SansaneePETAll.pdf
SansaneePETAll.pdf
SansaneePETAll.pdf
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
วิทยานิพนธ<br />
เรื่อง<br />
การบําบัดฟอรมัลดีไฮดในน้ําเสียจากโรงงานผลิตพลาสติก-เรซิน<br />
ดวยกระบวนการชั้น<br />
ตะกอนจุลินทรียไรอากาศแบบไหลขึ้น<br />
Treatment of Formaldehyde in Wastewater from Plastic - resin Manufacturing<br />
by Upflow Anaerobic Sludge Blanket Process<br />
โดย<br />
นางสาวศันศนีย เพชรทองบุญ<br />
เสนอ<br />
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร<br />
เพื่อความสมบูรณแหงปริญญาวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต<br />
(วิศวกรรมสิ่งแวดลอม)<br />
พ.ศ. 2548<br />
ISBN 974-9843-45-2
กิตติกรรมประกาศ<br />
วิทยานิพนธฉบับนี้สําเร็จลุลวงไปดวยความชวยเหลือของบุคคลตางๆ<br />
หลายทาน ผูวิจัยจึง<br />
ขอบพระคุณตอผูที่ใหความอนุเคราะห<br />
ดังตอไปนี้<br />
อาจารย ดร.สุชาติ เหลืองประเสริฐ ประธานกรรมการที่ปรึกษา<br />
ที่ไดชวยเหลือในการ<br />
วางแผนงานวิจัยในวิทยานิพนธฉบับนี้<br />
ตลอดจนการใหคําปรึกษาแนะนําและตรวจแกไขขอบก<br />
พรองตางๆ ขอกราบขอบพระคุณ รองศาสตราจารย ดร.วินัย เลียงเจริญสิทธิ์<br />
กรรมการที่ปรึกษา<br />
วิชาเอก อาจารย ดร.จีมา ชมสุรินทร กรรมการที่ปรึกษาวิชารอง<br />
อาจารย ดร.กานดิส สุดสาคร<br />
และ รองศาสตราจารยวัชรินทร วิทยกุล ผูแทนบัณฑิตวิทยาลัย<br />
ที่กรุณาใหคําปรึกษาแนะนําและ<br />
ชวยเหลือในการทําวิทยานิพนธใหสําเร็จลุลวงไปดวยดี<br />
สมาคมวิศวกรรมสิ่งแวดลอม<br />
แหงประเทศไทย ที่ใหการสนับสนุนดานเงินทุนในการทํา<br />
วิจัย คุณสมชาย ธนาวิบูลย ผูจัดการบริษัท<br />
เอส.พี.เอส คอนซัลติ้งเซอรวิส<br />
จํากัด ที่ใหความ<br />
อนุเคราะหใหใชหองปฏิบัติการเคมีวิเคราะห ของบริษัท เอส.พี.เอส คอนซัลติ้งเวอรวิส<br />
ทําการ<br />
วิเคราะหคาตางๆ ตลอดการทําการทดลอง<br />
คุณเชาวนา จงจิตร , คุณณัฐริกา พิมพะนิตย, คุณออนจันทร คําหารพล, คุณบังอร<br />
ศิริโพธิ์คา,<br />
คุณสุวรรณา เทพาหุดี และคุณสุภัทชา นาคพุม<br />
เจาหนาที่ประจําหองปฏิบัติการเคมี<br />
วิเคราะห คุณพีระ เดชอุดม ผูจัดการดานเทคนิคภาคสนาม<br />
คุณพงศกร ทัศนจํารูญ และคุณจิราวุฒิ<br />
สะคาน เจาหนาที่เทคนิคภาคสนามบริษัท<br />
เอส.พี.เอส คอนซัลติ้งเวอรวิส<br />
จํากัด ที่ใหความชวยเหลือ<br />
ในการจัดเตรียมเครื่องมืออุปกรณในการเก็บตัวอยาง<br />
จัดเตรียมอุปกรณและสารเคมีในการวิเคราะห<br />
รวมทั้งทําการวิเคราะหกาซชีวภาพ<br />
ตลอดการทําการทดลอง<br />
คุณแสนสุข คุณาวุฒิ ผูจัดการทั่วไปสายโรงงาน<br />
และคุณพรประภา ศรีรัตนพรพันธ<br />
หัวหนาสวนงานบําบัดน้ําเสีย<br />
บริษัททีโอเอ โดฟเคม อินดัสตรีย จํากัด จ.สมุทรปราการ ที่ใหความ<br />
อนุเคราะหดานน้ําเสียตัวอยาง<br />
และขอมูลดานน้ําเสียที่มีการปนเปอนของฟอรมัลดีไฮดสําหรับใชใน<br />
งานวิจัย
คุณสุชิรา ขาวชู เจาหนาที่สิ่งแวดลอม<br />
บริษัทเสริมสุข จํากัด (มหาชน) จ.ปทุมธานี ที่ให<br />
ความอนุเคราะหดานเชื้อจุลินทรียจากระบบบําบัดน้ําเสียแบบยูเอเอสบี<br />
ของบริษัทเสริมสุข<br />
คุณพรรณราย รุญเจริญ เจาหนาที่หองปฏิบัติการวิศวกรรมสิ่งแวดลอม<br />
และคุณวรางค<br />
ลักษณ ซอนกลิ่น<br />
นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรที่ใหคําปรึกษา<br />
และชวยจัดเตรียม<br />
สถานที่ในการทําการทดลอง<br />
ทายที่สุดนี้<br />
ผูวิจัยใครขอขอบกราบพระคุณบิดา-มารดา<br />
ซึ่งสนับสนุนในดานการเงิน<br />
และ<br />
ใหกําลังใจเสมอมา รวมทั้งพี่ชาย<br />
และนองชายที่ใหคําปรึกษาและใหกําลังใจเสมอมาจนสําเร็จการ<br />
ศึกษา<br />
ศันศนีย เพชรทองบุญ<br />
ตุลาคม 2548
สารบัญ<br />
สารบัญ (1)<br />
สารบัญตาราง (3)<br />
สารบัญภาพ (6)<br />
คําอธิบายสัญลักษณและคํายอ (8)<br />
คํานํา 1<br />
วัตถุประสงคของงานวิจัย 3<br />
ขอบเขตการศึกษา 3<br />
การตรวจเอกสาร 4<br />
ฟอรมัลดีไฮด 4<br />
ยูเรีย-ฟอรมัลดีไฮด 7<br />
ผลงานวิจัยที่เกี่ยวของกับการบําบัดฟอรมัลดีไฮด<br />
11<br />
ระบบ Upflow Anarobic Sludge Blanket (UASB) 16<br />
หลักการทํางานของระบบ UASB 17<br />
สภาพทางจุลชีวะของการยอยสลายในสภาพไรออกซิเจนในถังหมักยูเอเอสบี 19<br />
พารามิเตอรที่มีผลตอการทํางานของกระบวนการยูเอเอสบี<br />
22<br />
พารามิเตอรในการออกแบบระบบบําบัดน้ําเสียแบบไมใชอากาศ<br />
30<br />
ขอกําหนดการออกแบบ (Design Criteria) 32<br />
อุปกรณและวิธีการ 33<br />
แผนการทดลอง 33<br />
วิธีการทดลอง 33<br />
วัสดุและอุปกรณ 38<br />
การวิเคราะหคุณภาพน้ํา<br />
41<br />
การวิเคราะหคุณภาพกาซ 42<br />
สถานที่และระยะเวลาทําการวิจัย<br />
42<br />
(1)<br />
หนา
สารบัญ (ตอ)<br />
ผลการทดลองและวิจารณ 43<br />
คุณสมบัติของนํ้<br />
าเสียสังเคราะหและนํ้<br />
าเสียจริงที่ใชในการทดลอง<br />
43<br />
ผลการทดลอง 44<br />
สรุปผลการทดลอง 70<br />
ขอเสนอแนะ 71<br />
เอกสารและสิ่งอางอิง<br />
72<br />
ภาคผนวก 79<br />
ภาคผนวก ก ขอมูลผลการทดลอง 80<br />
ภาคผนวก ข เทคนิคการเก็บและวิเคราะหตัวอยางทางหองปฏิบัติการ 106<br />
ภาคผนวก ค สถานที่เก็บตัวอยางนํ้<br />
าเสีย 119<br />
(2)<br />
หนา
สารบัญตาราง<br />
ตารางที่<br />
หนา<br />
1 ปกําเนิดพลาสติกชนิดตางๆ 9<br />
2 ธาตุอาหารเสริมที่เหมาะสําหรับการยอยสลายแบบไรออกซิเจน<br />
21<br />
3 ปริมาณอิออนที่มีผลตอการทํางานของจุลินทรในระบบการยอยสลายสารอินทรีย<br />
แบบไรออกซิเจน 27<br />
4 ระดับความเขมขนสารตางๆ ที่สงผลความเปนพิษตอแบคทีเรียในระบบหมัก<br />
ผลิตกาซชีวภาพ 28<br />
5 ปริมาณของโลหะหนักที่ทําใหกระบวนการยอยสลายสารอินทรียแบบ<br />
ไรออกซิเจน 29<br />
6 ปริมาณแอมโมเนีย-ไนโตรเจนที่มีผลตอกระบวนการยอยสลายสารอินทรีย<br />
แบบไรออกซิเจน 30<br />
7 การเตรียมน้ําเสียสังเคราะห<br />
34<br />
8 คุณสมบัติน้ําเสียสังเคราะห<br />
34<br />
9 คุณสมบัติน้ําเสียจริง<br />
35<br />
10 การวิเคราะหตัวอยางน้ํา<br />
41<br />
11 การวิเคราะหตัวอยางกาซ 42<br />
12 แสดงคุณสมบัติของน้ําเสียสังเคราะหและน้ําเสียจริงที่ใชในการทดลอง<br />
43<br />
13 พารามิเตอรที่ใชเปนตัวติดตามความเหมาะสมของระบบ<br />
44<br />
14 แสดงคา VFA/Alk. ชวงเริ่มเดินระบบ<br />
45<br />
15 แสดงอัตราการผลิตกาซชีวภาพชวงเริ่มเดินระบบเมื่อเขาสูสภาวะคงตัว<br />
44<br />
16 ผลการทดลองแบบ ทีละเทเมื่อเวลาผานไป<br />
6 วัน 48<br />
17 แสดงอัตราการผลิตกาซชีวภาพเมื่อระบบเขาสูสภาวะคงตัว<br />
แบบทีละเท<br />
(Batch Treatment Process) 49<br />
18 คาเฉลี่ยเมื่อระบบเขาสูสภาวะคงตัวของแตละระดับภาระบรรทุกสารอินทรีย<br />
52<br />
19 แสดงคาปริมาณการกําจัด COD ที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
(HRT) ตางๆ 56<br />
(3)
สารบัญตาราง (ตอ)<br />
ตารางที่<br />
หนา<br />
20 แสดงคาปริมาณการกําจัดฟอรมัลดีไฮด ที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
(HRT) ตางๆ 58<br />
21 แสดงอัตราการผลิตกาซชีวภาพเมื่อมีการเพิ่มอัตราภาวะบรรทุกสารอินทรีย<br />
ที่ปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
50 มก./ล. 59<br />
22 แสดงคาเริ่มตนและคาสิ้นสุดของ<br />
MLSS และ MLVSS ที่ระดับการปนเปอน<br />
ฟอรมัลดีไฮดแตละระดับ 60<br />
23 คาเฉลี่ยเมื่อระบบเขาสูสภาวะคงตัวของแตละระดับการปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
62<br />
24 แสดงความสัมพันธระหวาง COD: Formaldehyde 63<br />
25 แสดงอัตราการผลิตกาซชีวภาพเมื่อมีการเพิ่มความเขมขนฟอรมัลดีไฮด<br />
ที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
24 ชั่วโมง<br />
65<br />
26 แสดงคาเริ่มตนและคาสิ้นสุดของ<br />
MLSS และ MLVSS ในแตละการทดลอง<br />
ของน้ําเสียสังเคราะหและน้ําเสียจริง<br />
66<br />
27 แสดงคาเฉลี่ยคุณลักษณะของน้ําเสียจริงกอนและหลังการปรับ<br />
pH ที่ใชใน<br />
การทดลอง 67<br />
28 แสดงคาเฉลี่ยเมื่อระบบเขาสูสภาวะคงตัวของการทดลองน้ําเสียจริงเพื่อ<br />
เปรียบเทียบกับน้ําเสียสังเคราะห<br />
68<br />
29 แสดงอัตราการผลิตกาซชีวภาพเมื่อเดินระบบกับน้ําเสียจริง<br />
ที่ระยะเวลา<br />
เก็บกัก 24 ชั่วโมง<br />
69<br />
ตารางผนวกที่<br />
่<br />
่<br />
่<br />
่<br />
่<br />
่<br />
ก1 ผลการทดลองขั้นตอนที<br />
1 (Start up) 81<br />
ก2 ผลการทดลองขั้นตอนที<br />
2 (Batch Treatment Process) 85<br />
ก3 ผลการทดลองขั้นตอนที<br />
3 (ที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
48 ชม.) 87<br />
ก4 ผลการทดลองขั้นตอนที<br />
3 (ที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
24 ชม.) 89<br />
ก5 ผลการทดลองขั้นตอนที<br />
3 (ที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
12 ชม.) 91<br />
ก6 ผลการทดลองขั้นตอนที<br />
3 (ที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
6 ชม.) 93<br />
(4)
สารบัญตาราง (ตอ)<br />
ตารางผนวกที่<br />
หนา<br />
่<br />
่<br />
่<br />
่<br />
่<br />
ก7 ผลการทดลองขั้นตอนที<br />
4 (น้ําเสียปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
150 มก./ล.) 95<br />
ก8 ผลการทดลองขั้นตอนที<br />
4 (น้ําเสียปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
250 มก./ล.) 97<br />
ก9 ผลการทดลองขั้นตอนที<br />
4 (น้ําเสียปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
350 มก./ล.) 99<br />
ก10 ผลการทดลองขั้นตอนที<br />
4 (น้ําเสียปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
550 มก./ล.) 101<br />
ก11 ผลการทดลองขั้นตอนที<br />
5 (น้ําเสียจริง)<br />
103<br />
(5)
สารบัญภาพ<br />
ภาพที่<br />
หนา<br />
1 ปฏิกิริยาการเปลี่ยนรูปของฟอรมัลดีไฮด<br />
5<br />
2 กาวเรซินยูเรียฟอรมัลดีไฮด 9<br />
3 สมการทางเคมีของยุเรีย-ฟอรมัลดีไฮด 9<br />
4 สูตรเคมียูเรีย-ฟอรมัลดีไฮด 10<br />
5 จุลชีวิทยาของระบบบําบัดแบบไมใชอากาศ “Upflow Anaerobic Sludge Blanket” 17<br />
6 แสดงลักษณะการทํางานของ ถังปฏิกรณแบบ Upflow Anaerobic Sludg 19<br />
7 องคประกอบเม็ดตะกอน (Granuala Sludge) 21<br />
8 ภาพถายและภาพตัวอยางตัวถังปฏิกิริยาแบบ UASB ระดับหองปฏิบัติการ 39<br />
9 แผนภาพระบบถังระบบถังปฏิกิริยาชั้นตะกอนจุลินทรียไรอากาศแบบไหลขึ้น<br />
39<br />
10 ภาพถายสวนประกอบระบบถังระบบถังปฏิกิริยาชั้นตะกอนจุลินทรียไรอากาศ<br />
แบบไหลขึ้น<br />
(UASB) 40<br />
11 กราฟแสดง % COD Removal ขั้นเริ่มเดินระบบ<br />
45<br />
12 กราฟแสดง VFA / Alk. ขั้นเริ่มเดินระบบ<br />
46<br />
13 แสดงปริมาณ MLSS และ MLVSS ชวงเริ่มเดินระบบจนเขาสูสภาวะคงตัว<br />
46<br />
14 แสดงปริมาณกาซมีเทนและกาซคารบอนไดออกไซด ชวงเริ่มเดินระบบจนเขาสู<br />
สภาวะคงตัว 47<br />
15 แสดงปริมาณ COD ที่ถูกกําจัดแบบทีละเท<br />
(Batch Treatment Process) 50<br />
16 แสดงปริมาณ ฟอรมัลดีไฮด ที่ถูกกําจัดแบบทีละเท<br />
(Batch Treatment Process) 51<br />
17 แสดงปริมาณ MLSS และ MLVSS ตั้งแตขั้นตอนเริ่มเดินระบบ<br />
จนถึง<br />
การทดลองขั้นตอนที่<br />
3 เปนระยะเวลา 126 วัน 53<br />
18 แสดงเปรียบเทียบปริมาณการกําจัด COD ที่ระยะเวลาเก็บกัก(HRT)<br />
ตางๆ 57<br />
19 แสดงเปรียบเทียบปริมาณการกําจัดฟอรมัลดีไฮด ที่ระยะเวลาเก็บกัก(HRT)<br />
ตางๆ 59<br />
20 แสดงปริมาณ MLSS และ MLVSS ตั้งแตขั้นตอนเริ่มเดินระบบ<br />
จนถึง<br />
การทดลองขั้นตอนที่<br />
4 เปนระยะเวลา 186 วัน 61<br />
21 แสดงเปรียบเทียบปริมาณการกําจัด CODที่แตละระดับการปนเปอนของฟอรมัลดีไฮด<br />
64<br />
(6)
สารบัญภาพ (ตอ)<br />
ภาพที่<br />
หนา<br />
22 แสดงเปรียบเทียบปริมาณการกําจัดฟอรมัลดีไฮดที่แตละระดับ<br />
การปนเปอนของฟอรมัลดีไฮด<br />
64<br />
23 แสดงปริมาณ MLSS และ MLVSS ตั้งแตขั้นตอนเริ่มเดินระบบจนถึงการทดลอง<br />
ชั้นตอนที่<br />
5 เปนระยะเวลา 205 วัน 67<br />
ภาพผนวกที่<br />
ข1 แสดงการเก็บกาซแบบ Gas Bag 107<br />
ข2 Methane Analyzer (CH4 Monitor : APHA-360) 108<br />
ข3 Carbondioxide Analyzer (CO2 Monitor : OPGU-2100) 108<br />
ค1 บริษัททีโอเอ โดฟเคม จํากัด (TOA Dovechem Co.,Ltd.) จ.สมุทรปราการ 120<br />
ค2 น้ําเสียฟอรมัลดีไฮดที่ผานกระบวนการออกซิเดชัน<br />
(Oxidation Process) 120<br />
(7)
คําอธิบายสัญลักษณและคํายอ<br />
BOD ความตองการออกซิเจนทางชีวเคมี (biochemical oxygen demand)<br />
CH4 กาซมีเทน (Methane gas)<br />
CO2 กาซคารบอนไดออกไซด (Carbon dioxide gas)<br />
COD ความตองการออกซิเจนเชิงเคมี (chemical oxygen demand)<br />
d วัน<br />
hr. ชั่วโมง<br />
HRT ระยะเวลาเก็บกักของเหลว (hydraulic retention time)<br />
kg กิโลกรัม<br />
L ลิตร<br />
m เมตร<br />
mg มิลลิกรัม<br />
min นาที<br />
mL มิลลิลิตร<br />
MLSS ของแข็งแขวนลอยในน้ําตะกอน<br />
(mix liquor suspended solids)<br />
MLVSS ของแข็งแขวนลอยระเหยงายในน้ําตะกอน<br />
(mix liquor volatile suspended solids)<br />
mm มิลลิเมตร<br />
pH คาความเปนกรดดาง<br />
ppm หนึ่งสวนในลานสวน<br />
SS ของแข็งแขวนลอยในน้ําและน้ําเสีย<br />
TKN Total Kjedahl Nitrogen<br />
UASB ชั้นตะกอนจุลินทรียไรอากาศแบบไหลขึ้น<br />
(Upflow Anaerobic Sludge Blanket)<br />
VFA กรดอินทรียระเหยงาย (Volatile fatty Acid)<br />
(8)
การบําบัดฟอรมัลดีไฮดในน้ําเสียจากโรงงานผลิตพลาสติก-เรซิน<br />
ดวยกระบวนการ<br />
ชั้นตะกอนจุลินทรียไรอากาศแบบไหลขึ้น<br />
Treatment of Formaldehyde in Wastewater from Plastic - resin Manufacturing<br />
by Upflow Anaerobic Sludge Blanket Process<br />
คํานํา<br />
การขยายตัวอยางรวดเร็วของอุตสาหกรรมพลาสติก-เรซินในประเทศไทยมีผลมาจาก<br />
ความตองการใชพลาสติกในชีวิตประจําวันที่เพิ่มขึ้น<br />
พลาสติกเปนวัสดุที่ทนทาน<br />
น้ําหนักเบา<br />
และ<br />
สะดวกตอการใชสอยในกิจกรรมที่เกี่ยวของกับชีวิตประจําวัน<br />
ผลิตภัณฑพลาสติกสามารถใช<br />
ประโยชนไดหลายอยาง เชน ใชทําถังและอุปกรณตางๆในอุตสาหกรรมเคมี เครื่องใชสําหรับการ<br />
เกษตรกรรม ของใชในครัวเรือน เฟอรนิเจอร บรรจุภัณฑของยา อาหารและเครื่องดื่ม<br />
เครื่องประดับ<br />
และเครื่องนุงหม<br />
ใชเปนอุปกรณกีฬา เปนสวนประกอบของรถยนต เครื่องบินและยานอวกาศ<br />
เปน<br />
สวนประกอบโครงสรางอาคาร เปนชิ้นสวนของเครื่องใชไฟฟา<br />
สวนประกอบของเครื่องใชอิเลค<br />
โทรนิคส และเครื่องใชอื่นๆอีกมากมาย<br />
(ชัยวัฒน, 2526)<br />
ในอุตสาหกรรมผลิตพลาสติก-เรซิน ฟอรมัลดีไฮด(Formaldehyde)ถูกใชเปนสารตั้งตน<br />
ในการผลิตพลาสติก ฟอรมัลดีไฮด หรือเรียกทั่วไปวา<br />
ฟอรมาลีน เปนของเหลวใส ไมมีสี มีกลิ ่น<br />
ฉุนเฉพาะตัว ระเหยงาย เมื่อสูดดมเขาไปจะทําใหเกิดอาการแสบจมูก<br />
หากสัมผัสกับผิวหนังเปน<br />
เวลานานก็จะกอใหเกิดมะเร็งผิวหนังได หากเขาตาก็จะทําใหแสบตา และปวดศีรษะ ฟอรมัลดีไฮด<br />
เปนสารพิษที่มีผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตหลายชนิด<br />
ดังนั้นหากมีการปลอยน้ําเสียที่มีฟอรมัลดีไฮดปน<br />
เปอนลงสูแหลงน้ําสาธารณะก็จะกอใหเกิดอันตรายตอสัตวน้ําและพืชน้ํา<br />
หากปลอยลงสูแหลงน้ําที่<br />
มนุษยใชอุปโภคบริโภคก็จะเปนอันตรายตอมนุษย (กรมควบคุมมลพิษ, 2541) ดังนั้น<br />
การบําบัดน้ํา<br />
เสียที่มี<br />
ฟอรมัลดีไฮดปนเปอนจึงเปนเรื่องที่สําคัญ<br />
โดยทั่วไปวิธีการบําบัดสารประกอบฟอรมัลดีไฮดซึ่งเปนสารพิษ<br />
ที่ปนเปอนในน้ําเสีย<br />
โรงงาน เชน โรงงานสีและน้ํามันชักเงา<br />
โรงงานพลาสติก-เรซิน และโรงงานเครื่องสําอาง<br />
มีอยูดวย<br />
กันหลายวิธี เชน 1) Chemical Oxidation Process โดยเลือกใช Ozone (O3), Hydrogenperoxide
(H2O2) และChlorine (Cl2) เปน Oxidizing agent หรือ เพิ่ม<br />
UV เปนตัวเรงปฏิกิริยา(Huan Jing Ke<br />
Xue, 2003) และ 2) Adsorption Process เปนวิธีที่กําจัดสารพิษที่มีความเขมขนเริ่มตนไมสูงมาก<br />
นัก(Tanja R. Vidakovic, 2000) วิธีการกําจัดดังกลาวประสบปญหาหลายอยางเชน ราคาคาติดตั้งสูง<br />
คาใชจายดานสารเคมี ผลกระทบจากสารเคมีที่ตกคาง<br />
คาวิเคราะห และคาบํารุงรักษาอุปกรณ ดัง<br />
นั้น<br />
การหาทางเลือกอื่นในการบําบัดน้ําเสีย<br />
เชน การบําบัดทางชีวภาพ (Biological Treament<br />
Processes) แบบไมใชอากาศ (Anaerobic Processes) โดยใชถังไรอากาศแบบชั้นสลัดจ<br />
(Anaerobic<br />
Sludge Blanket Reactor) หรือนิยมเรียกวา Upflow Anaerobic Sludge Blanket Treatment (UASB)<br />
เปนวิธีที่นาสนใจ<br />
เพราะไมสิ้นเปลืองคาใชจายในดานสารเคมี<br />
และคาไฟฟาในการเติมอากาศ รวม<br />
ทั้งระบบ<br />
UASB เปนระบบบําบัดที่สามารถใหกาซมีเทนซึ่งสามารถนํามาใชเปนเชื้อเพลิง<br />
อยาง<br />
ไรก็ตามการบําบัดฟอรมัลดีไฮดดวยระบบ UASB ยังไมถูกใช เนื่องจากขาดขอมูลสําคัญตางๆ<br />
เชน<br />
ผลกระทบของฟอรมัลดีไฮดตอประสิทธิภาพการบําบัดของระบบและความเขมขนของฟอรมัลดี<br />
ไฮดที่เหมาะสมตอระบบ<br />
UASB และพารามิเตอรที่เหมาะสมในการเดินระบบ<br />
ดังนั้นการศึกษาวิจัย<br />
ครั้งนี้จึงมุงเนนไปสูการศึกษาความเปนไปไดในการบําบัดน้ําเสียที่มีฟอรมัลดีไฮดปนเปอนโดยใช<br />
ระบบ UASB ในระดับหองปฏิบัติการ<br />
2
วัตถุประสงคของงานวิจัย<br />
1. เพื่อศึกษาความเปนไปไดของการกําจัดฟอรมัลดีไฮด<br />
โดยใชระบบชั้นตะกอน<br />
จุลินทรีย ไรอากาศแบบไหลขึ้น(Upflow<br />
Anaerobic Sludge Blanket Process : UASB)<br />
2. ศึกษาปจจัยที่มีผลตอการทํางานของระบบ<br />
ไดแก คาภาระบรรทุกสารอินทรีย ระยะ<br />
เวลาเก็บกัก และความเขมขนฟอมัลดีไฮดในน้ําเสีย<br />
ขอบเขตการวิจัย<br />
1. ระบบที่ใชในการศึกษาเปนถังปฏิกิริยาแบบชั้นตะกอนจุลินทรียไรอากาศแบบไหลขึ้น<br />
(Upflow Anaerobic Sludge Blanket Process : UASB)<br />
2. สภาวะที่เหมาะสมในการกําจัดฟอรมัลดีไฮด<br />
ประกอบดวย สภาพความเปนกรดดา<br />
คาภาระบรรทุกสารอินทรีย ระยะเวลาเก็บกัก และระดับความเขมขนฟอมัลดีไฮดในน้ําเสีย<br />
3. ความเขมขนของฟอรมัลดีไฮดที่มีผลตอประสิทธิภาพของระบบ<br />
UASB อยูในชวง<br />
50 - 550 mg/L ซึ่งครอบคลุมความเขมขนของน้ําเสียจริงที่ใชในการทดลอง<br />
3
คุณสมบัติ (Properties)<br />
ตรวจเอกสาร<br />
ฟอรมัลดีไฮด<br />
สารละลายฟอรมัลดีไฮด หรือเรียกทั่วไปวา<br />
“ฟอรมาลีน” หมายถึง สารละลายที่ประกอบ<br />
ดวยกาซฟอรมัลดีไฮดประมาณรอยละ 37-50 โดยน้ําหนักในน้ํา<br />
และมีเมทานอล ปนอยูดวย<br />
ประมาณ 10-15% ทั้งนี้<br />
เพื่อปองกันการเกิดโพลีเมอรไรเซซัน<br />
(polymerization) ลักษณะทั่วไปของ<br />
ฟอรมาลินเปนของเหลวใส ไมมีสี มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว<br />
สูตรโครงสราง (Structure formula)<br />
1. น้ําหนักโมเลกุล<br />
(molecular weight) : 30.03 g/mol<br />
การระเบิด (explosion)<br />
lower explosive limit 7.0%<br />
upper explosive limit 73.0%<br />
2. อุณหภูมิที่ติดไฟเอง<br />
(autoignition temp) : 806°F<br />
3. ความหนาแนน (density) : 1.0 g/m 3<br />
4. จุดเดือด (boiling point) : -3 °F<br />
5. จุดวาบไฟ (flash point)<br />
สูตร 37.0% (methanol free) 185 °F<br />
สูตร 15% (methanol free) 122 °F<br />
6. ชื่ออื่นๆ<br />
(synonyms)<br />
- ฟอรมิก อัลดีไฮด<br />
- เมทานอล<br />
- ออกโซมีเทน<br />
4
ปฏิกิริยาการเปลี่ยนรูปของฟอรมัลดีไฮด<br />
การกําจัดฟอรมัลดีไฮดในน้ําเสียจากโรงงานพลาสติก-เรซิน<br />
ดวยกระบวนการทาง<br />
ชีวภาพแบบไมใชอากาศนั้น<br />
ฟอรมัลดีไฮดจะถูกยอยดวยแบคทีเรีย ผลิตภัณฑที่ได<br />
คือ เมทานอล<br />
และ กรดฟอรมิก ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเปนดังนี้<br />
Formaldehyde<br />
Formic acid<br />
ภาพที่<br />
1 ปฏิกิริยาการเปลี่ยนรูปของฟอรมัลดีไฮด<br />
ที่มา:<br />
Chen and Shieh (1985)<br />
การผลิต (production)<br />
Methanol<br />
Formaldehyde<br />
ฟอรมัลดีไฮด ผลิตขึ้นโดยการออกซิเดชันของ<br />
methanol กับออกซิเจนในอากาศ หรือ<br />
โดยการออกซิเดชันของ methane<br />
5
การใช (uses)<br />
ดานอุตสาหกรรม<br />
ดานการเกษตร<br />
ดานการแพทย<br />
1. ในการผลิตเรซินและพลาสติก เชน urea-formaldehyde, melamine-formaldehyde,<br />
phenol-formaldehyde และอื่นๆ<br />
2. ในการสังเคราะห urotropine, propagul alcohol ยา และวัตถุระเบิดสีตางๆ เชน สีคราม<br />
สีแดง สีอะครีลิก<br />
3. ในการยอมเพื่อปรับปรุงใหสีและสียอมติดแนนขึ้น<br />
4. ในการฟอกสีและการพิมพ เชน การเตรียม rongalite, Heraldite<br />
5. ในอุตสาหกรรมกระดาษเพื่อใหกระดาษลื่นและกันน้ําได<br />
6. ในการผสมโลหะ เพื่อระงับการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน<br />
7. ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ<br />
เพื่อผลิตผลที่ใชในการเปลี่ยนแปลงลักษณะน้ําหนักและความ<br />
แข็งแรงของไหมสังเคราะห<br />
8. ใชสําหรับถายภาพ ทําใหเก็บรักษาไดนาน<br />
1. ใชสําหรับการทําลายและปองกันจุลินทรียและตนไมที่เปนโรค<br />
2. ใชฆาเชื้อโรคในดิน<br />
3. ใชทําความสะอาดสถานที่เก็บอุปกรณ<br />
เชน ลังไม<br />
4. ใชเปนสวนผสมของสารละลายที่ใชเคลือบผัก<br />
ผลไม จําพวกสมระหวางการเก็บเกี่ยว<br />
เพื่อชะลอการเนาเสีย<br />
5. ใชเปนปุย<br />
1. ใชในการเก็บรักษา anatomical specimens, ดองศพ<br />
2. ใชทําความสะอาดหองผูปวย<br />
เครื่องมือเครื่องใชในการเตรียมและสังเคราะหผลิต<br />
ภัณฑยา วัคซีน<br />
6
เครื่องสําอาง<br />
มาตรฐานน้ํา<br />
1. ใชในเครื่องสําอางเพื่อไมใหเหงื่อออกมาก<br />
2. ใชในยาสีฟน ยาบวนปาก สบู<br />
ครีมโกนหนวด เพื่อฆาเชื้อ<br />
3. ใชในน้ํายาดับกลิ่นตัวและอื่นๆ<br />
ประเทศไทย กรมโรงงานอุตสาหกรรมกําหนดความเขมขนของฟอรมัลดีไฮดในน้ําเสีย<br />
จากโรงงานอุตสาหกรรมมีคาไมเกิน 1.0 มก./ล. (กรมควบคุมมลพิษ, 2541)<br />
ประเทศสหภาพแหงสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต กําหนดมาตรฐานน้ําคือ<br />
1. ปริมาณสูงสุดที่ยอมใหมีไดในน้ําดื่มและน้ําใชเพื่อการพักผอนหยอนใจ<br />
เทากับ 0.01 มก./ล.<br />
2. ปริมาณสูงสุดที่ยอมใหมีในแหลงน้ําที่ใชในการประมงเทากับ<br />
0.25 มก./ล.<br />
(กรมควบคุมมลพิษ, 2541)<br />
ยูเรีย-ฟอรมัลดีไฮด<br />
กาวยูเรีย-ฟอรมัลดีไฮด (UF, Urea Formaldehyde)<br />
กาวชนิดแรกที่ไดรับการพัฒนาอยางกวางขวาง<br />
ซึ่งมีการใชกันมารวม<br />
60 กวาปแลว เปน<br />
กาวที่นิยมใชกันอยางแพรหลาย<br />
เริ่มจากใชฟอรมัลดีไฮดผสมกับยูเรียใหความรอนในสวนผสมที่<br />
เปนดางทําใหเกิดเมธิลอลยูเรีย แตยังไมเปนกาว แลวทําปฏิกิริยาในสวนผสมที่เปนกรด<br />
จึงหยุด<br />
ปฏิกิริยาโดยเติมดางใหมีสภาพเปนกลาง แลวกําจัดน้ําออกจากสวนผสมที่มากขึ้นจากการเกิด<br />
ปฏิกิริยาควบแนน จนไดสวนผสมกาวที่เขมขนหรือจะระเหยน้ําตอไปจนไดเปนผงโดยนํากาวเขม<br />
ขนไปพนผานรูเล็กๆ ในปลองความรอนที่ใหความรอนสูงถึง<br />
200 องศาเซลเซียส กาวยูเรียฟอรมัลดี<br />
ไฮด มีการจําหนายกันทั้งในสภาพของเหลว<br />
และเปนผง เปนผงก็จะเปนทั้ง<br />
ถุงเดี่ยวและชนิด<br />
2 ถุง<br />
โดยถุงเดี่ยวก็จะมีการผสมสารเรงแข็งดวย<br />
หากชนิด 2 ถุง ก็จะแยกเปนถุงกาวผงยูเรียฟอรมัลดีไฮด<br />
7
1 ถุง อีกถุงหนึ่งก็จะเปนสารเรงแข็งที่อาจจะผสมสารเพิ่มอื่นไดดวย<br />
เชน แปงสาลี แปงอื่นๆ<br />
หรือ<br />
ผงดินขาว (kaolin) หรือแคลเซียมซัลเฟต การเตรียมกาวโดยนํากาวผงหลักหรือกาวน้ํา<br />
มาผสมกับ<br />
น้ํา<br />
แลวผสมกับสารชวยใหกาวแข็งตัว (hardener) เมื่อเขากันไดดีแลว<br />
จึงนําไปทาบนผิวไมที่จะทํา<br />
การยึดติด สารชวยใหกาวแข็งตัวจะมีสภาพเปนกรด ซึ่งจะไปรุกเริ่มใหปฏิกิริยาทางเคมีเชื่อมตัวทาง<br />
ขวาง ที่หยุดปฏิกิริยาไวขณะทําการสังเคราะหกาวเกิดปฏิกิริยาสมบูรณขึ้น<br />
โดยมีการใหความรอน<br />
กับแนวกาวเปนตัวเรงใหแข็งตัวยิ่งขึ้น<br />
สารชวยใหกาวแข็งตัวที่ใชกับกาวยูเรียฟอรมัลดีไฮดควรเปน<br />
ชนิดกรดออนมากๆ เนื่องจากหากใชกรดแกจะทําใหผิวไมเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลซเปนผลใหแนว<br />
กาวเสียหาย การลดการปลดปลอยสารฟอรมัลดีไฮดจากผลิตภัณฑไมที่ใชกาวยูเรียฟอรมัลดีไฮด<br />
ควรลดสัดสวนโมล F:U ในการสังเคราะหกาวเรซินจาก 1.8 : 1 หรือ 2.0 : 1 ใหต่ํากวา<br />
1.6 : 1 หรือ<br />
ในบางกรณีต่ําถึง<br />
1.2 :1 การใชสัดสวนโมล F:U ต่ําๆ<br />
นอกจากจะทําใหตองเพิ่มระยะเวลาในการ<br />
สังเคราะหเรซินแลว กาวที่ไดจะตองใชระยะเวลาในการทําใหแข็งตัวนานขึ้นดวย<br />
และยังทําให<br />
ความแข็งแรงของการยึดติดมีแนวโนมต่ําลง<br />
ความตานทานความชื้นลดลง<br />
ระยะเวลาการเก็บรักษา<br />
(ความเสถียร) ลดลง การลดสารฟอรมัลดีไฮดของกาวยูเรียฟอรมัลดีไฮดในการปฏิบัติงานนั้น<br />
สามารถทําไดโดยเติมสารเพิ่มอื่น<br />
เชน ยูเรีย เมลามีน แทนนิน โซเดียมไดซัลไฟต และกรดอนินทรีย<br />
อยางออนๆ แตก็จะทําใหการคงทนตอน้ําและอุณหภูมิที่สูงขึ้นต่ําลง<br />
ซึ่งก็จะไมแนะนําใหใชในการ<br />
ตอไมที่ตองใชในที่ๆ<br />
มีความชื้นและมีความรอน<br />
กาวเรซินยูเรียฟอรมัลดีไฮด พบมีการใชโดยทั่วไปในการผลิตแผนไมอัด<br />
แผนปารติเกิล<br />
แผน MDF แผนไสไมระแนง และนิยมใชกันมากในการปดผิวไมบางบนงานเครื่องเรือน<br />
แตก็ตอง<br />
ระมัดระวังวาเปนกาวที่เหมาะตอการใชงานเพียงพอทนทานตอความชื้นแตไมตานทานน้ํา<br />
(ศูนยเทคโนโลยีโลหะและวัสดุแหงชาติ, 2543)<br />
8
ภาพที่<br />
2 กาวเรซินยูเรียฟอรมัลดีไฮด<br />
ที่มา:<br />
ศูนยเทคโนโลยีโลหะและวัสดุแหงชาติ (2543)<br />
ตารางที่<br />
1 ปกําเนิดพลาสติกชนิดตางๆ<br />
ค.ศ. ชื่อพลาสติก<br />
ประเภทผลิตภัณฑ<br />
1868 Cellulose Nitrate กรอบแวนตา ลูกบิลเลียด พลาสติกบรรจุของ วัสดุใช<br />
ทําฟนปลอม (ปจจุบันใชอะครีลิคแทน) ลูกปงปอง<br />
1909 Phenol-Formaldehyde ผลิตภัณฑและอุปกรณไฟฟา ดามมือจับหมอกระทะ<br />
(Phenolic)<br />
(ชนิดสีเขม) โฟม<br />
1909 Cold Molded ปุมจับมือถือ<br />
1919 Casein กระดุม เครื่องประดับ<br />
กาว<br />
1926 Alkyd ผลิตภัณฑและอุปกรณไฟฟา น้ํายาเคลือบผิว<br />
สีน้ํามัน<br />
1926 Analine-Formaldehyde อุปกรณไฟฟา<br />
1927 Cellulose Acetate ฟลมถายรูป พลาสติกบรรจุของ<br />
1927 Polyvinyl Chloride (PVC) ผายาง กระเบื้องยาง<br />
ทอยาง สายไฟ ขวดบรรจุของ<br />
เหลว เชน ขวดน้ํามันพืช<br />
ขวดแชมพูสระผม<br />
1929 Urea-Formaldehyde ผลิตภัณฑและอุปกรณไฟฟา กาวไมอัด<br />
9
ตารางที่<br />
1 (ตอ) ปกําเนิดพลาสติกชนิดตางๆ<br />
ค.ศ. ชื่อพลาสติก<br />
ประเภทผลิตภัณฑ<br />
1936 Ethyl Cellulose ผลิตภัณฑและอุปกรณไฟฟา<br />
1936 Acrylic ปายโฆษณา เลนซ หลังคาโปรงใส ของชํารวย<br />
1936 Polyvinyl Acetate ยางประกบขอตอ กาว<br />
1938 Cellulose Acetate Butyrate พลาสติกบรรจุของ ดามเครื่องมือ<br />
พวงมาลัยรถยนต<br />
ที่มา<br />
: Ronald (1982)<br />
UF : O = C<br />
ภาพที่<br />
3 โครงสรางทางเคมีของยูเรีย-ฟอรมัลดีไฮด<br />
ที่มา<br />
: Hubeny (1977)<br />
NH 2<br />
NH 2<br />
ภาพที่<br />
4 สูตรเคมียูเรีย-ฟอรมัลดีไฮด<br />
ที่มา<br />
: Hubeny (1977)<br />
+ H - C<br />
H<br />
O<br />
N CH 2 N CH 2 + H 2O<br />
C C<br />
N CH 2<br />
CH2 N CH2 CH2 N CH2 C = O C = O<br />
N<br />
CH2 N CH2 N CH2 N CH2 N CH2 C = O<br />
C = O C = O<br />
10
ผลงานวิจัยที่เกี่ยวของกับการบําบัดฟอรมัลดีไฮด<br />
1. การยอยสลายฟอรมัลดีไฮดโดยกระบวนการทางชีวภาพแบบใชอากาศ<br />
Garrido J. M. et al. (2000) ทําการศึกษาการบําบัดน้ําเสียประเภทยูเรีย-ฟอรมัลดีไฮดดวย<br />
ระบบ Activated Sludge มีคาภาระบรรทุกสารอินทรียสูง COD ชวง 460-3900 มก./ล. ฟอรมัลดีไฮด<br />
ชวง 220-4000 มก./ล. และคา TKN ชวง 110-805 มก./ล. โดยคา COD จะเพิ่มขึ้นตามความเขมขนที่<br />
เพิ่มขึ้นของฟอรมัลดีไฮด<br />
ระบบมีประสิทธิภาพการกําจัดฟอรมัลดีไฮดสูงกวา 99 % ประสิทธิภาพ<br />
การกําจัด COD 70-85 % และประสิทธิภาพการกําจัด TKN 30 – 50 % ที่อัตราภาระบรรทุกสาร<br />
อินทรีย 0.2- 1.2 kg. COD/m 3 .d โดยใชระยะเวลาเก็บกัก 0.5-1.4 วัน<br />
Dickerson,B.W (1949) ศึกษาเรื่อง<br />
A high-rate trickling filter pilot plant for certain<br />
chemical waste โดยไมจําเปนตองปรับ pHใหคงที่<br />
แตควรควบคุมใหอยูในชวง<br />
4.5 - 8.5<br />
พบวาประสิทธิภาพในการบําบัดฟอรมัลดีไฮดที่ความเขมขนชวง<br />
110 -360 mg/L เทากับ 28 %<br />
Gellman และ Heukelekian (1950) ศึกษาเรื่อง<br />
Biological oxidation of formaldehyde ที่<br />
ระดับความเขมขนฟอรมัลดีไฮด ชวง 45 – 175 ppm พบวาเมื่อความเขมขนฟอรมัลดีไฮดเพิ่มขึ้นจาก<br />
135 ppm – 175 ppm จุลินทรียบางสวนที่แข็งแรงและสามารถปรับตัวตอบรับฟอรมัลดีไฮดมาเปน<br />
อาหารได ยังคงดํารงชีพอยูได<br />
2. การยอยสลายฟอรมัลดีไฮดโดยกระบวนการทางชีวภาพแบบไมใชอากาศ<br />
George R. Zoutber and Rob Frankin (1996) ศึกษาการบําบัดน้ําเสียจากโรงงานผลิตเบียร<br />
และ โรงงานผลิตสารเคมีที่มีการผลิตฟอรมัลดีไฮดจากเมทานอล<br />
น้ําเสียมีปริมาณฟอรมัลดีไฮด<br />
5,000 มก./ล. และมีปริมาณเมทานอล 10,000 มก./ล. โดยใชถังปฏิกิริยาแบบ EGSB (Expanded<br />
Granular Sludge Bed) ดวยระบบไรอากาศ พบวามีประสิทธิภาพในการกําจัด COD ของน้ําเสียทั้ง<br />
สองประเภท สูงกวา 99 %<br />
11
3. จุลินทรียที่เกี่ยวของกับการยอยสลาย<br />
Hidalgo A. et al. (2002) ทดลองใชจุลินทรียชนิด Rhodococcus erythropolis ชนิด UPV-<br />
1 ซึ่งใช<br />
phenol เปนแหลงใหคารบอนและพลังงาน เพื่อใชกําจัดฟอรมัลดีไฮดในน้ําเสียสังเคราะห<br />
และน้ําเสียอุตสาหกรรมจากโรงงานผลิต<br />
Phenolic และ melamine resin ดวยการปอนน้ําเสียแบบตอ<br />
เนื่องและไมตอเนื่องใน<br />
Shaken flasks พบวาจุลินทรียชนิดนี้ยังคงดํารงชีพอยูได<br />
แตไมมีความ<br />
สัมพันธกับปริมาณ biomass เริ่มตน<br />
และความเขมขนของฟอรมัลดีไฮด<br />
Margareta Glancer-soljam (2001) ศึกษาการผสมจุลินทรีย 3 ชนิด คือ Pseudomonas<br />
putida, Pseudomonas cepacia และ Trichosporon penicillatum เพื่อใชยอยฟอรมัลดีไฮดและ<br />
กรดฟอรมิก ในน้ําสียสังเคราะห<br />
และน้ําเสียจริงประเภทเมลามีน<br />
เรซิน แบบใชอากาศ น้ําเสียมีการ<br />
ปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
1,000 มก./ล. และกรดฟอรมิก 500 มก./ล. โดยการยอยที่เวลา<br />
24 ชม. ระบบ<br />
มีประสิทธิภาพในการบําบัด COD , ฟอรมัลดีไฮด, เมทานอล,และบิวทานอลสูงถึง 90 % และพบวา<br />
จุลินทรียชนิด Trichosporon penicillatum สามารถจับตัวเกิดเปน flock ไดดวยตัวเอง<br />
4. ความเปนพิษของฟอรมัลดีไฮด<br />
G.Lettinga et al. (2000) ศึกษาความเปนพิษของฟอรมัลดีไฮดตอจุลินทรียชนิดผลิตกาซ<br />
มีเทนในระบบบําบัดแบบไรอากาศ พบวาระดับความเขมขนของฟอรมัลดีไฮดที่เปนพิษตอจุลินทรีย<br />
มีความหลากหลายขึ้นอยูกับชนิดและประเภทของน้ําเสียที่จุลินทรียอาศัยอยู<br />
หรือขึ้นอยูกับขนาด<br />
ของจุลินทรีย และสารอาหารที่จุลินทรียใช<br />
โดย Granular sludgeในระบบ UASB จากการบําบัดน้ํา<br />
เสียประเภทปโตรเคมี มีคา IC50 ของฟอรมัลดีไฮด 254 mg/L ที่<br />
1.0 g VSS/L อุณหภูมิ 30 °C<br />
Zijin Lu and W. Hegemann (1997) ศึกษาความเปนพิษของฟอรมัลดีไฮดที่มีผลตอการ<br />
ยอยสารอินทรียของจุลินทรียในระบบไรอากาศแบบทีละเท (Batch Culture) กับน้ําเสียสังเคราะห<br />
ที่มีการปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
และน้ําเสียจริงประเภท<br />
ยูเรีย-ฟอรมัลดีไฮด จากโรงงานผลิตกาวไม<br />
อัด พบวาที่ความเขมขนฟอรมัลดีไฮดต่ํากวา<br />
200 mg/L ประสิทธิภาพการกําจัดฟอรมัลดีไฮดสูงกวา<br />
90% และเมื่อความเขมขนฟอรมัลดีไฮดสูงกวา300<br />
mg/Lจะมีผลยับยั้งการยอยสารอินทรียของ<br />
จุลินทรีย 50 %<br />
12
5. กระบวนการบําบัดแบบชั้นตะกอนไรอากาศแบบไหลขึ้น<br />
Hack (1985) ไดรายงานผลการทดลองการบําบัดน้ําเสียขั้นแรกของโรงงานเบียรในขั้น<br />
โรงงานตนแบบ ของระบบบําบัดน้ําเสียแบบกระบวนการชั้นตะกอนจุลินทรียไรอากาศแบบไหล<br />
ขึ้นพบวา<br />
ตะกอนจุลินทรียลักษณะเม็ดจะลดคา COD ไดอยางรวดเร็วมาก แตถามีการขยายตัวของ<br />
ชั้นตะกอนลาง<br />
จะเกิดการลอยตัวของตะกอนและสูญเสียออกจากระบบ ทําใหตะกอนจุลินทรียมี<br />
เวลาอยูในถังหมักสั้น<br />
ความสามารถในการตกตะกอนของตะกอนจุลินทรียที่เหลืออยูจึงเพิ่มสูงขึ้น<br />
และการลอยตัวของตะกอนจุลินทรียจะนอยลง<br />
Sanchez et al. (1985) ไดศึกษาความเหมาะสมของหลักการ กระบวนการชั้นตะกอนจุลิ<br />
นทรียไรอากาศแบบไหลขึ้น<br />
(UASB) ในการบําบัดน้ําเสียที่ไดจากกลั่นผลผลิตจากการหมักกากน้ํา<br />
ตาล (molasses) ในประเทศอารเจนตินาในถังหมักขนาด 100 ลิตร โดยรับน้ําเสียที่มีความเขมขน<br />
COD 35,000 –100,000 มก./ล. พบวา สามารถรับสารอินทรียไดสูงถึง 24 กก.COD/ม. 3 -วัน เฉลี่ย<br />
แลวสามารถลดคา COD ได 75% และไดกาซชีวภาพสูงกวา 9 ลิตรตอน้ําเสีย<br />
1 ลิตร-วัน โดยมีกาซ<br />
มีเทนเฉลี่ย<br />
58 % และรายงานวา ความเร็วของการตกตะกอนของตะกอน จุลินทรียจะเปนตัวบงชี้<br />
ประสิทธิภาพของตะกอนชีวภาพ และยังพบวาตะกอนที่ไมไดรับอาหารนาน<br />
1 เดือน ก็ยังสามารถ<br />
ปรับตัวมีประสิทธิภาพสูงเชนเดิมได<br />
Souza (1986) ไดรายงานวาน้ําเสียที่มีคา<br />
pH ต่ํา<br />
จะเหมาะสมกับระบบบําบัดน้ําเสียแบบ<br />
กระบวนการชั้นตะกอนจุลินทรียไรอากาศแบบไหลขึ้น<br />
(UASB) เนื่องจากระบบนี้จะมีคา<br />
buffer<br />
ที่สูงมาก<br />
Buijs et al. (1982) ไดแสดงใหเห็นวา การแพรกระจายของตะกอนในถังหมักที่มีการฉีด<br />
พนขึ้นสูดานบนมีความสัมพันธกับปริมาณผลผลิตกาซ<br />
ลักษณะการตกตะกอนของตะกอน<br />
แบคทีเรียและความเร็วของน้ําในถังหมัก<br />
ซึ่งการแพรกระจายจะอยูในระบบของชั้นตะกอนลาง<br />
และ<br />
ชั้นตะกอนลอย<br />
Vanderr Meer and De Vletter (1982) ไดสรุปวา ในสภาวะปกติสวนของ settler สามารถ<br />
ชวยใหระบบมีประสิทธิภาพสูงขึ้น<br />
และมีปญหาก็เนื่องจากเกิดการลอยตัวออกของตะกอนจุลินทรีย<br />
จากสวนอื่นๆของถังหมัก<br />
13
Hack (1985) ไดรายงานผลการทดลองการบําบัดน้ําเสียขั้นแรกของโรงงานเบียรในขั้น<br />
โรงงานตนแบบ ของระบบบําบัดน้ําเสียแบบกระบวนการชั้นตะกอนจุลินทรียไรอากาศแบบไหล<br />
ขึ้นพบวา<br />
ตะกอนจุลินทรียลักษณะเม็ดจะลดคา COD ไดอยางรวดเร็วมาก แตถามีการขยายตัวของ<br />
ชั้นตะกอนลาง<br />
จะเกิดการลอยตัวของตะกอนและสูญเสียออกจากระบบ ทําใหตะกอนจุลินทรียมี<br />
เวลาอยูในถังหมักสั้น<br />
ความสามารถในการตกตะกอนของตะกอนจุลินทรียที่เหลืออยูจึงเพิ่มสูงขึ้น<br />
และการลอยตัวของตะกอนจุลินทรียจะนอยลง<br />
De Man et al. (1986) ไดรายงานถึงความเหมาะสมของการใชระบบกระบวนการชั้น<br />
ตะกอนจุลินทรียไรอากาศแบบไหลขึ้น<br />
(UASB) กับน้ําเสียของโรงงานนม<br />
และไดกลาววา ถา<br />
ลักษณะทางกายภาพและเคมี ตลอดจนชนิดของน้ําเสียเหมาะสม<br />
จะเกิดกระบวนการสรางตะกอนจุ<br />
ลินทรียลักษณะเม็ดขึ้นในถังหมัก<br />
เนื่องจากตะกอนจุลินทรียมีความสามารถที่ดีในการตกตะกอนใน<br />
ถังหมัก<br />
Schulze et al. (1988) ไดรายงานถึงความสําเร็จในการเกิดตะกอนจุลินทรียลักษณะ<br />
เม็ดของระบบ UASB ที่มี<br />
gelatine เปนสวนประกอบของน้ําเสีย<br />
และเปนแหลงของคารบอน แตใน<br />
สภาพของน้ําเสียที่มีความเขมขนของ<br />
NH4 สูง จะไดตะกอนจุลินทรียขนาดเล็ก และมีความหนา<br />
แนนต่ํา<br />
Guyot and Ramirez (1989) ไดรับรายงานวา ฟอรเมต สามารถยับยั้งการเพิ่มจํานวนของ<br />
มีเทนแบคทีเรียจากการยอยสลายอะซิเตตได แตในระบบ UASB จะมีการคัดเลือกตัว จึงมีจุลินทรีย<br />
ที่ใชฟอรเมตนอยมาก<br />
เพราะน้ําเสียสวนใหญประกอบดวย<br />
อะซิเตต และโพรพิโอเนต ดังนั้น<br />
ตะกอนจุลินทรียจึงประกอบดวยพวก hydrogenophillic methanogen, acetoclastic methanogen และ<br />
obligate hydrogen producing acetogens<br />
สมศักดิ์<br />
(2534) ทดลองใชน้ํากากสาของโงงานสุราเดินระบบ<br />
UASB ขนาด<br />
โรงงานตนแบบ 300 ล. ประสบผลสําเร็จสามารถตรวจพบจุลินทรียลักษณะเม็ด ใชเวลาเดินระบบ<br />
113 วัน ที่อัตราการรับสารอินทรีย<br />
1.36 กก. ซีโอดี/ม 3 -วัน พบวาตะกอนจุลินทรียมี 75.7% VSS ซึ่ง<br />
สวนใหญเปนอินทรียวัตถุ ประกอบดวยจุลินทรียที่มีลักษณะเปนทอน<br />
(Rod) ทรงกลม (Coccus)<br />
เสนสาย (Filamentous) และยีสต โดยมีพวกที่เปนทรงกลมอยูมากสุด<br />
เม็ดตะกอนมีลักษณะกลมรี มี<br />
ความมนสีดํา เสนผาศูนยกลางขนาด 0.2-0.4 มิลลิเมตร<br />
14
กมลรัตน (2547) ศึกษาความเปนไปไดในการบําบัดน้ําเสียจากโรงงานผลิตเสนใย<br />
สังเคราะหดวยกระบวนการยูเอเอสบี โดยมีคาความเขมขนซีโอดีอยูระหวาง<br />
450-600 มก./ล. และมีคา<br />
ความเขมขนซัลเฟต 1,500-2,500 มก./ล. ศึกษาที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
15, 10 และ 7.5 ชม. โดยประสิทธิ<br />
ภาพการกําจัด ซีโอดีมากกวา 70% ที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
15 และ 10 ชม.และมีปริมาณกาซชีวภาพเกิด<br />
ขึ้นนอย<br />
สุนันท (2547) ศึกษาความเปนไปไดในการบําบัดน้ํากากสาที่ความเขมขนสูง<br />
ดวย<br />
กระบวนการยูเอเอสบี โดยไดทํากากสงที่มีคาพีเอช<br />
4.1-4.6 และมีความเขมขนซีโอดี อยูที่<br />
150,000<br />
มก./ล. ไดทําการศึกษาที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
1.09, 3.93 และ 13.10 วัน ใหประสิทธิภาพในการกําจัด<br />
ซีโอดี 33, 37 และ 35 ตามลําดับ และมีอัตราการเกิดกาซชีวภาพเทากับ 1.6, 1.4 และ 3.5 ลิตร/<br />
ปริมาณน้ํากากสง<br />
1 ลิตร ตามลําดับ<br />
มงคล (2539) ไดทําการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของระบบยูเอเอสบีอาร<br />
ดวยการเติมหัวเชื้อที่มีและไมมีเชื้อจุลินทรียอีเอ็ม<br />
เพื่อยอยสลายสารอินทรียในน้ําทิ้งจากโรงอาหาร<br />
ซึ่งมีคาซีโอดีประมาณ<br />
2993 มก./ลิตร โดยใช Hydraulic Retention Time (HRT) 96, 48, 24 และ<br />
12 ชั่วโมง<br />
สามารถลดซีโอดีไดมากกวา 90 เปอรเซ็นต ที่<br />
HRT 24 ชั่วโมง<br />
กาซชีวภาพที่เกิดจาก<br />
ระบบมีคาระหวาง 187-246 ลิตร/กก.COD โดยมีกาซมีเทนประมาณ 60 เปอรเซนตของปริมาณกาซ<br />
ทั้งหมด<br />
โดยประสิทธิภาพของระบบที่เติมหัวเชื้อที่มีและไมมีเชื้อจุลินทรียอีเอ็ม<br />
มีความแตกตางกัน<br />
นอยมาก<br />
กิตติ (2538) ศึกษาความเปนไปไดในการบําบัดน้ําเสียจากอุตสาหกรรมผลิตน้ําอัดลม<br />
ที่มี<br />
ความเขมขนปานกลางและพีเอชสูง โดยกระบวนการ UASB ใชแบบจําลองระดับหองปฏิบัติการ<br />
ขนาด 14.5 ล. เสนผาศูนยกลาง 0.08 ม. สูง 3 ม. เริ่มเดินระบบโดยใชหัวเชื้อจากตะกอนบอเกรอะ<br />
ที่<br />
เวลาเก็บกักน้ํา<br />
24 และ 12 ชม. แลวลดเวลาเก็บกักเหลือ 8, 6 และ 4 ชม. เทียบเปนภาระบรรทุกสาร<br />
อินทรีย 1.02-5.0 กก. ซีโอดี/ม 3 -วัน พบวาสามารถลดคา COD, BOD และ SS ไดรอยละ 61.6-89.9,<br />
66.1-85.1 และ 46.8-73.1 ตามลําดับ การบําบัดสารอินทรียมีประสิทธิภาพลดลงเมื่อเวลาเก็บกักสั้น<br />
ลง อัตราการผลิตกาซชีวภาพ 33.9-192.7 ล./กก. ซีโอดี ที่ถูกกําจัดมีมีเทนเปนองคประกอบรอยละ<br />
47.6-69.7 เม็ดตะกอนจุลินทรียประกอบดวยจุลินทรียชนิดแทง และชนิดเสนใย<br />
15
บุษบา (2537) ศึกษาประสิทธิภาพในการบําบัดของเสียจากสุกรดวยระบบ UASB<br />
ระดับหองปฏิบัติการขนาด 6.72 ล. เสนผาศูนยกลาง 0.10 ม. สูง 1 ม. บําบัดน้ําเสียมูลสุกร<br />
COD<br />
ประมาณ 3,000 มก./ล. ที่อุณหภูมิหอง<br />
เริ่มตนเดินระบบโดยใชตะกอนจุลินทรียจากบอหมักของ<br />
ฟารมสุกรเปนจุลินทรียเริ่มตนในปริมาณ<br />
10.7 กก. VSS/ม 3 ของถังหมัก เดินระบบที่ระยะเวลาเก็บ<br />
กัก 72, 48, 24 และ 12 ชม. ซึ่งเทียบไดกับภาระบรรทุกสารอินทรีย<br />
0.74, 1.34, 2.78, 5.87 กก./ซีโอ<br />
ดี/ม 3 -วัน ตามลําดับ ผลการศึกษาพบวาระบบ UASB สามารถลด COD ไดมากกวา 90 เปอรเซ็นต ที่<br />
ระยะเวลาเก็บกัก 24 ชม. อัตราการผลิตกาซชีวภาพ 182-220 ล./กก. ซีโอดี ที่เขาสูระบบมีมีเทนเปน<br />
องคประกอบ 60 เปอรเซ็นต ลักษณะเม็ดจุลินทรียประกอบดวยแบคทีเรียที่รูปรางเปนเสนสายเปน<br />
สวนใหญ<br />
ระบบ Upflow Anaerobic Sludge Blanket (UASB)<br />
การยอยสลายในสภาพไรอากาศมีความเหมาะสมสําหรับน้ําเสียที่มีสารอินทรียอยูสูงซึ่ง<br />
นอกจากประโยชนทางดานสิ่งแวดลอมแลว<br />
ยังไดกาซชีวภาพ ระบบUASB เปนระบบบําบัดน้ําเสีย<br />
แบบไรอากาศแบบหนึ่ง<br />
ไดรับการพัฒนาขึ้นมาในประเทศเนเธอรแลนด<br />
โดยมีพื้นฐานการพัฒนา<br />
จากประเทศอัฟริกาใต ซึ่งมีการพัฒนาระบบบําบัดน้ําเสียแบบขบวนการสัมผัสและ<br />
ไดพัฒนาให<br />
ระบบถังหมักมีการฉีดน้ําเสียขึ้นสูดานบน<br />
โดยผานสวนลางของถังหมักซึ่งมีตะกอนจุลินทรียอยู<br />
หนาแนน ซึ่งระบบนี้เรียกวา<br />
“BIOLYTIC TANK” แตยังไมเหมาะสม ตอมาก็ไดมีการพัฒนาไปใช<br />
กับระบบบําบัดน้ําเสียแบบ<br />
Conventional Activated Sludge Process แตใหมีการฉีดน้ําเสียจากดาน<br />
ลางผานชั้นหินขึ้นสูดานบนใชบําบัดน้ําเสียในขั้นเริ่มตนไดดี<br />
เมื่อมีวิธีการแยกตะกอนจุลินทรียกลับ<br />
ไปสัมผัสกับน้ําเสียอีก<br />
มีการพัฒนาทั้งในขั้นโรงงานตนแบบ<br />
และระบบใชงานจริงที่<br />
Western<br />
Caper Regional Laboratory at Bellville โครงการพัฒนาของระบบ UASB เริ่มตนในป<br />
1970 โดยได<br />
รับการสนับสนุนจากกระทรวงสาธารณสุขและสิ่งแวดลอมของรัฐบาลเนเธอรแลนด<br />
ทําใหเกิดการ<br />
พัฒนาประสิทธิภาพของถังหมักในระดับทํางานจริงเพื่อบําบัดน้ําเสียในประเทศเนเธอรแลนด<br />
โดย<br />
เปนการทํางานรวมกันของกลุมงานวิจัย<br />
Centrale Suiker Maats-chappij (CSM) , มหาวิทยาลัย<br />
Delft University of Technology , มหาวิทยาลัย Wageningen และ มหาวิทยาลัย Amsterdam ทําให<br />
ในปจจุบันมีการใชระบบนี้ทั่วโลก<br />
16
ถังไรอากาศแบบชั้นสลัดจ<br />
(Anaerobic Sludge Blanket Reactor) นิยมเรียกระบบนี้วา<br />
Upflow<br />
Anaerobic Sludge Blanket Treatment : UASB<br />
ภาพที่<br />
5 จุลชีววิทยาของระบบบําบัดแบบไมใชอากาศ “Upflow Anaerobic Sludge Blanket”<br />
ที่มา:<br />
Zehnder (1982)<br />
Organic Matter<br />
(คารโบไฮเดรต โปรตีน)<br />
Acid-Forming Bacteria<br />
Butyric Acid Propionic Acid<br />
Acetogenic Bacteria<br />
AceticAcid H 2 + CO 2<br />
Methane Forming Bacteria<br />
CH 4 + CO 2 + H 2O<br />
การนําระบบบําบัดน้ําเสียชีวภาพที่ใชจุลินทรียชนิดไมใชอากาศ<br />
(Anaerobic Bacteria)<br />
มาใชทดแทนระบบบําบัดน้ําเสียแบบเดิมที่ใชอยู<br />
อยางมีประสิทธิภาพ ประการสําคัญคือประหยัด<br />
พลังงานไฟฟา และไดกาซชีวภาพเปนผลผลิตพลอยได โดยสามารถนํากาซชีวภาพมาใชเปน<br />
เชื้อเพลิง<br />
เพื่อทดแทนการใชน้ํามันเตาไดสวนหนึ่ง<br />
17
หลักการทํางานของระบบ UASB<br />
ถังปฏิกิริยาชนิดนี้มีทิศทางของน้ําเสียเปนแบบไหลขึ้น<br />
(Upflow Reactor) ประกอบดวย<br />
สวนสําคัญ 2 สวนคือ ระบบกระจายน้ําเสียขาเขา<br />
(Feed Inlet Distributors) อยูบริเวณกนถัง<br />
และ<br />
เครื่องแยกสามสถานะ<br />
(Gas Solids Separator หรือ GSS device บางทีเรียกวา Settlers) ติดตั้งอยู<br />
บริเวณผิวหนาของถัง UASB ภายในถังจะหลีกการใชเครื่องกลใดๆ<br />
สําหรับกวนน้ําเสีย<br />
(Mechanical Mixing) ทั้งนี้<br />
เพื่อไมเปนการรบกวนการจมตัวของตะกอนจุลินทรีย<br />
หลักการทํางานของระบบคือ น้ําเสียจะถูกปอนเขาทางกนถัง<br />
ผานไปยังระบบกระจายน้ํา<br />
เสียขาเขา แลวไหลขึ้นไปทางตอนบนดวยความเร็วที่เหมาะสม<br />
ทําใหตะกอนจุลินทรียเกาะกันเอง<br />
เปนเม็ดๆ เรียกวา เม็ดจุลินทรีย (Granular Sludge) มีขนาดตั้งแต<br />
0.5-5.0 มม. (Hulshoff,<br />
L.P.,1983)โดยไมมีสารตัวกลาง (Media) ใดๆ สําหรับใหจุลินทรียยึดเกาะเลย จุลินทรียที่เปนเม็ดนี้มี<br />
ความสามารถในการจมตัวที่ดีเยี่ยมทําใหบริเวณกนถัง<br />
UASB มีความหนาแนนของตะกอนจุลินทรีย<br />
สูงมาก เรียกวาชั้นตะกอนลาง<br />
(Sludge Bed) ชั้นบนถัดขึ<br />
้นมามีความหนาแนนนอยกวามาก เรียกวา<br />
ชั้นตะกอนเบา<br />
(Sludge Blanket) ในน้ําเสียซึ่งสวนใหญประกอบดวยสารอินทรีย<br />
เมื่อไหลผานชั้น<br />
ตะกอนจุลินทรีย จะถูกยอยสลายกลายเปนกาซชีวภาพ (Biogas) เมื่อมาถึงตอนบน<br />
ซึ่งมีเครื่องแยกติด<br />
ตั้งอยู<br />
ตะกอนจุลินทรีย น้ํา<br />
และกาซชีวภาพ จะถูกแยกออกจากกัน การกักตะกอนจุลินทรีย ใหคงอยู<br />
ในถังปฏิกิริยา เชนนี้เปนการรักษาปริมาณจุลินทรียใหมีความเขมขนที่สูงมาก<br />
เปนผลใหระบบ<br />
สามารถรับน้ําเสียที่มีปริมาณสารอินทรียสูงไดดี<br />
โดยเฉพาะอยางยิ่งกรณีการเกิด<br />
Shock Load<br />
(ระบบไดรับน้ําเสียที่มีปริมาณสารอินทรียอยางกระทันหัน<br />
จนทําใหการทํางานของระบบบําบัดน้ํา<br />
เสียลมเหลว) อันอาจเกิดจากการรั่วไหล<br />
มาจากฝายผลิตโดยอุบัติเหตุ มีรายงานระบุวาระบบ UASB<br />
สามารถรับน้ําเสียที่มีสารอินทรียไดสูงถึง<br />
15 kg COD/m 3 .d หรือมากกวาได(Guiot,S.R.,1984) นอก<br />
จากนั้นตะกอนจุลินทรียชนิดนี้<br />
สามารถมีชีวิตอยูไดนานเปนป<br />
ในกรณีที่ไมมีน้ําเสียปอนเขาระบบ<br />
และจะสามารถทํางานไดทันทวงทีที่มีการปอนน้ําเสียใหแกระบบ<br />
โดยที่ไมยุงยากในการเริ่มเดิน<br />
ระบบแตอยางใด<br />
ขอจํากัดของระบบนี้คือ<br />
น้ําที่ผานออกมาจากถัง<br />
UASB จะยังมีคา BOD สูงเกินกวาที่<br />
มาตรฐานน้ําทิ้งกําหนด<br />
จําเปนตองทําการบําบัดตอ (Post Treatment) ในกรณีที่ตองระบายน้ําทิ้งลง<br />
สู ลําน้ําสาธารณะ<br />
18
กระบวนการ UASB จะนิยมใชกับกระบวนการบําบัดอัตราสูง โดยมีจุลชีพที่คอนขางไว<br />
งานอยูบริเวณกนถัง<br />
UASB จนกระทั่งสลัดจถูกเปลี่ยนสภาพรูปรางเปนรูปทรงกลมเล็กๆ<br />
หรือบาง<br />
แหงอาจไมเปนเม็ดกลม แตเปนคลายฟล็อกคือ คลายมวลลักษณะวุน<br />
แตอยางไรก็ตามรูปลักษณะทั้ง<br />
สองอยางที่เกิดขึ้นใน<br />
UASB ก็ไมมีผลตอการทํางานและประสิทธิภาพบําบัด ในสลัดจที่เปนเม็ด<br />
กลมหรือเปนฟล็อกจะมี VSS สูงถึง 100,000 มก./ลิตร ซึ่งจะเกิดกาซมีเทนและกาซ<br />
CO2 โดย<br />
กาซที่เกิดขึ้นในระบบจะชวยไปกวนชั้นสลัดจอยางเพียงพอ<br />
โดยจะมีของแข็งลอยขึ้นดวยฟองกาซที่<br />
เกิดขึ้นดังกลาวพาลอยขึ้นมา<br />
ถาเกิดการลอยขึ้นดีจะทําใหการไหลเวียนภายในถังUASB<br />
ดีดวย<br />
ซึ่งชวยใหไมตองการใชระบบไหลเวียนสลัดจภายนอกดังแสดงในภาพที่<br />
6<br />
ภาพที่<br />
6 แสดงลักษณะการทํางานของ ถังปฏิกรณแบบ Upflow Anaerobic Sludge Blanket<br />
ที่มา<br />
: Athanospoul (1990)<br />
19
สภาพทางจุลชีวะของการยอยสลายในสภาพไรออกซิเจนในถังหมักยูเอเอสบี<br />
ลักษณะของ Granular Sludge ที่เกิดขึ้นในถังหมักแบบยูเอเอสบีขึ้นอยูกับชนิดของ<br />
ตะกอนหัวเชื้อ<br />
(seed sludge) สวนประกอบของน้ําเสีย<br />
ตลอดจนการเริ่มตนกระบวนการหมัก<br />
และ<br />
สิ่งแวดลอมขณะเริ่มตนกระบวนการหมัก<br />
granular sludge อาจมีหลายชนิดดังตอไปนี้<br />
(Lettinga<br />
et al., 1984)<br />
1. Sorcina Granular เปนชนิดที่มีจุลินทรียรูปรางกลมเกาะกันเปนกลุม<br />
Granular ชนิดนี้<br />
สรางขึ้นมาจากน้ําเสียที่มีความเขมขนกรดอะซิติก<br />
มากกวา 1,000 มก./ล. Granular ชนิดนี้มีขนาด<br />
เสนผาศูนยกลางเล็กกวา 0.5 มม. จึงถูกชะลางออกจากบอไดงาย และเปน Granular ชนิดที่มีประ<br />
สิทธิภาพในการกําจัดของเสียต่ํา<br />
2. Spinky Granular เปน Granular ที่มีความยาวมากกวา<br />
1 มม. มีความหนานอยกวา 0.5<br />
มม. ประกอบดวยแคลเซียมคารบอเนต (CaCO3) มากกวา 60% Granular ชนิดนี้สรางขึ้นมาจากน้ํา<br />
เสียจากโรงงานผลิตแปงขาวโพด<br />
3. Filamentous เปนจุลินทรียที่มีรูปรางตอกันเปนเสนสาย<br />
ประกอบดวย Methanothrix<br />
ชนิดที่เปนเสน<br />
สรางขึ้นจากน้ําเสียที่มีกรดระเหยงาย<br />
(Volatile Fatty Acid, VFA)<br />
4. Rod มีลักษณะเปนรูปกลมประกอบดวย Methanothrix ชนิดเปนเสนสั้นรวมกัน<br />
ประมาณ 5 เซล พบในถังหมักที่ใชบําบัดน้ําเสียโรงงานแปงมันและโรงงานน้ําตาล<br />
Granular Sludge สวนใหญสรางจาก Methanothrix-like bacteria ซึ่งเปนจุลินทรียที่มีรูป<br />
รางตอกันเปนเสนสาย โดย Granular ชนิดนี้สรางจากน้ําเสียที่มีความเขมขนของสารอินทรียต่ํา<br />
และ<br />
ความเขมขนของอะซิเตต (Acetate) ต่ํากวา<br />
1,000 มก./ล. ซึ่งเปนที่ยอมรับวา<br />
Granular ชนิดนี้มีความ<br />
ทนทานตอสภาพแวดลอมที่เปลี่ยนแปลง<br />
รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงสวนประกอบในน้ําเสีย<br />
McLeod et al. (1990) พบวา Granular Sludge ประกอบดวย Methanothrix Aggregates<br />
Rod เปนแกนกลาง และลอมดวย Methanothrix ที่เปนเสนสายลอมรอบเปนโครง<br />
ดังแสดง<br />
ในภาพที่<br />
18<br />
20
Acetogenic Bacteria (Metahnothrix)<br />
Acetogenic Bacteria, Hydrogen-Utilizer Bacteria<br />
ภาพที่<br />
7 องคประกอบเม็ดตะกอน (Granular Sludge)<br />
Acid-Forming Bacteria,<br />
Hydrogen-Utilizer Bacteria<br />
การสรางตะกอนเม็ดของแอนแอโรบิคสลัดจ (Granulation of anaerobic sludge)<br />
จากผลการทดลองของการบําบัดน้ําเสียจากโรงงานเบียร<br />
Wu et al. (1985) แบงชวงการ<br />
เกิด Granular เปน 4 ชวงคือ 1) ชวงเริ่มตนระบบ<br />
เปนชวงตะกอนหัวเชื้อที่ใสลงไปจะขยายตัว<br />
เนื่อง<br />
จากการเกิดกาซ, 2) การเริ่มปรากฏของ<br />
Granularในชวงนี้มีฟล็อคที่เบาและตกตะกอนยากจะหลุด<br />
ออกไปกับน้ําออกจากระบบ<br />
สวนอนุภาคที่มีน้ําหนักตกตะกอนงายจะถูกกักอยูในถังหมัก<br />
จุลินทรีย<br />
จะเริ่มจับกลุมกับอนุภาคเหลานี้และจับตัวกันเปน<br />
Granular โดยจะมีขนาดเสนผาศูนยกลางถึง<br />
5 มม. , 3) Granular สรางตัวอยางรวดเร็วในชั้นตะกอนลาง<br />
(Sludge Bed) อัตราการเกิดมากกวาการ<br />
ชะลางของตะกอน, 4) Granular ที่เกิดมีความสามารถในการตกตะกอนไดดี<br />
ตะกอนที่หลุดออกไป<br />
กับน้ําออกจากระบบจะเกิดขึ้นไดยาก<br />
Hulshoff et.al. (1983) สรุปลักษณะการเกิด Granular Sludge จากทดลองบําบัดน้ําเสีย<br />
จากโรงงานเบียรวาลักษณะการเกิด Granular Sludge แบงออกเปน 3 ชวง คือ 1) ชั้นตะกอนลาง<br />
Sludge Bed ขยายตัวเนื่องจากการเริ่มตัวของการเกิดกาซ<br />
โดย Filamentous Bacteria จะเริ่มปรากฏ<br />
ใหเห็นเนื่องจากความสามารถในการตกตะกอนที่นอยลง,<br />
2) อนุภาคที่มีน้ําหนักมากจะถูกสะสมอยู<br />
ในถังหมักความเขมขนตะกอนจะเพิ่มขึ้น<br />
และมีการเกิดของ Granular โดยมีขนาดเสนผาศูนยกลาง<br />
ถึง 5 มม. มีสีดําถึงสีน้ําตาล<br />
โดยยังมีอนุภาคที่หลุดไปกับน้ําออกจากระบบในปริมาณสูง,<br />
3)<br />
Granular เกิดขึ้นมากกวาอนุภาคที่หลุดไปกับน้ําออกจากระบบ<br />
หลังจากเกิด Granular เต็มที่แลว<br />
สามารถเพิ่มอัตราภาระบรรทุกสารอินทรีย<br />
(Organic Loading Rate, OLR) ไดมากถึง 50 กก.ซีโอดี/<br />
(ม 3 -วัน)<br />
21
ความสําคัญของการสราง Granular sludge<br />
Granule มีความสําคัญเนื่องจาก<br />
เปนที่รวมของกลุมจุลินทรียชนิดตางๆ<br />
จุลินทรียจะเกาะ<br />
ซึ่งกันและกัน<br />
(autoimmobilization) ทําใหไมตองสูญเสียพื้นที่สําหรับวัสดุจากภายนอกที่นํามาใช<br />
เปนที่เกาะของจุลินทรีย<br />
โดยทั่วไปแลว<br />
granule มีรูปรางรีหรือกลม มีขนาดเสนผานศูนยกลาง<br />
ประมาณ 2 – 5 mm. ซึ่งมีคุณสมบัติในการตกตะกอนไดดี<br />
และทําใหสามารถสะสมอยูในบอหมักได<br />
ในปริมาณมาก ในลักษณะเชนนี้ทําใหบอหมักสามารถรับปริมาณสารอินทรียไดในปริมาณครั้งละ<br />
มากๆ (high volumetric organic loading rate) โดยที่<br />
sludge ไมถูกชะลางออกจากบอดวยเหตุนี้<br />
granular sludge สามารถอยูในบอหมักไดเปนเวลานาน<br />
จึงทําใหเกิดการสะสมของแบคทีเรียพวกที่<br />
สรางกาซมีเทน (methanogenic bacteria) เปนผลใหปฏิกิริยาการสรางมีเทนเกิดขึ้นไดดี<br />
คุณสมบัติที่<br />
ดีอีกอยางหนึ่งของ<br />
granular sludge คือสามารถปองกันพวก methanogenic bacteria เมื่ออยูในสภาพ<br />
ที่ไมเหมาะสมไดในระยะสั้น<br />
เชน pH ต่ํา<br />
และมีการเปลี่ยนแปลงปริมาณสารอินทรียที่นําเขาสูบอ<br />
หมัก<br />
พารามิเตอรที่มีผลตอการทํางานของกระบวนการยูเอเอสบี<br />
พารามิเตอรที่สําคัญที่มีผลตอกระบวนการุเอเอสบีแบงออกไดเปน<br />
สองประเภทใหญๆ<br />
คือ พารามิเตอรที่เกี่ยวของกับสภาวะแวดลอม<br />
และความตองการของจุลินทรีย เชน คาพีเอช อุณหภูมิ<br />
ความเปนกรดเปนดาง ความเขมขนของกรดอินทรียระเหยงาย และ อาหารเสริมสารพิษ สวนพารา<br />
มิเตอรอีกประเภทหนึ่งนั้น<br />
คือ พารามิเตอรที่ใชควบคุมการทํางาน<br />
เชน ภาระบรรทุกสารอินทรีย<br />
(Organic Loading) ภาระบรรทุกปริมาณน้ํา<br />
(Hydraulic Loading) และการเก็บกักตะกอนจุลินทรีย<br />
(Sludge Retention)<br />
1. อุณหภูมิ<br />
อุณหภูมิที่เหมาะสมสําหรับการเจริญเติบโตของจุลินทรียแบงไดเปน<br />
3 ระยะดังนี้<br />
1) ระยะ psychrophilic เปนระยะที่มีชวงอุณหภูมิระหวาง<br />
0-20 ° C<br />
2) ระยะ mesophilic เปนระยะที่มีชวงอุณหภูมิระหวาง<br />
20-45 ° C<br />
3) ระยะ thermophilic เปนระยะที่มีชวงอุณหภูมิระหวาง<br />
45-90 ° C<br />
22
มีการตรวจพบการสรางกาซมีเทนของจุลินทรียที่อุณหภูมิ<br />
4 องศาเซลเซียส แสดงวาใน<br />
ระยะ psychrophilic มีการเจริญเติบโตของมีแทนแบคทีเรียบางชนิด Lettinga et al. (1984) ไดราย<br />
งานวาอุณหภูมิที่เหมาะสมสําหรับการยอยสลายมากที่สุด<br />
คือ ระยะ mesophilic ที่อุณหภูมิ<br />
37 องศา<br />
เซลเซียส การเพิ่มอุณหภูมิทุก<br />
10-15 องศาเซลเซียส จะทําใหความสามารถของมีเทนแบคทีเรียเพิ่ม<br />
ขึ้นเทาตัว<br />
อุณหภูมิ 52 องศาเซลเซียส เปนอุณหภูมิที่เหมาะสมสําหรับการยอยสลายมากที่สุดใน<br />
ระยะ thermophilic และในระยะ thermophilic จะมีประสิทธิภาพการยอยสลายมากกวาระยะ<br />
mesophilic<br />
2. พีเอช<br />
คาพีเอชที่เหมาะสมตอการเจริญเติบโตของแบคทีเรียจะอยูประมาณ<br />
7 คาพีเอชมีคาต่ํา<br />
หรือสูงกวา 7 มากเกินไปจะยับยั้งการเจริญเติบโตของมีแทนแบคทีเรีย<br />
พีเอชที่เหมาะสมสําหรับการ<br />
ดํารงชีพของจุลินทรียในระบบบําบัดน้ําเสียไรออกซิเจน<br />
จะอยูในชวงระหวาง<br />
6.6-7.6 ถาคาพีเอชต่ํา<br />
กวา 6.6 หรือสูงกวา 7.6 จะยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย<br />
ทําใหประสิทธิภาพในการกําจัดสาร<br />
อินทรียลดลงอยางรวดเร็ว ดังนั้น<br />
คาพีเอชที่นิยมใชในการควบคุมการทํางานของระบบจะอยู<br />
ระหวาง 6.8-7.2 (Dague et al. ,1970) ไดทําการทดลองพบวาคาพีเอชของกระบวนการหมักแบบไร<br />
ออกซิเจนต่ํากวา<br />
6.5 จะยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย<br />
โดยไมคํานึงถึงความเขมขนของกรด<br />
ระเหยงาย (Volatile Acid) นอกจากนี้ยังพบวาถังหมักแบบไรออกซิเจนที่มีคาพีเอชต่ํากวา<br />
6.5 และ<br />
ปริมาณความเขมขนของกรดระเหยงายประมาณ 5,000 มก./ล. จะทําใหไมมีกาซเกิดขึ้น<br />
เมื่อเปรียบ<br />
เทียบกับถังหมักแบบไรออกซิเจนที่มีคาพีเอช<br />
6.8-7.2 และมีปริมาณความเขมขนของกรดระเหยงาย<br />
เทาเดิม พบวามีกาซเกิดขึ้น<br />
เมื่อปริมาณความเขมขนของกรดระเหยงายเพิ่มขึ้น<br />
จากเดิมเปน 7,000<br />
มก./ล. และคาพีเอช 6.8-7.2 พบวามีกาซที่เกิดจะมีมากขึ้น<br />
นอกจากนี้ถาคาพีเอชของระบบมีต่ํากวา<br />
6.2 จะทําใหเกิดไฮโดรเจน อิออนจํานวนมากมายภายในระบบ ซึ่งเปนพิษรุนแรงตอมีเทน<br />
แบคทีเรียทําใหระบบเสียสมดุลยและการทํางานลมเหลว<br />
3. สภาพความเปนกรดเปนดาง<br />
สภาพความเปนกรดเปนดาง เปนพารามิเตอรที่สําคัญมากตอการทํางานของ<br />
จุลินทรียใน<br />
กระบวนการหมักแบบไรออกซิเจน ในสภาวะสมดุลยอัตราสรางกรดของแบคทีเรียที่สรางกรดและ<br />
อัตราการใชกรดเพื่อสรางกาซมีเทนของมีเทนแบคทีเรียจะเทากัน<br />
แตถาเกิดการสะสมของกรด<br />
23
ระเหยงายเปนจํานวนมากในระบบจะทําใหพีเอชต่ํา<br />
ซึ่งเปนการยับยั้งการทํางานของมีเธนแบคทีเรีย<br />
ทําใหระบบเสียสมดุลและลมเหลว โดยปกติในถังหมักแบบไรออกซิเจนควรจะมีปริมาณความเขม<br />
ขนของกรดอินทรียระเหยงายประมาณ 50-500 มก./ล. คิดอยูในรูปกรดอะซิติก<br />
หากปริมาณความ<br />
เขมขนของกรดระเหยงายมีคามากกวา 2,000 มก./ล. จะทําใหประสิทธิภาพของระบบลดลง<br />
กรดระเหยงายที่อยูในถังหมักแบบไรออกซิเจนแบงไดเปนสองพวก<br />
คือ พวกกรดระเหย<br />
งายที่แตกตัว<br />
(Ionized Volatile Acid) และพวกกรดระเหยงายที่ไมแตกตัว<br />
(Unionized Volatile<br />
Acid) ปริมาณความเขมขนของกรดที่ไมแตกตัว<br />
(HS) จะเปนฟงชันกของพีเอช (H + ) และปริมาณ<br />
ความเขมขนของกรดที่ระเหยงายทั้งหมด<br />
(S) (Andrews, 1971) ดังสมการที่<br />
(1- 1)<br />
HS = [H + ] [ S - ] / Ka (1-1)<br />
โดยที่<br />
Ka เปนคาการแตกตัวของกรดระเหยงาย (Ionized Constant of Volatile Acid)<br />
จากสมการ (1-1) จะเห็นวาเมื่อปริมาณความเขมขนของกรดระเหยงายทั้งหมดเพิ่มขึ้นจะทําใหคา<br />
พีเอช ลดลง หรือปริมาณความเขมขนของโปรตรอนเพิ่มขึ้น<br />
โมเลกุลของกรดออนและดางออนที่<br />
ไมแตกตัวเปนอิออน (Unionized weak acid and weak base) สามารถผานเขาไปในผนังเซลลของ<br />
จุลินทรียไดอยางรวดเร็วมาก ดังนั้น<br />
กรดระเหยงายที่ไมแตกตางตัวเปนอิออนจึงผานเขาไปใน<br />
จุลินทรียไดงาย และทําใหคาพีเอชภายในเซลลของจุลินทรียลดลง ซึ่งเปนสาเหตุใหจุลินทรียตาย<br />
นอกจากนี้ในกรณีของดางออนที่ไมแตกตัวเปนอิออนจะทําใหพีเอชภายในจุลินทรียสูงขึ้น<br />
เปน<br />
สาเหตุให จุลินทรียตายไดเชนกัน<br />
สภาพความเปนกรดดางภายในถังหมักแบบไรออกซิเจนสวนใหญอยูในรูปแบบไบ<br />
คารบอเนต จะทําหนาที่เปนบัฟเฟอร<br />
(Buffer) ใหแกระบบ ถาอัตราสวนของกรดระเหยงายตอสภาพ<br />
ความเปนกรดเปนดางในรูปของไบคารบอเนตมีคานอยกวา 0.4 แสดงวา ระบบกําลังของบัฟเฟอร<br />
สูง แตอัตราสวนที่สูงกวา<br />
0.8 ระบบกําลังของบัฟเฟอรต่ํามากพีเอชสามารถลดลงไดอยาง<br />
รวดเร็ว<br />
ถึงแมปริมาณความเขมขนของกรดระเหยงายเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเล็กนอยก็ตาม<br />
สรูปไดวาตอง<br />
พิจารณาอัตราสวนของกรดไขมันระเหยงายตอสภาพดางดวย(VFA/Alk.)<br />
ถา VFA/Alk. < 0.4 แสดงวามีกําลังบัฟเฟอรสูง ระบบทํางานไดดี<br />
ถา VFA/Alk. > 0.8 แสดงวามีกําลังบัฟเฟอรต่ํา<br />
อาจจะทําใหระบบมีประสิทธิภาพลดลง<br />
หรือลมเหลวได<br />
24
สวนใหญความเปนดางในรูปไบคารบอเนตเกิดจากเกลือแอมโมเนีย เชน แอมโมเนียม<br />
ไบคารบอเนต (NH4HCO3) และแอมโมเนียมอะซิเตท (CH3COONH4) ซึ่งเกิดขึ้นจากการยอยสลาย<br />
โปรตีน คาความเปนกรดเปนดางไบคารบอเนต (Bicarbonate alkalinity) สามารถหาไดจากสมการ<br />
ที่(1-2)<br />
(Albertson, 1961)<br />
่<br />
BA =<br />
โดยที<br />
TA –(0.85) (0.833) TVA (1-2)<br />
BA = ปริมาณความเขมขนของดางไบคารบอเนต(มก./ล.ในรูปCaCO3) TA = ปริมาณความเขมขนของดางทั้งหมด<br />
(มก./ล. ในรูป CaCO3) TVA = ปริมาณความเขมขนทั้งหมดของกรดระเหยงาย(มก./ล.ในรูป<br />
CH3COOH) ในบางครั้งภายในถังหมักแบบไรออกซิเจนมีปริมาณความเปนดางไมเพียงพอที่จะควบ<br />
คุมคาพีเอช ดังนั้นจึงจําเปนตองเติมสารเคมีเขาไปเพื่อใหระบบมีกําลังบัฟเฟอรสูงขึ้นสารเคมีที่ใชมี<br />
อยูหลายประเภท<br />
เชน พวกดางแก และพวกไบคารบอเนต แตละประเภทจะมีขอดี ขอเสียแตกตาง<br />
กันไป Kirsch and Skyes, (1971) แนะนําวาโซเดียมไบคารบอเนต (NaHCO3) เปนสารเคมีที่ดีที่สุด<br />
ในการควบคุมพีเอช เพราะวาโซเดียมไบคารบอเนตสามารถละลายน้ําไดดี<br />
และใหความเปนดางแก<br />
ระบบโดยตรงแตมีราคาแพงกวาสารเคมีอื่นๆ<br />
4. อาหารเสริม<br />
บอยครั้งที่น้ําเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมมีคุณลักษณะไมเหมาะสม<br />
ตองเพิ่มสารอาหาร<br />
ใหเหมาะสม สําหรับระบบบําบัดน้ําเสียแบบไรออกซิเจนคา<br />
COD : N : P ขึ้นกับอัตราการรับสาร<br />
อินทรีย และตามทฤษฎีไดให N : P = 7 อัตราสวน COD : N = 350 : 7 และที่อัตราการรับสาร<br />
อินทรียที่สูง<br />
= 400 :7 หรือสูงถึง 1,000 :7 โดยตองมีสารอาหารเสริมตามปริมาณที่แสดงในตารางที่<br />
7 เสริมพล รัตสุข และไชยยุทธ กลิ่นสุคนธ,<br />
(2518) ไดใหอัตราสวนที่เหมาะสมของ<br />
BOD : N : P =<br />
100 : 1.1: 0.2 ถามีอัตราสวนของ N:P ต่ํากวานี้<br />
จะทําใหประสิทธิภาพของการยอยสลายและอัตรา<br />
การผลิตกาซชีวภาพลดลง แตถามี N มากเกินไป จะเปนพิษ และทําใหระบบเสียสมดุลยได สวน<br />
ธาตุอาหารเสริมอื่นๆ<br />
ที่ตองการในปริมาณนอย<br />
ไดแก Ca, Mg, Mo, Co และ Fe ซึ่งน้ําเสียโดยปกติ<br />
จะไมขาดแคลนธาตุอาหารเหลานี้<br />
25
ตารางที่<br />
2 ธาตุอาหารเสริมที่เหมาะสมสําหรับการยอยสลายแบบไรออกซิเจน<br />
ธาตุอาหาร ความเขมขนที่ศึกษา<br />
ก./ม3 ผลกระทบ<br />
Fe +2 0.2 ชวยตกตะกอนซัลไฟด และเปนโครงสรางฟลมชีวภาพ<br />
12-120 -<br />
Mo +2 (0.017) สรางโคแฟกเตอร F430 ในแบคทีเรียกลุมสรางมีเธน<br />
0.006 เพิ่มประสิทธิภาพการยอยสลาย<br />
Mg +2 0.01-0.02 ชวยในการสรางตะกอน<br />
Ca +2 0.01-0.04 ชวยในการสรางตะกอน<br />
Ba +2 0.01-0.1 ชวยในการสรางตะกอน<br />
Co +2 0.01 วิตามิน B12 0.003 เพิ่มประสิทธิภาพการยอยสลาย<br />
SO- 4 0.02 เพิ่มประสิทธิภาพการยอยสลาย<br />
ที่มา<br />
: กิตติ (2538)<br />
5. สารพิษ<br />
สารพิษที่เกิดขึ้นในระบบหมักแบบไรออกซิเจนอาจจะเปนพิษโดยตรง<br />
หรือยับยั้งการ<br />
ทํางานของจุลินทรีย ซึ่งขึ้นอยูกับชนิดและปริมาณความเขมขนของสารพิษนั้นๆ<br />
สารพิษเหลานี้ได<br />
แก กรดรเหยงาย เกลืออนินทรีย โลหะหนัก แอมโมเนีย ซัลไฟด เปนตน ระดับความเปนพิษของ<br />
สารเหลนี้จะแตกตางกันออกไป<br />
สารพิษบางชนิดไดแก อิออนของไซยาไนด (CN - ) และสาร<br />
ประกอบคลอรีน ไดแก CCl4, CHCl3 และ CH2Cl2 สารพิษพวกนี้สามารถทําใหจุลินทรียตายได<br />
ถึง<br />
แมปริมาณความเขมขนจะเพียงเล็กนอยเทานั้น<br />
5.1 พิษของกรดระเหยงาย กรดระเหยงายที่ปริมาณความเขาขนสูงๆ<br />
จะเปนพิษตอ<br />
จุลินทรียในถังหมักแบบไรออกซิเจนทําใหจุลินทรียเสียสมดุลยและทําใหระบบลมเหลวอยางไรก็<br />
ตามถากําลังบัฟเฟอร (Buffer Capacity) ภายในถังหมักสูงพอที่จะรักษาพีเอชใหใกลเคียง<br />
7 หรือ<br />
เทากับ 7 ปรากฏวากรดระเหยงายที่มีปริมาณความเขมขนสูงถึง<br />
10,000 มก./ล. ในรูปของกรดอะซิติก<br />
จะไมเปนพิษตอแบคทีเรีย (McCarty, 1961)<br />
26
5.2 พิษของเกลืออนินทรีย เกลือของสารอนินทรีย เชน อัลคาไลด (alkali) และอัลคาร<br />
ไลนเอิรท (alkali earth) ไดแก เกลือของโซเดียม (Na) โปตัสเซียม (K) แคลเซียม (Ca) และ<br />
แมกนีเซียม (Mg) เกลือของสารอนินทรียเหลานี้สามารถแตกตัวใหอิออนบวก<br />
ซึ่งเปนพิษมากกวา<br />
อิออนลบ ทั้งนี้<br />
ขึ้นอยูกับปริมาณอิออนบวกดวยวามีมากหรือนอยเพียงใด<br />
McCarty and McKinney<br />
(1961) ไดสรุปผลปริมาณ อิออนบวกของเกลืออนินทรียที่มีผลตอการยอยสลายสารอินทรียแบบไร<br />
ออกซิเจน แสดงไวในตารางที่<br />
3 จะเห็นไดวาความเปนพิษของอิออนบวกแตละชนิดจะรุนแรง<br />
ไมเทากันขึ้นอยูกับวาเลนซี่<br />
(Valiancy) และน้ําหนักอะตอมของสารอินทรีย<br />
ถาสารอนินทรียมีวา<br />
เลนซี่เทากับ<br />
2 จะมีความเปนพิษมากกวาสารอนินทรียที่มีวาเลนซี่เทากับ<br />
1 ยกตัวอยางเชน พิษของ<br />
Ca +2 และ Mg +2 จะมีพิษมากกวาพิษของ Na + และ K + ถึง 10 เทา<br />
5.3 พิษของโลหะหนัก โลหะหนักเปนพิษตอจุลินทรียในถังหมักแบบไรออกซิเจน ได<br />
แก สังกะสี ทองแดง ปรอท ตะกั่ว<br />
แคดเมียม เปนตน ความเปนพิษของโลหะหนักเหลานี้จะยับยั้ง<br />
การเจริญเติบโต หรืออาจทําใหจุลินทรียตายได อยางไรก็ตาม โลหะหนักที่จะเปนพิษจะตองอยูใน<br />
รูปสารละลาย ซึ่งโลหะหนักจะแตกตัวเปนอิออนเทานั้น<br />
McCarty (1964 b) พบวา พิษของโลหะ<br />
หนักจะรุนแรงมากนอยเพียงใด ขึ้นอยูกับความสามารถในการละลายของโลหะนั้นตัวอยาง<br />
เชน<br />
เหล็ก และอลูมิเนียม จะไมเปนพิษเนื่องจากโลหะทั้งสองมีความสามารถในการละลายน้ําไดนอย<br />
และพิษของโลหะหนักยังขึ้นอยูกับปริมาณโลหะหนักไดเกลือซัลไฟด<br />
ซึ่งไมละลายน้ําและไมเปน<br />
พิษ นอกจากนี้โลหะหนักที่มีวาเลนซี่ที่สูง<br />
เชน Cr +6 มีความเปนพิษมากกวา Cr +3 ตารางที่<br />
5 แสดง<br />
ปริมาณของโลหะหนักที่ทําใหกระบวนการยอยสลายอินทรียแบบไรออกซิเจนหมดประสิทธิภาพ<br />
ตารางที่<br />
3 ปริมาณอิออนที่มีผลตอการทํางานของจุลินทรียในระบบการยอยสลายสารอินทรียแบบ<br />
ไรออกซิเจน<br />
อิออนบวก หนวย ชวงกระตุน<br />
ชวงยับยั้ง<br />
ชวงเปนพิษ<br />
Na + มก./ล. 100-200 3500-5500 8000<br />
K + มก./ล. 200-400 2500-4500 12000<br />
Ca +2 มก./ล. 100-200 2500-4500 8000<br />
Mg +2 มก./ล. 75-150 1000-1500 3000<br />
ที่มา<br />
: McCarty (1964 c)<br />
27
ตารางที่<br />
4 ระดับความเขมขนสารตางๆ ที่สงผลความเปนพิษตอแบคทีเรียในระบบหมักผลิตกาซ<br />
ชีวภาพ<br />
สารพิษ ความเขมขนที่เปนอันตรายตอแบคทีเรีย<br />
(มก./ล.)<br />
Cu 2+<br />
Zn 2+<br />
Cr 6+<br />
Cr 3+<br />
Total Chromium<br />
Ni 2+<br />
Cd 2+<br />
S 2-<br />
SO 2-<br />
Ammonia<br />
Na +<br />
K +<br />
Ca 2+<br />
Mg 2+<br />
Acrylonitrile<br />
Benzene<br />
CCl4 Chloroform<br />
Pentachlorophenol<br />
Cyanide<br />
Chloride<br />
ที่มา<br />
: Eckenfelder (1989)<br />
1.0<br />
5.0<br />
5.0<br />
2,000<br />
5.0<br />
2.0<br />
0.02<br />
100<br />
500<br />
1,500<br />
3,500<br />
2,500<br />
2,500<br />
1,000<br />
5.0<br />
50<br />
10<br />
0.1<br />
0.4<br />
1.0<br />
15,000<br />
28
ตารางที่<br />
5 ปริมาณของโลหะหนักที่ทําใหกระบวนการยอยสลายสารอินทรียแบบไรออกซิเจน<br />
หมดประสิทธิภาพ<br />
โลหะหนัก หนวย ความเขมขน<br />
Zn +2 มก./ล. 163<br />
Cd +2 มก./ล. 180<br />
Cu +2 มก./ล. 170<br />
Fe +2 มก./ล. 1750<br />
Cr +3 มก./ล. 530<br />
Cr +6 มก./ล. 450<br />
Hg +2 มก./ล. 1365<br />
ที่มา<br />
: McCarty (1964 b)<br />
5.4 พิษของแอมโมเนีย แอมโมเนียที่เกิดขึ้นในถังหมักแบบไรออกซิเจน<br />
เกิดจากการ<br />
ยอยสลายสารอินทรียที่ประกอบดวยไนโตรเจน<br />
เชน โปรตีน หรือปุยยูเรีย<br />
แอมโมเนีย อาจจะอยูใน<br />
รูปของกาซแอมโมเนีย (NH3) หรือแอมโมเนียอิออน (NH +<br />
4) ทั้งนี้ขึ้นอยูกับพีเอชในถังปฏิกิริยา<br />
ดังสมการที่<br />
(1-3)<br />
pH > 7.2<br />
NH -<br />
4 NH 3 + H + (1-3)<br />
pH < 7.2<br />
ถาพีเอชสูงกวา 7.2 ปฏิกิริยาในสมการ (1-3) มีแนวโนมที่จะเกิดกาซแอมโมเนียมาก<br />
ซึ่ง<br />
เปนพิษกวาแอมโมเนียอิออน (McCarty, 1964 b) ตารางที่<br />
6 แสดงปริมาณแอมโมเนียไนโตรเจนที่มี<br />
ผลตอกระบวนการยอยสลายอินทรียแบบไรออกซิเจน<br />
29
ตารางที่<br />
6 ปริมาณแอมโมเนีย-ไนโตรเจนที่มีผลตอกระบวนการยอยสลายสารอินทรียแบบไร<br />
ออกซิเจน<br />
่<br />
ปริมาณแอมโมเนีย-ไนโตรเจน (มก./ล.) ผลกระทบตอการยอยสลายแบบไรออกซิเจน<br />
100-200 เปนผลดีตอกระบวนการยอยสลาย<br />
200-1,000 ไมมีผลกระทบ<br />
1,500-3,000 ที pH สูงๆ จะยับยั้งกระบวนการยอยสลาย<br />
>3,000 เปนพิษ<br />
ที่มา<br />
: McCarty (1964 b)<br />
5.5 พิษของซัลไฟด ซัลไฟดที่มีอยูในถังหมักแบบไรออกซิเจนอาจมีอยูในน้ําเสีย<br />
หรือ<br />
เกิดจากการยอยสลายสารพวกซัลเฟตที่มีอยูในน้ําเสีย<br />
หรือเกิดจากการยอยสลายพวกโปรตีน<br />
ซัลไฟดที่เกิดขึ้นในถังหมักอาจจะมีอยูในรูปของซัลไฟดที่ละลายน้ําได<br />
หรือไมละลายน้ําซึ่งขึ้นอยู<br />
กับอิออนบวกที่โลหะนั้นรวมอยู<br />
ถารวมกับพวกโลหะหนักก็จะตกตะกอนลงมาสวนที่เหลือจะ<br />
ละลายน้ําอยูในรูปของไฮโดรเจนซัลไฟด(H2S)<br />
McCarty, (1964) พบวาแบคทีเรียที่ไมใชออกซิเจน<br />
อิสระจะสามารถทนซัลไฟดที่ละลายน้ํา<br />
ที่มีปริมาณความเขมขน<br />
50-100 มก./ล. ได และปริมาณ<br />
ความเขมขนมากกวา 200 มก./ล. จะเปนพิษตอแบคทีเรีย<br />
พารามิเตอรในการออกแบบระบบบําบัดน้ําเสียแบบไมใชอากาศ<br />
กระบวนการบําบัดน้ําเสียแบบไรออกซิเจนแตละชนิด<br />
จะมีพารามิเตอรที่ใชควบคุมการ<br />
ทํางานซึ่งขึ้นอยูกับลักษณะสมบัติของน้ําเสีย<br />
และกลไกทํางานของจุลินทรียภายในกระบวนการ<br />
นั้นๆ<br />
สําหรับกระบวนการยูเอเอสบีน้ําเสียเขาสูระบบจะตองปราศจากสารพิษ<br />
และตองปรับสภาพ<br />
ของน้ําเสียใหเหมาะสมกับจุลินทรียในระบบ<br />
เชน คาพีเอช สภาพความเปนกรดดาง อาหารเสริม<br />
เปนตน สวนกลไกการทํางานของจุลินทรียในระบบนอกจากจะรักษาสภาพสมดุลยของจุลินทรียที่<br />
สรางกรด และ จุลินทรียที่สรางมีเทนแลว<br />
ยังตองรักษาจํานวนจุลินทรียในระบบใหมากที่สุดเทาที่จะ<br />
ทําได พารามิเตอรที่เปนตัวควบคุมจํานวนจุลินทรียในถังปฏิกิริยา<br />
คือ ความสามารถในการตก<br />
ตะกอนของจุลินทรีย (Sludge Settleability) ซึ่งขึ้นอยูกับอัตราภาระบรรทุกสารอินทรีย<br />
(Organic<br />
Loarding Rate) และอัตราภาระบรรทุกปริมาณน้ํา<br />
(Hydraulic Loading Rate) ดังนั้น<br />
พารามิเตอรที่<br />
30
ใชควบคุมการทํางานของกระบวนการยูเอเอสบี คือ อัตราภาระบรรทุกสารอินทรียและอัตราภาระ<br />
บรรทุกปริมาณน้ํา<br />
อัตราภาระบรรทุกสารอินทรียเปนพารามิเตอรสําคัญที่มีผลตอประสิทธิภาพในการกําจัด<br />
สารอินทรีย การตกตะกอนของตะกอนจุลินทรีย และการเกิดกาซในถังปฏิกิริยา น้ําเสียที่ปอนเขาสู<br />
ระบบจะตองมีอัตราภาระต่ํากวาอัตราสูงสุดในการกําจัดสารอินทรียของตะกอนจุลินทรีย<br />
Lettinga<br />
et.al, (1982) พบวาตะกอนจุลินทรียในชั้นตะกอนลางจะขยายตัวเสมอที่อัตราภาระบรรทุกสาร<br />
อินทรียต่ํา<br />
ซึ่งเกิดจากกาซที่เกิดขึ้นในถังปฏิกิริยาสวนใหญจะถูกดักอยูชั้นตะกอนลาง<br />
โดยน้ําหนัก<br />
ตะกอนจุลินทรียและความหนาแนนของจุลินทรีย แตชั้นตะกอนลางจะหดตัวลงเมื่ออัตราภาระ<br />
บรรทุกสารอินทรียเพิ่มสูงขึ้น<br />
(การเกิดกาซจะเพิ่มขึ้นดวย)<br />
ปรากฏการณที่เกิดขึ้นเหลานี้ยังไมมีการ<br />
ทดลองที่แสดงใหเห็นอยางชัดเจนวาที่ภาระบรรทุกสารอินทรียทําใหชั้นตะกอนลางเกิดการหดหรือ<br />
ขยายตัวขึ้น<br />
การเพิ่มภาระบรรทุกสารอินทรียทําใหกาซเพิ่มขึ้น<br />
การสัมผัสกันระหวางน้ําเสียกับ<br />
ตะกอนจุลินทรียเกิดมากขึ้น<br />
กาซที่ถูกดักที่ชั้นตะกอนลางเกิดนอยลงความเขมขนของชั้นตะกอน<br />
ลางเกิดเพิ่มขึ้น<br />
ทําใหตะกอนจุลินทรียบริเวณพื้นที่รอยตอของชั้นตะกอนลางและชั้นตะกอนลอยมี<br />
ขนาดเล็กลง เนื่องจากแรงที่เกิดจากการลอยขึ้นอยางรวดเร็วของกาซ<br />
นอกจากนี้ไดมีการทดลองใช<br />
น้ําเสียจากโรงงานที่ใชมะเทือเทศเปนวัตถุดิบศึกษาการทํางานของถังปฏิกิริยาแบบยูเอเอสบี<br />
ในชวง<br />
วันที่ทดลองระหวาง<br />
411 ถึง 438 พบวา ที่อัตราภาระบรรทุกสารอินทรียเพิ่มขึ้น<br />
ตะกอนจุลินทรีย<br />
ในถังปฏิกิริยาจะเพิ่มขึ้นดวย<br />
และกาซที่เกิดเพิ่มขึ้นจะไมมีผลตอการกักตะกอนจุลินทรีย<br />
(Lettinga<br />
et. al., 1980)<br />
พารามิเตอรอีกตัวหนึ่งที่มีผลตอการกักตะกอนจุลินทรีย<br />
ก็คือ อัตราบรรทุกปริมาณน้ํา<br />
ซึ่งมีความสัมพันธกับความรุนแรงของการกวน<br />
(Agitation intensity) ในชั้นตะกอนลาง<br />
จากการ<br />
ทดลองกระบวนการดีไนติฟเคชั่น<br />
โดยใชถังปฏิกิริยาแบบยูเอเอสบีขนาดหองปฏิบัติการ และการ<br />
กวนในถังปฏิกิริยาใหเกิดขึ้นโดยกาซที่เกิดขึ้นเองในถังปฏิกิริยาเพียงอยางเดียว<br />
พบวาน้ําเสียจะไหล<br />
ผานชองวางที่เกิดขึ้นจากรอยแตกของตะกอนจุลินทรียในชั้นตะกอนลาง<br />
ซึ่งเปนการไหลลัดวงจร<br />
ทําใหประสิทธิภาพในการกําจัดสารอินทรียลดลง ซึ่งสามารถแกไขโดยการกระจายทางน้ําเขาให<br />
สม่ําเสมอตลอดพื้นที่ดานลางของถังปฏิกิริยา<br />
สําหรับโรงบําบัดน้ําเสียจริงจุดน้ําเขาจุดหนึ่งจะครอบ<br />
คลุมพื้นที่<br />
5 ถึง 10 ตารางเมตร และถังปฏิกิริยาตนแบบขนาดใหญ (Large Pilot Plant) จุดน้ําเขา<br />
หนึ่งจุดควรคลอบคลุมพื้นที่ไดถึง<br />
1 ถึง 2 ตารางเมตร ถาระบบกระจายน้ําเขาสามารถกระจายน้ําเสีย<br />
ไดทั่วพื้นที่กนถัง<br />
จะทําใหระบบรับภาระบรรทุกสารอินทรียเล็กลง และเมื่อเพิ่มอัตราภาระบรรทุก<br />
31
ปริมาณน้ํา<br />
จะทําใหตะกอนจุลินทรียที่มีขนาดเล็กเหลานี้หลุดออกไปกับน้ําออก<br />
แกไขไดโดยติดตั้ง<br />
ถังเพื่อแยกกาซตะกอนจุลินทรีย<br />
และน้ําใส<br />
(Gas-Solid-Liquid Separator)<br />
ขอกําหนดการออกแบบ (Design Criteria)<br />
การออกแบบถังหมักแบบ ยูเอเอสบี มีปจจัยที่จะตองควบคุมดังนี้<br />
1. เวลาเก็บกักน้ํา<br />
(Hydraulic Retention Time, HRT) โดยทั่วไปขึ้นอยูกับคุณภาพน้ําออก<br />
จากระบบที่ตองการโดยทั่วไป<br />
ใชเวลา 4-24 ชม. ถาเปนน้ําเสียที่มีความสกปรกปานกลาง<br />
(ซีโอดี<br />
ละลายน้ํา<br />
1,000-3,000 มก./ล.) อาจใชเวลา 3-8 ชม. ถาเปนน้ําเสียที่มีความสกปรกสูง<br />
(ซีโอดีละลาย<br />
น้ํา<br />
10,000-15,000 มก./ล.) อาจใชเวลามากถึง 1 วัน (Lettinga et al., 1980)<br />
2. อัตราภาระบรรทุกสารอินทรีย (Organic Loading Rate, OLR) Lettinga et al., (1983)<br />
รายงานวาโรงบําบัดน้ําเสียที่ใชระบบยูเอเอสบี<br />
ทั้งในน้ําเสียชุมชนและน้ําเสียอุตสาหกรรมจะใช<br />
ชวงคาไมเกิน 1 กก. ซีโอดี/(ลบ.ม.วัน) ที่อุณหภูมิ<br />
30 องศาเซลเซียส<br />
3. ความเร็วไหลขึ้น<br />
(Upflow Liquid Velocity, ULV) Souza (1986) เสนอใหใชชวงคา<br />
1.2-1.5 ม./ชม. สําหรับน้ําเสียที่มีความสกปรกนอยยอมใหสูงถึง<br />
3.7 ม./ชม. ที่อัตราการไหลสูงสุด<br />
ประจําวัน<br />
4. ความสูงของถังหมัก ความสูงของโซนตกตะกอนไมควรต่ํากวา<br />
1.5 เมตร (Lettinga<br />
et. al., 1983) สวนคาความสูงของโซนยอยสลายขึ้นอยูกับความหนาของชั้น<br />
sludge bed<br />
5. ความเร็วในโซนตกตะกอน Lettinga et al., (1983) แนะนําใหใชนอยกวา 2 ม./ชม.<br />
6. โครงสรางอุปกรณแยกกาซตะกอนจุลินทรีย (Gas-Solid Separator, GSS) มุมลาดชัน<br />
ของผนังโซนตกตะกอนควรมีความลาดชันประมาณ 50 องศา กับแนวราบ (Lettinga et al, 1983)<br />
ติดตั้งดีเฟคเตอร<br />
(deflector) ควรใหมีระยะเหลื่อมกับปลายสุดของผนังโซนตกตะกอนในระยะดิ่ง<br />
อยางนอย 0.20 เมตร (Souza, 1986)<br />
7. ความเร็วภายในทางเขาระหวางโซนยอยสลายและโซนตกตะกอน Souza, (1986)<br />
เสนอใหใชระยะ 3-5 ม./ชม.<br />
8. Gas release Rate Souza1, (986) ใหใช 1-5 ลบ.ม./(ตร.ม.) เพื่อปองกันการเกิดฝา<br />
ไขตะกอนลอย (scum)<br />
9. ระบบกระจายน้ําเสียเขาถังหมัก<br />
สําหรับน้ําเสียชุมชนเนื่องจากปริมาณกาซที่เกิดขึ้น<br />
นอยโดยเฉพาะในชวงเริ่มตนระบบ<br />
ซึ่งกอใหเกิดปญหาน้ําไหลในชอง<br />
(Channeling) ในชั้นตะกอน<br />
ซึ่งทําใหเกิดการลัดวงจร<br />
(Short Circuit) ได Lettinga et al., (1983) แนะนําใหใช 1 จุด/ม 2<br />
32
อุปกรณและวิธีการทดลอง<br />
แผนการทดลอง<br />
งานวิจัยครั้งนี้แบงการทดลองออกเปน<br />
5 ขั้นตอนการทดลอง<br />
คือ<br />
ขั้นตอนที่<br />
1 เริ่มเดินระบบและเตรียมความพรอมจุลินทรีย<br />
ขั้นตอนที่<br />
2 ศึกษาประสิทธิภาพของระบบแบบทีละเท(Batch Treatment) ซึ่งน้ําเสียสังเคราะห<br />
มีฟอรมัลดี ไฮดปนเปอนอยู<br />
50 มก./ล.<br />
ขั้นตอนที่<br />
3 ศึกษาประสิทธิภาพของระบบเมื่อแปรเปลี่ยนระยะเวลาเก็บกัก<br />
(HRT) เปน 6, 12 ,<br />
24 และ 48 ชม.ซึ่งน้ําเสียสังเคราะหมีฟอรมัลดีไฮดปนเปอนอยู<br />
50 มก./ล.<br />
ขั้นตอนที่<br />
4 ศึกษาประสิทธิภาพของระบบเมื่อแปรเปลี่ยนน้ําเสียสังเคราะหใหมีความเขมขน<br />
ของฟอรมัลดีไฮด เปน 150 , 250, 350 และ 550 มก./ล. ที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
(HRT)<br />
ที่ใหประสิทธิภาพในการกําจัดฟอรมัลดีไฮด<br />
ไดสูงที่สุดจากการทดลอง<br />
ขั้นตอนที่3<br />
ขั้นตอนที่<br />
5 ศึกษาประสิทธิภาพของระบบโดยใชน้ําเสียจริง<br />
ที่ระยะเวลาเก็บกัก(HRT)<br />
ที่ให<br />
ประสิทธิภาพในการกําจัดฟอรมัลดีไฮด ไดดีที่สุดจากการทดลองขั้นตอนที่<br />
3<br />
1. น้ําเสียที่ใชในการศึกษาวิจัย<br />
วิธีการทดลอง<br />
1.1 น้ําเสียสังเคราะห<br />
มีคา COD, Total Nitrogen, Total Phosphorus, อยูในชวงเดียวกับ<br />
น้ําเสียจริง<br />
โดยเปลี่ยนแปลงคา<br />
Formaldehyde ใหมีความเขมขนตั้งแตนอยไปมากใหครอบคลุมชวง<br />
ความเขมขนของ Formaldehyde ในน้ําเสียจริง<br />
ในการทดลองใชสารเคมีสังเคราะหน้ําเสียดังนี้<br />
methanol และGlucose (ใชเปนแหลงคารบอน), KH2PO4 (แหลงฟอสฟอรัส), NH4Cl (แหลง<br />
ไนโตรเจน) แสดงการเตรียมน้ําเสียสังเคราะหดังตารางที่<br />
7 และแสดงคุณสมบัติน้ําเสียสังเคราะหดัง<br />
ตารางที่<br />
8<br />
33
ตารางที่<br />
7 การเตรียมน้ําเสียสังเคราะห<br />
สารเคมี<br />
น้ําหนัก<br />
(กรัม)<br />
ปริมาตร<br />
(มิลลิลิตร)<br />
ปริมาตรน้ําเสียสังเคราะห<br />
(ลิตร)<br />
Methanol - 50 20<br />
Glucose 20 - 20<br />
NH 4Cl 17 - 20<br />
KH 2PO 4 2 - 20<br />
Formaldehyde Solution (37%) - 3-33 20<br />
ตารางที่<br />
8 คุณสมบัติน้ําเสียสังเคราะห<br />
พารามิเตอร หนวย ผลวิเคราะห<br />
Temperature (Temp.) °C 28.5-29.5<br />
pH - 6.4 – 7.7<br />
COD mg/L 4,000 – 5,000<br />
Formaldehyde (HCHO) mg/L 50 - 550<br />
Total nitrogen (TN) mg/L 199 – 350<br />
Total phosphorus (TP) mg/L 15 - 23<br />
1.2 น้ําเสียจริงที่มีการปนเปอนฟอรมัลดีไฮดและผานกระบวนการออกซิเด<br />
ชั่น(Oxidation<br />
Process)แลวในกระบวนการบําบัดน้ําเสียของ<br />
บริษัท ทีโอเอ โดฟเคม จํากัด (TOA<br />
Dovechem Co., Ltd.) ซึ่งเปนโรงงานประเภทพลาสติก–เรซิน<br />
ที่มีการผลิตกาวไมอัดชนิดกาวยูเรีย-<br />
ฟอรมัลดีไฮด (UF,Urea Formaldehyde)โดยจะนําน้ําเสียตัวอยางมาวิเคราะหหาคุณลักษณะทางชีว<br />
เคมีกอนการเตรียมน้ําเสียสังเคราะห<br />
34
ตารางที่<br />
9 คุณสมบัติน้ําเสียจริง<br />
พารามิเตอร หนวย ผลวิเคราะห<br />
Temperature (Temp.) °C 31.5<br />
pH - 3.58<br />
Total suspended solids (TSS) mg/L 90<br />
Total dissolved solids (DS) mg/L 7500<br />
COD mg/L 4,000-5,000<br />
BOD mg/L 159<br />
Formaldehyde (HCHO) mg/L 400-450<br />
Total nitrogen (TN) mg/L 376<br />
Total phosphorus (TP) mg/L 7.9<br />
Nitrite(NO-2) mg/L 3.2<br />
Nitrate (NO-3) mg/L 85<br />
Sulfate (SO- 4) mg/L 374<br />
Chloride (Cl- ) mg/L 296<br />
Manganese (Mn) mg/L 0.15<br />
Total iron (Fe) mg/L 5.2<br />
Sodium (Na) mg/L 1310<br />
Potassium (K) mg/L 6.5<br />
2. ขั้นตอนการทดลอง<br />
2.1 การเริ่มเลี้ยงจุลินทรีย<br />
(Start up) เตรียมเชื้อ(Seed)<br />
ดวยการนําตะกอนจุลินท<br />
รีย(Sludge) จากถังปฏิกิริยาในระบบบําบัดน้ําเสียแบบกระบวนการชั้นตะกอนจุลินทรียไรอากาศ<br />
แบบไหลขึ้น<br />
(UASB) ของบริษัทเสริมสุข จํากัด (มหาชน) โรงงานปทุมธานี โดยใหมีความเขมขน<br />
30,000 – 40,000 mg VSS/L และใช เมทานอล(Methanol) เปน Carbon Source หลังจากนั้นเติม<br />
น้ําเสียสังเคราะหจนเต็มถังปฏิกิริยา<br />
ปดถังปฏิกิริยาไวประมาณ 7 วัน เพื่อใหจุลินทรียปรับตัวใหเขา<br />
กับสภาพแวดลอมใหมแลวจึงเพิ่มความเขมขนของฟอรมัลดีไฮดขึ้นตามลําดับ<br />
โดยการวัดปริมาณ<br />
กาซชีวภาพหากมีกาซเกิดขึ้นอยางตอเนื่องแสดงวา<br />
จุลินทรียพรอมที่จะรับน้ําเสียได<br />
จากนั้นเริ่มตน<br />
ปอนน้ําเสียเขาสูถังปฏิกิริยาดวยอัตราไหลที่มีระยะเวลาเก็บกัก(HRT)<br />
เทากับ 48 ชั่วโมง<br />
จนกระทั่ง<br />
35
ระบบเขาสูสถานะคงตัว<br />
(Steady State) โดยดูจากประสิทธิภาพในการบําบัดฟอรมัลดีไฮดและสาร<br />
ประกอบอินทรียในรูป COD มีคาคงที่<br />
นอกจากนี้ดูความสัมพันธระหวางคา<br />
%CH4 และ คา VFA<br />
(Volatile Fatty Acid) เพื่อยืนยันความพรอมที่จะทํางานของจุลินทรียในระบบ<br />
ระยะเวลาขั้นเริ่มเดิน<br />
ระบบใชเวลาประมาณ 2 เดือน<br />
การทดลองขั้นตอนที่<br />
1 : การเริ่มเลี้ยงจุลินทรีย<br />
RUN No. HRT Flow Rate Concentration Concentration<br />
(hr.) (L/day) (mg HCHO/L) (mg COD/L)<br />
Start up 48 8.84 - 4000 - 5000<br />
2.2 การศึกษาประสิทธิภาพของระบบแบบทีละเท(Batch Treatment) ซึ่งน้ําเสีย<br />
สังเคราะหมีความเขมขนซีโอดี4,000-5,000 มก./ล. และมีฟอรมัลดี ไฮดปนเปอนอยู<br />
50 มก./ล.<br />
โดยควบคุม pH ใหอยูในชวง<br />
6.5 – 7.5 ควบคุมสภาพความเปนกรดดางในถังปฏิกิริยาใหอยูใน<br />
สภาวะที่เหมาะสม<br />
เดินระบบแบบตอเนื่องโดยทําการเก็บตัวอยางทุก<br />
12 ชั่วโมง<br />
จนปริมาณซีโอดี<br />
และปริมาณฟอรมัลดีไฮดน้ําออกของระบบเขาสูสภาวะะคงตัว<br />
จึงทําการทดลองขั้นตอไป<br />
การทดลองขั้นตอนที่<br />
2 : การทดลองแบบทีละเท (Batch Treatment Process)<br />
RUN No. HRT Flow Rate Concentration Concentration<br />
(hr.) (L/day) (mg HCHO/L) (mg COD/L)<br />
Batch - - 50 4000 - 5000<br />
2.3 การศึกษาประสิทธิภาพของระบบเมื่อแปรเปลี่ยนระยะเวลาเก็บกัก<br />
(HRT) โดย<br />
ทดลองที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
6, 12 , 24 และ 48 ชม. ใชน้ําเสียสังเคราะหมีความเขมขนซีโอดี<br />
4,000-<br />
5,000 มก./ล. และมีฟอรมัลดี ไฮดปนเปอนอยู<br />
50 มก./ล. โดยควบคุม pH ใหอยูในชวง<br />
6.5 – 7.5<br />
ควบคุมสภาพความเปนกรดดางในถังปฏิกิริยาใหอยูในสภาวะที่เหมาะสม<br />
เดินระบบแบบตอเนื่อง<br />
โดยทําการเก็บตัวอยางทุก 24 ชั่วโมง<br />
ใชระยะเวลาเดินระบบ 15 วันจนปริมาณซีโอดีและ<br />
ปริมาณฟอรมัลดีไฮดน้ําออกของระบบเขาสูสภาวะะคงตัว<br />
จึงทําการทดลองขั้นตอไป<br />
36
การทดลองขั้นตอนที่<br />
3: การศึกษาการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาเก็บกัก<br />
(HRT)<br />
RUN No. COD loading Flow Rate Concentration Concentration<br />
kg COD/m 3 .d (L/day) (mg HCHO/L) (mg COD/L)<br />
1 2.35 8.84 50 4000 - 5000<br />
2 4.56 17.67 50 4000 - 5000<br />
3 8.83 35.34 50 4000 - 5000<br />
4 17.70 70.68 50 4000 - 5000<br />
2.4 การศึกษาประสิทธิภาพของระบบเมื่อแปรเปลี่ยนความเขมขนของฟอรมัลดีไฮด<br />
น้ําเสียสังเคราะหมีความเขมขนซีโอดี<br />
4,000 – 5,000 มก./ล. และมีความเขมขนฟอรมัลดีไฮดเปน<br />
150 , 250, 350 และ 550 มก./ล. ที่ระยะเวลาเก็บกัก(HRT)<br />
ที่ใหประสิทธิภาพในการกําจัดฟอรมัลดี<br />
ไฮด ไดสูงที่สุดจากการทดลองขั้นตอนที่<br />
3โดยควบคุม pH ใหอยูในชวง<br />
6.5 – 7.5 ควบคุมสภาพ<br />
ความเปนกรดดางในถังปฏิกิริยาใหอยูในสภาวะที่เหมาะสม<br />
ใชระยะเวลาเดินระบบ 15 วันจน<br />
ปริมาณซีโอดีและปริมาณฟอรมัลดีไฮดน้ําออกของระบบเขาสูสภาวะะคงตัว<br />
จึงทําการทดลองขั ้น<br />
ตอไป<br />
การทดลองขั้นตอนที่<br />
4: การศึกษาการเปลี่ยนแปลงคาความเขมขนของฟอรมัลดีไฮด<br />
RUN No. HRT Flow Rate Concentration Concentration<br />
(hr.) (L/day) (mg HCHO/L) (mg COD/L)<br />
1 24 17.67 150 4000 - 5000<br />
2 24 17.67 250 4000 - 5000<br />
3 24 17.67 350 4000 - 5000<br />
4 24 17.67 550 4000 - 5000<br />
37
2.5 การศึกษาประสิทธิภาพของระบบโดยใชน้ําเสียจริง<br />
โดยเดินระบบที่ระยะเวลาเก็บ<br />
กัก(HRT) ที่ใหประสิทธิภาพในการกําจัดฟอรมัลดีไฮด<br />
ไดดีที่สุดจากการทดลองขั้นตอนที่<br />
3 น้ําเสีย<br />
จริงมีความเขมขนซีโอดี 4,000 – 5,000 มก./ล. และมีความเขมขนฟอรมัลดีไฮดประมาณ 450 มก./<br />
ล. โดย ควบคุม pH ใหอยูในชวง<br />
6.5 – 7.5 ควบคุมสภาพความเปนกรดดางในถังปฏิกิริยาใหอยูใน<br />
สภาวะที่เหมาะสม<br />
ใชระยะเวลาเดินระบบ 15 วันจนปริมาณซีโอดีและปริมาณฟอรมัลดีไฮดน้ําออก<br />
ของระบบเขาสูสภาวะคงตัว<br />
จึงทําการทดลองขั้นตอไป<br />
การทดลองขั้นตอนที่<br />
5: การศึกษาประสิทธิภาพของระบบโดยใชน้ําเสียจริง<br />
RUN No. HRT Flow Rate Concentration Concentration<br />
(hr.) (L/day) (mg HCHO/L) (mg COD/L)<br />
1 24 17.67 450 4000-5000<br />
วัสดุและอุปกรณ<br />
1. ระบบถังปฏิกิริยาชั้นตะกอนจุลินทรียไรอากาศแบบไหลขึ้น<br />
(UASB)<br />
1.1 ถังปฏิกิริยา เปนแบบจําลองถังปฏิกิริยารูปทรงกระบอกทําจากอะครีลิกใส (Acrylic<br />
Plastic) ขนาดเสนผานศูนยกลาง 0.15 เมตร สูง 1.2 เมตร ระยะ Freeboard 0.20 เมตร ความจุรวม<br />
17.67 ลิตร ตัวถังปฏิกิริยามีจุดเก็บน้ําตัวอยาง<br />
3 จุด จุดที่<br />
1 หางจากกนถัง 0.25 เมตร จุดที่<br />
2 หางจาก<br />
จุดที่1<br />
ขึ้นมา<br />
0.25 เมตร และจุดที่<br />
3 หางจากจุดที่<br />
2 ขึ้นมา<br />
0.25 เมตร โดยปอนใหน้ําเสียไหลเขาถัง<br />
ปฏิกิริยาดวย Peristaltic Pump ดานบนของถังปฏิกิริยามีทอสําหรับนํากาซชีวภาพออกจากถังตอเขา<br />
กับ Water Substitution เพื่อน้ําที่ถูกแทนที่ดวยกาซไปวิเคราะหหาปริมาณกาซชีวภาพตอไป<br />
สวน<br />
ทางน้ําออกซึ่งอยูที่ระดับความสูง<br />
1.00 เมตร เปนทอน้ําทิ้งที่ตอผาน<br />
U-Trap เพื่อดักกาซไมใหไหล<br />
ออกไปกับน้ําทิ้ง<br />
ออกไปสูถังรับน้ําทิ้งขนาด<br />
50-70 ลิตร ดังภาพที่<br />
8 ภาพที่<br />
9 และภาพที่<br />
10<br />
38
ภาพที่<br />
8 ภาพถายและภาพตัวอยางตัวถังปฏิกิริยาแบบ UASB ระดับหองปฏิบัติการ (Lab Scale)<br />
Water Substitution<br />
Storage Tank<br />
Vent gas<br />
GLS<br />
Separator<br />
Pump<br />
U-Trap<br />
Sludge Draw-off pipe<br />
15.0 cm.<br />
ภาพที่<br />
9 แผนภาพระบบถังปฏิกิริยาชั้นตะกอนจุลินทรียไรอากาศแบบไหลขึ้น<br />
(UASB)<br />
Sampling Ports<br />
Holder<br />
Effuent<br />
Tank<br />
20.0 cm.<br />
25.0 cm.<br />
25.0 cm.<br />
25.0 cm.<br />
25.0 cm.<br />
0.15 m<br />
39<br />
15.0 cm.<br />
0.20 m
ภาพที่10<br />
ภาพถายสวนประกอบระบบถังปฏิกิริยาชั้นตะกอนจุลินทรียไรอากาศแบบไหลขึ้น<br />
(UASB)<br />
1.2 ถังเก็บน้ําเสีย<br />
(Storage Tank) เปนถังพลาสติกทรงกระบอกขนาดความจุ 40-60 ลิตร<br />
1.3 ถังรับน้ําทิ้ง<br />
เปนถังพลาสติกทรงกระบอกขนาดความจุ 10- 20 ลิตร<br />
1.4 เครื่องสูบน้ํา<br />
ใช Peristaltic Pump เปนเครื่องสูบน้ําเขาสูถังปฏิกิริยา<br />
2. เครื่องมือในการทดลองและตรวจวิเคราะหทางหองปฏิบัติการ<br />
ประกอบดวย<br />
2.1 เครื่องวัด<br />
pH (pH meter)<br />
2.2 เครื่องชั่งละเอียด<br />
2.3 เครื่อง<br />
Spectrophotometers<br />
2.4 Suction Pump และMembrane Filter<br />
2.5 ชุดเครื่องกลั่นฟอรมัลดีไฮด<br />
2.6 ชุดเครื่องแกวและชุดไทเทรตสําหรับวิเคราะหดัชนีคุณภาพน้ําตัวอยาง<br />
2.7 เตาอบ(Oven)<br />
2.8 ตูดูดความชื้น<br />
(Desicator)<br />
2.9 Water Bath<br />
40
การวิเคราะหคุณภาพน้ํา<br />
การวิเคราะหตัวอยางน้ํา<br />
ตรวจวิเคราะหตัวอยางน้ํา<br />
2 จุด คือตัวอยางน้ําเสียที่ปอนเขาสู<br />
ถังปฏิกิริยา(Influent) และตัวอยางน้ําทิ้งที่ออกจากระบบ(Effluent)<br />
จํานวน 10 พารามิเตอร ดังแสดง<br />
ในตารางที่<br />
10 ตามมาตรฐานของ Standard Methods for the Examination of Water and Wastewater<br />
( 20 th Ed.,1998) โดย Amerrican Public Health Assoc.,Washington,DC. และ JIS Handbook<br />
Environmental Technology, (Volume 2., 1992)<br />
ตารางที่<br />
10 การวิเคราะหตัวอยางน้ํา<br />
Parameter Method Of Analysis ความถี่ในการวิเคราะห<br />
pH Electrometeric Method (4500-H-B) ทุกวัน<br />
Temp.(°C) Laboratory Method (2550-B) ทุกวัน<br />
Formaldehyde (mg/L)<br />
Distillation, Colorimetric Method<br />
(JISK 0102)<br />
ทุกวัน<br />
COD(mg/L)<br />
Close reflux, Titrimetric Method<br />
(5220-C)<br />
ทุกวัน<br />
VFA(mg/L) Titrimetric Method ทุกวัน<br />
Alkalinity (mg/L) Titrimetric Method ทุกวัน<br />
SS(mg/L)<br />
Total Suspended Solids dried at<br />
103-105°C (2450-D)<br />
ทุกวัน<br />
MLSS (mg/L)<br />
Total Suspended Solids dried at 103-<br />
105°C (2450-D)<br />
ทุก 2 วัน<br />
MLVSS(mg/L)<br />
Total Suspended Solids dried at<br />
550°C (2450-D)<br />
ทุก 2 วัน<br />
TKN(mg/L)<br />
Macro-Kjeldahl Method<br />
(4500-NORG-B) ทุกวัน<br />
Total Phosphorus (mg/L) Colorimetric Method ทุกวัน<br />
41
การวิเคราะหคุณภาพกาซ<br />
การวิเคราะหตัวอยางกาซ ตรวจวิเคราะหกาซชีวภาพในรูปกาซมีเทน และ กาซ<br />
คารบอนไดออกไซด 1 จุด ดวยวิธีการวัดปริมาตรการแทนที่น้ําในสวนที่เปน<br />
Water Substitution<br />
และทําการเก็บตัวอยางดวยวิธี Gas Bag เพื่อนําไปวิเคราะหตอดวยเครื่อง<br />
Methane Analyser (CH4 Monitor: APHA-130) และ Carbondioxide Analyser (Co2 Monitor: OPGU-2100) ดังแสดง<br />
ในตารางที่<br />
11<br />
ตารางที่<br />
11 การวิเคราะหตัวอยางกาซ<br />
Parameter Method Of Analysis ความถี่ในการวิเคราะห<br />
%CH 4 Flam Ionization Method 5 วัน/สัปดาห<br />
%CO 2 Flue Gas Analyzer 5 วัน/สัปดาห<br />
สถานที่และระยะเวลาทําการวิจัย<br />
สถานที่ทําการวิจัย<br />
: หองปฏิบัติการวิศวกรรมสิ่งแวดลอม<br />
ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดลอม<br />
คณะวิศวกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร วิทยาเขตบางเขน<br />
หองปฏิบัติการเคมีวิเคราะห บริษัทเอส.พี.เอส คอนซัลติ้ง<br />
เซอรวิส จํากัด<br />
ระยะเวลาทําการวิจัย : เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2547 – เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2548<br />
42
ผลการทดลองและวิจารณ<br />
คุณสมบัติของน้ําเสียสังเคราะหและน้ําเสียจริงที่ใชในการทดลอง<br />
น้ําเสียสังเคราะหที่ใชถูกเตรียมใหมีคาCOD<br />
,Total Nitrogen,Total Phosphorus , ใกล<br />
เคียงน้ําเสียจริงโดยใชสารเคมีตอไปนี้คือ<br />
Methanol และGlucose(ใชเปนแหลงคารบอน) ,KH2PO4 (แหลงฟอสฟอรัส) ,NH4Cl (แหลงไนโตรเจน) อัตราสวนเฉลี่ยสารอินทรียในน้ําเสียสังเคราะห<br />
COD : N : P = 100 : 6.1 : 0.4 อัตราสวนนี้ต่ํากวาอัตราสวนที่<br />
Annachhatre and Bhamidimarri<br />
(1992) ไดรายงานวา COD : N : P เทากับ 300 : 5 : 1 แตอัตราสวนดังกลาวมีคาใกลเคียงกับอัตรา<br />
สวนในน้ําเสียจริง<br />
เสริมพล และไชยยุทธ (2518)เสนอวา อัตราสวนที่เหมาะสมของ<br />
BOD : N : P<br />
ในการบําบัดแบบไมใชอากาศ คือ 100 : 1.1: 0.2 ถาอัตราสวนของ N:P ต่ํากวานี้<br />
จะทําใหประสิทธิ<br />
ภาพของการยอยสลายและอัตราการผลิตกาซชีวภาพลดลง แตถามี N มากเกินไป จะเปนพิษ และทํา<br />
ใหระบบเสียสมดุลยได<br />
น้ําเสียจริงที่มีการปนเปอนฟอรมัลดีไฮดและผานขั้นตอนการออกซิเดชั่นในกระบวน<br />
การบําบัดน้ําเสียของ<br />
บริษัท ทีโอเอ โดฟเคม จํากัด (TOA Dovechem Co., Ltd.) ซึ่งเปนโรงงาน<br />
ประเภทพลาสติก–เรซิน ที่มีการผลิตกาวไมอัดชนิดกาวยูเรีย-ฟอรมัลดีไฮด<br />
(UF, Urea<br />
Formaldehyde) อัตราสวนเฉลี่ยสารอินทรียในน้ําเสียจริง<br />
COD : N : P = 100 : 8.4 : 0.2 ลักษณะ<br />
สมบัติของน้ําเสียจริงและน้ําเสียสังเคราะหแสดงดังตารางที่<br />
12<br />
ตารางที่<br />
12 แสดงคุณสมบัติของน้ําเสียสังเคราะหและน้ําเสียจริงที่ใชในการทดลอง<br />
พารามิเตอร หนวย น้ําเสียสังเคราะห<br />
น้ําเสียจริง<br />
Temperature (Temp.) °C 28.5-29.5 31.5<br />
pH - 6.4 – 7.7 3.58<br />
COD mg/L 4,000-5,000 4,000-5,000<br />
Formaldehyde (HCHO) mg/L 50 - 550 400-450<br />
Total nitrogen (TN) mg/L 199-350 376<br />
Total phosphorus (TP) mg/L 15 - 23 7.9<br />
43
ผลการทดลอง<br />
ขั้นตอนที่<br />
1 การเริ่มเดินระบบและเตรียมความพรอมจุลินทรีย<br />
การศึกษาและเตรียมความพรอมจุลินทรียใหคุนเคยกับน้ําเสียสังเคราะหทําไดโดยการนํา<br />
ตะกอนจุลินทรียลักษณะเม็ดจากระบบ UASB ของบริษัทเสริมสุข จํากัด (มหาชน) ที่โรงงาน<br />
ปทุมธานี ใสในถังปฏิกิริยาจําลอง ที่เตรียมไวโดยใสในปริมาณ<br />
1 ใน 3 ของปริมาตรถังปฏิกิริยาทั้ง<br />
หมด(5.8 ลิตร) ตะกอนจุลินทรียที่นํามาใสมีความเขมขน<br />
34,385 mg /L ในการทดลองใช Glucose<br />
และเมทานอล(Methanol) เปนแหลงคารบอน( Carbon Source) หลังจากนั้นจึงเติมน้ําเสียสังเคราะห<br />
จนเต็มถังปฏิกิริยาและปดถังปฏิกิริยาไวเปนเวลา 7 วัน เม็ดตะกอนจุลินทรียที่เกิดขึ้นในระบบมี<br />
ลักษณะกลมรี มีความมน สีน้ําตาลดํา<br />
ขนาดเสนผาศูนยกลางประมาณ 0.5 -2.0 มม. การเริ่มเดิน<br />
ระบบอยางตอเนื่องที่ภาระบรรทุกสารอินทรียประมาณ<br />
2.2 กก.ซีโอดี/(ม 3 -วัน) ซึ่งมีความเขมขน<br />
COD อยูในชวง<br />
4,000 – 5,000 มก./ล. โดยเริ่มตนปอนน้ําเสียเขาสูถังปฏิกิริยาดวยอัตราไหล(m<br />
3 /d)<br />
และมีระยะเวลาเก็บกัก(HRT) เทากับ 48 ชั่วโมง<br />
โดยควบคุม pH ของระบบใหอยูในชวง<br />
6.6 – 7.6<br />
จนกระทั่งระบบเขาสูสภาวะคงตัว<br />
(Steady State) พารามิเตอรที่แสดงความเหมาะสมของระบบ<br />
แสดงดังตารางที่<br />
13 ประสิทธิภาพในการกําจัด COD แสดงดังภาพที่<br />
11 และแสดงคา Volatile acid<br />
ตอ Alkalinity ไวในตารางที่<br />
14 และภาพที่<br />
12<br />
ตารางที่<br />
13 พารามิเตอรที่ใชเปนตัวติดตามความเหมาะสมของระบบ<br />
Parameter Unit Steady state<br />
Temp. °C 31.38<br />
pH - 6.92<br />
% COD removal % 62.82<br />
VFA/Alk. - 0.27<br />
MLSS (first) mg/L 34,385<br />
MLSS (end) mg/L 37,505<br />
MLVSS (first) mg/L 22,150<br />
MLVSS (end) mg/L 25,250<br />
%CH4 % 63.86<br />
44
% COD Removal<br />
80.0<br />
75.0<br />
70.0<br />
65.0<br />
60.0<br />
55.0<br />
50.0<br />
45.0<br />
40.0<br />
35.0<br />
Start Up<br />
2 6 10 14 18 22 26 30 34 38 42 46 50 54 58<br />
Day<br />
ภาพที่<br />
11 กราฟแสดง % COD Removal ขั้นเริ่มเดินระบบ<br />
ตารางที่<br />
14 แสดงคา VFA/Alk. ชวงเริ่มเดินระบบ<br />
Data<br />
57.78 (Mean-3SD)<br />
59.46(Mean-2SD)<br />
66.18 (Mean+2SD)<br />
62.82 Mean<br />
67.66 (Mean+3SD)<br />
Day VFA/Alk. Day VFA/Alk.<br />
2 0.72 32 0.26<br />
4 0.67 34 0.25<br />
6 0.53 36 0.27<br />
8 0.7 38 0.28<br />
10 0.61 40 0.27<br />
12 0.58 42 0.25<br />
14 0.45 44 0.22<br />
16 0.48 46 0.29<br />
18 0.29 48 0.28<br />
20 0.3 50 0.28<br />
22 0.34 52 0.30<br />
24 0.26 54 0.31<br />
26 0.26 56 0.30<br />
28 0.24 58 0.28<br />
30 0.24 60 0.30<br />
หมายเหตุ : ตัวหนา คือ ระบบเขาสูสภาวะคงตัว<br />
45
VFA / Alk.<br />
0.80<br />
0.70<br />
0.60<br />
0.50<br />
0.40<br />
0.30<br />
0.20<br />
0.10<br />
0.00<br />
Start Up<br />
2 6 10 14 18 22 26 30 34 38 42 46 50 54 58<br />
Day<br />
ภาพที่<br />
12 กราฟแสดง VFA / Alk. ขั้นเริ่มเดินระบบ<br />
mg/L<br />
40,000<br />
38,000<br />
36,000<br />
34,000<br />
32,000<br />
30,000<br />
28,000<br />
26,000<br />
24,000<br />
22,000<br />
20,000<br />
Start Up (60 Day)<br />
Data<br />
0.20 (Mean-3SD)<br />
0.23(Mean-2SD)<br />
0.32 (Mean+2SD)<br />
0.27 Mean<br />
0.35 (Mean+3SD)<br />
2 10 16 24 36 44 52 60<br />
Day<br />
MLSS MLVSS<br />
ภาพที่<br />
13 แสดงปริมาณ MLSS และ MLVSS ชวงเริ่มเดินระบบจนเขาสูสภาวะคงตัว<br />
จากการทดลองพบวาปริมาณจุลินทรีย(MLSS และ MLVSS) ในระบบมีปริมาณเพิ่มขึ้น<br />
ในชวงแรกของการทดลอง หลังจากนั้นจะเริ่มเขาสูสภาวะคงตัว<br />
แสดงดังภาพที่<br />
13 ทําใหคาดวา<br />
ระบบมี จุลินทรียที่พรอมและสามารถดํารงชีพอยูในสภาวะแวดลอมที่เตรียมไว<br />
จากการศึกษา<br />
กระบวนการเกิดตะกอนจุลินทรียลักษณะเม็ดในระดับหองปฏิบัติการของ Hulshoff Pol et al. ,<br />
(1983) พบวาเมื่อมีการเพิ่มตะกอนจุลินทรียลักษณะเม็ด<br />
ในถังหมักเล็กนอย จะมีผลให<br />
46
methanogenic activity เพิ่มขึ้นอยางรวดเร็วเนื่องจากตะกอนจุลินทรียลักษณะเม็ดที่เพิ่มใหจะเปนตัว<br />
นําในการเกิดตะกอนจุลินทรียลักษณะเม็ด<br />
%<br />
70.0<br />
60.0<br />
50.0<br />
40.0<br />
30.0<br />
20.0<br />
10.0<br />
0.0<br />
Start Up ( 60 Day)<br />
0 10 20 30 40 50 60 70<br />
Day<br />
%CH4 %CO2<br />
ภาพที่<br />
14 แสดงปริมาณกาซมีเทนและกาซคารบอนไดออกไซด ชวงเริ่มเดินระบบจนเขาสู<br />
สภาวะคงตัว<br />
จากภาพที่<br />
14 แสดงใหเห็นวาปริมาณกาซมีเทนเพิ่มขึ้นเมื่อระบบเขาสูสภาวะคงที่<br />
เนื่องมากจากเมื่อปริมาณ<br />
MLSS และ MLVSS เพิ่มขึ้นมีผลให<br />
methanogenic activity เพิ่มขึ้นจึง<br />
สนับสนุนใหมีปริมาณกาซมีเทนเพิ่มขึ้นดวย<br />
โดยปริมาณกาซชีวภาพในระบบหมักแบบไรอากาศที่<br />
มีคา pH ชวง 6.7 – 7.4 จะมีการผลิตกาซมีเทนประมาณ 55 – 75 % กาซคารบอนไดออกไซด<br />
25–45% และที่เหลือจะเปนกาซไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
กาซไฮโดรเจน และกาซไนโตรเจน<br />
(McKinney,1962) เมื่อดูจากปริมาณกาซที่เกิดมีกาซมีเทน<br />
63.86% และ กาซคารบอนไดออกไซด<br />
21.94 % ซึ่งเปนคาที่แสดงวาแบคทีเรียชนิดผลิตมีเทนในระบบมีความพรอมและสามารปรับตัวเขา<br />
กับสภาวะแวดลอมที่เตรียมไวได<br />
สวนปริมาณกาซคารบอนไดออกไซดมีคาต่ํากวาชวงปริมาณที่นา<br />
เปนอาจจะเปนเพราะกาซคารบอนไดออกไซดมีความสามารถในการละลายน้ําไดดีกวากาซมีเทน<br />
เปนเหตุใหมีสัดสวนในกาซชีวภาพนอยกวาความเปนจริง เมื่อพิจารณาอัตราสวน<br />
VFA / Alkalinity<br />
มีคาเทากับ 0.27 อยูในชวง<br />
< 0.4 แสดงวามีกําลังบัฟเฟอรสูง ระบบทํางานไดดี<br />
47
ตารางที่<br />
15 แสดงอัตราการผลิตกาซชีวภาพชวงเริ่มเดินระบบเมื่อเขาสูสภาวะคงตัว<br />
COD loading COD remove Bio Gas %CH 4 %CO 2<br />
(kg COD/m 3 .d) (mg/L) (L/kg COD removal)<br />
17.7 2790.4 1108.5 63.86 21.94<br />
สําหรับระบบหมักแบบไรอากาศ pH ในชวงที่เหมาะสําหรับการเกิดกาซมีเทนคือ<br />
6.8 –<br />
7.4 และ ชวงที่เหมาะสําหรับการดํารงชีพของจุลินทรีย<br />
คือ 6.6 – 7.6 จากการทดลองเมื่อระบบขาสู<br />
สภาวะสมคงตัว คา pH เทากับ 7.1 ซึ่งเปนชวงที่เหมาะตอการดํารงชีพของจุลินทรียและการผลิต<br />
กาซมีเทน Zehnder et al. , (1981) พบวาแบคทีเรียสรางมีเทนไดดีที่คาความเปนกรด-ดาง<br />
6- 8 ขณะ<br />
ที่แบคทีเรียสรางกรดเจริญไดดีที่คาความเปนกรด-ดาง<br />
5- 6 จึงสรุปขั้นตอนการสรางมีเทนตองรักษา<br />
ความเปนกรด-ดางใหสูงกวา 6 สวนอุณหภูมิเมื่อระบบเขาสูสภาวะคงตัวระบบ<br />
มีคาอุณหภูมิเฉลี่ย<br />
31.38 ซึ่งเปนชวงที่มีเทนแบคทีเรียสําหรับผลิตกาซมีเทนเกิดขึ้น<br />
ทําใหระบบมีความเหมาะสมตอ<br />
การยอยสลาย เพราะที่ระยะ<br />
mesophilic เปนระยะที่มีชวงอุณหภูมิระหวาง<br />
20-45 ° C และการ<br />
เพิ่มอุณหภูมิทุก<br />
10-15 องศาเซลเซียส จะทําใหความสามารถของมีเทนแบคทีเรียเพิ่มขึ้นเทา<br />
ตัวดวย<br />
ขั้นตอนที่<br />
2 การศึกษาประสิทธิภาพในการบําบัดน้ําเสียสังเคราะหที่มีฟอรมัลดี<br />
ไฮดโดยใชระบบ<br />
บําบัดแบบทีละเท (Batch Treatment Process)<br />
เปนขั้นตอนที่ทําการทดลองแบบตอเนื่อง<br />
โดยการติดตามการดําเนินไปของระบบตั้งแต<br />
เริ่มตนจนระบบเขาสูสภาวะคงตัว<br />
เปนเวลา 144 ชั่วโมง<br />
( 6 วัน) เพื่อใหแบคทีเรียคุนเคยกับน้ําเสีย<br />
สังเคราะหที่มีการปนเปอนของฟอรมัลดีไฮด<br />
50 มก./ล. ดังแสดงผลการทดลองในตารางที่<br />
16<br />
48
ตารางที่<br />
16 ผลการทดลองแบบ ทีละเทเมื่อเวลาผานไป<br />
6 วัน<br />
Parameter Unit Steady state<br />
Temp. °C 31.5<br />
pH - 6.98<br />
% COD removal % 49.83<br />
% Formaldehyde removal % 98.70<br />
MLSS (first) mg/L 37,505<br />
MLSS (end) mg/L 37,750<br />
MLVSS (first) mg/L 22,350<br />
MLVSS (end) mg/L 23,550<br />
%CH4 % 60.20<br />
%CO2 % 22.80<br />
จากการศึกษาพบวาปริมาณตะกอนจุลินทรียในรูป MLSS และ MLVSS (มก./ล.) ใน<br />
ระบบยังมีการเพิ่มปริมาณขึ้นในระหวางการทดลองเปนการยืนยันไดวาฟอรมัลดีไฮดในระดับ<br />
50 มก./ล. ไมมีผลกระทบรุนแรงตอจุลินทรียในระบบ โดยมีประสิทธิภาพในการกําจัด COD<br />
49.83% และมีประสิทธิภาพในการกําจัด ฟอรมัลดีไฮดสูงถึง 98.7 %(ตารางที่<br />
16) งานวิจัยของ Zijin<br />
Lu and W. Hegemann (1997) ไดศึกษาความเปนพิษของฟอรมัลดีไฮดที่มีผลตอการยอยสาร<br />
อินทรียของจุลินทรียในระบบไรอากาศแบบทีละเท (Batch Culture) กับน้ําเสียสังเคราะหที่มีการปน<br />
เปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
และน้ําเสียจริงประเภทยูเรีย-ฟอรมัลดีไฮด<br />
จากโรงงานผลิตกาวไมอัด พบวาที่<br />
ความเขมขนต่ํากวา<br />
200 มก./ล. ประสิทธิภาพการกําจัดฟอรมัลดีไฮดสูงกวา 90% สวนสภาวะ<br />
ของระบบที่คา<br />
pH 6.98 ยังอยูในชวงที่เหมาะตอการดํารงชีพ<br />
และ การผลิตมีเทนของจุลินทรีย<br />
เพราะที่คา<br />
pH ต่ํากวา<br />
6.6ขั้นการเกิดมีเทนจะถูกยับยั้ง(McCarty,<br />
1964) และอุณหภูมิ 31.5 °C ของ<br />
ระบบยังอยูในชวงที่เหมาะตอการดํารงชีพและการผลิตมีเทนของจุลินทรียเชนกันเพราะการเกิดกาซ<br />
กับอัตราการลดลงของคาสารอินทรียจะอยูในชวงอุณหภูมิ<br />
20 - 45 °C (Speece and Ken, 1970)<br />
โดยปริมาณกาซที่เกิดขึ้นตอการลดลงของสารอินทรียพบวาไมขึ้นกับอุณหภูมิ<br />
การยอยสลายที่เกิด<br />
สูงสุดอยูในชวง<br />
27 -28 °C (Rudolf, 1927) จากการทดลองมีประสิทธิภาพการกําจัด COD 49.83 %<br />
ซึ่งนอยกวาประสิทธิภาพการกําจัดฟอรมัลดีไฮดมากเนื่องจากน้ําเสียมีปริมาณสารอินทรียชนิดอื่น<br />
เชน ไนโตรเจนและฟอสฟอรัสซึ่งยอยสลายยาก<br />
จุลินทรียจึงยอยสารอินทรียในรูป COD ไดนอย<br />
49
ตารางที่<br />
17 แสดงอัตราการผลิตกาซชีวภาพเมื่อระบบเขาสูสภาวะคงตัว<br />
แบบทีละเท<br />
(Batch Treatment Process)<br />
COD<br />
remove<br />
Formaldehyde<br />
remove Bio Gas Bio Gas %CH 4 %CO 2<br />
(mg/L) (mg/L) (L / kg COD removal) (L / kg Formaldehyde removal)<br />
2240.1 41 893 48,770 59.48 21.34<br />
จากการศึกษาพบวาการกําจัด COD โดยระบบ UASB ในการบําบัดแบทีละเท เมื่อมีการ<br />
เดิมสารฟอรมัลดีไฮดเขมขน 50 มก./ล. ประสิทธิภาพในการกําจัด COD เปนรอยละ 49.83 เมื่อ<br />
บําบัดเปนเวลา 6 วัน และการกําจัดฟอรมัลดีไฮดเปนรอยละ 98.7 แสดงดังภาพที่<br />
15 และ 16<br />
mg/L<br />
5000.00<br />
4500.00<br />
4000.00<br />
3500.00<br />
3000.00<br />
2500.00<br />
2000.00<br />
COD Removal<br />
1500.00<br />
0 20 40 60 80 100 120 140 160<br />
ภาพที่<br />
15 แสดงปริมาณ COD ที่ถูกกําจัดแบบทีละเท<br />
(Batch Treatment Process)<br />
hr.<br />
50
mg/L<br />
60<br />
50<br />
40<br />
30<br />
20<br />
10<br />
Formaldehyde Removal<br />
0<br />
0 20 40 60 80 100 120 140 160<br />
ภาพที่<br />
16 แสดงปริมาณ ฟอรมัลดีไฮด ที่ถูกกําจัดแบบทีละเท<br />
(Batch Treatment Process)<br />
ขั้นตอนที่<br />
3 การศึกษาประสิทธิภาพของระบบเมื่อแปรเปลี่ยนระยะเวลาเก็บกัก<br />
(HRT) เปน<br />
6, 12, 24 และ48 ชม.<br />
เปนการทดลองเพื่อศึกษาประสิทธิภาพการกําจัดCOD<br />
ประสิทธิภาพการกําจัดฟอรมัลดี<br />
ไฮด และการผลิตกาซชีวภาพ(กาซมีเทนและกาซคารบอนไดออกไซด) เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงภาระ<br />
บรรทุกสารอินทรีย โดยใชน้ําเสียสังเคราะหที่มีการปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
50 มก./ล.<br />
พารามิเตอรที่ใชควบคุมการทดลอง<br />
1) MLSS 34,385(คา Start up) ± 15 %<br />
2) MLVSS 22,150 (คา Start up) ± 15 %<br />
3) ปริมาณ COD 4,000 - 5,000 มก./ล.<br />
4) ปริมาณฟอรมัลดีไฮด 40 -50 มก./ล.<br />
hr.<br />
51
ตารางที่<br />
18 คาเฉลี่ยเมื่อระบบเขาสูสภาวะคงตัวของแตละระดับภาระบรรทุกสารอินทรีย<br />
Parameter Unit<br />
COD Loading ( kgCOD/m 3 .d)<br />
2.35 4.56 8.83 17.70<br />
HRT hr. 48 24 12 6<br />
pH(in) - 6.82 7.07 6.94 6.96<br />
pH(out) - 6.73 6.94 6.81 6.80<br />
Temp.(in) °C 28.60 28.50 28.57 28.57<br />
Temp.(out) °C 31.73 31.37 31.47 31.43<br />
% COD removal % 68.71 68.62 66.15 59.77<br />
% Formaldehyde removal % 98.30 98.02 95.84 86.10<br />
Suspended Solid ( out) mg/L 27.27 37.30 41.13 59.40<br />
VFA/Alk. - 0.26 0.30 0.28 0.35<br />
%CH4 % 55.06 52.00 64.49 67.08<br />
%CO2 % 20.72 21.42 21.80 21.31<br />
MLSS (first) mg/L 37680 37540 37100 37150<br />
MLSS (end) mg/L 37950 37680 37540 37100<br />
MLVSS (first) mg/L 24570 24250 23850 23550<br />
MLVSS (end) mg/L 25140 24570 24250 23850<br />
52
mg/L<br />
40000<br />
35000<br />
30000<br />
25000<br />
20000<br />
15000<br />
10000<br />
5000<br />
การควบคุม MLSS& MLVSS<br />
0<br />
0 20 40 60 80 100 120 140<br />
Day<br />
MLSS MLVSS<br />
ภาพที่<br />
17 แสดงปริมาณ MLSS และ MLVSS ตั้งแตขั้นตอนเริ่มเดินระบบ<br />
จนถึงการทดลองขั้นตอนที่<br />
3<br />
เปนระยะเวลา 126 วัน<br />
เนื่องจากคา<br />
pH มีผลตอระบบบําบัดแบบไรอากาศเปนอยางมาก ตามรายงานของ<br />
McCarty(1964) ระบุวา pH ที่เหมาะสมตอระบบบําบัดแบบไรอากาศอยูระหวาง<br />
6.6 -7.6 แตถาต่ํา<br />
กวา 6.2 จะทําใหจุลินทรียประเภทสรางมีเทนลดลงอยางรวดเร็วจากการศึกษาและวัดคา pH ของน้ํา<br />
เสียเขาระบบพบวา คา pH ในน้ําเสียสังเคราะหเฉลี่ยจะอยูในชวง<br />
6.82 - 7.07 ตลอดชวงระยะเวลา<br />
การทดลอง จากการตรวจสอบความแตกตางคาเฉลี่ยของ<br />
pH ภายในถังปฏิกิริยาที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
6, 12, 24 และ 48 ชม. จะมีคา pH ไมแตกตางกัน ชวงอุณหภูมิที่เหมาะสมสําหรับระบบบําบัดแบบ<br />
ไรออกซิเจนคือชวงอุณหภูมิระยะ mesophilic เปนระยะที่มีชวงอุณหภูมิระหวาง<br />
20-45 ° C และ<br />
ชวงอุณหภูมิระยะ thermophilic เปนระยะที่มีชวงอุณหภูมิระหวาง<br />
45-90 °C เนื่องจากในประเทศ<br />
ไทยเขาใกลชวงอุณหภูมิระยะ mesophilic ดังนั้นในการทดลองนี้จึงใชอุณหภูมิในชวง<br />
mesophilic<br />
โดยไมมีการเพิ่มอุณหภูมิแกระบบดวยวิธีการอื่นแตอยางใด<br />
จากการรายงานของ Grady et al.<br />
(1999) ไดรายงานวาชวงอุณหภูมิ 10°C นั้นจุลินทรียแบบสรางมีเทนยังสามารถทํางานไดแตคอน<br />
ขางจะมีประสิทธิภาพต่ํา<br />
คาแนะนําต่ําสุดที่เปนไปไดในทางปฏิบัติ<br />
คือ 20 – 25 °C จากผลการ<br />
ทดลองดังตารางที่<br />
15 เห็นไดวาคาอุณหภูมิของน้ําขาเขาและขาออกซึ่งเปนอุณหภูมิหองนั้นมีคาอยู<br />
ระหวาง 28.5 – 28.6°C และ 31.37 -31.73°C ตามลําดับ ตลอดชวงการทดลองซึ่งมีคามากกวาคา<br />
แนะนําต่ําสุดแตยังอยูในชวงที่เหมาะสม<br />
ดังนั้นชวงอุณหภูมิบรรยากาศในประเทศไทยจึงไมมีผล<br />
53
กระทบตอการทํางานและเติบโตของจุลินทรียประเภทสรางมีเทน และไมจําเปนตองปอนพลังงาน<br />
ใดๆในการเพิ่มอุณหภูมิสําหรับระบบบําบัดแบบ<br />
ไรอากาศ จากการสังเกตคาอุณหภูมิ การลดระยะ<br />
เวลาเก็บกักหรือการเพิ่มภาระบรรทุกสารอินทรียไมมีผลตออุณหภูมิของระบบ<br />
ขึ้นอยูกับอุณหภูมิ<br />
รอบระบบมากกวา นอกจากนี้คาความแตกตางในแตละระยะเวลาเก็บกักไมเกิน<br />
1°C ซึ่งความแตก<br />
ตางนี้ไมไดเกิดขึ้นโดยทันทีทันใด<br />
จึงไมมีผลตอการเกิดกาซชีวภาพ เมื่อพิจารณาอัตราสวน<br />
VFA/Alk. มีคา อยูในชวง<br />
< 0.4 แสดงวามีกําลังบัฟเฟอรสูง ระบบยังคงทํางานไดดีแมมีการเพิ่ม<br />
ภาระบรรทุกสารอินทรีย แสดงใหเห็นวาระบบสามารถทํางานไดแมมีภาระบรรทุกสารอินทรียสูง<br />
ถึง 17.70 kgCOD/m 3 .d<br />
ในการทดลองนี้ไดควบคุมคา<br />
COD ทั้งหมดตลอดชวงการทดลองใหมีคา<br />
ประมาณ<br />
4,500 มก./ล.เมื่อทําการลดระยะเวลาเก็บกักจะมีผลทําใหคาภาระบรรทุกสารอินทรียมีคาเพิ่มขึ้น<br />
ดวยในแตละชุดการทดลอง ซึ่ง<br />
Fang and Chui (1994) ไดรายงานไววาประสิทธิภาพการกําจัด COD<br />
ของระบบ ยูเอเอสบี ขึ้นกับคาอัตราภาระบรรทุกสารอินทรียและไมไวตอการเปลี่ยนแปลงเวลากัก<br />
น้ําและคา<br />
COD น้ําเสียอยางใดอยางหนึ่ง<br />
จากการทดลองเห็นไดวาเมื่อทําการเพิ่มภาระบรรทุกสาร<br />
อินทรียจะทําใหคา ประสิทธิภาพในการการกําจัด COD เฉลี่ย<br />
ลดลงจาก 68.71, 68.62, 66.15 และ<br />
59.77 % ที่ภาระบรรทุกสารอินทรียเฉลี่ยเทากับ<br />
2.35, 4.56, 8.83 และ 17.70 kgCOD/m 3 .d ตาม<br />
ลําดับแสดงดังตารางที่16<br />
และภาพที่<br />
18 ซึ่งสาเหตุของความแตกตางทางดานประสิทธิภาพเมื่อมี<br />
ภาระบรรทุกสารอินทรียเพิ่มขึ้นนั้นเนื่องจากการที่ควบคุมปริมาณตะกอนจุลินทรียในระบบใหมี<br />
สภาวะที่เหมือนกันทุกระดับภาระบรรทุกสารอินทรีย<br />
คา MLSS และ MLVSS จึงเปนตัวกําหนด<br />
ความสามารถในการยอยสลายสารอินทรียของจุลินทรียในระบบ เมื่อมีภาระบรรทุกสารอินทรียที่<br />
มากขึ้น<br />
จุลินทรียไมสามารถยอยสลายสารอินทรียที่เพิ่มขึ้นไดทันในชวงเวลาที่กําหนด<br />
ประกอบกับ<br />
จุลินทรียที่อยูในระบบมีไมเพียงพอกับปริมาณสารอินทรียที่มากขึ้น<br />
โดยทั่วไปจุลินทรียจะยอย<br />
สลายสารอินทรียที่ยอยงายกอน<br />
หลังจากนั้นจะทําการยอยสลายสารอินทรียที่ยอยยากที่ตองใชระยะ<br />
เวลานานในการใหจุลินทรียทําการยอยสลายเชนสารอินทรียที่อยูในรูปของแข็งแขวนลอย<br />
เมื่อยอย<br />
สลายไมทัน ของแข็งแขวนลอยขนาดเล็กที่ไมถูกยอยสลายจะถูกน้ําพัดพาไหลรวมไปกับน้ําทิ้งออก<br />
นอกระบบสังเกตไดจากคาของแข็งแขวนลอย (SS) ที่เพิ่มขึ้นทําใหคา<br />
COD สูงขึ้น<br />
นอกจากนั้นการ<br />
ลดระยะเวลาเก็บกัก(HRT) จะทําใหการสัมผัสระหวางจุลินทรียกับสารอินทรียสั้นลง<br />
เมื่อพิจารณา<br />
ประสิทธิภาพในการกําจัดฟอรมัลดีไฮดมีคาลดลงเชนเดียวกับCODเมื่อทําการเพิ่มภาระบรรทุกสาร<br />
อินทรียจะทําใหคาประสิทธิภาพในการการกําจัดฟอรมัลดีไฮดเฉลี่ยลดลงจาก<br />
98.30, 98.02, 95.84<br />
และ 86.10 % ที่ภาระบรรทุกสารอินทรียเฉลี่ยเทากับ<br />
2.35, 4.56, 8.83 และ 17.70 kgCOD/m 3 .d ตาม<br />
54
ลําดับแสดงดังตารางที่<br />
20 และภาพที่<br />
19 เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการกําจัด<br />
COD และฟอรมัล<br />
ดีไฮด ประสิทธิภาพในการกําจัดฟอรมัลดีไฮดมีคาสูงกวาประสิทธิภาพการกําจัดCODเนื่อง<br />
จากฟอรมัลดีไฮดเปนสารอินทรียที่ยอยงาย<br />
จุลินทรียจึงเลือกที่จะยอยฟอรมัลดีไฮดกอนและดวย<br />
ประสิทธิภาพการกําจัดฟอรมัลดีไฮดที่มีคาสูงแสดงใหเห็นวาระดับความเขมขนหรือระดับความ<br />
เปนพิษของฟอรมัลดีไฮดที่<br />
50 มก./ล.ไมมีผลกระทบที่รุนแรงตอจุลินทรียในระบบ<br />
สําหรับการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาเก็บกักหรือการเปลี่ยนแปลงภาระบรรทุกสารอินทรีย<br />
ในชวงที่ศึกษา<br />
ที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
48 ชม.หรือภาระบรรทุก 2.35 kgCOD/m 3 .d ระบบมีประสิทธิ<br />
ภาพในการกําจัด ซีโอดี และ ฟอรมัลดีไฮดมากที่สุด<br />
แตมีคาใกลเคียงกับที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
24 ชม.<br />
หรือภาระบรรทุก 4.56 kgCOD/m 3 .d มาก ซึ่งถาเปรียบเทียบกับการนําไปใชกับสภาวะจริงควรเลือก<br />
ที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
24 ชม. เพราะจะลดคาใชจายในดานปริมาตรของถังปฏิกิริยา และการบํารุงรักษา<br />
เพราะถังปฏิกิริยาขนาดเล็กกวาจะดูแลรักษา และควบคุมการเดินระบบไดงายกวา จึงเลือกที่ระยะ<br />
เวลาเก็บกัก 24 ชม. ไปใชในการทดลองขั้นตอนที่<br />
4<br />
กาซชีวภาพเปนผลผลิตสุดทายจากการยอยสลายดวยระบบไรอากาศ สวนประกอบหลัก<br />
ของกาซชีวภาพ คือกาซมีเทนและกาซคารบอนไดออกไฮด (Grady et al. ,1999) ปริมาณกาซมีเทน<br />
และปริมาณกาซคารบอนไดออกไฮดมีแนวโนมเพิ่มขึ้นเล็กนอยโดยที่มีความแตกตางกันนอยมาก<br />
เมื่อเพิ่มภาระบรรทุกสารอินทรีย<br />
อาจเนื่องมาจากการที่มีภาระบรรทุกสารอินทรียมากขึ้นและการ<br />
ปนเปอนฟอรมัลดีไฮดที่ระดับความเขมขน<br />
50 มก./ล. ไมมีผลกระทบตอจุลินทรีย ประเภทสราง<br />
กาซมีเทน จึงทําใหจุลินทรีย ยังคงทํางานตอไปไดตามปกติ<br />
55
ตารางที่<br />
19 แสดงคาปริมาณการกําจัด COD ที่ระยะเวลาเก็บกัก(HRT)<br />
ตางๆ<br />
Day<br />
% COD Removal<br />
ระยะเวลาเก็บกัก (HRT)<br />
6 hr. 12 hr. 24 hr. 48 hr.<br />
1 55.1 61.33 63.03 64.61<br />
2 55.33 61.07 61.49 63.66<br />
3 55.29 62.45 63.4 66.97<br />
4 58.43 63.26 65.07 66.50<br />
5 58.43 64.71 65.79 68.22<br />
6 58.03 64.44 66.48 68.82<br />
7 59.77 65.27 67.8 67.41<br />
8 59.06 65.35 69.57 67.48<br />
9 60.15 66.33 68.28 67.23<br />
10 60.00 66.17 67.86 68.31<br />
11 60.86 66.27 68.39 69.46<br />
12 60.60 66.55 68.84 70.73<br />
13 60.84 67.48 68.89 69.62<br />
14 60.30 67.93 69.84 69.28<br />
15 60.81 67.18 70.24 69.24<br />
56
%<br />
90.0<br />
80.0<br />
70.0<br />
60.0<br />
50.0<br />
40.0<br />
% COD Removal<br />
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16<br />
วันที่เก็บตัวอยาง<br />
6 hr. 12 hr. 24 hr. 48 hr.<br />
ภาพที่<br />
18 แสดงเปรียบเทียบปริมาณการกําจัด COD ที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
(HRT) ตางๆ<br />
57
ตารางที่<br />
20 แสดงคาปริมาณการกําจัดฟอรมัลดีไอด ที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
(HRT) ตางๆ<br />
Day<br />
% Formaldehyde Removal<br />
ระยะเวลาเก็บกัก (HRT)<br />
6 hr. 12 hr. 24 hr. 48 hr.<br />
1 80.62 95.61 97.81 97.62<br />
2 79.60 95.02 97.29 97.71<br />
3 82.81 94.77 97.36 98.11<br />
4 84.77 95.69 97.68 97.88<br />
5 84.75 95.03 98.15 98.05<br />
6 82.11 95.58 98.12 98.26<br />
7 86.77 95.82 98.13 98.13<br />
8 88.91 95.94 98.26 98.51<br />
9 89.26 95.91 98.24 98.60<br />
10 89.62 96 98.07 98.61<br />
11 87.05 96.82 98.39 98.58<br />
12 88.82 96.44 98.23 98.64<br />
13 89.14 96.33 98.27 98.76<br />
14 89.08 96.21 98 98.70<br />
15 88.24 96.37 98.3 98.73<br />
58
%<br />
110.0<br />
100.0<br />
90.0<br />
80.0<br />
70.0<br />
60.0<br />
% Formaldehyde Removal<br />
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15<br />
วันที่เก็บตัวอยาง<br />
6 hr. 12 hr. 24 hr. 48 hr.<br />
ภาพที่19<br />
แสดงเปรียบเทียบปริมาณการกําจัดฟอรมัลดีไฮด ที่ระยะเวลาเก็บกัก(HRT)<br />
ตางๆ<br />
ตารางที่<br />
21 แสดงอัตราการผลิตกาซชีวภาพเมื่อมีการเพิ่มอัตราภาระบรรทุกสารอินทรีย<br />
ที่ระดับ<br />
การปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
50 มก./ล.<br />
COD<br />
Loading<br />
( kg COD/<br />
m 3 .d)<br />
COD<br />
remove<br />
Formaldehyde<br />
remove Bio Gas Bio Gas %CH4 %CO2 (mg/L) (mg/L) (L / kg COD<br />
removal)<br />
(L / kg Formaldehyde<br />
removal)<br />
2.35 3159.5 40.95 1175.0 91,161 55.06 20.72<br />
4.56 3064.1 45.70 798.5 53,534 62.00 21.42<br />
8.83 2921.0 45.19 1020.2 65,939 64.49 21.80<br />
17.70 2662.7 42.30 1155.5 72,734 67.08 21.31<br />
59
ขั้นตอนที่<br />
4 การศึกษาประสิทธิภาพของระบบเมื่อเปลี่ยนแปลงคาความเขมขนของฟอรมัลดีไฮด<br />
ที่ระยะเวลาเก็บกัก(HRT)<br />
24 ชม.<br />
ขั้นตอนนี้เปนการศึกษาประสิทธิภาพของระบบในการกําจัดฟอรมัลดีไฮด<br />
และ<br />
ประสิทธิภาพในการกําจัดCOD การผลิตมีเทน และการผลิตกาซคารบอนไดออกไซด เมื่อลําดับ<br />
การเพิ่มขึ้นของฟอรมัลดีไฮดในน้ําเสียสังเคราะห<br />
คือ 150, 250, 350 และ 550 มก./ล.ซึ่งครอบคลุม<br />
ความเขมขนของฟอรมัลดีไฮดในน้ําเสียจริงที่จะทําการทดลองตอไปในขั้นตอนที่<br />
5 โดยขั ้นตอนที่<br />
4 นี้จะเดินระบบที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
(HRT) 24 ชม. (จากการการทดลองขั้นตอนที่<br />
3) การทดลองแต<br />
ละระดับการปนเปอนฟอรมัลดีไฮดใชระยะเวลา<br />
15 วัน ระบบจึงเขาสูสภาวะคงตัว<br />
และผลการ<br />
ทดลองแสดงไวในตารางที่<br />
23<br />
พารามิเตอรที่ใชควบคุมการทดลอง<br />
1) MLSS 34,385(คา Start up) ± 15 %<br />
2) MLVSS 22,150 (คา Start up) ± 15 %<br />
3) ปริมาณ COD 4,000 - 5,000 มก./ล.<br />
4) ภาระบรรทุก(COD Loading)หรือระยะเวลาเก็บ<br />
กัก(HRT)<br />
ตารางที่<br />
22 แสดงคาเริ่มตนและคาสิ้นสุดของ<br />
MLSS และ MLVSS ที่ระดับการปนเปอน<br />
ฟอรมัลดีไฮดแตละระดับ<br />
Parameter Unit<br />
Formaldehyde (mg/L)<br />
150 250 350 550<br />
MLSS (first) mg/L 37,950 37,500 38,750 37,250<br />
MLSS (end) mg/L 36,500 34,550 35,350 32,250<br />
MLVSS (first) mg/L 25,140 25,100 24,950 24,850<br />
MLVSS (end) mg/L 24,530 23,420 23,545 20,535<br />
60
ควบคุมคา MLSS และ MLVSS โดยเติมตะกอนจุลินทรียที่เลี้ยงสํารองไวในสภาวะ<br />
แวดลอมที่เหมือนกัน<br />
เติมเพิ่มลงไปเมื่อเริ่มการทดลองใหมที่ระดับความปนเปอนฟอรมัลดีไฮดที่<br />
เพิ่มขึ้น<br />
เพื่อให<br />
คา MLSS และ MLVSS ในแตละระดับความเขมขนมีคาใกลเคียงกันมากที่สุด<br />
mg/L<br />
45000<br />
40000<br />
35000<br />
30000<br />
25000<br />
20000<br />
15000<br />
10000<br />
5000<br />
การควบคุม MLSS & MLVSS<br />
0<br />
0 50 100<br />
Day<br />
150 200<br />
MLSS MLVSS<br />
ภาพที่<br />
20 แสดงปริมาณ MLSS และ MLVSS ตั้งแตขั้นตอนเริ่มเดินระบบ<br />
จนถึงการทดลอง<br />
ขั้นตอนที่<br />
4 เปนระยะเวลา 186 วัน<br />
61
ตารางที่<br />
23 คาเฉลี่ยเมื่อระบบเขาสูสภาวะคงตัวของแตละระดับการปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
Parameter Unit<br />
Formaldehyde (mg/L)<br />
150 250 350 550<br />
pH(out) - 6.66 6.71 6.59 6.57<br />
Temp.(out) °C 32.10 31.73 32.13 31.90<br />
% COD removal % 69.37 67.77 64.94 61.78<br />
% Formaldehyde removal % 95.12 93.57 91.55 85.68<br />
Suspended Solid ( out) mg/L 73.27 92.27 138.13 222.40<br />
VFA/Alk. - 0.31 0.34 0.34 0.36<br />
%CH4 % 66.34 63.70 62.11 60.62<br />
%CO2 % 20.75 22.84 24.40 27.05<br />
จากการทดลองพบวาประสิทธิภาพการกําจัด COD ลดลงจากรอยละ 69.37, 67.77, 64.94<br />
และ 61.78 เมื่อเพิ่มความเขมขนของฟอรมัลดีไฮด<br />
และประสิทธิภาพในการกําจัดฟอรมัลดีไฮด ลด<br />
ลงจากรอยละ 95.12, 93.57, 91.55 และ 85.68 เมื่อความเขมขนของฟอรมัลดีไฮดเปลี่ยนแปลงจาก<br />
150, 250, 350 และ 550 ตามลําดับแสดงดังตารางที่<br />
24 ในการทดลองนี้ไดทําการควบคุมปริมาณ<br />
ตะกอนจุลินทรียในระบบใหมีสภาวะที่เหมือนกันที่ความเขมขนฟอรมัลดีไฮดตางกัน<br />
คา MLSS<br />
และ MLVSS จึงเปนตัวกําหนดความสามารถในการยอยสลายสารอินทรียของจุลินทรียในระบบทํา<br />
ใหประสิทธิภาพการยอยสลายฟอรมัลดีไฮดและสารอินทรียลดลง นอกจากนี้เมื่อมีการปน<br />
เปอนฟอรมัลดีไฮดที่มากขึ้นทําใหน้ําเสียมีความเปนพิษมากขึ้นดวย<br />
จึงทําใหจุลินทรียมีการตายเพิ่ม<br />
มากขึ้นและถูกน้ําพัดพาไหลรวมไปกับน้ําทิ้งออกนอกระบบสังเกตไดจากคาของแข็งแขวนลอย<br />
(SS) ที่เพิ่มขึ้นทําใหคา<br />
COD สูงขึ้น<br />
และเมื่อมีการเพิ่มระดับการปนเปอนฟอรมัลดีไฮดปริมาณกาซ<br />
มีเทนมีแนวโนมลดลง สวนปริมาณกาซคารบอนไดออกไฮดมีแนวโนมเพิ่มขึ้นแตมีความแตกตาง<br />
กันนอยในแตละระดับการปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
อาจเนื่องมาจากการความเปนพิษของฟอรมัลดี<br />
ไฮดที่ระดับความเขมขน<br />
150 – 550 มก./ล.มีผลกระทบตอจุลินทรียประเภทสรางกาซมีเทน แตไม<br />
ไดยับยั้งการทํางานของจุลินทรียในระบบ<br />
จุลินทรียจึงสามารถทํางานและดํารงชีพตอไปไดตาม<br />
ปกติ<br />
62
ตารางที่<br />
24 แสดงความสัมพันธระหวาง COD : Formaldehyde<br />
COD<br />
(mg/L)<br />
Formaldehyde<br />
(mg/L)<br />
COD:Formaldehyde<br />
% COD<br />
removal<br />
%<br />
Formaldehyde<br />
removal<br />
4,152 136 31 69.37 95.12 66.34 20.75<br />
4,226 229 18 67.77 93.57 63.70 22.84<br />
4,457 337 13 64.94 91.55 62.11 24.40<br />
4,487 544 8 61.78 85.68 60.62 27.05<br />
ตารางที่<br />
24 แสดงใหเห็นวาฟอรมัลดีไฮดเพิ่มขึ้นทําใหสัดสวนCOD<br />
/ Formaldehyde<br />
ลดลง ทําใหประสิทธิภาพในการกําจัดCOD ประสิทธิภาพในการกําจัด ฟอรมัลดีไฮด และ<br />
ปริมาณการผลิตกาซมีเทนลดลงดวยแตจะทําใหปริมาณการผลิตกาซคารบอนไดออกไซด เพิ่มขึ้น<br />
เนื่องจากความเขมขนของฟอรมัลดีไฮดที่เพิ่มมากขึ้นสนับสนุนการทํางานของจุลินทรียสรางกรด<br />
กาซคารบอนไดออกไซดที่เกิดจากจุลินทรียสรางกรดและไฮโดรเจนจะมีคามาก<br />
แตจุลินทรียสราง<br />
มีเทนตองใชเวลาในการยอยสลายนานจึงเกิดการเปลี่ยนกรดอินทรียระเหยงายไปเปนมีเทนไมทัน<br />
ทําใหกาซคารบอนไดออกไซดในน้ํามีความเขมขนสูงและถายเทสูกาซชีวภาพมาก<br />
มีผลใหสัดสวน<br />
กาซมีเทนในกาซชีวภาพมีคานอยลงเมื่อการปนเปอน<br />
ฟอรมัลดีไฮดเพิ่มขึ้น<br />
ประสิทธิภาพในการ<br />
กําจัดCOD และฟอรมัลดีไฮด เมื่อเพิ่มความเขมขนฟอรมัลดีไฮด<br />
แสดงดังภาพที่<br />
21 และ 22 พบวา<br />
ระบบใชเวลาในการปรับตัวเพียง 5 วัน จึงเขาสูสภาวะคงตัวของแตละระดับความเขมขนที่เพิ่มขึ้น<br />
ซึ่งถือวาระบบสามารถปรับตัวไดดีเมื่อมีการเพิ่มความเขมขนฟอรมัลดีไฮด<br />
%<br />
CH 4<br />
%<br />
CO 2<br />
63
%<br />
90.0<br />
85.0<br />
80.0<br />
75.0<br />
70.0<br />
65.0<br />
60.0<br />
55.0<br />
50.0<br />
45.0<br />
40.0<br />
กราฟแสดงการกําจัด COD เมื่อมีการเพิ่มความเขมขนฟอรมัลดีไฮด<br />
150 mg/l<br />
250 mg/l<br />
1 3 5 7 9 11 13 15 17 19 21 23 25 27 29 31 33 35 37 39 41 43 45 47 49 51 53 55 57 59<br />
วันที่เก็บตัวอยาง<br />
350 mg/l<br />
550 mg/l<br />
ภาพที่<br />
21 แสดงเปรียบเทียบปริมาณการกําจัด CODที่แตละระดับการปนเปอนของฟอรมัลดีไฮด<br />
%<br />
120.0<br />
110.0<br />
100.0<br />
90.0<br />
80.0<br />
70.0<br />
60.0<br />
50.0<br />
40.0<br />
กราฟแสดงการกําจัดฟอรมัลดีไฮดเมื่อมีการเพิ่มความเขมขนฟอรมัลดีไฮด<br />
150 mg/l<br />
250 mg/l<br />
1 3 5 7 9 11 13 15 17 19 21 23 25 27 29 31 33 35 37 39 41 43 45 47 49 51 53 55 57 59<br />
วันที่เก็บตัวอยาง<br />
350 mg/l<br />
550 mg/l<br />
ภาพที่<br />
22 แสดงเปรียบเทียบปริมาณการกําจัดฟอรมัลดีไฮดที่แตละระดับการปนเปอน<br />
ของฟอรมัลดีไฮด<br />
64
ตารางที่<br />
25 แสดงอัตราการผลิตกาซชีวภาพเมื่อมีการเพิ่มความเขมขนฟอรมัลดีไฮด<br />
ที่ระยะเวลา<br />
เก็บกัก 24 ชั่วโมง<br />
Formaldehyde<br />
COD<br />
remove<br />
Formaldehyde<br />
remove Bio Gas Bio Gas %CH4 %CO2 (mg/L) (mg/L) (mg/L) (L / kg COD<br />
removal)<br />
(L / kg<br />
Formaldehyde<br />
removal)<br />
50 3064.1 45.70 798.5 53,534 62.00 21.42<br />
150 2799.9 128.80 1137.0 24,714 66.34 20.75<br />
250 2789.0 208.30 1174.9 15,727 63.70 22.84<br />
350 2817.2 308.20 1245.9 11,390 62.11 24.40<br />
550 2644.1 466.40 1429.6 8,105 60.62 27.05<br />
ขั้นตอนที่<br />
5 การศึกษาประสิทธิภาพของระบบเมื่อแปรเปลี่ยนเปนน้ําเสียจริงที่มีการ<br />
ปนเปอน<br />
ของฟอรมัลดีไฮด 450 มก./ล. ที่ระยะเวลาเก็บกัก(HRT)<br />
24 ชม.<br />
ขั้นตอนนี้ศึกษาประสิทธิภาพของระบบในการกําจัดฟอรมัลดีไฮด<br />
ประสิทธิภาพ<br />
การกําจัดCOD อัตราการผลิตกาซมีเทน และ กาซคารบอนไดออกไซดเมื่อทดลองกับน้ําเสียจริงที่มี<br />
การปนเปอนของฟอรมัลดีไฮดประเภทยูเรีย-ฟอรมัลดีไฮด<br />
ความเขมขน 450 มก./ล. โดยเดินระบบ<br />
ที่ระยะเวลาเก็บกัก(HRT)<br />
24 ชม.ซึ่งเปนระยะเวลาเก็บกักที่ใหประสิทธิภาพมากที่สุดจากการ<br />
ทดลองในขั้นตอนที่<br />
3 เพื่อสามารถเปรียบเทียบประสิทธิภาพของระบบในการบําบัดน้ําเสียจริงกับ<br />
น้ําเสียสังเคราะหได<br />
ในการทดลองนี้จึงควบคุมปริมาณ<br />
MLSS และ MLVSS โดยเติมตะกอนจุลินท<br />
รียที่เลี้ยงสํารองไวในสภาวะแวดลอมที่เหมือนกัน<br />
เติมเพิ่มลงไปเมื่อเริ่มการทดลองใหมที่ระดับ<br />
ความปนเปอนฟอรมัลดีไฮดที่เพิ่มขึ้นและที่การทดลดลองกับน้ําเสียจริง<br />
เพื่อให<br />
คา MLSS และ<br />
MLVSS ในแตละการทดลองมีปริมาณความเขมขนของจุลินทรียในชวงเดียวกัน และไดแสดง<br />
ปริมาณ MLSS และ MLVSS ชวงเริ่มตน<br />
และชวงสิ้นสุดการทดลองแตละระดับการปนเปอนฟอร<br />
มัลดีไฮดในน้ําเสียไวในตารางที่<br />
26<br />
65
พารามิเตอรที่ใชควบคุมการทดลอง<br />
1) MLSS 34,385(คา Start up) ± 15 %<br />
2) MLVSS 22,150 (คา Start up) ± 15 %<br />
3) ปริมาณ COD 4,000 - 5,000 มก./ล.<br />
4) ภาระบรรทุก(COD Loading)หรือระยะเวลาเก็บกัก(HRT)<br />
5) ความเขมขนฟอรมัลดีไฮด ที่<br />
450 มก./ล.<br />
ตารางที่<br />
26 แสดงคาเริ่มตนและคาสิ้นสุดของ<br />
MLSS และ MLVSS ในแตละการทดลองของ<br />
น้ําเสียสังเคราะหและน้ําเสียจริง<br />
Formaldehyde (mg/L)<br />
66<br />
Real<br />
Wastewater<br />
Parameter Unit<br />
Synthetic Wastewater<br />
50 150 250 350 550 450<br />
MLSS (first) mg/L 37,100 37,950 37,500 38,750 37,250 36,950<br />
MLSS (end) mg/L 37,540 36,500 34,550 35,350 32,250 33,570<br />
MLVSS(first) mg/L 23,850 25,140 25,100 24,950 24,850 22,750<br />
MLVSS (end) mg/L 24,250 24,530 23,420 23,545 20,535 21,051
mg/L<br />
45000<br />
40000<br />
35000<br />
30000<br />
25000<br />
20000<br />
15000<br />
10000<br />
5000<br />
การควบคุม MLSS & MLVSS<br />
0<br />
0 50 100<br />
Day<br />
150 200<br />
MLSS MLVSS<br />
ภาพที่<br />
23 แสดงปริมาณ MLSS และ MLVSS ตั้งแตขั้นตอนเริ่มเดินระบบ<br />
จนถึงการทดลองขั้นตอน<br />
ที่<br />
5 เปนระยะเวลา 205 วัน<br />
น้ําเสียจริงที่นํามาทําการทดลองในครั้งนี้เปนน้ําทิ้งจากกระบวนการผลิตเรซิน<br />
ประเภท<br />
ยูเรีย- ฟอรมัลดีไฮด(Urea-formaldehyde) ของบริษัททีโอเอ โดฟเคม จํากัด (TOA Dovechem<br />
Co.,Ltd.) ที่ผานกระบวนการออกซิเดชัน(Oxidation<br />
Process)แลว มีลักษณะขุน<br />
ตะกอนเล็กนอย<br />
เนื่องจากน้ําเสียจริงที่นํามาทดลองมีคา<br />
pH ต่ํามาก<br />
จึงทําการปรับ pH ของน้ําเสียกอนปอนเขาระบบ<br />
ดวยSodiumhydroxide(NaOH) ผลการวิเคราะหน้ําเสียจริงแสดงในตารางที่<br />
27<br />
ตารางที่<br />
27 แสดงคาเฉลี่ยคุณลักษณะของน้ําเสียจริงกอนและหลังการปรับ<br />
pH ที่ใชในการทดลอง<br />
ผลวิเคราะห ผลวิเคราะห<br />
พารามิเตอร หนวย (กอนปรับ pH) (หลังปรับ pH)<br />
pH - 3.58 6.48<br />
Sodium (Na) mg/L 1310 4610<br />
67
ตารางที่<br />
28 แสดงคาเฉลี่ยเมื่อระบบเขาสูสภาวะคงตัวของการทดลองน้ําเสียจริงเพื่อเปรียบเทียบ<br />
กับน้ําเสียสังเคราะห<br />
Formaldehyde (mg/L)<br />
Raw<br />
Wastewater<br />
Parameter Unit<br />
Synthetic Wastewater<br />
50 150 250 350 550 450<br />
pH(in) - 6.94 6.79 6.75 6.75 6.78 6.37<br />
pH(out) - 6.94 6.66 6.71 6.59 6.57 6.38<br />
Temp.(in) °C 28.57 28.47 28.50 28.47 28.93 31.82<br />
Temp.(out) °C 31.37 32.10 31.73 32.13 31.90 30.73<br />
% removal COD<br />
% removal<br />
% 68.62 69.37 67.77 64.94 61.78 57.67<br />
Formaldehyde % 98.02 95.12 93.57 91.55 85.68 76.40<br />
Suspended Solid mg/L 37.30 73.27 92.27 138.13 222.40 36.73<br />
VFA/Alk. - 0.30 0.31 0.34 0.34 0.36 0.24<br />
%CH4 % 52.00 66.34 63.70 62.11 60.62 56.38<br />
%CO2 % 21.42 20.75 22.84 24.40 27.05 22.97<br />
่<br />
้<br />
้<br />
จากการทดลองพบวาประสิทธิภาพการกําจัด COD มีคาเฉลี่ยเทากับ<br />
57.67 % สวน<br />
ประสิทธิภาพการกําจัดฟอรมัลดีไฮด มีคาเฉลี่ยเทากับ<br />
76.40 %(ตารางที 28) ประสิทธิภาพการ<br />
กําจัด COD และประสิทธิภาพการกําจัดฟอรมัลดีไฮดในน้ําเสียจริงต่ํากวาในน้ําเสียสังเคราะหเนื่อง<br />
จากในน้ําเสียจริงมีคา<br />
pH ที่ไมเหมาะสมจึงจําเปนตองเติมสารเคมีเขาไปเพื่อใหระบบมีกําลัง<br />
บัฟเฟอรสูงขึ้นสารเคมีที่ใชมีอยูหลายประเภท<br />
เชน ดางแก และพวกไบคารบอเนต แตละประเภทจะ<br />
มีขอดีขอเสียแตกตางกันไป สารเคมีที่ใชในการทดลองนี<br />
Sodiumhydroixe(NaOH) โดยขอเสียที่เกิด<br />
ขึ้นคือไปเพิ่มปริมาณโซเดียม<br />
(Na)ใหกับน้ําเสีย<br />
Kirsch and Sykes (1971) แนะนําวาโซเดียม<br />
ไบคารบอเนต(NaHCO3)เปนสารเคมีที่เที่สุดในการควบคุม pH เพราะโซเดียมไบคารบอเนต<br />
สามารถละลายน้ําไดดี<br />
และใหความเปนดางแกระบบโดยตรงแตมีราคาแพงกวาสารอื่นๆ<br />
นอกจากนี<br />
คุณภาพน้ําเสียจริงมีสารพิษชนิดอื่นซึ่งไมมีในน้ําเสียสังเคราะห<br />
ทําใหมีผลกระทบตอการทํางาน<br />
68
ของ จุลินทรีย สารพิษในน้ําเสียจริงที่มีผลยับยั้งการทํางานของจุลินทรียคือ<br />
โซเดียม(Na), Iron<br />
(Fe), Chloride (Cl - -<br />
) และ Sulfate (SO4 ) โดยปริมาณโซเดียม(Na) 4,610 มก./ล.ในน้ําเสียจริงอยูใน<br />
ชวง 35,00 – 55,00 มก./ล.ซึ่งมีผลยับยั้งการทํางานของจุลินทรีย<br />
สวนปริมาณ Iron (Fe) 5.2 มก./ล.,<br />
ปริมาณ Chloride (Cl - -<br />
) 296 มก./ล. และ ปริมาณ Sulfate (SO4 ) 374 มก./ล. มีปริมาณไมมากพอที่จะ<br />
สงผลยับยั้งการทํางานของจุลินทรียในระบบ(McCarty,1964c)และมีผลกระทบตอประสิทธิภาพการ<br />
กําจัด COD และฟอรมัลดีไฮดเพียงเล็กนอย แสดงใหเห็นวาสารพิษหลักที่สงผลกระทบตอประสิทธิ<br />
ภาพการกําจัด COD และฟอรมัลดีไฮดคือโซเดียม(Na)กาซมีเทนมากกวากาซคารบอนไดออกไซด<br />
เฉลี่ย<br />
2.4 เทา ทั้งในน้ําเสียสังเคราะหและน้ําเสียจริงที่ระดับการปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
50 – 550<br />
มก./ล. และ 450 มก./ล. ตามลําดับ<br />
ตารางที่<br />
29 แสดงอัตราการผลิตกาซชีวภาพเมื่อเดินระบบกับน้ําเสียจริง<br />
ที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
24 ชั่วโมง<br />
Formaldehyde<br />
COD<br />
remove<br />
Formaldehyde<br />
remove Bio Gas Bio Gas %CH4 %CO2 (mg/L) (mg/L) (mg/L) (L / kg COD<br />
removal)<br />
(L / kg Formaldehyde<br />
removal)<br />
450 2672 340.4 1401.6 11,004 56.38 22.97<br />
69
สรุปผลการทดลอง<br />
1. การศึกษาความเปนไปไดในการบําบัดน้ําเสียที่มีการปนเปอนของฟอรมัลดีไฮดตั้งแต<br />
50 – 550 มก./ล.ในน้ําเสียสังเคราะห<br />
และ412 -475 มก./ล. ในน้ําเสียจริงจากโรงงานผลิตเรซิน<br />
ประเภท ยูเรีย-ฟอรมัลดีไฮดเรซิน ดวยกระบวนการชั้นตะกอนจุลินทรียแบบไหลขึ้น(UASB)<br />
พบวา<br />
มีความเปนไปไดในบําบัดน้ําเสียสังเคราะหและน้ําเสียจริงที่มีการปนเปอนของฟอรมัลดีไฮด<br />
2. จากการศึกษาที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
6, 12, 24 และ 48 ชั่วโมง<br />
เทียบเปนอัตราภาระ<br />
บรรทุกสารอินทรีย 17.70, 8.83, 4.56 และ2.35 kg COD/m 3 .d พบวาที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
24 ชั่วโมง<br />
(คาภาระบรรทุกสารอินทรีย 4.56 kg COD/m 3 .d ) มีประสิทธิภาพการกําจัด COD (4,000-5,000 มก./<br />
ล.)ประสิทธิภาพการกําจัดฟอรมัลดีไฮด(40-50 มก./ล.) ดีที่สุด<br />
คือ 68.62 % และ 98.02 % ตาม<br />
ลําดับ และจากการทดลองคาภาระบรรทุกสารอินทรีย 4.56 kg COD/m 3 .d ในน้ําเสียสังเคราะหที่มี<br />
การปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
50 – 550 มก./ล. ระบบมีประสิทธิภาพการกําจัดฟอรมัลดีไฮด 85.7 –<br />
95.1 % ประสิทธิภาพการกําจัด COD 61.8 – 69.4 % และมีอัตราการผลิตกาซชีวภาพ 798.5 –<br />
1,429.6 ล./กก.ซีโอดีที่ถูกกําจัด<br />
มีมีเทนเปนองคประกอบ 60.62 – 66.34 เปอรเซ็นต โดยประสิทธิ<br />
ภาพการกําจัดฟอรมัลดีไฮด และ COD มีแนวโนมลดลงเมื่อมีการเพิ่มความเขมขนของฟอรมัลดีไฮด<br />
และพบวาระบบมีความสามารถในการปรับตัวไดดีโดยมีแนวโนมลดลงเมื่อระบบมีอัตราภาระ<br />
บรรทุกสารอินทรียเพิ่มขึ้น<br />
และประสิทธิภาพการกําจัดฟอรมัลดีไฮดสูงกวาประสิทธิภาพการกําจัด<br />
COD ประมาณ 1.4 เทาทั้งในน้ําเสียสังเคราะหและน้ําเสียจริง<br />
พบวาที่ระยะเวลาเก็บกัก<br />
24 ชั่วโมง<br />
ในน้ําเสียจริงมีประสิทธิภาพการกําจัดCOD<br />
และมีประสิทธิภาพการกําจัดฟอรมัลดีไฮด 57.67%<br />
และ76.40 % ตามลําดับ และมีอัตราการผลิตกาซชีวภาพ 985 - 1,401ล./กก.ซีโอดีที่ถูกกําจัด<br />
มีมีเทน<br />
เปนองคประกอบ 56.4 เปอรเซ็นต<br />
70
ขอเสนอแนะ<br />
1. ควรศึกษาระดับความเขมขนสูงที่สุดของฟอรมัลดีไฮดที่ปนเปอนในน้ําเสีย<br />
ที่ระบบ<br />
UASB สามารถรับได<br />
2. ควรศึกษาการเปลี่ยนแปลงของปริมาณจุลชีพ<br />
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเขมขน<br />
ของฟอรมัลดีไฮด<br />
3. ศึกษาการบําบัดน้ําเสียอื่นที่มีการปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
4. ศึกษาพวกผลกระทบจากพารามิเตอรอื่น<br />
ตอการทํางานของระบบ UASB เชน ความ<br />
สูง ความกวางของถัง หรือการเคลื่อนตัวของเม็ดจุลินทรีย<br />
ใชจริง<br />
5. ทําการวิจัยในระดับ pilot scale เพื่อหาความเหมาะสมเพิ่มขึ้น<br />
กอนนําไปประยุกต<br />
71
เอกสารและสิ่งอางอิง<br />
กมลรัตน คุมญาติ.<br />
2547. การบําบัดน้ําเสียรวมของโรงงานผลติเสนใยสังเคราะห<br />
โดยกระบวนการ<br />
ยูเอเอสบี. วิทยานิพนธปริญญาโท,มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.<br />
เกรียงศักดิ์<br />
อุดมสินโรจน. 2545. วิศวกรรมการกําจัดน้ําเสีย<br />
เลม 3. พิมพครั้งที่<br />
2. มหาวิทยาลัย<br />
รังสิต, กรุงเทพฯ. 291-437.<br />
เกรียงศักดิ์<br />
อุดมสินโรจน. 2543. วิศวกรรมการกําจัดน้ําเสีย<br />
เลม 4. พิมพครั้งที่<br />
1. มหาวิทยาลัย<br />
รังสิต, กรุงเทพฯ. 1-22.<br />
ควบคุมมลพิษ, กรม. 2541. ฟอรมัลดีไฮด. กรุงเทพฯ: กองจัดการสารอันตรายและกากของเสีย.<br />
เจริญ นาคะสรรค. 2542. กระบวนการแปรรูปพลาสติก. พิมพครั้งที่<br />
1. สํานักพิมพนิติธรรม,<br />
กรุงเทพฯ.<br />
ชัยวัฒน เจนวาณิชย. 2526. โพลิเมอรเชิงพาณิชย. พิมพครั้งที่<br />
1. สํานักพิมพโอเดียนสโตร,<br />
กรุงเทพฯ.<br />
ทศพร เอกพันธุสิน.<br />
2534. ฟอรมัลดีไฮด. จุลสารสภาวะแวดลอม, มีนาคม-เมษายน, ปที่<br />
10,<br />
ฉบับที่<br />
2.<br />
นเรศ มณีโชติ. 2546. การเปรียบเทียบสมรรถนะการบําบัดน้ําเสียจากมูลสุกร<br />
แบบไรอากาสดวย<br />
กระบวนยูเอเอสบีและระบบลูกผสมยูเอเอสบีและเครื่องกรอง.<br />
วิทยานิพนธปริญญาโท,<br />
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.<br />
บุษบา ธรรมประเสริฐ. 2544. การกําจัดของเสียจากสุกรโดยใชระบบหมักแบบ Upflow Anaerobic<br />
Sludge Blanket. วิทยานิพนธปริญญาโท,มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.<br />
72
พิชิต เลี่ยมพิพัฒน.<br />
2542. พลาสติก. พิมพครั้งที่<br />
15. ห.จ.ก. ป. สัมพันธพาณิชย, กรุงเทพฯ.<br />
ภัชราภรณ สุวรรณวิทยา. 2546. เอกสารประกอบการสอน Microbiology for environmental<br />
Engineering. ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดลอม<br />
คณะวิศวกรรมศาสตร มหาวิทยาลัย<br />
เกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ.<br />
มงคล เพ็ญสายใจ. 2539. การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของ ยูเอเอสบีอาร ดวยการเติมหัวเชื้อที่มี<br />
และไมมีเชื้อจุลินทรียอีเอ็ม.<br />
วิทยานิพนธปริญญาโท,มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.<br />
มั่นสิน<br />
ตัณพุลเวศฆ. 2536. การบําบัดน้ําเสียดวยกระบวนการไรออกซิเจน.<br />
เอกสารประกอบการ<br />
สอนวิชาการบําบัดน้ําเสียอุตสาหรรม<br />
ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดลอม<br />
คณะวิศวกรรม<br />
ศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, กรุงเทพฯ.<br />
มั่นสิน<br />
ตัณพุลเวศฆ และ มั่นรักษ<br />
ตัณพุลเวศฆ. 2545. เคมีวิทยาของน้ําและน้ําเสีย.<br />
พิมพ<br />
ครั้งที่<br />
1. ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดลอม<br />
คณะวิศวกรรมศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย,<br />
กรุงเทพฯ.<br />
ศูนยบริการวิชาการแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย และศูนยอนุรักษพลังงานแหงประเทศไทย. 2544.<br />
การศึกษาความเหมาะสมและศักยภาพการผลิตกาซชีวภาพจากระบบบําบัดน้ําเสีย<br />
ในโรงงานอุตสาหกรรม. พิมพครั้งที่<br />
2. ศูนยบริการวิชาการแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย,<br />
กรุงเทพฯ.<br />
สมชาย ดารารัตน. 2536. เทคโนโลยีการบําบัดน้ําเสียแบบ<br />
UASB. วิทยาศาสตรและเทคดนโลยี.<br />
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงประเทศไทย. กรุงเทพฯ.<br />
สมศักดิ์<br />
ศรีจะโลสกุล. 2534. การเกิดตะกอนจุลินทรียลักษณะเมดในชวงเดินระบบถังหมัก<br />
กระบวนการชั้นตะกอนจุลินทรียไรอากาศแบบไหลขึ้น.<br />
วิทยานิพนธปริญญาโท,<br />
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.<br />
73
สุนันท พูลธนกิจ. 2547. การบําบัดน้ํากากสาของโรงงานสุรา<br />
องคการสุรา โดยกระบวนการยูเอเอส<br />
บี. วิทยานิพนธปริญญาโท,มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.<br />
โสภา ชินเวชกิจวาณิชย. 2540. การลดสีรีแอกทีฟในน้ําเสียภายใตสภาวะไรอากาศ<br />
ดวยระบบยูเอเอส<br />
บี. วิทยานิพนธปริญญาโท,จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.<br />
AHN, Y., Y.J. Song, Y.J. Lee ang S. Park. 2002. Physicochemical characterization of UASB<br />
sludge with different size distributions. Environmental Technology. 23: 889-897.<br />
APHA.1998. Standard Methods for the Examination of Water and Wastewater , 20 th Ed.,<br />
Amerrican Public Health Assoc., Washington,DC.<br />
Callander et al. 1987. Anarobic Digestion of wood Enthanol Stillage Using Upflow Anaerobic<br />
Sludge Blanket Reactor. Biotechnology and Bioengineering 30: 896-908.<br />
Chang, J.E. 1989. Treatment of Landfill Ledchate with Upflow Anaerobic Reactor<br />
Combining a Sludge Bed and a filter. Water Science and Technology 21: 133-143.<br />
De Man, A. W. A. 1990. Anaerobic Treatment of Raw Sewage Using Granular Sludge<br />
UASB-Reactors. Final report of a 3 year pilot plant study, Wageningen Agricultural<br />
University (in Dutch), the Netherlands.<br />
Garrido J. M. et al. 2000. Treatment of wastewaters from a formaldehyde-urea adhesives<br />
factory. Department of Chemical Engineering, University of Santiago de<br />
Compostela, Spain.<br />
George R. Zoutberg and Rob Frankin. 1996. Anaerobic treatment of chemical and brewery<br />
wastewater with a new type of anaerobic reactor; the biobed EGSB reactor. Water<br />
Science and Technology Vol 34 No 5- 6 pp 375-381, IWA Publishing, the<br />
Netherlands.<br />
74
G. Gonzalez-Gil et.al. 2000. Formaldehyde toxicity in anaerobic systems. Wageningen<br />
Agricultural University, the Netherlands.<br />
G. Lettinga et al.1984. High-Rate Anaerobic Wastewater Treatment Using the UASB-Reator<br />
Under a Wide Range of Temperature Conditions. Biotechnology and Engineering<br />
Revicws, 2, 253-284.<br />
Goodwin et al. 1990. Anaerobic Digestion of Ice-Cream Wastewater Using the UASB<br />
Process. Biological Wastes. Vol.32. pp. 125-144.<br />
Guiot,S.R. and L. Van den Berg. 1984. Performance and Biomass Retention of an Upflow<br />
Anaerobic Reactor combining a Sludge Blanket and filter. Biotecnology Letters.<br />
Vol.6, No.3. pp 161-164.<br />
Hidalgo A. et al. 2002. Formaldehyde removal in synthetic and industrial wastewater by<br />
Rhodococcus erythropolis UPV-1. Department of Biochemistry and Molecular<br />
Biology, University of the Basque Country,bilbao, Spain.<br />
Holland et al. 1987. Anaerobic Bacteria. Chapmon and Hall, New York.<br />
Hu C. et al. 2003. Oxidation treatment of formaldehyde-containing wastewater by electro-<br />
Fenton method. Environmental Science Institute, South China University of<br />
Technology,Guangzhou, China.<br />
Hulshoff et al. 1983. Granulation in UASB reactor. Water Science and Technology<br />
15: 291-304.<br />
J.L. Campos et al. 2002. Coupled BAS and anoxic USB system to remove urea and<br />
formaldehyde from wastewater. Department of Chemical Engineering, University of<br />
Santiagode Compostela, Spain.<br />
75
Joseph F. Malina, Jr. and Frederick G. Pohland. 1992. Water quality management<br />
library/Design of anaerobic processes for the treatment of industrial and<br />
municipal wastes. Vol 7. Technomic Publishing Company, Inc., U. S. A.<br />
Koster, I.w. and G. Lettinga. 1985. Application of the Upflow Anaerobic Sludge Bed (UASB)<br />
Process for Treatment of Complex Wastewater at Low Temperatures.<br />
Biotechnology and Bioengineering. Vol. 27. pp. 1411-1417.<br />
Leslie Grady et al. 1999. Biological Wastewater Treatment. 2 nd .Ed., Marcel Dekker, Inc.,<br />
New york.<br />
Lettinga, G., R. Roersma and P. Grin. 1983. Anaerobic Treatment of Domestic sewage Using a<br />
Granular Sludge Bed UASB-Reactor. Biotechnology of Bioengineering, XXV,<br />
1701-1723.<br />
Lippsmman, Morton, ed. 1992. Environmental toxicicants human exposures and their health<br />
effects. New York : Van Nostrand Reinhold.<br />
Margareta Glancer-Soljanl et al. 2001. Aerobic Degradation of Formaldehyde in Wastewater<br />
from the Production of Melamine Resins. Faculty of Food Technology and<br />
Biotechnology, University of Zagreb, Croatia.<br />
McCarty, P. L. 1964. Anaerobic Wastewater Treatment Fundamental. Public work, Texas.<br />
Metcalf and Eddy. 2003. Wastewater Engineering Treatment and Reuse. 4 th ed. McGraw-Hill<br />
Companies, Inc., New York.<br />
Mingbo Qu and Sanjoy K. Bhattacharya. 1996. Toxic and Biodegradation of Formaldehyde in<br />
Anaerobic methanogenic Cuiture. Department of Civil and Environmental<br />
Engineering, Tulane University, New Orleans, Louisiana.<br />
76
Nelson L. Nemerow. 1971. Industrial Water Pollution(Origins, Characteristics,<br />
And Treatment). Addison-Wesley Publishing Company, Inc., New York.<br />
Patty, Frank A, ed. 1963. Industrial hygine and toxicology. Vol II, 2 nd rev. ed. New<br />
York :Wiley.<br />
Sawyer Clair, N., Perry, L. Maccarty and Gene, F. Parkin. 2003. Chemistry for<br />
Environmental Engineering and Science 5 th ed. McGraw-Hill Companies, Inc.,<br />
New York.<br />
Sayed, S. K. I. 1984. Anaerobic Treatment of Slaughterhouse wastewater Using the UASB<br />
Process. Ph. D thesis, Agricultural University Wageningen, the Nether lands.<br />
Souza, M.E. 1986. Criteria for the utilization design and operation of UASB reactor. Water<br />
Science and Technology. 18(12): 55-69.<br />
Tom, D. Reynolds and Paul A. Richards. 1996. Unit Operations and Environmental<br />
Engineering. 2 nd ed. PWS Publishing Company.<br />
Turoski, Victor, ed. 1985. Formaldehyde analytical chemistry and toxicology. Washington, D.<br />
C. : American Chemical Society.<br />
Van der Meer, R.R. 1979. Anaerobic Treatment of Wastewater Containing fatty Acids in<br />
Upflow Reactor. Ph. D. Thesis, Delf University of technology.<br />
V. Bendnarik and M. Vondruska. 2003. Removal of formaldehyde from Acrylic Acid<br />
Production Wastewater. Environmental Engineering Science Nov 2003, Vol.20, No.<br />
6; 703-707.<br />
77
Wiegant, W.M. and A.W.A. De Man. 1985. Granulation of biomass in Thermophilic Upflow<br />
Anaerobic Sludge Blanket Reactors trating Acidified Wastewaters. Biotechnology<br />
and Bioengineering. Vol. 28. pp. 718-727<br />
Wiegant, W.M. and A.W.A. De Man. 1985. Granulation of biomass in Thermophilic Upflow<br />
Anaerobic Sludge Blanket Reactors trating Acidified Wastewaters. Biotechnology<br />
and Bioengineering. Vol. 28. pp. 718-727<br />
Zijin LU and W. Hegemann. 1996. Anaerobic Toxicity and Biodegradation of Formaldehyde<br />
in Batch Cultures. Institute of Technology, Berlin, Germant.<br />
78
ภาคผนวก<br />
79
ภาคผนวก ก<br />
ขอมูลผลการทดลอง<br />
80
ตารางผนวกที่<br />
ก1 ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
1 (Start up)<br />
Day Date<br />
HRT.<br />
(hr.)<br />
COD Loading<br />
(kgCOD/m<br />
Suspendended Total Nitrogen Total<br />
3 .d)<br />
pH Temp. COD (mg/L) formaldehyde (mg/L)<br />
Solid (mg/L) Phosphorus<br />
In Out In Out In Out % Remove In Out % Remove In Out In Out In Out<br />
2 27/11/04 48 2.46 7.86 7.60 28.5 32.5 4920 2995 39.13 - - - - 135.0 319.9 293.6 17.0 14.0<br />
4 28/11/04 48 2.26 9.65 7.46 28.5 32.5 4526 2885 36.26 - - - - 133.0 308.5 280.5 17.0 14.0<br />
6 29/11/04 48 2.31 6.93 6.55 28.0 32.0 4614 2750 40.40 - - - - 112.0 311.5 320.1 17.5 15.0<br />
8 30/11/04 48 2.23 7.09 6.98 29.0 32.0 4465 2540 43.11 - - - - 122.0 316.8 311.3 16.5 15.0<br />
10 1/12/04 48 2.59 6.96 6.51 29.0 32.0 5173 2550 50.71 - - - - 125.0 312.5 303.3 16.5 15.0<br />
12 2/12/04 48 2.78 5.70 5.23 29.0 32.0 5563 2460 55.78 - - - - 110.0 356.7 293.4 17.3 16.0<br />
14 3/12/04 48 2.39 6.11 6.03 29.0 31.0 4782 2210 53.79 - - - - 112.0 256.6 214.6 17.5 16.0<br />
16 4/12/04 48 1.88 7.34 7.25 29.5 31.0 3750 2002 46.61 - - - - 98.0 221.1 211.5 15.6 15.0<br />
18 5/12/04 48 2.06 7.40 7.28 28.0 31.5 4125 2261 45.19 - - - - 95.0 204.3 218 15.8 15.0<br />
20 6/12/04 48 2.34 7.45 6.98 28.0 31.5 4688 2003 57.27 - - - - 99.0 224.2 209.6 15.8 15.0<br />
22 7/12/04 48 1.97 7.43 6.98 29.0 31.5 3938 1920 51.24 - - - - 96.0 214.5 208.8 16.2 15.0<br />
24 8/12/04 48 2.16 7.23 7.01 29.0 31.0 4313 2013 53.33 - - - - 86.0 218.3 172.5 16.2 15.5<br />
26 9/12/04 48 2.16 7.50 7.12 28.0 30.5 4313 2005 53.51 - - - - 86.0 216.1 213.5 15.8 15.2<br />
28 10/12/04 48 2.20 7.14 6.73 28.0 30.5 4407 2150 51.21 - - - - 62.0 217.1 205 17.0 15.3<br />
30 11/12/04 48 2.23 7.50 6.92 28.5 31.0 4450 1756 60.54 - - - - 65.3 222.0 196.3 16.8 14.8<br />
32 12/12/04 48 2.23 7.53 7.09 29.0 30.5 4460 1756 60.63 - - - - 66.0 226.0 199 16.5 14.5<br />
34 13/12/04 48 2.06 6.93 6.76 29.0 31.0 4125 1632 60.44 - - - - 62.0 232.0 198.6 16.0 14.0<br />
36 14/12/04 48 2.06 7.25 7.13 29.5 30.5 4125 1625 60.61 - - - - 59.0 230.0 200.5 16.0 14.0<br />
38 15/12/04 48 2.16 7.01 6.98 29.5 31.5 4313 1652 61.70 - - - - 76.0 225.0 201 16.5 15.0<br />
40 16/12/04 48 2.11 6.95 6.65 29.0 31.5 4215 1595 62.16 - - - - 56.0 229.0 193.4 16.5 15.5<br />
42 17/12/04 48 2.46 7.01 6.85 29.0 31.0 4925 1679 65.91 - - - - 53.0 229.0 198.5 15.8 14.8<br />
44 18/12/04 48 2.41 7.25 7.05 28.5 32.0 4825 1706 64.64 - - - - 57.0 215.0 199.3 15.5 14.5<br />
46 19/12/04 48 2.23 6.95 6.86 28.0 32.0 4469 1554 65.23 - - - - 66.0 225.0 196.0 15.3 14.5
ตารางผนวกที่<br />
ก1 (ตอ) ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
1 (Start up)<br />
HRT.<br />
(hr.)<br />
COD Loading<br />
(kgCOD/m<br />
Suspendended Total Nitrogen Total<br />
3 Day Date<br />
.d)<br />
pH Temp. COD (mg/L) formaldehyde (mg/L)<br />
Solid (mg/L) Phosphorus<br />
In Out In Out In Out % Remove In Out % Remove In Out In Out In Out<br />
48 20/12/04 48 2.28 7.15 7.02 29.5 32.5 4563 1655 63.73 - - - - 62.0 223.0 195.0 16.2 14.0<br />
50 21/12/04 48 2.16 6.86 6.80 28.0 32.0 4325 1621 62.52 - - - - 70.0 215.0 186.0 16.2 14.0<br />
52 22/12/04 48 2.28 6.95 6.85 29.0 31.5 4550 1663 63.45 - - - - 54.0 216.0 200.3 16.0 15.2<br />
54 23/12/04 48 2.21 7.01 6.95 29.0 31.0 4425 1663 62.42 - - - - 64.0 217.0 196.5 16.5 15.2<br />
56 24/12/04 48 2.21 7.21 7.06 29.0 31.5 4413 1605 63.63 - - - - 58.0 212.0 198.7 16.8 15.2<br />
58 25/12/04 48 2.13 6.86 6.77 29.0 31.0 4256 1528 64.10 - - - - 56.0 223.5 193.4 15.8 15.0<br />
60 26/12/04 48 2.21 7.16 7.05 28.5 31.5 4421 1620 63.36 - - - - 53.0 221.0 192.5 17.0 15.0<br />
Aver. 6 -24/1/2005 48 2.21 7.10 6.92 28.88 31.38 4428.75 1644.38 62.82 - - - - 61.08 222.53 196.56 16.21 14.70
ตารางผนวกที่<br />
ก1 (ตอ) ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
1 (Start up)<br />
Volatile Alkalinity<br />
HRT.<br />
(hr.)<br />
COD Loading<br />
(kgCOD/m<br />
Fatty Acid (mg/L) MLSS MLVSS<br />
3 Day Date<br />
.d) (mg/L)<br />
VFA/Alk.<br />
(mg/L) (mg/L)<br />
MLVSS / MLSS Gas<br />
In Out In Out Out Sampling Port 1 Sampling Port 1 Sampling Port 1 L/d %CH4 %CO2 2 27/11/04 48 2.46 - 322.0 - 445.0 0.72 34385.00 22150.00 0.64 0.5<br />
4 28/11/04 48 2.26 - 299.0 - 448.0 0.67 0.50 40.20 16.30<br />
6 29/11/04 48 2.31 - 294.0 - 550.0 0.53 0.45 39.50 15.90<br />
8 30/11/04 48 2.23 - 392.0 - 559.0 0.70 0.55 33.20 18.50<br />
10 1/12/04 48 2.59 - 341.0 - 556.0 0.61 34615.00 22230.00 0.64 0.60<br />
12 2/12/04 48 2.78 - 322.0 - 556.0 0.58 0.61 45.60 19.60<br />
14 3/12/04 48 2.39 - 308.0 - 684.0 0.45 0.61 49.60 19.20<br />
16 4/12/04 48 1.88 - 312.0 - 650.0 0.48 34310.00 22250.00 0.65 0.63<br />
18 5/12/04 48 2.06 - 176.0 - 605.0 0.29 0.67 52.30 18.60<br />
20 6/12/04 48 2.34 - 195.0 - 650.0 0.30 0.71 51.60 19.60<br />
22 7/12/04 48 1.97 - 151.0 - 450.0 0.34 0.90 60.50 20.30<br />
24 8/12/04 48 2.16 - 122.0 - 465.0 0.26 34550.00 23250.00 0.67 0.96<br />
26 9/12/04 48 2.16 - 110.0 - 420.0 0.26 0.98 59.60 20.10<br />
28 10/12/04 48 2.20 - 95.0 - 400.0 0.24 1.20 60.30 20.00<br />
30 11/12/04 48 2.23 - 96.0 - 395.0 0.24 1.20<br />
32 12/12/04 48 2.23 - 94.0 - 366.0 0.26 1.10 59.80 21.30<br />
34 13/12/04 48 2.06 - 92.0 - 365.0 0.25 1.30 60.20 22.30<br />
36 14/12/04 48 2.06 - 96.3 - 358.0 0.27 35530.00 23220.00 0.65 1.50<br />
38 15/12/04 48 2.16 - 93.0 - 336.0 0.28 1.40<br />
40 16/12/04 48 2.11 - 92.0 - 336.0 0.27 1.60 62.30 22.30<br />
42 17/12/04 48 2.46 - 88.0 - 359.0 0.25 1.50 63.20 22.10<br />
44 18/12/04 48 2.41 - 86.0 - 389.0 0.22 35550.00 23750.00 0.67 1.70<br />
46 19/12/04 48 2.23 - 92.0 - 312.0 0.29 1.70 63.20 22.40<br />
48 20/12/04 48 2.28 - 88.0 - 315.0 0.28 1.60 62.50 22.50<br />
50 21/12/04 48 2.16 - 91.0 - 322.0 0.28 1.60 63.60 21.50
ตารางผนวกที่<br />
ก1 (ตอ) ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
1 (Start up)<br />
Day<br />
Date<br />
Volatile Alkalinity<br />
HRT. COD Loading Fatty Acid (mg/L) MLSS MLVSS<br />
(hr.)<br />
(kgCOD/m3 VFA/Alk.<br />
MLVSS / MLSS Gas<br />
.d) (mg/L)<br />
(mg/L) (mg/L)<br />
In Out In Out Out Sampling Port 1 Sampling Port 1 Sampling Port 1 L/d %CH4 %CO2 52 22/12/04 48 2.28 - 90.0 - 300.0 0.30 35670.00 24150.00 0.68 1.50<br />
54 23/12/04 48 2.21 - 93.0 - 301.0 0.31 1.70 64.20 21.90<br />
56 24/12/04 48 2.21 - 90.0 - 302.0 0.30 1.70 65.10 21.70<br />
58 25/12/04 48 2.13 - 86.0 - 305.0 0.28 1.65<br />
60<br />
26/12/04 48 2.21 - 88.0 - 298.0 0.30 37505.00 25250.00 0.67 1.60 65.20 21.50<br />
Aver. 6 - 24/1/2005 48 2.21 - 90.96 - 334.94 0.27 1.54 63.86 21.94
ตารางผนวกที่<br />
ก2 ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
2 (Batch Treatment Process)<br />
hr. Day Date<br />
pH Temp. COD (mg/L) formaldehyde (mg/L)<br />
In Out In Out In Out % Remove In Out % Remove<br />
0 0.000 29/1/2005 7.86 7.60 28.5 32.5 4535 4535 0.00 41.6 41.6 0.00<br />
3 0.125 30/1/2005 7.46 32.5 4535 4449 1.90 41.6 41.3 0.72<br />
18 0.75 31/1/2005 6.55 32.0 4535 4412 2.71 41.6 40 3.85<br />
24 1.0 1/2/2005 6.98 32.0 4535 3985 12.13 41.6 36.3 12.74<br />
36 1.5 2/2/2005 6.51 32.0 4535 2726 39.89 41.6 1.9 95.43<br />
48 2.0 3/2/2005 5.23 32.0 4535 2312 49.02 41.6 1.1 97.36<br />
60 2.5 4/2/2005 6.03 31.0 4535 2198 51.53 41.6 0.7 98.32<br />
72 3.0 5/2/2005 7.25 31.0 4535 2341 48.38 41.6 0.62 98.51<br />
84 3.5 6/2/2005 7.28 31.5 4535 2291 49.48 41.6 0.54 98.70<br />
96 4.0 7/2/2005 6.98 31.5 4535 2356 48.05 41.6 0.57 98.63<br />
108 4.5 8/2/2005 6.98 31.5 4535 2253 50.32 41.6 0.6 98.56<br />
120 5.0 9/2/2005 6.98 31.5 4535 2259 50.19 41.6 0.55 98.68<br />
132 5.5 10/2/2005 6.98 31.5 4535 2369 47.76 41.6 0.61 98.53<br />
144 6.0 11/2/2005 6.98 31.5 4535 2275 49.83 41.6 0.54 98.70<br />
Aver. 6.84 31.7 4535 2295 49.40 41.6 0.59 98.58
ตารางผนวกที่<br />
ก2 (ตอ) ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
2 (Batch Treatment Process)<br />
MLSS MLVSS<br />
(mg/L) (mg/L)<br />
Sampling Port 1 Sampling Port 1 Sampling Port 1 L/d %CH4 %CO2 0 0.000 29/1/2005 37505.00 22350.00 0.60<br />
3 0.125 30/1/2005 - - -<br />
18 0.75 31/1/2005 - - -<br />
24 1.0 1/2/2005 - - - 1.30 16.30 10.30<br />
36 1.5 2/2/2005 - - -<br />
48 2.0 3/2/2005 - - - 1.60 50.10 20.80<br />
60 2.5 4/2/2005 - - -<br />
72 3.0 5/2/2005 - - - 1.70 58.20 20.70<br />
84 3.5 6/2/2005 - - -<br />
96 4.0 7/2/2005 - - - 2.10 59.70 20.90<br />
108 4.5 8/2/2005 - - -<br />
120 5.0 9/2/2005 - - - 2.00 59.80 21.50<br />
132 5.5 10/2/2005 - - -<br />
144 6.0 11/2/2005 37750.00 23550.00 0.62 2.20 60.20 22.80<br />
Aver. 59.48 21.34
ตารางผนวกที่<br />
ก3 ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
3 (ระยะเวลาเก็บกัก 48 ชม.)<br />
Day Date<br />
Suspendended Total Nitrogen<br />
HRT. OLD Solid (mg/L)<br />
(hr.) (kgCOD/m3 pH Temp. COD (mg/L) formaldehyde (mg/L)<br />
.d)<br />
(mg/L)<br />
In Out In Out In Out % Remove In Out % Remove In Out In Out<br />
1 12/2/2005 48 2.47 6.95 6.83 28.0 32.0 4945 1750 64.61 41.2 0.98 97.62 52.0 197.2 171.6<br />
2 13/2/2005 48 2.37 6.93 6.78 28.0 32.0 4747 1725 63.66 40.1 0.92 97.71 37.0 198.1 172.6<br />
3 14/2/2005 48 2.51 6.63 6.61 28.0 32.0 5020 1658 66.97 39.7 0.75 98.11 17.0 192.5 171.3<br />
4 15/2/2005 48 2.58 6.59 6.54 28.0 32.5 5150 1725 66.50 40.0 0.85 97.88 14.0 192.2 173.3<br />
5 16/2/2005 48 2.46 7.01 6.95 29.0 32.0 4925 1565 68.22 40.6 0.79 98.05 13.0 195.8 175.3<br />
6 17/2/2005 48 2.44 7.02 6.95 29.0 31.5 4875 1520 68.82 41.3 0.72 98.26 32.0 193.7 179.7<br />
7 18/2/2005 48 2.42 6.59 6.52 29.0 31.0 4833 1575 67.41 39.1 0.73 98.13 28.0 190.0 183.1<br />
8 19/2/2005 48 2.27 6.96 6.85 29.5 32.5 4535 1475 67.48 45.6 0.68 98.51 26.0 195.3 182.2<br />
9 20/2/2005 48 2.21 6.68 6.62 28.5 32.0 4425 1450 67.23 43.5 0.61 98.60 27.0 192.6 178.6<br />
10 21/2/2005 48 2.21 6.78 6.56 28.5 31.0 4412 1398 68.31 42.5 0.59 98.61 26.0 198.0 184.6<br />
11 22/2/2005 48 2.21 6.78 6.65 28.0 31.0 4421 1350 69.46 40.9 0.58 98.58 23.0 199.2 187.2<br />
12 23/2/2005 48 2.22 6.75 6.55 28.0 31.0 4435 1298 70.73 43.5 0.59 98.64 25.0 201.0 192.3<br />
13 24/2/2005 48 2.23 6.85 6.79 29.0 32.0 4450 1352 69.62 44.3 0.55 98.76 28.0 197.6 178.6<br />
14 25/2/2005 48 2.21 6.80 6.74 29.5 31.5 4420 1358 69.28 41.6 0.54 98.70 30.0 201.5 178.4<br />
15 26/2/2005 48 2.43 7.01 6.98 29.0 32.0 4860 1495 69.24 40.8 0.52 98.73 31.0 204.5 182.5<br />
Aver. 48 2.35 6.82 6.73 28.60 31.73 4599.18 1439.64 68.71 41.65 0.69 98.33 27.27 196.6 179.4
ตารางผนวกที่<br />
ก3 (ตอ) ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
3 (ระยะเวลาเก็บกัก 48 ชม.)<br />
Day Date<br />
Total Phosphorus Volatile Alkalinity<br />
HRT. OLD (mg/L) Fatty Acid (mg/L) MLSS MLVSS<br />
(hr.) (kgCOD/m3 VFA / Alk.<br />
.d) (mg/L)<br />
(mg/L) (mg/L)<br />
In Out In Out In Out Out Sampling Port 1 Sampling Port 1 Sampling Port 1 L/d %CH 4 %CO 2<br />
1 12/2/2005 48 2.47 15.0 14.0 113.0 418.0 0.30 37150 23550.00 0.63 1.80<br />
2 13/2/2005 48 2.37 16.0 15.0 120.0 417.0 0.29 1.75<br />
3 14/2/2005 48 2.51 16.0 15.0 115.0 426.0 0.28 37230 23570.00 0.63 1.80 59.00 20.40<br />
4 15/2/2005 48 2.58 16.0 15.0 120.0 416.0 0.27 1.80 52.86 19.90<br />
5 16/2/2005 48 2.46 16.0 16.0 112.0 417.0 0.26 37205 23425.00 0.63 1.85 52.12 20.20<br />
6 17/2/2005 48 2.44 16.0 16.0 98.6 422.0 0.23 1.75 58.20 20.30<br />
7 18/2/2005 48 2.42 16.0 15.0 95.0 424.0 0.23 37175 23575.00 0.63 1.90 57.04 20.10<br />
8 19/2/2005 48 2.27 16.0 14.0 93.0 413.0 0.23 1.75<br />
9 20/2/2005 48 2.21 15.0 14.0 94.2 410.0 0.24 1.80<br />
10 21/2/2005 48 2.21 15.0 14.0 90.2 385.0 0.25 37175 23450.00 0.63 1.85 54.30 21.00<br />
11 22/2/2005 48 2.21 17.0 15.0 91.6 384.0 0.26 1.85 58.30 21.60<br />
12 23/2/2005 48 2.22 17.0 15.0 91.3 375.0 0.26 37132 23750.00 0.64 1.90 50.30 21.30<br />
13 24/2/2005 48 2.23 18.0 16.0 92.3 358.0 0.27 2.10 52.90 21.50<br />
14 25/2/2005 48 2.21 16.0 16.0 91.4 342.0 0.29 37112 23755.00 0.64 2.00 55.60 20.90<br />
15 26/2/2005 48 2.43 15.0 14.0 92.6 338.0 0.29 37100 23850.00 0.64 2.10<br />
Aver. 2.35 16.0 14.9 100.68 396.33 0.26 1.87 55.06 20.72<br />
MLVSS /<br />
MLSS<br />
Gas
ตารางผนวกที่<br />
ก4 ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
3 (ระยะเวลาเก็บกัก 24 ชม.)<br />
Suspendended Total Nitrogen<br />
HRT<br />
.<br />
OLD<br />
Solid (mg/L)<br />
(hr.) (kgCOD/m 3 Day Date<br />
pH Temp. COD (mg/L) formaldehyde (mg/L)<br />
.d)<br />
(mg/L)<br />
In Out In Out In Out % Remove In Out % Remove In Out In Out<br />
16 27/2/2005 24 4.75 6.95 6.87 28.0 31.5 4750 1756 63.03 51.2 1.12 97.81 41.0 191.2 182.7<br />
17 28/2/2005 24 4.56 7.03 6.95 29.0 31.5 4560 1756 61.49 37.6 1.02 97.29 18.0 195.2 186.3<br />
18 1/3/2005 24 4.46 7.09 6.89 28.0 32.0 4459 1632 63.40 38.7 1.02 97.36 25.0 194.9 187.8<br />
19 2/3/2005 24 5.01 7.23 7.11 28.0 31.0 5010 1750 65.07 41.0 0.95 97.68 21.0 195.0 181.8<br />
20 3/3/2005 24 4.96 7.28 7.12 28.0 31.0 4963 1698 65.79 48.7 0.9 98.15 36.0 194.3 180.6<br />
21 4/3/2005 24 4.63 7.14 7.05 28.5 32.0 4630 1552 66.48 49.4 0.93 98.12 38.5 196.2 187.9<br />
22 5/3/2005 24 4.43 7.26 7.11 29.0 32.0 4425 1425 67.80 52.4 0.98 98.13 33.4 196.2 165.8<br />
23 6/3/2005 24 4.62 7.17 6.99 28.5 30.5 4620 1406 69.57 50.5 0.88 98.26 39.8 198.0 171.3<br />
24 7/3/2005 24 4.42 6.93 6.85 28.5 32.0 4420 1402 68.28 48.3 0.85 98.24 38.5 201.0 187.9<br />
25 8/3/2005 24 4.23 7.11 7.03 28.5 30.5 4225 1358 67.86 44.5 0.86 98.07 33.7 195.0 190.5<br />
26 9/3/2005 24 4.35 7.08 6.96 29.0 31.5 4350 1375 68.39 51.0 0.82 98.39 37.0 205.0 191.2<br />
27 10/3/2005 24 4.37 6.85 6.75 28.5 31.0 4365 1360 68.84 46.3 0.82 98.23 36.2 207.0 198.6<br />
28 11/3/2005 24 4.43 7.04 6.89 28.0 31.0 4429 1378 68.89 47.5 0.82 98.27 29.6 204.5 199.6<br />
29 12/3/2005 24 4.64 6.94 6.84 29.0 31.0 4635 1398 69.84 42.0 0.84 98.00 32.0 203.0 189.5<br />
30 13/3/2005 24 4.55 6.88 6.71 29.0 32.0 4550 1354 70.24 50.1 0.85 98.30 30.8 208.3 186.4<br />
Aver. 24 4.56 7.07 6.94 28.50 31.37 4464.90 1400.80 68.62 46.61 0.91 98.02 32.70 199.0 185.9
ตารางผนวกที่<br />
ก4 (ตอ) ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
3 (ระยะเวลาเก็บกัก 24 ชม.)<br />
Day Date<br />
HRT. OLD<br />
Total<br />
Phosphorus<br />
(mg/L)<br />
Volatile<br />
Fatty Acid<br />
Alkalinity<br />
(mg/L) MLSS MLVSS<br />
(hr.) (kgCOD/m3 VFA / Alk.<br />
.d) (mg/L)<br />
(mg/L) (mg/L)<br />
MLVSS / MLSS Gas<br />
In Out In Out In Out Out Sampling Port 1 Sampling Port 1 Sampling Port 1 L/d %CH 4 %CO 2<br />
16 27/2/2005 24 4.75 19.0 20.0 125.0 320.0 0.49 37100.00 23850.00 0.64 2.10<br />
17 28/2/2005 24 4.56 20.0 18.0 120.0 320.0 0.42 2.30 63.00 21.20<br />
18 1/3/2005 24 4.46 18.0 19.0 121.0 356.0 0.26 37212.00 23902.00 0.64 2.20 61.50 22.60<br />
19 2/3/2005 24 5.01 18.0 20.0 112.0 365.0 0.26 37225.00 23945.00 0.64 2.30 61.30 20.50<br />
20 3/3/2005 24 4.96 19.0 20.0 110.0 368.0 0.29 2.40 62.00 20.90<br />
21 4/3/2005 24 4.63 19.0 19.0 98.0 399.0 0.26 37375.00 23995.00 0.64 2.35 60.90 23.10<br />
22 5/3/2005 24 4.43 18.0 19.0 98.0 402.0 0.22 2.40<br />
23 6/3/2005 24 4.62 19.0 19.0 96.0 402.0 0.25 2.55<br />
24 7/3/2005 24 4.42 19.0 18.0 98.0 385.0 0.29 37423.00 24103.00 0.64 2.60 62.10 21.40<br />
25 8/3/2005 24 4.23 20.0 18.0 97.6 387.0 0.29 2.55 60.70 20.50<br />
26 9/3/2005 24 4.35 20.0 17.0 98.2 330.0 0.33 37475.00 24175.00 0.65 2.70 63.40 20.50<br />
27 10/3/2005 24 4.37 19.0 18.0 97.1 352.0 0.32 37490.00 24207.00 0.65 2.60 62.80 22.80<br />
28 11/3/2005 24 4.43 19.0 18.0 98.0 366.0 0.31 2.45 62.30 20.70<br />
29 12/3/2005 24 4.64 18.0 17.0 97.6 359.0 0.31 2.60<br />
30 13/3/2005 24 4.56 19.0 17.0 97.4 384.0 0.29 37540.00 24250.00 0.65 2.60<br />
Aver. 4.56 18.9 18.5 104.26 366.33 0.30 2.45 62.00 21.42
ตารางผนวกที่<br />
ก5 ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
3 (ระยะเวลาเก็บกัก 12 ชม.)<br />
Suspendended Total Nitrogen<br />
HRT.<br />
(hr.)<br />
OLD<br />
(kgCOD/m<br />
Solid (mg/L)<br />
3 Day Date<br />
.d)<br />
pH Temp. COD (mg/L) formaldehyde (mg/L)<br />
(mg/L)<br />
In Out In Out In Out % Remove In Out % Remove In Out In Out<br />
31 14/3/2005 12 9.05 7.01 6.86 29.5 31.0 4525.00 1750 61.33 52.4 2.30 95.61 17.00 211.10 201.80<br />
32 15/3/2005 12 8.67 6.95 6.59 28.5 31.0 4336.00 1688.00 61.07 50.2 2.50 95.02 27.00 214.20 212.10<br />
33 16/3/2005 12 8.67 7.01 6.89 28.5 31.0 4336.00 1628.00 62.45 49.7 2.60 94.77 17.00 204.70 207.90<br />
34 17/3/2005 12 8.90 7.25 7.13 28.0 32.0 4450.00 1635.00 63.26 48.7 2.10 95.69 52.00 212.40 209.00<br />
35 18/3/2005 12 9.05 6.95 6.74 28.50 31.5 4525.00 1597.00 64.71 50.3 2.50 95.03 52.00 205.00 198.60<br />
36 19/3/2005 12 9.00 7.15 7.09 28.00 32.0 4500.00 1600.00 64.44 47.5 2.10 95.58 48.00 210.20 201.30<br />
37 20/3/2005 12 9.30 6.65 6.58 28.0 31.5 4650.00 1615.00 65.27 47.9 2.00 95.82 47.00 211.50 202.40<br />
38 21/3/2005 12 8.86 6.84 6.78 28.0 31.5 4430.00 1535.00 65.35 44.3 1.80 95.94 43.00 205.00 198.70<br />
39 22/3/2005 12 8.43 6.78 6.68 29.0 32.0 4215.00 1419.00 66.33 44.0 1.80 95.91 46.00 206.30 199.40<br />
40 23/3/2005 12 8.43 6.73 6.63 29.0 31.0 4215.00 1426.00 66.17 42.5 1.70 96.00 45.00 208.50 200.60<br />
41 24/3/2005 12 8.45 6.75 6.56 29.0 31.0 4225.00 1425.00 66.27 47.1 1.50 96.82 42.00 204.00 198.60<br />
42 25/3/2005 12 8.94 6.89 6.71 29.5 31.0 4470.00 1495.00 66.55 45.0 1.60 96.44 47.00 208.00 203.20<br />
43 26/3/2005 12 9.15 7.06 6.93 28.5 32.0 4575.00 1488.00 67.48 46.3 1.70 96.33 44.00 211.00 201.40<br />
44 27/3/2005 12 9.10 7.02 6.92 28.5 31.5 4550.00 1459.00 67.93 47.5 1.80 96.21 41.00 207.00 200.50<br />
45 28/3/2005 12 8.44 7.13 7.06 28.0 32.0 4220.00 1385.00 67.18 44.1 1.60 96.37 49.00 203.20 199.40<br />
Aver. 12 8.83 6.94 6.81 28.57 31.47 4415.91 1494.91 66.15 47.17 1.97 95.84 41.13 208.1 202.3
ตารางผนวกที่<br />
ก5 (ตอ) ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
3 (ระยะเวลาเก็บกัก 12 ชม.)<br />
Day Date<br />
Total Phosphorus Volatile Alkalinity<br />
HRT. OLD (mg/L) Fatty Acid (mg/L) MLSS MLVSS<br />
(hr.) (kgCOD/m3 VFA / Alk.<br />
.d) (mg/L)<br />
(mg/L) (mg/L)<br />
MLVSS / MLSS Gas<br />
In Out In Out In Out Out Sampling Port 1 Sampling Port 1 Sampling Port 1 L/d %CH 4 %CO 2<br />
31 14/3/2005 12 9.05 21.00 17.00 156.00 389.00 0.40 37540.00 24250.00 0.65 2.80 63.50 21.30<br />
32 15/3/2005 12 8.67 21.00 20.00 135.00 313.00 0.43 2.85 65.50 20.50<br />
33 16/3/2005 12 8.67 23.00 19.00 93.00 308.00 0.30 37556.00 24210.00 0.64 2.90 64.80 22.50<br />
34 17/3/2005 12 8.90 21.00 16.00 95.00 423.00 0.22 2.85 64.20 22.60<br />
35 18/3/2005 12 9.05 20.00 18.00 105.00 422.00 0.25 37574.00 24436.00 0.65 2.80 64.30 24.30<br />
36 19/3/2005 12 9.00 20.00 18.00 103.00 401.00 0.26 2.90<br />
37 20/3/2005 12 9.30 21.00 17.00 89.00 426.00 0.21 3.00<br />
38 21/3/2005 12 8.86 21.00 17.00 100.00 375.00 0.27 37580.00 24475.00 0.65 3.00 65.00 22.60<br />
39 22/3/2005 12 8.43 22.00 16.00 110.00 422.00 0.26 3.10 64.20 20.30<br />
40 23/3/2005 12 8.43 20.00 18.00 112.00 416.00 0.27 37608.00 24503.00 0.65 3.10 64.80 20.10<br />
41 24/3/2005 12 8.45 19.00 17.00 110.30 418.00 0.26 3.00 63.50 22.60<br />
42 25/3/2005 12 8.94 19.00 17.00 111.50 386.00 0.29 37643.00 24546.00 0.65 3.20 65.30 22.10<br />
43 26/3/2005 12 9.15 21.00 19.00 113.20 387.00 0.29 3.10<br />
44 27/3/2005 12 9.10 20.00 18.00 110.70 396.00 0.28 3.10<br />
45 28/3/2005 12 8.44 20.00 18.00 109.50 407.00 0.27 37680.00 24570.00 0.65 3.00 64.30 20.90<br />
Aver. 8.83 20.6 17.7 110.21 392.60 0.28 2.98 64.49 21.80
ตารางผนวกที่<br />
ก6 ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
3 (ระยะเวลาเก็บกัก 6 ชม.)<br />
Day Date<br />
Suspendended Total Nitrogen<br />
HRT. OLD Solid (mg/L)<br />
(hr.) (kgCOD/m3 pH Temp. COD (mg/L) formaldehyde (mg/L)<br />
.d)<br />
(mg/L)<br />
In Out In Out In Out % Remove In Out % Remove In Out In Out<br />
46 29/3/2005 6 16.80 7.24 7.13 28.0 31.5 4200.00 1885.00 55.12 44.9 8.7 80.62 46.00 210.50 207.30<br />
47 30/3/2005 6 17.46 6.85 6.77 28.0 31.5 4365.00 1950.00 55.33 50.0 10.2 79.60 52.00 210.40 212.80<br />
48 31/3/2005 6 17.40 7.01 6.87 28.5 32.0 4350.00 1945.00 55.29 51.2 8.8 82.81 54.00 207.20 218.00<br />
49 1/4/2005 6 18.14 7.13 7.08 29.0 30.5 4535.00 1885.00 58.43 51.2 7.8 84.77 63.00 211.30 207.80<br />
50 2/4/2005 6 17.80 7.11 6.95 28.5 31.5 4450.00 1850.00 58.43 53.1 8.1 84.75 66.00 211.50 199.80<br />
51 3/4/2005 6 17.70 6.85 6.75 28.5 31.0 4425.00 1857.00 58.03 49.2 8.8 82.11 67.00 212.50 201.30<br />
52 4/4/2005 6 18.74 6.95 6.88 28.5 31.0 4685.00 1885.00 59.77 49.9 6.6 86.77 69.00 208.30 202.30<br />
53 5/4/2005 6 18.32 6.83 6.76 29.0 31.0 4580.00 1875.00 59.06 47.8 5.3 88.91 53.00 204.00 200.40<br />
54 6/4/2005 6 18.32 6.56 6.52 28.5 32.00 4580.00 1825.00 60.15 50.3 5.4 89.26 54.00 206.00 198.60<br />
55 7/4/2005 6 19.00 6.74 6.71 28.0 32.00 4750.00 1900.00 60.00 50.1 5.2 89.62 56.00 208.30 197.30<br />
56 8/4/2005 6 18.96 6.72 6.63 29.0 31.50 4740.00 1855.00 60.86 44.8 5.8 87.05 63.00 206.80 200.30<br />
57 9/4/2005 6 16.80 6.75 6.66 29.0 31.50 4200.00 1655.00 60.60 45.6 5.1 88.82 68.00 211.00 199.50<br />
58 10/4/2005 6 16.60 7.14 7.07 29.5 32.00 4150.00 1625.00 60.84 47.9 5.2 89.14 65.00 210.00 198.70<br />
59 11/4/2005 6 16.20 7.25 7.12 28.00 31.00 4050.00 1608.00 60.30 47.6 5.2 89.08 58.00 200.80 196.30<br />
60 12/4/2005 6 17.28 7.22 7.03 28.50 31.50 4320.00 1693.00 60.81 45.9 5.4 88.24 57.00 207.20 195.60<br />
Aver. 6 17.70 6.96 6.86 28.57 31.43 4455.42 1792.75 59.77 48.63 6.77 86.10 59.40 208.39 202.40
ตารางผนวกที่<br />
ก6 (ตอ) ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
3 (ระยะเวลาเก็บกัก 6 ชม.)<br />
Day Date<br />
HRT. OLD<br />
Total<br />
Phosphorus<br />
Volatile<br />
Fatty Acid Alkalinity<br />
(hr.) (kgCOD/m 3 .d) (mg/L) (mg/L) (mg/L)<br />
VFA /<br />
Alk.<br />
MLSS MLVSS<br />
(mg/L) (mg/L)<br />
MLVSS / MLSS Gas<br />
In Out In Out In Out Out Sampling Port 1 Sampling Port 1 Sampling Port 1 L/d %CH 4 %CO 2<br />
46 29/3/2005 6 16.80 19.00 16.30 161.00 356.00 0.45 37680.00 24570.00 0.65 2.85 64.00 20.30<br />
47 30/3/2005 6 17.46 19.00 16.50 156.00 362.00 0.43 37721.00 24603.00 0.65 2.80 65.30 20.50<br />
48 31/3/2005 6 17.40 18.00 14.80 149.00 354.00 0.42 2.90 67.90 21.50<br />
49 1/4/2005 6 18.14 18.00 15.30 173.00 385.00 0.45 37765.00 24574.00 0.65 3.00 65.90 20.70<br />
50 2/4/2005 6 17.80 19.00 16.00 132.00 335.00 0.39 3.00<br />
51 3/4/2005 6 17.70 20.00 18.00 125.00 356.00 0.35 3.20<br />
52 4/4/2005 6 18.74 20.00 17.00 122.00 358.00 0.34 37796.00 24664.00 0.65 3.10 70.20 22.90<br />
53 5/4/2005 6 18.32 19.00 18.00 121.00 389.00 0.31 3.20 69.10 22.40<br />
54 6/4/2005 6 18.32 18.00 18.00 120.60 401.00 0.30 37828.00 24714.00 0.65 3.25 68.30 22.30<br />
55 7/4/2005 6 19.00 18.00 17.00 123.20 405.00 0.30 3.10 69.50 21.10<br />
56 8/4/2005 6 18.96 19.00 16.00 124.10 411.00 0.30 37855.00 24956.00 0.66 3.25 65.20 20.80<br />
57 9/4/2005 6 16.80 20.00 18.00 123.20 405.00 0.30 3.25<br />
58 10/4/2005 6 16.60 18.00 16.00 120.20 399.00 0.30 3.00<br />
59 11/4/2005 6 16.20 17.00 16.00 122.00 385.00 0.32 37895.00 24955.00 0.66 3.10 66.40 20.60<br />
60 12/4/2005 6 17.28 18.00 16.00 121.30 362.00 0.34 37950.00 25140.00 0.66 3.15 66.10 21.30<br />
Aver. 17.70 18.67 16.59 132.91 377.53 0.35 3.08 67.08 21.31
ตารางผนวกที่<br />
ก7 ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
4 (น้ําเสียปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
150 มก./ล.)<br />
Suspendended Total Nitrogen Total Phosphorus<br />
HRT.<br />
(hr.)<br />
COD Loading<br />
(kgCOD/m<br />
Solid (mg/L) (mg/L)<br />
3 Day Date<br />
.d)<br />
pH Temp. COD (mg/L) formaldehyde (mg/L)<br />
(mg/L)<br />
In Out In Out In Out % Remove In Out %Remove In Out In Out In Out<br />
1 13/4/2005 24 3.34 6.93 5.85 28.0 32.5 3342 1355.0 59.46 123.0 55.3 55.01 - 110.0 220.4 210.9 23.0 22.0<br />
2 14/4/2005 24 5.11 6.58 5.64 28.0 32.0 5112 1895.0 62.93 123.5 44.0 64.37 - 112.0 219.4 178.1 23.0 22.0<br />
3 15/4/2005 24 3.24 6.21 7.58 28.5 32.0 3240 1315.0 59.41 122.5 27.2 77.80 - 85.0 219.2 103.5 23.0 21.0<br />
4 16/4/2005 24 3.35 6.86 5.54 29.0 32.5 3350 1125.0 66.42 127.0 23.0 81.89 - 78.0 197.2 170.6 24.0 22.0<br />
5 17/4/2005 24 3.23 6.60 5.65 28.5 31.5 3227 1113.0 65.51 122.5 7.3 94.08 - 75.0 217.2 208.3 22.0 22.0<br />
6 18/4/2005 24 4.25 7.10 6.85 29.0 33.0 4250 1350.0 68.24 135.0 7.3 94.59 - 74.0 223.0 209.5 21.0 20.0<br />
7 19/4/2005 24 4.43 6.75 6.53 29.0 32.0 4425 1375.0 68.93 142.0 7.0 95.07 - 63.0 212.0 210.3 22.0 20.0<br />
8 20/4/2005 24 4.37 6.73 6.45 29.5 32.5 4365 1365.0 68.73 137.0 6.9 94.96 - 65.0 225.0 211.5 23.0 21.0<br />
9 21/4/2005 24 4.46 6.68 6.53 28.5 32.5 4456 1395.0 68.69 145.0 6.8 95.31 - 70.0 214.0 210.2 23.0 21.0<br />
10 22/4/2005 24 4.85 6.67 6.48 28.0 32.0 4850 1502.0 69.03 147.0 6.5 95.58 - 70.0 216.3 200.9 24.0 21.0<br />
11 23/4/2005 24 4.45 6.86 6.55 28.0 32.0 4450 1375.0 69.10 148.0 6.9 95.34 - 62.0 214.3 200.5 23.0 21.0<br />
12 24/4/2005 24 4.48 7.02 6.85 28.0 32.0 4475 1345.0 69.94 149.0 6.5 95.64 - 63.0 214.5 201.4 23.0 21.0<br />
13 25/4/2005 24 3.96 7.00 6.93 28.5 31.5 3956 1205.0 69.54 136.0 6.3 95.37 - 60.0 208.0 203.2 22.0 20.0<br />
14 26/4/2005 24 4.37 6.98 6.75 28.5 31.0 4365 1275.0 70.79 132.0 6.6 95.00 - 56.0 221.0 212.3 21.0 20.0<br />
15 27/4/2005 24 4.42 6.84 6.67 28.0 32.5 4420 1295.0 70.70 144.5 6.7 95.36 - 56.0 223.0 212.6 22.0 20.0<br />
Aver. 4.15 6.79 6.66 28.47 32.10 4152.2 1352.3 69.37 135.6 6.80 95.12 73.27 216.30 196.25 22.60 20.93
ตารางผนวกที่<br />
ก7 (ตอ) ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
4 (น้ําเสียปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
150 มก./ล.)<br />
Volatile Alkalinity<br />
HRT. COD Loading Fatty Acid (mg/L) MLSS MLVSS<br />
(hr.) (kgCOD/m 3 VFA/Alk.<br />
MLVSS / MLSS Gas<br />
Day Date<br />
.d) (mg/L)<br />
(mg/L) (mg/L)<br />
In Out In Out<br />
Out Sampling Port 1<br />
Sampling<br />
Port1<br />
Sampling Port 1<br />
L/d %CH4 %CO2 1 13/4/2005 24 3.34 - 136.3 - 347.0 0.39 37950.00 25140.00 0.66 3.1<br />
2 14/4/2005 24 5.11 - 118.7 - 423.0 0.28 - - 3.20<br />
3 15/4/2005 24 3.24 - 112.0 - 315.0 0.36 3.10<br />
4 16/4/2005 24 3.35 - 110.0 - 353.0 0.31 - - 3.05<br />
5 17/4/2005 24 3.23 - 109.0 - 330.0 0.33 - - 3.15<br />
6 18/4/2005 24 4.25 - 104.0 - 332.0 0.31 37124 24950 0.67 3.00 68.30 20.70<br />
7 19/4/2005 24 4.43 - 102.0 - 330.0 0.31 37103 24875 0.67 3.15 67.40 21.20<br />
8 20/4/2005 24 4.37 - 101.0 - 328.0 0.31 - - 3.20 66.80 20.00<br />
9 21/4/2005 24 4.46 - 103.0 - 328.0 0.31 36991.00 24685.00 0.67 3.25 65.20 20.20<br />
10 22/4/2005 24 4.85 - 105.0 - 326.0 0.32 - - 3.30 68.40 20.80<br />
11 23/4/2005 24 4.45 - 104.0 - 330.0 0.32 3.20<br />
12 24/4/2005 24 4.48 - 103.0 - 341.0 0.30 - - 3.25<br />
13 25/4/2005 24 3.96 - 102.0 - 335.0 0.30 36750.00 24653.00 0.67 3.30 64.70 21.3<br />
14 26/4/2005 24 4.37 - 106.0 - 334.0 0.32 36623.00 24511.00 0.67 3.30 65.10 21.2<br />
15 27/4/2005 24 4.42 - 108.0 - 337.0 0.32 36500.00 24530.00 0.67 3.20 64.80 20.6<br />
Aver. 4.15 108.27 339.27 0.31 3.18 66.34 20.75
ตารางผนวกที่<br />
ก8 ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
4 (น้ําเสียปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
250 มก./ล.)<br />
Suspendended Total Nitrogen Total Phosphorus<br />
HRT.<br />
(hr.)<br />
COD Loading<br />
(kgCOD/m<br />
Solid (mg/L) (mg/L)<br />
3 Day Date<br />
.d)<br />
pH Temp. COD (mg/L) formaldehyde (mg/L)<br />
(mg/L)<br />
In Out In Out In Out % Remove In Out %Remove In Out In Out In Out<br />
16 28/4/2005 24 3.46 6.10 4.69 28.0 32.0 3458 1671.0 51.68 202 48.2 76.14 - 123.0 218.3 216.3 24.0 24.0<br />
17 29/4/2005 24 3.57 6.29 5.49 28.0 32.0 3573 1450.0 59.42 214 55.6 74.02 - 118.0 220.3 210.2 23.0 23.0<br />
18 30/4/2005 24 3.38 6.66 4.95 28.5 32.5 3376 1285.0 61.94 220 32.2 85.36 - 98.0 208.3 200.3 23.0 21.0<br />
19 1/5/2005 24 3.57 6.46 5.05 28.0 31.5 3573 1275.0 64.32 216 11.2 94.81 - 96.0 215.4 208.4 24.0 22.0<br />
20 2/5/2005 24 4.36 6.58 4.77 29.0 32.5 4355 1495.0 65.67 215 15.3 92.88 - 95.0 212.3 205.4 23.0 22.0<br />
21 3/5/2005 24 3.60 6.85 5.95 29.0 31.5 3595 1254.0 65.12 225 15.6 93.07 - 99.0 219.3 200.3 22.0 21.0<br />
22 4/5/2005 24 3.95 6.95 6.58 29.0 31.5 3950 1323.0 66.51 232 15.4 93.36 - 85.0 219.0 201.5 23.0 21.0<br />
23 5/5/2005 24 4.59 7.10 6.95 28.5 31.0 4590 1412.0 69.24 241 15.5 93.57 - 84.0 213.0 204.3 22.0 21.0<br />
24 6/5/2005 24 4.47 7.09 6.84 28.0 31.0 4470 1405.0 68.57 239 15.5 93.51 - 86.0 215.0 206.4 21.0 21.0<br />
25 7/5/2005 24 4.87 7.05 6.96 28.0 32.0 4865 1512.0 68.92 235 15.4 93.45 - 83.0 221.0 206.0 21.0 20.0<br />
26 8/5/2005 24 4.45 7.03 6.75 28.0 32.0 4450 1452.0 67.37 234 14.9 93.63 - 84.0 220.0 203.2 21.0 21.0<br />
27 9/5/2005 24 4.71 6.89 6.53 28.5 32.0 4710 1478.0 68.62 247 14.9 93.97 - 87.0 216.0 202.8 22.0 20.0<br />
28 10/5/2005 24 4.75 6.65 6.51 29.0 32.0 4750 1523.0 67.94 236 15 93.64 - 82.0 203.0 209.3 21.0 20.0<br />
29 11/5/2005 24 4.83 6.84 6.75 29.0 31.5 4825 1506.0 68.79 241 15.1 93.73 - 81.0 208.0 208.1 23.0 21.0<br />
30 12/5/2005 24 4.85 6.73 6.56 29.0 31.0 4850 1514.0 68.78 243 15.1 93.79 - 83.0 212.0 207.3 24.0 21.0<br />
Aver. 4.23 6.75 6.71 28.50 31.73 4226.0 1437.00 67.77 229.3 20.99 93.57 92.27 214.73 205.99 22.47 21.27
ตารางผนวกที่<br />
ก8 (ตอ) ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
4 (น้ําเสียปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
250 มก./ล.)<br />
Day Date<br />
Volatile Alkalinity<br />
HRT. COD Loading Fatty Acid (mg/L) MLSS MLVSS<br />
(hr.) (kgCOD/m 3 VFA/Alk.<br />
.d) (mg/L)<br />
(mg/L) (mg/L)<br />
MLVSS / MLSS Gas<br />
In Out In Out Out Sampling Port 1 Sampling Port 1 Sampling Port 1 L/d %CH 4 %CO 2<br />
16 28/4/2005 24 3.46 145.0 340.0 0.43 37500.00 25100.00 0.67 3.25 62.80 22.30<br />
17 29/4/2005 24 3.57 142.0 402.0 0.35 36855.00 24127.00 0.65 3.20 64.20 23.10<br />
18 30/4/2005 24 3.38 132.0 312.0 0.42 - - 3.20<br />
19 1/5/2005 24 3.57 133.0 316.0 0.42 - - 3.25<br />
20 2/5/2005 24 4.36 121.0 326.0 0.37 36012.00 24556.00 0.68 3.30 63.50 22.20<br />
21 3/5/2005 24 3.60 111.0 337.0 0.33 - - 3.30 62.20 23.40<br />
22 4/5/2005 24 3.95 110.0 335.0 0.33 35425.00 24367.00 0.69 3.25 64.50 22.60<br />
23 5/5/2005 24 4.59 112.0 326.0 0.34 - - 3.35 64.5 22.4<br />
24 6/5/2005 24 4.47 112.0 324.0 0.35 35236.00 24124.00 0.68 3.40 64.1 23.7<br />
25 7/5/2005 24 4.87 113.0 332.0 0.34 - - 3.20<br />
26 8/5/2005 24 4.45 109.0 335.0 0.33 3.25<br />
27 9/5/2005 24 4.71 114.0 334.0 0.34 34852.00 23856.00 0.68 3.20 63.50 21.90<br />
28 10/5/2005 24 4.75 116.0 336.0 0.35 34650.00 23629.00 0.68 3.35 63.80 23.50<br />
29 11/5/2005 24 4.83 113.0 337.0 0.34 - - 3.35 64.10 22.70<br />
30 12/5/2005 24 4.85 112.0 331.0 0.34 34550.00 23420.00 0.68 3.30 63.50 22.50<br />
Aver. 4.23 119.67 334.87 0.34 3.28 63.70 22.84
ตารางผนวกที่<br />
ก9 ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
4 (น้ําเสียปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
350 มก./ล.)<br />
Suspendended Total Nitrogen Total Phosphorus<br />
HRT.<br />
(hr.)<br />
COD Loading<br />
(kgCOD/m<br />
Solid (mg/L) (mg/L)<br />
3 Day Date<br />
.d)<br />
pH Temp. COD (mg/L) formaldehyde (mg/L)<br />
(mg/L)<br />
In Out In Out In Out %Remove In Out %Remove In Out In Out In Out<br />
31 13/5/2005 24 4.58 6.70 5.50 28.00 32.00 4581 1818.0 60.31 346 52.5 84.83 - 168.00 217.30 214.50 23.00 22.00<br />
32 14/5/2005 24 4.67 6.76 4.84 28.00 32.00 4674 1760.0 62.34 340 62.5 81.62 - 162.00 220.40 211.30 23.00 23.00<br />
33 15/5/2005 24 4.30 6.68 5.06 29.00 33.00 4302 1818.0 57.74 338 37.5 88.91 - 158.00 216.20 207.30 26.00 22.00<br />
34 16/5/2005 24 4.67 6.86 5.05 29.00 33.00 4674 1850.0 60.42 338 33.2 90.18 - 153.00 221.30 218.40 22.00 21.00<br />
35 17/5/2005 24 4.49 6.76 5.23 28.50 33.00 4488 1885.0 58.00 333 34.5 89.64 - 158.00 215.30 214.40 18.00 18.00<br />
36 18/5/2005 24 4.52 7.13 6.85 28.00 32.50 4520 1465.0 67.59 342 34.2 90.00 - 145.00 218.30 211.30 20.00 19.00<br />
37 19/5/2005 24 4.42 7.05 6.86 28.00 32.50 4420 1559.0 64.73 345 28.7 91.68 - 142.00 220.10 213.20 19.00 19.00<br />
38 20/5/2005 24 4.76 6.89 6.75 28.00 31.50 4755 1675.0 64.77 338 28.5 91.57 - 123.00 201.00 200.00 19.00 19.00<br />
39 21/5/2005 24 4.37 6.65 6.61 28.50 31.50 4365 1590.0 63.57 336 28.3 91.58 - 130.00 205.00 203.20 20.00 18.00<br />
40 22/5/2005 24 4.24 6.29 6.20 29.00 31.00 4235 1520.0 64.11 325 28.4 91.26 - 130.00 209.00 207.50 21.00 18.00<br />
41 23/5/2005 24 4.20 6.66 6.53 29.00 32.00 4200 1475.0 64.88 347 28.4 91.82 - 126.00 218.30 210.00 21.00 19.00<br />
42 24/5/2005 24 4.49 6.46 6.35 29.50 32.50 4485 1530.0 65.89 321 28.2 91.21 - 128.00 223.10 210.60 23.00 19.00<br />
43 25/5/2005 24 4.58 6.84 6.75 28.50 32.00 4575 1525.0 66.67 332 28.0 91.57 - 112.00 204.00 201.40 22.00 20.00<br />
44 26/5/2005 24 4.33 6.73 6.55 28.00 31.50 4325 1575.0 63.58 342 28.1 91.78 - 122.00 216.20 211.50 21.00 20.00<br />
45 27/5/2005 24 4.25 6.75 6.45 28.00 32.00 4254 1550.0 63.56 333 28.3 91.50 - 115.00 224.00 211.70 20.00 19.00<br />
Aver. 4.46 6.75 6.59 28.47 32.13 4456.9 1639.7 64.94 337.1 28.91 91.55 138.13 215.30 209.75 21.20 19.73
ตารางผนวกที่<br />
ก9 (ตอ) ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
4 (น้ําเสียปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
350 มก./ล.)<br />
Day Date<br />
Volatile Alkalinity<br />
HRT. COD Loading Fatty Acid (mg/L) MLSS MLVSS<br />
(hr.) (kgCOD/m 3 VFA/Alk.<br />
.d) (mg/L)<br />
(mg/L) (mg/L)<br />
MLVSS / MLSS Gas<br />
In Out In Out Out Sampling Port 1 Sampling Port 1 Sampling Port 1 L/d %CH 4 %CO 2<br />
31 13/5/2005 24 4.58 145.00 370.00 0.39 38750.00 24950.00 0.64 3.30 62.30 25.10<br />
32 14/5/2005 24 4.67 142.00 375.00 0.38 - - 3.25<br />
33 15/5/2005 24 4.30 132.00 386.00 0.34 - - 3.30<br />
34 16/5/2005 24 4.67 138.00 384.00 0.36 37240.00 24362.00 0.65 3.40 60.40 24.30<br />
35 17/5/2005 24 4.49 139.00 382.00 0.36 - - 3.60 61.40 24.50<br />
36 18/5/2005 24 4.52 142.00 413.00 0.34 37006.00 24312.00 0.66 3.50 61.80 23.60<br />
37 19/5/2005 24 4.42 121.00 369.00 0.33 - - 3.55 63.10 23.10<br />
38 20/5/2005 24 4.76 125.00 381.00 0.33 36565.00 24108.00 0.66 3.50 62.40 24.70<br />
39 21/5/2005 24 4.37 122.00 372.00 0.33 - - 3.65<br />
40 22/5/2005 24 4.24 120.00 389.00 0.31 3.70<br />
41 23/5/2005 24 4.20 121.00 385.00 0.31 36230.00 23950.00 0.66 3.45<br />
42 24/5/2005 24 4.49 122.00 364.00 0.34 35754.00 23755.00 0.66 3.60 62.30 24.00<br />
43 25/5/2005 24 4.58 123.00 371.00 0.33 - - 3.65 63.30 23.90<br />
44 26/5/2005 24 4.33 120.00 368.00 0.33 35385.00 23637.00 0.67 3.60 62.10 24.50<br />
45 27/5/2005 24 4.25 121.00 370.00 0.33 35350.00 23545.00 0.67 3.60 62.00 24.80<br />
Aver. 4.46 128.87 378.60 0.34 3.51 62.11 24.40
ตารางผนวกที่<br />
ก10 ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
4 (น้ําเสียปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
550 มก./ล.)<br />
Day Date Suspendended Total Nitrogen Total Phosphorus<br />
HRT. COD Loading Solid (mg/L) (mg/L)<br />
(hr.) (kgCOD/m 3 pH Temp. COD (mg/L) formaldehyde (mg/L)<br />
.d)<br />
(mg/L)<br />
In Out In Out In Out %Remove In Out %Remove In Out In Out In Out<br />
46 28/5/2005 24 4.86 6.85 5.86 28.50 33.00 4856 2230.00 54.08 535 115.5 78.41 - 223.00 220.30 215.30 24.00 22.00<br />
47 29/5/2005 24 4.76 6.56 6.02 28.50 33.00 4755 2350.00 50.58 547 89.6 83.62 - 254.00 215.30 208.60 24.00 21.00<br />
48 30/5/2005 24 4.45 6.35 6.12 29.00 32.00 4450 1758.00 60.49 552 99.6 81.96 - 242.00 224.00 213.50 23.00 21.00<br />
49 31/5/2005 24 4.65 6.70 5.98 29.00 32.50 4651 2150.00 53.77 546 105.6 80.66 - 240.00 213.20 203.60 21.00 20.00<br />
50 1/6/2005 24 4.48 6.89 6.05 28.50 32.50 4478 2225.00 50.31 558 86.3 84.53 - 230.00 215.20 210.00 21.00 20.00<br />
51 2/6/2005 24 4.52 7.05 6.85 28.50 32.00 4520 1825.00 59.62 520 85.2 83.62 - 228.00 207.50 201.30 22.00 20.00<br />
52 3/6/2005 24 4.60 7.02 6.75 29.00 32.00 4595 1685.00 63.33 516 84.0 83.72 - 232.00 203.50 200.10 23.00 21.00<br />
53 4/6/2005 24 4.25 7.10 6.89 30.00 32.00 4250 1700.00 60.00 552 79.6 85.58 - 221.00 198.60 203.20 22.00 20.00<br />
54 5/6/2005 24 4.21 6.95 6.75 29.00 31.50 4210 1650.00 60.81 549 75.6 86.23 - 215.00 204.30 201.20 21.00 20.00<br />
55 6/6/2005 24 4.20 6.85 6.53 29.00 31.00 4200 1750.00 58.33 563 73.6 86.93 - 213.00 216.20 205.30 21.00 20.00<br />
56 7/6/2005 24 4.48 6.75 6.35 29.50 31.50 4475 1650.00 63.13 551 72.8 86.79 - 212.00 215.70 212.00 22.00 20.00<br />
57 8/6/2005 24 4.75 6.65 6.25 29.50 32.00 4750 1685.00 64.53 552 75.4 86.34 - 208.00 209.60 211.00 23.00 21.00<br />
58 9/6/2005 24 4.21 6.74 6.43 29.00 31.00 4210 1595.00 62.11 543 77.6 85.71 - 210.00 223.20 211.30 23.00 21.00<br />
59 10/6/2005 24 4.44 6.66 6.45 28.50 31.00 4435 1675.00 62.23 532 73.9 86.11 - 203.00 220.00 212.50 24.00 22.00<br />
60 11/6/2005 24 4.48 6.53 6.48 28.50 31.50 4475 1720.00 61.56 546 71.6 86.89 - 205.00 220.50 209.30 23.00 21.00<br />
Aver. 4.49 6.78 6.57 28.93 31.90 4487.3 1843.20 61.78 544.1 77.78 85.68 222.40 213.81 207.88 22.47 20.67
ตารางผนวกที่<br />
ก10 (ตอ) ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
4 (น้ําเสียปนเปอนฟอรมัลดีไฮด<br />
550 มก./ล.)<br />
Volatile Alkalinity<br />
HRT. COD Loading Fatty Acid (mg/L) MLSS MLVSS<br />
(hr.) (kgCOD/m 3 VFA/Alk.<br />
MLVSS / MLSS Gas<br />
Day Date<br />
.d) (mg/L)<br />
(mg/L) (mg/L)<br />
In Out In Out<br />
Out Sampling Port 1<br />
Sampling<br />
Port1<br />
Sampling Port 1<br />
L/d %CH4 %CO2 46 28/5/2005 24 4.86 150.00 385.00 0.39 37250.00 24850.00 0.67 3.50<br />
47 29/5/2005 24 4.76 154.00 397.00 0.39 - - 3.55<br />
48 30/5/2005 24 4.45 148.00 396.00 0.37 - - 3.60 59.30 29.60<br />
49 31/5/2005 24 4.65 141.00 399.00 0.35 35854.00 23850.00 0.67 3.80 58.60 27.60<br />
50 1/6/2005 24 4.48 143.00 385.00 0.37 - - 3.80 60.10 28.50<br />
51 2/6/2005 24 4.52 135.00 382.00 0.35 33945.00 23210.00 0.68 3.90 61.80 27.30<br />
52 3/6/2005 24 4.60 138.00 375.00 0.37 - - 3.95 60.30 26.80<br />
53 4/6/2005 24 4.25 135.00 378.00 0.36 - 3.85<br />
54 5/6/2005 24 4.21 138.00 374.00 0.37 - 3.80<br />
55 6/6/2005 24 4.20 136.00 368.00 0.37 33745.00 21003.00 0.62 3.95 61.20 28.20<br />
56 7/6/2005 24 4.48 135.00 371.00 0.36 - - 3.90 61.50 27.20<br />
57 8/6/2005 24 4.75 134.00 383.00 0.35 33226.00 20875.00 0.63 3.85 61.40 26.90<br />
58 9/6/2005 24 4.21 133.00 384.00 0.35 - - 3.70 61.80 26.80<br />
59 10/6/2005 24 4.44 136.00 388.00 0.35 32645.00 20655.00 0.63 3.80 60.20 27.30<br />
60 11/6/2005 24 4.48 137.00 391.00 0.35 32250.00 20535.00 0.64 3.75<br />
Aver. 4.49 139.53 383.73 0.36 3.78 60.62 27.05
ตารางผนวกที่<br />
ก11 ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
4 (น้ําเสียจริง)<br />
HRT.<br />
(hr.)<br />
COD Loading<br />
(kgCOD/m 3 Day Date<br />
.d)<br />
pH Temp. COD (mg/L) BOD (mg/L) formaldehyde (mg/L)<br />
In Out In Out In Out % Remove In Out %Remove In Out % Remove<br />
1 12/6/2005 24 5.19 5.68 5.23 32.0 31.0 5188 3120 39.86 212 128 39.62 437 152.8 65.03<br />
2 13/6/2005 24 5.16 7.60 6.12 32.0 31.0 5156 2875 44.24 195 122 37.44 459 147.6 67.84<br />
3 14/6/2005 24 5.16 6.22 6.27 32.0 31.0 5156 2850 44.72 185 113 38.92 416 126.2 69.66<br />
4 15/6/2005 24 4.41 5.26 6.13 32.0 30.5 4406 2725 38.15 187 117 37.43 436 136.2 68.76<br />
5 16/6/2005 24 4.22 8.17 6.47 31.5 30.5 4219 2422 42.59 181 102 43.65 412 129.8 68.50<br />
6 17/6/2005 24 4.69 7.72 6.56 31.5 31.0 4688 2256 51.88 169 105 37.87 413 126.8 69.30<br />
7 18/6/2005 24 4.13 6.62 6.48 32.0 30.5 4125 2145 48.00 165 85 48.48 450 112.0 75.11<br />
8 19/6/2005 24 4.19 6.12 6.36 31.5 30.5 4189 2100 49.87 172 82 52.33 429 115.0 73.19<br />
9 20/6/2005 24 4.41 6.54 6.48 31.5 30.5 4408 2045 53.61 165 69 58.18 425 109.5 74.24<br />
10 21/6/2005 24 4.62 6.35 6.43 32.0 31.0 4618 2075 55.07 180 74 58.89 432 103.0 76.16<br />
11 22/6/2005 24 5.00 6.45 6.50 32.0 31.0 4998 2100 57.98 210 92 56.19 414 114.3 72.39<br />
12 23/6/2005 24 4.38 6.48 6.47 32.5 31.0 4379 1895 56.73 181 75 58.56 458 107.0 76.64<br />
13 24/6/2005 24 5.14 6.43 6.45 32.0 31.0 5141 2155 58.08 158 65 58.86 457 99.0 78.34<br />
14 25/6/2005 24 5.00 6.25 6.32 31.5 30.5 4998 2089 58.20 159 68 57.23 475 100.4 78.86<br />
15 26/6/2005 24 4.45 6.23 6.35 31.5 30.0 4450 1855 58.31 160 65 59.38 446 101.6 77.22<br />
16 27/6/2005 24 4.48 6.41 6.28 31.0 31.0 4475 1845 58.77 159 64 59.75 443 99.7 77.49<br />
17 28/6/2005 24 4.26 6.32 6.26 32.0 31.0 4259 1785 58.09 154 63 59.09 452 99.6 77.96<br />
18 29/6/2005 24 4.72 6.28 6.31 32.0 30.5 4715 1895 59.81 168 68 59.52 429 97.6 77.25<br />
19 30/6/2005 24 4.51 6.36 6.35 32.0 30.5 4514 1820 59.68 170 69 59.41 440 95.3 78.34<br />
Aver. 24 4.63 6.37 6.38 31.82 30.73 4632.27 1959.91 57.67 169.45 70.18 58.64 442.82 102.45 76.81
ตารางผนวกที่<br />
ก11 (ตอ) ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
4 (น้ําเสียจริง)<br />
Dissolved Suspendended Total Nitrogen Total Phosphorus Volatile Alkalinity<br />
HRT.<br />
(hr.)<br />
COD Loading<br />
(kgCOD/m<br />
Solid Solid (mg/L) (mg/L) Fatty Acid (mg/L)<br />
3 Day Date<br />
.d) (mg/L) (mg/L) (mg/L)<br />
VFA/Alk.<br />
In Out In Out In Out In Out In Out In Out Out<br />
1 12/6/2005 24 5.19 7689 7174.0 91 11.0 376.0 357 10.0 6.1 189.0 809.0 0.23<br />
2 13/6/2005 24 5.16 6310 5875.0 84 15.0 379.0 334 9.1 7.1 156.0 891.0 0.18<br />
3 14/6/2005 24 5.16 7764 7634.0 62 25.0 375.0 352 7.8 4.9 172.0 891.0 0.19<br />
4 15/6/2005 24 4.41 6181 5872.0 80 41.0 380.0 356 13.0 7.0 176.0 860.0 0.20<br />
5 16/6/2005 24 4.22 7513 7214.0 81 25.0 371.0 351 15.0 7.4 122.0 901.0 0.14<br />
6 17/6/2005 24 4.69 6690 6632.0 79 38.0 372.0 348 8.9 6.5 187.0 974.0 0.19<br />
7 18/6/2005 24 4.13 7509 7437.0 120 73.0 363.0 356 12.0 9.2 178.0 745.0 0.24<br />
8 19/6/2005 24 4.19 6910 6752.0 125 42.0 362.0 359 10.0 4.7 133.0 673.0 0.20<br />
9 20/6/2005 24 4.41 8078 7944.0 80 50.0 391.0 369 8.2 4.4 156.0 626.0 0.25<br />
10 21/6/2005 24 4.62 7211 6864.0 64 22.0 362.0 348 9.6 4.8 167.0 686.0 0.24<br />
11 22/6/2005 24 5.00 5740 5542.0 81 33.0 366.0 352 9.8 5.2 147.0 712.0 0.21<br />
12 23/6/2005 24 4.38 6450 6135.0 86 36.0 374.0 351 9.6 5.1 185.0 689.0 0.27<br />
13 24/6/2005 24 5.14 6125 6021.0 92 42.0 365.0 358 10.2 4.9 176.0 699.0 0.25<br />
14 25/6/2005 24 5.00 6743 6485.0 84 30.0 352.0 341 10.4 5.0 173.0 675.0 0.26<br />
15 26/6/2005 24 4.45 5988 5845.0 87 39.0 368.0 346 11.0 5.4 165.0 658.0 0.25<br />
16 27/6/2005 24 4.48 5675 5598.0 88 46.0 371.0 357 9.3 4.8 162.0 649.0 0.25<br />
17 28/6/2005 24 4.26 5875 5648.0 93 35.0 364.0 353 8.9 4.3 168.0 679.0 0.25<br />
18 29/6/2005 24 4.72 6028 5971.0 76 37.0 355.0 335 9.4 4.6 163.0 668.0 0.24<br />
19 30/6/2005 24 4.51 6128 6009.0 94 34.0 373.0 364 9.1 4.7 159.0 714.0 0.22<br />
Aver. 24 4.63 6367.36 6187.45 84.09 36.73 367.36 352.18 9.59 4.84 165.55 677.73 0.24
ตารางผนวกที่<br />
ก11 (ตอ) ผลการทดลองขั้นตอนที่<br />
4 (น้ําเสียจริง)<br />
Day Date<br />
HRT. COD Loading MLSS MLVSS<br />
(hr.) (kgCOD/m 3 .d) (mg/L) (mg/L)<br />
MLVSS / MLSS Gas<br />
Sampling Port 1 Sampling Port 1 Sampling Port 1 L/d %CH 4 %CO 2<br />
1 12/6/2005 24 5.19 36950 22750 0.62 3.2<br />
2 13/6/2005 24 5.16 35210 22326 0.63 3.30 5.27 12.60<br />
3 14/6/2005 24 5.16 3.50 9.35 15.20<br />
4 15/6/2005 24 4.41 34756 22008 0.63 3.40 19.30 19.80<br />
5 16/6/2005 24 4.22 3.60 17.30 19.20<br />
6 17/6/2005 24 4.69 34325 21741 0.63 3.70 43.50 20.10<br />
7 18/6/2005 24 4.13 3.80<br />
8 19/6/2005 24 4.19 3.85<br />
9 20/6/2005 24 4.41 34127 21550 0.63 3.95 56.80 20.40<br />
10 21/6/2005 24 4.62 3.70 55.90 20.60<br />
11 22/6/2005 24 5.00 3.60 59.20 21.10<br />
12 23/6/2005 24 4.38 3.75 58.80 22.60<br />
13 24/6/2005 24 5.14 33754 21362 0.63 3.60 58.70 25.20<br />
14 25/6/2005 24 5.00 3.55<br />
15 26/6/2005 24 4.45 3.85<br />
16 27/6/2005 24 4.48 33653 21125 0.63 3.90 57.50 23.60<br />
17 28/6/2005 24 4.26 3.75 57.60 24.70<br />
18 29/6/2005 24 4.72 3.85 57.40 23.70<br />
19 30/6/2005 24 4.51 33570.00 21051.00 0.63 3.70 58.40 24.80<br />
Aver. 24 4.63 3.75 56.38 22.97
ภาคผนวก ข<br />
เทคนิคการเก็บและวิเคราะหตัวอยางทางหองปฏิบัติการ<br />
106
วิธีการเก็บกาซมีเทนและกาซคารบอนไดออกไซด<br />
อุปกรณที่ใช<br />
ในการเก็บตัวอยางกาซ<br />
1. ถุงเก็บตัวอยาง (Flexible Bag ) ทําดวยพลาสติกชนิด Tedlar Mylar Teflon หรือ<br />
Aluminized Mylar ขนาด 10-20 ลิตร กอนนํามาใชจะตองมีการตรวจสอบรอยรั่วดังนี้<br />
คือ อัด<br />
อากาศเขาไปในถุงเก็บตัวอยางใหมีความดันอากาศ 5-10 เซนติเมตรน้ํา<br />
( 2- 4 นิ้วน้ํา)<br />
ปลอยทิ้งไว<br />
10 นาที ถาความดันลดลงแสดงวามีรอยรั่ว<br />
หรือทิ้งไว<br />
1 คืน ถาถุงเก็บตัวอยางอากาศแฟบแสดงวา<br />
เกิดรอยรั่ว<br />
2. ป ม ชนิด Personal Pump<br />
3. เครื่องตรวจวัด<br />
(Analyzer)<br />
ภาพผนวกที่<br />
ข1 แสดงการเก็บกาซแบบ Gas Bag<br />
107
ภาพผนวกที่<br />
ข2 Methane Analyzer (CH4 Monitor : APHA-360)<br />
ภาพผนวกที่<br />
ข3 Carbondioxide Analyzer (CO2 Monitor : OPGU-2100)<br />
108
การวิเคราะหหาปริมาณฟอรมัลดีไฮน (Formaldehyde)<br />
การตรวจสอบวามีฟอรมัลดีไฮน ทําไดหลายวิธีดังนี้<br />
1. วิธีลีช (Leach’s Test)<br />
ใหกลั่นตัวอยาง<br />
(ถาจําเปน) สกัดเอาสวนฟอรมัลดีไฮดมาเปนสารละลายใหมใชสาร<br />
ละลายนี้<br />
10 mL + นมสด 10 mL + conc. HCl density 1.2 (ที่มี<br />
FeCl3 ผสมอยู<br />
10% ในอัตราสวน 1<br />
mL ตอกรด 500 mL) จํานวน 10 mL นําสารละลายใหมนี้ไปทําใหรอนที่<br />
80-90 o C เขยาใหกอน<br />
แข็งแตกออก ถามีสีมวงแสดงวามีฟอรมัลดีไฮน<br />
2. วิธีเฮเนอร (Hehner’s Test)<br />
ใสตัวอยางปริมาณ 5 mL ลงในหลอดทดลองขนาดใหญ เติมนมสดลงไป 50 mL ผสม<br />
ใหเขากันเอียงหลอดแลวคอยๆ เทกรด H2SO4 เขมขนไปตามขางหลอด โดยไมใหผสมกับนม ถามีสี<br />
มวงเกิดขึ้นระหวางรอยตอผิวหนาของนมกับกรดแสดงวามีฟอรมัลดีไฮน<br />
3. วิธีมอรฟน ซัลเฟต (Morphine-Sulfate Test)<br />
เตรียม reagent morphine (โดยใช merphine sulfate 0.5 g + conc. H2SO4 500 mL) ใช<br />
Reagent 5 mL เติมตัวอยางน้ําลงไป<br />
2 mL ตั้งทิ้งไวถาเกิดสีมวงแสดงวามีฟอรมัลดีไฮน<br />
หลักการ<br />
ฟอรมัลดีไฮน (HCHO) เปนสารเคมีที่ใชกันแพรหลายในโรงงานอุตสาหกรรมและอาจ<br />
จะมีปะปนออกมากับน้ําเสียโรงงานได<br />
ฟอรมัลดีไฮน เปนสารที่ไวตอปฏิกิริยาการรวมตัวกับสาร<br />
จําพวก Protein จึงมักพบในน้ําเสียที่มี<br />
protein อยู<br />
ฟอรมัลดีไฮนสามารถแยกออกจากโปรตีนไดโดย<br />
ทําใหโปรตีนตกตะกอนดวยกรด phosphotungstic กรองเอาตะกอนออกแลวนําสารละลายที่ไดกลั่น<br />
กับ conc. H2SO4 นํา formaldehyde ที่ไดมาทําปฏิกิริยากับ<br />
acetylacelone ในสารละลายที่มีเกลือ<br />
Ammonia อยูมากเกินพอจะเกิดเปนสารประกอบสีเหลืองของ<br />
diethyldihydrolutidine ซึ่งวิเคราะห<br />
หา formaldehyde โดยวิธีเทียบสี แตวิธีนี้มีสารรบกวนมากจึงตองแยกเอา<br />
formaldehyde ออกมา<br />
กอนโดยการกลั่น<br />
109
ความแมนยํา<br />
สารแทรกสอด<br />
ทําไดในระดับ 0.006 ถึง 0.08 mg HCHO<br />
1.Trimethyiamine จะทําปฏิกิริยากับ formaldehyde ขณะทําการวิเคราะหจึงตองกําจัด<br />
ออกโดยการกลั่นตัวอยาง<br />
ดวยกรดซัลฟูริกในบรรยากาศของไนโตรเจน<br />
2.Ammonia จะทําปฏิกิริยากับ formaldehyde เกิด hexamethylene tetramin ซึ่งสามารถ<br />
จะกลั่นฟอรมัลดีไฮนออกมาใหทํา<br />
ปฏิกิริยา กับ sulfuric acid<br />
สารพวกacetaldehyde, benzaldehyde Acelone Methanol, Formic acid, Chloroform and<br />
phenol แมจะมีความเขมขน 100 mg/L ก็ไมรบกวนการวิเคราะหหา formaldehyde โดยการเทียบสี<br />
เครื่องมือและอุปกรณ<br />
1. เครื่องกลั่นแบบเดียวกับกลั่น<br />
Nitrogen<br />
2. Spectrophotometer 425 nm.<br />
3. Cell ขนาด 10 mm.<br />
สารเคมี<br />
1. Acetylacetone<br />
Ammonium acetate 75 g ในน้ํากลั่น<br />
เติม conc. acetic acid 2.5 mL และ acetylaceton<br />
(หรือ 2, 4-pentanedione) 1 mL แลวทําใหเปน 500 mL สารละลายนี้อยูได<br />
1 สัปดาห<br />
2. HCl (1+11)<br />
3. HCl 0.1 N<br />
4. Sodium Sulphite Sol n (1.3 w/v%)<br />
เติมสารละลายโซเดียมซัลไฟตแอนไฮโดรตจํานวน 1.3 g ลงในน้ํากลั่นเจือจางใหเปน<br />
100 mL สารละลายนี้ตองเตรียมเมื่อจะใชงานเทานั้น<br />
5. สารละลายไรโซลิก 1w/v%<br />
ละลายกรดไรโซลิก 1g ในเอธานอล 95% 50 mL เจือจางดวยน้ํากลั่นจนได<br />
100 mL<br />
110
6. สารละลายมาตรฐานฟอรมัลดีไฮนขั้นตน<br />
เจือจาง formaldehyde 3 mL ในน้ํากลั่น<br />
1 L หาความเขมขนของสารละลายนี้โดย<br />
การหาความเขมขนของฟอรมัลดีไฮน<br />
สารละลาย โซเดียมซัลไฟต* 20 mL<br />
ขวดรูปชมพู<br />
+ rosolic acid 3 หยด + HCl (1+11) จนไมมีสี +<br />
formaldehyde 25 mL ไทเทรตดวย 0.1 N HCl<br />
ความเขมขนของ formaldehyde F = a x f x 1 x (30.03)<br />
ไทเทรตดวย 0.1 N HCl จนไดสารละลายไมมีสี<br />
25<br />
F = ความเขมขนของ formaldehyde (mg/mL)<br />
a = ปริมาตรของกรด HCl 0.1 ที่ใชไป<br />
(mL)<br />
f = แฟกเตอรของกรดไฮโดรคลอริก 0.1 N<br />
30.03 = คาสมมูลยของฟอรมัลดีไฮน (g) เทียบตอ 1 mL<br />
ของ HCl 0.1 N<br />
7. สารละลายมาตรฐานฟอรมัลดีไฮน (0.01 mg HCHO/mL) เติมสารละลายมาตรฐาน<br />
10 mL เจือจางเปน 1000 mL ดวยน้ํากลั่น<br />
* สารละลายนี้เตรียมเมื่อตองการใช<br />
111
การกลั่นตัวอยาง<br />
ตัวอยางมี ฟอรมัลดีไฮด ไมเกิน 0.8 mg<br />
เจือจาง 100 mL ใสในชุดกลั่น<br />
+<br />
กรดโรโซลิก 3 หยด (indicator)<br />
+<br />
1+11 HCl จนสารละลายเปนสีสม (1:10)<br />
+<br />
กรดโรโซลิก เพิ่มอีก<br />
1 หยด<br />
ตอเครื่องกลั่น<br />
ปริมาตรของน้ําที่กลั่นได<br />
= 100 mL<br />
112
วิธีวิเคราะห<br />
* blank ใชน้ํากลั่น<br />
100 mL แลวการกลั่นเหมือนตัวอยาง<br />
การคํานวณ<br />
ตัวอยางที่กลั่นได<br />
10 mL<br />
ขวดรูปชมพูมีจุก<br />
mg/L formaldehyde = mg formaldehyde x 1000<br />
ปริมาตรตัวอยางที่ใช<br />
develop สี ( 10 mL)<br />
+<br />
Acetylacetone-Ammonia 10 mL<br />
เขยา<br />
เอาไวในอางน้ํารอน<br />
60-65 °C 10 นาที<br />
ปลอยเย็น<br />
วัด Abs. ที่<br />
425 nm<br />
113
การสรางกราฟมาตรฐาน<br />
ใชสารละลายมาตรฐาน formaldehyde 0.01 mg/mL<br />
ปริมาตร 0.6 ถึง 8 mL → dilute เปน 10 mL<br />
Std. 0, 0.6, 1.0, 3.0, 5.0, 8.0 mL<br />
dilute 10 mL ดวยน้ํากลั่น<br />
+<br />
Acetlyacetone-Ammonia 10 mL<br />
เขยาใหผสมกัน<br />
อังไอน้ําที่<br />
60-65°C 10 นาที<br />
ใหเย็นลงที่อุณหภูมิหอง<br />
วัด คาAbs.ที่<br />
λ =425 nm<br />
114
การวิเคราะหหาปริมาณ COD ในน้ําและน้ําเสีย<br />
(CLOSE REFLUX)<br />
1. วัตถุประสงค<br />
เพื่อวิเคราะหหาปริมาณ<br />
COD (Chemical Oxygen demand) ในน้ําและน้ําเสียโดยวิธี<br />
Closed reflux method<br />
2. ขอบขาย (Scope and field of application)<br />
วิธีทดสอบนี้สามารถใชวิเคราะหหาปริมาณ<br />
COD ในน้ํา<br />
โดยเหมาะสําหรับหาปริมาณ<br />
COD ในชวง 40-400 mg/L<br />
3. เอกสารอางอิง (Reference)<br />
3.1 Standard Method for the Examination of Water and Wastewater, HLIWA,<br />
APHA Ed 20 th 1998:part 5000 (5220 C.Closed Reflux, Titrimetric method)<br />
3.2 เคมีของน้ํา<br />
น้ําโสโครกและการวิเคราะหพิมพครั้งที่<br />
3<br />
4. หลักการ (Principle)<br />
เมื่อตัวอยางน้ําไป<br />
Reflux ในสารละลายกรดซัลฟูริกเขมขนที่อุณหภูมิสูง<br />
สารอินทรีย<br />
ในน้ําจะถูก<br />
oxidize โดยสารละลาย potassium dichromate (K2Cr2O7) ที่ทราบความเขมขนและมี<br />
ปริมาณเกินพอที่ทราบจํานวน<br />
หลังจาก Refluxวัดปริมาณ K2Cr2O7 ที่เหลือโดยนําไป<br />
titrate กับ<br />
Ferrous ammonium sulfate (FAS) โดยใช ferroin เปน indicator เมื่อนําไปหักลบจากปริมาณ<br />
K2Cr2O7 ที่เติมลงไป<br />
จะทําใหทราบปริมาณของ K2Cr2O7ที่ใชในการ Oxidize สารอินทรียได คา<br />
COD จะนอยกวา BOD เมื่อน้ําตัวอยางมีสารพวก<br />
Aromatic Hydrocarbon และ Pyridine อยู<br />
ซึ่ง<br />
สารเหลานี้จะไมถูก<br />
Oxidize ทางเคมี COD จึงนอยกวา BOD<br />
5. สารเคมี<br />
5.1 สารละลายมาตรฐาน Potassium dichromate 0.01667 M ทําการชั่ง<br />
K2Cr2O7 มา<br />
4.903 g (โดยผานการอบแหงที่<br />
150°C เปนเวลา 2 ชั่วโมง<br />
และทิ้งใหเย็นใน<br />
desiccator แลว )<br />
ละลายในน้ํากลั่นประมาณ<br />
500 mL เติมกรด Sulfuric (H2SO4 conc.) 167 mL และ HgSO4 33.3 g.<br />
ละลายจนเปนเนื้อเดียวกันรอใหเย็นปรับ<br />
ปริมาตรเปน 1000 mL<br />
115
สารละลายนี้จะใชเปน<br />
primary standard ที่จะตองนําไป<br />
standardize เพื่อหาความ<br />
เขมขนของ FAS ดวย ดังนั้นจึงตองจดน้ําหนักที่ชั่งไวโดยละเอียด<br />
เชน 4.9xxx g.<br />
5.2 Sulfuric acid reagent ชั่ง<br />
Ag2SO4 10 g. ใสลงในกรด Sulfuric เขมขน (conc.H2 SO4) ปริมาตร 1 L ตั้งทิ้งไว<br />
1-2 วัน เพื่อให<br />
Ag2SO4 ละลายหมดกอนแลวจึงนําไปใช<br />
หมายเหตุ : 1. อัตราสวนการเติม Ag2SO4 คือ 5.5 g ตอ H2SO41 kg หรือ 0.543 L<br />
2. H2 SO4 มีความหนาแนน (density) เทากับ 1.84<br />
5.3 Ferroin indicator ชั่ง<br />
1,10-phenanthroline monohydrate 1.485 g. และ FeSO4 ⋅7H2O 0.695 gละลายในน้ํากลั่นแลวเจือจางใหมีปริมาตร<br />
100 mL ดวยน้ํากลั่น<br />
5.4 สารละลายมาตรฐาน ferrous ammonium sulfate (FAS) เขมขน 0.10 M ใชเปน<br />
Titrant ชั่ง<br />
Fe(NH4) 2(SO4) 2⋅6H2O 39.2 g ละลายในน้ํากลั่น<br />
เติม conc. H2SO4 20 mL. รอใหเย็นปรับ<br />
ปริมาตรเปน 1000 mL สารละลายมาตรฐาน FAS ที่เตรียมไดตองนําไป<br />
Standardize กับ K2Cr2O7 ทุกวันที่ทําการทดลอง<br />
5.5 Mercuric sulfate (HgSO4) แบบผง<br />
5.6 Potassium Hydrogen Phthalate Standard (KHP) ชั่ง<br />
KHP 425 mg (ที่อบแหงที่<br />
120°C จนไดน้ําหนังคงที่แลว)<br />
ละลายดวยน้ํากลั่นและปรับปริมาตรจนเปน<br />
1000 mL ในขวดวัด<br />
ปริมาตร สารละลายที่เตรียมไดจะมีคา<br />
COD ทางทฤษฏีเทากับ 500 mg O2/L 5.7 สารละลาย COD ความเขมขน 200 mg/L ละลาย Glucose 100 mg ดวยน้ํากลั่น<br />
เล็กนอย และเติม Glutamic Acid 100 mg หลังจากนั้นเติม<br />
Hydrochloric Acid 1 mL ละลายให<br />
เปนเนื้อเดียวกันปรับปริมาตรจนเปน<br />
1000 mL<br />
6. เครื่องมือและอุปกรณ<br />
6.1Burette<br />
6.2 หลอดทดลอง ขนาด 16x100 mm<br />
6.3 Pipette<br />
6.4 Oven<br />
7. วิธีดําเนินการวิเคราะห (Procedure)<br />
7.1 การ Standardize<br />
7.1.1 ใสน้ํากลั่น<br />
5 mL ลงในหลอดทดลอง<br />
7.1.2 เติมสารละลายมาตรฐาน Potassium dichromate 3 mL<br />
116
การคํานวณ<br />
7.1.3 เติมกรดซัลฟวริก 7 mL<br />
7.1.4 นําไป Titrate ดวย 0.10 M FAS จนถึงจุดยุติ<br />
Morlarity ของ FAS = 0.1 M K 2Cr 2O 7 (mL) x 0.1<br />
mL ของ FAS<br />
117<br />
7.2 การหาปริมาณ COD ในน้ําตัวอยาง<br />
7.2.1ใสตัวอยางลงในหลอดทดลอง โดยใชปริมาตรตัวอยาง 5 mL<br />
7.2.2 เติม Mercuric sulfate เขยาใหดี เพื่อเปนการกําจัดคลอไรดในตัวอยาง<br />
(ในกรณีที่ตัวอยางมีคลอไรด)<br />
7.2.3 เติมสารละลายมาตรฐาน Potassium dichromate สําหรับใชในการยอยสลาย<br />
3 mL<br />
7.2.4 เติมกรดซัลฟวริก 7 mL อยางระมัดระวังโดยคอยๆปลอยใหกรดไหลลงมาตาม<br />
ขาง หลอดอยางชาๆ<br />
7.2.5 ปดจุกหลอดใหแนน กลับหลอดไปมาเพื่อใหสารละลายภายในผสมกันอยาง<br />
สมบูรณ<br />
7.2.6 นําไป Refluxที่อุณหภูมิ150<br />
± 2°Cเปนเวลา 2 ชั่วโมงในOven<br />
นําออกจาก<br />
Oven ทิ้งใหเย็น<br />
7.2.7 เปดจุกออก เติม Ferroin indicator ลงไป 1-2 หยด นําไป Titrate ดวย 0.10<br />
MFAS ที่จุดยุติสีของสารละลายจะเปลี่ยนจากสีเขียวแกมน้ําเงินเปนสีแดงอม<br />
น้ําตาล<br />
7.3 การเตรียม blank<br />
7.3.1 ปเปตน้ํากลั่น<br />
5 mL ใสลงในหลอดทดลอง<br />
7.3.2 เติมสารละลายมาตรฐาน Potassium dichromate และกรดซัลฟวริกแลว<br />
นําไป Reflux เปนเวลา 2 ชั่วโมง<br />
โดยทําตามขอ 7.2.2 – 7.2.6<br />
7.3.3 เติม ferroin indicator ลงไป 1-2 หยด นําไป titrate ดวย 0.10 M FAS ที่จุด<br />
ยุติ สี ของสารละลายจะเปลี่ยนจากสีเขียวแกมน้ําเงินเปนสีแดงอมน้ําตาล
8. การคํานวณ<br />
COD mg O 2/L = (A-B) x M x 8,000<br />
mL sample<br />
เมื่อ<br />
A = ปริมาตรของ FAS ที่ใชในการ<br />
titrate blank ในหนวย mL<br />
B = ปริมาตรของ FAS ที่ใชในการ<br />
titrate ตัวอยาง ในหนวย mL<br />
M = molarity ของ FAS<br />
8,000 = น้ําหนักเปนมิลลิกรัมสมมูลยของออกซิเจน<br />
x 1,000 mL/L<br />
118
ภาคผนวก ค<br />
สถานที่เก็บตัวอยางน้ําเสีย<br />
119
สถานที่เก็บตัวอยางน้ําเสีย<br />
น้ําเสียจริงที่นํามาทําการทดลองในครั้งนี้เปนน้ําทิ้งจากกระบวนการผลิตกาวเรซินชนิด<br />
ยูเรีย- ฟอรมัลดีไฮด(Urea-formaldehyde)ของบริษัททีโอเอ โดฟเคม จํากัด (TOA Dovechem<br />
Co.,Ltd.) ที่ผานกระบวนการออกซิเดชัน(Oxidation<br />
Process)แลว<br />
ภาคผนวกที่<br />
ค1 บริษัททีโอเอ โดฟเคม จํากัด (TOA Dovechem Co.,Ltd.) จ.สมุทรปราการ<br />
ภาคผนวกที่<br />
ค2 น้ําเสียฟอรมัลดีไฮดที่ผานกระบวนการออกซิเดชัน<br />
(Oxidation Process)<br />
120