขวาง ในแง่ของวงการการเพาะเลี ้ยงสัตว์น ้า<br />
พบว่า ได้มีการน าแบคทีเรียกรดแลกติก ไปประยุกต์ใช้เป็ นโปรไบโอติกร่วมกับการเพาะเลี ้ยงสัตว์น ้า เช่น การ<br />
น าไปใช้เพื่อยับยั<br />
้งแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคในสัตว์น<br />
้า การส่งเสริมการเจริญของสัตว์น ้า อีกทั ้งยังช่วยในการลด<br />
การใช้สารปฏิชีวนะ (Antibiotic) เพื่อเป็<br />
นการลดการตกค้างของสารปฏิชีวนะในสัตว์น ้าและในสิ่งแวดล้อมอีก<br />
ด้วย ดังนั ้นการศึกษาในครั ้งนี ้ จึงได้ท าการคัดแยกแบคทีเรียกรดแลกติก ที่สามารถสร้างสารยับยั<br />
้งการเจริญของ<br />
จุลินทรีย์ จากระบบทางเดินอาหารของปลาทะเล รวมถึงการศึกษาคุณสมบัติของการเป็ นโปรไบโอติก โดย<br />
ศึกษาการทนต่อโซเดียมคลอไรด์ การทนต่อน ้าดีสังเคราะห์ การทนต่อความเป็ นกรด - ด่าง และการต้านทานต่อ<br />
ยาปฏิชีวนะ เพื่อใช้เป็<br />
นอีกแนวทางหนึ ่ง ในการเลือกน าไปประยุกต์ใช้ส าหรับการเพาะเลี ้ยงสัตว์น ้า ทั ้งในด้าน<br />
การส่งเสริมการเจริญและการควบคุมการเกิดโรคอีกด้วย
222 การประชุมวิชาการงานเกษตรนเรศวร ครั ้งที่<br />
01<br />
อุปกรณ์และวิธีการ<br />
1. ก<br />
ารคัดแยกเชื ้อแบคทีเรีย<br />
ใช้ตัวอย่างจากปลาทะเล ซึ ่ งประกอบไปด้วย ปลากดทะเล (Arius maculates) ปลาทรายแดง<br />
(Nemipterus hexodon) ปลาทู (Rastrelliger brachysoma) และปลากระบอก (Mugil sunviridis) ชนิดละ 12<br />
ตัวอย่าง โดยน าของเหลวที่อยู่ในกระเพาะอาหาร<br />
น าใส่ในถุงผสมสารละลายโซเดียมคลอไรด์ 0.<strong>85</strong>% ปริมาตร 9<br />
มิลลิลิตร จะได้สารละลายโซเดียมคลอไรด์ ที่มีความเข้มข้น<br />
1:10 จากนั ้นเจือจางต่อให้ได้ความเข้มข้น 1:100,<br />
1:1000, 1:10000 และ 1:100000 ในแต่ละตัวอย่าง จากนั ้นดูดสารละลายในแต่ละระดับความเจือจาง 100<br />
ไมโครลิตร ถ่ายลงในจานเพาะเชื ้อบนอาหารแข็ง De Man-Rogosa and Sharpe (MRS) ที่เติมแคลเซียม<br />
คาร์บอเนตความเข้มข้น 0.5% ใช้แท่งแก้วสามเหลี่ยมปราศจากเชื<br />
้อเกลี่ยให้ทั่วจานเพาะเชื<br />
้อ น าเข้าบ่มที่อุณหภูมิ<br />
30ºCเป็ นเวลา 48 ชั่วโมง<br />
(แบบไม่ใช้อากาศ) ตรวจนับเชื ้อบนจานเพาะเชื ้อ เลือกนับจานเพาะเชื ้อที่มีโคโลนี<br />
30-<br />
300 โคโลนี จากนั ้นสุ่มเลือกโคโลนีที ่มีบริเวณใส (Clear zone) รอบๆโคโลนี มาเลี ้ ยงในอาหารเหลว MRS<br />
ปริมาตร 5 มิลลิลิตร เพื่อเป็<br />
น Stock culture โดยใส่กลีเซอรอล ความเข้มข้น 30% ปริมาตร 500 ไมโครลิตร รวม<br />
กับเชื ้ อแบคที เรี ยกรดแลกติ ก ปริ มาตร 500 ไมโครลิตร จากนั ้ นจึ งน าไปเก็บที ่อุณหภูมิ<br />
-20 ºC เพื่อใช้ส<br />
าหรับในการศึกษาครั ้งต่อไป<br />
2. การทดสอบคุณสมบัติการเป็ นโปรไบโอติก<br />
การทดสอบความสามารถในการเจริญ เมื่อเลี<br />
้ยงเชื ้อในสภาวะเป็ นกรด-ด่าง น ้าดีสังเคราะห์และโซเดียม<br />
คลอไรด์ ดัดแปลงจากวิธีการ Hyronimus et al. (2000) โดยน าแบคทีเรียกรดแลกติกจาก Stock culture ปริมาตร<br />
100 ไมโครลิตร มาเลี ้ยงในอาหารเหลว MRS ปริมาตร 5 มิลลิลิตร น าไปบ่ม ที่อุณหภูมิ<br />
30ºC เป็ นเวลา 18<br />
ชั่วโมงจากนั<br />
้นถ่ายเชื ้อปริมาตร 100 ไมโครลิตร ลงในอาหารเหลว MRS ปริมาตร 5 มิลลิลิตร ที่มีการปรับค่า<br />
ความเป็ นกรด-ด่างเท่ากับ 2, 3, 4, 4.5, 5, 6, 7, 8, 9 และ 10 รวมถึงอาหารเหลว MRS ที่มีน<br />
้าดีสังเคราะห์ ความ<br />
เข้มข้น 0, 0.3, 0.6 และ 0.9% (w/v) และอาหารเหลว MRS ที่มีโซเดียมคลอไรด์ความเข้มข้น<br />
0, 1, 2, 3, 4 และ<br />
5% (w/v) บ่มที่อุณหภูมิ<br />
30ºC เป็ นเวลา 18 ชั่วโมง<br />
จากนั ้นตรวจสอบการเจริญของเชื ้อ โดยวัดค่าการดูดกลืน<br />
แสงที่ความยาวคลื่น<br />
600 nm และหาจ านวนเชื ้อโดยการ Spread plate บนอาหารแข็ง MRS<br />
3. ก<br />
ารทดสอบการยับยั ้งเชื ้อแบคทีเรียเป้ าหมายของเชื ้อแบคทีเรียกรดแลกติก<br />
การทดสอบการยับยั ้งเชื ้อแบคทีเรียเป้ าหมาย ใช้วิธีการ Direct method โดยน าเชื ้อแบคทีเรียกรดแลกติก<br />
ที่คัดเลือกได้มาปลูกเชื<br />
้อ แบบจุด (Spot inoculate) บนอาหารแข็ง น าไปบ่มที่อุณหภูมิ<br />
30ºC เป็ นเวลา 18 ชั่วโมง<br />
จากนั ้นถ่ายเชื ้อทดสอบที่เลี<br />
้ยงในอาหารเหลวปริมาตร 10 ไมโครลิตร ลงในอาหารเลี ้ยงเชื ้อที่มีวุ้น<br />
1% ปริมาตร
การประชุมวิชาการงานเกษตรนเรศวร ครั ้งที่<br />
01 223<br />
5 มิลลิลิตร ซึ ่งหลอมตัวและมีอุณหภูมิประมาณ 45 ºC ผสมให้เข้ากันแล้วเททับลงบนจานเพาะเชื ้อเป้ าหมายที่<br />
เตรียมไว้ ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที เพื่อให้อาหารแข็งตัว<br />
แล้วน าไปบ่มในอุณหภูมิที่เหมาะสมส<br />
าหรับการ<br />
เจริญของแบคทีเรียทดสอบแต่ละชนิด เป็ นเวลา 24 ชั่วโมง<br />
ตรวจดูบริเวณใส (Clear zone) ซึ ่งเกิดจากการที ่<br />
แบคทีเรียกรดแลกติก สร้างสารยับยั ้งการเจริญของแบคทีเรียทดสอบ พร้อมวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง<br />
4. กา<br />
รทดสอบความสามารถในการต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ<br />
การทดสอบการต้านทานยาปฏิชีวนะใช้วิธีการของ Quinn et al. (1994) ถ่ายเชื ้อแบคทีเรียกรดแลกติกที ่<br />
คัดเลือกได้จากการทดลองที ่ 3 ปริมาตร 100 ไมโครลิตร ลงในอาหารเหลว MRS ปริมาตร 5 มิลลิลิตร จากนั ้น<br />
เจือจางเชื ้อด้วยน ้าเกลือ 0.<strong>85</strong>% ให้มีความขุ ่นเท่ากับ 0.5 McFarland มาตรฐาน ท าการ Swab เชื ้อด้วยไม้ที ่ส่วน<br />
ปลายพันด้วยส าลีปลอดเชื ้อลงบนอาหารแข็ง MRS ให้ทั่วจานเพาะเชื<br />
้อ ทิ้งไว้ให้แห้ง จากนั ้นน าแผ่นยา<br />
ปฏิชีวนะวางไว้ด้านบนอาหารแข็ง น าไปบ่มที ่อุณหภูมิ 30ºC ในสภาวะที ่ไม่มีออกซิเจนเป็ นเวลา<br />
18 ชั่วโมง<br />
ตรวจผลโดยสังเกตบริเวณใส วัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของบริเวณใสแล้วเปรียบเทียบกับค่า<br />
มาตรฐานแสดงผลเป็ น Susceptible(S), Intermediate(I) หรือ Resistant(R)<br />
ผลและวิจารณ์ผลการทดลอง<br />
1. กา<br />
รคัดแยกแบคทีเรียกรดแลกติกจากระบบทางเดินอาหารปลาทะเล<br />
จากการน าตัวอย่างระบบทางเดินอาหารปลาทะเล ได้แก่ ปลากดทะเล (Arius maculates) ปลาทรายแดง<br />
(Nemipterus hexodon) ปลาทู (Rastrelliger brachysoma) และ ปลากระบอก (Mugil sunviridis) จ านวน<br />
ทั ้งหมด 48 ตัวอย่าง มาคัดแยกแบคทีเรียกรดแลกติก ซึ ่งเจริญบนอาหารแข็ง MRS ที่ผสมแคลเซียมคาร์บอเนต<br />
0.5% ผลการทดลองพบว่า สามารถคัดแยกเชื ้อแบคทีเรียกรดแลกติกได้ 45 ไอโซเลท โดยคัดแยกได้จากปลากด<br />
ทะเล 17 ไอโซเลท ปลาทรายแดง 16 ไอโซเลท ปลาทู 4 ไอโซเลท และ ปลากระบอก 8 ไอโซเลท<br />
2. ก<br />
ารทดสอบความสามารถในการเจริญเมื่อเลี<br />
้ยงเชื ้อในสภาวะเป็ นกรด-ด่าง<br />
จากการน าเชื ้อที่คัดแยกได้ทั<br />
้งหมด จ านวน 45 ไอโซเลท มาเลี ้ ยงในสภาวะที ่เป็ นกรด-ด่างพบว่ามี<br />
6 ไอโซเลท ได้แก่ Tb11, Ma9, Mu7, Ba9, Ba1 และ Ba16 สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที ่มีความเป็ นกรด-<br />
ด่างที่<br />
2-10 โดยพบว่าไอโซเลท Tb11 จากปลาทรายแดงสามารถเจริญเติบโตได้สูงที ่สุดที่ค่าความเป็<br />
นกรด-ด่าง<br />
เท่ากับ 7 ซึ ่งมีจ านวนเซลล์ เท่ากับ 8.152 log CFU/ml (OD 600nm เท่ากับ 1.413) และเมื่อค่าความเป็<br />
นกรด-ด่าง<br />
สูงขึ ้น (8.0-10) ผลปรากฏว่า ความสามารถในการเจริญลดลงตามระดับค่าความเป็ นกรด-ด่างที่สูงขึ<br />
้น แสดงใน<br />
ภาพที่<br />
1 แบคทีเรียกรดแลกติกเมื ่อเลี ้ยงในสภาวะที ่มีค่าความเป็ นกรด พบว่าปริมาณของแบคทีเรียจะลดลง
224 การประชุมวิชาการงานเกษตรนเรศวร ครั ้งที่<br />
01<br />
เนื่องจากเซลล์ชะลอหรือเจริญเติบโตได้ไม่ดี<br />
อย่างไรก็ตามพบว่าความทนต่อกรดขึ ้นอยู่กับระดับความเป็<br />
นกรด<br />
ของอาหารที่ใช้เลี<br />
้ยง ซึ ่ งค่าความเป็ นกรดและด่างภายนอกเซลล์ จะมีผลต่อความทนต่อกรด โดยจะส่งผลต่อ<br />
ความเป็ นกรดและด่างของไซโตพลาสซึมในเซลล์ ซึ ่งความสามารถในการทนต่อกรด เป็ นสมบัติที่ส<br />
าคัญของ<br />
แบคทีเรียที่มีคุณสมบัติเป็<br />
นโปรไบโอติก (Vinderola & Reinheimer, 2003)<br />
3. ก<br />
ารทดสอบความสามารถในการเจริญเมื ่อเลี ้ยงเชื ้อในสภาวะที่มีน<br />
้าดีสังเคราะห์<br />
เมื่อน<br />
าไอโซเลท Tb11 มาทดสอบความสามารถในการเจริญในน ้าดีสังเคราะห์ที ่ระดับความเข้มข้น<br />
ต่างๆ พบว่า ไอโซเลท Tb11 สามารถเจริญได้ในสภาวะที่มีน<br />
้าดีสังเคราะห์ความเข้มข้นได้สูงถึง 0.9% (w/v) ซึ ่ง<br />
มีจ านวนเซลล์เท่ากับ 3.029 log CFU/ml (OD 600nm เท่ากับ 0.128) และลดการเจริญลงเมื ่ออยู่ในสภาวะที่มีน<br />
้าดี<br />
สังเคราะห์สูงขึ ้น อย่างไรก็ตาม คมแข และคณะ (2553) ได้ทดสอบการเจริญของไอโซเลท Sb2 ที่คัดแยกได้จาก<br />
ระบบทางเดินอาหารปลากระพง พบว่าเชื ้อสามารถเจริญได้ในน ้าดีสังเคราะห์ที่ความเข้มข้น<br />
0.3% ส่วนในความ<br />
เข้มข้นที่<br />
0.6% และ 0.9% ไม่พบการเจริญ Begley et al. (2005) ได้รายงานว่า โดยทั่วไปแล้วในกระเพาะและ<br />
ล าไส้ของสัตว์ของสัตว์จะมี bile salts ซึ ่ง bile salts มีความเข้มข้นสูงท าให้สามารถละลายไขมันในเยื ่อหุ้มเซลล์<br />
ส่งผลให้ส่วนประกอบต่างๆที่อยู่ภายในเซลล์เกิดการรั่วไหลออกมาและท<br />
าให้เซลล์ตายในที่สุด<br />
ทั ้งนี ้สายพันธุ์ก็<br />
เป็ นอีกปัจจัยหนึ ่งต่อความสามารถในการทน bile salts อีกด้วย<br />
4. ก<br />
ารทดสอบความสามารถในการเจริญเมื ่อเลี ้ยงเชื ้อในสภาวะที่มีโซเดียมคลอไรด์<br />
เมื่อน<br />
าไอโซเลท Tb11 มาทดสอบความสามารถ ในการเจริญในสภาวะที ่มีโซเดียมคลอไรด์ในระดับ<br />
ความเข้มข้น 1-5% โดยพบว่าความเข้มข้นของโซเดียมคลอไรด์ที ่ 1% มีการเจริญสูงที ่สุด ซึ ่งมีจ านวนเซลล์<br />
เท่ากับ 8.071 log CFU/ml (OD 600nm เท่ากับ 1.019) และมีค่าลดลงตามล าดับ ส่วนการเลี ้ยงในสภาวะที่ไม่มี<br />
โซเดียมคลอไรด์ พบว่าไอโซเลท Tb11 มีค่าการเจริญที ่สูงกว่าในสภาวะที ่มีโซเดียมคลอไรด์ โดยมีค่าการเจริญ<br />
เท่ากับ 8.082 log CFU/ml (OD 600nm เท่ากับ 1.0<strong>85</strong>) Vinderola & Reinheimer (2003) รายงานว่าเมื่อมีการเพิ่ม<br />
ความเข้มข้นของโซเดียมคลอไรด์ลงไป โซเดียมคลอไรด์จะเข้าไปรบกวนการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ทั ้งนี ้<br />
เนื่องจากว่า<br />
กระบวนการเมตาบอลิซึมของแบคทีเรียมีความ Sensitive ต่อไออออนของโซเดียมคลอไรด์และน ้า<br />
5. ก<br />
ารทดสอบความสามารถในการยับยั ้งแบคทีเรียเป้ าหมายของแบคทีเรียกรดแลกติก<br />
จากการศึกษาความสามารถ ในการยับยั ้งเชื ้อแบคทีเรียเป้ าหมาย ของแบคทีเรียกรดแลกติกโดยน าเชื ้อที่<br />
คัด เ ลื อ ก ไ ด้จ า ก ก า ร ท น ต่ อ ส ภ า ว ะ ค ว า ม เ ป็ น ก รด -ด่ า ง ท น ต่ อ เ ก ลื อน ้ า ดี สั ง เค ร า ะ ห์ แ ล ะ ท น ต่ อ
การประชุมวิชาการงานเกษตรนเรศวร ครั ้งที่<br />
01 225<br />
โซเดียมคลอไรด์ ทั ้งหมด 6 ไอโซเลท มาทดสอบการยับยั ้งเชื ้อแบคทีเรียเป้ าหมาย โดยการสังเกตบริเวณใส<br />
(Clear zone) ที่เกิดจากการสร้างกรดอินทรีย์ของแบคทีเรียกรดแลกติก<br />
ในการยับยั ้งเชื ้อเป้ าหมาย ซึ ่งมีทั ้งเชื ้อก่อ<br />
โรค และเชื ้อที่ท<br />
าให้อาหารเน่าเสีย ผลการทดลองพบว่า ไอโซเลท Tb11 สามารถยับยั ้งเชื ้อ Lactobacillus sakei<br />
subsp. sakei JCM 1157 T , Lactobacillus sakei TISTR 890, Leuconostoc mesenteroides subsp. mesenteroides<br />
JCM 6124 T , Leuconostoc mesenteroides TISTR 942, Leuconostoc cremoris, Lactobacillus plantarum TISTR<br />
8104, Brochotrix camprestris NBRC 11547, Pseudomonas fluorescens JCM 5963 T , Pseudomonas<br />
fluorescens TISTR 358 ผลการทดลองแสดงในตารางที ่ 1 จากการศึกษาที ่ผ่านมา พบว่ากิจกรรมการยับยั ้ง<br />
แบคทีเรียเป้ าหมายของแบคทีเรียกรดแลกติก อาจเป็ นผลมาจากการเกิดกรดอินทรีย์ที ่แบคทีเรียกรดแลกติกผลิต<br />
ออกมา ซึ ่งสารประกอบต่างๆเหล่านี ้ที่แบคทีเรียกรดแลกติกผลิตออกมา<br />
จะมีผลต่อแบคทีเรียได้ 2 ลักษณะ คือ<br />
มีฤทธิ ์ ในการยับยั ้งการเจริญ และมีฤทธิ ์ ในการฆ่า (หทัยรัตน์, 2551)<br />
Figure1 Effects of pH on growth of Tb11<br />
Figure2 Effects of bile salts on growth of Tb11
226 การประชุมวิชาการงานเกษตรนเรศวร ครั ้งที่<br />
01<br />
Figure3 Effects of NaCl on growth of Tb11<br />
Table1 List of indicator strains, growth condition and zone diameter of Tb11 against the strains<br />
Indicator strains Media Temperature (ºC) Zone diameter<br />
(mm)<br />
Lactic acid bacteria group<br />
Lactobacillus sakei TISTR 890<br />
Lactobacillus sakei subsp. sakei JCM 1157<br />
Leuconostoc mesenteroides subsp.<br />
mesenteroides JCM 6124 T<br />
Leuconostoc mesenteroides TISTR 942<br />
Leuconostoc cremoris<br />
Lactobacillus plantarum TISTR 8104<br />
Enterococcus faecalis TISTR 888<br />
Enterococcus faecalis JCM 5803 T<br />
Other gram positive bacteria<br />
Bacillus coagulans TISTR 1447<br />
Brochotrix campeatris NBRC 11547 T<br />
Staphylococcus aureus TISTR 118<br />
Other gram negative bacteria<br />
Salmonella Typhimurium<br />
Streptococcus sp. TISTR 1030<br />
Escherichia coli JCM 109<br />
Pseudomonas fluorescens JCM 5693 T<br />
Pseudomonas fluorescens TISTR 358<br />
Aeromonas hydrophila TISTR 1321<br />
MRS<br />
MRS<br />
MRS<br />
MRS<br />
MRS<br />
MRS<br />
MRS<br />
MRS<br />
TSB-YE<br />
TSB-YE<br />
TSB-YE<br />
TSB-YE<br />
TSB-YE<br />
TSB-YE<br />
TSB-YE<br />
TSB-YE<br />
NB<br />
37<br />
30<br />
30<br />
30<br />
30<br />
30<br />
37<br />
37<br />
37<br />
26<br />
37<br />
37<br />
37<br />
37<br />
26<br />
26<br />
30<br />
5(+)<br />
18(+)<br />
3(+)<br />
8(+)<br />
9(+)<br />
4(+)<br />
-<br />
-<br />
-<br />
2(+)<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
9(+)<br />
6(+)<br />
-
การประชุมวิชาการงานเกษตรนเรศวร ครั ้งที่<br />
01 227<br />
JCM = Japanese culture of Microroganism, Wako, Japan<br />
NRBC = National Institute of Technology and Evaluation (NITE) Biological Resource Center<br />
TISTR = Thailand Institute of Scientific and Technological Research<br />
TSB-YE = Tryptic soy broth (Himedia, India) + 0.5% Yeast extract (Merck, Germany)<br />
NB = Nutrient broth MRS= De Man Rogosa and Sharpe (Merck, Germany)<br />
+ = Inhibition zone - = No inhibition zone<br />
6. ก<br />
ารทดสอบความสามารถในการต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ<br />
จากการทดสอบความสามารถในการต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ จ านวน 15 ชนิด ของไอโซเลท Tb11 ผล<br />
การทดลองพบว่าไอโซเลท Tb11 สามารถต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ Gentamycin, Naldixic acid, Neomycin,<br />
Norfloxacin, Oxolinic acid และ Sulfamethoxazole/Trimethoprim แสดงในตาราง ที่<br />
2 มีรายงานว่า การ<br />
ต้านทานต่อยาปฏิชีวนะของแบคทีเรีย มีพื ้นฐานมาจาก 2 ปัจจัยด้วยกัน คือ การมียีนที่ต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ<br />
และการปรับตัวในสภาวะที่มียาปฏิชีวนะ<br />
การทดสอบคุณสมบัติการต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ (Mathur & Singh,<br />
2005) เป็ นคุณสมบัติข้อหนึ ่งในการคัดเลือกเชื ้อแบคทีเรี ยกรดแลกติกที ่มีคุณสมบัติในการเป็ นโปรไบโอติ<br />
กเนื่องจากในการเพาะเลี<br />
้ ยงสัตว์น ้ ามักมีการใช้ยาปฏิชีวนะเข้ามาเกี่ยวข้อง<br />
สาเหตุเนื ่องมาจาก การติดเชื ้อ<br />
แบคที เรี ย จากสิ ่ งแวดล้อม จึงจ าเป็ นอย่า งยิ่ง<br />
ที่<br />
ต้อง มี การศึกษาความส ามารถในการต้านท านต่ อ<br />
ยาปฏิชีวนะ<br />
Table2 Antibiotics resistance of isolate Tb11<br />
Antibiotic agents<br />
Ampicillins<br />
Chloramphenicol<br />
Cephalothin<br />
Erythomycin<br />
Gentamycin<br />
Kanamycin<br />
Disk<br />
content<br />
(ug)<br />
10<br />
30<br />
30<br />
15<br />
10<br />
30<br />
R<br />
11<br />
≤ 12<br />
≤ 14<br />
≤ 13<br />
≤ 12<br />
≤ 13<br />
Zone diameter<br />
I<br />
12-13<br />
13-17<br />
15-17<br />
14-22<br />
13-14<br />
14-17<br />
S<br />
≥14<br />
≥18<br />
≥18<br />
≥23<br />
≥15<br />
≥18<br />
Zone<br />
diameter<br />
(mm)<br />
30<br />
30<br />
30<br />
35<br />
9<br />
14<br />
Tb11<br />
Acceptable<br />
inhibitory<br />
S<br />
S<br />
S<br />
S<br />
R<br />
I
228 การประชุมวิชาการงานเกษตรนเรศวร ครั ้งที่<br />
01<br />
Naldixic acid<br />
30 ≤ 3<br />
Neomycin<br />
30 ≤ 12<br />
Nitrofurantion<br />
300 ≤ 14<br />
Norfloxacin<br />
10 ≤ 17<br />
Novabicin<br />
30 ≤ 12<br />
Oxolinic acid<br />
2 ≤ 10<br />
Tetracyclin<br />
30 ≤ 14<br />
Sulfamethoxazole/Trimethoprim 25 ≤ 10<br />
Oxytetracyclin<br />
30 ≤ 14<br />
S = Susceptible I = Intermediate R = Resistant<br />
สรุปผลการทดลอง<br />
การคัดแยกแบคทีเรี ยกรดแลกติก ที่มีคุณสมบัติในการเป็<br />
นโปรไบโอติก พบว่า ไอโซเลท Tb11<br />
สามารถเจริญและทนต่อกรดได้ที ่ pH 2-3 สามารถเจริญได้ในน ้าดีสังเคราะห์ที ่มีความเข้มข้น 0.9% เจริญได้ใน<br />
อาหารที่มีโซเดียมคลอไรด์ที<br />
่มีความเข้มข้น 1-5% และมีคุณสมบัติในการยับยั ้งแบคทีเรียเป้ าหมายได้ทั ้ง<br />
แบคทีเรียแกรมบวกและแบคทีเรียแกรมลบ นอกจากนี ้ ยังมีความสามารถในการต้านทานต่อ Gentamycin,<br />
Naldixic acid, Neomycin, Norfloxacin, Oxolinic acid และ Sulfamethoxazole/Trimethoprim จึงสามารถกล่าว<br />
ได้ว่าไอโซเลท Tb11 มีคุณสมบัติเบื ้องต้นในการเป็ นโปรไบโอติก<br />
เอกสารอ้างอิง<br />
14-18<br />
13-16<br />
15-16<br />
18-21<br />
13-16<br />
-<br />
15-18<br />
11-15<br />
15-18<br />
คมแข พิลาสมบัติ, จุฑารัตน์ เศรษฐกุล และ อดิศร เสวตวิวัฒน์. (2553). สมบัติการเป็ นโปรไบโอติกของ<br />
แบคทีเรียกรดแลกติกที ่ผลิตแบคเทอริโอซินซึ ่ งคัดแยกได้จากระบบทางเดินอาหารของปลากะพง.<br />
วารสารเกษตรพระจอมเกล้าลาดกระบัง, 28-3, 1-8.<br />
หทัยรัตน์ มุสิกสังข์. (2551). การคัดเลือกแบคทีเรียกรดแลกติกที ่เป็ นโปรไบโอติกในไก่และการเพิ่มการรอด<br />
ชีวิตของเชื ้อโดยการห่อหุ้ม. วิทยานิพนธ์ ปริญญาโท. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, สงขลา<br />
Begley, M., Cormac, G.M.G., & Hill, C. (2005). The interaction between bacteria and bile. FEMS<br />
Microbiol, 29, 625-651.<br />
Gomez-Gil, B., Roque, A., & Turnbull, J.F. (2000). The use and selection of probiotic bacteria for<br />
use in the culture of larval aquatic organisms. Aquaculture, 191, 259-270.<br />
≥19<br />
≥17<br />
≥17<br />
≥22<br />
≥17<br />
≥11<br />
≥19<br />
≥16<br />
≥19<br />
0<br />
11<br />
27<br />
13<br />
18<br />
0<br />
41<br />
0<br />
40<br />
R<br />
R<br />
S<br />
R<br />
S<br />
R<br />
S<br />
R<br />
S
การประชุมวิชาการงานเกษตรนเรศวร ครั ้งที่<br />
01 229<br />
Hyronimus, B., Marrec, C.L., Sassi, A.H., & Deschamps, A. (2000). Acid and bile tolerance of<br />
spore- forming lactic acid bacteria. Int. J. Food Microbiol, 61, 193-197.<br />
Mathur, S., & Singh, R. (2005). Antibiotic resistance in food lactic acid bacteria :a review. Int. J. Food<br />
Micribiol, 105, 281-295.<br />
Ringo, E., & Gatesoupe, F.J. (1997). Lactic acid bacteria in fish: a review. Aquaculture, 160, 177-203.<br />
Quinn, P.J., Carter, M.E., Markey, B.K., & Carter, G.R. (1994). Clinical Veterinary Microbiology.<br />
London WC1W9LB, England.<br />
Vinderola, G., Chaia, C.G., & Reinheimer, J.A. (2003). Lactic acid starter and probiotic bacteria: a<br />
comparative “in vitro” study of probiotic characteristics and biological barrier resistance. Food Res.<br />
Int., 36, 895-904.